ตอนที่ 12 มวยถูกคู่
‘ช่วยยิ้มให้ผมบ้างก็พอ’
น้ำเสียงอบอุ่นและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจของคนพูดเมื่อตอนเช้ายังคงทำให้หัวใจของคนที่ได้ฟังเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึง ตาคมยังคงกวาดมองกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนอธิบายแนวคิดของภาพถ่ายซึ่งถูกติดไปที่ด้านหลังฟิวเจอร์บอร์ดแผ่นใหญ่ที่นักศึกษาเพิ่งนำเข้ามาส่งในห้องพักเมื่อสักครู่ แต่ผู้เป็นอาจารย์กลับอ่านจับใจความมันไม่ได้เลยทั้งที่มีอยู่ไม่กี่บรรทัด หน้าเรียวส่ายรัวหวังจะสลัดสิ่งที่กำลังคิดอยู่นี้ออกไป อาทิตย์ทัศน์ตัดสินใจวางงานตรงหน้าลงก่อนจะเอนหลังพิงพักเก้าอี้พร้อมกับผ่อนลมหายใจยาว
เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ชายหนุ่มต้องชะเง้อมองไปเหนือพาทิชัน ไม่ช้าร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวผู้หนึ่งก็เดินผ่านมา
“กลับมาแล้วเหรอครับพี่จิต” อาทิตย์ทัศนเอ่ยขึ้น
“ใช่จ้ะ เพิ่งประชุมเสร็จน่ะ ประชุมกันยาวนานจริง ๆ”
“เรื่องงานออกร้านของมหาวิทยาลัยน่ะเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ งานนี้ท่าทางจะเป็นงานใหญ่ จัดช่วงหลังเปิดเทอมไปไม่นาน”
“ครับ” อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า เขาคุ้นเคยกับ ‘งานออกร้าน’ ที่ว่าเป็นอย่างดี เพราะตลอดทั้งสี่ปีของการเรียนระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยเขาก็มักจะร่วมทำกิจกรรมนี้กับเพื่อนร่วมภาควิชาเสมอ
“ปีนี้คณะเราจะมีกลยุทธ์อะไรไปต่อกรกับคณะสถาปัตย์ล่ะพี่” นราวิชที่เดินถือเอกสารออกมาจากโต๊ะด้านในเอ่ยขึ้น
“นี่แหละเป็นสิ่งที่พวกเรา ไม่สิ พวกแกต้องช่วยกันคิด เพราะฉะนั้นอาจารย์หนุ่มไฟแรง ๆ นี่ยิ่งต้องเอาตำแหน่งคณะกรรมการฝ่ายสร้างสรรค์กิจกรรมไปเลย เดี๋ยวพี่จะบอกให้อาจารย์ทรีดีแกเอาชื่อพวกแกกับอาจารย์หนุ่ม ๆ ทางฝั่งออกแบบเสนอท่านคณบดีเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการอีกที”
“ศิลปกรรมของเราต้องไม่แพ้จ้ะ”
“ซะงั้น” นราวิชกล่าว “งานเข้าอีกแล้ว”
“งานถนัดพี่ไม่ใช่เหรอพี่วิช” อาทิตย์ทัศน์หัวเราะก่อนจะนึกถึงคณะคู่แข่งที่แข่งกันหารายได้กับคณะของเขาทุกปี ทั้งที่รายได้ทั้งหมดเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว จุดหมายก็คือนำไปบำรุงกิจการภายในหมาวิทยาลัยเหมือนกัน ไม่รู้จะแข่งกันไปทำไม แต่แม้จะแข่งขันกันทั้งสองคณะก็เป็นพันธมิตรกันเป็นผู้นำในเรื่องของกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ ร่วมกัน
“ปีที่แล้วกับปีก่อนก็คิดกันจนหัวจะระเบิด ปีนี้ผมส่งไอ้จ้าเข้าประกวดแล้วกันพี่ ถือว่าเป็นการรับน้องใหม่” นราวิชหัวเราะ
“อ้าว โยนให้ผมเฉยเลย”
“เอาละ ไม่ต้องเกี่ยงกันจ้ะ ยังไงสองคนนี้ก็ต้องถูกแต่งตั้งเป็นกรรมการแน่ ๆ” จิตตรียิ้ม “ว่าแต่นี่ได้เวลาเลิกงานแล้วนะ ยังไม่กลับกันอีกเหรอ”
