[novel] ขอให้รักเรานั้น...นิรันดร ครับ by นัทนที
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [novel] ขอให้รักเรานั้น...นิรันดร ครับ by นัทนที  (อ่าน 274149 ครั้ง)

rarmz

  • บุคคลทั่วไป
ถึงพี่บลูฯ : อ่า ที่จิงก้อม่ะอยากรอไห้ถึงหน้าหนาวหรอกคับ แต่ถ้าเปนหน้าหนาว จะได้กอดไห้แน่นๆไง ฮี่ๆๆๆ  :kikkik:


และแล้ว...



สมาชิก Bass FC. ก้อสมหวัง

บีจูจุ๊บบาสแว้วววววววววววววววววววว (เฮ้~~~) :laugh: :laugh: :laugh: :interest: :interest: :interest: :impress2: :impress2: :impress2:


แต่แค่จุจุ๊บก้อม่ะได้หมายความว่าบีจะเปิดใจไห้บาสทั้งหมดนี่



ว๊า~ อย่างงี้ก้อต้องลุ้นอีกแล้วล่ะซิ เซ็งเป็ด!!! :seng2ped:



สงสารบาสมากๆเลยคับ เหนบีทุกคั้ง แต่ทุกคั้งก้อเปนแค่"ด้านหลัง" (เหมือนชีวิตผมยังงัยก้อไม่รุ เห้อออออ) :sad5: :sad5: :sad5:




รอพี่บลูฯมาโพสต๋ต่อน๊ะก๊าบบบบบบบบบบบบบ :-[






น้องเริมเอง ฮี่ๆๆๆๆ  :yeb:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
“บาสพยายามแล้วบี แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงบาสก็นึกหน้าบีไม่ออก บาสไม่รู้ว่าดวงตาของบีเป็นยังไง จมูกของบีโด่งแค่ไหน หรือปากของบีมีลักษณะยังไง บาสนึกไม่ออกจริงๆ มีแต่ด้านหลังของบีที่บาสจำมันได้แทบจะทุกรายละเอียด ขอโทษนะบี บาสเคยบอกตัวเองว่าจะวาดรูปบีที่สวยที่สุด แต่บาสก็ทำได้แค่นี้ ทำได้แค่นี้จริงๆ”

ในที่สุดบาสก็ได้ทำตามสัญญาที่หั้ยไว้กับตัวเอง....เพื่อจะได้วาดรูปบี

................ถึงแม้จะเป็นแค่ข้างหลังก็ตาม.....................................

นับถือจิตใจผู้ชายคนนี้ที่ชื่อบาสจังเลย....................... :impress:




luvdisc

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้ 5 ดาวตามที่นายเรย์พูดไว้จริง ๆ ครับ
แรก ๆ เกลียดบีมาก ๆ เลยบอกตามตรง แต่พอ
จะจบภาคแรก และอ่านภาค 2 มาได้นิดนึง ก็
สงสารบี จับใจเลยครับ

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
 ผมคงจะตอบเพื่อนๆไม่ค่อยไหวแล้วนะครับ
เพราะตอนนี้งานยุ่งมากๆ
แต่ผมก็อ่านและขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะครับ

และแล้วก็มาถึงตอนที่ทุกคนรอคอย
 :monkeysad:
*****************************************************************************************************************
กุมภาพันธ์ ของปีเตอร์ คอป
[wma=300,50]http://f1.podcast.blog.webs-tv.net/upload2/new/e/e/a/eead8016b7c106b9153ec8acc1bbecfb.mp3[/wma]
*************************************************************

.............ขอให้รักเรานั้น....นิรันดร ภาค 2….....( 16 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
---------------------------------------

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมเคยคิดอยู่เสมอว่าในชีวิตนี้ผมคงไม่อาจรักใครได้อีก ชีวิตของผมคงถูกพันธนาการไว้ด้วยความรักที่มีต่อทีมอย่างไม่มีวันหลุดพ้น

แต่แล้ววันนี้ผมก็ได้พบกับคนที่สามารถเอาชนะกำแพงอันแน่นหนาที่ผมสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองจากความรักที่เจ็บปวดได้ ซึ่งผมก็เองไม่อยากจะเชื่อว่าคนๆนั้นจะเป็น......บาส

ในตอนนี้ผมไม่มีความสงสัยหรือลังเลใจแม้แต่น้อยว่าทำไมผมถึงต้องมอบหัวใจให้กับผู้ชายคนนี้ ในเมื่อบาสได้ทำสิ่งต่างๆมากมายที่ทำให้ผมได้รู้ว่าความรักอันบริสุทธิ์และทุ่มเทที่เขามีให้ผมนั้นเป็นความรักที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยจริงๆ

ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่าผู้ชายอย่างบาสนี่ล่ะย่อมไม่มีวันทำให้ผมเจ็บปวด

ขณะนั้นเองที่ผมและบาสต่างกำลังยืนจูบกันด้วยความนุ่มละมุน เสียงแม่ของบาสที่กำลังบ่นอะไรทำนองว่าลูกค้าเรื่องมากที่ใกล้เข้ามา ได้ทำให้ผมกับบาสผละออกจากกันในทันที และเมื่อแม่ของบาสเข้ามาถึงห้อง ท่านก็ทักบาสอย่างแปลกใจว่า

“อ้าว แกยังไม่ได้หลับอยู่เหรอ”

ในตอนนั้นเอง ทันทีที่ได้ยินแม่ถามออกมาอย่างนั้น บาสก็แกล้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นหงุดหงิดแล้วเริ่มโวยวายขึ้นมาทันที

“แม่...บาสบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามายุ่งกับห้องทำงานของบาส นี่จะฉวยโอกาสตอนที่บาสนอนหลับเหรอ”

“ก็แหม แกเล่นปิดตายห้องนี้มาเป็นเดือน แม่ก็กลัวว่ามันจะกลายเป็นรังหนูเสียก่อน แม่ก็เลยรีบเข้ามาทำความสะอาด ทำไมเหรอ ห้องนี้มันมีอะไรกันนักกันหนาถึงได้หวงมันนัก”

ในตอนนั้นผมเห็นบาสแอบหันไปมองภาพวาดตัวผมที่ติดไว้ทั่วห้องนิดนึงก่อนจะตอบแม่เขากลับไปว่า

“มันก็ไม่มีอะไรหรอกแต่บาสไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามในห้องทำงานของบาส”

“นี่ ยังไงชั้นก็เป็นเจ้าของบ้านนี้อยู่นะย่ะ ชั้นจะทำอะไรกับห้องไหนก็ได้ แล้วห้องนี้ชั้นก็เข้ามาทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ แกอย่ามาเรื่องมากเลย รีบไปนอนเถอะ เดี๋ยวแม่กับบีจัดการเอง”

“อ้อ เรื่องนี้ด้วย ทำไมแม่ต้องใช้บีมาทำงานนี้ด้วย เขาไม่ใช่คนใช้นะ”

“แหม ไอ้ลูกคนนี้ ทีแม่ทำงานหลังขดหลังแข็งไม่เห็นจะเป็นห่วงอย่างนี้บ้างเลย ทีบีเขาต้องทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็รีบโวยวายแทนเชียวนะ”

หลังคำพูดของแม่ของบาส เขาก็เริ่มหน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เฉไฉทำเป็นพูดออกมาว่า
“ก็เขาเป็นแขกนี่ บาสไม่อยากเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ดี”

“ไม่เป็นไรหรอกบาส บีอาสาแม่เขาทำเองแหละ บีอยากช่วย”

ผมรีบออกตัวเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้อาจจะบานปลายกลายเป็นศึกสายเลือดได้

“เห็นมั้ยล่ะ แม่ไม่ได้ใช้เขาเสียหน่อย แกน่ะไปได้แล้วเกะกะ”

“ไปเถอะบาส เดี๋ยวบีกับคุณแม่ช่วยกันทำเอง”

ผมช่วยแม่บาสพูดอีกแรง

“ก็ได้ งั้นบาสไปนอนก่อนนะ แต่ไม่ต้องทำเยอะหรอก เดี๋ยวเหนื่อยเสียปล่าวๆ ไปนะ”

พูดจบบาสก็เดินกระโผลกกะเผลกหันหลังกลับไปนอนที่ห้อง

“ดูสิบี ทีแม่พูดจนปากเปียกปากแฉะ มันยังไม่ยอมไป ทีบีพูดประโยคเดียว มันก็เดินไปตามคำสั่งแล้ว เฮ้อ ไอ้ลูกคนนี้”

หลังคำพูดนั้นผมก็ได้แต่ยิ้มเขินๆให้แม่ของบาสเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไปได้ แต่ในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มนึกขึ้นได้ว่าถ้าแม่ของบาสเคยเข้ามาทำสะอาดห้องนี้หลายครั้งแล้ว ท่านก็ย่อมเคยเห็นภาพวาดทั้งหมดนี้มาก่อนแล้ว

แล้วท่านจะรู้หรือไม่ว่า...นั่นคือภาพวาดของผม

“เอ่อ คุณป้า เอ๊ย คุณแม่เคยเข้ามาห้องนี้บ่อยเหรอคับ”

ผมตัดสินใจแอบถามอ้อมๆ เผื่อท่านจะเผลอพูดอะไรออกมาบ้าง

“ใช่จ๊ะ ทำไมเหรอ”

“คือ...แล้วคุณแม่เห็น.....เอ่อ...”

