เธอที่รัก 11
ภาติยะนั่งพิงโซฟาด้วยท่าทีใจเย็น นิ้วมือเคาะเบาะนุ่มเป็นจังหวะไม่ขาดช่วง รอยยิ้มแย้มพรายประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา บ่งบอกได้ชัดเจนว่าตอนนี้เขากำลังอารมณ์ดีสุดขีด แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ทำให้เขาต้องอารมณ์สะดุดในทันใด ร่างสูงลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อนก่อนจะตรงไปยังห้องนอน…ที่น่านฟ้าหายเข้าไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว
ลูกบิดประตูถูกหมุนออกอย่างเชื่องช้า ประตูค่อย ๆ เลื่อนออกตามแรง ทำให้ภาติยะนึกโล่งใจที่น่านฟ้าไม่ได้ล็อคห้อง มันดีตรงที่เขาไม่ต้องเดินไปหยิบกุญแจให้เสียเวลา…
ประตูถูกเปิดออกแผ่วเบาจนคนด้านในที่ซุกหน้าอยู่กับหมอนไม่รู้สึกตัว ภาติยะก้าวไปบนพื้นพรมก่อนจะหยุดที่ข้างเตียง ดวงตาคมมองดูน่านฟ้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วทรุดตัวลงนั่งลงข้าง ๆ อีกคนอย่างไม่ปิดบังตัวตน…
น่านฟ้าที่รับรู้ถึงแรงยุบของเตียง ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ดวงตาบวมช้ำจ้องมองภาติยะอย่างตัดพ้อต่อว่า แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนหันหน้าหนีอีกคนไปอีกครั้ง ภาติยะหัวเราะเหมือนเจอเรื่องสนุก แต่ก็ขยับเข้าไปจนชิดน่านฟ้า…ก้มหน้าลงไปมองอีกคนด้วยรอยยิ้มพร่างพราย
“ดูสิ…ตาบวมหมดเลยคนเก่ง” ภาติยะพลิกร่างบางเข้ามาหาตัว แล้วจ้องมองดวงตาแดงก่ำที่บวมช้ำอย่างนึกสงสารขึ้นมา
“ไม่ร้องแล้วนะครับ…แน่ะบอกไม่ให้ร้อง” เอ่ยต่อว่าเมื่อหยดน้ำใสร่วงลงมาจากดวงตาคู่สวยไม่หยุด จนต้องเอื้อมมือปัดออกให้แผ่วเบา ด้วยกลัวแก้มนุ่มช้ำไปด้วย
“ไม่ต้องมาสนใจ” น่านฟ้าหันหน้าหนีแต่ก็ถูกเชยคางเข้าหาอีกคนจนได้
ภาติยะยิ้มเย็น “อยากให้ไปสนใจมาศขนาดนี้เชียว เดี๋ยวก็สนองคำเสนอซะเดี๋ยวนี้หรอก”
“จะไปไหนก็ไปเลย” น่านฟ้าตวาดขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำมองภาติยะด้วยสายตากร้าวเพราะความโมโหโกรธา
ภาติยะกำมือแน่น เขาลุกขึ้นหันหลังให้อีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่น่านฟ้าก็ตะโกนว่าออกมาอีก “ไอภาตบ้า…ไปไกล ๆ เลย”
เพียงแค่นั้นร่างสูงก็พุ่งตัวลงไปคร่อมร่างบางอย่างมีโมโห “ทำไมถึงพูดไม่เพราะแบบนั้นฮะน่านฟ้า ใครสอนกัน”
“ทำไมจะพูดไม่ได้…ไอภาตบ้า ๆ” แล้วน่านฟ้าก็ตะโกนออกมาอีกอย่างไม่สนใจอารมณ์ขุ่นมัวของร่างสูง ที่แทบจะนั่งทับตัวเองอยู่ตรงหน้า
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดเจอดีแน่” ภาติยะเตือนแทรกขึ้นมา ขณะที่น่านฟ้าทำหน้าแสยะยิ้มที่เขาเห็นว่าน่าเกลียดที่สุด “ไม่หยุดเหรอ…”
ภาติยะก้มลงซุกหน้าเข้ากับซอกคอขาวโดยที่น่านฟ้าไม่ทันตั้งตัว สองมือจึงทำได้แค่เพียงดึงทึ้งเสื้อของร่างสูงหากแต่ก็ไม่ทำให้อีกคนพ้นออกมาจากตัวได้ ริมฝากที่ลากไล้เปลี่ยนด้านเผยให้เห็น ร่องรอยสีกลีบกุหลาบรายรอย และร่องรอยเหล่านั้นคล้ายจะดึงดูดเรี่ยวแรงของน่านฟ้าออกไปได้จนหมด…