คำพูดของหญิงสาวทำให้อาทิตย์ทัศน์รีบก้มมองนาฬิกาข้อมือนึกถึงคนที่มาส่งเขาเมื่อเช้า ทั้งสามคนลงมาห้องทำงานพร้อมกันเพื่อจะไปยังลานจอดรถ
“หาอะไรน่ะพี่วิช” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หยุดควานหาบางสิ่งในกระเป๋ากางเกง
“หากุญแจรถ” เขากล่าวทั้งที่มือยังคงล้วงลงไปในกระเป๋าทั้งกระเป๋าข้างและกระเป๋าหลัง
“โทร.เข้าดิ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นขณะที่จิตตรีเดินเข้ามาสมทบ
“เออ ไหนแกลองโทรซิไอ้จ้า” นราวิชรับมุข
“สงสัยจะลืมไว้ที่เคาน์เตอร์ตอนแวะคุยกับพี่ยามเมื่อกี้ว่ะ” พูดจบเขารีบเดินกลับเข้าไปในตึก
“เบอร์วิชเบอร์อะไรนะ” จิตตรีกล่าวก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋าสะพาย
“พี่จิตจะโทร.ไปไหนครับ” อาทิตย์ทัศน์หัวเราะ
“อ้าว ก็จะโทรเข้าเครื่องวิชไง”
“พี่วิชเขาหากุญแจรถครับ ไม่ได้หาโทรศัพท์” ชายหนุ่มยังคงหัวเราะชอบใจ
“ไอ้จ้า!!!! นี่แกอำฉันเหรอ” หญิงสาวร้องขึ้นก่อนจะทำหน้างอน ๆ
“โอ๋ ๆ อย่างอนเลยนะครับ” อาทิตย์ทัศน์ยิ้มล้อ ๆ “ผมล้อเล่นน่า”
“อะไรกัน ๆ เสียงดังเชียวเข้าไปถึงข้างใน” นราวิชที่วิ่งกลับออกมาจากตึกเอ่ยขึ้น
“วิชแกดูน้องแก มันหลอกฉัน”
“หลอกอะไร ผมยังไม่ได้หลอกเลย พี่จิตนั่นแหละเข้าใจผิดเอง” อาทิตย์ทัศน์ยิ้มตาหยี
“แกไปหลอกอะไรพี่จิตวะ” ชายหนุ่มร่างใหญ่หันมากล่าวกับคนที่กำลังยกมือทั้งสองขึ้นปฏิเสธพัลวัน
“ฉันคิดว่าแกหาโทรศัพท์ ก็เห็นเจ้าจ้ามันบอกว่าให้ลองโทรเข้าก็เลยจะกดโทรให้เนี่ย” หญิงสาวบ่น
“ไอ้จ้า กวงติงตลอด กับคนสูงอายุยังไม่เว้นนะแก”
“ไอ้วิช แกอีกคน” หญิงสาวกล่าวก่อนจะใช้มือเล็ก ๆ ของเธอตีที่แขนของนราวิช จากนั้นทั้งหมดก็พากันหัวเราะ
“เออ แล้วนี่เอารถจอดไว้ไหนวะจ้า” ชายหนุ่มร่างใหญ่กล่าวหลังจากจิตตรีแยกไป
“วันนี้ผมไม่ได้เอารถมาพี่”
“งั้นไปด้วยกันสิ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า” นราวิชเสนอแต่อาทิตย์ทัศน์กลับส่ายหน้าช้า ๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมนัดกับเพื่อนไว้ พี่ไปเถอะ”
“อ่อ ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อน พรุ่งนี้เจอกัน” คนร่างใหญ่กล่าวก่อนจะเดินไปที่ลานจอดรถ
อาทิตย์ทัศน์เดินไปนั่งที่ม้านั่งข้างสนามฟุตบอลก่อนจะทอดสายตามองบรรดานักศึกษาชายที่กำลังดวลแข้งกันอยู่ในสนาม โดยไม่ทันได้สนใจคนที่เดินมานั่งข้าง ๆ
“คุณนี่แสบจริง ๆ” เสียงนั้นทำให้เขาต้องละสายตาจากภาพตรงหน้า
“ผมไปทำอะไร”
“ก็เมื่อกี้คุณทำอะไรไว้ล่ะ” ตฤณกรหัวเราะ
“นี่คุณแอบดูผมเหรอ”
“ก็ถ้าไม่แอบดูจะรู้เหรอว่าคุณแสบแค่ไหน”
“รู้อย่างนี้แล้วก็ควรจะอยู่ห่าง ๆ ผมไว้” คนร่างเล็กกว่าหัวเราะในลำคอก่อนจะลุกขึ้น
“ผมบอกแล้วไงว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ” ตฤณกรกล่าวขณะลุกขึ้นตาม...
