(3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน  (อ่าน 65296 ครั้ง)

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 11
«ตอบ #90 เมื่อ29-12-2013 20:42:11 »

เธอที่รัก 11



ภาติยะนั่งพิงโซฟาด้วยท่าทีใจเย็น  นิ้วมือเคาะเบาะนุ่มเป็นจังหวะไม่ขาดช่วง  รอยยิ้มแย้มพรายประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา  บ่งบอกได้ชัดเจนว่าตอนนี้เขากำลังอารมณ์ดีสุดขีด  แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ทำให้เขาต้องอารมณ์สะดุดในทันใด  ร่างสูงลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อนก่อนจะตรงไปยังห้องนอน…ที่น่านฟ้าหายเข้าไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว

ลูกบิดประตูถูกหมุนออกอย่างเชื่องช้า  ประตูค่อย ๆ เลื่อนออกตามแรง  ทำให้ภาติยะนึกโล่งใจที่น่านฟ้าไม่ได้ล็อคห้อง  มันดีตรงที่เขาไม่ต้องเดินไปหยิบกุญแจให้เสียเวลา…

ประตูถูกเปิดออกแผ่วเบาจนคนด้านในที่ซุกหน้าอยู่กับหมอนไม่รู้สึกตัว  ภาติยะก้าวไปบนพื้นพรมก่อนจะหยุดที่ข้างเตียง  ดวงตาคมมองดูน่านฟ้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน  แล้วทรุดตัวลงนั่งลงข้าง ๆ อีกคนอย่างไม่ปิดบังตัวตน…

น่านฟ้าที่รับรู้ถึงแรงยุบของเตียง  ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ  ดวงตาบวมช้ำจ้องมองภาติยะอย่างตัดพ้อต่อว่า  แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนหันหน้าหนีอีกคนไปอีกครั้ง  ภาติยะหัวเราะเหมือนเจอเรื่องสนุก  แต่ก็ขยับเข้าไปจนชิดน่านฟ้า…ก้มหน้าลงไปมองอีกคนด้วยรอยยิ้มพร่างพราย

“ดูสิ…ตาบวมหมดเลยคนเก่ง”  ภาติยะพลิกร่างบางเข้ามาหาตัว  แล้วจ้องมองดวงตาแดงก่ำที่บวมช้ำอย่างนึกสงสารขึ้นมา 

“ไม่ร้องแล้วนะครับ…แน่ะบอกไม่ให้ร้อง”  เอ่ยต่อว่าเมื่อหยดน้ำใสร่วงลงมาจากดวงตาคู่สวยไม่หยุด  จนต้องเอื้อมมือปัดออกให้แผ่วเบา  ด้วยกลัวแก้มนุ่มช้ำไปด้วย

“ไม่ต้องมาสนใจ”  น่านฟ้าหันหน้าหนีแต่ก็ถูกเชยคางเข้าหาอีกคนจนได้ 

ภาติยะยิ้มเย็น  “อยากให้ไปสนใจมาศขนาดนี้เชียว  เดี๋ยวก็สนองคำเสนอซะเดี๋ยวนี้หรอก”

“จะไปไหนก็ไปเลย”  น่านฟ้าตวาดขึ้นมา  ดวงตาแดงก่ำมองภาติยะด้วยสายตากร้าวเพราะความโมโหโกรธา

ภาติยะกำมือแน่น  เขาลุกขึ้นหันหลังให้อีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกจากห้อง  แต่น่านฟ้าก็ตะโกนว่าออกมาอีก  “ไอภาตบ้า…ไปไกล ๆ เลย”

เพียงแค่นั้นร่างสูงก็พุ่งตัวลงไปคร่อมร่างบางอย่างมีโมโห  “ทำไมถึงพูดไม่เพราะแบบนั้นฮะน่านฟ้า  ใครสอนกัน”

“ทำไมจะพูดไม่ได้…ไอภาตบ้า ๆ”  แล้วน่านฟ้าก็ตะโกนออกมาอีกอย่างไม่สนใจอารมณ์ขุ่นมัวของร่างสูง  ที่แทบจะนั่งทับตัวเองอยู่ตรงหน้า

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ  ถ้าไม่หยุดเจอดีแน่”  ภาติยะเตือนแทรกขึ้นมา  ขณะที่น่านฟ้าทำหน้าแสยะยิ้มที่เขาเห็นว่าน่าเกลียดที่สุด  “ไม่หยุดเหรอ…”

ภาติยะก้มลงซุกหน้าเข้ากับซอกคอขาวโดยที่น่านฟ้าไม่ทันตั้งตัว  สองมือจึงทำได้แค่เพียงดึงทึ้งเสื้อของร่างสูงหากแต่ก็ไม่ทำให้อีกคนพ้นออกมาจากตัวได้  ริมฝากที่ลากไล้เปลี่ยนด้านเผยให้เห็น  ร่องรอยสีกลีบกุหลาบรายรอย  และร่องรอยเหล่านั้นคล้ายจะดึงดูดเรี่ยวแรงของน่านฟ้าออกไปได้จนหมด…

“ภาต…หยุดก่อน”  เสียงห้ามสั่นเครือหากภาติยะกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

ริมฝีปากลากไล้ไปทั่วแผ่นอกทั้งที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ  หากแต่สองมือกลับเลือกที่จะสอดเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด  เพื่อสัมผัสกับผิวเนื้อนุ่มเนียน  ปล่อยให้น่านฟ้าสั่นสะท้านกับสัมผัสที่ได้รับ  จนต้องกัดริมฝีปากจนห้อเลือด…

ภาติยะเลื่อนตัวขึ้นมองน่านฟ้าด้วยสายตาดุดันจนคนเห็นอดกลัวขึ้นมาไม่ได้  ที่ออกฤทธิ์ออกเดชไว้เมื่อสักครู่แทบจะลืมไปหมด  “เด็กดีต้องไม่ดื้อรู้มั้ยครับ…อย่าพูดไม่เพราะอีก  น่านฟ้าไม่เคยพูดแบบนั้น  ไม่ทำก็น่ารักอยู่แล้ว  อย่าหัดทำรู้มั้ย…คนเก่ง”

“ก็…ก็  ภาตไม่เห็นรักเลย”  น่านฟ้าตัดพ้อ  คิดว่าอีกฝ่ายคงจะหาเรื่องมาหลอกลวงให้เชื่อฟังอีกตามเคย  แต่ตอนนี้เขาเองก็ไม่กล้าจะทำเก่งสักเท่าไหร่

“ไม่เห็นเคยบอกว่าไม่รัก  ไปได้ยินมาจากไหนกัน”  ภาติยะคาดคั้นถามขึ้นมา  ไม่กลัวสักนิดว่ากำลังกดดันอีกฝ่ายอยู่  ปล่อยให้คนถูกถามตัวสั่นเพราะความกลัวนี่แหละสนุกดี

“ก็จะกลับไปเป็นแฟนกับมาศ  ไม่รักเราแล้วใช่มั้ย…”

“มั่วนิ่มเกินไปแล้วไง”  ภาติยะพูดแทรกน่านฟ้าขึ้นมาอีก  “คนเค้าพูดเล่น  แค่นี้ก็เชื่อ…แล้วไอ้ที่ควรจะเชื่อน่ะทำไมไม่เชื่อฮึ  เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจจริง ๆ ดีมั้ยเนี่ย  ไม่เชื่อใจกันเลย”

ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจจนน่านฟ้าอยากจะด่าออกมาอีกสักรอบ  แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะโกรธเข้าอีก  จึงได้แต่นิ่งเงียบ  ปล่อยให้คนฉวยโอกาสหอมแก้มเขาไปหลายครั้ง  แม้จะสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม

“มาศเค้ามาบอกว่าจะหมั้นเดือนหน้าน่ะ  กับลูกชายเจ้าของโครงการคอนโดริมน้ำนั่นแหละ  ไม่ใช่กับพ่อหรอก  ก็นั่งอยู่ด้วยกันแล้วไม่ฟังด้วยกัน  มัวแต่เหม่อ…  ถ้าหึงซักหน่อยก็ไม่แกล้งหรอก  เห็นเอาแต่นั่งนิ่งเลยหมั่นไส้”  ภาติยะยอมบอกความจริงในที่สุด

น่านฟ้าจ้องมองภาติยะอย่างไม่เชื่อ  แต่เมื่อเห็นอีกคนยิ้มเยาะมือบางก็ทุบเข้ากับแผ่นอกอีกคนไม่ยั้ง  จนภาติยะต้องคว้าสองมือนั้นเอาไว้แล้วกดลงกับเตียงไม่ให้ขยับได้  น่านฟ้าดิ้นรนหวังให้ตัวเองหลุดจากเงื้อมมืออีกฝ่ายแต่กลับไม่เป็นผลใด ๆ

ภาติยะยิ้มพอใจเมื่อเห็นร่างบางหอบสะท้านจากความเหน็ดเหนื่อย  หลังจากดิ้นรนจะทำร้ายเขาอยู่นาน  แต่นั่นก็ทำให้เขาอยากจะแกล้งขึ้นมาอีก  มือที่เคยกดข้อมือบางอยู่ที่เลื่อนขึ้นปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่ายออกอย่างใจเย็น  โดยมีสายตาของน่านฟ้ามองตามอย่างไม่เข้าใจนัก

กระดุมถูกปลดออกหมดในเวลาเพียงไม่นาน  สาบเสื้อที่แยกออกจากกันแค่เพียงนิดเผยให้เห็นผิวขาวนวลที่เคยซุกซ่อนอยู่  นิ้วเรียวลากไล้จากกลางอกลงมาถึงสะดือ  ทำให้น่านฟ้าต้องขยับหนีพร้อมเสียงหัวเราะคิกด้วยความจักจี้  จนสาบเสื้อเลื่อนออกให้เห็นแผ่นอกเรียบเนียนหมิ่นเหม่…

“ให้ถอดเหรอ…”  เสียงใสเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ 

สองมือที่วางอยู่บนหมอนทำให้เรียวแขนงอเป็นรูปตัววีสร้างความเซ็กซี่ให้เจ้าตัวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก  ทำให้คนมองถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว  และความลืมตัวนั้นก็ทำให้ภาติยะพยักหน้าแสดงความต้องการที่แท้จริงออกมา…

น่านฟ้าที่กำลังจะลุกขึ้นกลับต้องนอนอยู่นิ่ง ๆ  เมื่อสองมือของภาติยะเลื่อนเข้าปลดเสื้อเขาออกจากตัวให้อย่างไม่รีบร้อน  ตัวบาง ๆ ยกขึ้นให้เสื้อนั้นผ่านออกจากเรือนกายได้อย่างง่ายดาย  ก่อนที่เนื้อตัวจะเปลือยให้เห็นช่วงบนโดยไม่มีสิ่งใดปิดบัง

“สวยจริง ๆ น่านฟ้า…”  เสียงที่เอ่ยชื่นชมนั้นสั่นพร่า  เมื่อสติถูกแทนที่ด้วยอารมณ์บางอย่าง  แต่น่านฟ้ายังคงไม่รู้สึกถึงความรู้สึกนั้น

ความเงียบเข้าครอบงำทั่วทั้งห้อง  ดวงตาช้ำจ้องมองคนที่นั่งคร่อมตัวเองอย่างสนใจ  หากอีกคนกลับเลื่อนสายตาร้อนแรงมองไปตามผิวเนื้อตรงหน้า  คล้ายจะแผดเผาให้หลอมละลายไปกับสายตาตนเอง  และก็ได้ผลเมื่อน่านฟ้าพยายามดิ้นรนขยับหนี…

“ไม่เอา…พอแล้ว  อย่ามองนะ  พอ…”  มือที่พยายามยกขึ้นปิดบังถูกจับกดลงบนเตียงอีกครั้ง  และคราวนี้ดูเหมือนภาติยะจะตั้งใจกลั่นแกล้งอีกฝ่ายยิ่งกว่าเดิม

สายตาคมเจาะจงจ้องมองเกสรสีหวานทั้งสองด้าน  ทำให้น่านฟ้าต้องขบริมฝีปากและหลับตาหนีด้วยความอับอายอย่างไม่เคยเป็น  อาจจะเพราะความรู้สึกในดวงตาคู่นั้นที่ชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ    ที่ทำให้ความรู้สึกของเขาต้องเปลี่ยนไปด้วย…

ศีรษะของภาติยะโน้มลงไปจนปลายจมูกเกือบชิดยอดสีสด  หากดวงตาจับจ้องไปยังดวงหน้าหวานที่หลับตาแน่น  ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดจุดไวสัมผัสทำน่านฟ้าต้องสะท้านกายและลืมตาขึ้นมองด้วยความตกใจ  ดวงตาที่สบเข้ากับดวงตาอีกคู่อยากจะเคลื่อนหนีสายตานั้น  หากดูเหมือนอีกคนจะควบคุมตัวเขาไว้ได้ทั้งหมด…เมื่อร่างกายไม่ทำตามจิตใจ

“ฮะ…”  ลิ้นนุ่มที่แตะลงไปบนยอดอกนั้นเรียกเสียงครางเครือได้ไม่ยาก  ลิ้นร้อนโลมเลียคล้ายหิวกระหายก่อนจะดูดกลืนเพื่อครอบครองเอาไว้ทั้งหมด  ขณะที่อีกด้านก็ถูกเคล้นคลึงด้วยนิ้วมือ  จนอารมณ์ในเบื้องลึกถูกผลักดันขึ้นมาในเวลาไม่นาน

เสื้อผ้าที่ติดเรือนกายของทั้งสองหลุดออกและถูกโยนทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้สึกตัว  เสียงแว่วหวานดังสะท้อนไปทั้งห้อง  เมื่อยามร่างสูงปรนเปรอส่วนอ่อนไหวให้ด้วยฝ่ามือ  ไม่นานนักก่อนที่ริมฝีปากจะเข้าครอบครองแทนที่ทั้งส่วนนั้นและซอกหลืบลึกลับที่ไม่เคยมีใครได้แตะต้อง…

ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อยามอารมณ์ถูกฉุดไปถึงจุดสูงสุด  แผ่นหลังแอ่นขึ้นสูงขณะที่สองมือไขว่คว้าหาอีกคนที่ขยับตัวขึ้นมากอดเอาไว้ราวกับล่วงรู้ถึงหัวใจ  เรือนร่างที่หอบสะท้านถูกวางลงอีกครั้งแผ่วเบา  ดวงตาหวานช้ำที่ปรือปรอยจ้องมองคนตรงหน้าเห็นเพียงภาพพร่ามัว  จนต้องเอื้อมมือประคองดวงหน้านั้นเอาไว้…ด้วยกลัวอีกคนจะเลือนหายไป

“คราวนี้คงต้องเป็นของภาตจริง ๆ แล้วล่ะ…คนดี”  ประโยคบอกเล่าถึงกับทำให้ดวงหน้าที่ซับสีเรื่ออยู่แล้วแดงจัดในเวลาอันรวดเร็ว…หากนั่นคล้ายเป็นการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง  ด้วยความเต็มใจ

ภาติยะยิ้มอ่อนโยนถูไถใบหน้าเข้ากับมือนั้นราวออดอ้อน  ริมฝีปากกดลงกลางฝ่ามือนุ่มแรง ๆ  แล้วเลื่อนลงประกบกับริมฝีปากอิ่มช้ำแทนคำเรียกร้อง  ไม่มีคำเอ่ยขอเมื่อรู้แน่แก่ใจว่าคน ๆ นี้เป็นคนของเขา  เรียวนิ้วแทรกเข้าหาที่สถิตแห่งตัวตนทั้ง ๆ ที่ริมฝีปากยังคงมอบรสจุมพิตหวานล้ำให้อีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน 

หากความเจ็บปวดที่ได้รับก็ทำให้เล็บของน่านฟ้าจิกลากไปตามแผ่นหลัง  รวมถึงกดเข้ากับต้นแขนแกร่งเป็นการผ่อนคลาย…นิ้วที่ขยับเข้าออกครั้งแล้วครั้งเล่าจากที่มีเพียงหนึ่งจนเพิ่มจำนวนถึงที่สุด  แม้จะสร้างความเจ็บปวดให้  แต่ดวงตายังคงเชื่อมหวานและจ้องมองใบหน้าอีกคนไม่ละสายตา 

เล็บที่จิกลงกับแผ่นหลังเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดของน่านฟ้าได้ดี  หากภาติยะก็เพียงแค่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน  ไม่ร้องโอดโอยให้อีกคนได้ยินเช่นกัน…

ต้นขาขาวเต็มไปด้วยร่องรอยที่ไม่รู้ว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ถูกแยกออก  ก่อนตัวตนของผู้เป็นเจ้าของทั้งตัวและหัวใจจะเคลื่อนหายเข้าไปทีละนิด  ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านทำให้หยดน้ำใสร่วงหล่นจากดวงตาคู่หวานอีกครั้ง  หากก็ถูกริมฝีปากบางจูบซับให้อย่างปลอบโยน  จวบจนสองร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน…

น่านฟ้าหอบสะท้านดวงตายังคงจ้องมองสบตาภาติยะ  ที่ทอดรอยยิ้มมาให้อย่างอบอุ่น  แล้วน้ำตาก็ร่วงหล่นราวกับสายธาร  เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ได้สัมผัส  ความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่าที่เคย…เมื่อเรือนกายและหัวใจถูกครอบครองโดยเจ้าของที่แท้จริง

ค่ำคืนเลื่อนไปตามเวลาที่ผันผ่าน  เสียงครางเครือหอบสะท้านดังจนสิ้นสุดลงในนาทีหนึ่ง  ก่อนความเงียบและมืดมิดจะเข้าครอบครองบริเวณห้องทั้งหมด  ท่ามกลางความมืดนั้น  ร่างบางยังคงถูกร่างสูงกอดเอาไว้ไม่ปล่อย  สองมือสอดประสานแน่นหนาแทนความรู้สึกที่จะไม่พรากจากกันไปไหน…เช่นเดียวกับการกระทำที่แทนความรักทั้งหมดที่มี

เมื่อยามเช้ามาถึงเรื่องราวในค่ำคืนจะดำเนินไปด้วยความมั่นคง…ทั้งความรู้สึกและหัวใจ

++++++++++++++++++++++++++
แสงสว่างรอบตัวเมื่อยามลืมตาขึ้นมาพบทำให้ต้องยกมือขยี้ตาอย่างเคยชิน  เรื่องที่เพิ่งผ่านพ้นกลับเข้าสู่ห้วงคิด  ทำให้ภาติยะเริ่มรู้สึกว่าแขนอีกข้างรับน้ำหนักบางอย่างอยู่  เขาก้มลงมองดวงหน้าหวานที่ซุกซบอยู่กับอกด้วยความรักใคร่หลงใหล…

ริมฝีปากจรดลงบนหน้าผากมนแผ่วเบาด้วยกลัวอีกคนจะตื่นขึ้นมา  แต่แม้จะต้องการให้น่านฟ้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่  ภาติยะก็ยังอดไม่ได้ที่จะหาเศษหาเลยจากร่างบางที่มีเพียงผ้าห่มกั้น  มือที่ทำท่าจะลูบไล้เข้าสู่ภายในหยุดชะงักเมื่อมองเห็นรอยจูบบนหัวไหล่ที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมา  เมื่อจินตนาการไป…มันช่างคล้ายกับกลีบกุหลาบที่ตกลงสู่เรือนกายขาวนวล

ด้วยความเผลอไผลทำให้ภาติยะขยับตัวขึ้นเพื่อจูบประทับไปบนรอยนั้นอีกครั้ง  แรงเคลื่อนไหวทำให้คนที่กำลังหลับอยู่งัวเงียตื่นขึ้นมาจนได้  คนที่เผลอปลุกจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายตัวเอง  แต่ดวงตาที่ค่อย ๆ โผล่พ้นเปลือกตาทำให้เขาอดยิ้มอย่างพอใจไม่ได้…

“ตื่นแล้วเหรอฮื้อ…ที่รัก”  เป็นคำถามที่ไม่สนใจคำตอบสักนิด  เมื่อริมฝีปากอิ่มถูกจูบไปหลายครั้งแทนการปลุกให้รู้สึกตัว

“ภาตปลุกอีกแล้วนะ…”  น่านฟ้าบ่นแล้วทุบลงบนแผ่นอกกว้างเหมือนเช่นทุกวัน  แต่เมื่อดิ้นหนีความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาก็ฟ้องถึงเหตุการณ์เมื่อคืนได้ในเวลาอันรวดเร็ว  จนดวงหน้าซับรีเรื่ออย่างทันอกทันใจภาติยะ

“เมื่อคืนเรา…”  น่านฟ้าจะเอ่ยถามเหมือนต้องการความแน่ใจ  แต่ความอายก็ทำให้ต้องเงียบไปทันที  จนอีกคนส่งเสียงหัวเราะดังลั่นก่อนจะหยุดชะงัก…

ภาติยะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยถามกลับ  “เมื่อคืนมีอะไรเหรอน่านฟ้า  มีเหรอ…”

“ก็…ก็…”  คนถูกถามอึกอัก  ไม่กล้าพูด  จนคนชอบแกล้งต้องแหย่  “ก็อะไรเหรอ…”

น่านฟ้าเริ่มจะขัดใจจนต้องเอ่ยประชดประชัน  “ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะไปทำอะไรกับใครมานี่แหละ  แต่ใครไม่รู้จำไม่ได้เหมือนกัน  ตายเลยท้องไม่มีพ่อเราจะทำไงล่ะเนี่ย…”

คนไม่ค่อยรู้ประสีประสาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ  แต่ก็ทำให้ภาติยะเริ่มจะฉุน  พอนึกได้ว่าเพราะตัวเองเริ่มก่อนเลยไม่กล้าจะออกฤทธิ์อะไรอีก  “ไม่ต้องมาประชดเลยปล่อยให้ดูละครมากก็ไปจำเอาคำพูดนางร้ายมาซะนี่  ก็ทำกับภาตนี่แหละ…เค้าเรียกว่าอะไรนะ”

ท่าทีครุ่นคิดอย่างหนักทำให้น่านฟ้าต้องมองคนข้าง ๆ จนตาโตเกือบเท่าไข่ห่าน  “อ๋อ…ทำตัวเป็นสามีภรรยากันไงที่รัก…”

คำตอบที่เหมือนถูกเอาอะไรมาทุบหัวทำให้น่านฟ้าอึ้งไป  จนภาติยะหัวเราะชอบใจ  และด้วยความรวดเร็วร่างบางก็ถูกอุ้มขึ้นจากเตียงตรงไปยังห้องน้ำกว้างเพื่อชำระล้างคราบไคลที่ค้างคามาจากเมื่อคืนวาน…

++++++++++++++++++++++++++

เสียงน้ำไหลยังคงดังสะท้อนไปทั่วห้องเมื่อในอ่างมีปริมาณน้ำแค่เพียงครึ่ง  ภาติยะวักน้ำขึ้นลูบไปตามผิวเนื้อนวลที่เริ่มขึ้นสีเรื่อจากความร้อน   น่านฟ้าค่อย ๆ เอนตัวพิงอีกฝ่ายแล้วหัวเราะเบา ๆ ด้วยความจักจี้จากสัมผัสที่ลูบไล้ไปตามเรือนกาย  แล้วดวงหน้าหวานก็ถูกจูบระรานไปจนทั่ว…ซึ่งกว่าจะอาบน้ำเสร็จน่านฟ้าก็คงช้ำไปทั้งตัว

หลังจากถูเนื้อถูตัวกันเรียบร้อย  ภาติยะก็ยังคงไม่ยอมปล่อยให้น่านฟ้าขึ้นจากอ่างอาบน้ำ  สองแขนกอดรัดรอบเอวบาง  ให้น่านฟ้าได้เอนพิงซบอกกว้างอย่างไม่กลัวตัวจะเปื่อย…ปลายจมูกโด่งกดลงบนแก้มนุ่มแรง ๆ อย่างมันเขี้ยวหลายครั้ง  จนน่านฟ้าต้องดันใบหน้าอีกคนออกห่าง

“ดีเนาะที่ผู้ชายมีลูกไม่ได้…”  อยู่ ๆ น่านฟ้าก็พูดขึ้นมา  ดวงตาเศร้าสร้อยช้อนขึ้นมองภาติยะสื่อถึงความทุกข์ที่มีอยู่ภายใน

“ไม่ชอบเด็กเหรอ”  ภาติยะถามด้วยความไม่เข้าใจในความคิดของคนที่เขากอดอยู่  “คนดี…ทำไมถึงไม่ชอบล่ะครับ…ฮื้อ”

น่านฟ้าส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ใช่ไม่ชอบ  แต่กลัวดูแลไม่ได้…ถ้าทำให้ร้องไห้ขึ้นมา  ต้องเจ็บที่หัวใจจนตายแน่ ๆ เลย  กลัวจังเลยภาต…”

เรือนร่างสั่นสะท้านบ่งบอกถึงความหวาดกลัวนั้น  ทำให้ภาติยะต้องกอดกระชับน่านฟ้าแน่นเข้า  ความสัมพันธ์ที่ผันผ่านทำให้น่านฟ้าเริ่มคิดถึงคำว่า  ‘ครอบครัว’  และคำนี้สร้างความสะเทือนใจให้เจ้าตัวเมื่อนึกถึงความเจ็บช้ำในอดีตที่ผ่านมา…

ครอบครัวของน่านฟ้าไม่อบอุ่น  ก็เพราะการเลือกเกิดไม่ได้ของตัวเขาเอง  นั่นทำให้น่านฟ้ามีปมด้อยอยู่ในใจ  แม้จะไม่แสดงออกว่าหวาดกลัวแต่เขาก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา  เมื่อไม่รู้ว่าจะถูกทอดทิ้งเมื่อไหร่…หากสุดท้ายน่านฟ้าก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายทอดทิ้งครอบครัว  เพื่อเลือกคนที่เขาคิดว่าจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน  และภาติยะก็ไม่เคยทำให้น่านฟ้าต้องรู้สึกผิดหวังสักครั้ง

“ไม่ต้องกลัวนะ…ภาตอยู่ตรงนี้ไง  ไม่ต้องกลัวคนดี…”  ถ้อยคำปลอบโยนคล้ายลอยมาจากที่ไกล ๆ แต่ทุกคำที่ชัดเจนเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ทั้งหมด

น่านฟ้ายิ้มหวานให้คนรักแล้วก้มลงจูบบนแผ่นอกกว้างแทนคำขอบคุณ  ก่อนจะถูกภาติยะเชยคางขึ้นรับจุมพิตแสนหวานเนิ่นนาน…แทนคำสัญญาที่มี  ว่าจะปกป้องดูแลและมอบความรักให้น่านฟ้าไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

ไม่ว่าจะเพราะสิ่งใดที่ดลบันดาลให้เกิดความรัก  สิ่งที่จะทำให้ความรักคงอยู่ไม่จืดจางไปไหนก็คือใจสองใจที่คอยทนุถนอมดูแลความรักนั้น…ตั้งแต่วินาแรกที่เริ่มรักจนถึงตลอดไป

หัวใจฉันจะเป็นของเธอเสมอ…ที่รัก

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก Happy Ending
«ตอบ #91 เมื่อ29-12-2013 20:44:42 »

เธอที่รัก (Happy Ending)




บรรยากาศยามเช้าอันวุ่นวายในบ้านหลังเล็กซึ่งแยกตัวออกมาจากคฤหาสน์กว้างใหญ่  ทำให้เด็กชายที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะคนเดียว  รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้  เสียงที่ดังมาจากด้านบนทำให้เด็กชายที่นิสัยโตเกินอายุต้องส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ…

“ภาตเร็ว ๆ หน่อยสิ  มันสายแล้วนะ  เช้านี้เราต้องไปส่งเต้ยกับดลไปสวิสฯ ด้วย  ถ้าช้าอีกฟ้าไม่รอแล้วนะ  เอ๊ะ…ไม่เล่นแล้วนะ  รีบแต่งตัวซี้…เอ๊  ภาตนี่  น้องน้ำรออยู่…”

น้ำเสียงที่เคยดังลั่นสั่นสะเทือนบ้านหลังน้อยเงียบหายไป  จนเด็กชายที่นั่งฟังอยู่รำคาญใจขึ้นมา  เมื่อนึกรู้ว่าคนที่ถูกสั่งสารพัดใช้วิธีไหนทำให้เสียงนั้นเงียบหายไป…ก็มันเป็นความเคยชินที่เขาต้องประสบพบเจออยู่ทุกวันนี่นา

“ป่าป๊าบ้าเอ๊ย…ถ้าวันนี้สายนะ  จะเป่าหูหม่าม้าไม่ให้สนใจอีกนาน ๆ เลยคอยดูสิ  ตาแก่ลามก”  เด็กชายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างนึกหมั่นไส้  จนสาวใช้ที่เดินผ่านอดหัวเราะไม่ได้

“คุณน่านน้ำก็  เดี๋ยวคุณภาตมาได้ยินเข้า  เธอจะแกล้งให้สายจริง ๆ ล่ะทีนี้  มีที่ไหนไปเรียกเธอว่าตาแก่  เพิ่งจะยี่สิบเจ็ดเองค่ะ”

เด็กชายสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สนใจ  หน้าตาที่คาดว่าโตขึ้นจะหล่อเหลาเอาการหงิกงออย่างไม่สบอารมณ์  ด้วยวัยเพียงสิบขวบทำให้คนเห็นอดเอ็นดูไม่ได้  ถ้าไม่ติดว่าเด็กชายน่านน้ำคนนี้เจ้าแผนการอย่างหาตัวจับยากจนน่าหนักใจ…

“น้องน้ำทานข้าวต้มรึยังเอ่ย…รอหน่อยนะครับ  ป่าป๊ายังแต่งตัวไม่เสร็จเลย”  น่านฟ้าก้มลงหอมแก้มน้องชายต่างมารดาแล้วจึงเข้านั่งประจำที่

น่านน้ำยิ้มให้พี่ชายที่กลายมาเป็นหม่าม๊าด้วยความเห็นอกเห็นใจ  เขาเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้เมื่อห้าปีก่อน  ปีนั้นน่านฟ้าเพิ่งเรียนจบ  เป็นช่วงเดียวกับที่บิดามารดาเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก  เขาจึงได้รับรู้ว่าตัวเองยังมีพี่ชายที่สุดแสนจะน่ารักอยู่ด้วย  และน่านฟ้าก็เป็นเพียงคนเดียวที่รับดูแลเขา  ทั้ง ๆ ที่ญาติคนอื่น ๆ ไม่มีใครมาสนใจ  ตอนนั้นพี่ชายถึงกับขอเพียงตัวเขามาโดยไม่สนใจทรัพย์สมบัติของบิดาที่เสียชีวิตไปเลยด้วยซ้ำ…

หลังจากมาอยู่ที่นี่น่านน้ำก็ถูกภาติยะสอนให้เรียกตัวเองว่า ‘ป่าป๊า’  และเรียกน่านฟ้าว่า ‘หม่าม๊า’  เด็กห้าขวบที่ยังไม่รู้ภาษาก็เชื่อฟังมาจนถึงวันนี้  ที่คำเรียกกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว  จะฟังดูแปลกก็เพราะน่านฟ้ายังแทนตัวเองว่า  ‘พี่’  นี่ล่ะ

เวลาเช้าอันเร่งรีบทำให้ภาติยะไม่มีอะไรตกถึงท้อง  แต่น่านน้ำก็คิดเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะอิ่มพี่ชายเขาไปเรียบร้อยแล้วถึงไม่บ่นอะไรเลย  คนที่ถูกเข่นเขี้ยวอยู่เงียบ ๆ ขับรถด้วยความใจเย็นตามที่การจราจรจะเอื้ออำนวยให้รถขยับไปได้  โชคดีที่โรงเรียนอยู่ไม่ไกลนักทำให้น่านน้ำไม่ถึงกับหงุดหงิดเท่าไหร่…ไม่งั้นป่าป๊าคนดีของเขาได้เจอเรื่องร้าย ๆ แน่

เด็กชายรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากเมื่อรู้มาว่าอีกสองปีครอบครัวของเขาจะย้ายไปอยู่จังหวัดที่เก้าสิบเก้า  ไปอยู่กับแม่อีกคนของเขาและพี่น้ำฝน  ใคร ๆ ก็บอกว่าจังหวัดนั้นรถไม่ติด  แถมโรงเรียนมัธยมเอกศาสตร์ที่จะย้ายไปอยู่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่เพรียบพร้อมด้วยวิทยาการต่าง ๆ 

แม้จะต้องเสียดายอยู่บ้างที่ต้องเลือกระหว่างมหาวิทยาลัยกอบเกียรติและมหาวิทยาลัยเอกศาสตร์ที่โด่งดังไม่แพ้กัน  แต่นั่นก็เป็นอนาคตในช่วงเวลาที่ยาวไกลจนไม่อยากจะเอามาคิดในเวลานี้…เด็กชายยกมือไหว้ภาติยะและน่านฟ้า  ก่อนจะหิ้วกระเป๋าลงจากรถไปด้วยรอยยิ้มดังเช่นทุกวัน

++++++++++++++++++++++++++

สนามบินคราคร่ำไปด้วยคนมากมาย  แต่ภาติยะและน่านฟ้าก็วิ่งเข้าไปหาตรีภพและธราดลที่ยืนรออยู่แล้วได้ทันก่อนที่ทั้งสองจะหายเข้าไปในทางเข้าผู้โดยสารขาออก  เดชานนท์ที่ยืนรออยู่ด้วยดูลุกลี้ลุกลนจนเพื่อนที่เพิ่งมาถึงต้องมองอย่างแปลกใจ…

“เฮ้ย…ไอนนท์แกเป็นอะไรวะ  หรือเพราะชั้นมาช้าแกเลยยืนนิ่ง ๆ ไม่เป็น  อ้าว…น้องภัทไปไหนล่ะ  ไม่ได้ไปรับมาเหรอ”  ภาติยะเอ่ยทักและถามอย่างแปลกใจ  เห็นตัวติดกันยิ่งว่าปาท่องโก๋  ไม่คิดว่าจะอยู่ห่างกันได้

เดชานนท์อึกอักก่อนจะเอ่ยตอบเสียงอ้อมแอ้มแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  “น้องภัทให้ชั้นมาส่งคนเดียวว่ะ…เมื่อคืนสงสัยจะหนักไปหน่อย!”

คำตอบของเดชานนท์ทำเอาคนฟังทำหน้าเหวออย่างไม่เชื่อหู  น่านฟ้ากับตรีภพถึงกับหน้าแดงทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คนที่ถูกเอ่ยถึง  ส่วนภาติยะกับธราดลนั้นเมื่อสติกลับคืนมา  ทั้งสองก็รีบเข้าไปล็อคคอคนพูดเพื่อสอบถามความเป็นไปในทันที

“แกเล่นงี้เลยเหรอไอนนท์  ไหนว่าจะขอพ่อแม่เค้าก่อนไงวะ  งานแกชั้นยังไม่ได้ไปเลย…”  ธราดลเริ่มคาดคั้นก่อน  จนภาติยะได้แต่รอฟังเพราะอยากรู้เช่นกัน

“ขอแล้วเมื่อวานก่อน  แล้วเมื่อวานก็ไปหอบข้าวของ ๆ น้องภัทเข้าบ้านแล้ว  ก็ใจร้อนนี่เฮีย…แล้วก็นะคนใจร้อนไงเฮีย”  เดชานนท์สารภาพอย่างไม่อาย (แม้แต่น้อย…)

“เออ…เข้าใจว่ะ  อดทนมาได้ตั้งหกปี  แต่น้องภัทไม่ย่อยยับไปเพราะแกเลยเหรอวะ”  ภาติยะนึกสงสารภัทรขึ้นมา  ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

แทนที่จะปฏิเสธเดชานนท์กลับยอมรับ  “นั่นสิ…ก็ห่วงอยู่เนี่ย  เฮียก็ไป ๆ ซักทีสิ  ผมจะได้กลับไปดูน้องภัทของผม  ปล่อยให้อยู่คนเดียวผมห่วงจะตายอยู่แล้ว…”

ธราดลทำตาตี่ ๆ ให้โตขึ้นเพื่อจ้องมองลูกพี่ลูกน้องตัวดีอย่างเอาเรื่อง  “อ้าว…ไอน้องเวร  แล้วทำไมไม่ห่วงตั้งแต่เมื่อคืนวะ”

เดชานนท์ได้แต่ยิ้มแหย ๆ  พอดีกับที่เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารเที่ยวบินต่อไปดังขึ้น  ทำให้ธราดลต้องยุติศึกกับเดชานนท์ชั่วคราว  เขากับตรีภพร่ำลาทั้งสามคนที่มาส่ง  ก่อนจะพากันเดินหายเข้าไปในช่องทางผู้โดยสารขาออก…จุดหมายคือสวิสเซอร์แลนด์

“แล้วตอนเย็นไปเยี่ยมน้องภัทนะนนท์  ตอนนี้ต้องเข้าบริษัทแล้วล่ะเดี๋ยวจะสาย…”  น่านฟ้าหันมาบอกเดชานนท์ที่ยิ้มรับ  ก่อนจะนึกได้ถึงบางเรื่อง…

“สองสามวันนี้ยังไม่ต้องดีกว่า  คือนนท์…แบบว่า…น้องภัทน่ารักใช่เปล่า…ก็เลยหวงนิดหน่อยน่ะ  ไม่อยากให้ใครไปเห็น”

“ไอหมาหวงกระดูกเอ๊ย…”  ภาติยะอดเหน็บแนมไม่ได้  จะว่ามันหวงก้างก็คงไม่ใช่  เพราะชิ้นนี้มันกินได้สบาย ๆ  แถมกินได้อย่างไม่กลัวเบื่ออีกต่างหาก

เดชานนท์หันขวับมาถลึงตาใส่เพื่อนสนิททันที  “แกไม่หวงบ้างให้มันรู้ไปไอภาต  รีบไปทำงานเลยไป๊  ชั้นจะกลับบ้านแล้วโว้ย…ไปนะน่านฟ้า  แล้วเจอกันเพื่อน”  พูดจบเจ้าตัวก็วิ่งหายไปในกลุ่มคน  ทิ้งให้น่านฟ้ากับภาติยะได้แต่มองตาม…คนหลังน่ะหมั่นไส้เพื่อนตัวเองสุดขีด

++++++++++++++++++++++++++

คนที่เพิ่งกลับมาถึงค่อย ๆ นั่งลงบนเตียง  แววตาอ่อนโยนเมื่อยามจ้องมองร่างใต้ผ้าห่มที่นอนหลับใหลด้วยความเหนื่อยอ่อน  ริมฝีปากจรดลงบนหน้าผากอีกคนแผ่วเบา  เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน  นึกเป็นห่วงอีกฝ่ายในคราวต่อไป  หากตัวเขาไม่ยอมรามือง่าย ๆ  เมื่อรู้ดีว่าจะได้รับการตามใจแค่ไหน  แล้วตัวเขาก็เอาแต่ใจตัวเองขั้นร้ายแรงเสียด้วย…

“รักนะครับ…”  เอ่ยถ้อยคำหวาน ๆ ด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ริมหูคนกำลังหลับ  แล้วไล้เกลี่ยเส้นผมนุ่มที่ตกระดวงหน้าหวานออกอย่างเบามือที่สุด  หากยังไม่ทันได้เลื่อนมือออกห่างมือเล็กก็กำมือใหญ่เอาไว้เสียก่อน

“กลับมาเร็วจังครับพี่นนท์…”  น้ำเสียงอ่อนระโหยเอ่ยถาม  แล้วจูบลงบนฝ่ามือใหญ่อย่างออดอ้อน  กระตุกเบา ๆ ให้อีกคนเข้ามากอดรัดตัวเองไว้แนบชิด

“อือ…รีบกลับมาเลยล่ะ  พี่เป็นห่วงน้องภัทนี่นา”  เดชานนท์เอื้อนเอ่ยเอาใจ  แล้วจูบไปบนริมฝีปากอิ่มที่ช้ำเพราะตัวเองเบา ๆ  “ถ้ายังล้าอยู่ก็นอนเถอะนะ  เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อนเอง”

ภัทรพลิกตัวนอนหงายให้เดชานนท์ขยับเข้ามากอดไว้  ใบหน้าที่ซุกอยู่ใกล้ ๆ แก้มนุ่มถือโอกาสหอมแก้มอีกคนซ้ำหลาย ๆ ครั้ง  แล้วกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าให้ร่างบางวางใจจนค่อย ๆ หลับตาลงอีกครั้ง…เพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนหวานโดยมีคนรักอยู่เคียงข้างไม่ห่าง

เมื่อความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา  แต่เวลานั้นใช้เพื่อพิสูจน์ความรัก  ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักแค่ไหน  หากยังคงอยู่เคียงข้างกันในทุกวันที่ผ่านไป  นั่นก็คืออีกความหมายหนึ่งที่ย้ำเตือนอยู่เสมอว่าเรา…รักกัน

เวลาทั้งหมดของฉันเป็นของเธอ…ที่รัก

++++++++++++++++++++++++++

“อาบน้ำนานจริง…เต้ย”  ธราดลเอ่ยทักคนรักที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ  หลังจากหายเข้าไปนานร่วมชั่วโมง

พวกเขาตัดสินใจมาพักผ่อนที่สวิสเซอร์แลนด์เพราะมีโอกาสหยุดยาวไม่บ่อยนัก  ต่างคนก็ต่างมีงานของตัวเอง  ทำให้ชีวิตส่วนตัวต้องหายไปบ้าง  ดังนั้นหากมีโอกาสได้พักผ่อนก็จะอยู่ให้ห่างบ้านมากที่สุด  จะได้ไม่ต้องนั่งฟังเสียงโทรศัพท์ที่คอยแต่จะโทรตามแล้วบอกให้ยกเลิกวันลา…

“รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยน่ะ  สงสัยจะเหนื่อยจากการเดินทางนั่นแหละดล  ก็เลยหลับไปในอ่าง…เพิ่งจะตื่นนี่แหละ”  ตรีภพตอบอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนัก  แต่อาการเซถลาทำให้ธราดลต้องเข้าไปประคองอีกฝ่ายมานั่งที่เตียงอย่างเป็นห่วง

“กินยาไว้ก่อนดีกว่า  เดี๋ยวจะไม่สบายไป  อากาศต่างกันสุดขั้วแบบนี้  อันตรายต่อสุขภาพ”  ว่าแล้วธราดลก็เดินไปเปิดกระเป๋ายาที่จัดวางไว้บนโต๊ะหน้ากระจก  แล้วเลือกทั้งยาแก้ปวดแก้ไข้มาให้ตรีภพ  “กินซะนะ…”

ท่าทางออดอ้อนกับคำพูดที่ไม่เคยบังคับเอาแต่ใจ  ทำให้ตรีภพต้องอมยิ้มแล้วรับยามาจากธราดล  ปล่อยให้อีกฝ่ายรินน้ำมาประคองให้เข้าดื่มถึงริมฝีปาก  นาน ๆ ครั้งจะทำตัวว่าง่าย  แต่เพราะเห็นว่าเข้ากับบรรยากาศก็เลยยอมง่าย ๆ เหมือนกัน

แล้วตรีภพก็ต้องงุนงงเมื่อถูกประคองลงนอน  “ทำไมต้องนอนด้วยล่ะ  มันยังไม่ค่ำเลย”

“พักผ่อนก่อนดีกว่า  ดลกลัวเต้ยจะเป็นหวัดต่างประเทศน่ะ  เหมือนตอนไปออสเตรเลียคราวก่อนไง  ทำเอาต้องรีบกลับบ้านเลย  ทีเป็นหวัดไทยไม่เห็นเป็นไร  ยังสวีทได้…”  แล้วธราดลก็เริ่มบ่นเมื่อนึกถึงวันหยุดยาวหนหนึ่งของพวกเขา

“แล้วจะให้นอนคนเดียวเหรอ”  ตรีภพลุกขึ้นมาถามเมื่อเห็นอีกคนเดินไปมาไม่หยุด  “เดินแบบนั้นใครจะมีสมาธินอนกันล่ะ”

คนฟังหัวเราะแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียง  สองแขนกอดประคองคนรักเข้ามากอดไว้แนบอก  แล้วเอนหลังพิงหัวเตียงช้า ๆ  ปล่อยให้อีกคนเองพิงมาที่ตัวเองแทนเบาะนุ่ม  กลิ่นสบู่ลอยอวลอยู่ริมจมูก  ส่งให้ความคิดล่องลอยไปไกลแสนไกล…

ภาพตั้งแต่ยังเด็กจนกระทั่งเติบโต  ในช่วงเวลาเหล่านั้นของธราดลมักจะมีตรีภพเคียงข้างเสมอ  หากจะพูดถึงความเป็นจริงแล้ว  ตัวเขาเองต่างหากที่อยู่เคียงข้างอีกฝ่ายมาทั้งชีวิต  โดยไม่มีครั้งใดเลยที่เขาจะละสายตาจากคนสำคัญคนนี้ไปมองใครอื่น…

สำหรับธราดลแล้วขอให้ในทุก ๆ วันที่จะผ่านเข้ามา  ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเขากับตรีภพไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป  ไม่ต้องรักกันให้มากขึ้น  เมื่อความรู้สึกนี้มากมายจนล้นเอ่อ…แค่ขอให้รักกันไปให้นานที่สุด  จนกระทั่งยื้อเวลาที่จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็พอ…

“รักนะเต้ย…”  เสียงกระซิบล่องลอยผ่าน  หากคนที่หลับใหลยังคงมีรอยยิ้มพร่างพรายคล้ายรับรู้

คำพูดไม่ได้บ่งบอกความหมายของทุกสิ่ง  การกระทำที่ยืนยันต่างหากที่จะย้ำเตือนความเป็นจริงของหัวใจ  อ้อมกอดแนบชิดจะไม่คลายออกหากตัวเขายังคงอยู่ตรงนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างจะทุ่มเทให้กับคนที่รักเสมอ…จนถึงช่วงสุดท้ายของลมหายใจ

ชีวิตของฉันเป็นของเธอผู้เดียว…ที่รัก

++++++++++++++++++++++++++

ดวงดาวนับแสนล้านพร่างพราวอยู่เหนือบ้านหลังเล็ก  จนคนมองอดนึกถึงเทพนิยายแสนหวานไม่ได้  แม้บ้านน้อยหลังนี้จะให้บรรยากาศเช่นนั้น  แต่ความหรูหรากลับผิดกันอย่างสิ้นเชิงกับกระท่อมกลางป่า  และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าที่นี่จะไร้ความอบอุ่นจนเหน็บหนาว  เพราะในความเป็นจริงแล้วมีบรรยากาศที่แสนดีมากมายอยู่ในบ้านหลังนี้  รวมถึงความสุขที่อวลอยู่ในอากาศ  จนดวงดาวเป็นเพียงแค่ของประดับบ้านเท่านั้น…

น่านน้ำหัวเราะออกมาทั้งที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่บนท้องฟ้ากว้างใหญ่  เมื่อนึกถึงแผนการที่ถูกทำลายเสียย่อยยับ  ถ้าไม่ทำใจได้ว่าแผนการของเขาใช้ไม่เคยได้กับอีกฝ่าย  ป่านนี้เขาคงจะหาเรื่องไปนอนกลิ้งเอามือทุบหมอนดังปุบ ๆ เหมือนกับเด็ก ๆ แล้ว  แต่เพราะต้องจำยอมก็เลยมายืนหัวเราะเหมือนคนสติไม่ดีแบบนี้นี่ล่ะ

“ตาแก่จอมสำออยเอ๊ย…ฝากไว้ก่อนเถอะ  ให้รู้ไปว่าชาตินี้ผมจะเอาชนะป่าป๊าไม่ได้  คอยดูแล้วกัน…”  เด็กชายวัยสิบขวบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  จดจำฝังใจไปถึงใครอีกคน

ความแค้นนี้อีกยี่สิบปีค่อยชำระ…ก็ไม่สายเสียหน่อย

++++++++++++++++++++++++++

อ่างน้ำถูกวางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างเงียบ ๆ  มือบางหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กจุ่มน้ำแล้วบิดหมาดด้วยความตั้งใจ  จนไม่รู้ถึงสายตาที่แอบจับจ้องเขาอยู่ตลอด  ดวงตาเป็นประกายวาววับอย่างเจ้าเล่ห์  จนถ้าน่านฟ้ามองเห็นจะรู้ในทันทีว่าสายตาคู่นี้ร้ายกาจกว่าเดชานนท์แค่ไหน…

“เมื่อเช้ายังดี ๆ อยู่แท้ ๆ เลย  ป่วยตอนไหนกันนะ  หรือว่าตอนประชุมบอร์ดเมื่อบ่าย  ก็บอกให้ลดแอร์แล้วนี่นา…ทำไมยังป่วยได้อีก”  น่านฟ้าบ่นอย่างไม่เข้าใจนัก 

ผืนผ้าถูกพับวางลงบนหน้าผากคนนอนป่วยไปสองผืน  แล้วจึงเอื้อมมือปลดกระดุมชุดนอนอีกฝ่ายออกอย่างเบามือที่สุด  ด้วยกลัวรบกวนการพักผ่อนของคนป่วย…โดยไม่ทันสังเกตว่าคนที่นอนนิ่งอยู่ผ่านการอาบน้ำมาแล้วเรียบร้อย  ทั้ง ๆ ที่กลิ่นเจลอาบน้ำลอยมาแตะจมูกอยู่เนือง ๆ

มือหนึ่งเอื้อมหยิบผืนผ้าที่วางบนหน้าผากภาติยะออกมาหนึ่งผืน  ทำท่าจะเช็ดตัวให้อีกคนแต่สายตาที่เหลือบไปเห็นผ้าม่านริมระเบียงสะบัดปลิว  ทำให้ต้องบ่นขึ้นมาอีกรอบ  เนื้อหาใจความก็เพียรต่อว่าคนที่กำลังนอนนิ่งและไม่โต้ตอบใด ๆ

“เปิดประตูไว้เหรอเนี่ย  อะไรกันลมโกรกแบบนี้จะหายป่วยได้ยังไงเล่า…ภาตนี่  ดีนะที่คืนนี้ไม่ต้องไปนอนเป็นเพื่อนน้องน้ำแล้ว  ไม่งั้นพรุ่งนี้ไม่ต้องลากไปโรง’บาลเหรอ”

ร่างที่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไปทางระเบียงถูกรั้งเข้าสู่อ้อมกอดของคนข้างหลัง  จนต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ  ดวงตาโตที่หันไปมองสบตากับดวงตาคมเฉี่ยวมีความงุนงงผสมอยู่เต็มเปี่ยม  เพราะความตกใจทำให้ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน  กว่าจะรู้สึกตัวปลายจมูกของภาติยะก็ชิดอยู่กับปลายจมูกของตัวเองเสียแล้ว…

ริมฝีปากบางที่ประทับลงมาอย่างเรียกร้องนั้น  ทำให้น่านฟ้าต้องตอบรับอย่างไม่ทันได้ตั้งใจ  แม้จะยังคงงงอยู่บ้างแต่อาการขัดขืนก็ไม่ได้แสดงออกมา  จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมผละจากให้เขาได้หายใจอย่างสะดวก  และได้คิดอย่างถ้วนทั่วนั่นแหละ…กำปั้นที่ภาติยะคิดว่านุ่มแสนนุ่มก็ทุบเข้ากับแผ่นอกไปหลายครั้ง

“คนบ้านี่  ทำให้เป็นห่วงเหรอ…นึกว่าป่วยมากซะอีก  เห็นนอนซะนิ่งเลย”  ต่อว่าอีกฝ่ายแล้วก็สะบัดหน้าหวาน ๆ หนีอย่างแสนงอนจนภาติยะต้องหัวเราะขบขันกับท่าทีนั้น

“อย่างอนสิครับฟ้า…”  ‘ฟ้า’ ถูกตัดมาจากชื่อจริง  ภาติยะเป็นคนเริ่มเรียกแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่น่านน้ำย้ายมาอยู่ด้วย  แม้จะฟังดูแปลกถ้าผู้ชายจะใช้ชื่อนี้  แต่ก็ดีกว่าการเรียกชื่อเต็ม ๆ แล้วน่านฟ้าก็เริ่มชินจนเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อนี้ตามทุกคนในที่สุด…

“ก็ภาตบอกแล้วว่าวันนี้วันศุกร์…”  น่านฟ้าฟังแล้วงง  “แล้วยังไงล่ะภาต  ฟ้าไม่ได้หลงวันนี่”

“พรุ่งนี้น่ะวันเสาร์ใช่มั้ยครับที่รัก…”  น้ำเสียงออดอ้อนถามให้งงอีก  “ครับ…พรุ่งนี้วันเสาร์”

“แล้วถ้าตื่นมาตอนสาย ๆ แล้วไม่เห็นฟ้า  มันจะน่าเสียดายมากเลยใช่มั้ยครับที่รัก”  ภาติยะเริ่มจะถามอะไรแปลก ๆ ต่อไป

“เสียดายอะไรอีกล่ะ”  น่านฟ้าเริ่มจะหงุดหงิด  เมื่ออีกฝ่ายยียวนไปเรื่อย

“เฮ้อ…”  แล้วยังมีถอนหายใจอีก  “เสียดาย…”  พูดแล้วเงียบอีก  จนน่านฟ้าอดจะโวยวายไม่ได้ 

“เอ๊…ภาตนี่  ยังไงกันเล่า  ไม่เห็นฟ้าจะเข้าใจเลย  คนบ้า…”  แล้วกำปั้นนุ่มก็ทุบเข้ากับแผ่นอกคนกวนประสาทเบา ๆ เพราะคิดได้ว่าทุบบ่อย ๆ เสี่ยงที่อีกฝ่ายจะช้ำในตาย  แล้วคนทุบนี่ล่ะจะร้องไห้จนตายตาม

มือเล็กกว่าถูกรวบเอาไว้กับแผ่นอก  แล้วภาติยะก็ก้มหน้าลงทำท่ากระซิบแต่ได้ยินไปทั่วห้อง  “เสียดายว่า  เมื่อคืนคงจะพลาดเรื่องสำคัญบนเตียงไปน่ะสิครับคนดี  เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ต้องกลับมาเสียดาย  คืนวันศุกร์ต้องสวีทกันอย่างหวานแหววที่สุด  จนวันเสาร์ฟ้าลุกไม่ขึ้นนั่นแหละ  มันถึงจะดี”

“คนบ้านี่  ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน”  น่านฟ้าโวยวายพยายามจะดิ้นให้หลุด  แต่สุดท้ายตัวเขาก็ต้องนอนลงไปบนเตียง  โดยมีอีกคนตามลงมากอดรัดไม่ยอมปล่อย

“จะไม่ยอมจริง ๆ เหรอ  วันธรรมดาก็ปล่อยไปแล้วแท้ ๆ  แล้วใครกันล่ะที่ขี้โกงน่ะ”  ภาติยะเริ่มจะน้อยใจขึ้นมาบ้าง  เขาลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีอีกคนที่ได้แต่ทำตาปริบ ๆ

“นอกใจรึก็ไม่เคยทำ  บอกว่าไม่เอารึก็ยอมหยุดทุกที  ดีตามใจเลย…จะไปนอนห้องเล็กนะ”  แล้วคนที่น้อยใจก็สติระเบิดคว้าหมอนได้ก็ลุกหนีออกไปจากห้องทันที

น่านฟ้าผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ  แต่อีกคนก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว  ทีนี้ฝ่ายที่กระวนกระวายก็คือคนที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียว  ที่ไม่รู้ว่าภาติยะจะโกรธมากแค่ไหน  แล้วเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะหายโกรธ  แล้วถ้าไม่หายโกรธเลยตัวเขาจะทำเช่นไร…

หลังจากคิดไปสารพัดน่านฟ้าก็อุ้มผ้าห่มผืนใหญ่ออกจากห้องไปอย่างทุลักทุเลเต็มที  เพราะดูเหมือนผ้าห่มจะใหญ่กว่าตัวของเขานั่นเอง  ร่างบางกับผ้าห่มผืนใหญ่เดินผ่านห้องของน่านน้ำด้วยเสียงเบากริบ  ก่อนจะมายืนอยู่หน้าประตูห้องเล็กที่ภาติยะพูดถึง

มือที่ไม่ว่างทำให้เท้าบอบบางเพราะไม่ค่อยได้กระทบสิ่งใด  กระแทกเข้ากับประตูอยู่หลายครั้ง  ก่อนที่ประตูจะเปิดออกมา  คนเปิดยืนหน้ามุ่ยด้วยความหงุดหงิดไม่เลิก  มือใหญ่รับผ้าห่มมาจากร่างบางมาถือไว้…

“ขอบคุณ  แต่คงไม่หนาวตายง่าย ๆ หรอก”  ว่าแล้วก็เอาผ้าห่มไปวางไว้บนเตียงเล็กที่ผ้าห่มใหญ่กว่าถึงสองเท่า  เมื่อหันมาจะปิดประตูก็เจอน่านฟ้าที่เข้ามายืนสงบนิ่งอยู่  “อะไรอีกล่ะ…”

คนถูกถามไม่ตอบแต่เดินไปนอนลงบนเตียง  แล้วส่งเสียงบอก  “ไปนอนห้องใหญ่ไป๊…เดี๋ยวจะนอนห้องนี้เอง”

ภาติยะมองคนพูดอย่างมีโมโห  แต่เจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไปทันที  ปล่อยให้น่านฟ้าลุกขึ้นมาหัวเราะชอบใจ  โดยคนที่ออกไปไม่รู้สักนิดว่ากำลังถูกคนร้ายเดียงสาแกล้งอยู่  และดูเหมือนคนแกล้งจะพอใจมากเสียด้วย…

น่านฟ้าลุกขึ้นหอบหมอนกับผ้าห่มออกจากห้องอย่างทุลักทุเลอีกครั้ง  เส้นทางเดินถูกเดินย้อนกลับก่อนที่ร่างบางจะหอบหิ้วตัวเองและสิ่งของมาถึงหน้าห้องนอน  ทีนี้เท้านุ่ม ๆ ก็มีอันต้องออกแรงอีกครั้งจนรู้สึกเจ็บจี๊ด…

ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับสายตาอาฆาตแค้นนักหนาของคนเปิด  แล้วมือใหญ่ก็คว้าข้าวของมาจากร่างบาง  เอาไปวางไว้บนเตียงใหญ่  แล้วหันมาอาละวาดกับคนที่เข้ามายืนนิ่งอีกครั้ง  แต่คราวนี้น่านฟ้าช้ากว่าเมื่อครู่เพราะมัวแต่ปิดประตูล็อคห้องอยู่…

“ตกลงว่าเปลี่ยนใจ  แล้วจะให้ภาตกลับไปนอนเตียงเปล่าใช่มั้ย  อะไรกันนักกันหนา…”  เกือบจะออกคำไม่สุภาพออกมา  แต่ภาติยะก็เก็บไว้ทัน  ขืนพูดออกมามีหวังได้ตายอยู่ตรงนี้เพราะอีกคนจะร้องไห้แบบสามวันยังไม่ยอมหยุดนั่นแหละ  ทีนี้เขาก็จะอกแตกตายเพราะสงสารและเจ็บปวดแทนจนทนไม่ไหว

“อือ…เปลี่ยนใจแล้ว  จะนอนด้วยกันดีกว่า  ง่วงจัง…สงสัยถึงยอมไปก็ไม่ไหวแล้วอะภาต”  น้ำเสียงออดอ้อนกับร่างบางที่เดินเข้ามาติดกระดุมเสื้อที่เป็นถอดไว้ให้  เสร็จแล้วก็กอดร่างสูงแน่น  ทำให้ภาติยะเอ๋อไปทันใด  แต่คำพูดที่ไม่โกหกนั้นทำให้ต้องช้อนอุ้มร่างบางไปที่เตียงก่อนสิ่งใด

มือบางยกขึ้นขยี้ตาถูกมือใหญ่กว่าดึงออก  แล้วใช้นิ้วไล้เบา ๆ ใต้ตาไปจนถึงหางตา  ก่อนจูบประทับลงไปบนเปลือกตาข้างหนึ่งอย่างเอ็นดูรักใคร่  “ถ้าง่วงก็นอนซะ…” 

ภาติยะจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากอิ่มเบา ๆ แล้วขยับขึ้นมามองดูหน้าหวาน ๆ ที่ยังคงฝืนทำตาโตมองเขาไม่เลิก  “ทำไมล่ะครับ…”

“รักภาตที่สุดเลย…”  เสียงงัวเงียเอ่ยบอกพร้อมยิ้มหวาน  กระชากความโกรธที่เคยมีออกจากใจอีกคน  แล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี

“ครับ…รักน่านฟ้าที่สุดเหมือนกัน”  ภาติยะก้มลงกระซิบอีกฝ่ายพอให้ได้ยิน  แล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ มอบอ้อมกอดที่อบอุ่นให้อีกคนเหมือนดังเช่นทุกวัน

ไม่ว่าก่อนนอนจะเป็นเช่นไร  ค่ำคืนของทั้งคู่ก็จะจบลงอย่างแสนหวาน  และไม่ว่าจะนานเท่าไหร่  คืนวันที่ผันผ่านก็ยังคงอบอวลไปด้วยความรักที่ลอยวนอยู่รอบกาย…เมื่อเป็นคนที่ให้ความรักและได้อีกความรักเป็นการตอบแทน 

บอกกับ ‘ฟ้า’…ห่วงใยเสมอ
แล้วบอกกับเธอ…’รักเธอ…ที่รัก’







ต่ออีกเรื่องเลยนะคะ  พลังอธิษฐาน  ด้านล่างจ้า

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน
«ตอบ #92 เมื่อ29-12-2013 20:46:52 »

พลังอธิษฐาน
ปฐมบทอธิษฐาน



สองมือกุมแนบแน่นอยู่ที่หน้าอก  เสียงจิตใต้สำนึกเอื้อนเอ่ยบางคำที่เจตนาส่งไปยังที่ไกลแสนไกล 
ขอให้มันผ่านสายลมแสงดาวไปยังใครคนหนึ่ง…ที่อยู่ตรงนั้น 

เส้นทางอาจยาวไกลทอดไปไม่รู้จักจบสิ้น  หากแต่ความรักจะคงอยู่ที่ตรงนี้ 
ไม่ว่าวันใดก็ตามที่คนที่ลูกรักคนนั้นได้เดินกลับมายังที่เก่า…จะยังพบลูกคนเดิมเฝ้ารออยู่ตรงนี้

ขออธิษฐานผ่านดวงดาวบนฟากฟ้า  ผ่านจันทร์เสี้ยวในค่ำคืนนี้  ไม่ว่าคนที่ลูกรักคนนั้นจะอยู่ที่ไหน 
ขอให้เขาได้กลับมาหาลูกในสักวันหนึ่ง…กลับมาที่ตรงนี้

ขออธิษฐานส่งมอบความรักนี้  ไปให้แก่คนลูกที่รักคนนั้น  ขอให้เขารับรู้ว่ายังมีลูกรอคอยจากฟากฟ้าแห่งนี้ 
ลูกที่จะรอคอยเขาจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต…และยาวนานไปยิ่งกว่านั้น

ขออธิษฐานให้ความรักของพวกเราที่เคยมีให้กันนั้น  ยังคงมีอยู่ประทับในดวงใจดวงนั้น 
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร  ถึงแม้จะไม่ได้กลับมาพบกันอีกก็ตาม…ขอเพียงรักนั้นยังคงอยู่

ขออธิษฐานให้คนที่ลูกรักมีความสุข 
ขออธิษฐานให้ตัวลูกมีความสุข 
ขออธิษฐานให้ทุกคนมีความสุข 
ขออธิษฐาน…ให้เขาได้กลับมา
ขออธิษฐาน…ให้รักเราเป็นนิรันดร์



เงาใต้น้ำ : เรื่องนี้เขียนแบบการ์ตูนมากเลย
ซีรีส์ จังหวัดที่เก้าสิบเก้า เริ่มเรื่องแรกด้วย สายธารแห่งหัวใจ ค่ะ[/color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:28:09 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน 1
«ตอบ #93 เมื่อ29-12-2013 20:49:52 »

พลังอธิษฐาน 1



ภาคการศึกษาใหม่ของเอกศาสตร์ได้เริ่มต้นอีกครั้ง  เสียงรุ่นพี่รุ่นน้องเพื่อนพ้องทักกันดังระงมไปหมด 
ใบปลิวเชิญชวนให้เข้าสมัครเป็นประธานสภานักเรียนและคณะกรรมตำแหน่งอื่น ๆ
ปลิวว่อนเกลื่อนลานโรงเรียน  ไร้ผู้คนจะสนใจเมื่อประธานคนเก่าก็ออกจะโด่งดังและไร้คู่แข่งอยู่แล้ว

กระดาษบางลอยละล่องหยุดลงที่ปลายเท้าของใครคนหนึ่ง  ซึ่งก้มลงเก็บมันขึ้นมาอ่านราวกับเห็นคุณค่า 
นิ้วเรียวสวยผิวขาวสะอาดเกลี่ยรอยดินออกช้า ๆ อย่างเห็นเป็นเรื่องสำคัญ 
ก่อนเปลี่ยนเส้นทางของตนเองไปที่อาคารสภานักเรียน 
แผ่นหลังบอบบางหากแต่มั่นคงก้าวเดินไปอย่างไม่กลัวต่อสิ่งใด…เมื่อมีจุดหมายที่ชัดเจน

เสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังไปทั่วอาคารสภานักเรียน 
เมื่อใบสมัครเป็นกรรมการสภานักเรียนในตำแหน่งเลขานุการมีมากมายจนนับไม่ถ้วน 
หากแต่ก็ไร้ความสนใจจากประธานนักเรียนหนุ่มรูปงาม 
ซึ่งไม่เห็นว่าคุณสมบัติที่ส่งมาจะเข้าตาเขาแต่อย่างใด

ใบหน้าหล่อเหลาจนสาว ๆ เห็นเป็นเทพบุตรกับดวงตาคมกริบ  สร้างความองอาจให้กับตัวเขาได้ไม่น้อย 
"ทำไมไม่เห็นจะมีใครเหมาะกับตำแหน่งนี้เลยครับคุณวสันตฤดู" 
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยความสงสัย

"ไอ้คุณพี่คิมหันตฤดูครับ คุณช่วยอย่าเลือกมากได้มั้ยครับ  คนที่สอบได้อันดับต้น ๆ เนี่ย
ส่วนใหญ่เค้าไม่ค่อยจะสนใจตำแหน่งในนี้หรอกครับคุณพี่" 
คนที่เป็นทั้งญาติและเพื่อนเอ่ยตอบ

"คุณเหมันตฤดูล่ะว่าไง" 
คิมหันต์หันไปหาน้องชายสุดที่รักที่ไม่เงยหน้าจากนิตยสารโป๊เปลือยก่อนจะเอ่ยถาม 
"คุณพี่จะได้เลขามั้ยครับวันนี้"

"ก็เลือกดี ๆ สิวะไอพี่บ้า  อย่ากวนโว้ยอ่านหนังสืออยู่" 
เหมันต์ตอบไปอย่างไม่ใยดี  ทำให้พี่ชายได้แต่เข่นเขี้ยวอย่างไม่สบอารมณ์

ประตูห้องถูกเคาะก่อนที่จะถูกเปิดออกโดยทะเบียนของสภาฯ  ที่เดินนำเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาภายในห้อง 
ดวงหน้าหวานจัดผิวขาวสะอาดราวตุ๊กตาคริสตัล ทำให้อีกสามคนในห้องหันมามองเป็นตาเดียว 
เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์และน่าหลงใหลที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาก็ว่าได้

"คุณน้องคนนี้เป็นเด็กมอสี่ครับ  สอบเข้าด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง" 
ทะเบียนรายงานได้แค่นั้น  ก็ต้องออกไปทันทีเมื่อประธานฯ โบกไม้โบกมือไม่ให้อธิบายต่อ

"คุณสมัครตำแหน่งไหนครับ  หรือว่าประธานนักเรียน" 
คิมหันต์เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้  รู้สึกว่าเก้าอี้ของเขาจะสั่นคลอนก็งานนี้  ก่อนที่คำตอบจะทำให้สบายใจขึ้นมา

นิ้วสวยชี้ไปที่กระดาษในมือตรงคำว่าเลขานุการ  ทำให้อีกสามคนได้แค่เพียงมองตาม 
ดวงหน้าหวานนั้นเรียบเฉยไร้อาการใด  ริมฝีปากอิ่มขยับเบา   หากแต่ไม่มีน้ำเสียงเล็ดลอด 
แล้วเจ้าตัวก็นิ่งไป  ดึงปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเขียนชื่อนามสกุลลงในใบสมัคร

[รัตติกาล  วิริยะมินตรา]

ทุกอย่างก็ถูกเฉลยขึ้นมาในทันที  เด็กพิเศษที่ใครก็กล่าวถึงคนนั้น  คนที่ใคร ๆ ก็บอกว่าพูดไม่ได้ 
หากแต่ไม่ได้เป็นใบ้แต่อย่างใด  ดวงตาหวานใสเงยขึ้นจ้องมองอีกสามคนอย่างไต่ถาม 
ว่าจะรับเขาเอาไว้หรือเปล่าแต่คิมหันต์กลับมีสีหน้าลำบากใจสุดขีด

"น้องต้องเข้าใจนะครับ  คืองานนี้ต้องมีการติดต่อสื่อสารที่ดีเยี่ยม 
แล้วน้องเอ่อ…พูดไม่ได้  ถ้าพี่รับน้องเอาไว้พี่ก็อาจจะลำบากก็ได้ 
ถึงน้องจะเข้าข่ายที่พี่ต้องการก็เถอะ"  คิมหันต์พยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ

ดวงหน้าหวานพยักเบา ๆ อย่างเข้าใจ  ริมฝีปากอิ่มถูกขบเพราะการปฏิเสธดังกล่าวร่างบางหันหลังช้า ๆ
ท่ามกลางสายตาสามคู่ที่มองอย่างเห็นใจ  รัตติกาลตั้งท่าเดินออกไปนอกห้อง 
แต่เหมันต์ก็เข้ามายืนขวางเอาไว้  ก่อนหันไปพูดกับพี่ชาย

"ก็รับเค้าไว้สิพี่กรีน  มันไม่ลำบากเราหรอกน่า  พี่กำลังละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนในเอกศาสตร์อยู่นะเนี่ย" 
เหมันต์ต่อว่าพี่ชาย  ก่อนหันไปพูดกับอีกคน 
"เอาล่ะ  คุณสมบัติเหมาะสมพวกเราจะรับคุณให้ทำงานตำแหน่งนี้…คุณโอเคนะ"

รัตติกาลพยักหน้าตอบรับ  ก่อนก้มหัวขอบคุณทั้งสามคนในห้องไม่ลืมสังเกตอาการประธานฯ 
ที่ถูกมัดมือชกอย่างรู้สึกไม่ดีนัก  เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเซ็ง ๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อสองสาวสุดสวยน่ารัก 
ไอดอลของโรงเรียนเปิดประตูเข้ามาหาอย่างเคยชิน

"พี่กรีนขาไปข้างนอกกันมั้ย  กว่าจะเริ่มประชุมก็อีกตั้งชั่วโมงแน่ะ" 
หนึ่งในสองคนน่ารักเอ่ยชวน  ก่อนจะฉุดแขนประธานเจ้าเสน่ห์ให้ลุกขึ้นเดินออกไปด้วยกัน

"มันก็ดีกว่าสองคนนั้นเป็นเลขาฯ ล่ะว้า…ชั้นตายแน่เลยว่ะบลูถ้ายัยสองคนนั้นมาโวยวายอยู่ในห้อง" 
เหมันต์หันไปพูดกับวสันต์ที่ทำท่าสยองพอกัน  หลังจากมองตามประธานสุดเท่ห์จนลับตา

"เรดนายไม่ได้บอกให้น้องเค้านั่งอะ"  วสันต์เตือนลูกพี่ลูกน้องตัวเอง  ก่อนทำหน้าที่แทน 
"น้องนั่งตรงนี้นะครับ  นี่เป็นโต๊ะของเลขาแต่ที่มันรกขนาดนี้ก็เพราะไอเขียวกับไอแดงนั่นแหละ 
พี่ไม่เกี่ยวเลยครับ"  พูดว่าคนอื่นไปแล้วก็ต้องตามเก็บผลงานนั้นไป  จนโต๊ะดูโล่งขึ้น

"น้องจะให้พวกเราเรียกว่าอะไรดีเอ่ย" 
วสันต์ที่โยนหนังสือไร้สาระของญาติตัวเองทิ้งหันมาเอ่ยถามคนที่กำลังนั่งลงที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง 

มือบางหยิบปากกาขึ้นมาเขียนลงในกระดาษเปล่าแถวนั้น 
[เพรย์]
เหมันต์กับวสันต์จ้องมองตัวหนังสือในกระดาษแล้วเงียบไปด้วยความสงสัย  ว่าทำไมชื่อคนถึงได้ประหลาดดีแท้ 
ก่อนจะถอดภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษด้วยความชาญฉลาดส่วนตัว  แล้วจึงเข้าใจในที่สุด
"เพรย์  มาจาก P-R-A-Y  ใช่มั้ย"  วสันต์เอ่ยถามไป  แล้วรัตติกาลก็พยักหน้าว่าใช่เสียด้วย 
"อธิษฐาน…เหรอ  แปลกดี"

"เอาล่ะน้องเพรย์งานของน้องเนี่ย  ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเอกสารล้วน ๆ เลยนะ 
แล้วเรื่องการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นพวกเราจะมอบหมายให้ประชาสัมพันธ์ทำงานกันอย่างเต็มรูปแบบเลย 
ส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา  บลูนายก็จัดการหน้าที่ตัวเองซะบ้าง" 
ตอนหลังเหมันต์หันไปว่าญาติตัวเองอย่างหมั่นไส้

"ช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีงานหรอกนะ  เพราะงานแจกงบชมรมน่ะพี่กรีนเค้ารับไปทำคนเดียว 
รายนั้นน่ะเก่งเหลือเชื่อเชียวล่ะ  ตอนอยู่มอต้นน่าจะได้ข่าวบ้างล่ะนะ"  วสันต์บอกอีกครั้ง 
"ทีนี้ก็จะมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้  ถ้าไม่เข้าเรียนก็มาขลุกที่นี่ก็ได้ 
ถ้าไม่รำคาญเสียงยัยสองคนที่เห็นเมื่อครู่นั่น"

"แล้วก็ถ้าไม่กลัวความเจ้าชู้ไม่เลือกของพี่กรีนด้วย" 
เหมันต์ไม่ลืมเงยจากหนังสือตรงหน้าขึ้นบอก  "รายนั้นน่ะได้ทุกอย่างที่ขว้างหน้า…ไม่ได้ขู่นะ"

ดวงหน้าหวานจ้องมองเหมันต์อย่างไม่ค่อยแน่ใจกับคำพูดนั้นนัก 
ดวงตาใสทอประกายจนทั้งสองคนอดจะเอ็นดูไม่ได้ 
แล้วก็นึกเป็นห่วงขึ้นมาจริง ๆ ว่าถ้าโดนประธานใจเสือนั่นหลอกจะเป็นอย่างไร 
แต่ว่าถึงจะน่ารักได้แค่ไหน  อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายอยู่ดี…อย่างน้อยก็น่าจะมีการละเว้นกันบ้างล่ะ


ภายในห้องว่างเปล่าไร้ร้างผู้ใดแต่กลับทำให้รัตติกาลรู้สึกดีขึ้นที่ไม่ต้องได้ยินเสียงของใคร 
ร่างบางลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะประธานนักเรียนเอื้อมมือเปิดลิ้นชักโต๊ะออกมา 
เครื่องเขียนหลายหลากวางเป็นระเบียบอยู่ด้านใน  รวมถึงหนังสือเรียนบางเล่มที่ถูกเก็บไว้ในนั้น 
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเขากลับเป็น…กล่องกำมะหยี่สีแดงสด

มือบางหยิบกล่องกำมะหยี่นั้นขึ้นมา  ตัดสินใจเปิดมันออกช้า ๆ
สร้อยพลาสติกผสมโลหะสีชมพูส่องประกายต้องแสงระยิบระยับ 
เทียบไม้ได้กับตัวจี้ไม้กางเขนคริสตัลสีเดียวกันที่งดงามยิ่งกว่า 
แล้วสร้อยและกล่องก็ถูกแยกออกจากกันในที่สุด  เมื่อสร้อยเส้นนั้นถูกสวมเข้าที่คอระหง 
หากต่อมาสร้อยอีกเส้นที่เหมือนกันก็ถูกถอดออกมาแล้ววางกลับเข้าไปในกล่องนั้นแทน

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยรัตติกาลจึงเดินกลับไปนั่งลงยังที่เดิมอีกครั้ง 
การประชุมนักเรียนในวันเปิดภาคการศึกษาใหม่คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงสองชั่วโมง 
เขาจะมีเวลาอีกไม่นานในการพักผ่อนโสตประสาท  เพื่อไม่ให้มันต้องรับเสียงใด ๆ
เขาต้องการแค่ความเงียบสงบเท่านั้น

สภาพรกรุงรังภายในห้องทำให้รัตติกาลต้องลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อทำความสะอาดห้องให้ดูดีขึ้น 
เขาเริ่มเก็บขยะจากทั้งโต๊ะตัวเอง  รวมถึงอีกสามโต๊ะภายในห้อง 
ถังขยะจึงเต็มไปด้วยเศษกระดาษในเวลาต่อมา 
ก่อนที่มือบาง ๆ จะได้ลากถังขยะออกไปจากห้อง  ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้งโดยเหมันต์

"เพรย์…ทำอะไร"  คนเข้ามาใหม่เอ่ยถาม 
ชะโงกหน้าดูถังขยะราวกับกลัวหนังสือที่เขาสะสมจะอยู่ในนั้นด้วย 
แต่เมื่อมองไปที่โต๊ะก็ดูเหมือนมันจะอยู่ครบ 
"ไม่ต้องหรอก…เดี๋ยวให้พวกปฏิคมทำ  ยังไงพวกนั้นก็ว่างงานจัดอยู่แล้ว"

รัตติกาลพยักหน้ารับคำ  ทำเอาผมที่ยาวเลยบ่ากระจัดกระจายเต็มดวงหน้าไปหมด 
เหมันต์ยื่นมือปัดผมนั้นออกให้  ก่อนที่ฝ่ามือจะวางทาบกับดวงหน้าหวานนิ่ง 
ราวกับเขาจะเคยเห็นใครคนนี้ที่ไหน…ที่ไหนสักแห่งที่ยังไม่มั่นใจในเวลานี้

"หน้าคุ้น ๆ นะเรา"  เอ่ยบอกอย่างคาใจ  ก่อนดึงมือออกจากดวงหน้านั้น 
"เคยเห็นแน่ ๆ แต่ที่ไหนกัน  คงไม่ใช่ที่โรงเรียนหรอกมั้ง…เหมือนจะเป็นรูปถ่าย"

รัตติกาลมองเหมันต์ที่ดูเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง  ดวงตาฉายแววยินดีอยู่ชั่วครู่แล้วนิ่งเรียบเช่นเดิม 
ก่อนกลับไปยังที่นั่งของตนอีกครั้ง  เหมันต์มองตามเรือนรางบอบบางตรงหน้า 
ภาพการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนจะสโลว์แบบนั้นทำให้เห็นถึงความอ่อนหวานของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก…
หากไม่ปิดตัวเองไปมากกว่านี้

"เป็นคนที่หน้าตาสวยมากเลยนะเราน่ะ" 
เหมันต์อดเอ่ยชมไม่ได้จนคนที่ถูกชมต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างสงสัย…
ว่าในคำพูดนั้นมีนัยอะไรอีกไหม

"เคย…แบบว่ามีผู้ชายมาจีบมั้ย  แล้วถ้าเคยเนี่ย…ต้องทำยังไงบ้าง" 
เหมันต์ถามแล้วรีบเข้าไปนั่งใกล้ ๆ อีกฝ่าย  "บอกพี่ได้รึเปล่าว่าถ้าจะจีบผู้ชายต้องทำยังไง"

รอยยิ้มบางฉายออกหน้าจากดวงหน้านั้น  เหมันต์ได้แต่มองอย่างอิจฉา
ว่าทำไมอีกคนถึงได้มีเสน่ห์มากมายขนาดนี้  แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ 
เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ก็เอาแต่นั่งนิ่ง ทำหน้าเฉย ๆ อยู่อย่างนั้น

"ว่าไงล่ะ…ไม่เคยมีคนมาจีบเลยเหรอ…ว้า"  บ่นอย่างเสียดาย

ปากกาในมือบางถูกขยับเขียนอีกครั้ง 
[มันขึ้นอยู่กับคนครับ  ว่าเขาจะชอบให้เข้าหาแบบไหน  พี่ก็ต้องเข้าหาในแบบที่เค้าชอบสิ] 
เป็นคำแนะนำที่ทำให้เหมันต์ยิ้มได้  ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ อย่างหมายมาดกับเรื่องบางเรื่อง

"ขอบใจนะที่อุตส่าห์แนะนำ…แต่หลักฐานนี่ต้องทิ้งไปซะ" 
ว่าแล้วก็ขยำกระดาษก่อนโยนเข้าไปในถังขยะอย่างแม่นยำ 
"พวกนั้นยังไม่เห็นมาซักทีนะ  วันนี้เราเลิกกันเร็วเพราะว่าไม่มีเรื่องอะไรต้องบอกกันมาก 
แต่บางทีสองคนนั้นอาจจะติดบรรดาสาว ๆ ที่เข้ามาเลื้อยอยู่ที่แข้งที่ขามากกว่า 
ยิ่งชอบกันอยู่ด้วย…คงอีกนานถึงจะเข้ามา"

รัตติกาลฟังเหมันต์เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง  ไม่ลืมจะสังเกตอาการที่ไม่อยู่นิ่งของอีกฝ่าย 
ที่ดูเหมือนจะมีห่วงกับบางเรื่องทำให้ต้องเดินไปที่ประตูบ่อยครั้ง 
เขารู้สึกว่าเหมันต์เป็นคนที่คบได้คนหนึ่ง  แม้นิสัยออกจะเก็บเนื้อเก็บตัว 
อาจจะดูหมกมุ่นกับหนังสืออย่างว่า  แต่ดูเหมือนเขาจะหวังผลบางอย่างจากหนังสือเหล่านั้น…
มากกว่าคำว่าหมกมุ่น

"พี่กรีนเค้าเป็นคนค่อนข้างจะประหลาดนะ 
สาว ๆ เยอะเลยล่ะ…ไม่เคยมีประวัติกับผู้ชายหรอก 
เมื่อสองปีก่อนพี่เค้าถูกรถชนตอนนั้นอาการหนักเหมือนกัน  แต่พอฟื้นขึ้นมาก็กลับเป็นปกติ 
ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ  ถ้ามองจากสายตาคนอื่นที่ไม่ใช่พี่น่ะนะ" 

รัตติกาลดูเหมือนจะสนในกับเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียวหากดูจากอาการตั้งใจฟังนั้น 
"พี่กรีนเค้าเปลี่ยนไปนะ  เริ่มเข้าหาผู้หญิงมากกว่าแต่ก่อน 
ไม่ขี้อายเหมือนเดิม…พูดแต่ว่าถ้ารีบหาก็จะได้เจอตัวจริงเร็ว ๆ แปลกมั้ยล่ะ"

ปากกาในมืออีกคนที่ขยับขึ้นอีกครั้ง  ทำให้เหมันต์ต้องชะโงกหน้ามองตามตัวอักษรอย่างสนใจ 
[ที่แปลกน่ะมีแค่นี้เหรอครับ]

"ไม่รู้สิ…บางเรื่องมันก็พูดยากนะ  อย่างเช่นการที่จะต้องคอยดูดาวก่อนนอนแล้วพูดอธิษฐาน
  อะไรแบบนี้  แล้วก็พอถึงเทศกาลอย่างคริสมาสต์  ปีใหม่  วาเลนไทน์พี่เค้าจะเดินไปเรื่อยเปื่อย…
ไม่รู้ว่าควรจะไปไหน"  เหมันต์เล่าไปโดยที่ตัวเขาก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน

[อธิษฐานอะไรเหรอครับ]  คำถามจากรัตติกาลเกิดขึ้นอีกครั้ง

"ว่าอะไรเหรอ….อืม…ขอให้คนที่ลูกรักมีความสุข  พี่เค้าอธิษฐานแบบนี้ล่ะ" 
เหมันต์พูดด้วยรอยยิ้ม  ก่อนเดินไปที่โต๊ะของพี่ชายเปิดลิ้นชักแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงสดขึ้นมา 
"นี่น่ะพี่เค้าซื้อตอนวันเกิดเมื่อสองปีก่อน 
หวงมากเชียวล่ะตอนนั้นเค้าบอกว่าถึงจะเป็นไม้กางเขนก็ยังคงนึกถึงพระของเราได้ 
แต่หลังจากประสบอุบัติเหตุพี่เค้าจำไม่ได้ว่าซื้อมาตอนไหน  แล้วซื้อมาทำไม"

[แล้วจะทำยังไงกับมันเหรอครับ]  กระดาษที่เขียนถูกส่งให้อีกคนอย่างต้องการคำตอบ

เหมันต์ก้มมองกระดาษคำถามแล้วส่ายหน้าอย่างจนใจ 
"ไม่รู้สิ  ตอนแรกมันถูกทิ้งไปแล้ว  แต่พี่เป็นคนเก็บมาใหม่เองล่ะ 
ก็ตอนที่ซื้อมาทำอย่างกับของสำคัญอย่างนั้น  อยู่ ๆ จะทิ้งพี่ก็เลยไม่เห็นดีด้วย 
พี่กำลังตามสืบร้านที่ขายของนี่อยู่  แต่ไม่เคยเห็นว่าร้านไหนขาย"

[ของแบบนี้ต้องสั่งทำครับ]  ปากกาที่วาดลงกระดาษบอกเหมันต์ว่าอย่างนั้น 
ก่อนที่คนเขียนจะดึงสร้อยที่เหมือนกันออกมาจากด้านในเสื้อ 
[นี่ก็สั่งทำเหมือนกัน  แต่คงบอกร้านไม่ได้ครับ]

เมื่อกระดาษแผ่นเดิมถูกดึงกลับไป 
เหมันต์จึงตามเข้ามาเพื่ออ่านสิ่งที่จะปรากฏแก่สายตาต่อไป  แล้วต้องสงสัย 
"ทำไมถึงบอกไม่ได้ว่าร้านไหน"

[รุ่นพี่จะได้ไม่ต้องไปตามหา  เพราะร้านนี้ปิดกิจการไปแล้ว  คริสตัลแอนด์ซิลเวอร์ 
เจ้าของร้านย้ายไปอังกฤษแล้วครับ]  เป็นคำตอบที่ผ่านออกมาจากกระดาษอีกครั้ง

"อย่างนั้นเหรอ  ถ้างั้นก็คงต้องยกเลิกการสืบแล้วมั้งในเมื่อมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา" 
เสียงของคิมหันต์เอ่ยอยู่ข้าง ๆ ทำให้ทั้งสองต้องหันไปมอง 
คุยกันเพลินถึงขนาดไม่รู้ว่าอีกสองคนเข้ามาใกล้เมื่อไร

คิมหันต์กับวสันต์ยืนจ้องมองการคุยกันด้วยคำพูดและกระดาษอย่างสนใจ 
แม้ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะคุยอะไรกันผ่านไปบ้างแล้ว  แต่เรื่องที่เพิ่งได้ยินได้อ่าน
ทำให้คิมหันต์อดดีใจไม่ได้  เพราะในเมื่อไม่มีทางสืบอะไรเกี่ยวกับสร้อยเส้นนั้นได้…
มันก็จะถูกทิ้งได้เหมือนกัน