“ภาต…หยุดก่อน” เสียงห้ามสั่นเครือหากภาติยะกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
ริมฝีปากลากไล้ไปทั่วแผ่นอกทั้งที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ หากแต่สองมือกลับเลือกที่จะสอดเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด เพื่อสัมผัสกับผิวเนื้อนุ่มเนียน ปล่อยให้น่านฟ้าสั่นสะท้านกับสัมผัสที่ได้รับ จนต้องกัดริมฝีปากจนห้อเลือด…
ภาติยะเลื่อนตัวขึ้นมองน่านฟ้าด้วยสายตาดุดันจนคนเห็นอดกลัวขึ้นมาไม่ได้ ที่ออกฤทธิ์ออกเดชไว้เมื่อสักครู่แทบจะลืมไปหมด “เด็กดีต้องไม่ดื้อรู้มั้ยครับ…อย่าพูดไม่เพราะอีก น่านฟ้าไม่เคยพูดแบบนั้น ไม่ทำก็น่ารักอยู่แล้ว อย่าหัดทำรู้มั้ย…คนเก่ง”
“ก็…ก็ ภาตไม่เห็นรักเลย” น่านฟ้าตัดพ้อ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะหาเรื่องมาหลอกลวงให้เชื่อฟังอีกตามเคย แต่ตอนนี้เขาเองก็ไม่กล้าจะทำเก่งสักเท่าไหร่
“ไม่เห็นเคยบอกว่าไม่รัก ไปได้ยินมาจากไหนกัน” ภาติยะคาดคั้นถามขึ้นมา ไม่กลัวสักนิดว่ากำลังกดดันอีกฝ่ายอยู่ ปล่อยให้คนถูกถามตัวสั่นเพราะความกลัวนี่แหละสนุกดี
“ก็จะกลับไปเป็นแฟนกับมาศ ไม่รักเราแล้วใช่มั้ย…”
“มั่วนิ่มเกินไปแล้วไง” ภาติยะพูดแทรกน่านฟ้าขึ้นมาอีก “คนเค้าพูดเล่น แค่นี้ก็เชื่อ…แล้วไอ้ที่ควรจะเชื่อน่ะทำไมไม่เชื่อฮึ เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจจริง ๆ ดีมั้ยเนี่ย ไม่เชื่อใจกันเลย”
ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจจนน่านฟ้าอยากจะด่าออกมาอีกสักรอบ แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะโกรธเข้าอีก จึงได้แต่นิ่งเงียบ ปล่อยให้คนฉวยโอกาสหอมแก้มเขาไปหลายครั้ง แม้จะสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม
“มาศเค้ามาบอกว่าจะหมั้นเดือนหน้าน่ะ กับลูกชายเจ้าของโครงการคอนโดริมน้ำนั่นแหละ ไม่ใช่กับพ่อหรอก ก็นั่งอยู่ด้วยกันแล้วไม่ฟังด้วยกัน มัวแต่เหม่อ… ถ้าหึงซักหน่อยก็ไม่แกล้งหรอก เห็นเอาแต่นั่งนิ่งเลยหมั่นไส้” ภาติยะยอมบอกความจริงในที่สุด
น่านฟ้าจ้องมองภาติยะอย่างไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นอีกคนยิ้มเยาะมือบางก็ทุบเข้ากับแผ่นอกอีกคนไม่ยั้ง จนภาติยะต้องคว้าสองมือนั้นเอาไว้แล้วกดลงกับเตียงไม่ให้ขยับได้ น่านฟ้าดิ้นรนหวังให้ตัวเองหลุดจากเงื้อมมืออีกฝ่ายแต่กลับไม่เป็นผลใด ๆ
ภาติยะยิ้มพอใจเมื่อเห็นร่างบางหอบสะท้านจากความเหน็ดเหนื่อย หลังจากดิ้นรนจะทำร้ายเขาอยู่นาน แต่นั่นก็ทำให้เขาอยากจะแกล้งขึ้นมาอีก มือที่เคยกดข้อมือบางอยู่ที่เลื่อนขึ้นปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่ายออกอย่างใจเย็น โดยมีสายตาของน่านฟ้ามองตามอย่างไม่เข้าใจนัก