“จะหมดวันแล้วนะคุณ วันนี้คุณลืมทำอะไรหรือเปล่า” คนตัวสูงที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ยขึ้นก่อนจะค่อย ๆ จอดรถที่หน้าบ้านของคนที่ยังคงถามคำตอบคำตลอดทาง
“อะไรของคุณ” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้ว
“วันนี้คุณยังไม่ได้ยิ้มให้ผมเลยนะ”
คนหน้าตูมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนจะค่อย ๆ ฉีกยิ้มอย่างไม่เต็มใจนัก
“แบบนี้ที่บ้านผมเขาเรียกว่าแยกเขี้ยว” ตฤณกรหัวเราะ
“ผมไม่ใช่หมานะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวเสียงเรียบขณะปลดเข็มขัดนิรภัย “ขอบคุณที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ”ตฤณกรยิ้มก่อนจะปลดล็อคประตู เขารอจนชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในบ้าน พักใหญ่ ๆ ไฟที่ห้องนอนชั้นสองก็สว่างขึ้น อาทิตย์ทัศน์มองดูรถเก๋งสีดำที่ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่นอกรั้วผ่านช่องของม่านหน้าต่างเป็นเวลานานทีเดียวกว่ารถคันนั้นจะเคลื่อนออกไป...
ตั้งแต่วันนั้นมาแม้เขาจะพยายามหลบเลี่ยง แต่สุดท้ายรถเก๋งสีดำก็จะมารับเขาที่บ้านทุกเช้าและมาส่งในตอนเย็นจนกระทั่งรถของแม่ซ่อมเสร็จ อาทิตย์ทัศน์ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคก่อนจะยืดตัวมองชายหนุ่มที่นั่งดูทีวีกับน้องสาวบ้านตรงข้ามและแม่ของเขาอยู่ที่โซฟา
“บ้านช่องไม่มีจะอยู่กันหรือไง” ปากบางพึมพำขณะคิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันเพราะรู้สึกว่าพักนี้จะเห็นหน้าเขาบ่อยพอ ๆ กับเห็นหน้าแม่ตัวเอง ที่เป็นเช่นนี้ก็คงเพราะประโยคสั้น ๆ ที่อาจจะเป็นเพียงการพูดเพื่อมารยาทของแม่ แต่คนฟังดันตีความเอาเองแบบตรงตัวก็เป็นได้...
“อันที่จริงผมเป็นคนเชียงใหม่ครับ แต่ว่ามาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้”
“ผมอยู่คอนโดแถวสาทรน่ะครับคุณป้า วันไหนเลิกงานเร็ว กลับไปก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ทำงาน ยิ่งวันไหนมีงานด่วนก็ค้างกันที่นั่นเลย”
“ถ้าอย่างนั้นวันไหนเบื่อ ๆ ตังก็แวะมานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านป้าได้นะ ตังมาแล้วบ้านครึกครื้นขึ้นเยอะเลย”
“ครับคุณป้า”
“นี่ป้าก็เลยรู้สึกว่าเหมือนมีลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน”
คนตัวสูงยิ้มจนแก้มแทบปริในขณะที่อาทิตย์ทัศน์ได้แต่นั่งฟังเฉย ๆ อยากจะถามแม่เหลือเกินว่าจะไม่ถามความคิดเห็นของเขาเสียหน่อยหรือว่าอยากมีพี่ชายหรือน้องชายเพิ่มอีกคนไหม...