“รูปพวกนี้น่ะเหรอ”

แม่ของบาสตอบผมมาอย่างรู้ทัน

“คะ..คับ”

“เห็นสิ เห็นมานานมากแล้วล่ะ ตอนแรกๆแม่ก็สงสัย แม่เคยคิดว่ามันอาจจะเป็นแนวศิลปะแบบใหม่ที่บาสเขาชอบ แต่ยิ่งดูรูปพวกนี้ทีไร แม่ก็ยิ่งคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ โดยเฉพาะเมื่อคนที่อยู่ในรูปพวกนี้เป็นคนๆเดียวกันทั้งหมด แม่ก็เลยเดาว่ารูปพวกนี้คงมีความพิเศษกับบาสกว่านั้น มีหลายครั้งเลยล่ะที่แม่แอบเห็นบาสเขามายืนมองรูปพวกนี้ครั้งละนานๆ เหมือนกำลังคิดถึงใครสักคน จนกระทั่ง....”

“จนกระทั่งอะไรเหรอคับ”

“จนกระทั่งแม่ได้พบกับบีที่ศิริราชวันนั้น ถึงบีจะโตขึ้นมาก แต่แค่เห็นบีแวบแรก โดยเฉพาะได้เห็นปฏิกิริยาของบาส แม่ก็รู้ได้ในทันทีว่าคนในรูปพวกนี้คงเป็นบีแน่นอนที่สุด แม่ก็เลยตัดสินใจยกเลิกนางพยาบาลที่แม่จ้างเขาไว้ แล้วก็ขอให้บีมาดูแลบาสแทนไงจ๊ะ”

“อะไรนะครับ แม่จ้างพยาบาลดูแลบาสไว้แล้วเหรอ”

“ใช่สิจ๊ะ อย่าลืมสิว่าแม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศคืนนั้นนะ แม่คงไม่ใจร้ายขนาดไม่หาใครไว้ให้มาดูแลลูกชายคนเดียวของตัวเองหรอก”

คำตอบนี้ได้ทำให้ผมถึงกับตกตะลึงเมื่อรู้ว่าการที่ผมได้มาอยู่ใกล้ชิดกับบาสเกือบเดือนนี้เป็นความตั้งใจของแม่ของบาสมาตั้งแต่ต้นแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเอะใจถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา

“งั้นเรื่องที่คุณแม่อยากจะเข้ามาทำความสะอาดห้องนี้ ????”

“อ๋อ มิน่าล่ะ บาสเขาถึงเคยเล่าว่าบีน่ะฉลาด ใช่จ๊ะ แม่ตั้งใจ แม่รู้จักลูกของแม่ดีว่าเขาไม่มีวันพาบีเข้ามาในห้องนี้ แต่แม่กลับคิดว่าห้องนี้เป็นห้องที่บีควรจะเข้ามาดูมากที่สุดของบ้าน บีจะได้รู้ว่าเขารักบีมากแค่ไหน”

“คุณแม่ !!!”

ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจและสงสัยที่ท่านพูดคำว่า “เขารักบีมากแค่ไหน” ออกมาราวกับมันเป็นความรักปกติธรรมดาของหนุ่มสาว แต่แม่ของบาสเขาก็ย้ำให้ผมได้ยินชัดๆอีกครั้งว่า

“ใช่จ๊ะ แม่รู้ว่าบาสเขารักบี”

หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ายิ่งคุยกับผู้หญิงคนนี้ ผมก็ยิ่งทำตัวลำบากมากขึ้นทุกทีเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่มีความคิดแตกต่างกับแม่คนๆอื่นอย่างสิ้นเชิงที่สามารถพูดเรื่องที่ลูกชายของตัวเองตกหลุมรักผู้ชายด้วยกันออกมาอย่างหน้าตาเฉย

“แล้วคุณแม่ไม่รู้สึกอะไรเหรอที่บาสเค้าเป็น.......เกย์”

“อืม แรกๆแม่ก็ตกใจเหมือนกันนะ แต่มาคิดอีกที มันก็ไม่เห็นแปลก ไม่ว่าลูกของแม่จะเป็นอะไร แม่ก็แค่อยากเห็นเขาเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข เพราะจริงๆแล้วแม่เองก็ผิดที่ไม่เคยมีเวลาให้เขาเลย ตั้งแต่พ่อเขาตายจากไป แม่ก็ต้องเอาแต่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวจนไม่มีเวลาไปสนใจบาสเลย ทั้งๆที่แม่รู้มาตลอดว่าบาสเขาทั้งเหงา ทั้งว้าเหว่ แต่ถ้าแม่ไม่ทำอย่างนั้น ลำพังแม่คนเดียวก็คงจะพาครอบครัวไม่รอด”

“แต่ฐานะของคุณแม่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนี่ครับ”

ผมรีบถามด้วยความสงสัยเพราะคนที่มีบ้านและทรัพย์สมบัติอย่างที่ผมเห็นในบ้านหลังนี้ก็คงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีความเป็นอยู่อัตคัต

“นั่นมันภาพที่บีเห็นในวันนี้จ๊ะ บาสเขาคงไม่เคยเล่าให้บีฟังล่ะสิ ว่าตอนแรกเราลำบากกันมาก เพราะจริงๆแล้วพ่อของบาสเขาพาแม่หนีตั้งแต่สมัยสาวๆ แม่ก็เลยโดนตัดขาดจากครอบครัวมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วหลังจากนั้นแม่ก็ต้องติดสอยห้อยตามพ่อของบาสซึ่งเป็นตำรวจไปจังหวัดนั้นที จังหวัดนี้ที แต่บีรู้มั้ยลูก ตอนนั้นถึงครอบครัวเราจะลำบากมาก แต่แม่ก็มีความสุขที่สุดเลย เพราะแม่ได้อยู่กับคนที่แม่รักและเขาก็รักแม่ น่าเสียดายที่พ่อของบาสเขาอายุสั้น ไม่งั้นเราคงจะเป็นครอบครัวที่มีความสุขมากกว่านี้ แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้แม่บอกกับตัวเองเสมอว่าแม่จะไม่มีวันขัดขวางความสุขของลูก ไม่ว่าความสุขนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม”

“บาสเขาโชคดีมากเลยคับที่มีแม่อย่างนี้”

“ไม่จริงหรอกจ๊ะ แม่ที่วันๆ เอาแต่บ้างานจนไม่มีเวลาดูแลลูกอย่างแม่คงรับคำชมนั้นไว้ไม่ได้ แม่ว่าบาสเขาโชคดีมากกว่าที่มารักคนแบบลูกบี”

“ไม่จริงหรอกคับ จริงๆแล้วบีเป็นคนที่แย่มากๆ”

“อย่าถ่อมตัวไปเลยน่า บาสเขาไม่ตาถั่วหรอกแม่เชื่อ แล้วแม่เองก็ดูคนไม่ผิดด้วย เอ่อ แต่บีจ๊ะ แม่ขออะไรอย่างนึงได้มั้ย”

“อะไรเหรอคับ”

“อย่าทิ้งบาสนะลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อย่าทิ้งเขานะ”

หลังคำขอนี้ผมก็ได้แต่พยักหน้าเป็นการยืนยันอย่างหนักแน่นกับแม่ของบาส พลางคิดในใจว่าด้วยความรักอย่างมากมายของคนในครอบครัวนี้ที่มีต่อผม มันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผมต้องทิ้งความสุขแบบนี้ไป

ในช่วงเช้าวันนั้นผมกับแม่ของบาสก็ช่วยกันทำความสะอาดห้องทำงานของบาสจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นเราก็มีกิจกรรมต่างๆทำร่วมกันอีกมากมายจนเวลา 1 วันนั้นได้หมดลงไปอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งช่วงค่ำแม่ของบาสได้ขอตัวออกไปงานเลี้ยงแล้วแจ้งกับพวกเราว่าคงจะกลับมาช่วงดึกๆ ส่วนผมก็ได้เข้าไปส่งบาสในห้องนอน

“นี่...จนป่านนี้แล้วยังเดินมานอนเองไม่ได้เหรอ”

ผมแกล้งทำเป็นบ่นๆกับเขาหลังจากที่พาบาสเดินมานอนที่เตียงตามคำขอร้อง

“ก็บาสก็ไม่หายดีนี่”

“อย่าเว่อร์น่า ถึงจะยังไม่หายดี แต่แค่เดินมานอนแค่เนี้ย บาสทำเองก็ได้นี่”

“น่าช่วยบาสหน่อยไม่ได้หรือไง ยังไงบาสก็ไม่ได้ให้บีทำฟรีๆซะหน่อย”

“ทำไมเหรอ มีค่าจ้างให้ด้วยเหรอ”

ผมแกล้งทำเป็นดีอกดีใจ

“อย่างกไปหน่อยเลยน่ะ ไม่ใช่เงินหรอก แต่เป็นบันทึกฉบับนี้ไง”

พูดจบบาสก็ชูบันทึกฉบับหนึ่งขึ้นมา

“แค่นี้เองอ่ะ”

“นี่...บันทึกฉบับนี้มันไม่ธรรมดานะ”

“ไม่ธรรมดายังไง บีก็เห็นมันเหมือนๆกับฉบับอื่นๆแหละ”