…ในเมื่อมันก็ไม่มีค่าสำหรับเขาสักนิด…
"ทิ้งได้แล้วสินะคราวนี้สร้อยเส้นนั้นน่ะ"  คิมหันต์ถามเหมันต์ 
ดวงตาจับจ้องไปที่กล่องสีแดงสดอย่างยินดี  ที่มันจะได้ออกไปจากชีวิตเขาเสียที

"พี่ทิ้งมันไปแล้วนี่  อย่าลืมสิว่าคนที่เก็บขึ้นมาน่ะผม…เอาพี่ให้เราแล้วกันเพรย์" 
พูดจบก็ยื่นกล่องที่ถืออยู่ให้อีกคนที่มีสร้อยเส้นนั้นอยู่เหมือนกัน 
"มันเหมือนของเราใช่มั้ย  แสดงว่าเราก็ต้องเห็นค่ามันบ้างล่ะ"

ดวงหน้าหวานพยักหน้ารับ  ก่อนรับกล่องนั้นมาไว้ในมือ 
รู้สึกถึงการกระทำอันไร้ค่าของตนเอง  การแลกเปลี่ยนสร้อยเมื่อครู่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย 
ในเมื่อสุดท้ายแล้วสร้อยทั้งสองเส้นก็ต้องมาอยู่กับเขา…เขาจะเป็นผู้รักษามันเอาไว้เอง

"ก็ดี…จะได้จบกันไปซะที" 
คิมหันต์พูดอย่างโล่งอก  ราวกับสร้อยนั้นจะมีความทรงจำอันปวดร้าวฝังอยู่กับเขา

ดวงตาหวานหม่นแสงลงไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น  สร้อยที่ให้ความรู้สึกดี ๆ มากมายกับตัวเขา 
สร้อยที่เหมือนกันกับของอีกคน  แต่สร้อยของอีกคนกลับสร้างแต่ความทุกข์ให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ 
มันก็สมควรแล้วที่จะไร้คนสนใจ…แต่หากมันอยู่กับเขามันจะได้รับความสนใจอย่างแน่นอน

"วันนี้หลังเลิกเรียนมีนัดกับมินท์ตอนห้าโมงเย็น  นัดกับใบเตยตอนหกโมงเย็น 
อืม…ทัน ๆ พอสลับขบวนได้"  คิมหันต์พูดไปหัวเราะไปหลังจากเปิดสมุดบันทึกเล่มเล็กในมือ 

"แหม…พรุ่งนี้ก็ดึกอีกวันด้วย  คุณพ่อคุณแม่ดุตายล่ะคราวนี้ 
คุณน้องทั้งสองครับกรุณาช่วยพูดให้คุณพี่อยู่รอดปลอดภัยด้วยนะครับ" 
แล้วก็ต้องหันไปขอร้องวสันต์และเหมันต์ให้ช่วยเหลือ

"เออ…ช่วยก็ได้วะ"  เหมันต์รับคำอย่างอดไม่ได้ 
"กลับบ้านให้มันเร็วหน่อยไม่ได้เหรอ  เดี๋ยวก็ไปค้างนู่นค้างนี่ 
ลูกสาวเค้ามีพ่อมีแม่นะโว้ย  ได้แล้วทิ้งง่าย ๆ น่ะ  ทำไมชั่วจังวะ" 

"ดูมันพูดกับพี่ชายที่แสนดีคนนี้ซิ"  คิมหันต์หันไปยิ้มกับวสันต์ที่ส่ายหน้าแบบไม่อยากจะยุ่ง 

"อ้าว…ไอ้คุณบลูเราก็เหมือนกันล่ะว้า  ชั้นรู้นะวันนี้นายนัดใครเอาไว้  สามคนไม่ใช่เหรอ" 
เมื่ออยากยุ่งนัก  จึงต้องโดนลากเข้ามาแบบช่วยไม่ได้

"พอกันเลย…เออจะไปไหนก็ไป  ตามสบาย…วันนี้ก็มีนัดเหมือนกัน" 
เหมันต์พูดอย่างไม่สนใจนัก  จนอีกสองคนต้องหันมามอง…ร้อยวันพันปีไม่เคยได้ยินว่ามีใคร

"นัดใคร…หรือใครนัด"  วสันต์ถามดูเหมือนจะเป็นห่วงมากกว่าสงสัย

"พี่บอส…หกห้องเอ"  บอกด้วยรอยยิ้ม  "เจ๋งปะ…เพื่อนพี่กรีนเชียวน้า"

"เอ้ย…ไอ้บอสมันผู้ชายนี่หว่าน้องพี่  น้องอย่าไปกับมันเลย…เสียผู้เสียคนตาย 
เกิดมันทำอะไรขึ้นมาเล่า…แต่พี่ว่าเราจะไปทำอะไรเค้ามากกว่า" 
ตอนหลังคิมหันต์ชักจะไม่มั่นใจขึ้นมา

เหมันต์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์  "จะลองบริหารเสน่ห์ตัวเองไงพี่ชาย…"

"พอ ๆ เลิกคุยเรื่องนี้…แล้วก็เลิกนัดไปด้วย  วันนี้ชั้นกลับบ้านกับนายเองเรด 
พี่กรีนไม่ต้องห่วงผมดูแลมันเอง"  วสันต์ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย 

ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ๆ บอกเลิกนัดสาว ๆ ทั้งสามคนที่ว่า

รัตติกาลที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ลุกขึ้นเงียบ ๆ
หากก็ไม่พ้นสายตาของคิมหันต์ที่หันไปมองอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายจะลุกไปไหน 
แต่เมื่อประตูห้องถูกปิดลงเขาก็หันไปหาน้องชายที่กำลังนั่งฟังญาติของพวกเขา
คุยโทรศัพท์กับสาว ๆ จึงตัดสินใจเดินออกมานอกห้องเช่นกัน


เสียงฮัมเพลงเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีเมื่อตัดสินใจจะไปหาสองสาวที่นัดเอาไว้เย็นนี้ 
หากแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นเลขาสภาฯ  ที่กำลังยืดตัวขึ้นหยิบอะไรบางอย่างจากตู้สูง ๆ
บริเวณเคาน์เตอร์ในห้องครัวสภาฯ  จึงได้คิดเดินเข้าไปช่วย  ฝีเท้าเบาเหมือนเหยียบเมฆ
ทำให้อีกคนไม่รู้สึกตัวว่ามีใครเข้ามายืนเคียงข้าง  หากยังไม่ทันได้ช่วยเหลือ 
กลิ่นจาง ๆ ของน้ำหอมจากเรือนร่างบอบบางก็ทำให้ก้มลงสูดกลิ่นนั้นเข้าไปเต็มปอด

"กุหลาบขาวเย้ายวนใจ"  เอ่ยเบาข้างหูอีกคนที่หันมามองด้วยความตกใจ  "กลิ่นดีนี่"

ดวงตาหวานหลุบมองพื้นอย่างเดาอารมณ์ไม่ถูก  ทำให้คิมหันต์ต้องเชยคางอีกฝ่ายให้หันมาสบตากับเขา
 หากเมื่อมองใกล้ ๆ กลับยิ่งพอใจในดวงหน้านั้น  เมื่อหวานสวยกว่าที่เห็นไกล ๆ มากนัก 
นิ้วหนึ่งเขี่ยเบาบนผิวแก้มนุ่มอย่างพลั้งเผลอ  แต่ก็ถูกอีกคนดึงออกอย่างกริ่งเกรง

"หือ…ปฏิเสธงั้นเหรอ"  รอยยิ้มประสงค์ร้ายทำให้คนตัวเล็กกว่านิ่งไปอย่างไม่เชื่อสายตา 
"ดูซิจะหนีไปไหนได้…จะลองร้องให้ใครช่วยดีมั้ย" 
แล้วก็พูดทั้งที่รู้ว่าอีกคนทำอย่างนั้นไม่ได้
แขนเรียววางทาบไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสกัดกั้นทางหนีของอีกคนเอาไว้ 
ก่อนที่ใบหน้าเทพบุตรจะโน้มเข้าไประรานอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวใครเห็น…
เพราะเวลานี้คงไม่มีใครเข้ามาแน่นอน

จมูกโด่งไล้ไปตามผิวแก้มนุ่มแผ่วเบา  ทั้งที่ดวงหน้านั้นพยายามอย่างยิ่งในการขยับหนี 
สองมือบางผลักแผ่นอกแกร่งเพื่อให้พ้นไปจากตัว  แต่ไร้แรงกระทบกระเทือนใด ๆ สำหรับอีกคน 
เมื่อเขาตัดสินใจอุ้มร่างบางขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์แล้วดึงเรียวแขนทั้งสองของอีกฝ่ายโอบรอบคอ 
ก่อนประกบจูบลงไป…เนิ่นนาน

มือบางขยุ้มเสื้อนักเรียนอีกคนจนยับ  แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น 
คิมหันต์ที่ผละจากริมฝีปากรสหวานนั้นมา  ยิ้มอย่างพอใจนักหนา 
แรงหอบของรัตติกาลทำให้ริมฝีปากอิ่มเผยอออกน้อย ๆ อย่างน่ารัก 
คิมหันต์จึงไล้ไปที่แก้มอีกฝ่ายคล้ายช่วยผ่อนคลาย 
ก่อนตัดสินใจอุ้มเรือนร่างบอบบางนั้นขึ้นไปยังชั้นสามของอาคารสภานักเรียน…
ส่วนที่เป็นห้องพักนั่นเอง


รัตติกาลถูกวางลงบนเตียงก่อนที่คิมหันต์จะเดินไปล็อคประตูห้อง 
แล้วเดินกลับเข้ามาหาร่างบางที่ขยับหนีไปจนสุดขอบเตียงที่ติดผนังจนหนีไปไหนไม่ได้อีก 
ด้วยอยากแกล้งเขาจึงเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า  ทำให้รัตติกาลตัวสั่นอย่างหวาดกลัวขึ้นมา 
นั่นทำให้คิมหันต์ดึงอีกคนเข้ามาหาตัวเขาอย่างขบขัน

"อย่ากลัวน่า…"  เอ่ยเสียงกระซิบ   แต่ดวงหน้าหวานก็ยังคงเบือนหนีไปเช่นเคย 
"อีกแล้ว  หลบหน้าหลบตากันจริงนะ"

มือใหญ่สอดเข้าไปในเสื้อตัวบางลูบแผ่นหลังเนียน  จนรัตติกาลดิ้นอย่างทนไม่ไหว  สองมือกำแน่นอยู่กับแผ่นอกหนา 
ดวงหน้าหวานเงยขึ้นมองเขาริมฝีปากขยับเอ่ยบอกบางอย่าง…แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
คิมหันต์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ  จึงเอ่ยถาม  "จะบอกว่าไม่เคยเหรอ" 
ดวงหน้าหวานส่ายไปมา  มือหนึ่งลากเขียนเบา ๆ บนแขนของเขา  ทำให้พยักหน้าเข้าใจ 
"ก็เคยแล้วนี่นา  ถึงจะครั้งเดียวก็ไม่เป็นไร"

รัตติกาลนิ่งไปเมื่ออีกคนบอกอย่างนั้น  ทำให้คิมหันต์เริ่มรุกเข้าไปอย่างเต็มตัว 
ริมฝีปากจูบไปจนทั่วดวงหน้าหวานใส  ขณะที่มือกำลังปลดกระดุมเสื้อนักเรียนออกไปจนหมด 
เสื้อจึงถูกเลื่อนออกจากเรือนกายอีกฝ่ายในเวลาต่อมา 
เรือนร่างขาวนวลจึงปรากฏแก่สายตาให้คิมหันต์จ้องมองอย่างพอใจอีกครั้ง

ร่างบางถูกประคองให้นอนลง  ประกายจากสร้อยที่สวมทำให้คิมหันต์นิ่งไป 
นิ้วหนึ่งช้อนกางเขนคริสตัลนั้นขึ้นมองอย่างสงสัยก่อนประทับริมฝีปากลงไป   
ดวงตาใสที่จ้องมองมีหยดน้ำคลอขึ้นมา  ก่อนเอื้อมมือประกบมือใหญ่กว่าที่ถือกางเขนอยู่ 
มือเล็กกว่าจึงถูกรวบไว้ก่อนประทับจูบ   แล้วก็กลายเป็นทั้งสองมือที่เกาะกุมกางเขนนั้นเอาไว้ 
อารมณ์บางอย่างทำให้ริมฝีปากเรียกร้องเข้าหากันสร้างสัมผัสที่ดูดดื่มไปถึงจิตวิญญาณ…
ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินต่อไป


เรือนผมนุ่มถูกลูบอย่างแผ่วเบา  เรือนร่างใต้ผ้าห่มสีขาวมีเพียงลมหายใจเนิบนาบสม่ำเสมอ
ที่เป็นการยืนยันว่ากำลังหลับอยู่  คิมหันต์ที่นอนตะแคงจ้องมองอีกฝ่ายเลื่อนมือ
จากกลุ่มผมสีดำสนิทปัดผิวแก้มนุ่มนั้นเบา ๆ ความรู้สึกบางอย่างที่แทรกขึ้นมาภายในหัวใจ
ทำให้เขากำลังสับสน…ต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป

ผ้าห่มสีขาวถูกดึงขึ้นอีกเมื่อเครื่องปรับอากาศภายในห้องเย็นจนทนไม่ไหว 
อาการนั้นทำให้คิมหันต์ดึงเอาร่างบางเข้ามากอดเอาไว้  ก่อนประจูบลงไปบนลาดไหล่ขาวนวล 
และสัมผัสนั้นเองที่ปลุกให้รัตติกาลตื่นขึ้นมา…ดวงตาหวานซึ้งลืมขึ้นอย่างงัวเงีย 
ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อข้างตัวมีใครอีกคน

"ตื่นจนได้สิ"  คิมหันต์บ่นอย่างโมโหตัวเอง  "เป็นไง…โอเคนะ"

คนในอ้อมกอดของคิมหันต์เคลื่อนไหวยุกยิก  ทำให้เขารับรู้ว่าอีกฝ่ายก็คงจะไม่เป็นอะไร 
แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะเห็นหน้าอีกฝ่ายบ้าง  คิดแล้วก็ดันอีกฝ่ายให้นอนหงาย 
ขยับตัวลุกขึ้นจ้องมอง  ตาใสเหมือนกวางที่มองมาทำให้รู้สึกเอ็นดูอย่างประหลาด 
มือหนึ่งจึงขยับลูบแก้มนุ่มอีกครั้ง  รอยยิ้มหวานที่รับสัมผัสนั้นทำให้คิมหันต์ลุ่มหลงได้ไม่ยาก

"น่ารัก…ชะมัด"  เอ่ยบอกใกล้ ๆ ก่อนประทับริมฝีปากที่หน้าผากมน

ริมฝีปากของรัตติกาลขยับเอื้อนเอ่ยบางสิ่งที่คิมหันต์ไม่แน่ใจว่าเขาอ่านมันผิดไปหรือเปล่า 
และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้อ่านผิดไปมากนัก  เมื่อคำ ๆ นั้นตัวเขายังไม่กล้าแม้แต่จะมอบให้ใครด้วยซ้ำ 
แล้วคนที่ดูเหมือนจะจริงใจอย่างรัตติกาล  ทำไมถึงกล้าเอ่ย…หากไม่มั่นใจในตัวเขา

"พูดว่า…รัก…เหรอ" 
คิมหันต์ถามอย่างไม่แน่ใจนัก  หากดวงหน้าที่ยิ้มให้  แทนคำตอบได้ดีอยู่แล้ว  "ทำไม…"
รัตติกาลไม่ได้พยายามตอบคำถามนั้นเลย  เพราะเขาประคองใบหน้าเทพบุตรเข้าหา   
ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะประกบทาบลงไป  ก่อให้เกิดรสจูบหอมหวาน 
ซาบซ่านอีกครั้ง…หากคราวนี้เปิดใจมากกว่าครั้งก่อน

…และสร้างปริศนายิ่งกว่าครั้งก่อนเช่นกัน…

คิมหันต์แน่ใจว่ารัตติกาลพูดไม่ได้แน่นอน  แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพยายามบอกเขาเมื่อถูกสัมผัส 
ทำให้เขาเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมา  ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะผ่านไปเพียงแค่ข้ามวันหรือเปล่า 
แต่สำหรับตัวเขาเองจะไม่ยอมให้มันเป็นไปเช่นนั้น…จากคำนั้นที่ได้ฟัง  ทำให้ต้องรู้เหตุผลให้ได้

…ทำไมถึงได้รัก…





เงาใต้น้ำ : ในบรรดาทุกเรื่อง  เรื่องนี้ต้องกินมาม่าบ่อยที่สุดค่ะ
หวังว่าจะชอบซักเรื่องนะคะ แต่เราชอบตัวละครตัวเองทุกคนค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:28:28 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน 2
«ตอบ #94 เมื่อ29-12-2013 20:54:38 »

พลังอธิษฐาน 2


   แสงไฟสีเหลืองนวลสว่างอยู่ภายในห้องกว้างใหญ่  ขณะที่เจ้าของห้องกำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะตรงมุมห้องเสียงเคาะประตูที่ดังอย่างต่อเนื่องทำให้สติสมาธิต้องกระเจิดกระเจิงจนกู่ไม่กลับ  ในที่สุดก็ต้องลุกไปเปิดประตูรับคนข้างนอกให้เข้ามา  จะได้ลดความน่ารำคาญลงบ้าง

   เหมันต์ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่หน้าห้องทำให้วสันต์มองอย่างโมโห  ก่อนจะเดินกลับเข้ามาด้านในเพื่ออ่านหนังสือต่ออย่างไม่สนใจคนที่เดินตามหลังมา  อีกคนจึงเอื้อมมือไปเปิดไฟให้ภายในห้องสว่างขึ้น  โดยไม่ต้องอาศัยโคมไฟรูปเห็ดหัวโตอันเล็ก ๆ ที่เจ้าของห้องใช้อยู่

   "ได้เวลานอนแล้วนี่เรด…เดี๋ยวก็ตื่นสายหรอกไม่รู้จักหลับนอนน่ะ"  สวันต์เอ่ยเตือนอย่างรำคาญที่อีกคนเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้เขาแล้วยื่นหน้ามาจ้องมองไม่เลิก

   "นอนด้วยดิบลู  ไม่อยากนอนคนเดียวว่ะ"  เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มก่อนเดินไปที่เตียงใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนอน  ก่อนลากผ้าห่มขนสัตว์ผืนโตขึ้นมาห่มเรียบร้อย

   วสันต์มองกิริยาอีกฝ่ายแล้วได้แต่ถอนใจเบื่อ ๆ แต่นี่มันก็ไม่ใช่บ้านเขาเสียด้วย  ที่สำคัญมันเป็นบ้านของคนที่กำลังนอนนั่นต่างหาก  แล้วเขาจะพูดอะไรได้ในเมื่อไม่มีสิทธิ์จะคัดค้านอะไรทั้งนั้นจึงได้แต่หันกลับไปอ่านหนังสืออย่างตั้งใจเหมือนเดิม

   เหตุการณ์บางอย่างกลับเข้ามาในเสี้ยวความทรงจำอีกครั้ง  ก่อนที่วสันต์จะละทิ้งการอ่านหนังสือเพราะคราวนี้เหนื่อยล้ายิ่งกว่าครั้งไหน ๆ นึกไปไกลถึงแม่ที่จากไปไกล…และไม่มีวันกลับมาได้อีก  นั่นคือเหตุผลที่เขาจะต้องมาอยู่ที่นี่
   มารดาบุญธรรมของวสันต์เป็นน้องสาวของบิดาคิมหันต์และเหมันต์  ดังนั้นหากจะนับกันจริง ๆ แล้ววสันต์ไม่มีเชื้อสายของกมลธาราอยู่เลย  แต่เขาก็ไม่มีใครอีกแล้วเช่นกัน  ดังนั้นเมื่อมารดาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก  วสันต์จึงต้องมาอยู่ที่บ้านกมลธาราในจังหวัดที่เก้าสิบเก้านี้  เขาไม่ได้นึกชอบที่นี่นักแต่ก็ไม่มีที่อื่นที่จะไปได้…หากสักวันวสันต์ออกไปจากที่นี่ได้  เขาคิดเอาไว้แล้วว่าเขาจะไม่กลับมาอีก

   คนในบ้านกมลธาราให้ความรักและดูแลวสันต์อย่างดีก็จริง  แต่นั่นกลับเป็นข้อเสียที่ทำให้วสันต์เห็นชัดเจนว่าตนเองขาดอะไรไปบ้าง  มันทำให้เขาอยากมีครบทุกอย่างเหมือนคิมหันต์และเหมันต์  การจมอยู่ในห้วงความอิจฉาริษยาแล้วบั่นทอนตัวเองทำให้วสันต์ยิ่งเกลียดบ้านกมลธารามากขึ้น…เกลียดจนอยากหนีไปให้ไกล

   ความรู้สึกบางอย่างที่ฝังแน่นติดตรึงอยู่ข้างในทำให้ต้องผ่อนลมหายใจช้า ๆ เพื่อจะคลายความทุกข์นั้นออกไปบ้าง  หนังสือเรียนถูกปิดลงก่อนที่วสันต์จะตัดสินใจเข้านอน  ไฟถูกปิดจนห้องมืดมิด  เมื่อเห็นว่าเตียงที่เคยใช้คนเดียวมีอีกคนนอนอยู่ก่อนแล้ว  เขาจึงเลือกที่ว่างที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นที่นอนในคืนนี้  มือเลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุมกายดวงตาคมหลับลงช้า ๆ แล้วเข้าสู่การหลับใหลในที่สุด

++++++++++++++++++++++++

   ค่ำคืนมืดมิดไร้แสงใด ๆ แต่ก็ยังคงมองเห็นเงาตะคุ่มที่ลุกขึ้นมาจากเตียงลาง ๆ  มือนั้นเอื้อมไปหาอีกคนที่นอนอยู่เคียงข้าง  ลูบแผ่วเบาบนใบหน้าที่เฝ้ามองก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือที่ใหญ่กว่ากอบกุมบีบมือเขาเอาไว้แน่น  แล้วลุกขึ้นมาเปิดไฟที่หัวเตียง…ให้เกิดแสงสว่างจนมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

   ดวงตาคมจับจ้องอีกคนอย่างโกรธจัดก่อนสะบัดมือที่เล็กกว่าทิ้งไป  "นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่เรด"  ตวาดเสียงดังอย่างโมโหที่อีกฝ่ายคิดทำไม่ดีกับเขา

   เหมันต์หลับตาลงช้า ๆ อย่างเหนื่อยใจ  แต่เมื่อร่างกายถูกเขย่าอย่างรุนแรงเขาจึงต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง  ดวงตาไร้แววจ้องมองวสันต์ที่อารมณ์โทสะมีแต่จะมากขึ้นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร  เรือนร่างที่ไหวเอนสั่นคลอนตามแรงเหวี่ยงทำให้เขาจะเริ่มจะเวียนหัวขึ้นมา  เมื่ออีกคนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

   "บลู…พอที"  เอ่ยห้ามเพราะทนไม่ไหวอีกต่อไป  แต่แค่เพียงสิ้นสุดคำพูดนั้นฝ่ามือจากอีกคนก็ฟาดถูกดวงหน้าเขาอย่างรุนแรง

   "พออย่างนั้นเหรอ…คิดว่ามันสาสมแล้วเหรอกับที่นายทำ"  วสันต์ถามด้วยเสียงอันดังแต่เหมันต์กลับไม่เข้าใจนักว่ากับแค่ถูกเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายแค่นั้นทำไมจะต้องโกรธขนาดนี้

   "ชั้นไม่ได้ทำอะไร…"  เหมันต์เบือนหน้ากลับมาเถียง  "ก็แค่ลูบผม…แค่นั้น"

   วสันต์ยิ้มเหยียดอย่างไม่อยากจะเชื่อ  "นายคิดมากกว่านั้นเรด  ชั้นขยะแขยงนายเต็มทีแล้ว  ตอนแรกชั้นยอมรับว่าเป็นห่วงนายที่ไปไหนกับใครก็ไม่รู้แบบนั้น  แต่ตอนนี้ชั้นเกลียดนายมากกว่า  ที่คิดทำอย่างนั้นแม้แต่กับชั้น"

   เหมันต์ส่ายหน้าไปมาราวกับปฏิเสธคำพูดนั้น  "ชั้นไม่ได้คิดอย่างที่นายคิด  ชั้นจะไม่ทำอย่างนั้นกับใครหรอกบลู"
   "หึ…โกหกไม่เก่งเลยนะ  ชั้นจะพิสูจน์ให้เห็นว่านายคิด"   สิ้นสุดคำนั้นเหมันต์ก็ถูกดึงเข้าหาอีกฝ่าย…ก่อนที่เรื่องราวบางอย่างจะถือกำเนิดขึ้น

   ทุกสัมผัสรุนแรงอย่างไร้ความปราณีนั้น  ไม่ได้ทำให้คนที่รับสัมผัสขัดขืนแม้แต่น้อย  หากแต่กลับยอมรับสัมผัสนั้นเอาไว้ทั้งหมด  ความข่มขื่น  ความปวดร้าว  และความเกลียดชัง  ผสมปนเปกันจนมั่วไปหมด  จนทั้งสองคนไม่รับรู้ด้วยซ้ำ…ว่าสัมผัสนั้นให้อะไรกับพวกเขาบ้าง

   มีเพียงดวงตาหนึ่งที่ฉายแววโกรธแค้น  อีกคู่หนึ่งฉายแววแห่งรัก  ความรู้สึกที่แตกต่างกันเช่นนั้นมีแต่จะทำให้เรื่องทุกอย่างรุนแรงขึ้น  เมื่อผู้กระทำไม่มีคำว่า 'รัก' อยู่ในหัวใจ  อีกคนจึงได้รับกลับมาแค่เพียงความเจ็บปวด  และความรักที่มี…ไม่มีวันจะส่งไปถึงหัวใจอีกดวง

++++++++++++++++++++++++

   ผ่านไปค่อนคืนท่ามกลางความมืดมิดไร้แสงแห่งใจ  เรือนร่างเดิมลุกขึ้นนั่งอีกครั้งก่อนที่มือบางจะเลื่อนไล้กลุ่มผมของคนที่หลับสนิทอย่างแผ่วเบาเหมือนกับครั้งแรก  แต่คราวนี้อีกคนไม่รู้สึกตัวขึ้นมาเหมือนคราวก่อน  เขาจึงขยับตัวเข้าไปจนชิดคนที่เขารักมากมาย  ก่อนประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเพียงแผ่วเบา

   ความเจ็บปวดทางร่างกายที่ได้รับทำให้การเลื่อนตัวลงจากเตียงต้องใช้ความอดทนอย่างสูง  หากแม้เมื่อยืนขึ้นได้ขาที่สั่นอย่างรุนแรงก็ทำให้ต้องล้มลงไปที่ข้างเตียงอีกครั้ง  ก่อนที่มือบางจะเอื้อมปิดปากที่เกือบจะส่งเสียงร้องออกไป  แล้วลุกขึ้นมาอีกครั้งหากครั้งนี้มั่นคงกว่าครั้งก่อน  สองขาขยับก้าวช้า ๆ จนถึงประตูในที่สุด…ดวงหน้าซีดเซียวหันมองคนที่กำลังหลับอีกครั้ง  แล้วก้าวออกมาจากที่นั่นอย่างไร้หัวใจ

++++++++++++++++++++++++

   เสียงน้ำวนดังก้องอยู่ในโสตประสาท  สองมือวักน้ำในอ่างขึ้นลูบตัวเบา ๆ ดวงตามองจ้องร่องรอยช้ำตามร่างกายของตนอย่างหดหู่ใจ  หยดเลือดสีแดงที่ผสมน้ำจนจางหายไป  ทำให้นึกถึงความรักที่ยังไม่ได้เริ่มต้นแต่มันก็จบลงไปแล้ว  บางทีเขาอาจจะผิดเองก็ได้ที่ไม่คิดให้รอบคอบ  ก่อนเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกไป  สิ่งที่ได้กลับมาจึงมีเพียงความรังเกียจและขยะแขยง

   เรียวแขนที่มีร่องรอยขบกัดอยู่มากมายถูกยกขึ้นมองด้วยแววตาไร้ประกาย  ก่อนที่จะประทับริมฝีปากตนเองซ้ำลงไปเบา ๆ ตามรอยเหล่านั้นอย่างรักใคร่  หวงแหน  ถ้าความรักมันจะห้ามกันได้  เขาจะต้องมีวันนี้หรือไร…ถ้าหัวใจมันห้ามกันได้  เขาจะต้องเจ็บปวดขนาดนี้หรือ

   เสียงร้องไห้เบา ๆ หากก้องสะท้อนอยู่เพียงในห้องนั้น  อาจจะดูไม่โศกสลดเท่าหยดน้ำใส ๆ ที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย  ดวงหน้าที่เคยใสดูหวานนิด ๆ เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตาดูหวานซึ้งเกินปกติ…แต่หากใครคนนั้นได้เห็น  เหตุการณ์อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้

   หากความรักมันได้จบลงแล้ว  วันพรุ่งนี้เขาก็จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยความรู้สึกอื่น  เมื่อถูกเกลียดชัง  ตัวเขาเองก็จะรับความเกลียดชังนั้นเอาไว้  แม้จะต้องเจ็บปวดแค่ไหนก็คงต้องทนให้ได้…จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต  ที่ไม่ต้องอดทนอีกต่อไป

++++++++++++++++++++++++

   ยามเช้ากับอากาศที่สดใสในหน้าร้อนทำให้ดวงหน้าที่ซีดเซียวดูเป็นปกติ  เพราะรอยยิ้มที่แย้มออกมาจากแววตาและดวงหน้านั้น  อีกครั้งที่เขาต้องอดทนกับการขยับตัวที่มันช้ำจนระบมไปหมด  หากแต่ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งมากพอ  จึงไร้เสียงพร่ำร้องใด ๆ จากบาดแผลที่ได้รับ  ร่างกายที่ดูภายนอกอาจจะเป็นปกติเดินไปตามเส้นทางเดิมที่คุ้นเคย 
เสียงนกร้องดังมาจากที่ไกล ๆ ทำให้จิตใจที่เหนื่อยล้ากับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง  แต่เมื่อสองขาหยุดที่หน้าประตูห้องที่รู้ดีว่ามีใครอีกคนอยู่ในนั้นด้วย  มันก็เกิดเปลี่ยนเส้นทางตามที่ใจคิด  วันนี้ยังจำเป็นอยู่กับการหนี…ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเผชิญเรื่องราวต่อไป  ที่อาจจะทำลายชีวิตเขาไปจนไม่เหลือแม้แต่วิญญาณ


บนดาดฟ้าที่มีแสงแดดอ่อน ๆ ทำให้ดวงตาที่ไร้แววมานานส่องประกายขึ้นอีกครั้ง  แต่วันนี้ดาดฟ้าที่เงียบเหงากลับมีใครอีกคนยืนชื่นชมบรรยากาศที่ดูเหมือนสวนดอกไม้ลอยฟ้านั่นอยู่ด้วย  เหมันต์จึงเดินเข้าไปเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ทำลายบรรยากาศของอีกคน  ซึ่งดูเหมือนจะสดชื่น  แจ่มใส  จนดูน่าประทับใจ

ม่านผมสีดำสนิทที่ยาวจนเกือบถึงกลางหลังปลิวไสวตามแรงลมเบา ๆ ดวงหน้าหวานจัดผิวขาวนวลมีรอยยิ้มพร่างพรายอยู่บนนั้น  ดวงตาโตที่เคยเห็นจ้องมองไปไกลอย่างใช้ความคิดจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง  แม้แต่ตัวเขาที่เดินเข้าไปใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้น…รัตติกาลก็ยังไม่รู้สึกตัว

"เพรย์…"  เหมันต์เอ่ยเรียกเบา ๆ เพื่อทำลายบรรยากาศของอีกคน  ให้หันมาหาเขา
รัตติกาลหันมาตามเสียงเรียก  ดวงตาโตหวานซึ้งจับจ้องเหมันต์ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงใกล้ ๆ นิ้วหนึ่งเอื้อมเกลี่ยขอบตาของเหมันต์เบา ๆ เหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง  ก่อนจะดึงอีกคนเข้ามาใกล้แล้วกอดเอาไว้แทนคำปลอบใจ  แม้ไม่รู้ว่าอีกคนจะเจ็บปวดมาจริงหรือเปล่าก็ตาม

ดวงหน้าของเหมันต์ซบลงกับไหล่บาง  ก่อนยื่นแขนกอดรอบเอวรัตติกาลเอาไว้  เสื้อแขนยาวตัวบางที่ใส่เอาไว้ด้านในเสื้อนักเรียนช่วยปกปิดร่องรอยบางอย่างเอาไว้ได้  แต่ดูเหมือนหัวใจของเขาจะยังปกปิดเรื่องราวความเจ็บช้ำภายใน…ให้พ้นจากอีกคนไม่ได้

++++++++++++++++++++++++

   ผ่านพ้นไปครึ่งวันแล้วแต่คนสองคนบนดาดฟ้าก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น  แผ่นหลังบางพิงผนังปูนไม่ขยับมานานแล้ว  ต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ด้านนอกผนังนั้นช่วยบดบังแสงแดดที่เริ่มจัดไปได้มาก  เหลือเพียงแสงที่ลอดผ่านมาเพียงน้อยนิด  บรรยากาศดี ๆ จึงช่วยผ่อนคลายอารมณ์ทุกข์ใจไปได้บ้าง…แม้จะไม่ถึงเศษเสี้ยวก็ตาม

   รัตติกาลที่นั่งเกาะกุมมือเหมันต์เอาไว้  ไล่เรียงตัวหนังสือเป็นถ้อยคำซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของเขาให้อีกฝ่ายได้ฟัง  เรื่องราวที่ทำให้คนใกล้ตัวได้แต่มองเขาด้วยความเห็นใจ  เช่นเดียวกับเรื่องราวของเหมันต์ที่รัตติกาลได้รับรู้  หากแต่มันก็เป็นเพียงความลับของคนสองคน  ซึ่งไม่มีใครในเวลานี้…ที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกภายในที่พวกเขาจะต้องเผชิญอยู่  ว่ามันทุกข์ใจและเจ็บช้ำเพียงไร

   "ถ้าเพรย์ผ่านมันมาได้…พี่ก็จะผ่านมันไปให้ได้เหมือนกัน"  เหมันต์พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ  รัตติกาลจึงพยักหน้าอาบรอยยิ้มให้อีกฝ่าย

   ดวงหน้าหวานจัดเอนซบลงที่แขนเหมันต์ก่อนกอดแขนของเขาเอาไว้แน่น  ดวงตาโตมองมือสองมือที่เกาะกุมกันเอาไว้  ด้วยความรู้สึกที่เหมันต์เดาไม่ออกว่ามันสื่อถึงความรู้สึกใดใดได้บ้าง  แต่บนโลกนี้จะต้องมีสักอย่างที่ยากต่อความเข้าใจ…ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยถามรัตติกาลอีกเลย  ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่

   "เพรย์ลงไปข้างล่างกันเถอะนะ"  เหมันต์เอ่ยชวนคนข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่มั่นใจนัก  จนรัตติกาลอดเห็นใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่พร้อมจะเผชิญความเจ็บปวดในระลอกที่สอง

   มือบางบีบมือเหมันต์เป็นการให้กำลังใจก่อนลุกขึ้นแล้วดึงเขาขึ้นมา  ดวงหน้าหวานยิ้มสดใสก่อนจะกอดแขนเขาแล้วพาเดินออกจากดาดฟ้าที่มีแต่ความสงบ  ลงไปเผชิญกับความวุ่นวายข้างล่าง  โดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป…จะเป็นอย่างไร

++++++++++++++++++++++++

   ประตูห้องประธานสภาเปิดออกช้า ๆ ด้วยมือบางก่อนที่รัตติกาลจะจูงเหมันต์เข้าไปในห้อง  ที่มีสายตาของคิมหันต์  วสันต์และดวงตาจากบรรดาเด็กสาวน่ารักอีกหลายคน  ที่นั่งชุมนุมกันอยู่ภายในห้อง  รัตติกาลจึงพาเหมันต์ไปนั่งที่โต๊ะเขาเมื่อเห็นว่าโต๊ะของเหมันต์มีปาร์ตี้เล็ก ๆ เกิดขึ้น  โดยที่ทั้งสองไม่ได้ให้ความสนใจกับใครอีกเลย

   คิมหันต์ที่จ้องมองเหมันต์กับรัตติกาลเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง  เขาเดินมาจ้องมองทั้งคู่ด้วยแววตาสงสัยใครรู้  แล้วมองดูน้องชายให้ชัด ๆ อีกครั้ง  มือใหญ่เชยคางน้องชายขึ้นมองก่อนจะขมวดคิ้วจนยุ่งไปหมด  นิ้วโป้งปัดผิวแก้มนุ่มอย่างนึกรู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ…แต่ไม่รู้ว่าตรงไหนที่ผิดไปจากเดิม

   "เรด…ไม่ได้เป็นไข้ใช่มั้ย"  คิมหันต์เอ่ยถามอย่างสงสัย  แม้แก้มนุ่ม ๆ จะอุ่นอยู่นิดหน่อย  แต่มันก็ไม่ต่างจากอุณหภูมิปกติมากนัก  "เรา…"  เอ่ยเพียงแค่นั้นก็เงียบไปอีก

   "ไม่เอาน่า…ไม่ได้เป็นอะไร"  เหมันต์ตอบเลี่ยง ๆ เขาไม่รู้ว่าพี่ชายสนใจอะไร  แต่ที่แน่ ๆ อีกฝ่ายกำลังจะคาดคั้นเอาบางสิ่งจากเขา  ซึ่งเขาไม่อยากจะพูดอะไรในตอนนี้  ไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืนหรือไม่ก็ตาม

   คิมหันต์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอก  ก่อนนึกบางเรื่องขึ้นมาได้  "ไอ้บอสมันถามหา  เห็นเมื่อวานโทรเลื่อนนัด  วันนี้มันอยากเจอ"

   "อือ…"  เหมันต์รับคำไปส่งเดช  "ช่างเถอะวันนี้ผมเบื่อ"

   เหมันต์ตั้งท่าเบื่อได้ไม่ทันไรเขาก็ต้องเกิดอาการเบื่อขึ้นมาจริง ๆ เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกโดยคนที่กำลังอยากพบเขาอยู่นั่นเอง  บอสหรือบวรเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาแบบตี๋ ๆ  ดวงตาตี่จึงแทบปิดสนิท

   "เรด…ไปไหนมาล่ะ  พี่ตามหาทั้งวันเลย  หือ…"  เอ่ยทักก่อนจะเงียบไปอย่างพิจารณาในความเปลี่ยนไปของอีกคน  "วันนี้…น่ารักกว่าเมื่อวานแฮะ"

   "อะไรนะ"  เหมันต์ถามเสียงดังด้วยความตกใจ  ก่อนจะหันไปมองพี่ชายที่พยักหน้าให้นิด ๆ แล้วเขาก็เข้าใจในตอนนี้เองว่าทำไมพี่ชายถึงได้ทำหน้าขี้สงสัยนัก  "บ้าสิพี่บอส"

   "เฮ๊ย…พูดจริง ๆ น้องรัก"  บวรยังไม่เลิกก่อนดึงเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ ๆ แล้วเพิ่งสังเกตเห็นรัตติกาลที่นั่งทำตาโตอยู่  "เออ…คนนี้ก็น่ารัก"

   "จะเอาทั้งสองคนเลยเหรอวะ…ไอเพื่อนเลว"  คิมหันต์เอ่ยถามอย่างหมั่นไส้

   บวรหันไปหาเพื่อนแล้วทำหน้ายักษ์ใส่  แต่คิมหันต์มองแล้วเหมือนแมวกำลังขู่ฟ่อฟ่อมากกว่า  "เออ…เอาสองคนเลย  ไปอยู่กับพี่เนาะ  ป๊ะป๋ากับแม่พี่ไปทำธุรกิจต่างประเทศอะ  อยู่คนเดียวมันเหงา"

   "กี่วันเหรอพี่บอส"  เหมันต์เอ่ยถามอย่างสนใจ  หายเบื่อขึ้นมาทันที

   "สามเดือนเดะ  ไปมั้ยแค่อาทิตย์นึงก็ได้"  บวรเอ่ยชวนอีก

   "นานกว่าสามเดือนล่ะได้มั้ย"  เหมันต์ถามใหม่  แต่พี่ชายกับญาติหันมามองด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน  รัตติกาลที่นั่งติดกับเหมันต์สะกิดแขนเขาเบา ๆ แล้วชี้ที่ตัวเองด้วยรอยยิ้ม  "เพรย์จะไปด้วยเหรอ…ได้มั้ยล่ะพี่บอส"  เหมันต์หันไปถามบวรอีกครั้ง  "ผมจ่ายค่าใช้จ่ายให้ก็ได้"

   บวรเงียบไปอย่างใช้ความคิด  แต่ดวงตาเศร้าของอีกสองคนก็ทำให้ต้องพยักหน้าทันที  "ได้สิ  อยู่กันกี่ปีก็ตามใจ  พี่ก็อยู่คนเดียวบ่อย ๆ อยู่แล้ว  เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องหรอก  พ่อแม่พี่เค้าจัดการได้"

   "เรด…จะทำอะไรน่ะ"  คิมหันต์ถามน้องชายอย่างไม่เข้าใจ  ก่อนจะดึงน้องชายออกจากห้องไป  โดยที่รัตติกาลก็ถูกเหมันต์ดึงติดไปด้วย  บวรมองคนในห้องแล้วตัดสินใจออกไปกับสามคนก่อนหน้า  เพราะรำคาญสายตาที่ดูเหมือนเหยียดหยามดูหมิ่นของวสันต์ที่มองมาทางเขาไม่เลิก

++++++++++++++++++++++++

   คิมหันต์พาน้องชายไปลานซากุระที่ไร้ร้างผู้คน  ซากุระดอกเล็ก ๆ ร่วงโรยหล่นราวไว้อาลัยต่อบางอย่างเข้ากับความเหงาเศร้าในหัวใจของเหมันต์อย่างที่สุด  ดวงตาที่ยังมีร่องรอยความเจ็บช้ำจับจ้องไปที่กลีบดอกที่ร่วงกระจาย  มือหนึ่งยกขึ้นรับกลีบซากุระไว้ด้วยความชื่นชม  ก่อนที่มือนั้นจะถูกพี่ชายคว้าเอาไป  แล้วดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างนึกสงสัย…ว่าทำไมน้องชายต้องใส่เสื้อแขนยาว

   ร่องรอยที่ยังไม่จางไปเพราะเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านมาได้เพียงไม่นาน  ทำให้คิมหันต์ต้องกัดฟันอย่างปวดร้าวไปกับพร้อมกับรอยแผลนั้น  แขนทั้งสองโอบน้องชายเข้ามากอดเอาไว้จนด้วยคำพูดปลอบใจ  รู้ดีถึงความรักที่อีกฝ่ายมีให้ใครอีกคน  หากรักนั้นจะถูกปฏิเสธเขาเองก็เข้าใจอีกคนได้ดี  แต่ร่องรอยที่ฝากฝังเอาไว้แบบนี้มันอาจจะลามไปจนทั่วตัวของคนที่เรารักมากที่สุด…แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากให้น้องรู้ว่าเขาเองก็เจ็บปวด