ในที่สุดจาก ‘แขกบ้านตรงข้าม’ ก็กลายมาเป็น ‘ลูกชายคนใหม่ของแม่’ ไปในที่สุด
อาทิตย์ทัศน์ปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุคก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลียหลังจากที่ช่วงนี้ต้องพานักศึกษาออกไปถ่ายภาพนอกสถานที่บ่อย ๆ ลมพัดเย็นพาม่านหน้าต่างสีขาวปลิวไสว ตาคมค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
ชายหนุ่มตื่นขึ้นอีกครั้งในตอนบ่ายแก่ ๆ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูรั้ว เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเขาก็เห็นผู้เป็นแม่กำลังเปิดประตูเข้าไปในรถซึ่งมีป้าดานั่งอยู่ด้านหน้าคู่กับคนขับซึ่งก็คือจอมขวัญ อาทิตย์ทัศน์เดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาให้ห้องน้ำก่อนจะเปิดประตูลงไปข้างล่าง
“ตื่นแล้วเหรอคุณ” ตฤณกรที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ระเบียงเอ่ยขึ้น
“นี่คุณยังไม่กลับอีกเหรอ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเดินไปนั่งขัดสมาธิลงที่โซฟา
“ถ้ากลับแล้วคุณจะเห็นผมไหมล่ะครับ” คำพูดของคนตัวสูงทำเอาคนที่กำลังงัวเงียตาสว่างทันที มือเรียวคว้าหมอนที่วางอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะปาใส่คนที่นั่งอยู่ที่ระเบียงเต็มแรง
“เฮ้ยคุณ! ทำอะไรเนี่ย” ตฤณกรร้องขึ้นพร้อมกับคว้าหมอนตกอยู่บนพื้นมากอดไว้
อาทิตย์ทัศน์ไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะเบนความสนใจไปอยู่ที่หน้าจอทีวี
“คุณหิวหรือเปล่า” คนตัวสูงที่เดินมานั่งที่โซฟาตัวข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“ไม่...”
“แต่ผมหิว ออกไปหาอะไรทานกันเถอะ”
“คุณหิวคุณก็ออกไปทานหรือไม่ก็กลับบ้านคุณไปสิ ผมจะรอทานกับแม่ผม”
“ไม่ต้องรอหรอก แม่คุณบอกว่าให้คุณหาอะไรทานไปก่อนได้เลย เพราะว่าแม่คุณกับป้าดาแล้วก็น้องขวัญน่ะ เขาออกไปเวียนเทียนที่วัดกัน พวกห่างไกลศาสนาอย่างคุณคงไม่เคยไปหรอกมั้ง” ตฤณกรกล่าวก่อนจะปาหมอนใส่หน้าคนที่เอาแต่นั่งจอจ้องจอทีวี
“เฮ้ย! นี่คุณหรอกด่าผมเหรอ”อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้ว
ตฤณกรได้แต่หัวเราะก่อนจะลุกขึ้น “ไปเร็วคุณ ไปหาอะไรทานกัน”
อาทิตย์ทัศน์มองตามหลังคนตัวสูงก่อนจะถอนหายใจ เขาส่ายหน้าก่อนจะลุกขึ้นคว้ากุญแจบ้านแล้วเดินตามออกไป....
แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมด ชายหนุ่มสองคนเดินไปตามถนนในหมู่บ้านจัดสรรซึ่งระหว่างทางมีทั้งจักรยานและจักรยานยนต์ขี่สวนออกมา ที่ตะกร้าหน้ารถหลายคันมีดอกไม้สำหรับบูชาพระ เมื่อเห็นแล้วก็เดาได้ไม่ยากว่าคนเหล่านี้กำลังจะไปเวียนเทียนที่วัดในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันนี้เป็นแน่ ไม่นานนักทั้งตฤณกรและอาทิตย์ทัศน์ก็เดินมาถึงตลาดโต้รุ่งในหมู่บ้าน