กระดุมถูกปลดออกหมดในเวลาเพียงไม่นาน สาบเสื้อที่แยกออกจากกันแค่เพียงนิดเผยให้เห็นผิวขาวนวลที่เคยซุกซ่อนอยู่ นิ้วเรียวลากไล้จากกลางอกลงมาถึงสะดือ ทำให้น่านฟ้าต้องขยับหนีพร้อมเสียงหัวเราะคิกด้วยความจักจี้ จนสาบเสื้อเลื่อนออกให้เห็นแผ่นอกเรียบเนียนหมิ่นเหม่…
“ให้ถอดเหรอ…” เสียงใสเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
สองมือที่วางอยู่บนหมอนทำให้เรียวแขนงอเป็นรูปตัววีสร้างความเซ็กซี่ให้เจ้าตัวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทำให้คนมองถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว และความลืมตัวนั้นก็ทำให้ภาติยะพยักหน้าแสดงความต้องการที่แท้จริงออกมา…
น่านฟ้าที่กำลังจะลุกขึ้นกลับต้องนอนอยู่นิ่ง ๆ เมื่อสองมือของภาติยะเลื่อนเข้าปลดเสื้อเขาออกจากตัวให้อย่างไม่รีบร้อน ตัวบาง ๆ ยกขึ้นให้เสื้อนั้นผ่านออกจากเรือนกายได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เนื้อตัวจะเปลือยให้เห็นช่วงบนโดยไม่มีสิ่งใดปิดบัง
“สวยจริง ๆ น่านฟ้า…” เสียงที่เอ่ยชื่นชมนั้นสั่นพร่า เมื่อสติถูกแทนที่ด้วยอารมณ์บางอย่าง แต่น่านฟ้ายังคงไม่รู้สึกถึงความรู้สึกนั้น
ความเงียบเข้าครอบงำทั่วทั้งห้อง ดวงตาช้ำจ้องมองคนที่นั่งคร่อมตัวเองอย่างสนใจ หากอีกคนกลับเลื่อนสายตาร้อนแรงมองไปตามผิวเนื้อตรงหน้า คล้ายจะแผดเผาให้หลอมละลายไปกับสายตาตนเอง และก็ได้ผลเมื่อน่านฟ้าพยายามดิ้นรนขยับหนี…
“ไม่เอา…พอแล้ว อย่ามองนะ พอ…” มือที่พยายามยกขึ้นปิดบังถูกจับกดลงบนเตียงอีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนภาติยะจะตั้งใจกลั่นแกล้งอีกฝ่ายยิ่งกว่าเดิม
สายตาคมเจาะจงจ้องมองเกสรสีหวานทั้งสองด้าน ทำให้น่านฟ้าต้องขบริมฝีปากและหลับตาหนีด้วยความอับอายอย่างไม่เคยเป็น อาจจะเพราะความรู้สึกในดวงตาคู่นั้นที่ชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ ที่ทำให้ความรู้สึกของเขาต้องเปลี่ยนไปด้วย…
ศีรษะของภาติยะโน้มลงไปจนปลายจมูกเกือบชิดยอดสีสด หากดวงตาจับจ้องไปยังดวงหน้าหวานที่หลับตาแน่น ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดจุดไวสัมผัสทำน่านฟ้าต้องสะท้านกายและลืมตาขึ้นมองด้วยความตกใจ ดวงตาที่สบเข้ากับดวงตาอีกคู่อยากจะเคลื่อนหนีสายตานั้น หากดูเหมือนอีกคนจะควบคุมตัวเขาไว้ได้ทั้งหมด…เมื่อร่างกายไม่ทำตามจิตใจ
“ฮะ…” ลิ้นนุ่มที่แตะลงไปบนยอดอกนั้นเรียกเสียงครางเครือได้ไม่ยาก ลิ้นร้อนโลมเลียคล้ายหิวกระหายก่อนจะดูดกลืนเพื่อครอบครองเอาไว้ทั้งหมด ขณะที่อีกด้านก็ถูกเคล้นคลึงด้วยนิ้วมือ จนอารมณ์ในเบื้องลึกถูกผลักดันขึ้นมาในเวลาไม่นาน