   …จะทำอะไรอีกคนได้  เมื่ออีกคนก็น่าสงสารไม่ได้ต่างกัน…

   "พี่กรีนห้ามพูดเรื่องนี้อีกนะ  พี่ห้ามรู้ห้ามเห็นกับเรื่องนี้  ไม่อย่างนั้นบลูต้องหนีไปแน่ ๆ แล้วเราจะไปหาเค้าที่ไหนล่ะ…บลูเค้าไม่มีใครแล้วนะพี่กรีน"  เหมันต์เขย่าแขนพี่ชายแล้วเอ่ยบอกอีกคน  จนคิมหันต์พยักหน้ารับนั่นแหละเขาถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

   "แล้วพี่จะช่วยพูดกับคุณพ่อคุณแม่ให้"  คิมหันต์บอกอย่างจนใจ  เมื่อทำอะไรไม่ได้การหนีก็เป็นเพียงทางเดียวที่เหลืออยู่  "เพรย์ช่วยดูแลเรดด้วยนะ"  ตอนหลังคิมหันต์หันไปหารัตติกาลดึงมือนุ่ม ๆ ขึ้นมาประทับริมฝีปากลงไปเบา ๆ ก่อนเดินออกจากลานซากุระไป 

   "บ้า…ประหลาด  ไม่เห็นต้องไปสนใจมันเลย  มันจะไปตายที่ไหนก็ปล่อยมันไปสิเรด  ทำไมต้องไปปกป้องคนแบบนั้น"  บวรพูดขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วยนักเมื่อพอรู้เรื่องราวระหว่างสามพี่น้องนี่มาบ้าง  "ไม่ใช่สายเลือดซักหน่อย"

   "พี่บอสไม่เข้าใจหรอก"  เหมันต์พูดด้วยรอยยิ้ม  ก่อนจะหันมองรัตติกาลที่ยืนยิ้มแก้มแทบปริ  "ไหนดูซิ…มันมีอะไรล่ะตรงนี้  มองดูอยู่นั่น"  ดึงมือบางขึ้นมาดูแล้วหัวเราะไม่เลิก

   รัตติกาลดึงมือออกไปอย่างงอน ๆ ดวงหน้าหวานงอง้ำที่อีกคนเอาแต่หัวเราะอยู่อย่างนั้น  เหมันต์จึงดึงคนหน้างอเข้ามาใกล้  แล้วกอดเอาไว้หลวม ๆ อย่างเอ็นดู  เมื่อความรักของอีกฝ่ายดูท่าว่าจะราบรื่น  เขาก็หวังว่าความรักนั้นจะดำเนินต่อไป…ให้ไกลที่สุด

   เมื่อความรักนี้เริ่มต้น
ขอให้มันสานต่อ  สานต่อและสานต่อ
จงพัวพันโยงใยจนแยกออกจากกันไม่ได้
…จากคำอธิษฐานนี้สู่ความรักของพวกเขา…
ขอให้รักนี้ยั่งยืน
…อย่าได้เหมือนความรักของเรา…

เหมันต์ทอดสายตามองไปไกล  รู้สึกสับสนกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป  หากอยู่ห่างกันอีกสักนิด…รู้ดีว่าอีกคนจะไม่มีวันคิดถึงเขา  แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดแบบเดิมอีก  ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเกลียดชัง…จากคนที่รักอีก
   …หากไม่เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาความเจ็บปวดนั้นเสียเอง…

++++++++++++++++++++++++

   เสื้อผ้าที่ระหกระเหินจากตู้ลงสู่กระเป๋าใบใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว  ทำให้ผู้เป็นแม่ยืนมองลูกชายอย่างนึกเป็นห่วง  ลูกชายคนเล็กที่ไม่เคยห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ตัดสินใจออกจากบ้านไปอยู่กับรุ่นพี่  ซึ่งก็รู้จักกันดีทั้งสองครอบครัว  แต่อย่างน้อยความเป็นแม่ก็ทำให้อดห่วงไม่ได้  ระยะทางมันไม่สำคัญ…หัวใจดวงนั้นเล่าคิดอย่างไรกัน

   "เรดลูก  ไปจริง ๆ เหรอลูก  แล้วเรดไม่คิดถึงพ่อกับแม่เหรอลูก"  ภัสราเอ่ยถามลูกชายอย่างเป็นห่วง  "ทำไมจะต้องไปนานเป็นปีด้วยล่ะลูก"

   เหมันต์ละจากตู้เสื้อผ้ามากอดมารดาอย่างเอาใจ  "คุณแม่ก็  บ้านก็ห่างกันเท่าเนี้ย  ถ้าเรดไม่ไปพี่บอสก็เหงาตายน่ะสิ  แล้วพอขึ้นม.หกเรดจะกลับมาอยู่บ้านนะครับ"

   เหตุผลที่ฟังขึ้นทำให้ภัสราพยักหน้าอย่างเริ่มเข้าใจความคิดของลูกขึ้นมาบ้าง  "อย่างนั้นแม่จะไปเยี่ยมบ่อย ๆ นะลูกนะ"  เอ่ยบอกแล้วหอมแก้มลูกชายอย่างรักใคร่  เหมันต์พยักหน้าหงึกหงัก  แล้วขยับออกไปจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อ

   หางตาเหลือบมองอีกคนที่ยืนอยู่ข้างประตู  แววตาที่แสดงถึงความสมใจนั้นทำให้ต้องรวบรวมสมาธิอยู่กับเสื้อผ้าของตนเอง  เพราะถ้าสนใจใครคนนั้นก็มีแต่จะเจ็บช้ำ  แล้วก็ทุกข์ทรมานไปอีกนาน  เมื่อเขาจะจดจำหน้าตาของอีกฝ่ายได้ติดตา…และติดอยู่ในหัวใจเสมอ

++++++++++++++++++++++++

   ดวงตาโตหากเรียบเฉยเหม่อมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์  ที่อยู่หลังประตูเหล็กดัดสูงถึงสามเมตร  กำแพงที่ปกปิดตัวบ้านจากผู้คนภายนอก  คงไม่ต่างจากคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ที่ปกปิดหัวใจออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง…รวมถึงความรักด้วย

   รัตติกาลผลักประตูบานเล็กซึ่งอยู่ถัดมาจากประตูใหญ่  ก่อนเดินเข้าไปในบ้านอย่างมุ่งมั่น  ยามรักษาการลุกขึ้นก้มหัวให้เขา  ที่ทำได้เพียงพยักหน้าให้อีกฝ่าย  แล้วเดินต่อเข้าไปตามเส้นทางที่ทอดยาว  สนามหญ้าสีเขียวราบเรียบมีแต่จะสร้างความแข็งทื่อให้กับตัวบ้าน  จนรัตติกาลอดแปลกใจไม่ได้ว่า…จะไม่ยอมให้มีสิ่งใดอ่อนโยนหลงเหลือบนโลกนี้บ้างหรือไร

   "ไง…กลับมาได้แล้วเหรอ"  เสียงดุดันถามขึ้นมาเมื่อรัตติกาลเดินเข้าไปภายในบ้าน  ดวงตาที่เคยซึ้งหวานหันกลับไปมองคนพูด  ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

   แล้วก้าวต่อไปยังบันไดที่ถูกสร้างด้วยหินอ่อน  ก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อไปได้ครึ่งทาง  เมื่อชายหนุ่มหน้าตาดีมากคนหนึ่งเดินสวนทางลงมา  ดวงตาคมเฉียบจับจ้องเรือนร่างบอบบางด้วยแววตาดูหมิ่น  แล้วชิดตัวติดราวบันไดเมื่อเดินผ่านเขา…เหมือนรังเกียจเสียมากมาย

   "กว่าจะกลับมาได้…คงจะไปค้างอ้างแรมกับพวกมีเงินสินะ  หึ…"  น้ำเสียงเหยียดหยามชัดเจนแต่รัตติกาลกลับไม่สนใจ  ก้าวเดินเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น  "ต่ำ…"  เป็นคำสุดท้ายที่ใครคนนั้นกล่าวต่อว่ารัตติกาล

++++++++++++++++++++++++

   มือบางงับปิดประตูแผ่วเบาก่อนหันหลังพิงประตูอย่างโล่งใจ  ดวงตากวาดมองไปรอบห้องที่เคยอาศัยอยู่มานาน  โต๊ะตู้เตียงที่โล่งสะอาดไม่ทำให้รัตติกาลระลึกถึงมันได้  ไม่มีความเสียดายหรืออาลัยแม้แต่น้อย  ร่างบางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าออก  หยิบกระเป๋าเดินทางด้านในออกมาเปิด  ก่อนขนเสื้อผ้าในตู้ซึ่งไม่มากนักใส่ลงไป  แล้วปิดมันลง

   หนังสือส่วนน้อยที่อยู่ในห้องถูกเก็บใส่กระเป๋าเป้  ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวบนโต๊ะและในห้องน้ำถูกรวบมาใส่ลงไปด้วย  ก่อนที่ลิ้นชักจะถูกเลื่อนเปิด  มือบางหยิบสมุดเงินฝากธนาคารเล่มเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วเปิดออก  เลขคงเหลือแปดหลักทำให้ยิ้มออกมาได้  รัตติกาลเก็บมันใส่กระเป๋าพร้อมกับภาพถ่ายครอบครัว…เป็นสิ่งสุดท้าย

   เมื่อกระเป๋าเป้ถูกสะพายอยู่บนหลังแล้ว  รัตติกาลจึงยกกระเป๋าเดินทางออกจากห้องมา  ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองห้องนั้นเป็นครั้งสุดท้าย  เส้นทางที่ก้าวเดินสวนทางจากเมื่อสักครู่  ก่อนที่เขาจะหยุดยืนนิ่งเมื่อเดินลงมาถึงข้างล่าง

   ดวงหน้าหวานหันไปมองบิดาและพี่ชายต่างมารดา  ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่อีกห้องหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนจะเดินออกจากบ้านโดยไม่คิดจะกล่าวคำอำลา  เมื่อผ่านยามรักษาการคนเดิมรัตติกาลยิ้มให้กับคนที่จ้องมองเขาอย่างตกใจเมื่อเห็นกระเป๋าที่เขาถือ  รู้ดีว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่เขาจะกลับมาที่บ้านหลังนี้


   "บ้านหลังใหญ่นี่"  บวรที่ยืนรออยู่พูดขึ้นมา  ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ตัดสินใจออกจากบ้าน…แต่ถ้ามันมีความสุข  ใครเล่าจะอยากหนี  คิดแล้วก็ได้แต่จ้องมองรัตติกาล  ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมายิ้มให้เขา  เป็นรอยยิ้มที่ไม่สามารถบอกอะไรกับบวรได้เลย 

รัตติกาลมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย  เขาอยากจะเอ่ยคำลากับคนในบ้าน  อยากพูดให้ดังไปจนถึงข้างใน  แต่ก็ทำไม่ได้  คิดแล้วก็ได้แค่เพียงเดินถือกระเป๋าไปยังรถที่จอดรออยู่พร้อมกับบวร  ทิ้งเพียงอดีต…เอาไว้ข้างหลัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:28:54 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน 3
«ตอบ #95 เมื่อ29-12-2013 21:00:23 »

พลังอธิษฐาน 3



   ช่วงเวลาล่วงเลยผ่านวันเข้าสู่ค่ำคืน  ไม่ใช่ในทุกสถานที่ที่จะมองเห็นดวงดาวมากมายส่องประกายเต็มท้องฟ้ากว้างใหญ่สีรัตติกาล  หากฟ้าจะไม่จงใจมอบแสงนั้นลงมาเพื่อใครอีกหลายคนที่มีความทุกข์คั่งค้างอยู่ภายใน  ขอให้ความทุกข์นั้นล่องลอยออกจากความรู้สึกของพวกเขาไปได้บ้าง  เพื่อยิ้มรับวันใหม่ด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม

   ดวงตาโตหวานซึ้งจ้องมองเรือนร่างหนึ่งซึ่งนั่งทอดสายตาไปไกลผ่านระเบียงห้อง  รัตติกาลไม่รู้ว่าอีกคนพยายามจะส่งหัวใจไปยังอีกฝั่งฟากของเมืองหรือไม่  หรือกำลังนั่งปลงให้ตกกับสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่  บางทีตัวเขาเองก็รู้สึกว่าหัวใจของเหมันต์เชื่อมั่นและมั่นคงในวสันต์มากเกินไป  ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มั่นคงกับความรัก  แต่อีกคนไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด…ไม่จำเป็นเลย

   ดวงหน้าหวานเหมือนเด็กสาวหันกลับไปมองกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้งหากจะเรียกตามชื่อของมัน  กระจกบานใหญ่ที่สะท้อนเงาของเขาออกมาทำให้ต้องยกมือแตะหน้าตัวเองเบา ๆ ไม่ว่าจะมองเขาให้ชัดเจนแค่ไหน  ก็ยังคงเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายซึ่งเขาเองก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจนักที่ตัวเองไม่เหมือนผู้ชาย  ยิ่งเมื่อใครคนหนึ่งมองกลับมาที่เขาด้วยความแปลกใจ…สร้างสายใยให้พัวพันกันเอาไว้ในที่สุด  เขาจึงยิ่งรักดวงหน้านี้มากกว่าที่เคยเป็น

   เมื่อรู้ถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและเหมันต์  ทำให้เด็กหนุ่มต้องหันมองไปยังอีกคนอย่างพิจารณา  เหมันต์มีเส้นผมสีดำสนิทยาวประบ่าตามแบบเด็กนักเรียนของเอกศาสตร์ทั่วไป  ดวงหน้าที่อาจจะติดหวานนิด ๆ กับเรือนร่างที่จัดว่าผอมมากแต่ยิ่งมองก็ยิ่งเท่ห์สะดุดตาไม่ต่างกับพี่ชาย  ทำให้สาว ๆ มากมายเข้ามาหลงใหลในตัวของเขา  แต่เหมันต์ก็ปฏิเสธแบบไม่ใยดีในทุก ๆ ครั้ง  นั่นไม่ได้ทำให้รัตติกาลรู้สึกแปลกใจ…เรื่องอื่นต่างหาก

   วสันต์เป็นคนที่มีหน้าตาเย็นชา  ผมสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายสไลด์จากด้านหน้าลงไปจนถึงด้านหลังซึ่งเลยบ่าไปเล็กน้อย  เมื่อไรก็ตามที่ผมด้านหลังถูกรวบไว้ให้เรียบร้อย  ดวงหน้าที่เผยออกมาจะหวานน่ารักมากทีเดียวถึงอีกฝ่ายจะสูงกว่าเหมันต์พอสมควรก็เถอะ  แต่ความหวานนั้นทำให้ดูเหมือนจะมีอะไรที่สลับกัน  อีกอย่างที่รัตติกาลแปลกใจก็คือคนมีดวงหน้าแบบนั้นทำไมถึงได้มีจิตใจโหดร้ายขนาดนี้  และอยากรู้อีกเช่นกันว่านอกจากความหน้าตาดีของวสันต์แล้ว  เหมันต์ยังชอบอีกคนที่ตรงไหน…หรือตรงความโหดร้ายนั่น

   เมื่อเห็นคนที่นั่งจ้องมองมานานไม่ลุกขึ้นเสียที  รัตติกาลจึงลุกจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย  เส้นผมที่ปลิวสะบัดตามแรงลมทำให้คนที่นั่งลงเคียงข้างต้องไล้มือปัดออกอย่างขัดใจเล็ก ๆ เหมันต์ที่หันมาจึงได้เห็นสายตารำคาญจากดวงหน้าหวานที่อยู่ใกล้ ๆ

   "มาตากลมเดี๋ยวก็เป็นหวัดนะเรา"  เหมันต์ถลึงตาใส่คนใกล้ตัวก่อนจะยื่นมือจับปอยผมที่ยาวกว่าของเขาทัดหูให้อีกฝ่ายเพราะลมแรง  "ไม่ง่วงเหรอเพรย์" 

   คนถูกถามมองดวงตาช้ำ ๆ และท่าทีสลดหดหู่ของคนถามแล้วนิ่งไป  ดวงหน้าส่ายไปมาแทนคำตอบที่ไม่สามารถจะตอบได้  นิ้วชี้จิ้มไปที่ฝ่ามือของเหมันต์อยู่อย่างนั้นเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไร  มันอาจจะแสดงถึงการปลอบโยนได้บ้าง  หรือไม่ก็อาจจะบอกถึงความสับสนที่เขามี  ให้อีกฝ่ายได้รับรู้บ้าง  อยากให้รู้ว่าเขาเองไม่เข้าใจ…ว่าทำไมความรักแบบนี้ยังเรียกว่าเป็นความรักได้อีก

   เหมันต์ยิ้มกับการแสดงออกของรัตติกาลก่อนรวบนิ้วชี้อีกฝ่ายขึ้นมามอง  สองมือใหญ่กว่าจับมือของรัตติกาลเอาไว้แผ่วเบานุ่มนวล  จนรัตติกาลอดนึกถึงใครอีกคนไม่ได้  คนที่อ่อนโยนเหมือน ๆ กันพี่ชายของใครคนนี้  คนที่ดึงหัวใจของเขาไปติดตรึงไว้ด้วยเสมอ  เมื่อถึงนึกใครคนนั้นก็ราวกับเข้าไปจมอยู่ในห้วงภวังค์แห่งรัก  ถ้าจะไม่ถูกดึงออกมาโดยคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่เลื่อนนิ้วเกลี่ยนิ้วนางซ้ายของเขาอย่างเลื่อนลอย

   "มีคนบอกพี่ว่านิ้วนางซ้ายมันมีเส้นประสาทที่เชื่อมต่อถึงหัวใจ  หลังจากนั้นที่นิ้วของพี่จะมีแหวนอยู่วงหนึ่งเป็นแหวนแสตนเลส  มันเคยอยู่ที่นิ้วนั้นมาตลอดจนกระทั่งบลูมาอยู่ที่นี่  พี่จำเป็นต้องถอดมันออก…เพื่อตามหาคู่ของมัน" 

เหมันต์เอ่ยเล่าเรื่องราวของเขาให้อีกคนได้ฟัง  เรื่องราวที่ค้างคาใจมาตลอด  ดวงตาโตยิ่งโตขึ้นอีกเมื่อได้ฟัง  ทำให้คนใกล้ ๆ หัวเราะอย่างนึกตลกก่อนโอบไหล่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้อย่างต้องการคนข้างกาย  มือสองมือเกาะกุมกันเอาไว้เหมือนที่เคยทำยามเมื่ออีกฝ่ายมีความทุกข์  ก่อนที่เรื่องราวต่อไปจะตามมา

"คู่ของมันเป็นแหวนเงิน  มันเคยอยู่ที่นิ้วของใครคนหนึ่ง  แล้วต่อมามันก็ถูกถอดออกเพราะจำเรื่องราวระหว่างเราไม่ได้  จำไม่ได้แม้ซักนิดว่าพี่เป็นคนที่เค้าเคยรักมากที่สุด  หมอบอกว่าความทรงจำที่หายไปเกิดจากอาการช็อคสุดขีด  เพราะฉะนั้นความทรงจำบางส่วนที่หายไปก็อาจจะเป็นความรู้สึกที่อยากลืมมากที่สุด  ไม่สำคัญมากที่สุด  หรือไม่ก็อาจจะเพราะมันสำคัญมากที่สุด  ไม่อยากจะลืมมากที่สุด"

หยดน้ำใส ๆ หลั่งรินไม่ขาดสาย  ทำให้คำพูดบางคำต้องพร่าสั่นอย่างระงับไม่ได้  เขาเองรู้ดีว่าความลับที่รู้กันเพียงสองคน  หากมันจะหายไป  หากอีกคนจะต้องลืมมันไป  มันก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างได้จบลงไปแล้ว  ความรักนั้นมันจบลงไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว  เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึงมันอีก  ในเมื่อเขาจะไม่มีวันตั้งคำถามให้อีกคนต้องเจ็บปวดจากอาการใด ๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น  มือหนึ่งเอื้อมปาดน้ำตาก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง

"ก็ถึงว่าไง  พี่ถึงคิดว่าพี่กรีนน่ะก็คงจะเหมือนกัน  เพราะอย่างนั้นก็เลยไม่กล้าทิ้งสร้อยเส้นนั้น  พี่รู้ว่าการตามหาของ ๆ เราที่คนอื่นทิ้งไปให้พบน่ะมันยากเย็นมากแค่ไหน  แต่อย่างน้อยเพรย์ก็หาจนเจอ  ถึงวันนึงถ้าเรื่องราวมันเป็นอย่างที่เราคิดไม่ได้เพรย์ก็จะจากไปพร้อมกับมันได้  แต่พี่ไม่เหมือนกันพี่ยังหาแหวนของพี่ไม่เจอ  พี่ไปไหนไม่ได้…สุดท้ายก็อาจจะถูกทิ้งไว้ที่นี่"

รัตติกาลผละออกมาเผชิญหน้ากับเหมันต์อย่างไม่เข้าใจ  ดวงหน้าหวานที่ส่ายไปมาพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง  เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ทางเข้าใจนิ้วมือจึงวาดไปบนแขนนั้นอย่างเคยชิน  เหมันต์อ่านถ้อยคำนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มอ่อนโยน  มือหนึ่งเลื่อนขึ้นลูบผมนุ่ม  ดวงตาจ้องมองสบตากับอีกคู่ที่หวานซึ้งยิ่งกว่า

"ถ้ามันถูกทิ้งไปแล้ว  เค้าต้องเป็นคนบอกกับพี่เอง…จนกว่าทุกอย่างจะเคลียร์ด้วยการได้แหวนคืน  หรือไม่ก็เค้าจำทุกอย่างได้แล้วบอกกับพี่ว่าแหวนของพี่ถูกโยนทิ้งไปแล้ว" 

เหมันต์หัวเราะกับคำพูดของตัวเอง  ก่อนเบือนหน้าหนีไปจากรัตติกาลเมื่อยากเย็นกับการสะกดกั้นอารมณ์ทุกข์ใจ 
"เค้าขี้อ้อนมากเลยนะ  เอาแต่ใจตัวเองก็ที่หนึ่ง  เพราะอย่างนั้นถึงต้องมีพี่อยู่ด้วยใกล้ ๆ คอยตามใจกันตลอด  เปลี่ยนไปเมื่อไหร่กันนะ  วันที่ไม่ต้องมีพี่ก็ได้น่ะ…เมื่อไหร่กัน  ที่เวลานอนไม่ต้องมีพี่อยู่ข้าง ๆ เวลาเดินไปด้วยกันไม่ต้องจับมือกันอีก"

สองมือถูกยกขึ้นปิดหน้าอย่างเสียใจ  เสียงสะอื้นเบา ๆ ที่เล็ดลอดออกมาทำให้มือเล็ก ๆ ต้องเอื้อมไปลูบแผ่นหลังให้อย่างแผ่วเบา  แต่เรื่องราวที่ค้างคาอยู่ข้างในมานานทำให้เหมันต์สะกดอารมณ์นั้นอีกครั้ง  สองมือปาดน้ำตาแรง ๆ ก่อนจะยิ้มให้คนใกล้ตัวแล้วเริ่มเล่าต่อ

"เมื่อตอนเด็ก ๆ พวกเราไปเที่ยวกันที่ผารอรัก  เพรย์คงเคยไปมาบ้าง  แต่ก่อนแถวนั้นไม่มีรั้วกั้นช่วงทางขึ้นผา  เราเด็กเกินกว่าจะระวังตัวเองได้…ซักสิบขวบมั้ง  พี่นี่แหละที่เป็นคนไถลตกเส้นทาง  แต่บลูเร็วมากพอที่จะดึงมือพี่เอาไว้ได้  เค้าตัวโตกว่าพี่นิดหน่อยแล้วก็ต้องจับพี่เอาไว้แบบนั้นไม่ให้เลื่อนตกลงไปข้างล่างที่สูงชันมาก  พี่กรีนวิ่งเข้าไปหาพวกเราแล้วดึงอีกมือของพี่เอาไว้  อารมณ์พี่กรีนก็ประมาณว่าถ้าตกลงไปก็ไปด้วยกันสองคนพี่น้อง"

"แต่บลูกลับหันไปบอกพี่กรีนให้ไปตามคนมาช่วย  บอกอยู่หลายครั้งพี่กรีนก็ไม่ยอมปล่อยมือพี่  พี่ก็เลยบอกไปว่าถ้ากลับมาแล้วไม่เจอพี่อยู่ค่อยกระโดดตามพี่ลงไปก็ได้  บลูจะได้ไม่ลำบาก  พี่กรีนก็เลยยอมปล่อยพี่แล้ววิ่งไปตามคนมาช่วย  กว่าคนช่วยจะมาถึงแขนของพวกเราก็เจ็บจนชาเลย  หลังจากนั้นพี่กรีนถามว่าทำไมบลูถึงเร็วพอที่ดึงพี่เอาไว้ได้  เป็นครั้งแรกที่พี่ยอมบอก…ว่าพวกเราไม่เคยปล่อยมือกัน  พี่กรีนก็เลยรู้เรื่องพวกเราหลังจากวันนั้น"

เหมันต์ยิ้มให้กับรัตติกาลก่อนดึงให้คนตัวเล็กกว่าลุกขึ้นแล้วพาไปที่เตียงนอน  ดวงตาฉายแววโอบอ้อมอ่อนโยนเมื่อเห็นอีกคนคลานขลุกขลิกขึ้นไปบนเตียงแล้วล้มตัวลงนอน  ตัวเขาจึงตามขึ้นไปนอนอยู่ใกล้ ๆ มือหนึ่งเอื้อมลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้ทั้งอีกฝ่ายและตนเอง 

"นอนได้แล้วล่ะ  แล้ววันหลังพี่จะเล่าให้ฟังอีก"  ไม่พูดเปล่าลากมือผ่านดวงหน้าหวานทำให้อีกฝ่ายต้องหลับตาลงในทันที 
"ฝันดีนะ"  เหมันต์ตะแคงตัวไปกระซิบที่ข้างหูรัตติกาล  มือหนึ่งเอื้อมกุมมือเล็กกว่าเอาไว้ก่อนจะหลับตาลง  หวังเอาไว้ในใจว่าอีกคนที่อยู่ห่างไปที่ฟากหนึ่งของมุมเมืองจะฝันดีเช่นกัน

++++++++++++++++++++++++

   เรือนกายกระสับกระส่ายในความมืดมิด  จากความฝันที่ดูเหมือนจะโหดร้ายให้ต้องฟาดแขนฟาดขาไปมาเป็นการดิ้นรนต่อสู้  แต่ดูท่าปีศาจร้ายในความฝันจะเป็นผู้ชนะเมื่อเสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วบ้านอย่างต่อเนื่อง  แม้ว่าแต่ละห้องจะเก็บเสียง  เสียงประตูที่ดังรัวมาจากด้านในกลับทำให้คนอื่น ๆ รับรู้ถึงความสั่นสะเทือนได้เช่นกัน

   ประตูที่ถูกเปิดโดยคนข้างนอกทำให้คนที่อยู่ด้านในโผเข้าหาอีกฝ่ายอย่างตกใจ  ดวงหน้าซีดเผือดกับกลุ่มผมที่กระจัดกระจายทำให้คิมหันต์นิ่งอึ้งไปอย่างทำอะไรไม่ถูก  อ้อมแขนกอดกระชับปลอบโยนอีกฝ่ายก่อนจะพยายามประคองให้กลับไปที่เตียง  ในเวลาไล่เลี่ยกันพ่อแม่ของเขาก็ตามเข้ามาภายใน  ผู้เป็นพ่อกำโทรศัพท์ไว้แน่นอย่างเป็นกังวล

   "กรีนให้พ่อโทร.หาคุณหมอดีมั้ย  หรือจะเอาบลูส่งโรงพยาบาลเลย"  คุณสิทธิชัยถามลูกชายอย่างร้อนรนเมื่อเห็นอาการของหลานชาย 

"น้องจะช็อคมั้ยลูก  ไม่เป็นแบบนี้นานแล้วนี่"  คุณภัสราเริ่มจะกังวลอีกคน  เมื่อเห็นหลานชายที่นอนแผ่อยู่กับเตียงดวงตาเลื่อนลอยผิดปกติ

คิมหันต์ส่ายหน้าไปมาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี  "ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดีครับคุณพ่อคุณแม่  นายเรดก็ไม่อยู่ด้วย  หรือผมจะโทร.หาน้องดีมั้ยครับ  ลองถามดูว่าควรจะทำยังไง"

คิมหันต์คิดได้ก็รีบลุกจากเตียงแต่ก็คมำลงไปอีกเมื่อมือของคนที่นอนอยู่กระชากข้อมือเขาเอาไว้  "เรดไปไหน…เรดล่ะ"  น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยถาม  ก่อนที่ความกระสับกระส่ายจะหายไป  แล้วนิ่งเงียบไปในที่สุด 

เปลือกตาที่ปิดลงอย่างรวดเร็วทำให้คิมหันต์  คุณสิทธิชัยและคุณภัสราถอนหายใจอย่างโล่งอกไปวันหนึ่ง  เพราะรู้ดีว่าลูกชายคนเล็กจะยังไม่กลับบ้านในเร็ววันนี้แน่นอน  นั่นทำให้ไม่แน่ใจว่าวสันต์จะต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน…สายใยที่เชื่อมโยงกันเอาไว้บางจนอาจจะขาดออกจากกันเมื่อไรก็ได้  ทำให้คิมหันต์ได้เพียงแค่มองอีกคนอย่างสงสารและเห็นใจ  แต่ไม่มีวันที่เขาจะยอมส่งน้องชายสุดที่รักให้กับคน ๆ นี้  คนที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเอง

++++++++++++++++++++++++

   ยามเช้าในฤดูร้อนทำให้อากาศสดใสผ่อนคลาย  เหมันต์กลับมาหัวเราะและยิ้มได้อีกครั้ง  เสียงหัวเราะอยู่กับรัตติกาลขณะเดินเข้ามาในห้องประธานสภานักเรียนทำให้คิมหันต์มองน้องชายอย่างหมั่นไส้  เมื่อทั้งคู่นั่งลงใกล้ ๆ กันที่โต๊ะเลขานุการสภาแล้ว  คิมหันต์จึงได้เดินเข้าไปหาด้วยสีหน้ากังวลจนอีกสองคนยังรู้สึกได้

   "เป็นอะไรวะพี่กรีน"  เหมันต์เอ่ยทักพี่ชายอย่างสงสัย  อดมองไปรอบ ๆ ห้องไม่ได้ราวกับจะค้นหาใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี่

   "บลูมันไม่สบาย  เมื่อคืนสงสัยจะฝันร้าย  ร้องหานายด้วย  แต่เมื่อเช้าพี่เข้าไปดูแล้วก็เห็นมันกลับมาเหมือนเดิมแล้วนะ  นายไม่ต้องไปดูหรอกเดี๋ยวพี่คอยดูให้  พี่ว่ามันคงจะมาจากจิตใต้สำนึกที่มันลึกมาก ๆ มั้ง  พอรู้ว่านายไม่ได้อยู่ด้วยถึงได้ฝันร้าย…แบบจิตสัมพันธ์อะไรเงี้ย"  ตอนหลังคิมหันต์เดาไปตามเรื่อง

   เหมันต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันทีที่ฟังเรื่องจบ  เมื่อได้ไตร่ตรองดีแล้ว  "ผมไปดูบลูก่อนดีกว่า  แล้วเดี๋ยวกลับมา  เพรย์อยู่กับพี่กรีนนะ…ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวมา"

   ไม่ทันที่คิมหันต์หรือรัตติกาลจะคว้าตัวเอาไว้  เหมันต์ก็วิ่งหายออกจากห้องไปแล้ว  คิมหันต์ยกสองมือขยุ้มผมอย่างโมโหตัวเองที่เล่าเรื่องนี้ให้น้องชายฟังก่อนทิ้งตัวลงนั่งอย่างกังวลใจ  ทำให้คนใกล้ตัวต้องเอื้อมมือวางบนไหล่เขาเหมือนจะบอกให้ทำใจ  คิมหันต์จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ  ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่รัตติกาลให้อีกฝ่ายต้องเสียวไส้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีกหรือ…แต่คิมหันต์กลับคิดว่า  ช่างเป็นการผ่อนคลายที่ดีจริง ๆ

++++++++++++++++++++++++

   ภายในบ้านหลังใหญ่เงียบเชียบเมื่อคนในบ้านขมักเขม้นอยู่ในครัว  เสียงคุยเบา ๆ ที่ดังออกมาจากภายในครัวทำให้เหมันต์เลี่ยงขึ้นข้างบนทันที  ฝีเท้าที่เคยก้าวอย่างรวดเร็วเริ่มช้าลงช้าลงเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย  ความกลัวที่ยังประทับอยู่ในหัวใจเริ่มชัดเจนขึ้น  ความไม่กล้าและความกลัวนั้นทำให้เขาทำได้เพียงแค่หยุดยืนอยู่ด้านนอกตรงหน้าประตูห้อง  มือขยับหมุนลูกบิดช้า ๆ เมื่อรู้ว่าไม่ได้ล็อคจึงค่อย ๆ คลายลูกบิดนั้นออก  ก่อนทรุดตัวลงนั่งตรงนั้นเอง

   เวลาที่เคลื่อนผ่านไปเนิ่นนานไม่ทำให้เหมันต์ลุกขึ้นหรือขยับตัวได้  เพราะห้วงคิดที่เรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายดึงเวลาให้ยิ่งผ่านไปไม่รู้จบ  แต่ประตูด้านหลังที่เปิดออกทำให้เขาต้องผงะถอยห่างด้วยความตกใจสุดขีด  ดวงตาเหลือบขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังพบเพียงดวงตาเย็นชาที่ทอดมองกลับมาทำให้ต้องรีบลุกขึ้นยืนในทันใด

   "เอ่อ…ขอโทษนะที่ขวางทาง  อาการดีขึ้นแล้วใช่มั้ย…งั้นก็ดีแล้ว"  พูดจบแต่ยังไม่ได้ไปไหน  เมื่อข้อมือถูกกระชากเอาไว้แล้วลากเข้าไปในห้องทันที

   "กลับมาทำไม"  เสียงถามเหมือนพยายามระงับอารมณ์โกรธ  แต่แรงที่เหวี่ยงอีกคนลงไปบนเตียงที่ถึงแม้จะนุ่ม  ก็บอกได้ดีว่าความโกรธนั้นมีมากแค่ไหน  "ใครบอกให้กลับมา"

   "ขอโทษ…ชั้นไม่ดีเอง"  เหมันต์ตอบคำถามกล้า ๆ กลัว ๆ  ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายค่อย ๆ ขยับเข้าไปหา  เขาก็ถดตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว  "จะกลับเดี๋ยวนี้แล้วไง…"  เป็นแรงกล้าเฮือกสุดท้ายที่ตัดสินใจพูดออกไป

   "ใช่…มาแล้ว…แล้วก็จะไปแล้ว  แต่ยังไม่ได้ไป"  น้ำเสียงเย็นชาดักกั้นทุกคำแก้ตัวเอาไว้หมด  "ก่อนไปก็ต้องรับกรรมที่กล้าดีมาสงสารคนอื่น…ซึ่งไม่มีคนเค้าต้องการ"

   "เข้าใจแล้ว…"  ถ้อยคำรับสั้น ๆ กับท่าทียินยอมแบบนั้นทำให้เส้นความโกรธที่ตึงแน่นขาดจนระเบิดออกมา  โดยที่เหมันต์ไม่รู้ตัวเลย

   "อวดดี"  มือใหญ่บีบขย้ำเรียวแขนอีกฝ่ายเอาไว้แน่น  เล็บที่ตัดสั้นยังจิกลงไปถึงผิวเนื้อนุ่มใต้ผ้าบางทำให้เลือดซึมออกมานอกเสื้อแขนยาวที่ใส่ไว้ได้  "อย่าทำท่าเหมือนอะไรก็ได้หน่อยเลย  ทำตัวให้มันมีค่าหน่อยดีกว่ามั้ง  เผื่อคนอื่นที่ไม่ใช่ชั้นอาจจะอยากรับนายเอาไว้น่ะเรด"

   "ช่างเถอะ…"  เหมันต์กัดฟันตอบถึงแม้จะรู้สึกเจ็บมากแค่ไหน  แต่เขาก็หมายความอย่างที่พูดจริง ๆ นั่นแหละ

   แรงมือเริ่มคลายลงบ้างเมื่อได้ยินคำตอบ  เขาเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่  แต่ท่าทางเหมือนจะเอาอย่างไรก็ได้แบบนั้นก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า…มันแปลก  ดูเหมือนตัวเขาเองจะมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกนึกคิดอีกฝ่าย  ไม่รู้หรอกว่ามันนานแค่ไหนแต่ดูเหมือนจะจำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มันเป็นแบบนี้

   "ดีนี่ที่ยังไม่ตาย"  วสันต์พูดไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้ให้ความหมายกับคำพูดของตัวเองเท่าไรนัก  "แต่น่ารำคาญ"  คำพูดกับสายตาเลื่อนลอยทำให้เหมันต์ได้แต่มองอย่างเป็นห่วง  แล้วต้องตัดความกลัวภายในจิตใจให้หมดไป

   "บลู…"  เอ่ยเรียกเบา ๆ มือหนึ่งเอื้อมจับมือใหญ่กว่ามาเกาะกุม  แม้แรงสะบัดจะมากจนมือเกือบเคลื่อนออกจากกัน  แต่เหมันต์ก็ยังคงจับมือวสันต์ไว้อย่างมั่นคงก่อนที่อีกมือจะเอื้อมลูบผมสีน้ำตาลเข้มนั้นอย่างเบา ๆ  "ไม่เป็นไรนะ…ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น  บลูอยู่ที่นี่แหละ  เรดจะไปอยู่ที่อื่นเอง  อยู่ที่นี่นะ"

   เสียงเอ่ยหวานจับใจคล้าย ๆ ว่าเคยได้ยินที่ไหน  ทำให้อาการสะบัดมือนิ่งไป  ดวงตาเลื่อนลอยกึ่งเพ้อกึ่งฝันทำให้ปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง  มือหนึ่งจึงยกขึ้นกุมศีรษะเอาไว้ก่อนขยุ้มผมแถว ๆ นั้นติดมือมา  ความเจ็บปวดทำให้ต้องดึงทึ้งผมอย่างรุนแรงจนเหมันต์ตกใจพยายามแกะมือวสันต์ออกจากเส้นผมเหล่านั้น  แล้วประคองอีกฝ่ายลงนอน

   "บลู…หยุดที"  น้ำเสียงอ้อนวอนทำให้อีกฝ่ายนิ่งไป  ดวงตาเคลื่อนจับคนตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนรอยยิ้มที่เหมันต์คิดว่าคงจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป 

   "เรด…เรด"  อาการไขว่คว้าทำให้เหมันต์ต้องรวบมือหนึ่งมากุมไว้แนบอก  "ถ้าขอคุณแม่แล้ว  บลูไปอยู่กับเรดได้มั้ย"  ห้วงความทรงจำที่กลับตาลปัตรทำให้เรื่องปัจจุบันกลับกลายเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อน  เรื่องที่เหมันต์ยังคงจำได้

   "ได้สิ…อย่ากังวลนะ"  เหมันต์ตอบด้วยรอยยิ้มหวาน  หากเหตุการณ์มันกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้ก็คงจะดี  มือบางไล้ไปตามโครงหน้าที่หวานกว่าตนเองแล้วหอมแก้วนั้นเบา ๆ หลายครั้ง  ทำให้อีกคนยิ้มให้อย่างหวานซึ้ง

   "คิดถึงเรดที่สุดเลย  ที่โรงเรียนบลูมันน่าเบื่อ  เมื่อเดือนก่อนเพื่อนมันล้อบลูว่าเหมือนผู้หญิงบลูก็เลยตีกับมัน  โดนทัณฑ์บนเลยแหละ"  เล่าด้วยรอยยิ้มก่อนที่ยิ้มนั้นจะบวกความเจ้าเล่ห์ลงไป  "แล้วเรดมาค้างบ้านบลูนานมั้ย"

   "อืมม…"  ตอบรับสั้น  เมื่อรับรู้ถึงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่คนรักจะกลับมา  "คงนาน"

   "เหรอ…"  เสียงนุ่มลากไปเรื่อย  ก่อนยันตัวลุกขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ดันอีกคนลงนอน  "งั้น…"

   สิ้นสุดเสียงนั้นวสันต์ก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกคนที่ดูเหมือนจะรอรับสัมผัสจากเขาอยู่  ริมฝีปากแตะกันเพียงเบา ๆ ก่อนจะสัมผัสกันอย่างโหยหาและต้องการ  กระดุมเสื้อนักเรียนของเหมันต์ถูกปลดออกจนหมดกระทั่งเสื้อทั้งหมดเลื่อนออกจากเรือนร่าง  อีกคนที่ถอนริมฝีปากจากรสชาติหอมหวานที่คุ้นเคยไล้ริมฝีปากมาถึงซอกคอนวลแล้วนิ่งไปรอยแดงช้ำทำให้ต้องเลื่อนสายตามองไปที่เรือนร่างตรงหน้าซึ่งดูเหมือนจะมีรอยช้ำเต็มไปหมด



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:29:23 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน 3
«ตอบ #96 เมื่อ29-12-2013 21:01:15 »

   ต่อจากด้านบน




"เรด…ใครทำ"  เอ่ยถามด้วยแววตาสงสารและเห็นใจ  เหมันต์ได้เพียงแค่ยิ้มก่อนส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ  ที่อีกคนเข้าใจไปในทางเดียวกัน  "จักรยานล้มเหรอ"

   "อือ…"  ตอบรับด้วยรอยยิ้มกับความไร้เดียงสาของคนตรงหน้า  ที่จะเปลี่ยนไปก็หลังจากนี้

   "เจ็บสิเนาะ"  นิ้วชี้แตะเบา ๆ ตามรอยช้ำอย่างเห็นใจ  "ก็บลูบอกแล้วว่าให้รอซ้อนบลูไง  เดี๋ยวอีกนิดก็ขับได้แล้ว"  เด็กสิบหกในตอนนี้บอกอ้อน ๆ  ก่อนหันไปสนใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

   ริมฝีปากประทับเบา ๆ ตามรอยแดงช้ำอย่างเอาใจที่สุด  เหมันต์มองตามด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่งเสียงครางเครือเบา ๆ มือกำหมอนแน่นเมื่ออีกฝ่ายลูบมือสัมผัสไปตามร่างกายอย่างยั่วเย้า  ดวงตาที่เริ่มหวานตามแรงอารมณ์ทอดมองอีกคนในวัยเดียวกัน  ตอนนี้พวกเขาสิบหกปีแล้วเมื่อสามปีก่อนครั้งแรกและครั้งเดียวในช่วงเวลานั้นที่อีกคนกอดเขาเอาไว้แนบอก  ตอนนั้นพวกเขายังอายุแค่สิบสามเท่านั้น  ก่อนที่เขาจะได้รับความเจ็บปวดจากอ้อมกอดนี้อีกครั้งเมื่อสองคืนก่อน  และวันนี้คงเป็นอีกครั้ง  ซึ่งอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขาอย่างแท้จริง

   เหมันต์ยื่นมือไล้ดวงหน้าหวานด้วยดวงตาทอประกาย  ทำให้อีกคนเริ่มจะอดทนไม่ไหวโน้มหน้าลงประกบจูบเขาอย่างร้อนแรง  สร้างประกายเพลิงที่รุ่มร้อนให้รุมเร้าทั้งสองอย่างไม่ปราณี  ริมฝีปากนุ่ม ๆ ที่ลากไล้ลงไปที่ซอกคอฝากรอยกลีบดอกไม้เอาไว้  ก่อนเลื่อนลงไปยังแผ่นอกประทับรอยอีกมากมายไว้บนนั้น  ยอดอกสีสวยถูกครอบครองซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แล้วเคลื่อนลงไปไกลและลึกยิ่งกว่านั้นเพื่อความสร้างลึกซึ้งอย่างที่เคย