“ทานอะไรดีคุณ” คนตัวสูงเอ่ยขึ้น
“คุณอยากทานอะไรก็ทาน” อาทิตย์ทัศน์กล่าว ตัวเขาเองก็นึกไม่ออกว่าจะทานอะไรเหมือนกัน
“งั้นก๋วยเตี๋ยวก็แล้วกัน” พูดจบตฤณกรก็เดินนำไปที่รถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวทันที
“เอาเย็นตาโฟเส้นใหญ่ครับ” ชายหนุ่มสั่งกับอาแปะที่กำลังยืนลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว
“สองครับแปะ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้น
“นี่คิดบ้างไหมเนี่ย” คนตัวสูงกล่าวเมื่อทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะหน้ารถเข็นพอดี
“คิด พิจารณา ทบทวน ไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี” คนตัวเล็กกว่าตอบเรียบ ๆ แต่กลับดูกวนประสาทที่สุดในความรู้สึกของตฤณกร
“สงสัยตอนเด็ก ๆ จะชอบลอกข้อสอบนะคุณน่ะ”
อาทิตย์ทัศน์ทำตาโตก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณรู้ได้ยังไงน่ะ อืม...ส่วนคุณ...” ชายหนุ่มพยายามกลั้นหัวเราะ “แสนรู้แบบนี้คงกินเพ็ทดีกรีเป็นอาหารสินะ”
“นี่! คุณหลอกด่าผมอีกแล้วนะ” ตฤณกรขมวดคิ้วก่อนจะปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าเมื่อเห็นคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพยายามกลั้นหัวเราะและหันหน้าไปทางอื่น
“จะหัวเราะก็หัวเราะ ไม่ต้องเก็บไว้หรอกคุณ แหม...ด่าผมได้ละมีความสุข”
อาทิตย์ทัศน์เม้มปากแน่นพยายามกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง เขาหันกลับมาประจัญหน้ากับคนที่นั่งตรงข้ามกันอีกครั้งเมื่ออาแปะยกชามก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ “ทานดีกว่า หรือว่าคุณอยากได้เพ็ทดีกรี”
“ยังอีก ยังไม่เลิก” ตฤณกรมองคนตรงหน้ายิ้ม ๆ
“คุณทานเลือดไหม” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบเลือดก้อนโตขึ้นมา
ตฤณกรพยักหน้าเล็กน้อย “คุณไม่ทานเหรอ คุณไม่ทาน ทำไมไม่บอกแปะเขา คุณบอกเขาได้นี่ว่าให้เอาออกให้หน่อย เขาจะได้ให้อย่างอื่นมาแทน เอาไหมเดี๋ยวผมบอกให้” ตฤณกรกล่าวก่อนจะหันไปหาอาแปะที่รถเข็น
“เฮ้ย! ไม่ต้องหรอกคุณ เกรงใจแปะ ไหน ๆ เขาก็ใส่มาแล้ว คุณก็ทานนี่” พูดจบอาทิตย์ทัศน์ก็วางเลือดลงในชามฝั่งตรงข้าม
“แล้วถ้าผมไม่ทานเนี่ย มันก็ต้องถูกทิ้ง เสียของเข้าไปอีก ถ้าเขาใส่อะไรที่คุณไม่ทานลงมาอีกคุณไม่ต้องเขี่ยทิ้งแล้วทานแต่เส้นอย่างเดียวเหรอ”
“พูดมากจริง”
“ก็มันจริงนี่คุณ เราเกรงใจคนอื่นได้แต่อย่าให้ตัวเองต้องเดือดร้อนสิ บางทีเรานึกถึงแต่คนอื่น แต่คนอื่นเขาอาจจะไม่ได้นึกถึงเราเลยก็ได้ คุณว่าจริงไหม”
อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับก๋วยเตี๋ยวในชามเงียบ ๆ
เดือนต่อมา...