“ไม่เหมือนหรอก เพราะบันทึกฉบับนี้จะเป็นฉบับสุดท้ายแล้ว”

“อะไรนะ ฉบับสุดท้ายแล้วเหรอ”

“ใช่สิ อยากได้ใช่ม๊า”

“อืม แต่เสียดายจังนะ กำลังติดเชียว”

“นี่ ให้ความสำคัญกับมันหน่อยได้มั้ย นี่มันเป็นบันทึกของบาสนะ ไม่ใช่นวนิยายสักหน่อย”

“ไม่ใช่ก็เกือบคล้ายแหละ เขียนซะเว่อร์เชียว แต่ยังไงก็ชอบใจนะ ไปละ”

พูดจบผมก็คว้าบันทึกในมือบาสแล้วรีบเดินออกไป แต่บาสกลับเรียกตัวผมไว้

“เดี๋ยวบี จะไปไหน”

“อ้าว ก็ไปนอนสิ”

“บาสยังพูดไม่จบเลย”

“อ้าว มีอะไรอีกล่ะ”

“บีอ่านบันทึกฉบับนี้ที่นี่นะ อ่านให้บาสฟังด้วย”

“ทำไมบีต้องอ่านให้บาสฟังด้วยล่ะ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“เถอะน่า บาสอยากฟัง เหมือนเล่านิทานก่อนนอนไง”

“ไม่เอาอ่ะ บีไม่อ่านหรอก”

ผมรีบปฏิเสธเพราะผมรู้ดีว่าที่ผ่านมาข้อความในบันทึกมักจะเรื่องราวที่ทำให้ผมต้องอ่านไป เขินไป อย่างเก็บอาการไม่อยู่แน่

“เถอะนะ บาสขอร้อง ขอแค่ครั้งเดียว อ่านให้บาสฟังด้วยนะ”

หลังคำขอของบาสผมก็ได้แต่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นแววตาอ้อนวอนอย่างจริงจังของบาสผมจึงยอมตอบตกลง

“ก็ได้ แค่อ่านใช่มั้ย”

“ใช่แค่อ่านก็พอ”

บาสรีบตอบกลับมาอย่างดีใจ

เมื่อตกลงใจแล้วว่าผมจะอ่านบันทึกฉบับนี้ให้บาสฟังด้วย ผมจึงเดินไปลากเก้าอี้จากโต๊ะเขียนหนังสือมานั่งลงข้างๆบาสแล้วก็ค่อยๆเปิดซองบันทึกขึ้นมา

“เดี๋ยวก่อนบี”

อยู่ดีๆ บาสเขาก็ทักผมขึ้นมา

“อะไรอีกล่ะ”

ผมถามเขาถ้วยความรำคาญเพราะตอนนี้ใจผมก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

“บีรักบาสหรือเปล่า”

“อะไรนะ”

“บีรักบาสมั้ย”

“มาถามอะไรเอาตอนนี้เล่า....ไม่รู้สิ”

ผมแกล้งทำเป็นเฉไฉเพราะรู้สึกกระดากใจจริงๆที่จะตอบว่า...ผมรักเขา

“อืม ช่างเถอะ บีอ่านเถอะ บาสรอฟังอยู่”

“นี่ ตกลงจะเอาไงกันแน่ บีงงแล้วนะ”

“ไม่มีอะไรหรอก บาสแค่....ช่างเถอะ อ่านซะทีซิ บาสรอฟังอยู่นะ”

“ประสาทหรือเปล่าเนี้ย”

ผมอดบ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้กับพฤติกรรมผีเข้าผีออกของบาสแล้วก็เริ่มเปิดบันทึกออกมา

ในตอนนั้นเอง ก่อนที่ผมจะคลี่แผ่นกระดาษในมืออกมาจนหมด ผมก็เริ่มมีความคิดที่ว่าบางทีสิ่งที่อยู่ในมือผมตอนนี้อาจจะไม่ใช่บันทึก

มันอาจจะเป็นจดหมายรักที่เขาตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อผม แล้วก็ให้ผมเอามาอ่านให้เขาฟังอีกทีหนึ่ง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ผมก็พยายามเตือนสติตัวเองว่าผมต้องเก็บอาการเอาไว้ให้ดี ในขณะที่เริ่มคลี่กระดาษในมือออกมาอ่าน แต่แค่บรรทัดแรกผมก็รู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ใช่จดหมายรัก

“ 4 กันยายน 2541”

วันที่ 4 กันยายน 2541 บอกให้ผมรู้ว่าบันทึกฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนั้นผมคงกำลังเรียนชั้น ม. 3 และช่วงต้นเดือนกันยายนก็น่าจะเป็นช่วงที่พวกเรากำลังปิดเทอม 1

ในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มนึกขึ้นมาได้ว่าช่วงนั้นเอง เป็นช่วงที่ทีมและบาสกำลังเรียนพิเศษอยู่ที่กรุงเทพ !!!!

ความจริงที่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้นี้ทำให้ผมรีบก้มลงอ่านบันทึกในมือทันทีด้วยความรู้สึกบางอย่าง

------------------------------------

คืนนี้เป็นคืนที่ผมเขียนบันทึกฉบับนี้ด้วยความรู้สึกรังเกียจตัวเองเหลือเกิน เมื่อผมได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตไปเสียแล้ว

เมื่อคืนวานนี้ ผม ทีม และเพื่อนๆที่มาด้วยกันได้ตั้งวงกินเหล้าเพื่อเลี้ยงส่งตัวเองในคืนสุดท้ายที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันที่กรุงเทพ

ในวงเหล้าพวกเราได้พูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆมากมายระหว่างที่พวกเราได้มาเรียนกวดวิชากันที่นี่ ก่อนที่จะไปจบกันที่เรื่อง.. “ผู้หญิง”

ต่างคนต่างสารภาพออกมากลางวงเหล้าว่าใครได้แอบชอบเพื่อนผู้หญิงคนไหนในระหว่างเรียนกวดวิชาบ้าง

จนไอ้โจ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเราได้สารภาพว่ามันชอบ “เกรซ” เพื่อนโรงเรียนเดียวกันที่บังเอิญมาเรียนกวดวิชาในห้องเดียวกับพวกเราด้วย แต่มันก็ออกตัวว่ามันคงจีบเกรซไม่ติดเพราะเกรซเป็นผู้หญิงที่แทบจะเรียกได้ว่า “เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ” เนื่องจากเกรซเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวย และน่ารัก แถมยังมีคุณพ่อเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำจังหวัด ขณะที่แม่ก็เป็นอาจารย์โรงเรียนสตรีชื่อดัง

ในตอนนั้นเองที่ไอ้โจมันบอกว่าถ้ามันรูปหล่อและมีพ่อเป็นข้าราชการใหญ่ในจังหวัดอย่างไอ้ทีม มันก็คงจะจีบเกรซติดแน่ๆ มันจึงถามไอ้ทีมว่าไม่คิดจะจีบเกรซมาเป็นแฟนหรือ

หลังคำถามของไอ้โจ ทีมมันก็รีบปฏิเสธอย่างแข็งขันว่ามันมีบีอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่คิดจะจีบใครอีก

คำตอบของไอ้ทีมได้ทำให้เพื่อนๆพากันแปลกใจแล้วก็ถามมันไปตรงๆว่าคนรูปหล่ออย่างมันคิดจะมีเมียเป็นผู้ชายจริงๆเหรอ

ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน่าเสียดายถ้ามันจะทำอย่างนั้นจริงๆ

แต่ไอ้ทีมกลับยืนกรานอย่างหนักแน่นว่ามันรักบีมาก และถ้าเป็นไปได้มันก็คงใช้ชีวิตร่วมกันกับบีในอนาคตไม่ว่าพ่อของมันจะว่ายังไง แถมยังคุยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

.....ไม่มีใครจะทำลายความรักอันมั่นคงที่มันมีต่อบีได้

ในตอนนั้นเองที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความอิจฉา ความเมา หรือผีห่าซาตานตนใดเข้าสิง ผมจึงมีความคิดขึ้นมาว่า....

....ผมนี่แหละจะเป็นคนทำลายความรักอันมั่นคงนั้นด้วยตัวของผมเอง

ผมจึงแกล้งพูดใส่ร้ายบีกับมันว่าบีไม่คู่ควรกับมันหรอก เพราะลับหลังมันแล้ว บีก็ไม่เคยรักมันเลย โดยเฉพาะก่อนที่จะมากรุงเทพ ผมได้โกหกมันไปว่าเจซึ่งเป็นเพื่อนกะเทยของบีได้เคยมาเล่าให้ผมฟังว่าบีเคยเอามันไปนินทาในกลุ่มเพื่อนว่า...

…สมองหมาปัญญาควายอย่างมัน ไปเรียนกวดวิชาก็เท่านั้น โง่แล้วยังอวดฉลาด สงสารก็แต่พ่อแม่ที่ต้องเสียตังค์ให้กับคนโง่อย่างมันมาเรียนไกลถึงกรุงเทพ ก่อนที่จะทิ้งท้ายอย่างเจ็บแสบว่า

“อย่างนี้มันโง่กันทั้งบ้าน”

-------------------------------------------

หลังจากอ่านประโยคนี้จบลง ผมก็ได้แต่หยุดนิ่งไปด้วยความตกตะลึงเมื่อบันทึกที่ผมเพิ่งอ่านไปได้ทำให้ผมได้รับคำตอบว่า......