   หยดน้ำใสไหลหลั่งรินบนดวงหน้าที่แดงเรื่อทำให้อีกคนต้องจูบซับให้แผ่วเบา  มือหนึ่งลูบผมที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อออกจากดวงหน้าคนรัก  ไม่รู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายที่จะต้องสูญเสียเขาไปในเวลาไม่นาน  ดวงตาสองคู่ที่มองสบกันไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวใด ๆ ทำให้ดวงตาที่รื้นน้ำต้องเบิกกว้างพร้อมเสียงร้องสุดท้าย  ก่อนจะหลับตาลงให้น้ำใส ๆ หยาดรินลงมา  เรือนร่างที่ถูกกอดเอาไว้แน่นโดยคนรัก  ถูกคลายออกช้า ๆ แล้ววางเบา ๆ บนเตียงนุ่ม

   เรียวแขนที่เล็กกว่าดึงอีกคนให้ลงไปใกล้ ๆ ดวงตาฉ่ำน้ำมองคนรักอย่างรักใคร่  หวงแหนและคาดหวังอยู่เพียงชั่วครู่  ดวงหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเคลือบด้วยรอยน้ำตาให้ทำให้คนที่ถูกดึงลงไปใกล้ยิ้มตอบหวานฉ่ำไม่แพ้กัน  ดวงตาใสไม่รับรู้เรื่องราวใด ๆ ที่คนตรงหน้าต้องเผชิญอยู่  ไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขาในตัวตนแห่งนี้จะคงอยู่ได้เพียงไม่นาน  ไม่รู้แม้สักนิดว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นอีกคนหากลืมตาขึ้นอีกครั้ง

   "บลู…นอนเถอะนะ"  เหมันต์เอ่ยบอกแล้วประคองอีกคนลงนอน  เป็นตัวเขาที่ตะแคงตัวทาบทับวสันต์เอาไว้  "พอตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีกแล้ว"

   "แล้วเรดจะอยู่มั้ย…อยู่ด้วยกันใช่มั้ย"  วสันต์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม  มือหนึ่งกุมมือคนข้าง ๆ ไม่ปล่อย  "แล้วพอตื่นขึ้นมา…จะพาไปเที่ยวนะ"  เสียงพูดสุดท้ายจบลงเมื่อยื่นริมฝีปากซับรอยหยดน้ำบนดวงหน้าคนรักให้หมดไป  แล้วจบลงด้วยแรงประทับบนริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่าย

   เหมันต์พยักหน้าช้า ๆ ด้วยรอยยิ้ม  โน้มดวงหน้าลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากอีกคนเนิ่นนานด้วยอาลัยอาวรณ์  เปลือกตาของวสันต์ปิดลงไปแล้ว  เหมันต์มองดูและรอคอยจนกระทั่งลมหายใจนั้นยาวสม่ำเสมอ  มือของเขาที่ถูกกุมอยู่เลื่อนหลุดออกมา  เขาจึงเอื้อมมือกุมมือวสันต์อีกครั้งจูบประทับลงไปที่นิ้วนางซ้ายนั้นอย่างเสียใจ

   "บลูลืมมันให้หมดก็ได้  ตั้งแต่วันนี้ก็ไม่ต้องจำอะไรอีกแล้วนะ  เรดจะไม่ตามหาอะไรอีก  ถ้าบลูมีชีวิตใหม่แล้วมันดีกว่าเดิม…ลาก่อนที่รัก"  สิ้นถ้อยคำสุดท้ายมือนั้นจึงถูกวางลงบนเตียง  ก่อนที่เหมันต์จะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้อีกฝ่ายที่นอนหลับสนิท

   เรือนร่างเปลือยเปล่าลุกขึ้นจากเตียงหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างเลื่อนลอย  ขณะที่เอื้อมมือหยิบเสื้อนักเรียนของตนขึ้นมา  แสงสะท้อนจากตู้ที่เปิดค้างอยู่ทำให้อดสนใจไม่ได้  เมื่อใส่เสื้อนักเรียนเสร็จเขาจึงเดินเข้าไปดูอย่างสนใจ  กล่องกำมะหยี่สีแดงเล็ก ๆ ที่อยู่ภายในทำให้อยากรู้จนหยิบขึ้นมาเปิดดู  แหวนเพชรวงเล็กที่ตัวเขาสวมไม่ได้แน่ ๆ ทำให้ต้องคิดไปไกล  เพชรที่ไม่รู้ว่ากี่กระรัตรูปทรงหัวใจนั้นคงบอกทุกอย่างได้ดี…วสันต์มีคนรักแล้ว  'เธอ'  คนนั้นจะเป็นใครก็ตาม  แต่ก็ไม่มีวันจะเป็นเขา

   แสงสะท้อนที่ทอดผ่านไปไม่ได้มาจากกล่องนี้แน่นอนทำให้เหมันต์  เก็บกล่องนั้นเอาไว้ที่เดิม  ก่อนค้นหาที่มาของแสงสะท้อนนั้น  แล้วก็พบสิ่งที่ติดตามหามานาน  สร้อยแสตนเลสที่คล้องแหวนเงินวงใหญ่เอาไว้  ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างดีใจมือที่สั่นเลื่อนหยิบมันขึ้นมาดู  เมื่อสร้อยนั้นอยู่นิ่งในมือ  เขาก็ตัดสินใจเร่งฝีเท้าออกจากห้องอย่างรวดเร็วก่อนที่คนบนเตียงจะตื่นนอน

   เหมันต์ใช้เวลาครู่หนึ่งในการสะกดกั้นอารมณ์ยินดีไว้  สร้อยที่เพิ่งพบถูกสวมเข้าที่คอก่อนที่เขาจะหันหน้าเข้าหาประตูห้องที่เพิ่งละจากมา  มือหนึ่งยื่นลูบบานประตูนั้นอย่างอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนตัดสินใจเดินออกไปแล้วไม่หันกลับมามองอีก…เพื่อตัดใจกับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านไปแล้ว  เมื่อไม่มีเรื่องใดค้างคาอยู่ภายในอีกทั้งตัวเขาและคนที่เขารัก

++++++++++++++++++++++++

   เสียงหัวเราะดังลั่นห้องทำให้คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา  ถอนหายใจเหนื่อยหน่ายในตัวของพี่ชายที่ดูเหมือนจะเล่นอะไรจนพอใจเหลือล้น  แต่เมื่อเห็นสีหน้าของรุ่นน้องน่ารักที่งอง้ำรื้นน้ำตาน้อย ๆ ทำให้เหมันต์ต้องรีบถลาเข้าหาไปทันที  ดวงหน้าหวานถูกสองมือของเจ้าตัวจับประคองเอาไว้เหมือนเจ็บปวด  เหมันต์จึงหันไปมองพี่ชายอย่างโมโห

   "พี่กรีนทำบ้าอะไรวะ  ทำอะไรเพรย์"  เป็นคำถามที่เค้นคออีกฝ่ายเต็มที่

   คิมหันต์ยักคิ้วไม่ใส่ใจ  แต่ยังคงยิ้มระรื่น  "เปล่า  ก็ถามเค้าสิ  ตอบสิจ้ะที่รักว่าพี่ทำอะไร"  พูดจบก็หัวเราะอย่างนึกสนุกไม่เลิก

   "ก็รู้ว่ากว่าน้องจะบอกได้  พูดมาทำอะไรเพรย์"  เหมันต์ถามอีกครั้งอย่างเหลืออด

   "เออ ๆ แค่นี้ก็ขู่เอาขู่เอา"  คิมหันต์เห็นอาการโกรธของน้องชายก็ยอมทันที  "ก็หอมแก้มไง  ซ้ายขวา  ซ้ายขวา  แล้วก็ซ้ายขวา  แต่กี่ครั้งไม่แน่ใจเหมือนกันมันเยอะ…นับไม่ถ้วน"

   เหมันต์หันไปหารัตติกาลแล้วมองอีกคนอย่างพิจารณา  "เอ…แค่นี้เองนี่เพรย์งอนอะไรคนดี"  ถามอย่างเอาใจแต่อีกคนก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก  เพราะท่าทางที่หันหน้าหนีทั้งสองพี่น้องแบบนั้น

   "สงสัยเจ็บแก้มล่ะสิ  คงช้ำล่ะมั้ง"  คิมหันต์ตั้งข้อสงสัย  ก่อนเดินเข้าไปดู  ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าด้านหน้าคนกำลังงอน  เชยดวงหน้าหวานมามองด้วยรอยยิ้ม  "เจ็บมากเหรอ  เอาไว้คราวหน้าจะไม่ทำเยอะ ๆ แบบนี้…นะครับ"

   ดวงหน้าที่เคยหวานใสขึ้นสีเรื่อในทันที  คิมหันต์ยกมือปาดหยดน้ำน้อย ๆ ให้พ้นดวงตาคู่หวาน  แล้วดึงอีกฝ่ายมากอดไว้อย่างเอาใจ  ดวงหน้าหวานที่ซบอยู่บนไหล่กว้างจึงยิ้มออกมา  ทำให้เหมันต์ได้แต่มองอย่างขบขัน  นิ้วหนึ่งเกลี่ยสร้อยที่คอออกมาดูก่อนปล่อยอีกสองคนไปตามเหตุการณ์  ส่วนตัวเขาเองก็ปล่อยใจให้ไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ

   คิมหันต์ผละออกจากรัตติกาลหันไปมองน้องชาย  แล้วต้องเคร่งเครียดขึ้นมาอีก  เมื่อเห็นแหวนวงนั้นที่เขารู้ดีว่าน้องชายตามหามาตลอด  "เรดเจอมันแล้วเหรอ…จบแล้วสิ"

   "อืม…จบแล้ว"  เหมันต์ปั้นรอยยิ้มจนอีกสองคนยังจับได้  จึงได้แต่กังวลใจแทน  "เค้าบอกเองนี่…ได้คืนเมื่อไหร่ก็ถือว่าจบ"
   "แล้วนายจบด้วยเหรอ  ทิ้งไปดีมั้ยจะได้ต่างคนต่างจบ"  คิมหันต์ให้ความเห็น  จนรัตติกาลเศร้าไปกับคำบอกนั้น

   "ไม่หรอก  ผมยังไม่จบนี่พี่กรีน  ยังมีอีกชั่วชีวิตนึง"  คราวนี้เป็นรอยยิ้มจริง ๆ จากเหมันต์ทำให้คิมหันต์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ  แต่รัตติกาลกลับตาลุกวาวด้วยความยกย่อง  และต้องการเอาเป็นแบบอย่าง

   "มันจะหมั้นกับยัยฟ้า  ทิฆัมพร  เด็กห้องพี่นี่แหละ  มันถามพี่ว่าพี่จะไปเรียนต่อที่ไหน  มันจะสอบเลื่อนขั้นตามไปด้วย  ที่ ๆ พี่จะไปดันบังเอิญเป็นที่เดียวกับยัยฟ้าด้วยอะดิ  มันคงรู้ถึงได้ถาม"  คิมหันต์แจ้งข่าวร้ายกับน้องชายด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

   เหมันต์รับรู้ด้วยสีหน้าปกติ  จนคิมหันต์แปลกใจว่าอีกฝ่ายไปสวมหัวใจสิงห์มาจากไหน  "ผมพอจะรู้มาบ้าง  แต่พี่ไม่ต้องห่วงผมอยู่ที่นี่ได้  อยู่กับเพรย์ก็ได้"  ตอนหลังหันไปยิ้มกับอีกคนที่ดูจะเป็นห่วงเขาไม่น้อย 

   คิมหันต์มองดวงหน้าหวานใสที่ยิ้มให้น้องชายแล้วพยักหน้า  "เออ ๆ  ก็ได้วะ  แต่ไม่อยากให้พี่ไปเรียนที่อื่นแน่นะ  แบบว่าจะได้แยกมันออกจากกันซะเลย"

   "ไม่ต้องหรอกน่า  ก็รู้อยู่ว่าตั้งใจจะไปเรียนที่นั่น  เอาเถอะผมจะอยู่ดูแลเพรย์ให้  แล้วถึงเวลาจะส่งเพรย์ไปให้อย่างเรียบร้อย"  เหมันต์พูดอย่างนึกสนุกจนรัตติกาลต้องตีแขนเขาอย่างขวยเขิน

   "เหตุผลเหมาะสม  ตกลงน้องชาย…พี่เอาตามนี้"  คนพูดตั้งใจล้อเลียนอีกฝ่ายที่ได้แต่ก้มหน้างุดอย่างอายสุดขีด  "พูดเหมือนจะไปแล้วเลย  ไหน ๆ วันนี้ก็ยังไม่ไป  เย็นนี้ไปกินข้าวกับไอบอสกันดีกว่า  มันจะเอาเหยื่อมาอวด"

   "อะไรนะ  เหยื่อพี่บอส…ตาหมอนั่นน่ะนะ  ถือตัวจะตายคงไปนั่งแอบมองเหมือนเดิมล่ะสิ"  เหมันต์แกล้งโวยวาย  ก่อนจะนึกสนุกขึ้นมากอีก  "แต่ก็น่าสน  ต่อให้ผู้รากมากดีมาจากไหนก็เถอะ  ถ้าทำให้สยบอยู่กับเท้าได้มันก็น่าดูน่ะนะ"

   คิมหันต์นั่งลงใกล้ ๆ กับรัตติกาลที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราว  หัวเราะกับความคิดของน้องชาย  มือหนึ่งโอบคนใกล้ตัวเข้ามาให้ใกล้ยิ่งกว่าเดิมอย่างถือสิทธิ์  ทำให้รัตติกาลได้แค่ยิ้มหวานให้เขาเพราะอยากรู้อยากเห็น  แต่ทั้งสองคนที่สบตากันก็เอาแต่หัวเราะอย่างสะใจกันไปตามเรื่องจนรัตติกาลยิ่งงงเข้าไปอีก

   "เอาไว้ไปดูเองแล้วกันเพรย์  เจอกันครั้งไหน ๆ ก็ตลกจนห้ามใจไม่อยู่เชียวล่ะ"  คิมหันต์บอกด้วยรอยยิ้มที่ไม่จางไป  ก่อนริมฝีปากจะสัมผัสแก้มนุ่ม ๆ นั้นอีกครั้งเมื่ออีกคนเผลอ  "น่ารักชะมัด"

   เสียงพูดนั้นให้เจ้าของดวงหน้าหวานเกิดงอนขึ้นมาอีก  เหมันต์จึงได้แต่ส่ายหน้ากับท่าทียิ้มระรื่นของพี่ชาย  ที่ดูเหมือนจะชอบยั่วอารมณ์ให้อีกคนงอนแก้มป่องเหมือนท้องปลาบอลลูนอยู่เสมอ  รอยยิ้มจาง ๆ เกิดขึ้นบนดวงหน้าเมื่อไม่ลืมที่จะนึกถึงเรื่องของตนเอง  ความรักที่คิดว่าจะมีเพียงครั้งเดียวได้จบลงไปแล้วด้วยดี…และเพียงลำพัง

   เหมันต์เคยคาดหวังเอาไว้เสมอว่าในสักวันหนึ่ง  คนรักของเขาที่เคยลืมเขาไปจะต้องจำเขาได้  แล้วพวกเขาจะกลับมารักกันอีกครั้งหนึ่ง  แต่เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไปความจริงก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ คนที่จำอะไรไม่ได้แล้ว  ก็จะเหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น  ไม่ว่าความรักที่เขามีจะสำคัญและมีคุณค่ามากแค่ไหน  แต่กับอีกคนที่ลืมความรู้สึกเช่นนั้นไปก็คือไม่เหลือความรู้สึกเดิมเอาไว้อีก…ไม่เหลือ 'ความรัก' นั้นอีกแล้ว

   เหมันต์คิดว่าบางทีเรื่องของพี่ชายเขา  มันอาจจะแตกต่างจากเรื่องของเขาก็ได้  ในเมื่อเวลานี้ทั้งสองคนยังคงอยู่ด้วยกัน  ถึงแม้อีกคนจะจำความสัมพันธ์เดิม ๆ ไม่ได้  แต่สายใยที่ผูกทั้งคู่เอาไว้ก็ดูจะแน่นหนามากพอที่จะทำให้พี่ชายของเขากลับมาจำเรื่องราวความรักครั้งก่อนได้  เขาเคยขอเอาไว้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว  ว่าขอให้ทั้งคู่สมหวัง…ขออย่าให้เหมือนความรักของพวกเราที่จบลงไปแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:29:59 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน 4
«ตอบ #97 เมื่อ29-12-2013 21:05:26 »

พลังอธิษฐาน 4




   Sun@Mintra  เป็นชื่อของคลับหรูในโรงแรมพลากร  อินน์  เมอริเทส  อันเป็นที่นัดหมายของเด็กหนุ่มแห่งเอกศาสตร์สี่คน  บวรเจ้ามือในมื้อเย็นกำลังนั่งคุยอยู่กับเหมันต์อย่างออกรสออกชาติในเรื่องทั่ว ๆ ไปที่พวกเขาสนใจ  ส่วนรัตติกาลกลับสนใจสิ่งรอบข้างมากกว่า  ดวงตาโตมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจจนเกิดแสงประกายในความมืดสลัว  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าจะออกดวงตาโตของเขาก็จะคอยมองตามตลอดเวลา  เพราะไม่เคยได้ออกมาเที่ยวอย่างนี้มาก่อน

บรรยากาศบนฟลอร์ด้านล่างที่คนมากมายกำลังเต้นรำกันอยู่  ทำให้รัตติกาลอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นการสั่นไหวเคลื่อนตัวที่ช่างเข้ากับอารมณ์เพลง  และสามารถผลักดันความเครียดออกจากความรู้สึกของผู้ที่มารับประทานอาหารหรือฟังเพลงผ่อนคลายความตื้อตึงภายในจากการทำงานมาทั้งวัน  จากการสังเกตท่าทีของแต่ละคนแล้วทำให้เขาฟันธงได้เลยว่าเป็นนักธุรกิจเสียส่วนใหญ่

ดวงตาเล็ก ๆ หากแต่คมกริบของบวรมองไปที่ทางเข้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อเฝ้ารอการมาถึงของใครบางคนที่ไม่ใช่เพื่อนสนิท…แต่ใครคนนั้นเป็นเหยื่อในวันนี้  พวกเขากำลังนั่งรอคิมหันต์อยู่บนชั้นสองซึ่งที่นั่งเป็นโซฟานุ่มล้อมอยู่กับโต๊ะกระจก  ดูสูงพอดีเหมาะแก่การรับประทานอาหารเคล้าเสียงเพลง  และที่ตรงนี้ก็เป็นมุมที่เหมาะสำหรับการเฝ้ามองไปทางประตูเข้า  ดังนั้นหากเหยื่อของเขาเดินเข้ามา  ก็ไม่มีทางเล็ดลอดลูกตาดวงเล็ก ๆ ของเขาไปได้

   อาจจะฟังดูแปลกที่ใคร ๆ จะมานั่งรับประทานอาหารในคลับหรู  ซึ่งเน้นไปทางอาหารอิตาเลียนเป็นส่วนใหญ่  อาจจะมีอาหารไทยบ้างเพียงประปราย  แต่ในจังหวัดที่เก้าสิบเก้าซึ่งเต็มไปด้วยนักธุรกิจแถวหน้านี้  มักจะมีเหตุการณ์ที่แปลกกว่าจังหวัดอื่น ๆ อยู่เสมอและนี่เป็นเรื่องหนึ่ง

   จังหวัดที่เก้าสิบเก้าถือกำเนิดขึ้นจากธุรกิจมากมายที่ขยายตัวเข้ามาสู่ที่นี่  โดยเริ่มจากสามตระกูลใหญ่อย่างรวีวาร  ภัทรกานท์  และพลากร  ที่ได้รวมเครือเข้าเป็น  Go  We  Gone  แล้ว  สามเครือดังในอดีตนำวงศ์วานว่านเครือเข้ามาในจังหวัดนี้ตั้งแต่เมื่อเริ่มขึ้นเป็นจังหวัด  ก่อนที่ธุรกิจของใครอื่นจะเคลื่อนตามเข้ามา

   เมืองธุรกิจอย่างจังหวัดที่เก้าสิบเก้าแทบไม่จำเป็นจะต้องมีสถานีตำรวจอยู่เลยด้วยซ้ำ  เพราะส่วนใหญ่นักธุรกิจของที่นี่จะมีการ์ดเป็นส่วนตัว  ดังนั้นจังหวัดนี้จึงขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดที่ใสสะอาดไร้หมู่โจรกระจอก  นอกจากพวกแกงค์อันธพาลที่เคยหยามเข้ามาขูดรีดเงินตราจากธุรกิจในจังหวัด  แต่ก็ต้องดับสลายแกงค์กันไปเพราะสู้อำนาจและอิทธิพลภายในไม่ไหว

   จังหวัดที่เก้าสิบเก้ามีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง  คือคนในไม่อยากออกแต่คนนอกกลับอยากจะเข้า  เพราะความที่เป็นเมืองทันสมัยจากธุรกิจดัง  เมืองจึงพรั่งพร้อมไปหมดทุกอย่างแม้ในส่วนที่เป็นชนบทก็ยังคงดูทันสมัยอย่างที่ใครก็คิดไม่ถึง  ท้องถนนที่ตัดผ่านทุ่งนาอย่างลงตัวราวกับทางคู่ขนานเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่  และหากจะนับรวมอากาศที่เย็นสบายตลอดปีกับธรรมชาติที่แวดล้อมไร้สารพิษมลภาวะด้วยแล้ว  นี่ก็คือจังหวัดในฝันของทุกคนนั่นเอง

   ดวงตาที่ตี่จนเปลือกตาเกือบคลุมปิดไว้ได้หมดโตขึ้นอย่างรำคาญใจ  เมื่อเห็นเพื่อสนิทเดินเข้ามาภายในคลับพร้อมกับคนที่รอคอย  การพูดคุยที่ดูเหมือนเพื่อนเขาจะเป็นฝ่ายสนทนาเพียงผู้เดียวกลับทำให้ใบหน้าหล่อคมยิ้มอย่างหมายมาดในบางเรื่อง  ก่อนจะเห็นเพื่อนสนิทชี้มาทางโต๊ะที่พวกเขากำลังนั่งอยู่แล้วเดินเข้ามา  โดยที่อีกคนเดินตามหลังมาด้วย…อย่างที่เขาเองก็ไม่เชื่อสายตา

   รัตติกาลดีดตัวลุกขึ้นในทันใดเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า  แสงสลัว ๆ หากเขากลับมองเห็นคนที่เดินเข้ามาได้ชัดเจนทำให้แทบจะต้องลุกหนีไปอย่างหวั่นเกรง  หากไม่ติดมือของเหมันต์คว้าเอาไว้อย่างเป็นห่วง  เนื่องจากสายตาน่ากลัวจากรอบ ๆ ที่มองเข้ามานั้น  ทำให้ไม่กล้าปล่อยให้อีกฝ่ายไปห่างตัวเลย  เมื่อหนีไม่ได้รัตติกาลจึงตัดสินใจนั่งลงอีกครั้งจนกระทั่งคิมหันต์เดินเข้ามาถึง  พร้อมกับใครอีกคน…ที่รู้จักดี

   "เฮ้ย…มาไงวะกรีน  เอาเจ้าของมาด้วยเหรอนั่น"  บวรเอ่ยทักเพื่อนด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับของเขา  ก่อนหันมองไปที่อีกคนที่สายตาไม่ได้จับจ้องมาที่ตัวเขา  แต่กลับเป็นเรือนร่างบอบบางตรงข้ามที่นั่งก้มหน้างุด

   คิมหันต์หันไปมองคนที่เดินตามเขามาอย่างแปลกใจ  ยิ่งเมื่อเห็นสายตาอีกฝ่ายจับจ้องอยู่กับรัตติกาลด้วยแล้วจึงอดเอ่ยถามไม่ได้  "คุณรังสิมันตุ์มีอะไรรึเปล่าครับ"

   ดวงตาคมเฉียบจากดวงหน้าหล่อเหลาหันขวับไปมองที่คิมหันต์  แล้วแค่นยิ้มเล็กน้อย  "ครับ  เด็กคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน  เพิ่งสิบห้านี่ครับ"

   เป็นคำถามที่เล่นเอาเด็กอายุน้อยกว่าสิบแปดทั้งสี่คนเงียบกริบในทันใด  แต่บวรก็ไม่ยอมแพ้  แก้ตัวอย่างรวดเร็ว  "คลับคนชั้นสูงอย่างนี้  ในจังหวัดที่เก้าสิบเก้าแห่งนี้  ไม่มีใครสนใจหรอกครับถ้าคนที่เข้ามาอยู่ในชนชั้นสูงมากพอ"

   รังสิมันตุ์ซึ่งมีฐานะเป็นถึงเจ้าของคลับแห่งนี้  ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็ตวัดดวงตาไปมองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ  เมื่อแรกเขาไม่ทันสังเกตเห็นอีกฝ่ายจึงไม่ทันได้ระวังตัว  แต่ก็ยังกระชากเสียงเถียงต่อ  "เด็กคนนี้อาจจะไม่สูงส่งพอก็ได้"  คนพูดทำใจดีสู้เสือเต็มที่

   เหมันต์และบวรลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจนักกับคำกล่าวนั้น  บวรที่ตัวสูงกว่าอีกฝ่ายเพียงไม่เกินห้าเซนติเมตรเดินเข้าหาคนพูดอย่างเอาเรื่องเต็มที่  แต่รัตติกาลก็ลุกขึ้นดึงข้อมือเขาเอาไว้เสียก่อน  แล้วหันไปก้มหน้าให้กับพี่ชายต่างมารดาที่พยายามอย่างยิ่งในการหาเรื่องกับเขาอยู่  อีกสามคนจึงได้แต่สงสัยว่ามันเรื่องอะไรกัน

   "ทำไมถึงออกจากบ้าน"  เอ่ยถามเสียงเรียบอย่างพยายามอดกลั้น  "คิดจะมาก่อเรื่องนอกบ้านอย่างนั้นเหรอ  ทำอะไรหัดดูชื่อเสียงวงศ์ตระกูลซะบ้าง"

   รัตติกาลก้มศีรษะให้พี่ชายอีกครั้ง  จนอีกคนเริ่มจะแปลกใจกับการไม่พูดไม่จาของเด็กนอกคอกแห่งวิริยะมินตรา  "มีอะไรก็บอกมาสิ  เงียบอยู่นั่น"

   สิ้นสุดคำถามอีกสามคนก็จ้องมองคนพูดเหมือนตัวประหลาด  นี่เขาจะไม่รู้เชียวหรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้พูดไม่ได้  หากเป็นคนในครอบครัวก็อยากจะรู้นักว่าเคยเลี้ยงดูกันมาเช่นไร  มีชีวิตมีความสัมพันธ์กันมาแบบไหนกัน…ถึงได้ไม่รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้

   "พอยท์…น้องเพรย์เค้าพูดไม่ได้"  บวรตอบแทนคนที่ได้แต่เงียบ…อย่างเหลืออด  "จะมาขู่เด็กบอสก็อย่าทำต่อหน้าบอส…บอสไม่ชอบ"

   รังสิมันตุ์กับคิมหันต์หันขวับมองบวรอย่างตกใจ  รายของเพื่อนสนิททำท่าทางประมาณว่ารัตติกาลไปเป็นเด็กของมันตั้งแต่เมื่อไร  ส่วนอีกคนไม่ได้แสดงท่าทีที่จะบ่งบอกอะไรแก่ใครได้  รัตติกาลมองความเงียบที่เกิดขึ้นด้วยความอึดอัด  ริมฝีปากที่ขยับอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาทำให้น้ำตาแทบปริ่ม  เหมันต์ที่เข้าใจความรู้สึกของคนกลางดี  จึงดึงอีกฝ่ายให้เข้ามานั่งใกล้เขาโดยไม่สนใจใคร  แล้วกอดเอาไว้อย่างปลอบใจ

   "ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าพูดไม่ได้  เอาล่ะจะรู้เอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ก็แล้วกัน  ในเมื่อออกจากบ้านมาแล้วก็ตามใจ  จะอยู่ยังไงก็รับผิดชอบตัวเองไป  ก็ดี…จะได้หมดภาระซักที"  พูดจบรังสิมันตุ์ก็เดินหนีไปอย่างไม่ใยดี  คิมหันต์ได้แต่ฮึดฮัด ๆ อย่างโมโห  ส่วนบวรก็เดินตามอีกฝ่ายไปลิ่ว ๆ

   "เฮอะ…ทำเป็นเก่ง  เดี๋ยวพูดไม่ออกจะหัวเราะให้ตายไปเลย  คอยดู"  คิมหันต์บ่นอย่างโมโห  ก่อนหันไปมองคนที่นั่งตัวสั่นซบอยู่กับน้องชายเขาด้วยความสงสารและเห็นใจ

เหมันต์ลูบหลังให้คนในอ้อมกอดเบา ๆ เป็นการปลอบประโลม  ก่อนที่คิมหันต์จะลุกขึ้นจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามมาหอมแก้มนุ่ม ๆ นั้นไปหลายทีอย่างเอาใจอีกคนหรือเอาแต่ใจตัวเองก็ไม่แน่ใจ  ทำให้รัตติกาลต้องขยับตัวดิ้นหนีเพราะงอนยังไม่หายตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน…ก็อีกคนตั้งใจจะรังแกอยู่ไม่เลิก

++++++++++++++++++++++++

บริเวณทางเดินว่างเปล่าเงียบสงบและร่มรื่นไปด้วยแมกไม้สีเขียวสดภายในคลับ  เรือนร่างสูงโปร่งที่ดูบอบบางเมื่อยามหันหลังคุยโทรศัพท์นั้น  ทำให้บวรอดนึกถึงเมื่อสองปีก่อนไม่ได้  เขาได้รู้จักกับรังสิมันตุ์ในงานเลี้ยงฉลองสมรสของวีกิจกับปรัชญา  เจ้าของเครือธุรกิจดังในจังหวัด  เนื่องจากบ้านเขาเป็นญาติในสายรวีวารของวีกิจ  ส่วนรังสิมันตุ์เป็นญาติสายภัทรกานท์ของปรัชญา
ในตอนนั้นบวรรู้สึกแค่เพียงว่ารังสิมันตุ์เป็นคนที่น่าสนใจ  เพราะอีกฝ่ายดูเงียบขรึม  หล่อ  เท่ห์  ผู้หญิงส่วนใหญ่แทบจะวิ่งแย่งตะครุบเลยด้วยซ้ำ  แต่เมื่อได้เข้าไปรู้จักตัวตนบางส่วนเขาก็ได้รู้เพิ่มเติมว่า  รังสิมันตุ์เป็นคนน่าหลงใหล  อีกฝ่ายมีสายตาที่ดูร้อนแรงและดุดัน  เหมือนพร้อมเสมอในการแผดเผาทำลายคนรอบข้าง  อาจจะยกเว้นเขาที่อีกฝ่ายมักจะแพ้ทางตลอด  บางทีเขาก็คิดว่ารังสิมันตุ์ก็คงจะเหมือนกับพวกภัทรกานท์คนอื่น ๆ ที่ดูดึงดูดและน่าหลงใหลไม่ต่างกันเลย

ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่เขาเข้าไปใกล้ชิดรังสิมันตุ์  อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกหวาดกลัวออกมาจนเขาสัมผัสได้  ทำให้ไม่แน่ใจนักว่าความจริงแล้วรังสิมันตุ์สร้างเกราะความเข้มแข็งนั้นขึ้นมาครอบคลุมความอ่อนแอภายในจิตใจเอาไว้หรือเปล่า  นั่นทำให้เขาต้องตามพิสูจน์มาเรื่อย ๆ และรู้ในที่สุดว่าตัวเขาเองคิดถูก…รังสิมันตุ์มักจะหวาดกลัวสิ่งแวดล้อมรอบตัวเสมอ

"พอยท์…"  เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงปกติ  ขณะที่คนถูกเรียกสะดุ้งรุนแรงก่อนหันมามองคนที่เดินตามเข้ามา 
รังสิมันตุ์หันไปคุยโทรศัพท์เพื่อตัดการสนทนาก่อนจะหันมาหาบวรอีกครั้ง  ดวงตาคมเฉียบมองสบกับอีกคู่ที่ดูจะคมยิ่งกว่าแม้จะเห็นเพียงเสี้ยวเดียว  ทำให้ต้องเบือนหน้าหลบไป  แต่สุดท้ายก็หันกลับมาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจเต็มที่

"ผมเป็นรุ่นพี่คุณถึงหกปี  คุณเข้าเรียนที่เอกศาสตร์ไม่ทันผมด้วยซ้ำไป  คุณไม่ควรจะเรียกชื่อผมห้วน ๆ แบบนั้นนะครับ  มันไม่สุภาพ"  รังสิมันตุ์เอ่ยเตือนและสั่งสอนบวรอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุด

บวรยิ้มเจ้าเล่ห์ในแบบของเขาเมื่อเห็นว่ารังสิมันตุ์ยังคงเป็นคนที่ความรู้สึกช้าเหมือนเคย  ดวงตาคมฉายประกายที่รังสิมันตุ์ต้องเบือนหน้าหลบอย่างหวั่นเกรงโดยไม่เคยรู้สาเหตุ…ว่าทำไมเขาจะต้องกลัวแววตานั้นด้วย

"ถ้าเป็นคนปกติทั่วไป  เป็นลูกค้าหรือผู้ร่วมธุรกิจ  บอสก็ไม่พูดแบบนั้นด้วยอยู่แล้ว"  คนพูดดูเหมือนจะพูดถึงอนาคตอันแสนไกลมากกว่า  จนคนฟังไม่เห็นถึงความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่เขาพูดไปสักนิด "แต่กับพอยท์น่ะต่อให้ต้องทำธุรกิจร่วมกัน  บอสก็เรียกคุณรังสิมันตุ์ไม่ได้หรอก  เพราะยังไงคนรักมันก็ต้องเป็นคนรัก" 

รังสิมันตุ์หันขวับมามองหน้าบวรที่ยิ้มระรื่นพออกพอใจคำพูดตัวเอง  แล้วเริ่มจะโมโห  "ใครรักใครไม่ทราบ  คุณคงเข้าใจอะไรไปเองตามเคยสินะ"

"แน่ะ…ทำตัวไม่เคยน่ารักเลยนะ  ไม่เอา ๆ เดี๋ยวบอสไม่รักแล้วจะมานั่งร้องไห้เปล่า ๆ"  บวรพูดไปหัวเราะไป  เมื่อเห็นว่าคนฟังกำมือแน่นทั้งสองมือก็ยิ่งพอใจเข้าไปใหญ่

"ดูสิ…หน้าแดงเลยนะพูดแค่นี้"  ไม่ใช่บวรจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธ  แต่เขาก็กำลังสนุกจนหยุดไม่อยู่เหมือนกัน
รังสิมันตุ์ที่พูดอะไรไม่ออกพยายามสะกดกั้นอารมณ์อย่างที่สุด  เสียงหายใจเข้าออกยาว ๆ ที่ทำให้บวรยิ้มขบขันทำให้เขายิ่งอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมามากกว่าเก็บมันเอาไว้  แต่ความไม่กล้าก็ทำให้ต้องนิ่งเงียบเอาไว้  คิดโกรธตัวเองในใจว่าทำไมจะต้องไปกลัวคน ๆ นี้ด้วย

ห้วงอารมณ์ที่ไม่ปกติทำให้แทบไม่รู้ตัว เมื่อมือหนึ่งถูกคนที่กำลังโกรธจับขึ้นมาดู  มือบางพยายามสลัดออกจากการถูกเกาะกุม  แต่อีกคนกลับจับข้อมือเอาไว้แน่นกว่าเดิมจนเริ่มรู้สึกว่าเจ็บ  จึงได้หยุดอาการดึงมือตัวเองออกมา  เพราะไม่ชินกับความเจ็บปวดเล็กน้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

"กำมือทำไมกันล่ะพอยท์"  น้ำเสียงเหมือนดุเอ่ยถาม  ก่อนใช้นิ้วตัวเองเกลี่ยไปตามนิ้วต่าง ๆ ให้คลายออก  แล้วก็ดูเหมือนอีกคนจะคลายออกอย่างว่าง่าย…เพราะขัดใจไปผลก็เป็นศูนย์อยู่ดี

"มานานแล้ว  ไม่กลัวเด็กตัวเองหายเหรอ"  เจ้าของมือที่หาอิสระไม่ได้เอ่ยถามขึ้นมาอย่างรำคาญเต็มที  "มีคนจ้องเขมือบอยู่เยอะนะแถวนั้น"

"ช่างเถอะ  เจ้าของตัวจริงก็นั่งอยู่ด้วยนี่  ไม่เห็นเหรอก็เดินเข้ามาด้วยกัน"  บวรแสร้งถามกลับอย่างไม่สนใจ  และไม่ทันได้เห็นดวงหน้าคมลอบยิ้มชั่วครู่

"บอสทานอะไรรึยัง"  รังสิมันตุ์เอ่ยถามเสียงนุ่มผิดกับที่ผ่านมาลิบลับทำให้บวรต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย  "วันนี้มาหาอะไรทานไม่ใช่เหรอ  คงไม่ได้มาเที่ยวหรอกมั้ง"

คนฟังพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม  "หิวเหมือนกันแหละ  แต่พอยท์ไม่ทานบอสก็ว่าจะไม่ทานเหมือนกัน"  บวรพูดเอาใจอีกคนเต็มที่
"กินข้างนอกนั่นเหรอ  พอยท์ไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับเด็กนอกคอกนั่น"  รังสิมันตุ์สีหน้าอาฆาตขึ้นมาเมื่อพูดถึงใครอีกคนที่อยู่ข้างนอก

บวรขมวดคิ้วแล้วถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย  "พอยท์  น้องเพรย์น่ะเป็นเด็กดีแล้วก็น่าสงสารด้วยนะ  ถ้ารังเกียจที่น้องเค้าเป็นลูกคนใช้ในบ้าน  ก็ไม่น่าจะทำถึงขนาดนี้นี่"  คนพูดเดาเหตุการณ์ไปเรื่อย  แต่ดูเหมือนจะผิดถนัดเมื่ออีกคนกระชากมือออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างรวดเร็ว

ดวงตาคมปรากฏแววตัดพ้อน้อยใจ  ก่อนจะเริ่มอาละวาดอย่างทนไม่ไหว  "บอสรู้อะไรเล่า  แม่เด็กนั่นไม่ได้เป็นคนใช้หรอก  เฮอะ…เป็นแม่ม่ายเนื้อหอมล่ะไม่ว่า  หลอกคุณพ่อให้จดทะเบียนด้วย  สุดท้ายก็ขอหย่าเพราะหวังทรัพย์สมบัติ  ทิ้งเด็กนั่นเอาไว้ที่บ้านไม่ใยดีทั้ง ๆ ที่เป็นลูกชายแท้ ๆ ถ้าเด็กนั่นไม่มีทรัพย์สมบัติของยาย  จะอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้  เพราะคุณพ่อเคยสนใจที่ไหน"

บวรตาลุกวาวเมื่อได้ยินเรื่องเล่า  เขารู้แล้วว่าทำไมรัตติกาลถึงอยากออกมาจากบ้านหลังนั้น  คับที่น่ะอยู่ได้  แต่คับใจให้ตายก็คงไม่คิดจะอยู่  "แล้วพอยท์ก็งี่เง่าไปอีกคน  เด็กถูกทิ้งไม่มีใคร  พอยท์ก็เลยร่วมจงเกลียดจงชังไปด้วย  อ๋อ…เพรย์กับแม่เค้าสุมหัวกันงั้นเหรอ  คิดรึเปล่าว่าเพรย์เค้าไม่ได้มีส่วนร่วมกับแม่เค้า  เงินที่แม่เค้าเอาไปเพรย์ได้ด้วยหรือไง  ถ้าเค้าได้เค้ายังจะต้องอยู่ในบ้านที่ไม่มีความรักแบบนั้นเหรอ  ดี…อยากอยู่แบบไม่มีใครก็ช่าง  ไร้ความคิดแบบนี้บอสไม่อยากจะสนใจแล้ว  เชิญอยู่ไปคนเดียวเถอะ  เชิญไร้หัวใจไปจนเหี่ยวแห้งตายนั่นแหละดี"

ร่างสูงโปร่งสั่นสะท้านกับคำพูดช้าชัดของบวร  มือที่กำแน่นอีกครั้งเมื่อยามมองตามอีกคนที่เดินกลับออกไป  ขอบตาร้อนผ่าวยากสะกัดกั้นหยดน้ำใส ๆ ไม่มีเวลาแม้จะมาคิดทบทวนว่าสิ่งใดมันผิดหรือสิ่งใดถูกต้อง  แม้แต่ความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ที่เคยมีอยู่ในสมองก็อันตรธานหายไปจนสิ้น

"บอส…บอส"  เสียงตะโกนเรียกดังลั่น  ทำให้บวรต้องหันกลับมา

สายตาเย็นชาที่ทอดมองคนเรียกเปลี่ยนไปในทันที  เมื่อมองเห็นหยดน้ำใสไหลลงมาเป็นทางเปรอะเปื้อนแก้มขาวนวล  ทำให้บวรต้องรีบถลาเข้าไปหาคนที่เขาคิดว่าไม่น่าจะกล้าแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ออกมาให้ได้เห็น  มือใหญ่ยกขึ้นปาดคราบน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว  แต่แทบจะกลายเป็นข่วนแก้มนวลนั้นให้ช้ำ  เพราะแรงที่โถมเข้าใส่

"พอยท์…พอยท์ครับ"  เอ่ยเรียกเบา ๆ เป็นการปลอบใจที่ข้างหูอีกคน  ดวงหน้าที่มีรอยยิ้มพรายปัดปลายจมูกไล้แก้มนวลอย่างรักใคร่  แต่เสียงสะอื้นก็ไม่ลดลงแม้แต่น้อย  "ทำไมจะต้องร้องไห้เล่า…ฮื้อ  ยี่สิบสามแล้วนะ  บอสแค่อยากให้คิดดูว่าที่ทำน่ะมันถูกแล้วเหรอ"

ดวงหน้าที่ซบอยู่กับอกส่ายไปมา  ก่อนเงยขึ้นมองคนพูดอย่างตัดพ้อ  "บอส…บอกว่าจะไม่สนใจแล้ว"  น้ำเสียงสั่นแย้งจนคนฟังต้องเงียบไป…เพราะจริงอย่างว่า

"แล้วจะกลัวถูกทิ้งทำไมเล่า  ก็เคยสนใจบอสที่ไหน  มาดเย่อหยิ่งหายไปไหนหมดล่ะวันนี้  แค่น้องเพรย์มา  ทำให้หวั่นไหวได้ขนาดนี้เชียวเหรอ…ขี้หึงชะมัด"

"ใครหึง"  เสียงอู้อี้เอ่ยถามอย่างไม่ยอมแพ้  ทำให้อีกคนส่ายหน้าอย่างระอาที่ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรับความจริง
"งั้นก็ไม่ต้องง้อ…"  ไม่พูดเปล่าบวรแกะมือที่เกาะอยู่ออกอย่างไม่สนใจ  แต่มือที่กลายเป็นเท้าตุ๊กแกกลับไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ แบบยอมทิ้งมาดเดิม ๆ เสียสิ้น

"หึงสิ…หึง"  รังสิมันตุ์เริ่มรับคำอย่างว่าง่าย  ดวงหน้าคมยามขึ้นสีแดงเรื่อดูหวานไม่น้อยกว่าน้องชาย  เงยสบตากับบวรจนอีกฝ่ายชะงักไป  ไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยอีกคนออกห่างตัว  เพราะหากไม่กลับมาหา  เขาคงจะเสียใจไปจนตาย

"ไปทานข้าวกันดีกว่า…นะ"  บวรเอ่ยชวนโดยที่อีกคนรีบพยักหน้ารับ  มือใหญ่ที่ดูเกะกะจึงยกขึ้นเกลี่ยตามขอบตาเบา ๆ เพื่อซับรอยน้ำให้หมดไป  คิดว่าช่างโชคดีนักที่ด้านในค่อนข้างจะมีเพียงแสงสลัว  ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องแปลงร่างเป็นปีศาจเพื่อกันสายตากรุ้มกริ่มที่อาจจะหันมามองคนของเขาก็เป็นได้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:30:21 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน 4
«ตอบ #98 เมื่อ29-12-2013 21:06:04 »