เสื้อผ้าที่ติดเรือนกายของทั้งสองหลุดออกและถูกโยนทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้สึกตัว เสียงแว่วหวานดังสะท้อนไปทั้งห้อง เมื่อยามร่างสูงปรนเปรอส่วนอ่อนไหวให้ด้วยฝ่ามือ ไม่นานนักก่อนที่ริมฝีปากจะเข้าครอบครองแทนที่ทั้งส่วนนั้นและซอกหลืบลึกลับที่ไม่เคยมีใครได้แตะต้อง…
ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อยามอารมณ์ถูกฉุดไปถึงจุดสูงสุด แผ่นหลังแอ่นขึ้นสูงขณะที่สองมือไขว่คว้าหาอีกคนที่ขยับตัวขึ้นมากอดเอาไว้ราวกับล่วงรู้ถึงหัวใจ เรือนร่างที่หอบสะท้านถูกวางลงอีกครั้งแผ่วเบา ดวงตาหวานช้ำที่ปรือปรอยจ้องมองคนตรงหน้าเห็นเพียงภาพพร่ามัว จนต้องเอื้อมมือประคองดวงหน้านั้นเอาไว้…ด้วยกลัวอีกคนจะเลือนหายไป
“คราวนี้คงต้องเป็นของภาตจริง ๆ แล้วล่ะ…คนดี” ประโยคบอกเล่าถึงกับทำให้ดวงหน้าที่ซับสีเรื่ออยู่แล้วแดงจัดในเวลาอันรวดเร็ว…หากนั่นคล้ายเป็นการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยความเต็มใจ
ภาติยะยิ้มอ่อนโยนถูไถใบหน้าเข้ากับมือนั้นราวออดอ้อน ริมฝีปากกดลงกลางฝ่ามือนุ่มแรง ๆ แล้วเลื่อนลงประกบกับริมฝีปากอิ่มช้ำแทนคำเรียกร้อง ไม่มีคำเอ่ยขอเมื่อรู้แน่แก่ใจว่าคน ๆ นี้เป็นคนของเขา เรียวนิ้วแทรกเข้าหาที่สถิตแห่งตัวตนทั้ง ๆ ที่ริมฝีปากยังคงมอบรสจุมพิตหวานล้ำให้อีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน
หากความเจ็บปวดที่ได้รับก็ทำให้เล็บของน่านฟ้าจิกลากไปตามแผ่นหลัง รวมถึงกดเข้ากับต้นแขนแกร่งเป็นการผ่อนคลาย…นิ้วที่ขยับเข้าออกครั้งแล้วครั้งเล่าจากที่มีเพียงหนึ่งจนเพิ่มจำนวนถึงที่สุด แม้จะสร้างความเจ็บปวดให้ แต่ดวงตายังคงเชื่อมหวานและจ้องมองใบหน้าอีกคนไม่ละสายตา
เล็บที่จิกลงกับแผ่นหลังเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดของน่านฟ้าได้ดี หากภาติยะก็เพียงแค่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ไม่ร้องโอดโอยให้อีกคนได้ยินเช่นกัน…
ต้นขาขาวเต็มไปด้วยร่องรอยที่ไม่รู้ว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ถูกแยกออก ก่อนตัวตนของผู้เป็นเจ้าของทั้งตัวและหัวใจจะเคลื่อนหายเข้าไปทีละนิด ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านทำให้หยดน้ำใสร่วงหล่นจากดวงตาคู่หวานอีกครั้ง หากก็ถูกริมฝีปากบางจูบซับให้อย่างปลอบโยน จวบจนสองร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน…
น่านฟ้าหอบสะท้านดวงตายังคงจ้องมองสบตาภาติยะ ที่ทอดรอยยิ้มมาให้อย่างอบอุ่น แล้วน้ำตาก็ร่วงหล่นราวกับสายธาร เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ได้สัมผัส ความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่าที่เคย…เมื่อเรือนกายและหัวใจถูกครอบครองโดยเจ้าของที่แท้จริง
ค่ำคืนเลื่อนไปตามเวลาที่ผันผ่าน เสียงครางเครือหอบสะท้านดังจนสิ้นสุดลงในนาทีหนึ่ง ก่อนความเงียบและมืดมิดจะเข้าครอบครองบริเวณห้องทั้งหมด ท่ามกลางความมืดนั้น ร่างบางยังคงถูกร่างสูงกอดเอาไว้ไม่ปล่อย สองมือสอดประสานแน่นหนาแทนความรู้สึกที่จะไม่พรากจากกันไปไหน…เช่นเดียวกับการกระทำที่แทนความรักทั้งหมดที่มี