คนที่ผมเฝ้าตามหามาตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปี

คนที่ทำลายทั้งความรักและชีวิตของผมให้พังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีก็คือผู้ชายคนนี้

ผู้ชายที่ชื่อว่า....บาส

แล้วเขาเอาเรื่องนี้มาบอกผมทำไม

เขานำบันทึกฉบับนี้มาให้ผมอ่านทำไม...ในวันที่ผมได้มอบหัวใจให้กับเขาไปหมดแล้ว

ในตอนนั้นผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองบาสอย่างเจ็บปวดด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่กำลังนอนทอดสายตาขึ้นมองเพดานอย่างเลื่อนลอยเบื้องหน้าผมนั้นคือคนที่ทำลายความรักและเกือบจะทำลายชีวิตของผมด้วย

“หยุดอ่านทำไมล่ะ มันยังไม่จบเลยนี่”

บาสพูดขึ้นมาทั้งน้ำตาเมื่อเห็นผมเอาแต่นิ่งเงียบจ้องมองเขาอยู่พักใหญ่ ซึ่งคำพูดนึ้ได้ทำให้ผมไม่อยากจะเชื่อว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บาสยังมีกะใจให้ผมอ่านต่อไปอีกหรือ

ในบันทึกฉบับนี้มันยังมีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าสิ่งที่ผมได้อ่านผ่านตาไปแล้วอย่างนั้นหรือ

แม้ใจหนึ่งผมไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว แต่อีกใจผมก็อดไม่ได้ที่อยากจะรู้ว่าทำไมบาสถึงอยากให้ผมอ่านบันทึกนี้ต่อไป ผมจึงค่อยๆก้มลงอ่านต่อ

------------------------------------------------

……หลังคำพูดของผม แม้ทีมจะมีท่าทีลังเล แต่มันก็ยืนกรานว่ามันไม่เชื่อ

มันไม่เชื่อว่าบีจะพูดอย่างนั้น

ท่าทีเชื่อใจบีอย่างหนักแน่นของไอ้ทีมนี้ไม่ได้ทำให้ผมสงสัยเลย เพราะหากแค่คำพูดเพียงประโยคเดียวนี้จะสามารถสั่นคลอนความรักอันมั่นคงที่มันมีต่อบีได้ มันก็คงเป็นเรื่องที่แปลกมาก

ดังนั้นผมจึงตัดสินใจโจมตีมันในจุดที่ผมรู้ดีว่าเป็นสิ่งที่มันอ่อนไหวมากที่สุด นั่นก็คือเรื่องของการ “นอกใจ”

ผมจึงได้บอกกับมันไปว่าผมกับบีได้แอบมีอะไรกันแล้ว

ผมย้ำกับมันว่า...“เรากำลังมีเมียคนเดียวกัน”

ดูเหมือนผมจะโจมตีจุดอ่อนของมันได้ผลเพราะทันทีที่ผมพูดจบ ไอ้ทีมก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่มันก็ยังปากแข็งว่ามันไม่เชื่อ

แม้มันจะยืนกรานอย่างนั้นแต่ผมก็รู้ดีว่าจิตใจของมันตอนนี้คงกำลังสับสนเป็นอย่างมากเพราะที่ผ่านมาผมได้แสดงบทบาทว่าเป็นคนที่สนับสนุนความรักของมันกับบีมาโดยตลอด

ดังนั้นคำพูดของเพื่อนสนิทที่หวังดีกับมันเสมอมาอย่างผมจึงย่อมทำให้มันหวั่นไหวได้แน่

ไอ้ทีมมันทำท่าจะลุกขึ้นแล้วบอกว่ามันจะไปโทรศัพท์หาบีเพื่อถามเรื่องนี้ให้กระจ่าง แต่ในตอนนั้นเองที่ไอ้ม่อน เพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มของเราได้พูดออกมาว่า

“มึงไม่ต้องไปหรอก เรื่องทั้งหมดที่ไอ้บาสพูด มันเป็นเรื่องจริง”

ในตอนนั้นทั้งผมและทีมต่างหันไปมองไอ้ม่อนเป็นตาเดียว โดยเฉพาะผมซึ่งกำลังประหลาดใจมากที่ไอ้ม่อนมันพูดออกมาอย่างนั้น ในเมื่อผมกับมันไม่เคยนัดแนะเรื่องนี้กันมาก่อน

แต่แล้วผมก็ได้ความกระจ่างเมื่อไอ้ม่อนมันเล่าว่าในคืนที่พวกเราเลี้ยงส่งตัวเองมาเรียนพิเศษที่กรุงเทพนั้น มันได้ขับรถจักรยานยนต์ตามผมกับบีมาโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยเนื่องจากบ้านของมันอยู่ในเส้นทางนั้นเหมือนกัน

มันบอกว่าเมื่อมันเห็นผมพาบีเลี้ยวเข้าไปในสวนสาธารณะ ด้วยความสงสัย มันจึงแอบเลี้ยวตามพวกเราเข้าไปด้วยจนไปเห็นว่าผมกับบีกำลังยืนกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม ก่อนที่จะพากันขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปซึ่งมันเดาว่าพวกเราคงไปมีอะไรกันต่อที่บ้านของผม

มันสารภาพว่าจริงๆแล้วมันอยากจะบอกเรื่องนี้กับไอ้ทีมมาตั้งนานแล้ว แต่เพราะมันเห็นผมกับไอ้ทีมเป็นเพื่อนสนิทกัน มันจึงไม่อยากให้พวกเราต้องผิดใจกันเพราะเรื่องแค่นี้

ในตอนนั้นคำบอกเล่าของมันทำให้ผมถึงกับหน้าซีดเพราะมันเป็นเรื่องเล่าที่เกินจริงไปอย่างมาก

ผมเชื่อว่าด้วยความมืดในสวนสาธารณะ และระยะห่างที่มันใช้แอบดูผมกับบีย่อมทำให้มันไม่มีทางเห็นว่าจริงๆแล้วผมกับบีกำลังทำอะไรกัน ดังนั้นสิ่งที่มันเล่าจึงเป็นเพียงแค่การคาดเดาจากภาพที่มันเห็นลางๆในความมืดเท่านั้น

แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของคนที่ไม่มีส่วนได้ ส่วนเสียอย่างมันจะมีน้ำหนักเป็นอย่างมากเพราะก่อนที่ผมจะทันตั้งตัว ไอ้ทีมก็กระโจนเข้ามาต่อยผมอย่างเต็มแรงพร้อมๆกับสารพัดคำด่าที่มันจะสรรหามาได้

ส่วนตัวผมเองด้วยความเมาและความโกรธที่มันเป็นคนที่แย่งบีไปจากผม ผมจึงต่อยโต้ตอบมันไปเหมือนกัน ขณะที่ปากก็ได้แต่พร่ำด่าว่าคนอย่างมันไม่คู่ควรกับบีเลยสักนิด

พวกเราต่างตะลุมบอนเข้าใส่กันจนเพื่อนๆ มาช่วยกันแยกพวกเราออกจากกันได้ในที่สุด

ในตอนนั้นไอ้ทีมได้มองผมด้วยสายตาเคียดแค้นไปพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลลงมานองหน้า ก่อนที่จะพูดกับผมด้วยความเจ็บปวดว่า

“ไอ้เฮี้ย กูอุตส่าห์รักมึง กูอุตส่าห์เชื่อใจมึง แล้วมึงทำอย่างนี้ได้ไง มึงทรยศเพื่อนอย่างกูได้ยังไง"

พูดจบไอ้ทีมก็วิ่งออกไปข้างนอกแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยตลอดทั้งคืน

ส่วนผมเมื่อได้สติ ผมก็รู้ตัวว่าได้ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตไปแล้ว ในคืนนั้นผมจึงได้แต่รอไอ้ทีมมันตลอดทั้งคืนเพื่อต้องการจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่ตัวเองได้ทำไว้

จนกระทั่งในตอนเช้าไอ้ทีมก็กลับมาที่ห้องด้วยดวงตาที่บวมช้ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาตลอดทั้งคืน

ภาพของไอ้ทีมในตอนนั้นทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่า....นี่ไม่ใช่ทีมคนเดิมที่ผมรู้จักอีกต่อไปแล้ว

เพราะทีมคนนี้มีแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง และความแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอก แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว ผมจึงพยายามเข้าไปอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกับมัน

ผมยอมรับว่าผมไม่สนใจหรอกว่าไอ้ทีมมันจะโกรธหรือเกลียดผมหรือไม่ แต่คนๆเดียวที่ผมเป็นห่วงก็คือบี

บีซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย

ผมจึงพยายามขอร้องมัน ขอร้องให้มันเชื่อว่าบีไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหรือไอ้ม่อนมันพูด

แต่ในตอนนั้นผมไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ายิ่งผมพยายามแก้ตัวให้บีเท่าไหร่ มันก็เหมือนผมยิ่งพยายามปกป้องบีเท่านั้น จนไอ้ทีมมันอดถามผมไม่ได้ว่า

“มึงรักบีใช่มั้ย”