ต่อจากด้านบน



มือเย็นที่คาดว่าจะเป็นอาหารไทยเต็มโต๊ะกลับมีเพียงพิซซ่าถาดใหญ่สามถาด  ซึ่งเปลี่ยนไปตามความต้องการของเหมันต์ที่คิดถึงอาหารจานด่วนแบบนี้ขึ้นมา  รัตติกาลใช้มีดกับส้อมเขี่ยพิซซ่าหน้าต้มยำกุ้งอย่างเกรงใจอีกคนที่ยอมมาร่วมโต๊ะด้วย  แต่ก็ดูเหมือนจะอิ่มก่อนใคร ๆ เมื่อเหมันต์ที่นั่งข้าง ๆ ไม่ลืมที่จะจิ้มพิซซ่ามาป้อนให้เขาอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด  จนเขาต้องเป็นฝ่ายปฏิเสธในที่สุด

   รังสิมันตุ์เหลือบมองเหมันต์ที่ดูจะเอาอกเอาใจน้องชายต่างมารดาแล้วอดคิดไม่ได้  เขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนรู้จักกันมานานแค่ไหน  แต่ท่าทางที่เหมือนกับแม่กับลูกสาวนั้นทำให้ต้องหวนกลับมานึกถึงตนเอง  พี่ชายแท้ ๆ ที่ไม่เคยคิดจะใส่ใจหรือให้ความสงสารเด็กขาดอบอุ่นคนนั้น  แล้วมันจะผิดแค่ไหนกันถ้าเทียบกับความเจ็บช้ำที่เขาและพ่อจะต้องได้รับจากผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่า 'แม่' ของเด็กหนุ่มคนนี้  นึกมาถึงตรงนี้ทำให้อดคิดถึงคำพูดของคนใกล้ตัวอีกครั้งไม่ได้…แล้วเด็กคนนี้ผิดตรงไหนกัน

   "เพรย์…ทำไมถึงพูดไม่ได้"  รังสิมันตุ์เอ่ยถามน้องชายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบวรเคยบอกอะไรเอาไว้  "นานแค่ไหนแล้ว"

   คนที่นั่งก้มหน้ายกนิ้วขึ้นชูสองนิ้วแทนคำตอบ  ก่อนยกมือไหว้พี่ชายเป็นการขอโทษที่แสดงกิริยาไม่ดีออกไป  แต่เขาเองก็จนใจจะตอบคำถามนั้นด้วยคำพูดนอบน้อม  และบางคำถามก็เป็นคำถามที่ไม่อยากตอบเลยจริง ๆ

    "สองปีหรือสองเดือน"  รังสิมันตุ์ที่ขมวดคิ้วจนยุ่งเอ่ยถามอีกครั้ง  แต่เท่าที่คาดเดาเหตุการณ์เอาเองมันน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า  "สองปีเหรอ  ตั้งแต่ที่เงียบไม่ตอบคำถามคุณพ่อใช่มั้ย  พยักหน้าเอาก็ได้ยังไงก็พูดไม่ได้นี่"

   ดวงหน้าหวานเงยสบตาพี่ชายแล้วพยักหน้ารับ  งุนงงไม่น้อยที่อีกฝ่ายยอมอนุโลมให้เขาแสดงกิริยาไม่ดีต่อหน้าได้  แต่เมื่อเห็นดวงหน้าคมหันไปอ้าปากรับพิซซ่าจากคนข้าง ๆ ที่ป้อนเข้ามาก็พอจะเข้าใจ  ดูเหมือนพี่ชายเขาจะมีความสุขกับรอยยิ้มของรุ่นพี่บวรนั่นจนทำได้ทุกอย่างทีเดียว…ความรักสินะ  อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าพี่ชายก็รู้จักความรักเหมือนกัน

   รังสิมันตุ์เคี้ยวพิซซ่าช้า ๆ จนหมด  แล้วเอ่ยถามต่อ  "แล้วเราไปอยู่ที่ไหน  ไม่ได้ไปเร่ขายตัวแบบที่คุณพ่อเข้าใจใช่มั้ย"
   "เฮ้ย…"  เสียงร้องดังประสานกันทำให้คนถามหน้าเสีย  หันไปมองคนใกล้ ๆ ที่หน้าหงิกงออย่างไม่พอใจ  ทำให้เขาเกิดอยากเอาหัวชนฝาขึ้นมา

   "ไร้สาระน่าพอยท์  เพรย์ก็ไปอยู่กับบอสไงครับ  ไปกับเรดนั่นแหละสองคนนี้เค้าติดกันเหมือนปาท่องโก๋สามชิ้นกับไอ้กรีนอีกคน"  บวรตอบแทนคนที่นั่งก้มหน้าซึม ๆ อย่างนึกสงสาร  "พ่อคุณเข้าใจผิดมั้ง"

   "ก็เค้าไม่เคยบอก  คุณพ่อถามเลยไม่ได้คำตอบทีนี้ก็เลยนึกว่าใช่  เลยโกรธจนความดันขึ้น  โรคหัวใจกำเริบ  พอยท์ก็เลยยิ่งโกรธ"  รังสิมันตุ์สารภาพทำให้ทุกคนอดเห็นใจเขาไม่ได้  แล้วรัตติกาลก็ยิ่งเงียบไปกันใหญ่

   "เฮ้อ…เพรย์เอ๊ย…"  เหมันต์โอบคนข้าง ๆ เข้ามาใกล้  มือบางลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ อย่างปลอบใจ  รู้ว่าอีกคนเจ็บปวดมากแค่ไหน…แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี  "คุณพ่อก็ห่วงนี่เนาะเพรย์เนาะ"

   ประโยคหลังทำให้คนฟังเงยหน้าขึ้นมา  จ้องเหมันต์ตาโตอย่างคาดคั้น  คิมหันต์ที่อยู่อีกด้านปัดลูบผมที่ตกลงมาระรานดวงหน้าหวานออกให้แล้วยิ้มอ่อนโยน  "พี่เค้าก็ไม่ได้โกรธมากมาย  ทุกคนเค้าก็ห่วงอยู่นี่ไง  ถึงได้ถามน่ะเพรย์"

   ดวงหน้าหวานหันไปมองพี่ชายที่ทำหน้าไม่ถูก  แต่ก็ยังอุตส่าห์พยักหน้าให้เป็นการยอมรับ  ดวงตาหวานจึงคลอน้ำขึ้นมา  น้ำที่ท่วมล้นขอบตาทำให้ต้องเสก้มลงมองสองมือที่บีบกันแน่น  น้ำตาจึงหยดรินเป็นทางให้คนข้าง ๆ สองคนต้องเกลี่ยออกให้เบา ๆ อย่างปลอบใจ  ก่อนที่เหมันต์จะยอมให้พี่ชายดึงเด็กหนุ่มไปกอดเอาไว้แล้วโยกตัวไปมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

   "เพรย์…เด็กดี"  ปลอบเบา ๆ ที่ข้างหูให้อีกฝ่ายได้ยินเพียงคนเดียว  ทั้งที่ตัวยังขยับไปมาไม่หยุด  "ฮื่อฮื่อฮือฮือฮือ  ฮือฮือฮื่อฮือฮื่อฮื้อฮื่อฮื่อ ฮือฮือฮื้อฮือฮือฮื้อฮื๊อฮือฮื่อฮือฮื๊อ  ฮื้อฮื้อฮือ…"  เสียงฮัมเพลงเบา ๆ ดังก้องไปถึงหัวใจคนฟัง  อีกคนอาจจะจำท่วงทำนองได้…แต่คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือเพลงอะไร  แต่อย่างน้อยเพลงนี้ก็เป็นอีกความทรงจำดี ๆ ที่เขายังคงจำได้เสมอ

   "คืนนี้ไปค้างด้วยกันดีกว่านะกรีน"  บวรเอ่ยชวนเพื่อนที่ยังคงฮัมเพลงอยู่  ทำให้เสียงเพลงนั้นเงียบไป  คิมหันต์พยักหน้าตอบตกลงแล้วหันไปให้ความสนใจกับคนในอ้อมกอดต่อ  บวรจึงหันไปหาคนใกล้ตัวเขาบ้าง 

"พอยท์ไปค้างบ้านบอสเนาะ"  เอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มสดใสทำเอาอีกคนไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวรอยยิ้มนั้นจะหายไป    "ดีล่ะงั้นเรดให้กรีนมันนอนด้วยแล้วกันนะ  เพราะว่ามันคงไม่อยากนอนคนเดียวแหง"

"ครับ  ไม่เป็นไรหรอกครับพี่บอส  เตียงใหญ่ขนาดนั้น"  เหมันต์ที่ยังไม่เลิกสนใจพิซซ่าตรงหน้ายิ้มรับไป  ทำให้บวรมองอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้  ว่ามันจะเห็นแก่กินอะไรปานนั้น

"เราสองคนมันตัวบางเองนี่  กินให้เยอะ ๆ หน่อยสิจะได้ตัวใหญ่ ๆ ไปอัดใครจนน่วมก็ได้ทั้งนั้น"  บวรพูดประชดพร้อมแยกเขี้ยวไปด้วยเมื่อนึกถึงใครบางคนเข้า  "เสียดายว่ะ  หน้าตาก็ดีแต่ทำตัวห่วยแตก"

"อือ…เดี๋ยวเค้าก็หมั้นกับพี่ฟ้าแล้วนี่"  เหมันต์ที่ดูเหมือนจะรับกับทุกเรื่องได้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม  "พี่ฟ้าก็น่ารักนะครับ"
"เออ…แต่ฟ้ามันตาบอดเนาะกรีน"  บวรหันไปหาเสียงสนับสนุน

คิมหันต์ขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย  "บลูมันน่ารักนะ  ฟ้าน่ะโชคดีแล้วเนาะเรด"  ตอนหลังหันไปพยักเพยิดกับน้องชายที่ยิ้มรับอย่างเห็นด้วยสุดขีด

บวรได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับพี่น้องบ้านนี้  ที่ดีแต่เข้าข้างคนที่ทำร้ายตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา  เขาอยากจะรู้นักว่านอกจากวีรกรรมที่เคยช่วยคนตรงหน้าให้รอดตายเพียงครั้งเดียวนั่น  ยังมีอะไรอีกที่ทำให้พี่น้องสองคนนี้คิดว่าไอ้เด็กตาขวางนั่นเป็นคนดี…หรือแค่มันหน้าตาดีทั้งเท่ห์ทั้งหวานกัน…ก็พี่น้องสองคนนี้น่ะชอบคนที่หน้าตาก่อนอื่นใดอยู่แล้ว

++++++++++++++++++++++++

   โคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงส่องแสงสีส้มสลัว  แต่คนบนเตียงก็ยังคงอ่านหนังสือในมือไม่เลิก  จนกระทั่งเสียงบานประตูเปิดออก  หนังสือจึงถูกวางเอาไว้บนโต๊ะนั้นท่อนแขนแกร่งยื่นออกรองรับเรือนร่างที่เดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ ดวงตาคมจับจ้องเรือนร่างบางในชุดนอนตัวใหญ่ของเขาแล้วอดยิ้มกับเสน่ห์ที่ฉายชัดออกมาไม่ได้  ปลายผมเปียกที่ระต้นคอทำให้ต้องดึงผ้าขนหนูขึ้นซับให้  กลุ่มเส้นผมเผยออกให้เห็นต้นคอขาวจึงอดไม่ได้ที่จะประทับริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบา  หากก็เรียกแรงสะดุ้งได้เล็กน้อย

   "โทรบอกคุณพ่อรึยัง"  บวรเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้  ก่อนเอื้อมสองแขนโอบรอบเอวบางทำให้รู้สึกถึงเรือนร่างที่บอบบางมากกว่าที่คิด  แรงพยักหน้ารับกับคำถาม  ทำให้ต้องพูดต่อในอีกเรื่องที่คาใจ  "พอยท์ไม่เล่นกีฬาอะไรสักหน่อยเหรอ  ผอมมากนะถ้าไม่สูงคงจะเหมือนน้องเพรย์ล่ะมั้ง"

   "ไม่เอา…"  เสียงปฏิเสธอ่อย ๆ เด็กกว่าอายุทำให้บวรยื่นหน้าไปหอมแก้มนุ่มอย่างเอ็นดู  คนที่จะพูดต่อก็เลยต้องเงียบไปเพราะมัวแต่เขิน

   "ทำไมล่ะครับ"  บวรต้องเอ่ยถามด้วยความสังสัยและสนใจ  "พอยท์ไม่มีแรงเลยนะรู้มั้ยเนี่ย  ต้องออกกำลังกายบ้าง"

   "เมื่อตอนประถมพอยท์เล่นวอลเล่ย์บอลบนสนามปูน  หกล้มเข่าแตกเลือดสาดเลย  ก็เลยเกลียดการเล่นกีฬาสุด ๆ ยังไงก็ไม่เล่น  พอยท์ว่ายน้ำได้นะ…แต่ไม่ค่อยชอบเพราะเหนื่อย"  เป็นคำตอบที่เรียกเสียงถอนหายใจจากบวรได้หลายครั้งทีเดียว

   "ไม่อยากจะเชื่อว่าจะห่างกันหกปีนะพวกเรา"  บวรถอนหายใจอีกครั้ง  จนดูเหมือนคนข้าง ๆ จะกังวลในคำพูดของเขา  จากดวงหน้าที่ก้มลงต่ำกว่าปกติ  "บอสไม่แคร์เรื่องนั้นหรอกครับ  ที่ว่าเด็กเนี่ย…นิสัยต่างหาก  พอถอดออกมาจากเกราะเนี่ย  ไม่ได้โตเลยนะ  อย่ายึดติดกับโลกภายในมากนักสิครับ…ฮื้อ"

   "ไม่ชอบเหรอครับ"  รังสิมันตุ์ทำใจกล้าเอ่ยถามตรง ๆ

   "เปล่า…ชอบมาก  แต่ไม่อยากให้ถูกใครหลอก"  บวรตอบด้วยรอยยิ้ม  ก่อนดึงเรือนร่างบอบบางให้พิงซบกับอก  "เป็นห่วง…มากถึงมากที่สุด"

   "พอยท์ไม่เป็นแบบนี้กับคนอื่นหรอกน่า  พอยท์ไม่เคยกลัวใคร…ยกเว้นบอส"  เป็นคำตอบตรง ๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะจากบวรได้ไม่ยากนัก  รู้ดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้กลัวเขานักหนา…คงเพราะท่าทีรุกราน  เอาแต่ได้จนอีกฝ่ายไม่กล้าแม้จะเข้ามาใกล้  แต่นิสัยเขาก็เจ้าเล่ห์มาตั้งนานจนแก้ไม่หายเสียด้วย

   "นอนดีกว่าพรุ่งนี้บอสคงต้องเข้าเรียน…ขาดมาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว"  บวรพูดจบก็ประคองคนในอ้อมอกลงนอน  ก่อนที่ตัวเขาจะนอนลงใกล้ ๆ แล้วกอดอีกฝ่ายเอาไว้  ไม่ลืมจะเอื้อมมือดึงลากผ้าห่มขนสัตว์ผืนโตขึ้นมาคลุมห่อหุ้มพวกเขาเพื่อสร้างความอบอุ่นในยามค่ำคืน

   "บอสยังขาดได้อีกตั้งสามเดือน"  อีกคนเอ่ยบอกทั้งที่ยังลืมตาแป๋ว  ทำให้บวรเพิ่งสังเกตว่าตาของรังสิมันตุ์นั้นโตไม่ต่างจากน้องชายเลย

   "แล้วจะให้บอสขาดแบบนั้นจริงง่ะ"  บวรลุกขึ้นมาถามด้วยรอยยิ้มก่อนก้มลงประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มเบา ๆ จนรังสิมันตุ์ตาโตด้วยความตกใจ…เพราะไม่เคยมาก่อน  "ถ้าตื่นสายบอสก็จะนอนเป็นเพื่อน…หลับตาซะ  แล้วหลับเลย"  กระซิบบอกเบา ๆ ให้อีกคนได้ทำตามแล้วจึงนอนลงข้าง ๆ แล้วยื่นแขนโอบกอดคนรักเอาไว้อีกครั้ง

   ดวงตาคมจับจ้องดวงหน้าที่หลับตาพริ้มสนิทด้วยรอยยิ้ม  ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ กับความรักที่ได้มา  หากคนสองคนรักกันอุปสรรคมากมายแค่ไหน  พวกเขาก็คงจะผ่านไปได้อย่างแน่นอน  ความรักไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยสำหรับบวร  มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องง่ายมากกว่า  เพราะเขาพร้อมเสมอที่จะประกาศความรักของเขาให้อีกฝ่ายได้รับรู้  ไม่เคยคิดสักครั้งที่จะเก็บรักนั้นเอาไว้ในใจ  กลัวว่าเสียใจในภายหน้าหากไม่ได้บอกอีกคนไป  ว่า…รักมากแค่ไหน

   รอยยิ้มหายไปเมื่อนึกห่วงกังวลถึงใครหลายคน  พวกที่ไม่รู้จักเปิดเผยความนัยที่ตนเองมีอยู่…ให้กับอีกคนได้รับรู้  คนที่ชอบเก็บเหตุผลและความจริงบางอย่างเอาไว้ข้างใน  อีกนานเท่าไรกัน  กว่าความรักหรือความจริงนั้นจะปรากฏออกมา  อีกคนจะได้รับรู้ในวันที่สายไปหรือเปล่า  หากมีความรักที่จะตอบแทนกลับมาเล่า  ถึงวันนั้นแล้วจะยังมีโอกาสได้สมหวังกันอยู่หรือเปล่า  เปลือกตาบางปิดทับดวงตาเล็ก ๆ อย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมพวกนั้นถึงทนเงียบอยู่ได้  ทำไมถึงไม่บอกออกไป  ว่า…รักมากแค่ไหน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:30:49 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน 5
«ตอบ #99 เมื่อ29-12-2013 21:09:36 »

พลังอธิษฐาน 5



   ยามเช้าที่อากาศสดใสเป็นใจให้กับฤดูร้อน  แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ทอสาดลงมาผ่านผ้าม่านเข้าไปยังห้องแห่งหนึ่ง  ดวงตาโตค่อย ๆ โผล่พ้นเปลือกตาบางอย่างงัวเงียด้วยรำคาญต่อแสงนั้นที่รบกวนเวลานอนอันมีค่า  แต่เมื่อเห็นว่าเช้าแล้วเรือนร่างบอบบางก็ตัดใจจะลุกขึ้น  หากไม่ติดน้ำหนักบางอย่างที่วางพาดอยู่กับตัว  หนักจนสะกัดกั้นทุกอิริยาบท

   ดวงหน้าหวานหันพรึบไปข้างกายอย่างไม่ตั้งใจนัก  อาจเป็นตามสัญชาตญาณมากกว่าริมฝีปากอิ่มจึงชนเข้ากับริมฝีปากของคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ อย่างพอเหมาะพอดี  ใบหน้าเทพบุตรที่ทอดมองเขาอยู่ยิ้มระรื่นพอใจ  ด้วยไม่นึกว่าจะมีการจุมพิตอรุณสวัสดิ์จากเจ้าหญิงนิทรายามเมื่อฟื้นคืน

   "ขอบใจนะเพรย์  สำหรับจูบอรุณสวัสดิ์เมื่อครู่"  คิมหันต์พูดด้วยรอยยิ้ม  ก่อนดึงเอาคนใกล้ ๆ ที่กำลังหน้างอเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยง  คนที่พูดไม่ได้ก็ต้องดินขลุกขลักไปมาอย่างอึดอัด  กระทั่งวีรบุรุษตัวจริงตามมาช่วยเอาไว้ทัน

   "ไอ้พี่กรีนโว้ย  ปล่อยน้องเลยนะ  เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี"  เหมันต์ที่เดินออกมาจากห้องน้ำตะโกนบอกพี่ชาย  เรือนกายที่คาดผ้าขนหนูเพียงผืนเดียว  ทำให้คิมหันต์กระโจนลุกขึ้นมาอย่างตกใจ

   "เรด  ให้มันมิดชิดหน่อยได้มั้ยวะ  เดี๋ยวนายก็เคยตัวหรอก  ดูดิรอยกลีบกุหลาบเต็มตัวแบบนั้น…ไม่รู้จักอาย"  คนเจ้าสังเกตเอ่ยบอก  เมื่อมองเห็นรอยสีแดงจาง ๆ เต็มตัวน้องชาย

   เหมันต์ก้มมองไล่ไปตามเรือนร่างตัวเองแล้วยิ้มออกมา  นิ้วเรียวไล่เกลี่ยร่องรอยที่ปรากฏก่อนหันหน้าสู่กระจกบานใหญ่เพื่อจดจ้องตามรอยเหล่านั้นด้วยความชื่นชม  แบบไม่สนใจสายตาของคนอีกสองคนที่มองตามจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีกุหลาบนั้นเสียเอง  คิมหันต์ส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดกับความกล้าบ้าบิ่นของน้องชาย  ก่อนตัดสินใจลุกเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ  ทิ้งอีกคนให้ประสบชะตากรรมนั่งเขินอายตามลำพัง

   เหมันต์มองตามพี่ชายที่แวบหายเข้าห้องน้ำไป  ก่อนรีบถลาเข้ามาหารัตติกาลอย่างเร็ว  "เพรย์มันชัดมากมั้ย"  เอ่ยถามระรัว  และยิ้มออกมาเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ

   "ดี…"  เหมันต์ตอบรับอย่างพอใจ  เอียงหน้ากระซิบคำพูดบางอย่างกับรัตติกาล  จนดวงตาของอีกฝ่ายยิ่งโตกว่าเดิม  แล้วยังเกือบจะทะลุทะลวงออกมาอยู่ข้างนอก 

"เอาน่า…ดีกว่าอยู่เบื่อ ๆ"  เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนละจากอีกคน ลุกขึ้นไปแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยรอยยิ้มพราย

++++++++++++++++++++++++

   ห้องประธานสภานักเรียนในวันนี้มีการกระจายข่าวของบวร  ว่าเหมันต์และรัตติกาลจะเข้าเรียน  ทำให้สมาชิกสภานักเรียนคนอื่น ๆ ตัดสินใจเข้าเรียนด้วย  คิมหันต์และวสันต์จึงนั่งทำหน้าเบื่อโลกเพราะความขี้เกียจเป็นเหตุ  และไม่ว่าจะบ่นอุบอิบไปสักแค่ไหนอีกสองคนก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจอยู่ดี

"ทำไมต้องเข้าเรียนวันนี้ด้วยนะ"  คิมหันต์ถามเซ็ง ๆ  "ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะสนใจเข้าเรียนกันเลย  วันนี้มันวันอะไรวะถึงมีแต่คนจะเข้าเรียน"  บ่นอย่างอดไม่ได้เมื่อตนเองไม่อยากจะทำตัวเป็นคนส่วนน้อย  นั่งเซ็งอยู่ในห้องเพียงลำพัง

   "นั่นสิ  วันนี้มันวันอะไร  ใคร ๆ ก็จะเข้าเรียน  ยังเหลือเกือบสี่เดือนไม่ใช่เหรอ"  วสันต์เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง  หลังนั่งอ้าปากรับขนมนมเนยจากเหล่านักเรียนหญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จนอิ่มท้อง

   "ก็รีบเรียน  จะได้เอาเวลาช่วงหลังมานั่งเล่นไง"  เหมันต์เอ่ยตอบเสียงเรียบขณะดูแฟ้มงานในส่วนของงานวิชาการไปด้วย  "ไม่ดีเหรอห้องเรียนพวกเราออกจะใกล้ห้องหกเอ"

   วสันต์เหลือบมองคนพูดแล้วแค่นยิ้มเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องของเขาแล้ว  ก่อนนั่งคิดตามคำพูดนั้นแล้วก็เห็นว่าดีเหมือนกัน 
การจัดห้องเรียนของเอกศาสตร์แตกต่างจากโรงเรียนอื่น  ที่ไม่ได้จัดห้องไล่ตามชั้นเรียน  แต่ไล่ตามลำดับห้อง  ดังนั้นห้องหกทับหนึ่ง  หรือหกเอ  จะอยู่ติดกับห้องห้าเอ  และสี่เอตามลำดับ  ก่อนจะเป็นห้องหกบี  ห้าบี  และสี่บี  ไล่กันไปเรื่อย ๆ จนถึงห้องสุดท้ายคือสี่โอ

   นอกจากวิธีการเรียงลำดับห้องแล้ว  เอกศาสตร์ยังมีความลำเอียงแบบแปลก ๆ  คือห้องเอถึงห้องอี  (อีกนัยหนึ่งคือห้องหนึ่งถึงห้องห้า)  จะสามารถเรียนนอกห้องหรือศึกษาด้วยตนเองได้เก้าสิบเปอร์เซนต์  ขณะที่ห้องเอฟถึงห้องเจ  มีสิทธิ์ทำได้เพียงหกสิบเปอร์เซนต์  และห้องเคถึงห้องโอจะมีโอกาสเพียงสามสิบเปอร์เซนต์เท่านั้น 

เรื่องที่บังคับจริง ๆ ก็คือนักเรียนทุกคนจะต้องมาโรงเรียนให้ครบแปดสิทธิ์เปอร์เซนต์จึงจะมีสิทธิ์สอบ  ส่วนจะสิงสถิตอยู่ที่ไหนในโรงเรียนนั้นตามแต่ใจต้องการ  โดยการควบคุมนักเรียนในส่วนนี้จะอาศัยการลงทะเบียนโดยคีย์การ์ด  (บัตรประจำตัวนักเรียน)  ที่ด้านหน้าอาคารสภานักเรียน  ข้อมูลดังกล่าวจะออนไลน์เข้าสู่ฐานข้อมูลส่วนกลาง   ซึ่งเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของสภานักเรียนฝ่ายการศึกษา  มีเหมันต์  รองประธานฝ่ายนี้เป็นผู้จัดการดูแลอยู่ 

คอมพิวเตอร์จะตัดรายชื่อนักเรียนที่ขาดเรียนเกินแปดสิบเปอร์เซนต์ออกแบบอัตโนมัติในทุก ๆ วันศุกร์  โดยเหมันต์ทำหน้าที่เพียงลงชื่อรับรองความถูกต้องเท่านั้น  ก่อนจะนำรายชื่อที่ถูกคัดออกมา  ป้อนเข้าสู่ระบบการพักการเรียนในภาคการศึกษาดังกล่าว  แล้วแจ้งเรื่องแก่ผู้ปกครองนักเรียนเหล่านั้นให้ทราบ  เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ภาคการศึกษาใหม่ในห้องโอของเอกศาสตร์  ซึ่งรายชื่อใดถูกตัดออกติดกันสองภาคการศึกษาจะถูกทางโรงเรียนเชิญออกในทันที

++++++++++++++++++++++++

   อาคารเรียนแผนกมัธยมปลายจะอยู่ทางด้านหลังของอาคารแผนกมัธยมต้น  ตัวอาคารทันสมัยรูปทรงสี่เหลี่ยมโค้งมนสูงสิบสองชั้น  เต็มไปด้วยห้องเรียนปกติ  และห้องเรียนแผนกต่าง ๆ อีกมากมาย  ตรงกลางอาคารถูกปล่อยโล่งมีการประดับตกแต่งด้วยน้ำตกสูงประมาณสิบสองชั้นตามความสูงอาคาร  เสียงน้ำที่ดังสะท้อนตลอดเวลา  ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนว่าอาคารเรียนถูกสร้างล้อมน้ำตกเอาไว้  มากกว่าจะคิดกันว่าน้ำตกถูกสร้างขึ้นในอาคาร

   บันไดเลื่อนคือสิ่งอำนวยความสะดวกแทนลิฟท์  ซึ่งมีไว้สำหรับอาจารย์และบางครั้งก็ใช้ขนส่งสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นแก่การเรียน  นักเรียนมากมายจะเดินผ่านเส้นทางเดินเป็นวงกลมของชั้นต่าง ๆ เข้าสู่ห้องเรียนของตน  ยิ่งอยู่ชั้นล่างเท่าไรนักเรียนก็จะยิ่งหนาตามากขึ้นเท่านั้น  เพราะชั้นบนเป็นห้องเรียนของพวกหัวกระทิ  ซึ่งไม่ค่อยจะเข้าเรียนกันนัก

   เหมันต์และรัตติกาลเดินนำคนอื่น ๆ ไปตามทางเดินบนชั้นสิบอย่างเบื่อ ๆ เมื่อคนข้างหลังผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี  ต้องคอยทักทายคนรอบข้างอยู่เสมอ ๆ  และส่วนใหญ่ผู้ที่ทักทายก็เป็นบรรดานักเรียนหญิง  ถ้ามีคำถามก็จะเป็นคำถามที่ว่า  'มาเรียนได้ด้วยเหรอ'  หรือ  "เทห์ไม่เปลี่ยนเลยนะ"

   "อ้าว…บลู  มาเรียนได้ด้วยเหรอ"  เสียงหวานใสทักขึ้น  จนวสันต์ต้องรีบหันไปยิ้มหวานให้คนถามอย่างดีใจ 

   "ฟ้า…" 

   ฟ้า  ทิฆัมพร  เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก  สวยใส  ฉลาด  นิสัยดีทำให้เป็นไอดอลอันดับต้น ๆ ของเอกศาสตร์และยิ่งโด่งดังมากขึ้นเมื่อข่าวที่ว่าเธอเป็นคนรักของวสันต์แพร่กระจายออกไป  คู่นี้จึงเป็นที่จับตามองของทุกคนในเวลานี้ด้วย
เส้นผมสีดำสนิทที่ยาวไปถึงเอวสะบัดน้อย ๆ เมื่อยามที่เดินเข้ามาหาวสันต์ทำให้คนรอบข้างอดชื่นชมในเสน่ห์นั้นไม่ได้  ผิวสีขาวอมชมพูดูมีน้ำมีนวล  กับดวงตาเรียวสวยรับกับจมูก แก้มยุ้ย  และริมฝีปากบางอย่างเข้ากันที่สุด  แต่คนที่ยืนอยู่ในกลุ่มของวสันต์ก็แอบเถียงไม่ได้ว่า…รัตติกาลยังดูเหนือกว่าเยอะ

   "ก็นะ  มาเรียนก็ดีแล้ว  ดีกว่าไปขลุกอยู่ห้องสภาฯ  กับกรีนล่ะ  ผู้หญิงก็เยอะ  รายนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องผลการเรียนด้วย  เป็นที่หนึ่งมาตั้งแต่มอต้นแล้วนี่"  ทิฆัมพรพูดด้วยรอยยิ้ม  แต่ประโยคหลังแอบเหน็บแนมเพื่อนร่วมห้องไปเรียบร้อย

   บวรหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นคิมหันต์ขมวดคิ้วแล้วบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว  วสันต์ฉวยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจล้วงมือเข้าไปในกางเกง  หยิบแหวนวงหนึ่งกำเอาไว้  แล้วดึงทิฆัมพรให้ออกห่างจากคนอื่น  ก่อนจะสวมแหวนนั้นลงไปที่นิ้วนางเรียวเล็กอย่างพอดี  ฝ่ายหญิงงุนงงและตกใจจนพูดอะไรไม่ออก  แต่พอรู้ตัวก็ยิ้มหวานออกมาอย่างเอียงอาย  เมื่อเห็นว่าทุกสายตาต่างก็จับจ้องอยู่ที่พวกตน…จึงเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน

   "ทำไมมันไม่โรแมนติคเลยวะ"  คิมหันต์บ่นขึ้นมาเมื่อเห็นเรื่องง่าย ๆ ตรงหน้า  "บลูเอ๊ยบลูรักใครก็ให้แต่แหวนหรือไงวะ"
   วสันต์กับทิฆัมพรหันมองคิมหันต์ด้วยสายตางุนงงกับคำพูดของเขา  ลักษณะการพูดที่เหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกนั้น  ทำให้วสันต์ขมวดคิ้วจนยุ่งไปหมด  "ทำไมเหรอ…"  เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก

   "บลูเค้าคิดว่าแหวนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและผูกมัดคนรักเอาไว้ได้น่ะพี่กรีน  เลยนึกถึงแหวนในฐานะสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับความรัก"  เหมันต์พูดขึ้นมาลอย ๆ จงใจบอกพี่ชายอยู่เหมือนกันเสียงถึงได้ดังกว่าปกติทำให้คนอื่นได้ยินกันหมด 

   วสันต์มองจ้องเหมันต์อย่างไม่เข้าใจนัก  ตัวเขาคิดอะไรอยู่อีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไร…ถ้าไม่ได้บอก  "ก็…อย่างนั้น"  รับคำไปทั้ง ๆ ที่ยังสงสัยอยู่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน  ที่คนอื่นจะต้องมาทำเป็นรู้เรื่องของเขาดีกว่าตัวเขาเอง

   เหมันต์ยิ้มอย่างเป็นต่อก่อนดึงรัตติกาลเดินเข้าห้องสี่เอไป  เมื่อนำส่งอีกคนนั่งที่เรียบร้อยเขาก้มลงกระซิบบางอย่างกับเด็กหนุ่มที่ส่งยิ้มรับ  แล้วเดินกลับออกมาจากห้องสี่เอ  มือบางโบกลอย ๆ  ก่อนเดินหายเข้าห้องเรียนของตนไป  ทิ้งให้คนอื่นมองตามงง ๆ ที่ไม่มีคำล่ำลาก่อนไป

   "อะไรของมันวะ"  คิมหันต์บ่น  แล้วกอดคอบวรเอาไว้  "บลู  ไปเรียนล่ะ"  พูดจบก็ลากเพื่อนเข้าห้องตัวเองไปบ้าง  ทิ้งให้วสันต์กับทิฆัมพรยืนคุยกระหนุงกระหนิงหน้าห้อง  จนถึงเวลาเข้าเรียน

++++++++++++++++++++++++

   เหมันต์นั่งอยู่ที่โต๊ะแถวหลังสุดติดหน้าต่าง  โต๊ะของเขาอยู่ติดกับวสันต์แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจกันนัก  เหมันต์มองออกไปนอกหน้าต่าง  ที่มีเพียงสีเขียวของต้นไม้ใหญ่  จนวสันต์อดแปลกใจไม่ได้ที่คนตัดสินใจเข้าห้องเรียนกลับนั่งเหม่อ  เหมือนกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะเข้าเรียนนัก 

เนิ่นนานที่บรรยากาศเงียบเหงาของคนสองคนดำเนินไป  ก่อนที่วสันต์ที่ทอดมองออกไปที่ประตูทางออก  เพราะหวังว่าอาจจะได้เห็นคนรักเดินผ่านช่วงพักระหว่างคาบ  แต่ก็ตวัดสายตาไปมองคนข้าง ๆ อย่างนึกรำคาญขึ้นมา

   สายลมอ่อน ๆ ที่พัดพาเข้ามาทำให้ปลายผมที่ระต้นคอเหมันต์สะบัดไหวตามแรงนั้น  ดวงตาคมที่จับจ้องอยู่จึงได้เห็นร่องรอยสีแดงจางหลายรอยบนลำคอขาว  คิ้วเข้มขมวดอย่างแปลกใจเรื่องเมื่อสองวันก่อนที่เคยคาใจอยู่ไหลวนกลับมาอีกครั้ง

   วสันต์ลากนิ้วแตะเบา ๆ ที่รอยแดงนั้น  ทำให้เหมันต์หันขวับมาทันที  มือบางปัดมือใหญ่ทิ้งอย่างไม่ใยดี  สีหน้าบ่งบอกอารมณ์โทสะจนวสันต์นิ่งอึ้งไปอย่างตกใจ  ด้วยอีกฝ่ายไม่เคยทำอารมณ์แบบนี้ใส่เขามาก่อน

   "น่ารังเกียจ"  คำพูดของเหมันต์ที่เข้ากันได้ดีกับสีหน้าเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน  ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นทำให้เก้าอี้ครูดพื้นเสียงดังจนคนในห้องต้องหันมามอง

   "ขออนุญาตครับอาจารย์  ผมปวดหัวมาก…ขอไปที่ห้องพยาบาลนะครับ"  อาจารย์หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าชั้นมองลูกศิษย์อย่างเป็นห่วง  ดวงหน้าอวบอูมพยักเบา ๆ เป็นการอนุญาต  เหมันต์จึงไหว้ทำความเคารพแล้วรีบเดินออกจากห้องไป  ทิ้งให้วสันต์มองตามไปด้วยความไม่เข้าใจ

++++++++++++++++++++++++

   สิ้นสุดการเรียนในคาบสุดท้ายคิมหันต์เดินออกนอกห้องเรียนมาพร้อมกับบวร  แล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าวสันต์ยืนอยู่หน้าห้องเพียงคนเดียว  ไม่มีแม้เงาของเหมันต์กับรัตติกาลอยู่ด้วย  พวกเขาจึงเดินเข้าไปหาคนที่กำลังทำหน้าเซ็งอยู่อย่างแปลกใจ

   "เฮ้ย…บลู  เรดกับเพรย์ล่ะ"  คิมหันต์ถามอย่างแปลกใจ  ตอนกลางวันก็หายไปด้วยกันแล้วแท้ ๆ นี่ยังตอนเย็นอีก

   "ห้องพยาบาลมั้ง  เห็นว่าปวดหัวตั้งแต่คาบแรก"  วสันต์ยิ้มเครียดจนอีกสองคนเริ่มสงสัย 

   "บลู…กลับรึยังเอ่ย"  เสียงหวานใสเอ่ยถามมาแต่ไกล 

"กลับเลยแล้วกันครับฟ้า  เดี๋ยวกลับด้วยกันเลย"  วสันต์หันไปยิ้มให้ทิฆัมพรแกน ๆ เพราะไร้อารมณ์  "ไปนะพี่กรีน  เจอกันที่บ้านก็แล้วกัน  แต่วันนี้กลับเหรอ"

"ไม่กลับ"  คิมหันต์ตอบง่าย ๆ  "จะไปนอนกับน้องเพรย์ที่น่ารัก"

"เฮอะ  บ้านมีก็ไม่นอนนะแก"  บวรหันไปเขม่นเพื่อน

คิมหันต์ชายตามองบวรแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์  "ไอ้บอส  เอาน้องคนอื่นไปแล้วอย่ามาพูดดี  แน่จริงก็คืนเจ้าเรดมาดิ"

"ใครไปผูกน้องแกไว้วะ  ถ้าคนเค้าอยากกลับก็คงกลับไปแล้ว…ใช่มั้ยบลู"  ประโยคหลังหันไปถามวสันต์อย่างจงใจ

รอยยิ้มเป็นต่อทำให้วสันต์จ้องมองบวรอย่างไม่พอใจนัก  ก่อนหันไปจูงมือคนรักเดินหนีไปทันที  ทิ้งให้บวรยืนหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจที่ยั่วอารมณ์อีกฝ่ายได้สำเร็จ  แต่คิมหันต์กลับสงสัยว่าลูกพี่ลูกน้องของเขากลับมาสนใจน้องชายเขาตั้งแต่เมื่อไร  และที่สำคัญน้องชายตัวดีของเขารู้เรื่องนี้หรือยัง…หรือเป็นคนเริ่มเรื่องกันแน่

++++++++++++++++++++++++

   ดวงตาโตก้มมองคนในชุดนอนที่นอนหลับตาอยู่บนตักของเขา  สลับกับเหลียวมองอีกคนที่ยืนเหม่อไปไกล  ไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าในความคิดของคนทั้งคู่มีเรื่องราวใดอยู่ภายใน  แต่ความรู้สึกอึดอัดที่แผ่ไปทั่วห้องในเวลานี้มันก็น่าจะมาจากเรื่องเดียวกัน  การติดสินใจอันเด็ดขาดของเหมันต์นั่นเอง

   "เพรย์…"  คิมหันต์เอ่ยเรียกเจ้าของตักที่นอนหนุนอยู่  "ไหนลองออกเสียงให้พี่ฟังซิเด็กดี" 

   ดวงตาคมจ้องมองรัตติกาลอย่างคาดคั้น  มือใหญ่เกาะกุมมือบางเอาไว้อย่างให้กำลังใจ  ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งใกล้ ๆ "ไหนลองออกเสียงมาซักคำสิ  ถึงจะพูดไม่ได้ก็ยังต้องมีเสียงบ้างอยู่ดี"

   รัตติกาลก้มหน้างุดแล้วเงียบไป  ริมฝีปากอิ่มถูกขบเม้มอย่างอัดอั้น  ทำให้คิมหันต์ต้องเชยดวงหน้านั้นขึ้นมามองอย่างนึกสงสาร  "ไม่ได้เหรอ…มันจะไม่ได้เลยเชียวเหรอ  ฮื้อ…"

   "พี่กรีน  น้องเค้าไม่กล้า  พี่อย่าบังคับเลยน่า"  เหมันต์ได้ยินพี่ชายพูดจึงหันมาโวยแทนรัตติกาลที่ทำอะไรตอบโต้ไม่ได้  "มันต้องใช้เวลาล่ะมั้งพี่"

   "นานแค่ไหน"  คิมหันต์ถามขึ้นมา  ดูเหมือนจะเริ่มอารมณ์เสียแล้วด้วย  "ถ้าไม่ฝึกตอนนี้  จะรอไปถึงเมื่อไหร่ล่ะวะเรด"  เหมันต์เงียบไปเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน 

"นายก็เหมือนกัน  คิดจะทำอะไรอยู่รึเปล่า  ปิดเงียบกันเข้าไป…"

เหมันต์ถอนใจ  ก่อนจะดึงรัตติกาลเข้ามาหาตัวแต่ก็โดนคิมหันต์ฉุดร่างบางนั้นเข้าไปหาตัวก่อน  "อย่ามายุ่ง  ยังไงวันนี้ก็ต้องได้ยินเสียง  ไม่อย่างนั้นก็ไม่ปล่อย"

รัตติกาลตาเบิกโพลงอย่างตกใจ  รีบหันไปมองเหมันต์อย่างขอความช่วยเหลือทันที  เมื่อเห็นประกายความหวาดกลัวจากคนตัวเล็ก  เหมันต์จึงยื่นมือเข้าไปแย่งชิงร่างบางออกมาจากพี่ชายทันที  แต่ดูเหมือนคิมหันต์จะทำอย่างที่พูดจริง ๆ เมื่อมือของน้องชายไปสามารถเข้าถึงคนในอ้อมกอดเขาได้เลย

"พี่กรีนปล่อยน้องมาน่า"  เหมันต์เริ่มใจเสีย  กลัวพี่ชายจะบังคับให้อีกคนพูดจนร้องไห้ออกมาแทน  "พี่กรีนโว้ย…"

"ไม่ปล่อย"  เสียงตอบเรียบ ๆ ทำให้เหมันต์เงียบไป  รู้ดีว่าพี่ชายเริ่มจะโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้ว  บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเขาเองก็ได้  ที่ปิดบังบางเรื่องจากอีกฝ่ายจนอีกคนต้องพลอยซวยไปด้วย

"ก๊อก  ก๊อก"  เสียงเคาะประตูทำให้ทั้งสามต้องหันไปมอง 

บวรเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย  ก่อนจะบอกธุระของเขา  "บลูมันโทรมา  จะคุยกับนาย…เรด"

เหมันต์พยักหน้า  แล้วหันไปมองรัตติกาล  "เฮ้อ…"  ถอนหายใจเซ็ง ๆ  "เพรย์…สงสัยจะแย่หน่อยล่ะ"