เมื่อยามเช้ามาถึงเรื่องราวในค่ำคืนจะดำเนินไปด้วยความมั่นคง…ทั้งความรู้สึกและหัวใจ
++++++++++++++++++++++++++
แสงสว่างรอบตัวเมื่อยามลืมตาขึ้นมาพบทำให้ต้องยกมือขยี้ตาอย่างเคยชิน เรื่องที่เพิ่งผ่านพ้นกลับเข้าสู่ห้วงคิด ทำให้ภาติยะเริ่มรู้สึกว่าแขนอีกข้างรับน้ำหนักบางอย่างอยู่ เขาก้มลงมองดวงหน้าหวานที่ซุกซบอยู่กับอกด้วยความรักใคร่หลงใหล…
ริมฝีปากจรดลงบนหน้าผากมนแผ่วเบาด้วยกลัวอีกคนจะตื่นขึ้นมา แต่แม้จะต้องการให้น่านฟ้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ภาติยะก็ยังอดไม่ได้ที่จะหาเศษหาเลยจากร่างบางที่มีเพียงผ้าห่มกั้น มือที่ทำท่าจะลูบไล้เข้าสู่ภายในหยุดชะงักเมื่อมองเห็นรอยจูบบนหัวไหล่ที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมา เมื่อจินตนาการไป…มันช่างคล้ายกับกลีบกุหลาบที่ตกลงสู่เรือนกายขาวนวล
ด้วยความเผลอไผลทำให้ภาติยะขยับตัวขึ้นเพื่อจูบประทับไปบนรอยนั้นอีกครั้ง แรงเคลื่อนไหวทำให้คนที่กำลังหลับอยู่งัวเงียตื่นขึ้นมาจนได้ คนที่เผลอปลุกจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายตัวเอง แต่ดวงตาที่ค่อย ๆ โผล่พ้นเปลือกตาทำให้เขาอดยิ้มอย่างพอใจไม่ได้…
“ตื่นแล้วเหรอฮื้อ…ที่รัก” เป็นคำถามที่ไม่สนใจคำตอบสักนิด เมื่อริมฝีปากอิ่มถูกจูบไปหลายครั้งแทนการปลุกให้รู้สึกตัว
“ภาตปลุกอีกแล้วนะ…” น่านฟ้าบ่นแล้วทุบลงบนแผ่นอกกว้างเหมือนเช่นทุกวัน แต่เมื่อดิ้นหนีความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาก็ฟ้องถึงเหตุการณ์เมื่อคืนได้ในเวลาอันรวดเร็ว จนดวงหน้าซับรีเรื่ออย่างทันอกทันใจภาติยะ
“เมื่อคืนเรา…” น่านฟ้าจะเอ่ยถามเหมือนต้องการความแน่ใจ แต่ความอายก็ทำให้ต้องเงียบไปทันที จนอีกคนส่งเสียงหัวเราะดังลั่นก่อนจะหยุดชะงัก…
ภาติยะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยถามกลับ “เมื่อคืนมีอะไรเหรอน่านฟ้า มีเหรอ…”
“ก็…ก็…” คนถูกถามอึกอัก ไม่กล้าพูด จนคนชอบแกล้งต้องแหย่ “ก็อะไรเหรอ…”
น่านฟ้าเริ่มจะขัดใจจนต้องเอ่ยประชดประชัน “ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะไปทำอะไรกับใครมานี่แหละ แต่ใครไม่รู้จำไม่ได้เหมือนกัน ตายเลยท้องไม่มีพ่อเราจะทำไงล่ะเนี่ย…”
คนไม่ค่อยรู้ประสีประสาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ แต่ก็ทำให้ภาติยะเริ่มจะฉุน พอนึกได้ว่าเพราะตัวเองเริ่มก่อนเลยไม่กล้าจะออกฤทธิ์อะไรอีก “ไม่ต้องมาประชดเลยปล่อยให้ดูละครมากก็ไปจำเอาคำพูดนางร้ายมาซะนี่ ก็ทำกับภาตนี่แหละ…เค้าเรียกว่าอะไรนะ”
ท่าทีครุ่นคิดอย่างหนักทำให้น่านฟ้าต้องมองคนข้าง ๆ จนตาโตเกือบเท่าไข่ห่าน “อ๋อ…ทำตัวเป็นสามีภรรยากันไงที่รัก…”
คำตอบที่เหมือนถูกเอาอะไรมาทุบหัวทำให้น่านฟ้าอึ้งไป จนภาติยะหัวเราะชอบใจ และด้วยความรวดเร็วร่างบางก็ถูกอุ้มขึ้นจากเตียงตรงไปยังห้องน้ำกว้างเพื่อชำระล้างคราบไคลที่ค้างคามาจากเมื่อคืนวาน…
++++++++++++++++++++++++++
เสียงน้ำไหลยังคงดังสะท้อนไปทั่วห้องเมื่อในอ่างมีปริมาณน้ำแค่เพียงครึ่ง ภาติยะวักน้ำขึ้นลูบไปตามผิวเนื้อนวลที่เริ่มขึ้นสีเรื่อจากความร้อน น่านฟ้าค่อย ๆ เอนตัวพิงอีกฝ่ายแล้วหัวเราะเบา ๆ ด้วยความจักจี้จากสัมผัสที่ลูบไล้ไปตามเรือนกาย แล้วดวงหน้าหวานก็ถูกจูบระรานไปจนทั่ว…ซึ่งกว่าจะอาบน้ำเสร็จน่านฟ้าก็คงช้ำไปทั้งตัว
หลังจากถูเนื้อถูตัวกันเรียบร้อย ภาติยะก็ยังคงไม่ยอมปล่อยให้น่านฟ้าขึ้นจากอ่างอาบน้ำ สองแขนกอดรัดรอบเอวบาง ให้น่านฟ้าได้เอนพิงซบอกกว้างอย่างไม่กลัวตัวจะเปื่อย…ปลายจมูกโด่งกดลงบนแก้มนุ่มแรง ๆ อย่างมันเขี้ยวหลายครั้ง จนน่านฟ้าต้องดันใบหน้าอีกคนออกห่าง
“ดีเนาะที่ผู้ชายมีลูกไม่ได้…” อยู่ ๆ น่านฟ้าก็พูดขึ้นมา ดวงตาเศร้าสร้อยช้อนขึ้นมองภาติยะสื่อถึงความทุกข์ที่มีอยู่ภายใน
“ไม่ชอบเด็กเหรอ” ภาติยะถามด้วยความไม่เข้าใจในความคิดของคนที่เขากอดอยู่ “คนดี…ทำไมถึงไม่ชอบล่ะครับ…ฮื้อ”
น่านฟ้าส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่กลัวดูแลไม่ได้…ถ้าทำให้ร้องไห้ขึ้นมา ต้องเจ็บที่หัวใจจนตายแน่ ๆ เลย กลัวจังเลยภาต…”
เรือนร่างสั่นสะท้านบ่งบอกถึงความหวาดกลัวนั้น ทำให้ภาติยะต้องกอดกระชับน่านฟ้าแน่นเข้า ความสัมพันธ์ที่ผันผ่านทำให้น่านฟ้าเริ่มคิดถึงคำว่า ‘ครอบครัว’ และคำนี้สร้างความสะเทือนใจให้เจ้าตัวเมื่อนึกถึงความเจ็บช้ำในอดีตที่ผ่านมา…
ครอบครัวของน่านฟ้าไม่อบอุ่น ก็เพราะการเลือกเกิดไม่ได้ของตัวเขาเอง นั่นทำให้น่านฟ้ามีปมด้อยอยู่ในใจ แม้จะไม่แสดงออกว่าหวาดกลัวแต่เขาก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่รู้ว่าจะถูกทอดทิ้งเมื่อไหร่…หากสุดท้ายน่านฟ้าก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายทอดทิ้งครอบครัว เพื่อเลือกคนที่เขาคิดว่าจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน และภาติยะก็ไม่เคยทำให้น่านฟ้าต้องรู้สึกผิดหวังสักครั้ง
“ไม่ต้องกลัวนะ…ภาตอยู่ตรงนี้ไง ไม่ต้องกลัวคนดี…” ถ้อยคำปลอบโยนคล้ายลอยมาจากที่ไกล ๆ แต่ทุกคำที่ชัดเจนเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ทั้งหมด
น่านฟ้ายิ้มหวานให้คนรักแล้วก้มลงจูบบนแผ่นอกกว้างแทนคำขอบคุณ ก่อนจะถูกภาติยะเชยคางขึ้นรับจุมพิตแสนหวานเนิ่นนาน…แทนคำสัญญาที่มี ว่าจะปกป้องดูแลและมอบความรักให้น่านฟ้าไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ไม่ว่าจะเพราะสิ่งใดที่ดลบันดาลให้เกิดความรัก สิ่งที่จะทำให้ความรักคงอยู่ไม่จืดจางไปไหนก็คือใจสองใจที่คอยทนุถนอมดูแลความรักนั้น…ตั้งแต่วินาแรกที่เริ่มรักจนถึงตลอดไป
หัวใจฉันจะเป็นของเธอเสมอ…ที่รัก