หลังคำถามของมัน ผมก็ได้แต่คิดว่าเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงป่วยการที่ผมจะโกหกมันต่อไป ผมจึงสารภาพไปตามตรงว่า...ใช่ ผมรักบี ผมรักบีมาตั้งแต่เมื่อแรกเห็น ผมรักบีมาก่อนมันด้วยซ้ำ

หลังคำตอบของผม ไอ้ทีมค่อยๆ หลับตาลงอย่างปวดร้าวแล้วก็เดินหนีผมไป

ผมจึงพยายามไปฉุดรั้งมันไว้แล้วก็พยายามเตือนสติให้มันเห็นแก่บี

ผมรู้ดีว่ามันยังรักบีอยู่ ถึงมันจะโกรธ ถึงมันจะเข้าใจผิด แต่ผมก็รู้ดีว่ามันยังรักบีอยู่แน่ๆ

ผมจึงพยายามย้ำให้มันรู้ใจตัวเองด้วยการถามมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า....มันจะเลิกกับบีจริงๆเหรอ มันไม่รัก ไม่แคร์บีแล้วเหรอ

ในตอนนั้นเองที่ไอ้ทีมค่อยๆหันกลับมามองผมด้วยสายตาเย็นชา แล้วก็พูดกับผมว่า

“กูจะต้องไปแคร์ทำไม กะอีแค่....กะหรี่ใจแตกตัวนึง”

------------------------------


beta

  • บุคคลทั่วไป
บาสทำทุกอย่างเพื่อความรักจริงๆ นับถือๆ

สนุกๆ มาต่อไวๆนะคับ

mokung

  • บุคคลทั่วไป
อึ้งๆๆๆๆๆๆ :pigscare2:      ทำไรไม่ถูก  มาต่อด่วนครับ     :sad4:

pim

  • บุคคลทั่วไป
โธ่ อย่าบอกนะว่าทีมเห็นแก่บาส
รักสามเศร้า เฮ้อออ.. :monkeysad:

รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อแล้วนะเนี่ย :like2:

konaun

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้อ...........วันนี้เศร้าจริงๆ

wee

  • บุคคลทั่วไป
กะอยู่แล้วเชียว....บาสน่ะบาส ...ฮึ่ม.....
บีเกือบจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว จะรู้บ้างไหมเนี่ย

meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
...  :monkeysad:

.

..

...

....

.....
ยังไงก็ยังรักบาสเหมือนเดิม  :impress3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






TonG_x_Zhi

  • บุคคลทั่วไป
 :oกระอักเลย  บาสนะบาส  ทำกันได้  :3125:
เศร้าจริงๆ   บีน่าสงสารที่สุดเลยกับเรื่องนี้ :sad4:

ว่าแต่นายม่อนนั่นมีจุดประสงค์อะไรกันแน่เนี่ย   ถึงยกเมฆมาอ้าง  หรืออยากเห็นเพื่อนฆ่ากันตายเหรอ
เด๋วอีกหน่อยนายม่อนคงจะเป็นนายม่องแล้วล่ะ :amen:

ตอนนี้เชียร์แต่บีคนเดียว :ped149:

moopai

  • บุคคลทั่วไป
โห........ทำไปได้ :sad5:

rarmz

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมถึงเปนอย่างนี้ไปได้ล่ะคับทั่นผุ้ชมมมมมมมมมมมมมมม



บาส(ของป๋ม)ทำเรื่องแบบนั้นไปได้ไงอ๊ะ
(บาสเปนของแกตั้งแต่ม่ะไหร่ว๊ะ แสรดดดด*)


ก้อเข้าจัยนะคับ ว่าอยากได้บีมาครอบครอง แต่ทำไมต้องทำถึงขนาดต้องโกหกกันด้วย
ไม่เข้าจัยเลยจริงๆ



โอย ไม่รุจะเม้นท์ว่ารัยแล้วค๊าบบบบบบบ




พี่บลูฯมาต่อไวๆนะคับ
รออ่านอยุ่นะก๊าบบบบบบบบบบบบ








ปล. อยุ่ในโหมดความเส้าอีกแล้วววววววววววววววว  :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5:

Tantalum

  • บุคคลทั่วไป
 :sad5:พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ตามจริงก็คิดไว้แล้วหละว่ามันต้องเป็นแบบนี้

อุตสาห์คิดว่ามันจะไม่มีอะไรแล้วเชียว เหอะเหอะ มาต่อดีกว่าคับ ขอทำใจก่อน

luvdisc

  • บุคคลทั่วไป
ว่าแล้วเชียว ว่าต้องเป็นบาส ที่ทำให้บีกะทีมเลิกกัน
แต่ทีมก็ไม่เชื่อใจบีเอาซะเลย เฮ้อ............เอาละซิ ยิ่ง
แม่ของบาสบอกบีว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบีอย่าทิ้งบาสนะลูก
บี...เอ่ย ทั้งอิจฉาทั้งสงสารนายจัง...

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
กะไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นบาส  :try2: เลยไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ แต่แปลกใจที่บาสยอมสารภาพเองมากกว่า (ได้ใจอีกแล้ว)

หุหุ ตอนหน้าคงเป็นศึกในอกของบีแน่ ๆ ระหว่างความรักกับความแค้น  :haun5: จะทำยังไงละครับท่านผู้ชม

ขอประกาศไว้ตรงนี้เลย ยังไงก็เชียร์บาส  :yeb: ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าบีจะคิดยังไง ก็ไม่เลิกเชียร์เด็ดขาด  :laugh:

บาสเคยพูดในภาค 1 ว่า "ความรักที่ไม่รู้จักกับคำว่า “ให้อภัย” มันจะยังเรียกว่าความรักได้เหรอ”  :impress:

หวังว่าคำว่าให้อภัยคงไม่มาสายเกินไปสำหรับบาสนะ  :impress:
 

kirati69

  • บุคคลทั่วไป
ใครเป็นบีไม่กระอักเลือดก็แปลกล่ะคับ  :monkeysad:

จะเกลียดก็เกลียดไม่ลง

จะรักต่อ ก็แหม สิ่งที่บาสทำมันใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะ เกือบฆ่าตัวตายแล้วด้วยซ้ำ

เป็นผมก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน  :monkeysad2:

เฮ้อ เศร้า เครียด ไปเบียร์การ์เด้นท์ดีก่า   :serius2:


gobgab

  • บุคคลทั่วไป
บาสทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารัก...............แต่บางสิ่งที่เขาคิดว่าทำเพื่อคนที่เขารัก

มันกลับมาทำร้ายคนที่เขารักเอง..................นี่แหละหนอ..........

.................................ความรัก...............................................

หวังว่าเขาจะเอาอดีตมาเป็นบทเรียนแต่ไม่ใช่ตัดสินอนาคตตอนนี้นะ :impress3:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
ฟ้าผ่ากลางแดดจริงๆ

พูห์  :undecided:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ในที่สุดบาสก็สารภาพความจริงซะที  กะอยู่เหมือนกันว่าบาสคงสารภาพซักวัน แล้วบีก็คงได้อ่านจากบันทึกนั่นแหละ 
ฮือ ฮือ  สงสารหมดเลย  บาส บี ทีม  ทำไมมันรันทดกันขนาดนี้เนี่ย   ฮือ ฮือ  :monkeysad:
แต่ยังไงก็รักบาสอยู่เหมือนเคย  ก็คนมันรักไปแล้วนี่นา  ไม่เปลี่ยนแปลง  อดีตแก้ไขไม่ได้  แต่ทำปัจจุบันให้ดีได้น้า  เศร้าแทน   :impress3:

รอคุณบลูเหมือนเดิม  :impress:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






nzeed

  • บุคคลทั่วไป
เสียดายจัง คืนนี้ ต้องเดินทางไป ดอย แล้ว อดอ่านไปอีกหลายวันเลย

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
วันนี้มาให้เร็วหน่อยละกันนะวันนี้ เอิ้กๆ
ยังไม่อยากกล่าวอะไร ทุกสิ่งถูกบอกไว้ในเนื้อเรื่องอย่างชัดเจน
*****************************************************************************************************************
กุมภาพันธ์ ของปีเตอร์ คอป
[wma=300,50]http://f1.podcast.blog.webs-tv.net/upload2/new/e/e/a/eead8016b7c106b9153ec8acc1bbecfb.mp3[/wma]
*************************************************************

.............ขอให้รักเรานั้น....นิรันดร ภาค 2….....( 17 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
---------------------------------------

บทสรุปของทีมที่มองผมเป็น “กระหรี่ใจแตก” ทำให้ผมรู้สึกอ่อนแรงลงอย่างไม่รู้สาเหตุจนกระดาษที่อยู่ในมือถึงกับร่วงหล่นลงพื้นอย่างไม่ตั้งใจ

ผมเพิ่งมาเข้าใจตอนนี้เองว่าทำไมหลังจากที่ทีมกลับมาจากกรุงเทพ เขาถึงมีสายตาที่ทั้งเมินเฉย และเคียดแค้นผมนักหนา

ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า....ทำไมเขาถึงพยายามพูดจาเหน็บแหนม ประชดประชันเหมือนจงใจให้ผมได้รับความอับอายและเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา

ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า....ทำไมผมจึงแอบเห็นร่องรอยความเจ็บปวดอยู่ในแววตาที่เคียดแค้นชิงชังคู่นั้น

ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า....ทำไมเขาจึงทิ้งผม

ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเลยในเมื่อผมเองก็รู้ดีเท่าๆกับบาสว่าจุดอ่อนที่สุดของทีมก็คือ...การถูกนอกใจ

ผมยังจำได้ดีว่าเพียงแค่เขารู้ว่าผมแอบโทรศัพท์คุยกับกอล์ฟ เขาก็บันดารโทสะถึงขั้นกล้าตบหน้าผม

แต่เหตุการณ์คราวนี้มันหนักหนากว่ากันมากนัก เพราะผมไม่เพียงแต่นอกใจเขา แต่ผมกลับแอบไปมีอะไรกับผู้ชายซึ่งเป็น “เพื่อนรักที่สุด” ของเขาเอง

ความจริงที่ผมได้รับรู้นี้ทำให้ผมรู้สึกราวกับว่ามีใครมากระชากหัวใจของผมออกไปโดยที่ผมไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขัดขืน

ผมอดถามตัวเองไม่ได้ว่าผมทำกรรมอะไรไว้หรือ ทำไมความโหดร้ายแห่งโชคชะตาถึงได้ถาโถมโหมกระหน่ำซ้ำเติมผมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน

ครั้งที่แล้ว....การสูญเสียรักครั้งแรกก็เกือบจะนำพาชีวิตของผมให้ดับดิ้นไปด้วย แต่ในครั้งนี้..พอผมเปิดใจให้ตัวเองได้มีรักใหม่อีกครั้ง ผมก็กลับมาหลงรักผู้ชายที่ทำลายความรักครั้งแรกของผมให้พังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี

ทั้งหมดนี้เป็นลิขิตของฟ้าอย่างนั้นหรือ

ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของโชคชะตาอย่างนั้นหรือ

ใช่สินะ มันคงจะเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าฟ้าจะเมตตาผมบ้าง ท่านก็ควรปล่อยให้ผมได้ตายไปตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเองไปแล้ว

ท่านไม่น่าปล่อยให้ผมมีชีวิตอยู่รอดมาถึงวันนี้เลย

ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งเจ็บปวด เจ็บปวดจนกระทั่งอยากจะล้มลงขาดใจตายเสียตรงนี้

แต่น่าแปลกที่แม้ว่าผมจะเจ็บปวดสักแค่ไหน ผมก็กลับไม่มีน้ำตาไหลลงมาแม้แต่สักนิด

ราวกับว่าน้ำตาทุกหยาดหยดที่มี มันได้ไหลทวนกลับเข้าไปในหัวใจที่แตกสลายนั้นอย่างที่ผมไม่มีวันจะระบายออกมาได้

ถ้าหากผมได้รับรู้ความจริงก่อนหน้านี้ ผมก็คงตีโพยตีพาย ก่นด่าบาสอย่างแสบสันต์หรือแม้กระทั่งถ้าผมมีมีดสักเล่มในมือ ผมก็คงไม่ลังเลที่จะใช้มีดเล่มนั้นฆ่าผู้ชายคนนี้ให้หายแค้น

แต่ตอนนี้ผมกลับทำอย่างนั้นไม่ได้

ผมไม่มีวันจะลงมือฆ่า หรือแม้กระทั่งก่นด่าผู้ชายคนนี้ได้

จะให้ผมทำอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อผู้ชายคนนี้คือ....คนที่ผมได้มอบความรักให้เขาจนหมดใจเสียแล้ว

ในตอนนั้นผมจึงได้แต่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองบาสด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก จนเห็นบาสกำลังนอนสะอึกสะอื้นด้วยน้ำตาที่ไหลลงมานองหน้า ขณะที่สายตานั้นกำลังจ้องมองเพดานอย่างเลื่อนลอย

ผมนั่งมองผู้ชายที่นอนอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สายตาก็ได้แต่จ้องมองบาสไปอย่างนั้นโดยไม่ได้แม้แต่จะพูดอะไรออกมา จนกระทั่งบาสเริ่มร้องไห้หนักขึ้น

เมื่อเห็นอย่างนั้น ผมจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนเหมือนคนไร้วิญญาณแล้วก็หันหลังเดินจากเขามาช้า ๆ แต่ก่อนที่ผมจะไปถึงประตูห้อง บาสก็รีบวิ่งมานอนกอดเท้าผมไว้แน่นเพื่อฉุดรั้งไม่ให้ผมเดินต่อ จากนั้นก็เริ่มซบหน้าร้องไห้ลงบนเท้าผม

“บาสขอโทษบี บาสขอโทษ อย่าทิ้งบาสไปนะ อย่าทิ้งบาสไปนะ บาสขอร้อง ฮืออออๆๆๆๆๆ”

แม้จะได้ยินบาสร้องขออย่างนั้น ผมก็พยายามจะลากตัวเองออกไปแต่มันก็ทำไม่ได้เพราะบาสยังคงซบหน้าร้องไห้อยู่บนเท้าข้างหนึ่งของผมแล้วก็กอดขาข้างนั้นไว้แน่น

“บาสไม่ตั้งใจบี บาสไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้ บาสทำไปเพราะบาสรักบีนะ บาสรักบีจริงๆนะ ฮือๆๆๆๆๆๆ”

ในตอนนั้นเองเมื่อได้ยินคำว่า “รัก” จากปากของบาส ผมก็หยุดนิ่งแล้วก็ค่อยๆก้มลงไปมองผู้ชายที่กำลังซบหน้าร้องไห้อยู่บนเท้าของผมอย่างสมเพช แล้วก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึกว่า

“รักเหรอ บาสเรียกสิ่งที่บาสทำว่าความรักงั้นเหรอ งั้นบาสรู้มั้ยว่าความรักของบาสทำให้บีต้องเจ็บปวดแค่ไหน บาส รู้มั้ยว่าความรักของบาสทำให้บีต้องนอนร้องไห้ทุกวันคืน บาสรู้มั้ยว่าความรักของบาสทำให้บีไม่มีความสุขอีกเลยมาตลอดระเวลา 5 ปี บาสรู้มั้ยว่าความรักของบาสเกือบทำให้บีฆ่าตัวตาย ถ้าบาสเรียกสิ่งนั้นว่าความรัก.....ความรักของบาสมันเป็นแบบนี้เหรอ ”

หลังผมพูดจบน้ำตาที่ผมเคยคิดว่ามันคงจะไม่ไหลลงมาอีกแล้ว ก็กลับไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ในขณะที่บาสก็ค่อยๆปล่อยมือจากขาของผมแล้วก็ซบหน้าหน้าลงร้องไห้อย่างหนักกับพื้นแทนเสมือนเป็นสัญญาณว่าเขาได้ยอมรับชะตากรรมนี้แล้ว เขาได้ยอมปล่อยผมไปแล้ว ผมจึงค่อยๆเดินออกมา แล้วก็ไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้ากลับไปหอพักเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก

เมื่อกลับมาถึงหอพัก ผมก็เริ่มร้องไห้อย่างหนักเพื่อระบายความทุกข์ระทมทั้งหมดที่มี

เป็นเวลานานแค่ไหนไม่รู้ที่ผมได้แต่ร้องไห้ออกมาอย่างนั้นโดยหยุดร้องไม่ได้

ถ้าการได้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมทีมถึงได้เลิกกับผมจะถือเป็นความจริงที่โหดร้ายแล้ว

การได้รู้ว่าสาเหตุทั้งหมดมาจากผู้ชายอีกคนที่ผมได้รักเขาสุดหัวใจเช่นกันก็นับเป็นความโหดร้ายยิ่งกว่า

เพราะถึงตอนนี้ไม่ว่าผมจะเคียดแค้นชิงชังต่อการกระทำของเขามากแค่ไหน ผมก็เกลียดเขาไม่ลง โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ถึงความจริงที่ว่า....เขารักผม

มันก็เป็นความจริงที่ผมเองก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้

ผู้ชายคนนี้ได้เคยทำอะไรมากมายเพื่อผมจริงๆ นี่กระมังถึงมีคนได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า

“โศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุด ก็คือโศกนาฏกรรมที่ถูกกระทำในนามของ...ความรัก”

นอกจากนั้นถ้ามองอย่างเป็นธรรมแล้ว ทีมเองก็ผิดที่เขาไม่เชื่อใจผม ส่วนผมเองก็ทำตัวไม่ดีกับทีมมาตลอด ทั้งเรื่องของกอล์ฟ หรือ พี่ปอนด์

มันจึงไม่แปลกเลยที่ทีมเขาจะไม่เชื่อใจผม

ในที่สุดแล้ว เรื่องนี้ก็คงเป็นความผิดของเราทั้ง 3 คน

ในคืนนั้นผมยังคงร้องไห้ต่อไปตลอดทั้งคืนอย่างน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง จนบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าคนอย่างผมไม่ควรคู่ที่จะเกิดมาเพื่อมี... “รัก”...จริงๆ

จนกระทั่งราวๆ เที่ยวคืน เมื่อรู้สึกว่าตัวเองทั้งอ่อนล้า และปวดแสบปวดร้อนไปทั่วทั้งจมูกและเบ้าตาผมจึงพยายามฝืนพาตัวเองขึ้นไปบนนอนบนเตียงแล้วก็พยายามข่มตาให้หลับ

เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ด้วยความเพลีย สติของผมก็เริ่มเลือนรางลงเรื่อยๆ แต่ในขณะที่ผมกำลังรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้นเองที่ผมได้ฝันไปว่าบาสได้เข้ามาหาผมที่ห้องแล้วก็พูดกับผมว่า

“บาสขอโทษนะบี บาสขอโทษ บาสรักบีจริงๆนะ”

คำพูดนี้ของบาสได้ทำให้ผมละเมอเรียกชื่อเขาออกมาอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือของผมกำลังดังขึ้นอย่างไม่ยอมหยุด และมันก็ได้ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาทันที

ผมเหลือบไปมองนาฬิกาซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนสิบนาทีแล้ว ผมจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่โทรศัพท์มาหาผมในเวลาดึกดื่นอย่างนี้

คนแรกที่ผมพอจะนึกได้ในเวลาอย่างนี้ก็คือบาสเพราะผมคิดว่าเขาคงพยายามจะโทรมาง้อ มาขอโทษผม

ผมจึงได้แต่มองโทรศัพท์มือถือดังไปอย่างนั้นโดยไม่สนใจจะลุกไปรับสาย แต่เมื่อเห็นว่าเสียงโทรศัพท์ยังคงดังไม่ยอมหยุด ผมจึงตัดสินใจเดินไปเพื่อจะปิดเครื่อง แต่ในตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นว่าเบอร์โทรศัพท์ที่โทร. มานั้นเป็นเบอร์ 02 ซึ่งเป็นเบอร์ที่ผมไม่คุ้นเคยเลย

“สวัสดีครับ”

ผมตัดสินใจรับสายเพราะเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยนั้น

“ใช่ ผมชื่อบีครับ”

“เอ่อ ระ รู้จักครับ”

ผมตอบคำถามปลายสายไปอย่างตะกุกตะกักเมื่อเขาถามว่าผมรู้จักคนที่ชื่อ อัษฎาวุธ เมธีภูวดล หรือไม่ พลางอดถามตัวเองไม่ได้ว่าคนที่อยู่ปลายสายเป็นใครกัน

ทำไมเขาถึงต้องถามว่าผมรู้จัก...บาส...หรือไม่

แต่ไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรไปมากกว่านั้น คำอธิบายจากปลายสายก็ต้องทำให้ผมตกใจอย่างสุดชีวิต แล้วก็รีบวางสายก่อนที่จะคว้ากระเป๋าสตางค์วิ่งออกไปจากห้องในทันที

ผมรีบวิ่งลงมาด้านล่างอย่างไม่คิดชีวิต แล้วก็รีบเรียกรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาลพระรามเก้าอย่างกระวนกระวาย เมื่อได้รู้ว่าบาสเพิ่งประสบอุบัติเหตุขับรถชนราวสะพานบริเวณถนนพระรามเก้า

เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอธิบายว่าเขาพบเบอร์โทรและชื่อของผมอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของบาส พวกเขาจึงรีบโทร.มาหาผมเป็นคนแรกเด้วยน้ำเสียงร้อนรนเพื่อแจ้งให้ผมรู้ว่าตอนนี้บาสกำลังรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู และอยากให้ผมรีบไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด

แม้ในตอนนั้น คนขับรถแท็กซี่จะพยายามขับไปด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว แต่สำหรับผม มันก็ยังถือว่าช้ามากเมื่อคิดถึงว่าอาการของบาสคงจะไม่ธรรมดาในเมื่อเขาต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู

ที่สำคัญผมยังจำเสียงจากปลายสายเมื่อกี้ได้ดีว่าเขาดูร้อนรนแค่ไหนที่อยากให้ผมไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

ขณะอยู่ภายในรถแท็กซี่ ผมก็ได้แต่นั่งอย่างกระสับกระส่ายราวกับทุกวินาทีที่ผ่านไป มันกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้า

ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้บาสเป็นอะไรไปเลย

ในขณะที่อีกใจผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาจากบ้านทำไมกัน ในเมื่อข้อเท้าของเขาก็ยังไม่หายดี

ที่สำคัญเขากำลังจะไปไหน

จากจุดที่เขาประสบอุบัติเหตุทำให้ผมรู้ได้อย่างหนึ่งว่าเขาไม่ได้ตั้งใจมาหาผมเพราะเขาประสบอุบัติเหตุบนถนนพระรามเก้า ในขณะที่หอพักของผมอยู่บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งมันอยู่กันคนละทาง

เขากำลังจะไปไหน เขาออกมาจากบ้านทำไมทั้งๆ ที่ข้อเท้าของเขายังไม่หายดี

ในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มโทษตัวเอง

ผมไม่น่าออกจากบ้านมาเลย ผมไม่น่าทิ้งบาสไว้เลย

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเหมือนจะเป็นบ้า จนกระทั่งราวๆ เกือบตี 1 ผมก็มาถึงโรงพยาบาล

หลังจากจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อยแล้วผมก็รีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลแล้วถ่ามไถ่ถึงที่อยู่ของห้องไอซียู จากนั้นผมก็รีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปที่ห้องนั้นให้เร็วที่สุด

แต่เมื่อผมไปยืนอยู่หน้าห้องไอซียู บรรยากาศรอบตัวก็ทำให้ผมยื่นงงอย่างตัวสั่นเพราะความเงียบสงบ....มันเงียบจนน่าใจหาย

ที่สำคัญภายในห้องไอซียูนั้นก็ดับไฟจนมืดสนิทแล้วทั้งๆที่มันควรจะมีแสงสว่างและเสียงคนทำงานอย่างขะมักเขม้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น

แม้ผมจะยืนตัวสั่นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงถึงสิ่งที่คิดอยู่ใจ แต่ผมก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า

“บาสอาจจะอาการดีขึ้นแล้ว เขาก็เลยย้ายบาสไปห้องผู้ป่วยทั่วไป”

ในตอนนั้นเองที่เสียงเรียกของผู้หญิงคนหนึ่งได้ปลุกผมให้เลิกคิดถึงบาสแล้วหันไปสนใจเธอในทันที

“เป็นญาติของคุณอัษฎาวุธหรือเปล่าค่ะ” นางพยาบาลวัยกลางคนคนหนึ่งถามผม

“ชะ ใช่ครับ”

“งั้นเชิญทางนี้ค่ะ คุณหมอกำลังคอยอยู่”

พูดจบนางพยาบาลคนนั้นก็นำผมไปห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน และเมื่อผมได้เข้าไปในห้อง ผมก็ได้พบกับคุณหมอรูปร่างท้วมๆท่านหนึ่งกำลังนั่งคอยผมอยู่จริงๆ

“สวัสดีครับ เชิญนั่งครับ”

ผมค่อยๆนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำสั่งของหมอราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่มีสติพอจะคิดหรือทำอะไรด้วยตัวเองได้อีกแล้ว

“เป็นญาติของคุณ อัษฎาวุธ เมธีภูวดล ใช่มั้ยครับ”

หมอคนนั้นถามผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบในขณะที่ถือบัตรประชาชนของบาสอยู่ในมือ

“คะ ครับ” ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“เอ่อ คือตอนที่ผู้ป่วยมาถึงที่นี่ เขาก็อาการหนักมากครับ โดยเฉพาะอวัยวะภาย.......”

ในตอนนั้นผมรู้ว่าหมอกำลังพยายามอธิบายอะไรอีกมากมายเพื่อให้ผมรู้ว่าบาสอาการหนักแค่ไหนเมื่อมาถึงมือหมอแต่ผมกลับไม่สามารถจับใจความได้เลย เพราะตอนนี้ทั้งหู ทั้งสมองของผมมันอื้ออึงจนผมแทบจะตั้งสติไม่อยู่

ผมไม่อยากจะรู้ว่าบาสเขามีอาการยังไงเมื่อมาถึงโรงพยาบาล ผมแค่อยากรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน เขาเป็นอย่างไรบ้าง แต่ดูเหมือนคำพูดของหมอเมื่อสักครู่จะเป็นการบอกใบ้เป็นนัยๆ ถึงอาการของบาส ผมจึงตัดสินใจถามหมอไปตรงๆ

“หมายความว่าบาส....เขา.....เขา….”

ผมพยายามถามให้จบประโยคแต่ปากมันไม่ยอมพูดคำๆนั้นออกมา

เมื่อเห็นอาการอึกอักของผม ในตอนนั้นเองที่คุณหมอได้ตัดสินใจตอบผมมาตรงๆโดยไม้อ้อมค้อม

“ใช่ครับ คนไข้เสียชีวิตแล้ว เมื่อราวสักเที่ยงคืน 15 นาที”

คำตอบของหมอทำให้ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกกำลังพังทลายลงตรงหน้า

นี่มันเป็นเรื่องจริงหรือ

ผมเพิ่งได้ยินว่า....บาสตายแล้วหรือ

บาสได้จากผมไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับแล้วอย่างนั้นหรือ

เมื่อรับรู้ถึงความจริงนี้ผมก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักด้วยความรู้สึกผิด

เป็นความรู้สึกผิดที่ว่าถ้าผมไม่ทิ้งเขา ถ้าผมไม่เดินจากเขามา.....บาสก็คงไม่ตาย

ความรู้สึกที่ว่าผมเป็นต้นเหตุให้บาสต้องตายทำให้ผมร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างหนักเหมือนคนเสียสติจนนางพยาบาลและคุณหมอต่างต้องช่วยกันเข้ามาปลอบโยน จนสักพักเมื่อผมเริ่มตั้งสติได้ผมจึงขอคนทั้งคู่ที่จะไปดูศพของบาส

ในตอนแรกทั้งคู่ต่างพยายามปฏิเสธโดยเฉพาะเมื่อเห็นอาการฟูมฟายของผมเมื่อครู่ แต่เมื่อผมรบเร้าหนักเข้าคุณหมอก็เลยอนุญาตในที่สุด จากนั้นก็บอกให้นางพยาบาลพาผมไปที่ห้องๆหนึ่ง

เมื่อแรกเข้าไปในห้องนี้ สิ่งแรกที่ผมรู้สึกได้ก็คือความหนาวเหน็บไปจนสุดขั้วหัวใจ ในขณะที่สายตาของผมก็เห็นร่างของคนๆหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเหล็กที่วางไว้กลางห้องอย่างสงบ

“ขอผมอยู่กับเขาสองคนได้มั้ยครับ”

ผมบอกกับนางพยาบาลที่ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งมีท่าทีเหมือนจะมายืนเฝ้าให้แน่ใจว่าผมปลอดภัยและไม่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ

“แต่ว่า....”