รัตติกาลได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มดิ้นพล่านในอ้อมกอดของคิมหันต์  ทำให้บวรมองด้วยความสงสัย  แต่พอเจอสายตาโหด ๆ ของเพื่อน  เขาก็ลากเหมันต์เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูดังโครมคราม  ทิ้งให้อีกสองคนอยู่ในห้องกันตามลำพัง  โดยไม่สนใจว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นด้านใน  แค่ไอ้เพื่อนตัวดีของเขามันไม่กระโดดมากัดคอเขาก็คงพอแล้ว

++++++++++++++++++++++++

   "ว่าไงล่ะทีนี้"  คิมหันต์ถามอย่างเหลืออด  เมื่ออีกคนยังคงเงียบไม่เปลี่ยน  "รู้แล้วไงล่ะว่าพูดไม่ได้  พี่แค่ให้ออกเสียงไง  คนเป็นใบ้เค้ายังอ้อแอ้กันได้  แล้วทำไมเราเงียบสนิทขนาดนี้ล่ะ…หา"

   ดวงหน้าหวานส่ายไปมาแทนคำปฏิเสธ  กลัวอีกคนก็กลัวแต่ก็ไม่อยากจะออกเสียงเหมือนคนใบ้ด้วย  จึงได้แต่เงียบต่อไป 
   คิมหันต์เริ่มจะหมดความอดทนขึ้นมา  ประกายตาฉายแววไม่พอใจจนรัตติกาลต้องหลบตาอย่างหวาดหวั่น  "ก็ได้…ไม่พูดก็ไม่พูด"  น้ำเสียงที่เรียบเฉยทำให้รัตติกาลต้องหันมองคนพูดอีกครั้ง  แต่คิมหันต์กลับปล่อยมือเขาแล้วลุกหนีไป

   มือบางฉุดข้อมือแกร่งเอาไว้ได้ทันก่อนที่คิมหันต์จะได้ไปไกล  การเหนี่ยวรั้งจากรัตติกาลทำให้คิมหันต์ต้องก้มลงมองอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มออกมาได้  "ตกลงแล้วใช่มั้ย"

   รัตติกาลส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง  ความรู้สึกดีใจของคิมหันต์จึงสูญสลายไปกับอากาศในทันใด  "ให้มันรู้ไป  ว่าพี่จะทำให้เราพูดไม่ได้"

   คิมหันต์ดึงมือบางที่จับข้อมือเขาออก  เดินไปที่ประตูเพื่อปิดล็อคให้แน่นหนา  แล้วเดินกลับมาที่เตียงนอนอีกครั้ง  รัตติกาลที่เฝ้ามองเขาอยู่รู้ตัวทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น  ร่างบางขยับหนีคนที่ก้าวเข้าหาในทันที  แต่ก็ถูกสองแขนแกร่งรวบเอาไว้จนล้มนอนลงไปบนเตียงด้วยกัน

   "ก็บอกว่าอยากได้ยินเสียงไง"  น้ำเสียงเยือกเย็นกระซิบอยู่ข้างหูของรัตติกาล  "คราวก่อนไม่ได้สนใจสินะ  แต่คราวนี้…พี่จะสนใจให้มาก"

   ปลายจมูกโด่งกดลงซึมซับกลิ่นแชมพูเจือจางบนเส้นผมนุ่ม  ไม่สนใจกับอาการดิ้นรนของเรือนร่างบอบบางที่ถูกนอนทับอยู่  เส้นผมสลวยถูกปัดออกให้พ้นต้นคอขาว  ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะประทับลงไปแล้วลากไล้อยู่ตรงนั้น  จนรัตติกาลเริ่มเคลิบเคลิ้ม  ปลายฟันขาวขบกัดลงไปบนผิวเนื้อนวลอย่างแรง  จนเกิดร่องรอยแดงช้ำอย่างห้ามไม่ได้

   "อ๊ะ…"  เสียงใส ๆ ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ  ทำให้คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมา

   "มีเสียงจริง ๆ ด้วย"  คิมหันต์พูดด้วยรอยยิ้ม 

รัตติกาลดันตัวหนีห่างจากคิมหันต์ด้วยความโมโห  ดวงหน้าหวานบึ้งตึงเมื่อลุกขึ้นมานั่งหันหลังให้กับอีกคน  มือบางปาดหยดน้ำใส ๆ ที่ร่วงหล่นลงมาอย่างไม่รู้ตัว  ริมฝีปากอิ่มถูกกัดเม้มจนไร้เสียงสะอึกสะอื้นที่ควรจะมี  ทำเหมือนกับที่เคยทำมาแล้วทุกครั้ง
"เพรย์…ร้องไห้ทำไมกันล่ะ  พี่แค่อยากรู้เองว่าเพรย์น่ะออกเสียงได้ใช่มั้ย"  คิมหันต์สวมกอดรัตติกาลเอาไว้  แล้วเกยคางลงบนไหล่บอบบางอย่างอารมณ์ดี  "ไม่หยุดร้อง  เดี๋ยวทำให้ร้องมากกว่านี้นะเอ้า…"

คนโดนขู่หันดวงหน้าเปื้อนน้ำตามามองคนขู่อย่างนึกแค้นเคือง  แต่พอเห็นดวงตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายแล้วก็เบือนหน้าหลบไปอย่างไม่กล้าต่อกรด้วย  เพราะคงมีแต่เสียเปรียบ  รู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางทำอะไรอีกฝ่ายได้  ที่ทำได้ก็คงจะเป็นการตามใจเท่านั้นกระมัง

มือใหญ่ไล้ไปตามดวงหน้าหวานเบา ๆ อย่างครุ่นคิด  ทำให้รัตติกาลนึกสงสัยว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่  แต่อ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นบ่งบอกถึงความกังวลของคิมหันต์ได้อย่างชัดเจน

คิมหันต์รู้ดีว่าวสันต์โทรมาหาน้องชายเขา  เพราะสงสัยในบางเรื่อง  แม้เขาจะไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัยอะไรอยู่  แต่ท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้นึกหวั่นใจไม่ได้  เขากลัวว่าน้องทั้งสองคนของเขาจะต้องบอบช้ำกับเรื่องที่มันผ่านไปแล้วอีกครั้ง  แต่ถึงมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ตัวเขาจะทำอะไรได้  ในเมื่อมันเป็นเรื่องของคนเพียงสองคน

ปลายจมูกที่ชนเข้ากับพวงแก้มทำให้รัตติกาลหันไปมองคิมหันต์อย่างแปลกใจ  "นอนเถอะนะ"

รัตติกาลเหลียวไปมองที่บานประตูที่ยังไม่ได้คลายล็อค  แล้วหันไปมองหน้าคิมหันต์อีกครั้ง  "อือ…"  นิ้วเรียวชี้ไปที่ประตูพร้อมกับส่งเสียงออกมา

"หือ…"  คิมหันต์แปลกใจที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะยอมพูดกับเขา  ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความพอใจ  "นอนกันเถอะ  วันนี้เรดไม่กลับหรอก  ถ้าบลูโทรมาแสดงว่าคงมีเรื่องจะคุยกัน"

รัตติกาลพยักหน้าแล้วคลานไปนอนซบหมอนนุ่ม  คิมหันต์จึงดึงผ้าห่มคลุมให้แล้วนอนลงข้าง ๆ ก่อนวาดวงแขนกอดร่างบางไว้แนบอก  ริมฝีปากหนาประทับลงบนหน้าผากมนเบา ๆ อย่างเอื้อเอ็นดู  รอจนคนข้าง ๆ หลับสนิทแล้วตัวเขาเองจึงหลับตาลง…บางทีคืนนี้เขาอาจจะนอนไม่หลับ  เมื่อไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งนั้นน้องชายเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

++++++++++++++++++++++++

ท้องฟ้าที่มืดครึ้มในยามค่ำคืนทำให้เหมันต์ที่กำลังลงจากรถเพื่อเดินเข้าไปภายในตัวบ้านต้องเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศแปลก ๆ ในวันนี้  อดรู้สึกตามความเคยชินไม่ได้ว่าฝนอาจจะตก  เพราะว่าวันนี้อากาศก็ร้อนอบอ้าวอยู่เหมือนกัน  อีกอย่างต้นเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝนด้วย…และเมื่อนึกถึงฤดูฝนเขาก็นึกถึงวสันต์ขึ้นมา

   "เรด…"  เสียงเรียกด้วยความดีใจทำให้เหมันต์ต้องเหลียวไปมองผู้เรียกด้วยความดีใจ 

   คุณสิทธิชัยและคุณภัสรายืนรอรับเหมันต์ด้วยรอยยิ้ม  เพราะไม่ได้เห็นหน้าลูกชายคนเล็กมาหลายวัน  ทำให้ดีใจไม่น้อยเมื่อได้รู้จากวสันต์ว่าวันนี้เหมันต์จะกลับมานอนที่บ้าน 

   "คิดถึงจังครับคุณพ่อ  คุณแม่"  เหมันต์เดินเข้าไปสวมกอดบิดามารดาแล้วพูดประจบตามความเคยชิน

   "ทำเป็นพูดดีไป  ไม่เห็นจะกลับบ้านเลยนะเรา"  ผู้เป็นพ่อบ่นอย่างไม่เอาจริงเอาจังนัก  "เมื่อสองวันก่อนบลูเค้าฝันร้าย  ยังกังวลอยู่เลยว่าจะเอายังไง  เพราะเราไม่อยู่นั่นแหละ"

   "นั่นสิ…แม่ก็กลัวเหมือนกัน  เกิดว่าบลูเค้าอาการหนักพวกเราะจะทำยังไง  หมอเคยให้ระวังผลข้างเคียงไม่ใช่เหรอลูกเรด"  คุณภัสราพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายเช่นเดียวกับสามี 

   เหมันต์ยิ้ม  ดูเหมือนจะไม่กังวลกับเรื่องนี้นัก  "ไม่ต้องกลัวหรอกครับ  บลูเค้าจะไม่ฝันร้ายแล้วล่ะ  เชื่อเรดสิ"

   คำพูดที่แสดงถึงความมั่นอกมั่นใจของเหมันต์  ทำให้คุณสิทธิชัยและคุณภัสรามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมลูชายของพวกเขาถึงได้คิดแบบนั้น  แต่พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าอาการของวสันต์จะปกติหรือไม่ปกติก็ขึ้นอยู่ที่เหมันต์นี่แหละ

   วสันต์ที่ยืนแอบอยู่ที่มุมหนึ่งฟังบทสนทนานั้นอย่างสงสัย  เขาเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีอะไรที่ผิดปกติ  แล้วถ้าเขาฝันร้ายมันจะแปลกตรงไหนกัน  ที่สำคัญเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหมันต์ดูเหมือนจะรู้เรื่องราวบางอย่างมากกว่าคนอื่น…และดูเหมือนจะรู้จักเขาดีกว่าตัวเขาเองเสียอีก

   …สิ่งที่วสันต์สงสัยก็คือ  มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่…
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:31:11 โดย OIL1982 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

พลังอธิษฐาน 5
« ตอบ #99 เมื่อ: 29-12-2013 21:09:36 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน 6
«ตอบ #100 เมื่อ29-12-2013 21:13:54 »

พลังอธิษฐาน 6




   หลังจากคุยกับบิดามารดาสักพักเหมันต์ก็ได้รับคำสั่งให้เข้านอน  เขาจึงเดินขึ้นบันไดหินอ่อนเพื่อตรงไปยังห้องนอนของตนเอง  นึกหวาดหวั่นอยู่ในใจถึงเหตุผลที่ต้องกลับบ้านในวันนี้อยู่เหมือนกัน  ถึงเขาจะกล้าทำปากเก่งกับอีกคนไปเมื่อตอนกลางวัน  แต่นั่นเพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่มีทางทำร้ายเขาได้  หากแต่ในเวลานี้มันกลับต่างกัน

   บานประตูถูกเปิดออกก่อนที่เหมันต์จะก้าวเข้าไปภายในห้องของตนเอง  มือบางเลื่อนกดสวิตซ์ไฟตามความเคยชิน  แต่เมื่อแสงไฟสว่างขึ้นเขาก็ต้องตกใจถอยหลังไปจนชนประตู  ดวงตาที่แสดงถึงความหวาดกลัวจ้องมองคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าอย่างตกใจ  แล้วต้องหายใจติดขัดเมื่ออีกคนย่างสามขุมเข้ามาใกล้จนยืนอยู่ชิดกัน

   "เลิกอวดดีแล้วเหรอ"  วสันต์เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ  ใบหน้าที่ดูหวานเมื่อมัดรวบผมข้างหลังเอาไว้แสยะยิ้มน่าเกลียด  "นึกว่าจะเก่งได้ซักกี่น้ำ"

   เหมันต์ก้มหน้าหลบตาอย่างกลัวเกรง  ตัวผอม ๆ แนบกับประตูจนเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกัน  เมื่อวสันต์เอื้อมมือจัดการล็อคประตูอย่างแน่นหนา  ก่อนละมือมาเชยดวงหน้าที่เริ่มซีดขึ้นมองด้วยรอยยิ้มเป็นต่อ  เวลานี้เองที่เหมันต์รู้สึกว่าตนเองคิดผิดที่กลับบ้าน  และคิดผิดที่กล้าไปอวดดีกับวสันต์

   "ตกใจมากเหรอ"  วสันต์เอ่ยถามขึ้นมาอีก  เมื่อเห็นเหมันต์นิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ 

สองนิ้วเรียวที่จับอยู่ตรงปลายคางเลื่อนไล้ไปตามผิวแก้มเนียน  แล้ววสันต์ก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน  เขามักจะชอบเวลาที่เหมันต์เงียบและไม่ตอบโต้มากที่สุด  เพราะอีกฝ่ายจะมีสีหน้าน่าค้นหาอยู่เสมอ  โดยเฉพาะในเวลาที่หวาดกลัว  ดวงตาคู่นั้นจะคลอน้ำน้อย ๆ จนดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก

"ดี…ไหน ๆ ก็มาแล้ว  เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า  ไปที่เตียงเลยดีมั้ย"  ดูเหมือนจะเป็นการถามความเห็น  แต่แขนของเหมันต์ก็ถูกฉุดไปที่เตียงจริง ๆ 

เหมันต์ถูกผลักลงไปบนเตียงโดยที่ตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะขัดขืน  ร่างผอมบางสั่นระริกเมื่อวสันต์ทิ้งตัวทาบทับลงมา  ร่องรอยบาดแผลบนเรือนร่างที่เคยสร้างความเจ็บปวดให้  กดดันให้เขาเริ่มร้องไห้อย่างหวาดกลัวขึ้นมา  นั่นทำให้วสันต์จ้องมองด้วยรอยยิ้มพึงใจ

"น่ารักนี่เรด…"  คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นคำชมเอ่ยขึ้นมา  แต่เหมันต์ที่กำลังร้องไห้อยู่กลับไม่ได้ยิน

มือใหญ่เลื่อนขึ้นไล้เบา ๆ บนผิวแก้มที่เปื้อนหยดน้ำ  นิ้วมือที่แตะถูกรอยน้ำตาชะงักไปเล็กน้อย  วสันต์โน้มใบหน้าลงไปเพื่อเปลี่ยนเป็นใช้ริมฝีปากจูบซับน้ำตานั้นแทน  จนเหมันต์ที่กำลังสะอึกสะอื้นนิ่งไปอย่างตกใจ  ดวงตาที่เบิกกว้างทำให้น้ำตาที่คลออยู่ภายในหยาดรินลงมาจนเกือบหมด  เส้นทางน้ำใสที่ร่วงหล่นลงมาทำให้วสันต์มองเห็นเสน่ห์บางอย่างในตัวเหมันต์ได้ชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ

ริมฝีปากสีพีชที่แตะลงบนแก้มทำให้สายตาของเหมันต์มองตามอย่างแปลกใจว่าวสันต์กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่  ก่อนที่นิ้วเรียวของอีกฝ่ายจะเกี่ยวเอาสร้อยที่คล้องคอเข้าออกมา  เมื่อบังเอิญเห็นมันด้วยความไม่ตั้งใจ

ดวงตาคมจ้องมองสร้อยที่ร้อยแหวนนั้นอย่างคุ้นเคย  หากจะไม่คุ้นก็คงจะเป็นแหวนเงินอีกวงที่ดูเหมือนจะเพิ่งร้อยเพิ่มเข้ามา  คิ้วเรียวขมวดด้วยความสงสัยว่าเหมันต์จะเก็บมันไว้ทำไม…หรือมันมีความสำคัญต่ออีกฝ่ายแบบไหนกัน

"ของใคร…"  วสันต์ถามเสียงเข้ม  ดวงตากร้าวจนเหมันต์เริ่มกลัวขึ้นมาอีก

"ของเร…เอ่อ  ของชั้น"  น้ำเสียงที่ตอบดูไม่มั่นคง  แต่วสันต์ก็เชื่อว่าคงเป็นจริงอย่างที่เหมันต์บอก

"ใครให้"  น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ถามอีกครั้ง  "อย่าโกหกนะ"

คำสำทับในตอนหลังทำให้เหมันต์เงียบไป  เมื่อเห็นดวงตาคมจ้องมาอย่างคาดคั้นเขาจึงเบือนหน้าหนี  มือบางกำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น  แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อวสันต์กระชากสร้อยนั้นจนรู้สึกเจ็บแปลบที่คอ

"ถามว่าใครให้…ไม่ตอบใช่มั้ย"  น้ำเสียงกร้าวตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออด  เมื่ออีกคนได้แต่นิ่งเงียบ  "ชั้นให้…ใช่มั้ย"

เหมันต์หันขวับมองวสันต์อย่างตกใจ  และกริยานั้นเองที่ทำให้วสันต์รู้ว่าสิ่งที่เขานั่งคิดมาตลอดทั้งวันเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาทั้งสองคนมันถูกต้องแล้ว  แต่คำพูดของเหมันต์ก็ทำให้เขาต้องสับสนอีกครั้ง

"ไม่ใช่…คนที่ให้ตายไปแล้ว"  เหมันต์เอ่ยเสียงแผ่วเบา  ปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า

วสันต์ฟังอย่างไม่เข้าใจนัก  แต่แรงลมที่พัดมาเข้ามาทางระเบียงก็เบนความสนใจของเขาไปได้  ดูเหมือนข้างนอกฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมาแล้ว  ร่างสูงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยความสับสนรู้สึกปวดหัวอยู่นิดหน่อย  เรื่องราวบางอย่างที่ถูกปิดบังไว้ทำให้ในหัวใจรู้สึกร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก  และเมื่อคิดเอาเองว่าน้ำมันจะดับไฟได้  วสันต์จึงลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงอย่างต้องการที่พึ่ง
หยดน้ำเล็ก ๆ ตกลงมาไม่ขาดสาย  แรงลมทำให้ฝนสาดเข้ามาถึงระเบียงได้  วสันต์จึงยืนรับน้ำฝนนั้นราวกับอยากให้มันช่วยเบาเทาเบาบางความร้อนรุ่มในอกไปบ้าง  เขารู้ดีว่าแหวนวงนั้นเป็นของเขาเมื่อมันอยู่กับเขามาตลอด  ทั้ง ๆ ที่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่กับเขามาตั้งแต่เมื่อไร  แต่มันติดอยู่ที่นิ้วเขามาตั้งแต่เขาจำความได้แล้ว…ช่วงไหนกันที่เขาลืมมันไป

   วสันต์มีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าให้แหวนกับคนที่รัก  แหวนวงนั้นจะผูกมัดคนที่เขารักเอาไว้ให้อยู่กับเขาตลอดไป  เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ให้แหวนกับทิฆัมพร  โดยที่รู้ว่าทิฆัมพรเป็นคนรักคนแรกและคนเดียวที่เขามี  เขาถึงแปลกใจนักว่าทำไมเหมันต์ถึงได้มีแหวนอีกวง…แหวนที่เป็นคู่กับแหวนที่เขาเคยครอบครองอยู่

   …พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์กันแบบไหน…

++++++++++++++++++++++++

   ห้องที่เงียบงันทำให้เหมันต์ต้องลืมตาขึ้น  ก่อนมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างแปลกใจเมื่อไม่เห็นวสันต์  เขารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนตากฝนอยู่ตรงระเบียง  ปริมาณน้ำที่สาดเข้ามาภายในห้องทำให้รู้ว่าฝนเริ่มตกแรงมากแล้ว  เหมันต์จึงรีบวิ่งออกไปดึงคนที่ตัวเปียกโชกเข้ามาภายในห้องแต่วสันต์กลับไม่ยอมขยับตัว

   "บลู…บลู  ฝนตกหนักแล้วนะเข้าห้องเถอะ  บลู…เพิ่งหายป่วยนะ"  เหมันต์ร้องเรียกอีกคนที่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับรู้อะไร  แม้พยายามฉุดดึงแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนตามมาแม้แต่น้อย  ทำให้เขาต้องเปียโชกไปด้วยอีกคน

   ดวงตาคมหันมามองเหมันต์อย่างเลื่อนลอย  ก่อนเบือนหน้าออกไปสู้สายฝนอีกครั้งอย่างไม่สนใจ  "ไม่คิดจะเล่าเรื่องนั้นให้ฟัง  ก็ปล่อยชั้นตายอีกคนแล้วกัน"

   เรี่ยวแรงของเหมันต์ที่พยายามฉุดดึงวสันต์  ดูเหมือนจะหายไปหมดเพราะคำพูดนั้น  มือบางปล่อยออกจากข้อมือของอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยล้า  ก่อนที่วงแขนของเขาจะโอบล้อมเอวหนาจากด้านหลัง  แล้วซบดวงหน้าลงไปด้วยความรู้สึกว่างเปล่า

   "ตายแค่คนเดียวก็เกินพอแล้ว…"  น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยเหมือนเหน็ดเหนื่อย

   วสันต์ดึงเหมันต์ให้ออกมาเผชิญหน้ากับเขา  ดวงตาคมสบตาอีกฝ่ายด้วยความสับสน  ก่อนที่ความรู้สึกบางอย่างจะครอบงำความคิดของเขาเอาไว้  ความรู้สึกที่ว่าคนตรงหน้าคือคนที่เขาเคยถวิลหา…ความรู้สึกที่ว่าเหมันต์เป็นคนของเขา

   ริมฝีปากนุ่มที่ซีดเพราะความหนาวเหน็บทาบประกบริมฝีปากอิ่มอย่างโหยหา  ขณะที่อีกคนรับสัมผัสนั้นด้วยความเต็มใจเหมือนที่เคยเป็น  ความร้อนแรงที่ก่อตัวท่ามกลางสายฝนฉุดดึงความสงสัยและเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจออกไปจากสมองในเวลาอันรวดเร็ว

   เรือนร่างบอบบางถูกอุ้มขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้อง  วสันต์เดินตรงไปยังห้องน้ำ  เขาวางเหมันต์ลงในอ่างน้ำก่อนที่ตัวเขาจะก้าวตามเข้าไป  เสียงน้ำวนที่ไหลรินภายในอ่างไม่ต่างจากเสียงของสายฝนด้านนอกนัก  แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจน้ำอุ่นที่เพิ่มปริมาณจนล้นอ่างแต่อย่างใด  เมื่อริมฝีปากทั้งคู่ยังคงแนบชิดกันไม่ยอมห่าง

++++++++++++++++++++++++

   เรือนร่างเปลือยเปล่าถูกวางลงบนเตียงก่อนถูกทาบทับด้วยอีกคน  ที่ไม่มีเสื้อผ้าติดกายเช่นเดียวกัน  สัมผัสจากมือและริมฝีปากที่ทำหน้าที่ไม่หยุดทำให้เสียงครางเครือดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ร่องรอยจาง ๆ ถูกรอยใหม่วางทับลงไปจนผิวขาวนวลเต็มไปด้วยรอยสีแดงเรื่ออีกครั้ง

   วสันต์ไล้ปลายจมูกไปตามซอกคอขาว  ขณะที่สองมือของเขายังคงลูบไปตามผิวนวลทั่วเรือนร่างบอบบางของเหมันต์อย่างปลุกเร้า  ริมฝีปากอิ่มช้ำที่เผยอด้วยแรงอารมณ์ทำให้เขาต้องขยับขึ้นไปครอบครองริมฝีปากนั้นอย่างอดไม่ได้  ลิ้นร้อนแลกเปลี่ยนความหวานกันเนิ่นนาน  จนเหมันต์ละความสนใจจากมือของวสันต์ที่ขยับอยู่เบื้องล่าง  กระทั่งไปถึงจุดของการปลดปล่อยที่ทำให้เขาต้องร้อนวาบไปทั้งเรือนร่าง

   วสันต์ละริมฝีปากออกมาให้อีกฝ่ายได้หายใจสะดวกขึ้น  แรงหอบทำให้แผ่นอกบางสะท้านขึ้นลงรุนแรงจนเขาต้องจูบซับลงไปบนเนื้อนวลที่ขยับขึ้นลงนั้นเพื่อช่วยผ่อนคลาย  ใบหน้าคมยิ้มพรายเงยขึ้นสบตาหวานหยาดเยิ้มด้วยแรงอารมณ์  เหมันต์จึงเบือนหน้าหนีเขิน ๆ น้ำใสที่คลอดวงตาจึงไหลรินลงเป็นสาย  จนวสันต์เผลอมองอย่างหลงใหล

   ร่างผอมบางพลิกตัวนอนคว่ำเมื่อเหลือบเห็นแววตาทอประกายของอีกคน  เขาซุกหน้าเข้ากับหมอนเพราะไม่ต้องการสบตากับวสันต์อีก  ความรู้สึกเป็นสุขท่วมท้นอยู่ภายในด้วยไม่คิดว่าจะได้รับความอ่อนโยนจากคนนี้ ๆ อีกครั้ง  ก่อนจะนึกถึงความเป็นจริงที่จะต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปในที่สุด

   ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากที่ทาบลงบนแผ่นหลัง  ก่อนที่วงแขนแกร่งจะโอบล้อมรอบตัวเขา  ใบหน้าของอีกฝ่ายที่หนุนซบอยู่บนหลังทำให้ต้องพลิกดวงหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ 

วสันต์ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกายเปล่าเปลือยของพวกเขาเอาไว้ครึ่งตัว  เพราะยังสนุกกับการจูบสัมผัสแผ่นหลังเนียนอยู่  มือหนึ่งไล้อยู่ที่เรียวแขนอีกฝ่ายไปมาเบา ๆ ยิ่งได้ใจมากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเหมันต์สะดุ้งเป็นระยะ ๆ จากสัมผัสของเขา  แต่แล้วก็ตัดใจหยุดประทับริมฝีปากลงบนลาดไหล่บาง  แล้วหนุนใบหน้ากับแผ่นหลังนั้นนิ่ง ๆ

"เรด…"  เอ่ยเสียงเรียกแล้วก็เงียบไป  จนเหมันต์ต้องเหลียวมองอย่างแปลกใจ  "ไม่เล่าจริง ๆ เหรอ"

เหมันต์ถอนใจด้วยความเหนื่อยใจ  ดวงตามองเหม่อราวกับกำลังตัดสินใจอยู่ชั่วครู่แล้วหันกลับมามองวสันต์อีกครั้ง  มือบางดึงมือที่ลูบไล้แขนของเขาอยู่ไปจับประสานเอาไว้  วสันต์จึงขยับตัวให้แนบชิดอีกฝ่ายจนไร้ที่ว่างระหว่างทั้งสองคน

"รู้ไปแล้วมันก็เหมือนเดิมแหละบลู  บลูจำอะไรไม่ได้หรอก"  เหมันต์พูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน

"ชั้น…บลูมีสิทธิ์รู้ไม่ใช่เหรอ"  สรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปทำให้เหมันต์หันขวับมามองอีกคนด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ  "เคยพูดแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ  แต่ก่อนเรดก็แทนตัวเอง…ว่าเรด"

ดวงตาหวานใสที่ดูสับสนนั้น  ทำให้วสันต์ต้องพลิกตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้แนบอกอย่างอดไม่ได้  "เมื่อสองวันก่อนตอนที่เรดมา  บลูคนเดิมกลับมาใช่มั้ย…แล้วเค้าก็ตายไปหลังจากที่เค้ากอดเรดเป็นครั้งสุดท้าย  ใช่มั้ย"

เหมันต์พยักหน้าอยู่ในอ้อมกอดที่แน่นหนาเป็นการยอมรับ  เขาไม่แปลกใจที่วสันต์จะรู้เรื่องเมื่อสองวันก่อน  ในเมื่อร่องรอยมันชัดเจนเป็นใครก็ต้องรู้ทั้งนั้น  เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ววสันต์กำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่

"บลูสงสัยอะไร"  เสียงอู้อี้ของเหมันต์เอ่ยถามอยู่กับแผ่นอกกว้าง

วสันต์พลิกตัวคนในอ้อมกอดออกมา  ก่อนที่เขาจะยันตัวเองขึ้นคร่อมร่างบอบบางนั้นเอาไว้  "พวกเรามีความสัมพันธ์กันแบบไหน  แล้วทำไมบลูถึงจำไม่ได้"  ดวงตาคมมุ่งมั่นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างต้องการคำตอบ

   เหมันต์สบตากับอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจอย่างไม่มีทางออก  มือบางเลื่อนไล้ใบหน้าหวานของวสันต์อย่างชั่งน้ำหนักความคิด  แต่เมื่อมือของอีกฝ่ายยกขึ้นประกบกับมือของเขา  แล้วดึงมือเขาไปจูบกลางฝ่ามือเบา ๆ น้ำหนักทั้งหมดก็เอนไปอยู่ที่ด้านของวสันต์ในทันที

   "บลูลืมเรื่องของเราเพราะบลูเสียใจมากจนช็อค  ตอนที่คุณอาเสีย  หมอบอกว่าความทรงจำของมนุษย์เป็นสิ่งวิเศษ  เรื่องบางเรื่องที่ถูกลืมไปอาจจะเป็นเพราะมันสำคัญมากจนถูกเก็บเอาไว้ลึกเกินไป  หรือไม่ก็เป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญเลย"

   "แล้วเรื่องของเราเป็นอย่างไหน"  วสันต์ถามทั้ง ๆ ที่เขาเองก็พอจะเดาออกบ้างแล้ว  แต่คำตอบจากเหมันต์ก็ทำให้เขาเกิดไม่เข้าใจอีกฝ่ายขึ้นมาอีก

   "อย่างหลัง…มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร"  คนตอบ  ตอบทั้ง ๆ ที่เจ็บปวดจนร้าวไปทั้งเรือนร่าง  แต่เขาก็คิดว่าอย่างน้อยคนรักก็ไม่ต้องกลับมาเจ็บปวดด้วยเรื่องเดียวกันอีก

   วสันต์ยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาที่แสดงความปวดร้าวออกมาชัดเจน  "แปลกนะที่บางครั้งคนเราก็มักจะต้องมานั่งเจ็บปวดกับเรื่องที่มันไม่ได้สำคัญอะไร  หรือมันจะเป็นเพราะว่ามันไม่สำคัญสำหรับคนอื่น  แต่สำหรับตัวเองมันคือสิ่งสำคัญ"

   คิ้วเรียวที่ยักด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้ทำให้เหมันต์หัวเราะออกมา  "ไม่ได้เห็นมานานมากแล้วนะ  ท่าทางแบบนี้" 

คำพูดด้วยความพลั้งเผลอทำให้วสันต์จ้องมองเหมันต์ด้วยความไม่เข้าใจอีกครั้ง  จนเหมันต์อยากจะกลายเป็นใบ้เสียให้รู้แล้วรู้รอด  ดีกว่าต้องมานั่งอธิบายเรื่องราวในอดีตของพวกเขาให้กับอีกคนฟัง  เมื่อมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป

"มันจะสำคัญอะไร  ก็แค่เรื่องที่ถูกลืมไปแล้ว"  เหมันต์พูดอย่างที่คิด 

ดูเหมือนวสันต์จะไม่เห็นด้วยนัก  "แต่เรดไม่ลืม…ไม่ใช่เหรอ" 

ดวงตาหม่นแสงเมื่อนึกถึงความรู้สึกที่มันหายไปพร้อม ๆ กับความทรงจำของคนที่เขารัก  เหมันต์ตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอดว่า 'ทำไมเขาต้องถูกลืม'  หลาย ๆ ครั้งที่เขาคิดว่าคงเพราะตัวเขาไม่ใช่คนสำคัญสำหรับวสันต์  แต่ถ้าเขาไม่ใช่คำสำคัญ…แล้วใครกันจะสำคัญ

"มันมีอนาคตบางอย่างที่ชัดเจนมากเลยบลู"  เหมันต์มองสบตากับคนที่เขารักแล้วเอ่ยขึ้นมา  สายตาที่แสดงความสงสัยของวสันต์ทำให้เขาต้องพูดต่อไป  "ไม่ว่าจะเป็นบลูคนเดิมหรือคนใหม่  เรดก็รู้จักบลูดี"

บทสนทนาเงียบไปสักครู่  ทิ้งเวลาให้เหมันต์ได้จมอยู่กับความปวดร้าวภายใน  ก่อนที่เขาจะใช้ความรักทั้งหมดที่มียืนหยัดหัวใจตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง  เพื่อให้มันเข้มแข็งมากพอที่จะบอกความจริงบางข้อแก่วสันต์ได้  แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามนั้นในวันหนึ่ง

"ถ้าเป็นบลูคนเดิมเราสองคนก็จะไม่มีวันพรากจากกันไปไหน  ถึงจะตายก็ต้องตายด้วยกัน  เพราะบลูคนนั้นไม่มีใครนอกจากเรด…คนรักของเค้ามีเรดแค่คนเดียว"

"แต่ถ้าเป็นบลู…"  ดวงตาคลอน้ำทั้งที่ดวงหน้ายังคงมีรอยยิ้มพร่างพราย  จ้องมองภาพพร่าเลือนของอีกคน    "บลูจะไม่มีวันอยู่ด้วยกันกับเรดที่นี่  บลูหนีความทรงจำของพวกเรา…บลูฆ่าบลูคนเก่าไปด้วยความทรงจำใหม่ของตัวเอง"

วสันต์แสยะยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอ  เขาเข้าใจว่าเหมันต์คงจะอาลัยอาวรณ์คนเก่าในตัวของเขา  ด้วยเหตุนั้นอีกฝ่ายจึงใช้เขาเป็นเพียงตัวแทน 'คนเก่า'  ที่มันถูกเขาฆ่าตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อไรเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

"รักมันมากใช่มั้ย"  วสันต์กระชากเสียงถาม  ดูท่าทีแล้วเหมันต์รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังระงับอารมณ์โกรธอยู่  "บลูถาม…"

"ไม่ว่าบลูจะคิดอะไรอยู่  แต่สำหรับเรด…เรดก็ยัง 'รักบลู' อยู่ดี  ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็เถอะ"  น้ำเสียงและแววตาจริงใจนั้นทำให้วสันต์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

ผมนุ่มถูกมือใหญ่ลูบอย่างอ่อนโยนเป็นการเอาใจ  ก่อนที่วสันต์จะซบหน้าลงไปบนแผ่นอกบางแล้วกอดเหมันต์เอาไว้ด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม  ดูเหมือนตัวเขากำลังพยายามแย่งชิงเหมันต์มาจากใครคนหนึ่งซึ่งตัวเขาเองไม่รู้จัก  แต่ความรักที่เขามีให้กับผู้หญิงอีกคนกลับทำให้เขาต้องสับสนจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

เส้นใยความผูกพันธ์บาง ๆ ที่รู้สึกได้เมื่อไม่นานมานี้  ทำให้มือของวสันต์จับมือของเหมันต์เอาไว้ไม่ปล่อย  ขณะที่อีกมือของเขายังคงเกาะกุมแน่นอยู่กับอีกคนที่เป็นคนในปัจจุบัน  แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงจับมือของเหมันต์เอาไว้  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหากเขาไม่ยอมปล่อย…สักวันเขาจะกลับไปเป็นคนเดิม  และทอดทิ้งผู้หญิงคนนั้นไปในที่สุด

"ไม่ต้องกลัวนะบลู…"  เสียงปลอบใจจากเหมันต์ดึงสติของวสันต์ให้กลับมาอีกครั้ง  เขาเงยหน้ามองอีกคนก่อนจะซบหน้าลงไปกับผิวนวล ๆ เช่นเดิม

"เรดปล่อยบลูไปแล้ว  สักวันบลูจะเดินหนีเรดไปได้เอง  ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น…แค่ช่วงนี้แหละที่บลูจะสับสน  แต่ถ้าบลูไปได้เมื่อไหร่…"  น้ำเสียงปวดร้าวขาดหายไปอย่างพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่มี

"ถ้าไปได้เมื่อไหร่…อย่ากลับมาอีก"

สรรพสำเนียงที่หยุดลงพร้อมกับริมฝีปากอิ่มนั้นถูกครอบครองด้วยรสหอมหวานจากริมฝีปากนุ่ม  สองมือสอดประสานกันแน่นหนา  นำพาความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในวันนี้ให้เดินไปพร้อม ๆ กับเวลา  สิ่งที่จะตัดสินชะตากรรมความรักของพวกเขาได้

…ไม่ว่ามันจะจบลงเช่นไร  แต่ความรักนั้นได้เริ่มต้นขึ้นนานแล้ว…

++++++++++++++++++++++++

   ในความมืดสนิทของค่ำคืนที่ฝนตกหนัก  มือของคิมหันต์ที่ควานหาคนข้างกายไม่พบ  ทำให้เขาต้องลุกขึ้นนั่งอย่างสงสัยว่ารัตติกาลหายไปไหน  เงาตะคุ่มลาง ๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่ตรงปลายเตียง  ทำให้เขาค่อย ๆ ย่องเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ  ก่อนตะครุบร่างนั้นไว้ด้วยอ้อมกอดอย่างแม่นยำ

   "เพรย์…ลุกมาทำไมล่ะ"  เอ่ยถามคนที่ดิ้นขลุกขลิกอยู่ในวงแขนอย่างไม่ยอมแพ้  ก่อนจะค่อย ๆ ดึงร่างบางขึ้นไปบนเตียง  แล้วเอื้อมมือสัมผัสโคมไฟที่หัวเตียงเพื่อเรียกหาแสงสว่าง

   ดวงหน้าหวานเอนซบแผ่นอกกว้าง  มือบางยื่นสร้อยที่มีกางเขนคริสตัลสีชมพูใสออกไปให้กระทบแสงไฟเป็นประกาย  จนอีกคนต้องขมวดคิ้วมองอย่างไม่พอใจ    ไม่เข้าใจนักว่าทำไมเขาถึงหนีสร้อยเส้นนี้ไปไม่พ้นสักที  ทั้ง ๆ ที่มันมักจะสร้างความหวาดกลัวลึก ๆ ในใจให้เขาเสมอ

   "สร้อยนี่อีกแล้วเหรอ  เมื่อไหร่ถึงจะทิ้งมันไปได้"  คิมหันต์ถามอย่างนึกโมโห

   มือบางลดสร้อยลงด้วยความปวดร้าว  เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้จนกระทั่งทั้งร่างสั่นระริก  ด้วยความกดดันบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ภายในมาเป็นเวลาเนิ่นนาน  คิมหันต์ที่ไม่ค่อยจะเข้าใจความรู้สึกของรัตติกาลนัก  กอดกระชับอีกฝ่ายเข้าหาตัวอย่างปลอบใจ  ความรู้สึกที่สวนทางกันทำให้เขาต้องถอนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   ทำไมเขาต้องหวาดกลัวถ้ามีสร้อยเส้นนี้อยู่  แล้วทำไมอีกคนจะต้องหวาดกลัวถ้าไม่มีสร้อยเส้นนี้  ขณะที่กำลังคิดสับสนเสียงเรียกที่ก้องสะท้อนอยู่ในใจก็ทำให้ต้องปวดหัวอย่างรุนแรง  จนต้องปล่อยรัตติกาลออกแล้วทิ้งตัวฟุบลงไปกับที่นอนอย่างทรมาน

   "โอ้ย…เพรย์  ไม่เอา…ไม่เอา"  คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นการเพ้อมากกว่า  ทำให้รัตติกาลตกใจเข้าไปประคองคิมหันต์อย่างเป็นห่วง

   คนที่ทำอะไรไม่ถูกร้องไห้อย่างเสียขวัญ  เสียงในห้วงหัวใจตะโกนเรียกชื่ออีกคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า  หากริมฝีปากที่พยายามเอื้อนเอ่ยก็ไร้สิ้นสำเนียงใด ๆ อยู่เช่นเคย  แต่ความตกใจนั้นทำให้ความพยายามเพิ่มขึ้นจากอีกเดิมหลายเท่า…สุดท้ายก็มีบางเสียงเล็ดลอดออกมา

   "ก…กา…กี…กรีน" 

   เสียงแหบพร่าที่เอ่ยเรียกทำให้คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมองอีกคน  ทั้งที่ยังคงปวดหัวจนร้าวไปทั้งร่าง  มือหนึ่งกุมมือเล็กเอาไว้แน่น  "เรียกสิเพรย์"

   "กี…กรีน  กรีน  กรีน  กรีน…กรีน"  น้ำเสียงหวานใสที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คิมหันต์เบิกตากว้างอย่างตกใจ

   "เสียงเพรย์หรอกเหรอ…ที่เรียกพี่เมื่อกี้น่ะ  ที่ตะโกนเสียงดัง ๆ ในหัวน่ะใช่มั้ย"  คิมหันต์ระล่ำระลักถาม  "เคยเรียกใช่มั้ย"

   ดวงหน้าหวานเปื้อนน้ำตาพยักรับในทันที  มือที่ถือสร้อยยื่นออกมาอีกครั้ง  "กรีน…"  น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเรียกเหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง  หากแต่เขาพูดได้เพียงแค่คำเดียว

   "ใส่ให้สิ"  คิมหันต์เอ่ยบอก  แล้วก้มศีรษะรอรับสร้อย

   รัตติกาลบรรจงสวมสร้อยให้คิมหันต์  มือบางยกปาดน้ำตาบนดวงหน้าเปื้อนยิ้ม  แล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข  ทำให้คิมหันต์ได้ยินเสียงหัวเราะของรัตติกาลที่ดูเหมือนเคยได้ยิน  แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน

   ความปวดร้าวในศีรษะเริ่มทุเลาไปบ้างแล้ว  คิมหันต์ทิ้งตัวนอนหนุนตักรัตติกาลด้วยความสงสัยที่ค้างคาอยู่ภายในจิตใจ  เขาเคยงงกับคำถามของน้องชายในวันหนึ่งที่ถามเขาว่า  'ลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า'  ไม่ว่าเขาจะถูกถามอย่างนั้นอีกกี่ครั้ง  ก็มักจะตอบกลับไปเหมือนเดิมเสมอ…ว่าไม่ได้ลืมอะไร

   เสียงตะโกนเรียกชื่อด้วยความตกใจผสมหวาดกลัว  ที่คิมหันต์เคยได้ยินอยู่ภายในใจบ่อย ๆ และเคยสงสัยมานานว่าเป็นเสียงของใคร  วันนี้เขาได้รู้แล้วว่าเสียงเรียกนั้นเป็นเสียงของรัตติกาล  พวกเขาเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นหรือ…ทำไมเขาถึงจำไม่ได้เลย

   "เพรย์…พวกเรารู้จักกันที่ไหนมาก่อนใช่มั้ย"  คิมหันต์ถามอย่างไม่แน่ใจนัก  แต่รัตติกาลก็พยักหน้าแทนคำตอบ  "เป็นคนรักกันมาก่อนเหรอ"

   เจอคำถามนั้นเข้ารัตติกาลก็นิ่งไป  ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบไปหรือเปล่า  ในเมื่อคิมหันต์ยังจำเรื่องนั้นไม่ได้  แล้วอีกฝ่ายจะยอมรับเขาได้แค่ไหนกัน 