“เฮ้อ!!!!!!!!!!!!!” เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ทำเอาบรรดาเพื่อน ๆ ที่นั่งคุยงานกันอยู่ในห้องต้องเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียง ตฤณกรใช้มือทั้งสองข้างขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน
“มันเป็นอะไรของมันวะ” คนหนึ่งในกลุ่มที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่กลางห้องเอ่ยขึ้น
“แก้งานให้ลูกค้าน่ะสิ เห็นนั่งแก้มาหลายวันแล้วยังไม่เสร็จ” หนุ่มร่างท้วมที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคตอบแทนเพื่อน
“เยอะเหรอวะ”
“งานน่ะไม่เยอะหรอก ที่เยอะน่ะลูกค้า” ตฤณกรเงยหน้าขึ้นตอบ
“เอาน่า ค่อย ๆ รีบทำไป” สาวเปรี้ยวร่างอวบซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มพูดกลั้วหัวเราะ
“ตกลงให้รีบหรือให้ค่อย ๆ วะแนนนี่” ตฤณกรขมวดคิ้ว
“ก็ค่อย ๆ แล้วก็รีบ ๆ นั่นแหละ”
“เฮ้อ!!!!! พรุ่งนี้ก็มีประชุมเรื่องนักศึกษาฝึกงานอีก” ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าอิดโรยบ่น “ยังไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“อ้าว ก็เมื่อเช้าพี่นีฝ่ายบุคคลเขาเอาเอกสารมาให้แกแล้วไง ยังไม่ได้ดูเหรอ”พัฒน์กล่าว
“ไหนวะ” ตฤณกรมองซ้ายมองขวากวาดสายตาหาเอกสารที่ว่า
“นี่หรือเปล่า” หญิงสาวคนเดิมก้มลงหยิบเอกสารที่หล่นอยู่ข้างเก้าอี้ขึ้นมาดู
บรรดาหนุ่ม ๆ ที่สุมหัวคุยงานกันอยู่ต่างพากันลุกขึ้นมาดูอย่างสนใจ “ไหน ๆ ดูซิ เผื่อจะมีน้องฝึกงานสาว ๆ สวย ๆ มาทำให้ไอ้ตังมันกระชุ่มกระชวยบ้าง”
แนนนี่ยิ้มก่อนจะพลิกเอกสาร 2-3 แผ่นที่เย็บรวมกันอ่าน “มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นเลยนี่นา เสร็จฉันละงานนี้”
“เก็บอาการหน่อยยัยแน่นนะนี่” พัฒน์หัวเราะ
“ไอ้พัฒน์ ฉันชื่อแนนนี่ย่ะ เรียกให้มันถูก” เธอหันไปค้อนชายหนุ่มร่างท้วม ก่อนจะส่งเอกสารให้ตฤณกร “อ่ะนี่ เอกสารแก”
จากนั้นเธอก็เดินกลับไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ที่โต๊ะทำงานใหญ่
ตฤณกรถอนหายใจก่อนจะเปิดเอกสารออกอ่าน ในเอกสารแจ้งว่าเขาจะต้องดูแลนักศึกษาฝึกงานจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจำนวน 3 คน เป็นนักศึกษาจากภาควิชาออกแบบ 2 คน และนักศึกษาจากภาควิชาศิลปะการถ่ายภาพ 1 คน ซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก ชายหนุ่มถอนหายใจอีกเฮือกเมื่ออ่านมาถึงหน้าที่ต่าง ๆ ของการเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักศึกษาฝึกงาน มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจเข้าไปใหญ่
ตฤณกรอ่านข้อความยาวยืดนั้นคร่าว ๆ ก่อนจะเปิดไปที่หน้าสุดท้ายซึ่งแสดงชื่อของอาจารย์นิเทศ 2 ท่าน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขารู้จัก
“อาจารย์อาทิตย์ทัศน์ กิตติวรกุล” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้า...
....นี่คงเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในเอกสารฉบับนี้....
เช้าวันต่อมาภายในห้องประชุมของบริษัทแห่งหนึ่ง อาทิตย์ทัศน์หันไปสบตาคนที่นั่งเยื้องกันที่ฝั่งตรงข้ามเล็กน้อยหลังจากผู้จัดการบริษัทแนะนำว่าเขาคือคนที่จะเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลนักศึกษาฝึกงานในครั้งนี้ หลังจากประชุมเสร็จเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลก็พานักศึกษาฝึกงานไปแนะนำให้พนักงานในฝ่ายต่าง ๆ ได้รู้จัก