“ผมไม่ฆ่าตัวตายหรอก ผมขอบอกลากับเขาแค่สองคนได้มั้ย”

หลังคำพูดนี้น้ำตาของผมก็เริ่มไหลลงมาอีกครั้งเมื่อนึงถึงคำว่า... “บอกลา”

“งั้นก็ได้ค่ะ แต่คุณต้องพยายามทำใจหน่อยนะค่ะ ยังไงเขาก็จากเราไปแล้ว”

นางพยาบาลคนนั้นพูดเตือนสติผม แล้วก็เดินออกไป

“ทำใจเหรอ จะให้ผมทำใจยังไงล่ะ ร่างที่นอนนิ่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ตาสี ตาสาที่ไหนนะ เขาคือคนที่ผมรัก แล้วผมจะทำใจยังไงให้ยอมรับได้ล่ะว่าคนที่ผมรักนั้นได้จากผมไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ”

ผมรำพึงกับตัวเองอย่างเจ็บปวด แล้วก็ค่อยๆ เดินไปเปิดผ้าคลุมหน้าศพของบาสจนเห็นได้ว่าใบหน้าของบาสตอนนี้ แม้จะดูขาวซีด แต่เขาก็เหมือนคนกำลังนอนหลับสนิทเช่นเดียวกับตอนที่เขาเคยนอนหนุนตักผมในห้องรับแขก

ในตอนนั้นเองที่ผมมองใบหน้านั้นด้วยความรักแล้วก็ยิ้มออกมาเหมือนคนเสียสติ

“ตื่นสิบาส บาสแกล้งหลับใช่มั้ย บาสแกล้งบีใช่มั้ย บาสอยากให้บีหายโกรธก็เลยแกล้งทำเป็นหลับใช่มั้ย ตื่นสิบาส บีไม่โกรธบาสแล้วน๊า ตื่นสิ ตื่นสิบาส”

ผมมองใบหน้าที่ยังคงแน่นิ่งนั้นด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่น้ำตาก็เริ่มไหลลงมานองหน้าอย่างห้ามไม่ได้ แล้วก็เริ่มฟูมฟายอีกครั้งเหมือนคนบ้า

“ตื่นสิบาส อย่าเล่นอย่างนี้นะ จะให้บีทำยังไง บาสถึงจะยอมตื่น จะให้บีทำยังไง ฮือๆๆๆๆๆๆๆ”

“บาสเคยขอให้บีร้องเพลงให้ฟังใช่มั้ย งั้นถ้าบีร้องเพลงบาสต้องตื่นนะ สัญญานะ บีจะร้องเพลงที่บาสชอบ แล้วบาสต้องตื่นนะ”

“Wise men say ….

only fools rush in

But I can’t help …..

falling in love……

with ………you……..”

“ตื่นสิบาส ตื่น...อย่าทิ้งบีไปนะบาส ฮือๆๆๆๆๆๆๆ”

ผมซบหน้าลงร้องไห้อย่างเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อร่างกายที่แน่นิ่งของบาสได้เตือนให้ผมรู้ว่าเขาได้จากผมไปแล้วจริงๆ

เขาได้จากผมไปแล้วโดยที่ผมยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูดในสิ่งที่ผมอยากจะบอกเขาเสมอมา

แต่วันนี้เมื่อผมพร้อมจะพูดกับเขา มันก็สายไปเสียแล้ว

“บีรักบาสนะได้ยินมั้ย บีรักบาส ฮือๆๆๆๆๆ ตื่นมาฟังสิบาส บีรักบาส บีรักบาส บีรักบาส ได้ยินมั้ย ฮือๆๆๆๆ บีขอร้องนะ ขอร้องเถอะบาส อย่าทิ้งบีไปนะ อย่าทิ้งบีไปเลย ได้โปรดเถอะบาส อย่าทิ้งบีไป อย่าทิ้งบีให้อยู่คนเดียว บีรักบาสนะ รักบาสจริงๆ ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

ผมพยายามเขย่าตัวบาสแล้วก็ร้องไห้อย่างหนักราวกับคิดว่าการกระทำอย่างนั้นจะทำให้บาสฟื้นขึ้นมาจริง

แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า ร่างกายที่เย็นจัดและไร้ลมหายใจของบาสก็ทำให้ผมต้องยอมรับอย่างเจ็บปวดว่าแม้ผมจะพร่ำบอกรักเขาไปอีกสักกี่หมื่นกี่แสนครั้ง ร่างที่นอนแน่นิ่งอย่างสงบนั้นก็ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้

ผมได้เสียบาสไปแล้ว เหมือนกับที่ผมเคยเสียทีมไป

ในค่ำคืนนั้นจึงเป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ผมได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส

แต่น่าเสียดาย....ที่มันก็เหมือนกับเมื่อครั้งก่อนโน้นนั่นแหละ

ที่เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานนี้ ...มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้น.....

...........ที่ได้ยิน............

---------------------------------



ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
หนูบลู

โหดร้ายมาก

ทำไมละครับ


เจ็บปวด


ไม่ไหวแล้ว


 :monkeysad:


 :monkeysad2:


 :impress3:


 :monkeycry4:



หนูบลูใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ใจร้ายยยยยยยยยยยยยย  ไม่จริงงงงงงงงงงงงงงงง  :serius2:

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมแม้แต่คำว่ารัก บาสก็ไม่มีโอกาสได้ยิน ใจร้ายเกินไปแล้ว  :monkeysad:  :monkeysad:

ทำไมต้องให้บาสอยู่กับความผิดของตัวเองจนวาระสุดท้าย

รักครั้งสุดท้ายกลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว สำหรับบีแล้วมันอาจจะมาสาย แต่ก็ยังมาหาบี

สำหรับบาส เขาคงไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่าเขาได้ความรักจากบีแล้ว

ไม่ไหวแล้ว :sad4:

pim

  • บุคคลทั่วไป

“โศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุด ก็คือโศกนาฏกรรมที่ถูกกระทำในนามของ...ความรัก”

โฮๆๆ..................

ไม่ไหวแล้วอะ

ทำไมล่ะ? ..................... ทำไมกันนะ......

เศร้า....






ปล.สงสัยเราจะมองว่าทีมเป็นคนดีไปหน่อย ลืมไปว่าเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง (จะบอกว่างี่เง่า ก็กัวจะแรงไป)

Alert

  • บุคคลทั่วไป
  ไม่มีอะไรจะพูด



 :sad5:

pandaba

  • บุคคลทั่วไป
โอย กรรม 


น้ำตาไหลเลยอะ


คนเราอะไรมันจะขนาดนั้นนะ

เฮ้อ พูดไม่ออกแล้วครับ  :pigcry3: :pigcry3: :pigcry3: :pigcry3: :pigcry3:

kirati69

  • บุคคลทั่วไป
“โศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุด ก็คือโศกนาฏกรรมที่ถูกกระทำในนามของ...ความรัก”

ชอบประโยคนี้เหมือนกัน  โหดร้ายมากๆ  :impress:


คนที่บอกรักโดยที่คนฟังไม่มีโอกาสรับรู้แล้ว มันก็คงเจ็บปวดมากๆเลยอ่ะ  :monkeysad:

โอ๊ว ไม่ไหวแล้ว..  :monkeycry4: :pigcry3:

wee

  • บุคคลทั่วไป
บ้างคนโหยหาความรักมาตลอดชีวิต....ยังไม่เคยเจอรักนั้นสักที
แต่บี...กลับได้รับความรักจากคนหลายคนที่เข้ามาหลงรักบี...
แต่...หลายคน นั้นกลับแข่งกันที่จะเป็นที่รัก...ของบี เท่านั้น
ไม่มีสักคนที่จะแข่งกันรัก เพื่อคนที่เขารัก....ไม่มีสักคน....เพื่อบี...ผู้น่าสงสาร

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

“โศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุด ก็คือโศกนาฏกรรมที่ถูกกระทำในนามของ...ความรัก”


ความสุขจากความรักมันมักจะอยู่กับเราได้ไม่นานจิงๆ.............

และตอนจบมันก็มักจะจบด้วยโศกนาฏกรรมเสมอ.......................... :impress3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด