ผมคงจะตอบเพื่อนๆไม่ค่อยไหวแล้วนะครับ
เพราะตอนนี้งานยุ่งมากๆ
แต่ผมก็อ่านและขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะครับ
และแล้วก็มาถึงตอนที่ทุกคนรอคอย

*****************************************************************************************************************
กุมภาพันธ์ ของปีเตอร์ คอป
[wma=300,50]http://f1.podcast.blog.webs-tv.net/upload2/new/e/e/a/eead8016b7c106b9153ec8acc1bbecfb.mp3[/wma]
*************************************************************
.............ขอให้รักเรานั้น....นิรันดร ภาค 2….....( 16 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
---------------------------------------
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมเคยคิดอยู่เสมอว่าในชีวิตนี้ผมคงไม่อาจรักใครได้อีก ชีวิตของผมคงถูกพันธนาการไว้ด้วยความรักที่มีต่อทีมอย่างไม่มีวันหลุดพ้น
แต่แล้ววันนี้ผมก็ได้พบกับคนที่สามารถเอาชนะกำแพงอันแน่นหนาที่ผมสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองจากความรักที่เจ็บปวดได้ ซึ่งผมก็เองไม่อยากจะเชื่อว่าคนๆนั้นจะเป็น......บาส
ในตอนนี้ผมไม่มีความสงสัยหรือลังเลใจแม้แต่น้อยว่าทำไมผมถึงต้องมอบหัวใจให้กับผู้ชายคนนี้ ในเมื่อบาสได้ทำสิ่งต่างๆมากมายที่ทำให้ผมได้รู้ว่าความรักอันบริสุทธิ์และทุ่มเทที่เขามีให้ผมนั้นเป็นความรักที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยจริงๆ
ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่าผู้ชายอย่างบาสนี่ล่ะย่อมไม่มีวันทำให้ผมเจ็บปวด
ขณะนั้นเองที่ผมและบาสต่างกำลังยืนจูบกันด้วยความนุ่มละมุน เสียงแม่ของบาสที่กำลังบ่นอะไรทำนองว่าลูกค้าเรื่องมากที่ใกล้เข้ามา ได้ทำให้ผมกับบาสผละออกจากกันในทันที และเมื่อแม่ของบาสเข้ามาถึงห้อง ท่านก็ทักบาสอย่างแปลกใจว่า
“อ้าว แกยังไม่ได้หลับอยู่เหรอ”
ในตอนนั้นเอง ทันทีที่ได้ยินแม่ถามออกมาอย่างนั้น บาสก็แกล้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นหงุดหงิดแล้วเริ่มโวยวายขึ้นมาทันที
“แม่...บาสบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามายุ่งกับห้องทำงานของบาส นี่จะฉวยโอกาสตอนที่บาสนอนหลับเหรอ”
“ก็แหม แกเล่นปิดตายห้องนี้มาเป็นเดือน แม่ก็กลัวว่ามันจะกลายเป็นรังหนูเสียก่อน แม่ก็เลยรีบเข้ามาทำความสะอาด ทำไมเหรอ ห้องนี้มันมีอะไรกันนักกันหนาถึงได้หวงมันนัก”
ในตอนนั้นผมเห็นบาสแอบหันไปมองภาพวาดตัวผมที่ติดไว้ทั่วห้องนิดนึงก่อนจะตอบแม่เขากลับไปว่า
“มันก็ไม่มีอะไรหรอกแต่บาสไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามในห้องทำงานของบาส”
“นี่ ยังไงชั้นก็เป็นเจ้าของบ้านนี้อยู่นะย่ะ ชั้นจะทำอะไรกับห้องไหนก็ได้ แล้วห้องนี้ชั้นก็เข้ามาทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ แกอย่ามาเรื่องมากเลย รีบไปนอนเถอะ เดี๋ยวแม่กับบีจัดการเอง”
“อ้อ เรื่องนี้ด้วย ทำไมแม่ต้องใช้บีมาทำงานนี้ด้วย เขาไม่ใช่คนใช้นะ”
“แหม ไอ้ลูกคนนี้ ทีแม่ทำงานหลังขดหลังแข็งไม่เห็นจะเป็นห่วงอย่างนี้บ้างเลย ทีบีเขาต้องทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็รีบโวยวายแทนเชียวนะ”
หลังคำพูดของแม่ของบาส เขาก็เริ่มหน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เฉไฉทำเป็นพูดออกมาว่า
“ก็เขาเป็นแขกนี่ บาสไม่อยากเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ดี”
“ไม่เป็นไรหรอกบาส บีอาสาแม่เขาทำเองแหละ บีอยากช่วย”
ผมรีบออกตัวเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้อาจจะบานปลายกลายเป็นศึกสายเลือดได้
“เห็นมั้ยล่ะ แม่ไม่ได้ใช้เขาเสียหน่อย แกน่ะไปได้แล้วเกะกะ”
“ไปเถอะบาส เดี๋ยวบีกับคุณแม่ช่วยกันทำเอง”
ผมช่วยแม่บาสพูดอีกแรง
“ก็ได้ งั้นบาสไปนอนก่อนนะ แต่ไม่ต้องทำเยอะหรอก เดี๋ยวเหนื่อยเสียปล่าวๆ ไปนะ”
พูดจบบาสก็เดินกระโผลกกะเผลกหันหลังกลับไปนอนที่ห้อง
“ดูสิบี ทีแม่พูดจนปากเปียกปากแฉะ มันยังไม่ยอมไป ทีบีพูดประโยคเดียว มันก็เดินไปตามคำสั่งแล้ว เฮ้อ ไอ้ลูกคนนี้”
หลังคำพูดนั้นผมก็ได้แต่ยิ้มเขินๆให้แม่ของบาสเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไปได้ แต่ในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มนึกขึ้นได้ว่าถ้าแม่ของบาสเคยเข้ามาทำสะอาดห้องนี้หลายครั้งแล้ว ท่านก็ย่อมเคยเห็นภาพวาดทั้งหมดนี้มาก่อนแล้ว
แล้วท่านจะรู้หรือไม่ว่า...นั่นคือภาพวาดของผม
“เอ่อ คุณป้า เอ๊ย คุณแม่เคยเข้ามาห้องนี้บ่อยเหรอคับ”
ผมตัดสินใจแอบถามอ้อมๆ เผื่อท่านจะเผลอพูดอะไรออกมาบ้าง
“ใช่จ๊ะ ทำไมเหรอ”
“คือ...แล้วคุณแม่เห็น.....เอ่อ...”
“รูปพวกนี้น่ะเหรอ”
แม่ของบาสตอบผมมาอย่างรู้ทัน
“คะ..คับ”
“เห็นสิ เห็นมานานมากแล้วล่ะ ตอนแรกๆแม่ก็สงสัย แม่เคยคิดว่ามันอาจจะเป็นแนวศิลปะแบบใหม่ที่บาสเขาชอบ แต่ยิ่งดูรูปพวกนี้ทีไร แม่ก็ยิ่งคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ โดยเฉพาะเมื่อคนที่อยู่ในรูปพวกนี้เป็นคนๆเดียวกันทั้งหมด แม่ก็เลยเดาว่ารูปพวกนี้คงมีความพิเศษกับบาสกว่านั้น มีหลายครั้งเลยล่ะที่แม่แอบเห็นบาสเขามายืนมองรูปพวกนี้ครั้งละนานๆ เหมือนกำลังคิดถึงใครสักคน จนกระทั่ง....”
“จนกระทั่งอะไรเหรอคับ”
“จนกระทั่งแม่ได้พบกับบีที่ศิริราชวันนั้น ถึงบีจะโตขึ้นมาก แต่แค่เห็นบีแวบแรก โดยเฉพาะได้เห็นปฏิกิริยาของบาส แม่ก็รู้ได้ในทันทีว่าคนในรูปพวกนี้คงเป็นบีแน่นอนที่สุด แม่ก็เลยตัดสินใจยกเลิกนางพยาบาลที่แม่จ้างเขาไว้ แล้วก็ขอให้บีมาดูแลบาสแทนไงจ๊ะ”
“อะไรนะครับ แม่จ้างพยาบาลดูแลบาสไว้แล้วเหรอ”
“ใช่สิจ๊ะ อย่าลืมสิว่าแม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศคืนนั้นนะ แม่คงไม่ใจร้ายขนาดไม่หาใครไว้ให้มาดูแลลูกชายคนเดียวของตัวเองหรอก”
คำตอบนี้ได้ทำให้ผมถึงกับตกตะลึงเมื่อรู้ว่าการที่ผมได้มาอยู่ใกล้ชิดกับบาสเกือบเดือนนี้เป็นความตั้งใจของแม่ของบาสมาตั้งแต่ต้นแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเอะใจถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“งั้นเรื่องที่คุณแม่อยากจะเข้ามาทำความสะอาดห้องนี้ ????”
“อ๋อ มิน่าล่ะ บาสเขาถึงเคยเล่าว่าบีน่ะฉลาด ใช่จ๊ะ แม่ตั้งใจ แม่รู้จักลูกของแม่ดีว่าเขาไม่มีวันพาบีเข้ามาในห้องนี้ แต่แม่กลับคิดว่าห้องนี้เป็นห้องที่บีควรจะเข้ามาดูมากที่สุดของบ้าน บีจะได้รู้ว่าเขารักบีมากแค่ไหน”
“คุณแม่ !!!”
ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจและสงสัยที่ท่านพูดคำว่า “เขารักบีมากแค่ไหน” ออกมาราวกับมันเป็นความรักปกติธรรมดาของหนุ่มสาว แต่แม่ของบาสเขาก็ย้ำให้ผมได้ยินชัดๆอีกครั้งว่า
“ใช่จ๊ะ แม่รู้ว่าบาสเขารักบี”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ายิ่งคุยกับผู้หญิงคนนี้ ผมก็ยิ่งทำตัวลำบากมากขึ้นทุกทีเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่มีความคิดแตกต่างกับแม่คนๆอื่นอย่างสิ้นเชิงที่สามารถพูดเรื่องที่ลูกชายของตัวเองตกหลุมรักผู้ชายด้วยกันออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“แล้วคุณแม่ไม่รู้สึกอะไรเหรอที่บาสเค้าเป็น.......เกย์”
“อืม แรกๆแม่ก็ตกใจเหมือนกันนะ แต่มาคิดอีกที มันก็ไม่เห็นแปลก ไม่ว่าลูกของแม่จะเป็นอะไร แม่ก็แค่อยากเห็นเขาเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข เพราะจริงๆแล้วแม่เองก็ผิดที่ไม่เคยมีเวลาให้เขาเลย ตั้งแต่พ่อเขาตายจากไป แม่ก็ต้องเอาแต่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวจนไม่มีเวลาไปสนใจบาสเลย ทั้งๆที่แม่รู้มาตลอดว่าบาสเขาทั้งเหงา ทั้งว้าเหว่ แต่ถ้าแม่ไม่ทำอย่างนั้น ลำพังแม่คนเดียวก็คงจะพาครอบครัวไม่รอด”
“แต่ฐานะของคุณแม่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนี่ครับ”
ผมรีบถามด้วยความสงสัยเพราะคนที่มีบ้านและทรัพย์สมบัติอย่างที่ผมเห็นในบ้านหลังนี้ก็คงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีความเป็นอยู่อัตคัต
“นั่นมันภาพที่บีเห็นในวันนี้จ๊ะ บาสเขาคงไม่เคยเล่าให้บีฟังล่ะสิ ว่าตอนแรกเราลำบากกันมาก เพราะจริงๆแล้วพ่อของบาสเขาพาแม่หนีตั้งแต่สมัยสาวๆ แม่ก็เลยโดนตัดขาดจากครอบครัวมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วหลังจากนั้นแม่ก็ต้องติดสอยห้อยตามพ่อของบาสซึ่งเป็นตำรวจไปจังหวัดนั้นที จังหวัดนี้ที แต่บีรู้มั้ยลูก ตอนนั้นถึงครอบครัวเราจะลำบากมาก แต่แม่ก็มีความสุขที่สุดเลย เพราะแม่ได้อยู่กับคนที่แม่รักและเขาก็รักแม่ น่าเสียดายที่พ่อของบาสเขาอายุสั้น ไม่งั้นเราคงจะเป็นครอบครัวที่มีความสุขมากกว่านี้ แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้แม่บอกกับตัวเองเสมอว่าแม่จะไม่มีวันขัดขวางความสุขของลูก ไม่ว่าความสุขนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม”
“บาสเขาโชคดีมากเลยคับที่มีแม่อย่างนี้”
“ไม่จริงหรอกจ๊ะ แม่ที่วันๆ เอาแต่บ้างานจนไม่มีเวลาดูแลลูกอย่างแม่คงรับคำชมนั้นไว้ไม่ได้ แม่ว่าบาสเขาโชคดีมากกว่าที่มารักคนแบบลูกบี”
“ไม่จริงหรอกคับ จริงๆแล้วบีเป็นคนที่แย่มากๆ”
“อย่าถ่อมตัวไปเลยน่า บาสเขาไม่ตาถั่วหรอกแม่เชื่อ แล้วแม่เองก็ดูคนไม่ผิดด้วย เอ่อ แต่บีจ๊ะ แม่ขออะไรอย่างนึงได้มั้ย”