“ยังไงก็ดูแลกันให้ดีนะ มีปัญหาอะไรก็โทรมาคุยได้ ทั้งผมทั้งอาจารย์ชนะชัย ไม่ต้องคิดว่าเป็นอาจารย์หรือนักศึกษาภาคไหน ยังไงอาจารย์นิเทศก็ต้องดูแลพวกเราทุกคนจนฝึกงานเสร็จอยู่แล้ว” อาทิตย์ทัศน์กล่าวกับนักศึกษาทั้งสามคน
“ขอบคุณครับอาจารย์” ชายหนุ่มทั้งสามคนกล่าวขึ้นพร้อมกันก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันที่หน้าลิฟท์
มือเรียวเอื้อมกดปุ่มก่อนจะเงยหน้ามองตัวเลขดิจิตัลที่ค่อย ๆ ลดลง จนในที่สุดลิฟท์ก็เปิดออก อาทิตย์ทัศน์ก้าวเข้าไปยืนรวมกับคนข้างในอีก 3-4 คน แต่ก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดใครคนหนึ่งก็ร้องขึ้นพร้อมกับแทรกตัวเข้ามา
“ไปด้วยครับ”
อาทิตย์ทัศน์เหลือบมองคนตัวสูงที่เข้ามายืนในมุมหนึ่งซึ่งห่างออกไป คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อลิฟท์หยุดเกือบทุกชั้นตั้งแต่ชั้น 16 ที่เขาเข้ามาจนกระทั่งถึงชั้น 9 ตลอดทางมีคนเข้ามาใหม่ รู้สึกว่าวันนี้คนไทยจะมีน้ำใจผิดปกติเพราะต่างคนต่างขยับเพื่อให้คนข้างนอกสามารถเข้ามายืนในลิฟท์ได้ จากคนที่เคยยืนอยู่ห่างกันจึงกลายมาเป็นยืนข้าง ๆ กันในที่สุด
ตฤณกรเหลือบมองคนที่ความสูงเลยไหล่เขาขึ้นมานิดหน่อย ปลายจมูกโด่งยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นเคยเป็นระยะจนกระทั่งประตูลิฟท์เปิดออกเมื่อถึงชั้นล่างสุดของอาคาร 25 ชั้น อาทิตย์ทัศน์ขยับตัวเดินตามคนอื่น ๆ ออกมาจากลิฟท์ด้วยความรู้สึกเหมือนได้หลุดจากพันธนาการบางอย่าง จากนั้นเขาก็เดินตรงไปที่ประตูทางออกทันที
“เดี๋ยวสิครับอาจารย์” ตฤณกรเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาดักหน้าเขาเอาไว้
“มีอะไรว่ามา”
“นี่เบอร์ติดต่อผมครับ” คนตัวสูงยิ้มพร้อมกับยื่นนามบัตรให้
อาทิตย์ทัศน์รับมันมาก่อนจะเก็บใส่สมุดบันทึกที่ถืออยู่ในมือ
“โห....ไม่ดูเลยอ่ะ” คนตัวสูงบ่น
“มีอะไรอีกไหม ผมต้องรีบกลับไปสอน”
“แล้วอาจารย์ไม่คิดจะให้เบอร์ผมไว้บ้างเหรอครับ เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้ติดต่อได้”
“ในสมุดประจำตัวของนักศึกษาน่าจะมีเบอร์ติดต่อภาควิชาอยู่แล้ว คุณโทร.ตามเบอร์นั้นได้เลย”
“เดี๋ยวสิคุณ แล้วถ้ามันมีเหตุฉุกเฉินที่ผมต้องติดต่อคุณล่ะครับ แบบเร่งด่วน ด่วนมาก ๆ ด่วนที่สุด สำคัญมาก ๆ .....”
“พอ ๆ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับถอนหายใจด้วยความเซ็งก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงส่งให้คนตัวสูงตรงหน้า ตฤณกรยิ้มก่อนจะรับมันมากดเบอร์ตัวเอง กดไปก็มองคนที่ยืนหน้าตูมอยู่ตรงหน้าไป กดไปก็ยิ้มไป เขายิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าของตัวเองดังขึ้น จากนั้นจึงส่งโทรศัพท์คืนให้อาทิตย์ทัศน์
“ขอบคุณครับ” คนตัวสูงยิ้มตาหยี
...
“เป็นอะไรวะ อารมณ์ดีอย่างกับคนบ้า” พัฒน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเอาแต่กดโทรศัพท์ไปยิ้มไป
ตฤณกรไม่ได้ตอบอะไรเขายังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่อย่างนั้นก่อนจะกดเลือกรูปของใครบางคนที่เขาถ่ายเอาไว้นานแล้วบันทึกพร้อมกับเบอร์โทรศัพท์.....
....
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มาก ๆ เลย
มันช่วยในการประกอบการคิดว่า เรื่องมันน่าจะไปในทิศทางไหน
พอดีช่วงนี้มีเวลาเลยเขียนได้เยอะหน่อย นึกอะไรได้ก็เขียน ๆ เก็บไว้ เดี๋ยวจะลืม
แต่ว่าถ้าหายไปนาน ๆ อย่าว่ากันนะคะ ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