“อะไรเหรอคับ”
“อย่าทิ้งบาสนะลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อย่าทิ้งเขานะ”
หลังคำขอนี้ผมก็ได้แต่พยักหน้าเป็นการยืนยันอย่างหนักแน่นกับแม่ของบาส พลางคิดในใจว่าด้วยความรักอย่างมากมายของคนในครอบครัวนี้ที่มีต่อผม มันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผมต้องทิ้งความสุขแบบนี้ไป
ในช่วงเช้าวันนั้นผมกับแม่ของบาสก็ช่วยกันทำความสะอาดห้องทำงานของบาสจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นเราก็มีกิจกรรมต่างๆทำร่วมกันอีกมากมายจนเวลา 1 วันนั้นได้หมดลงไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งช่วงค่ำแม่ของบาสได้ขอตัวออกไปงานเลี้ยงแล้วแจ้งกับพวกเราว่าคงจะกลับมาช่วงดึกๆ ส่วนผมก็ได้เข้าไปส่งบาสในห้องนอน
“นี่...จนป่านนี้แล้วยังเดินมานอนเองไม่ได้เหรอ”
ผมแกล้งทำเป็นบ่นๆกับเขาหลังจากที่พาบาสเดินมานอนที่เตียงตามคำขอร้อง
“ก็บาสก็ไม่หายดีนี่”
“อย่าเว่อร์น่า ถึงจะยังไม่หายดี แต่แค่เดินมานอนแค่เนี้ย บาสทำเองก็ได้นี่”
“น่าช่วยบาสหน่อยไม่ได้หรือไง ยังไงบาสก็ไม่ได้ให้บีทำฟรีๆซะหน่อย”
“ทำไมเหรอ มีค่าจ้างให้ด้วยเหรอ”
ผมแกล้งทำเป็นดีอกดีใจ
“อย่างกไปหน่อยเลยน่ะ ไม่ใช่เงินหรอก แต่เป็นบันทึกฉบับนี้ไง”
พูดจบบาสก็ชูบันทึกฉบับหนึ่งขึ้นมา
“แค่นี้เองอ่ะ”
“นี่...บันทึกฉบับนี้มันไม่ธรรมดานะ”
“ไม่ธรรมดายังไง บีก็เห็นมันเหมือนๆกับฉบับอื่นๆแหละ”
“ไม่เหมือนหรอก เพราะบันทึกฉบับนี้จะเป็นฉบับสุดท้ายแล้ว”
“อะไรนะ ฉบับสุดท้ายแล้วเหรอ”
“ใช่สิ อยากได้ใช่ม๊า”
“อืม แต่เสียดายจังนะ กำลังติดเชียว”
“นี่ ให้ความสำคัญกับมันหน่อยได้มั้ย นี่มันเป็นบันทึกของบาสนะ ไม่ใช่นวนิยายสักหน่อย”
“ไม่ใช่ก็เกือบคล้ายแหละ เขียนซะเว่อร์เชียว แต่ยังไงก็ชอบใจนะ ไปละ”
พูดจบผมก็คว้าบันทึกในมือบาสแล้วรีบเดินออกไป แต่บาสกลับเรียกตัวผมไว้
“เดี๋ยวบี จะไปไหน”
“อ้าว ก็ไปนอนสิ”
“บาสยังพูดไม่จบเลย”
“อ้าว มีอะไรอีกล่ะ”
“บีอ่านบันทึกฉบับนี้ที่นี่นะ อ่านให้บาสฟังด้วย”
“ทำไมบีต้องอ่านให้บาสฟังด้วยล่ะ”
ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เถอะน่า บาสอยากฟัง เหมือนเล่านิทานก่อนนอนไง”
“ไม่เอาอ่ะ บีไม่อ่านหรอก”
ผมรีบปฏิเสธเพราะผมรู้ดีว่าที่ผ่านมาข้อความในบันทึกมักจะเรื่องราวที่ทำให้ผมต้องอ่านไป เขินไป อย่างเก็บอาการไม่อยู่แน่
“เถอะนะ บาสขอร้อง ขอแค่ครั้งเดียว อ่านให้บาสฟังด้วยนะ”
หลังคำขอของบาสผมก็ได้แต่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นแววตาอ้อนวอนอย่างจริงจังของบาสผมจึงยอมตอบตกลง
“ก็ได้ แค่อ่านใช่มั้ย”
“ใช่แค่อ่านก็พอ”
บาสรีบตอบกลับมาอย่างดีใจ
เมื่อตกลงใจแล้วว่าผมจะอ่านบันทึกฉบับนี้ให้บาสฟังด้วย ผมจึงเดินไปลากเก้าอี้จากโต๊ะเขียนหนังสือมานั่งลงข้างๆบาสแล้วก็ค่อยๆเปิดซองบันทึกขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อนบี”
อยู่ดีๆ บาสเขาก็ทักผมขึ้นมา
“อะไรอีกล่ะ”
ผมถามเขาถ้วยความรำคาญเพราะตอนนี้ใจผมก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
“บีรักบาสหรือเปล่า”
“อะไรนะ”
“บีรักบาสมั้ย”
“มาถามอะไรเอาตอนนี้เล่า....ไม่รู้สิ”
ผมแกล้งทำเป็นเฉไฉเพราะรู้สึกกระดากใจจริงๆที่จะตอบว่า...ผมรักเขา
“อืม ช่างเถอะ บีอ่านเถอะ บาสรอฟังอยู่”
“นี่ ตกลงจะเอาไงกันแน่ บีงงแล้วนะ”
“ไม่มีอะไรหรอก บาสแค่....ช่างเถอะ อ่านซะทีซิ บาสรอฟังอยู่นะ”
“ประสาทหรือเปล่าเนี้ย”
ผมอดบ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้กับพฤติกรรมผีเข้าผีออกของบาสแล้วก็เริ่มเปิดบันทึกออกมา
ในตอนนั้นเอง ก่อนที่ผมจะคลี่แผ่นกระดาษในมืออกมาจนหมด ผมก็เริ่มมีความคิดที่ว่าบางทีสิ่งที่อยู่ในมือผมตอนนี้อาจจะไม่ใช่บันทึก
มันอาจจะเป็นจดหมายรักที่เขาตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อผม แล้วก็ให้ผมเอามาอ่านให้เขาฟังอีกทีหนึ่ง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ผมก็พยายามเตือนสติตัวเองว่าผมต้องเก็บอาการเอาไว้ให้ดี ในขณะที่เริ่มคลี่กระดาษในมือออกมาอ่าน แต่แค่บรรทัดแรกผมก็รู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ใช่จดหมายรัก
“ 4 กันยายน 2541”
วันที่ 4 กันยายน 2541 บอกให้ผมรู้ว่าบันทึกฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนั้นผมคงกำลังเรียนชั้น ม. 3 และช่วงต้นเดือนกันยายนก็น่าจะเป็นช่วงที่พวกเรากำลังปิดเทอม 1
ในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มนึกขึ้นมาได้ว่าช่วงนั้นเอง เป็นช่วงที่ทีมและบาสกำลังเรียนพิเศษอยู่ที่กรุงเทพ !!!!
ความจริงที่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้นี้ทำให้ผมรีบก้มลงอ่านบันทึกในมือทันทีด้วยความรู้สึกบางอย่าง
------------------------------------
คืนนี้เป็นคืนที่ผมเขียนบันทึกฉบับนี้ด้วยความรู้สึกรังเกียจตัวเองเหลือเกิน เมื่อผมได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตไปเสียแล้ว
เมื่อคืนวานนี้ ผม ทีม และเพื่อนๆที่มาด้วยกันได้ตั้งวงกินเหล้าเพื่อเลี้ยงส่งตัวเองในคืนสุดท้ายที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันที่กรุงเทพ
ในวงเหล้าพวกเราได้พูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆมากมายระหว่างที่พวกเราได้มาเรียนกวดวิชากันที่นี่ ก่อนที่จะไปจบกันที่เรื่อง.. “ผู้หญิง”
ต่างคนต่างสารภาพออกมากลางวงเหล้าว่าใครได้แอบชอบเพื่อนผู้หญิงคนไหนในระหว่างเรียนกวดวิชาบ้าง
จนไอ้โจ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเราได้สารภาพว่ามันชอบ “เกรซ” เพื่อนโรงเรียนเดียวกันที่บังเอิญมาเรียนกวดวิชาในห้องเดียวกับพวกเราด้วย แต่มันก็ออกตัวว่ามันคงจีบเกรซไม่ติดเพราะเกรซเป็นผู้หญิงที่แทบจะเรียกได้ว่า “เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ” เนื่องจากเกรซเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวย และน่ารัก แถมยังมีคุณพ่อเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำจังหวัด ขณะที่แม่ก็เป็นอาจารย์โรงเรียนสตรีชื่อดัง
ในตอนนั้นเองที่ไอ้โจมันบอกว่าถ้ามันรูปหล่อและมีพ่อเป็นข้าราชการใหญ่ในจังหวัดอย่างไอ้ทีม มันก็คงจะจีบเกรซติดแน่ๆ มันจึงถามไอ้ทีมว่าไม่คิดจะจีบเกรซมาเป็นแฟนหรือ
หลังคำถามของไอ้โจ ทีมมันก็รีบปฏิเสธอย่างแข็งขันว่ามันมีบีอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่คิดจะจีบใครอีก
คำตอบของไอ้ทีมได้ทำให้เพื่อนๆพากันแปลกใจแล้วก็ถามมันไปตรงๆว่าคนรูปหล่ออย่างมันคิดจะมีเมียเป็นผู้ชายจริงๆเหรอ
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน่าเสียดายถ้ามันจะทำอย่างนั้นจริงๆ
แต่ไอ้ทีมกลับยืนกรานอย่างหนักแน่นว่ามันรักบีมาก และถ้าเป็นไปได้มันก็คงใช้ชีวิตร่วมกันกับบีในอนาคตไม่ว่าพ่อของมันจะว่ายังไง แถมยังคุยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า
.....ไม่มีใครจะทำลายความรักอันมั่นคงที่มันมีต่อบีได้
ในตอนนั้นเองที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความอิจฉา ความเมา หรือผีห่าซาตานตนใดเข้าสิง ผมจึงมีความคิดขึ้นมาว่า....
....ผมนี่แหละจะเป็นคนทำลายความรักอันมั่นคงนั้นด้วยตัวของผมเอง
ผมจึงแกล้งพูดใส่ร้ายบีกับมันว่าบีไม่คู่ควรกับมันหรอก เพราะลับหลังมันแล้ว บีก็ไม่เคยรักมันเลย โดยเฉพาะก่อนที่จะมากรุงเทพ ผมได้โกหกมันไปว่าเจซึ่งเป็นเพื่อนกะเทยของบีได้เคยมาเล่าให้ผมฟังว่าบีเคยเอามันไปนินทาในกลุ่มเพื่อนว่า...
…สมองหมาปัญญาควายอย่างมัน ไปเรียนกวดวิชาก็เท่านั้น โง่แล้วยังอวดฉลาด สงสารก็แต่พ่อแม่ที่ต้องเสียตังค์ให้กับคนโง่อย่างมันมาเรียนไกลถึงกรุงเทพ ก่อนที่จะทิ้งท้ายอย่างเจ็บแสบว่า
“อย่างนี้มันโง่กันทั้งบ้าน”
-------------------------------------------
หลังจากอ่านประโยคนี้จบลง ผมก็ได้แต่หยุดนิ่งไปด้วยความตกตะลึงเมื่อบันทึกที่ผมเพิ่งอ่านไปได้ทำให้ผมได้รับคำตอบว่า......
คนที่ผมเฝ้าตามหามาตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปี
คนที่ทำลายทั้งความรักและชีวิตของผมให้พังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีก็คือผู้ชายคนนี้
ผู้ชายที่ชื่อว่า....บาส
แล้วเขาเอาเรื่องนี้มาบอกผมทำไม
เขานำบันทึกฉบับนี้มาให้ผมอ่านทำไม...ในวันที่ผมได้มอบหัวใจให้กับเขาไปหมดแล้ว
ในตอนนั้นผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองบาสอย่างเจ็บปวดด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่กำลังนอนทอดสายตาขึ้นมองเพดานอย่างเลื่อนลอยเบื้องหน้าผมนั้นคือคนที่ทำลายความรักและเกือบจะทำลายชีวิตของผมด้วย
“หยุดอ่านทำไมล่ะ มันยังไม่จบเลยนี่”
บาสพูดขึ้นมาทั้งน้ำตาเมื่อเห็นผมเอาแต่นิ่งเงียบจ้องมองเขาอยู่พักใหญ่ ซึ่งคำพูดนึ้ได้ทำให้ผมไม่อยากจะเชื่อว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บาสยังมีกะใจให้ผมอ่านต่อไปอีกหรือ
ในบันทึกฉบับนี้มันยังมีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าสิ่งที่ผมได้อ่านผ่านตาไปแล้วอย่างนั้นหรือ
แม้ใจหนึ่งผมไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว แต่อีกใจผมก็อดไม่ได้ที่อยากจะรู้ว่าทำไมบาสถึงอยากให้ผมอ่านบันทึกนี้ต่อไป ผมจึงค่อยๆก้มลงอ่านต่อ
------------------------------------------------
……หลังคำพูดของผม แม้ทีมจะมีท่าทีลังเล แต่มันก็ยืนกรานว่ามันไม่เชื่อ
มันไม่เชื่อว่าบีจะพูดอย่างนั้น
ท่าทีเชื่อใจบีอย่างหนักแน่นของไอ้ทีมนี้ไม่ได้ทำให้ผมสงสัยเลย เพราะหากแค่คำพูดเพียงประโยคเดียวนี้จะสามารถสั่นคลอนความรักอันมั่นคงที่มันมีต่อบีได้ มันก็คงเป็นเรื่องที่แปลกมาก
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจโจมตีมันในจุดที่ผมรู้ดีว่าเป็นสิ่งที่มันอ่อนไหวมากที่สุด นั่นก็คือเรื่องของการ “นอกใจ”
ผมจึงได้บอกกับมันไปว่าผมกับบีได้แอบมีอะไรกันแล้ว
ผมย้ำกับมันว่า...“เรากำลังมีเมียคนเดียวกัน”
ดูเหมือนผมจะโจมตีจุดอ่อนของมันได้ผลเพราะทันทีที่ผมพูดจบ ไอ้ทีมก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่มันก็ยังปากแข็งว่ามันไม่เชื่อ
แม้มันจะยืนกรานอย่างนั้นแต่ผมก็รู้ดีว่าจิตใจของมันตอนนี้คงกำลังสับสนเป็นอย่างมากเพราะที่ผ่านมาผมได้แสดงบทบาทว่าเป็นคนที่สนับสนุนความรักของมันกับบีมาโดยตลอด
ดังนั้นคำพูดของเพื่อนสนิทที่หวังดีกับมันเสมอมาอย่างผมจึงย่อมทำให้มันหวั่นไหวได้แน่
ไอ้ทีมมันทำท่าจะลุกขึ้นแล้วบอกว่ามันจะไปโทรศัพท์หาบีเพื่อถามเรื่องนี้ให้กระจ่าง แต่ในตอนนั้นเองที่ไอ้ม่อน เพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มของเราได้พูดออกมาว่า
“มึงไม่ต้องไปหรอก เรื่องทั้งหมดที่ไอ้บาสพูด มันเป็นเรื่องจริง”
ในตอนนั้นทั้งผมและทีมต่างหันไปมองไอ้ม่อนเป็นตาเดียว โดยเฉพาะผมซึ่งกำลังประหลาดใจมากที่ไอ้ม่อนมันพูดออกมาอย่างนั้น ในเมื่อผมกับมันไม่เคยนัดแนะเรื่องนี้กันมาก่อน
แต่แล้วผมก็ได้ความกระจ่างเมื่อไอ้ม่อนมันเล่าว่าในคืนที่พวกเราเลี้ยงส่งตัวเองมาเรียนพิเศษที่กรุงเทพนั้น มันได้ขับรถจักรยานยนต์ตามผมกับบีมาโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยเนื่องจากบ้านของมันอยู่ในเส้นทางนั้นเหมือนกัน
มันบอกว่าเมื่อมันเห็นผมพาบีเลี้ยวเข้าไปในสวนสาธารณะ ด้วยความสงสัย มันจึงแอบเลี้ยวตามพวกเราเข้าไปด้วยจนไปเห็นว่าผมกับบีกำลังยืนกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม ก่อนที่จะพากันขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปซึ่งมันเดาว่าพวกเราคงไปมีอะไรกันต่อที่บ้านของผม
มันสารภาพว่าจริงๆแล้วมันอยากจะบอกเรื่องนี้กับไอ้ทีมมาตั้งนานแล้ว แต่เพราะมันเห็นผมกับไอ้ทีมเป็นเพื่อนสนิทกัน มันจึงไม่อยากให้พวกเราต้องผิดใจกันเพราะเรื่องแค่นี้
ในตอนนั้นคำบอกเล่าของมันทำให้ผมถึงกับหน้าซีดเพราะมันเป็นเรื่องเล่าที่เกินจริงไปอย่างมาก
ผมเชื่อว่าด้วยความมืดในสวนสาธารณะ และระยะห่างที่มันใช้แอบดูผมกับบีย่อมทำให้มันไม่มีทางเห็นว่าจริงๆแล้วผมกับบีกำลังทำอะไรกัน ดังนั้นสิ่งที่มันเล่าจึงเป็นเพียงแค่การคาดเดาจากภาพที่มันเห็นลางๆในความมืดเท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของคนที่ไม่มีส่วนได้ ส่วนเสียอย่างมันจะมีน้ำหนักเป็นอย่างมากเพราะก่อนที่ผมจะทันตั้งตัว ไอ้ทีมก็กระโจนเข้ามาต่อยผมอย่างเต็มแรงพร้อมๆกับสารพัดคำด่าที่มันจะสรรหามาได้
ส่วนตัวผมเองด้วยความเมาและความโกรธที่มันเป็นคนที่แย่งบีไปจากผม ผมจึงต่อยโต้ตอบมันไปเหมือนกัน ขณะที่ปากก็ได้แต่พร่ำด่าว่าคนอย่างมันไม่คู่ควรกับบีเลยสักนิด
พวกเราต่างตะลุมบอนเข้าใส่กันจนเพื่อนๆ มาช่วยกันแยกพวกเราออกจากกันได้ในที่สุด
ในตอนนั้นไอ้ทีมได้มองผมด้วยสายตาเคียดแค้นไปพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลลงมานองหน้า ก่อนที่จะพูดกับผมด้วยความเจ็บปวดว่า
“ไอ้เฮี้ย กูอุตส่าห์รักมึง กูอุตส่าห์เชื่อใจมึง แล้วมึงทำอย่างนี้ได้ไง มึงทรยศเพื่อนอย่างกูได้ยังไง"
พูดจบไอ้ทีมก็วิ่งออกไปข้างนอกแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยตลอดทั้งคืน
ส่วนผมเมื่อได้สติ ผมก็รู้ตัวว่าได้ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตไปแล้ว ในคืนนั้นผมจึงได้แต่รอไอ้ทีมมันตลอดทั้งคืนเพื่อต้องการจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่ตัวเองได้ทำไว้
จนกระทั่งในตอนเช้าไอ้ทีมก็กลับมาที่ห้องด้วยดวงตาที่บวมช้ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาตลอดทั้งคืน
ภาพของไอ้ทีมในตอนนั้นทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่า....นี่ไม่ใช่ทีมคนเดิมที่ผมรู้จักอีกต่อไปแล้ว
เพราะทีมคนนี้มีแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง และความแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอก แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว ผมจึงพยายามเข้าไปอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกับมัน
ผมยอมรับว่าผมไม่สนใจหรอกว่าไอ้ทีมมันจะโกรธหรือเกลียดผมหรือไม่ แต่คนๆเดียวที่ผมเป็นห่วงก็คือบี
บีซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย
ผมจึงพยายามขอร้องมัน ขอร้องให้มันเชื่อว่าบีไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหรือไอ้ม่อนมันพูด
แต่ในตอนนั้นผมไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ายิ่งผมพยายามแก้ตัวให้บีเท่าไหร่ มันก็เหมือนผมยิ่งพยายามปกป้องบีเท่านั้น จนไอ้ทีมมันอดถามผมไม่ได้ว่า
“มึงรักบีใช่มั้ย”
หลังคำถามของมัน ผมก็ได้แต่คิดว่าเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงป่วยการที่ผมจะโกหกมันต่อไป ผมจึงสารภาพไปตามตรงว่า...ใช่ ผมรักบี ผมรักบีมาตั้งแต่เมื่อแรกเห็น ผมรักบีมาก่อนมันด้วยซ้ำ
หลังคำตอบของผม ไอ้ทีมค่อยๆ หลับตาลงอย่างปวดร้าวแล้วก็เดินหนีผมไป
ผมจึงพยายามไปฉุดรั้งมันไว้แล้วก็พยายามเตือนสติให้มันเห็นแก่บี
ผมรู้ดีว่ามันยังรักบีอยู่ ถึงมันจะโกรธ ถึงมันจะเข้าใจผิด แต่ผมก็รู้ดีว่ามันยังรักบีอยู่แน่ๆ
ผมจึงพยายามย้ำให้มันรู้ใจตัวเองด้วยการถามมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า....มันจะเลิกกับบีจริงๆเหรอ มันไม่รัก ไม่แคร์บีแล้วเหรอ
ในตอนนั้นเองที่ไอ้ทีมค่อยๆหันกลับมามองผมด้วยสายตาเย็นชา แล้วก็พูดกับผมว่า
“กูจะต้องไปแคร์ทำไม กะอีแค่....กะหรี่ใจแตกตัวนึง”
------------------------------