"อือ…"  ส่งเสียงรับคำออกไปจนได้

"รักกันมากมั้ย"  คิมหันต์ถามอีก  คนข้าง ๆ ก็พยักหน้ารับ 

"แล้วสร้อยนี้ใครซื้อ  เอ้อ…ใครสั่งทำ"  รัตติกาลชี้นิ้วที่ตัวเองเป็นคำตอบ

"ให้พี่วันเกิดเหรอ"  คิมหันต์จำได้ว่าเหมันต์เคยบอกว่า  เขาเป็นคนบอกอีกฝ่ายเองว่าซื้อสร้อยเส้นนี้มาตอนวันเกิด  และเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี

รัตติกาลพยักหน้าอีกครั้ง  นิ้วหนึ่งเกี่ยวสร้อยที่คอออกมา  ก่อนดึงนิ้วของคิมหันต์ขึ้นสัมผัสผิวด้านหลังของตัวกางเขน  นิ้วที่สัมผัสถูกอักขระบางอย่างทำให้คิมหันต์ต้องลุกขึ้นนั่งข้าง ๆ รัตติกาล  ไล้นิ้วไปตามตัวอักษรที่ดูเหมือนจะเป็น  GREEN  ให้แน่ใจว่าใช่  แล้วเปลี่ยนไปไล้นิ้วบนกางเขนที่ห้อยอยู่กับสร้อยของเขา  ตัวอักษร  P-R-A-Y  ที่นิ้วสัมผัสถูกทำให้ต้องเงยหน้ามองอีกคน

   "ทำไมถึงไม่บอกตั้งแต่แรก  ถ้ารอให้พี่จำได้ต้องรอถึงเมื่อไหร่กัน"  คิมหันต์ตำหนิอย่างนึกโมโห  ก่อนจะนึกบางเรื่องขึ้นมาได้  ใบหน้าเทพบุตรโน้มกระซิบกับรัตติกาลทันที  "งั้นพี่ก็เป็นคนแรกของเราด้วยใช่ปะ"

   ดวงหน้าหวานซับสีเรื่อทันใด  มือบางผลักไสคิมหันต์ให้ออกไปห่าง  แต่ก็ถูกอ้อมกอดแข็งแรงโอบล้อมเอาไว้  รอยยิ้มพรายบนใบหน้านั้นทำให้รัตติกาลที่หน้างอต้องเผลอยิ้มออกมา  เรียวแขนเล็กโอบกอดคนรักเอาไว้  รู้สึกเหมือนได้คนรักคนเดิมคืนมาแล้ว…ถึงอีกฝ่ายจะยังจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ก็ตาม

   ถ้าหากยังคงอยู่ด้วยกันไปแบบนี้  รัตติกาลก็ยังเชื่อว่าคิมหันต์จะต้องจำเขาได้อย่างแน่นอน  แล้วเขาก็กำลังรอวันนั้นอยู่  ในเมื่อการณ์นี้คือสาเหตุที่เขาต้องกลับมาหาคิมหันต์  กลับมาเพื่อทวงคนรักเก่าคืนมา…ด้วยสองมือและหัวใจ

…เพื่อคำอธิษฐานในวันนั้น…
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:31:34 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน 7
«ตอบ #101 เมื่อ29-12-2013 21:19:00 »

พลังอธิษฐาน 7



   ถ้าโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มันห้ามกันได้  สิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่เราสามารถรับรู้ว่ามันจะไม่มีวันเข้าไปอยู่ในข่ายนั้น  ในตอนนี้คงเห็นเพียงสองสิ่ง

"หัวใจและกาลเวลา"

สองสิ่งนี้เท่านั้นที่นำพาพวกเรามาถึงที่นี่ในเวลานี้  นำพาเรามาเพื่อให้คิดถึงใครอีกคนที่มีความสำคัญต่อเรา…คนที่จะอยู่ภายในหัวใจเสมอ  แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

"ผารอรัก"   ชื่อของหน้าผาเวิ้งว้างในจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  สถานที่ที่หลายคนเล่าถึงตำนานอันเก่าแก่  เรื่องราวที่ผ่านมาเนิ่นนานจนไม่คิดว่าคนเราจะยังสามารถจดจำเรื่องราวนั้นได้อยู่…แต่น่าแปลกที่เรื่องเล่า  "ไม่เคยถูกลืม"

หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งผูกพันรักใคร่กับผู้ชายอีกคน  ใช่! ทั้งสองคนรักกัน  แล้วมันก็คงจะเหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่ความรักของคนรักคู่หนึ่งจะไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้สวยหรูงดงาม  มีรักย่อมมีพรากจาก  เธอคนนั้นเป็นฝ่ายรอคนรักอยู่ที่นี่…แต่กี่ครั้งที่ฝ่ายรอจะได้พอเจอคนที่รอ

"เขาไม่กลับมา"  เหมือนกับเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เราเคยได้ยินได้ฟัง 

สถานที่แห่งนี้มีขึ้นเพื่อสรรเสริญความรักครั้งนั้นหรือไม่  ไม่มีใครสามารถรู้ได้  แต่ที่นี่ก็ขึ้นชื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอันดับต้น ๆ ของจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  เช่นเดียวกับที่มันติดอันดับหนึ่งที่มีคนฆ่าตัวตายมากที่สุด…เขาเหล่านั้นคือผู้ที่ผิดหวังในความรักนั่นเอง
มือบางวางทาบเบา ๆ บนรั้วไม้สูงหนึ่งเมตร  ที่สร้างกั้นผู้คนให้ห่างจากความอันตรายของหุบเหวลึก  แต่ไม่สามารถกางกั้นความปรารถนาอันแรงกล้าของคนมากมายที่ยอมเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่  เพื่อคนเพียงคนเดียวที่เห็นว่าสำคัญเกินกว่าผู้ใด

เส้นผมสลวยสีดำปลิวสะบัดตามแรงลมแล้วตกลงระรานบนดวงหน้าหวาน  ทำให้คนข้าง ๆ ต้องเอื้อมมือขึ้นปัดให้อย่างรำคาญแทน  ทำให้ได้รับรอยยิ้มหวานตอบแทนกลับไปแทนคำขอบคุณ  ก่อนจะดึงมือนั้นมากุมไว้เหมือนต้องการถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่างให้

ดวงตาโตมองฉาบไปยังอากาศสีดำสนิทในเบื้องลึก  น้ำใสคลอที่ดวงตาแม้ได้พยายามอดกลั้นเต็มที่  เพราะคำพูดที่กำลังจะบาดใจต่อคนข้าง ๆ ทำให้รู้สึกว่าหัวใจกำลังถูกบีบ  แต่หากไม่พูดมันออกไปเล่า…มันจะเจ็บปวดกว่าไหม

"สองปีแล้วนะครับพี่เรด  พรุ่งนี้เราจะไปรับพี่กรีนกลับบ้านกันนะ  ถึงพี่บลูจะไม่กลับมาแล้ว  แต่พี่กรีนก็ยังกลับมาใช่มั้ยล่ะครับ"  รอยยิ้มอาบเส้นทางน้ำตาทำให้คนที่หันหน้ามามองพยักหน้าเบา ๆ  ใช่สองปีและสี่ครั้งแล้วที่รัตติกาลพูดแบบนี้

เพียงแค่นั้นเปลือกตาบางที่ปิดลงก็ปลดปล่อยน้ำตามากมายให้รินไหลลงมาอย่างปวดหัวใจ  คนรักที่จากไปแล้ว  ให้คำมั่นว่าจะไม่กลับมาอีก  แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ไม่เคยลืมอีกฝ่ายได้เลย

คำลาไม่ได้เอ่ยออกไป  แต่ความรักนั้นสิ้นสุดลงแล้ว

'แต่อย่างไรวสันต์ก็ยังเป็น…คนรัก'

++++++++++++++++++++++++

   …สองปีก่อน…

   คิมหันต์ที่กำลังจะเรียนจบมัธยมปลายให้คำปรึกษาวสันต์ถึงเรื่องที่อีกฝ่ายจะสอบเทียบเพื่อไปเรียนต่อพร้อม ๆ กับเขา  โดยที่เหมันต์ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลย  เพราะวสันต์ให้เหตุผลว่ารู้ช้าหน่อยก็คงจะเจ็บปวดน้อยลง

   ในค่ำคืนสุดท้ายที่จังหวัดที่เก้าสิบเก้า  คืนสุดท้ายที่ความรักของวสันต์และเหมันต์สิ้นสุดลง  ฝ่ายหนึ่งเจ็บปวดไม่น้อยกับการปิดบัง  ส่วนอีกฝ่ายมีความสุขเพราะไม่รู้อะไรเลย

   "เอ…ตัวร้อนรุม ๆ นะเรด"  มือใหญ่วางทาบหน้าผากมนอย่างเห็นใจ  ดวงหน้าซีดหากแซมสีแดงเรื่อยิ้มน้อย ๆ ให้คนรัก  แล้วเอื้อมดึงมือนั้นมาวางทาบกับอกที่ตำแหน่งหัวใจ  ทั้งที่รอยยิ้มหวานไม่ได้ลดน้อยหายไปจากหน้านั้น

   "ฝืนเกินไปสินะคืนนี้"  วสันต์เอ่ยอย่างรู้สึกผิด  ริมฝีปากบางสัมผัสเบา ๆ บนหน้าผากนวล  ก่อนไล้ปลายจมูกลงมาตามแก้มนุ่มแล้วกดลงไปแรง ๆ หลายครั้ง

   "รู้ว่ามันมากไป  แต่ก็ฝืนไม่ใช่เหรอ"  เหมันต์ต่อว่าพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถูกวสันต์ดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น 

   แม้จะแปลกใจหากแต่ไม่เอ่ยถาม  ทุกวันเคยรักกันมา…เนิ่นนานหากยังจำได้  แต่ความรู้สึกของค่ำคืนนี้ล่ะ  อะไรที่มันเปลี่ยนไป

   ความรักที่ดูเหมือนจะมากมายจนเอ่อล้นอยู่เต็มห้องหรือความรู้สึกบางอย่างที่กรุ่นกระจายหากแต่เดาได้ว่าไม่ใช่…ความสุข
   'ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด'  เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบสงบภายในห้อง  ทำให้วสันต์ต้องเอี้ยวตัวออกจากคนรักเพื่อเอื้อมหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาขึ้นมา

   "ครับ…อ๋อ  ฟ้า  ครับ ๆ ๆ ๆ ๆ  แล้วเจอกันครับ"  เอ่ยรับคำอยู่หลายครั้ง  ก่อนจะมีคำพูดตัดบทที่เมื่อเหมันต์ได้ยินก็ทำได้เพียงซุกซบใบหน้าลงกับอกอุ่น ๆ อย่างพยายามทำใจเท่านั้น

   ดวงตาที่เคยหยาดเยิ้มปิดลงสนิท  สิ้นเสียงสำเนียงใด ๆ เอ่ยออกมาจากคนทั้งคู่ที่นอนหลับตาเงียบ  ไม่ใช่ว่าทั้งคู่ไม่ต้องการพูด  แต่ดูเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า  ภายในห้องดูเหมือนจะไร้การเคลื่อนไหว  หากวสันต์จะไม่ขยับตัวลุกขึ้นเปิดไฟที่หัวเตียงเพื่อทำลายความสงบนั้นเสียเอง

   "เรด  ลุกไหวมั้ย  อาบน้ำดีกว่า"  วสันต์เอ่ยชวน  แต่ไม่รอคำตอบเมื่อเขาอุ้มเรือนร่างเปลือยเปล่าของเหมันต์ตรงไปยังห้องน้ำในทันที

++++++++++++++++++++++++

   สายน้ำไหลเอื่อย ๆ ไม่หยุด  แม้มันจะล้นออกมาจากอ่าง  จนเกือบจะท่วมห้องนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีใครมานั่งสนใจ  แต่ห้องที่เงียบสงบมีเพียงเสียงน้ำไหลรินก็ทำให้เมหันต์นึกสงสัยอยู่ในใจว่าวันนี้คนข้าง ๆ ตัวเขาเป็นอะไรกันแน่…บรรยากาศถึงดูแปลก ๆ

   ดวงหน้าสดใสที่เคยซีดหันกลับหลังไปมองอีกคนอย่างแปลกใจ  แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเตรียมรับสถานการณ์ไว้แล้ว  เมื่อริมฝีปากบางกดประทับลงบนริมฝีปากอิ่มช้ำอย่างได้ที  ทำให้คนเผลอได้แค่เพียงยอมรับด้วยความเต็มใจเท่านั้น

   ผิวเนียนนุ่มเริ่มเตรียมรับสัมผัสอ่อนโยนอีกครั้ง  ตามแรงอารมณ์ที่ก่อบังเกิด  ริมฝีปากที่ไล้วนอยู่แถวซอกคอสร้างรอยกลีบกุหลาบให้ปรากฏเต็มไปหมด  โดยที่เจ้าของร่างกายไม่ได้สนใจต่อสิ่งใดจากอาการที่เอียงตัวรับนั้น…ค่ำคืนร้อนแรงภายใต้สายน้ำไหลยังคงดำเนินต่อไป  จนถึงจุดสิ้นสุดลงในเวลาเช้าตรู่ 

++++++++++++++++++++++++

   กระดุมเสื้อถูกติดอย่างเลื่อนลอย  สายตาที่เหม่อมองทอดไปยังคนที่กำลังหลับตาพริ้มด้วยรอยยิ้มนั้น  มีแววเศร้าที่บ่งบอกอารมณ์ที่กำลังรู้สึกได้ดี  สองขาดูเหมือนจะไร้แรงพลังเมื่อยามที่เดินมาทิ้งตัวลงข้าง ๆ เรือนร่างบอบบาง

   เส้นผมกลุ่มหนึ่งที่ตกลงมาปรกดวงหน้านั้นถูกปัดออกอย่างแผ่วเบา  ก่อนที่หน้าผากมนจะได้รับสัมผัสอ่อนโยนจากริมฝีปากบาง  แรงประทับที่เนิ่นนานทำให้คนที่กำลังหลับตกใจตื่น  ดวงตาใสหวานผลุบขึ้นช้า ๆ เมื่อจ้องมองคนข้าง ๆ

   รอยยิ้มหวาน ๆ กับอาการไขว่คว้าหาด้วยสองแขน  ทำให้วสันต์ต้องทิ้งตัวลงกอดเหมันต์เอาไว้ด้วยความอดกลั้น  ความเศร้าแม้จับใจแต่ไม่เคยสักครั้งที่มันจะห้ามหัวใจได้เลย

   'ถ้าความรักถ้ามันห้ามกันได้…พวกเขาจะต้องมีวันนี้หรือไร'

   …วันที่ต้องปวดใจเพราะสูญเสียรักนั้นไป…

   วสันต์ใช้ท่อนแขนดันตัวขึ้นจ้องมองดวงหน้าที่ยังคงมีรอยยิ้ม  ก่อนเอื้อมมือหนึ่งลูบเบา ๆ บนหน้าผากมนที่ดูเหมือนจะร้อนรุมเพราะอาการไข้ที่เริ่มลุกลาม  ดวงตาจับจ้องมองคนที่อาจจะเคยรักอย่างเศร้าใจ  รู้ดีมาแต่ไหนแต่ไรว่าคนตรงหน้านี้

   …ไม่ใช่คนที่ต้องการ  แต่ไม่ใช่คนที่อยากทิ้งไป…

   "เรดนอนต่อนะ  บลูจะไปแล้วล่ะ  นัดฟ้าเอาไว้"  วสันต์เอ่ยบอกเรื่องราวเพียงบางส่วน  แม้รู้ดีว่ามันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ร่ำลา 

   "เหรอ…"  เสียงรับคำอย่างอ่อนล้า  ที่รู้ดีว่าไม่ใช่เพราะอาการป่วยที่รุมเร้า  แต่หากเพราะความรู้สึกน้อยอกน้อยใจภายใน  ทำให้วสันต์ต้องก้มลงประกบริมฝีปากอิ่มช้ำนั้นอย่างอดไม่ได้

   "ดูแลตัวเองดี ๆ นะ"  วสันต์เอ่ยบอกอย่างเป็นห่วง  นิ้วไล้ไปตามแก้มใสที่แดงเรื่อด้วยความสงสารและเห็นใจ  ก่อนตัดใจลุกขึ้นมาในที่สุด

   ดวงตาที่เริ่มหรี่ลงจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ก้าวเดินออกจากห้องอย่างใจหาย  ความรู้สึกบางอย่างท่วมท้นให้ต้องเสียใจจนกระทั่งร้องไห้  เสียงสะอึกสะอื้นดังอยู่เพียงภายในห้องกว้างเมื่อประตูนั้นถูกปิดลง  หลายครั้งที่มือบางพยายามเช็ดน้ำตาให้หมดไป  แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีทางหมดไปง่าย ๆ

   ความรู้สึกบางอย่างทำให้ต้องลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้  เสื้อคลุมสีน้ำเงินตัวบางที่ถูกวสันต์ถอดวางไว้ถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่ด้วยความอ่อนเพลีย  ก่อนที่เหมันต์จะเดินออกไปที่ระเบียงแล้วมองลงไปยังด้านล่าง  ภาพบางอย่างทำให้ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

   สองมือผลักยันผนังห้องเพื่อส่งตัวเองให้วิ่งไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี  เส้นทางที่อาจจะเคยเห็นเมื่อค่อย ๆ เดินไปถูกปิดบังด้วยหยดน้ำใสที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย  ไม่รู้ว่าเพราะโชคดีหรือเปล่าทำให้ไม่กลิ้งตกบันไดไปเพราะมองไม่เห็นสิ่งใด

   รัตติกาลที่ยืนมองรถที่เพิ่งเคลื่อนจากไปหันมามองคนที่วิ่งออกมาจากตัวบ้านด้วยความตกใจ  ขณะที่ร่างนั้นวิ่งผ่านหน้าแม้ได้พยายามเอื้อมคว้าเอาไว้  แต่ก็ยังรั้งเอาไว้ไม่อยู่  จึงทำได้แค่เพียงวิ่งตามไปเท่านั้น

   ไม่ว่าจะเพราะแรงใจหรือแรงพลังที่เหมันต์พยายามใช้มัน  เพื่อตามรถข้างหน้าให้ทัน  ความเร็วที่ต่างกันออกไปก็เป็นตัวบ่งบอกดีอยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางตามอีกฝ่ายไปได้ทันเลย  เรี่ยวแรงสุดท้ายที่หมดลงทำให้ต้องล้มลงในที่สุด

   เส้นทางว่างเปล่าประดับด้วยต้นไม้ตามสองข้างทางกับภาพใครคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อย่างโดดเดี่ยว  ทำให้รัตติกาลต้องทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างด้วยความเสียใจ  เมื่อในที่สุดคนที่ไม่เคยรับรู้อะไรก็ได้รู้ทุกเรื่อง  แล้วก็กลับกลายเป็นคนที่เสียใจมากที่สุด

   …เมื่อวานอาจจะเคยยิ้มได้  แต่วันนี้และวันต่อไปเล่าจะเป็นเช่นไร…

++++++++++++++++++++++++

   ภาพที่เห็นอยู่ข้างหลังทำให้คิมหันต์เริ่มนั่งไม่ติด  แม้จะหันมองไปที่คนข้าง ๆ กี่ครั้ง  ก็มีเพียงความเงียบสงบเท่านั้น  ไม่มีแม้แต่ความห่วงใย  อาลัยอาวรณ์ต่อคนข้างหลังแม้แต่น้อย  จนกระทั่งเห็นภาพของน้องชายล้มลงอยู่ข้างหลังนั่นแหละ  คิมหันต์ถึงได้ทนไม่ไหวในที่สุด

   "จอดรถ"  เสียงตะโกนสั่งคนขับรถด้วยเสียงอันดัง  ก่อนที่จะหันไปบอกวสันต์  "นายไปก่อนแล้วกันบลู  พี่จะตามไปวันหลัง"

   เสียงเปิดปิดประตูรถที่ดังขึ้นไม่อาจเรียกสติของวสันต์คืนมาได้  ภาพข้างหลังที่ตัดสินใจหันไปมองทำให้ต้องหลับตาลง  เหมือนไม่ต้องการจะรับรู้ต่อสิ่งใดอีก  เมื่อเขากำลังจะหนีไปจากเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น  หนีจากไปจากที่นี่  แล้วจะไม่กลับมาอีกเลย

++++++++++++++++++++++++

   รถเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้งกับคิมหันต์ที่วิ่งกลับมาตามเส้นทางเดิม  แม้จะดูขัดกันอย่างประหลาด  แต่ความอบอุ่นบางอย่างทำให้เหมันต์ที่เฝ้ามองต้องยิ้มออกมาทั้งน้ำตา  แล้วใครกันล่ะที่ไม่เคยทิ้งกันไปไหน…ไม่ใช่ใครคนนี้หรอกหรือ

   สองแขนที่กอดรัดรัตติกาลเอาไว้ยื่นออกหาพี่ชาย  ทำให้คิมหันต์ต้องถลาเข้าหาน้องชายด้วยความเจ็บช้ำ  เสียงสะอึกสะอื้นอย่างไม่ปิดบังดังแทรกความสงบในบริเวณนั้น  หากอีกฝ่ายไม่สลบไปก็คงจะยังได้ยินอยู่เป็นแน่

   ร่างที่แน่นิ่งไปถูกช้อนขึ้นแนบอกพี่ชาย  ก่อนพาเดินกลับไปทางเดิม  โดยมีรัตติกาลคอยตามเพียงห่าง ๆ มือบางเอื้อมปาดน้ำตาป้อย ๆ ไม่หยุด  ด้วยความปวดร้าว  ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่พยายามปกป้องเหมันต์  ทั้ง ๆ ที่คิดว่าถ้าอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาหลังจากวสันต์ไปแล้ว  น่าจะพูดกันได้ง่ายกว่านี้…แต่เรื่องราวก็ไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้

++++++++++++++++++++++++

   ผ้าผืนเล็กถูกวางทาบลงบนหน้าผากของคนที่กำลังหลับไหลเพราะพิษไข้  รุ่นน้องผู้คุ้นเคยดึงมือบางนั้นขึ้นมากุมไว้ด้วยความเป็นห่วง  ก่อนที่จะทิ้งตัวลงกอดคนที่เป็นเหมือนพี่ชายไว้ทั้งตัวราวต้องการให้ความอบอุ่น

   ข้างตัวที่ยังคงมีคนรักนั่งอยู่ไม่ห่างทำให้เขาต้องรู้สึกอบอุ่นกว่าคนที่กำลังหลับอยู่แล้ว  ดวงตาโตจับจ้องคิมหันต์ด้วยความรักใคร่แล้วยิ้มออกมาพร้อมหยดน้ำใส ๆ ที่หยาดรินออกมาจากดวงตาคู่นั้น

   "กรีน…"  เอ่ยเรียกเสียงเบาแล้วดึงมือใหญ่มาประกบกับมือของตนที่ยังคงกุมมือเหมันต์เอาไว้แน่น  "กรีน…พี่เรด"

   แม้จะได้ฝึกการออกเสียงมาเกือบครบปี  รัตติกาลก็พูดได้เพียงแค่บางคำเท่านั้น  แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็รู้ว่าเด็กหนุ่มมีความตั้งใจมากเกินปกติอยู่แล้ว  เพราะเพียงแค่วันสามแรกที่เริ่มฝึกอีกฝ่ายก็เอ่ยเรียกเหมันต์ได้ด้วยรอยยิ้มสดใส…กระทั่งอีกคนอดใจไม่ไหวดึงเขามากอดจนไม่ยอมปล่อยเป็นรางวัลนั่นแหละ

   "ป่วย  เดี๋ยวก็หาย  เดี๋ยวกรีนเลื่อนวันเดินทางไปซักสองวันแล้วกัน  เพราะมันเลื่อนมากกว่านี้ไม่ได้ด้วย  เพรย์ช่วยดูเรดให้กรีนด้วยนะ"  คิมหันต์เอ่ยคนรักด้วยความกังวล  แต่แรงพยักหน้าแรง ๆ หลายครั้งก็ทำให้อุ่นใจได้เช่นกัน

   ความทรงจำบางส่วนของคิมหันต์กลับคืนมาแล้ว  เพราะความใกล้ชิดกับรัตติกาลทำให้เขาจดจำเรื่องราวเก่า ๆ ได้บ้าง  แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด  แต่เหตุการณ์วันนั้นที่ทำให้เขาต้องลืมคนที่รักไป  เขาก็จำได้แล้วในที่สุด

++++++++++++++++++++++++

   20  มกราคมเมื่อสามปีก่อน 

   รัตติกาลเดินไปตามทางของร้านรวงต่าง ๆ ในย่านธุรกิจด้วยรอยยิ้ม  เขานัดกับคิมหันต์ไว้ที่ร้านคริสตัลแอนด์ซิลเวอร์  แม้รู้ดีว่าคิมหันต์คงจะอยากซื้ออะไรบางอย่างในร้านนั้นให้กับเขา  แต่รัตติกาลก็กำลังจะไปปฏิเสธว่า  ตัวเขาไม่อยากได้อะไรจากร้านนั้นอีกแล้ว

   ก่อนที่ดวงตาโตจะชำเลืองมองไปเห็นคนรักที่ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คน  ดวงหน้าหวานยิ้มระรื่นด้วยความดีใจก่อนวิ่งเข้าไปหา  ในมือมีถือถุงกระดาษสีสดใสด้านใสมีผ้าพันคอที่ตั้งใจซื้อมาฝากคิมหันต์เพราะกำลังจะเข้าหน้าหนาวของที่นี่อยู่ด้วย

   ฝีเท้าที่เร่งรีบสะดุดลงเมื่อเข้าไปใกล้อีกเพียงนิด  ดวงตามองเห็นเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกันซึ่งเป็นนักเรียนหญิงของเอกศาสตร์  กำลังโน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาจูบอย่างไม่สนใจต่อสายตาใคร ๆ แม้แต่ดวงตาโตสีดำสนิทที่กำลังเบิกกว้างจ้องมองอย่างตกใจเต็มที่

   คิมหันต์ที่ดูเหมือนจะรู้ว่าถูกจ้องมอง  เบือนสายตามาตามความรู้สึกก่อนจะตกใจจนกระทั่งผลักเด็กสาวคนนั้นล้มลงกับพื้นอย่างไม่สนใจใยดี  แต่แม้จะพยายามขยับเข้าไปหาเท่าไหร่  ดูเหมือนรัตติกาลจะยิ่งถอยห่างมากขึ้นเท่านั้น  สองมือบางกุมถุงกระดาษสีสดใสไว้แน่น  ก่อนจะหันกลับหลังวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

   ถนนหนทางข้างหน้าไม่รู้เท่าไหร่ที่วิ่งข้ามไปโดยไม่สนใจรถลาที่เคลื่อนไหว  คนข้างหลังที่พยายามวิ่งตามต่างหากที่ต้องคอยกระโดดหลบรถเหล่านั้นอย่างหัวเสีย  ห่วงคนรักก็ห่วงแต่ก็ไม่สามารถตามอีกฝ่ายไปได้ทันเสียที

   ในที่สุดเหลือเพียงถนนเส้นสุดท้ายที่กั้นกลางระหว่างคิมหันต์กับรัตติกาลเอาไว้  เด็กหนุ่มที่วิ่งตามหลังเร่งฝีเท้าโดยไม่สนใจต่อสิ่งใด  เมื่อข้างหน้าระยะทางห่างไกลแต่หากไปได้ถึง  ถ้าไม่มีรถตู้คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วเฉี่ยวชนเขาให้ต้องล้มลงกับพื้นถนน  ซ้ำศีรษะยังกระแทกเข้ากับฟุตบาทจนเจ็บร้าวไปหมด

   โสตประสาทได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองดัง ๆ หลายครั้ง  ดวงตาที่กำลังหลุบต่ำเหลือบเห็นคนรักวิ่งเข้ามาเพื่อประคองตัวเขาเอาไว้  ก่อนจะไม่รับรู้และได้ยินสิ่งใดอีก

   รัตติกาลที่กรีดร้องเต็มเสียงอยู่หลายครั้งรู้ว่าไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้อีก  เมื่อเขาพยายามเอ่ยเรียกชื่อคนรักในอ้อมกอด  มีเพียงริมฝีปากที่พยายามเอื้อนเอ่ยกับน้ำตาที่รินไหลไม่หยุดเท่านั้น  ที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใยคนที่หมดสติไป

++++++++++++++++++++++++

   หลังจากที่คิมหันต์ฟื้นขึ้นมา  รัตติกาลเคยไปเยี่ยมอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง  แต่ดวงตาที่ห่างเหินกับความเฉยเมยที่ได้รับทำให้อดปวดใจไม่ได้  ก่อนจะรู้จากเหมันต์ว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักเขา  และจำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย 

   รัตติกาลหายออกไปจากชีวิตของคิมหันต์นานสองปี  จนแม้แต่เหมันต์ที่เคยพบกันครั้งหนึ่งก็จำเขาไม่ได้เช่นกัน  เขาอยู่ในโรงเรียนในฐานะเด็กพิเศษ  เพราะเคยพูดได้แต่อยู่ ๆ ก็พูดไม่ได้  ทางบ้านที่ไม่เคยสนใจใยดี  จึงไม่มีทางจะได้รู้ว่าเขามีสถานะเปลี่ยนไปที่โรงเรียน

   คิมหันต์จดจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ในวันหนึ่งที่ตัวเขามีอาการปวดหัวอย่างหนักจนที่บ้านต้องพาส่งโรงพยาบาล  เรื่องราวผ่านเข้ามาในความทรงจำราวกับความฝัน  ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาโดยมีรัตติกาลอยู่เคียงข้าง

   สองแขนสั่นสะท้านที่โผเข้ากอดคิมหันต์ด้วยความหวาดกลัวว่าเขาจะลืมเรื่องที่ผ่านมาไปอีก  เขาได้แต่หัวเราะเบา ๆ จนอีกฝ่ายได้ยินแล้วงอนไปอีกรอบ  ทำให้เขาต้องง้อด้วยการเล่าเรื่องที่จำได้ให้ฟังเพื่อหวังจะเรียกรอยยิ้มหวาน ๆ  แต่ก็ได้น้ำตาอาบแก้มนวลมาแทนเสียอีก

   เรื่องราวในวันนั้นดูเหมือนเหมันต์จะเป็นคนที่ดีใจมากที่สุด  อีกฝ่ายถึงขนาดดึงพี่ชายกับรัตติกาลเข้ามากอดเสียแน่น  จนรัตติกาลหายใจไม่ออกถึงยอมปล่อย  แล้วมานั่งลูบหน้าลูบหลังให้รุ่นน้องคนโปรดด้วยความกังวล  ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่ออีกคนขยับเข้าซบอกเขาอย่างเอาใจ

++++++++++++++++++++++++

   เรื่องราวความกังวลดูเหมือนจะจบลงในวันนั้น  หากไม่มีเรื่องของวสันต์มาคั่นกลางเอาไว้  ความฝันและความหวังที่อีกฝ่ายมีนั้น  ทำให้คิมหันต์ตัดสินใจช่วยอีกฝ่ายเต็มที่  แม้จะรู้ดีว่าเหมันต์จะต้องเสียใจมากในวันหนึ่ง  แต่ถ้าเหมันต์เป็นเขาอีกฝ่ายก็ต้องทำแบบเดียวกันแน่นอน

   วันนี้วสันต์จากไปแล้ว  อีกฝ่ายมีปณิธานอันแรงกล้าว่าจะไม่กลับมาที่เมืองไทยอีก  ไม่ว่าความตั้งใจนั้นจะทำร้ายใคร  หากมันเป็นความต้องการของวสันต์ก็คงไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเรื่องนั้นเอาไว้ได้  แม้แต่ความเจ็บปวดของเหมันต์ก็ไม่สามารถหยุดวสันต์ไว้ได้เช่นกัน

   ดวงตาคมเหม่อมองไปยังฟากฟ้าไกล  ไม่มีเสียงเครื่องบินบินผ่าน  แต่ในเวลานี้วสันต์ก็คงเดินทางออกไปนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว  เมื่อไรก็ตามที่เหมันต์ลืมตาขึ้นมา  อีกฝ่ายก็จะต้องรับรู้ความจริงที่รออยู่  ต้องยอมรับว่าวสันต์จากไปแล้ว…ตลอดไป

   สองแขนเรียวที่โอบล้อมตัวทำให้คิมหันต์หันมาดึงร่างบางไปกอดเอาไว้ราวกับต้องการที่พึ่งทางใจ  เหตุการณ์ที่ไม่สามารถใช้คำพูดใด ๆ มาทดแทนความรู้สึกที่สุดแสนเจ็บปวดนี้ได้  ทำให้ดูเหมือนว่าทุกคนจะกลายเป็นใบ้กันไปหมด

   หากมันจะมีเสียงใด ๆ ผ่านออกมานั่นคงเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความชอกช้ำใจ  มากกว่าจะเป็นคำพูดใดคำพูดหนึ่งซึ่งเอ่ยออกมาให้มีความหมายเพื่อปลุกปลอบใจใคร ๆ หากความรู้สึกมันจะสำคัญต่อหัวใจ  บางทีหากไม่มีทั้งหัวใจและความรู้สึกอาจจะดีกว่าก็เป็นได้

++++++++++++++++++++++++

   "เพรย์…คิดถึงนะ"  เสียงกระซิบข้าง ๆ หูทำให้รัตติกาลเหลือบมองคนพูดตาโต  เมื่ออีกฝ่ายยังไม่ได้ไปถึงไหนไกลแท้ ๆ  ทำไมถึงเป็นคำนี้ไปได้

   ดวงหน้าหวานส่ายไปมาเหมือนไม่ชอบใจ  "ไม่เอา…ไม่เอา"

   "แล้วไงล่ะคนเก่ง  จะเอาคำไหน…อยากได้ทำไมไม่พูดก่อน"  คิมหันต์หยอกอีกฝ่ายด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ 

   แก้มใสแดงเรื่อแล้วหันหลบดวงตาเป็นประกายที่ทอดมองมา  ทำให้ถูกระรานด้วยริมฝีปากไปหลายครั้งจนต้องหันกลับมาเพราะเริ่มโมโห  ดวงตาโตสร้างประกายดุอีกคน  จนกระทั่งเรียกเสียงหัวเราะได้  แต่พอได้ยินแก้มใส ๆ ก็ป่องขึ้นมาด้วยความงอนเช่นเคย

   "อ้าว…งอนอีกแล้วนะ  เพรย์น่ะ  ก็อยากได้ยินคำไหนล่ะครับ  ฮื้อ"  น้ำเสียงอ่อนโยนพยายามรุกไล่รัตติกาลจนอ่อนใจมากกว่าใจอ่อน

   ดวงหน้าก้มมองพื้นอย่างเอียงอาย  ก่อนเงยขึ้นมาสบตาคม  "รัก…"

   "ง่ายจะตาย…รักนะเพรย์"  เสียงคิมหันต์กระซิบบอกอยู่ข้าง ๆ หู  แต่ดูเหมือนสายลมจะแรงพอ  เมื่อพัดผ่านไปให้อีกคนที่นอนลืมตาอยู่ได้ยินด้วย

   เสียงหัวเราะอย่างขบขันทำให้คู่หวานต้องหันไปมองอย่างตกใจ  คนที่คิดว่ากำลังหลับเพราะพิษไข้  หันมามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน  ดวงตาฉ่ำน้ำฉายแววมีความสุขนั้นทำให้พวกเขายิ้มออกมาได้  เหมันต์ก็คือเหมันต์  สถานการณ์ที่เตรียมรับไว้แล้วต้องรับได้ในที่สุด

   คิมหันต์จูงรัตติกาลไปที่เตียงด้วยความดีใจ  "ตื่นแล้วเหรอเรา"  มือใหญ่เอื้อมลูบหน้าผากมนเบา ๆ  ทำให้ผ้าผืนเล็กตกลงอย่างไม่ได้รับความสนใจ

   มือบางเอื้อมคว้ามือพี่ชายเอาไว้แล้วยิ้มออกมา  "พี่กรีนจะให้หลับไม่ตื่นรึไงล่ะ  แล้วนี่จะไปวันไหน"
   "อีกสองวัน  มีเวลาแค่นี้จริง ๆ นะ  ไม่เป็นไรฝากเพรย์ดูแลนายแล้วล่ะ"  พี่ชายพูดด้วยรอยยิ้ม  แต่คิ้วน้องชายกลับกระตุกอย่างสงสัย

   "ให้เจ้าตัวเล็กดูแลผมเหรอ  พี่จะบ้าเหรอ"  เสียงวีนถามขึ้นมาเสียงดัง  "ผมจะดูแลเพรย์เอง  พี่น่ะไม่ต้องห่วง"

++++++++++++++++++++++++

   คำพูดของน้องชายตัวดีทำให้คิมหันต์ยิ้มอย่างตลกขบขัน  เขาเดินทางกลับไปด้วยความไว้วางใจในตัวของน้องชายว่าหายดีเป็นปกติแล้ว  แม้จะแอบเก็บความเจ็บช้ำนั้นเอาไว้ภายใน  แต่รัตติกาลที่คอยอยู่ข้าง ๆ ก็คงจะทำให้เหมันต์มีความสุขได้เช่นกัน

   คิมหันต์เดินทางกลับบ้านปีละสองครั้ง  ทุก ๆ ครั้งเขายอมรับว่ารัตติกาลไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง  เพราะเหมันต์ดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด  เรียกได้ว่าแทบไม่ห่างกันไปไหน  ความลึกซึ้งผูกพันนั้นทำให้ดูเหมือนรัตติกาลจะกลายเป็นน้องชายอีกคนของเหมันต์ไปแล้วด้วยซ้ำ

   การฝึกหัดออกเสียงทำให้รัตติกาลเริ่มกลับมาพูดได้เหมือนปกติ  นั่นทำให้เหมันต์รู้ว่าปกติแล้วอีกฝ่ายค่อนข้างจะเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา  แต่จะยิ้มเก่ง  และขี้อ้อนอย่างมหาศาล  เวลาสองปีที่ผ่านไป  เหมันต์คิดว่าเขาได้ทำหน้าที่ของพี่ชายได้อย่างดีที่สุดแล้ว

   ทุก ๆ ปีมีการรอคอย  แต่การรอคอยนั้นไม่เคยสักครั้งที่จะประสบผล  เมื่อคนที่เฝ้ารอไม่เคยกลับมา  แต่เหมันต์ที่มีความหวังอยู่ไม่จางก็ยังรออยู่อย่างนั้น  อาจจะเพราะเวลาที่ต้องใช้ลืมมันมากมาย…วันนี้จึงยังต้องจดจำเอาไว้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:31:56 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
พลังอธิษฐาน (อวสาน)
«ตอบ #102 เมื่อ29-12-2013 21:24:04 »

พลังอธิษฐาน (อวสาน)



   วันเวลาผ่านเลยไปท่ามกลางฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน  ยิ่งผ่านไปนานปีเท่าไหร่  จำนวนฤดูกาลเหล่านั้นในชีวิตของคน ๆ หนึ่งก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย  กี่ร้อน  กี่ฝน  กี่หนาว  อยู่ที่ว่าเราใช้ชีวิตล่วงเลยผ่านมาได้นานแค่ไหน…แล้วจะอยู่ใช้ชีวิตต่อไปได้อีกนานเท่าไร

   ฤดูฝนอาจจะเป็นฤดูแห่งความเดียวดาย  เงียบเหงา  สายฝนที่มองเห็นจาง ๆ ผ่านกระจกใส  ร่วงหล่นจากฟากฟ้ากว้างใหญ่  ดึงหัวใจที่เฝ้ารอคอยต่อบางสิ่งให้ยิ่งเหน็บหนาว  และเศร้าโศก

   ดวงตาสีดำสนิททอดมองเหม่อ  แต่อยู่ ๆ ดวงหน้าหวานก็มีรอยยิ้มขึ้นมาอย่างขบขัน  เสียงหัวเราะเบา ๆ  ทำให้ดวงตาที่เคยเศร้าลึกดูสดใส  ก่อนที่จะหลบหายไปเมื่อเปลือกตาบางปิดทับสนิท

   “ขอให้มีความสุขนะพี่กรีน  เพรย์”  เสียงเอ่ยขึ้นเบา ๆ กับตัวเอง  ก่อนจะนึกถึงเรื่องราวที่เพิ่งผ่านไป  ด้วยรอยยิ้มสุขสันต์…คนที่รักมีความสุข  เขาจึงมีความสุข

+++++++++++++++++++++++++

   7  ปีผ่านไปจากวันนั้น

   คิมหันต์เรียนจบปริญญาโท  กลับมาพร้อม ๆ กับรัตติกาลที่ตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยเดียวกันกับคนรัก  วันนั้นเองที่เหมันต์ได้ข่าวจากพี่ชายว่า  วสันต์หย่ากับภรรยาเพราะปัญหาบางอย่าง

   รัตติกาลที่พอจะรู้เรื่องมาบ้าง  บอกกับเหมันต์ถึงความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนของทั้งคู่ว่ามาจากเรื่องงาน  ที่ทำให้ต้องอยู่ห่างไกลกัน  ความไม่เชื่อมั่นบางอย่างทำให้ความไม่ไว้ใจเข้าครอบงำความรัก  แล้วในที่สุดจึงเกิดการหย่าร้าง

   เหมันต์รับฟังด้วยความเป็นห่วงวสันต์ไม่น้อย  รู้มาว่าอีกฝ่ายทำงานในบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ของอเมริกา  พร้อม ๆ กับการเรียนปริญญาโทไปด้วย  เรื่องรักร้างทำให้เขาไม่แน่ใจว่าวสันต์จะยังคงทำงานและเรียนต่อได้อย่างราบรื่นหรือไม่…แต่เขาก็อยากให้วสันต์มีความสุข

+++++++++++++++++++++++++

   เหมันต์เรียนจบปริญญาตรีศิลปศาสตร์  เอกปรัชญา  ที่มหาวิทยาลัยเอกศาสตร์  (เพิ่งเปิดใหม่ในปีที่เขาเรียนจบมัธยมปลายพอดี)  และต่อปริญญาโทที่เดียวกัน  ก่อนจะรับงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย  พร้อม ๆ กับการศึกษาปริญญาเอกไปด้วย

   ชีวิตที่ยุ่งเหยิงกับงานต่างและการเรียน  ทำให้เหมันต์ไม่ค่อยมีเวลามานั่งคิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว  นั่นทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับปัจจุบันที่เป็นอยู่  ไม่ไขว่คว้าหาอดีตที่ผ่านไปแล้ว  หรือแม้แต่มองหาอนาคตที่กำลังจะผ่านเข้ามา

   ในบางเวลาที่ว่างจริง ๆ เท่านั้นบางเรื่องที่จมลึกอยู่ใต้ก้นบึ้งหัวใจ  จะได้ผุดโผล่ขึ้นมา  เพื่อให้เขาต้องนึกถึงด้วยความปวดร้าว  ไม่มีวันหายไป…วันนี้เขาคงจะว่างเสียจริง ๆ

   ห้องพักอาจารย์ซึ่งเป็นส่วนตัว  ทำให้รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างประหลาด  เอกศาสตร์มักจะให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวกับอาจารย์เสมอ  เพราะว่างานสอนแต่ละวิชาแสนจะหนักหน่วง  ดังนั้นมหาวิทยาลัยหรือแม้แต่โรงเรียน  จึงไม่ต้องการให้เวลาว่างของอาจารย์ต้องถูกรบกวนจากสิ่งใด

   อาจารย์แต่ละคนจะมีห้องพักเป็นส่วนตัวอยู่ภายในมหาวิทยาลัย  หนึ่งห้องต่อหนึ่งคนไม่มีใครสามารถรบกวนได้เพราะเป็นที่พักในยามที่งานยุ่ง  และไม่มีเวลากลับบ้านด้วย  ถ้านักศึกษาจะส่งงานก็จะส่งไว้ที่ห้องของหมวดวิชา  แล้วในเวลาที่ไม่มีงานสอนอาจารย์แต่ละท่านก็จะเอางานของตัวเองไปตรวจที่ห้องส่วนตัวหรือที่โต๊ะทำงานในหมวดก็ได้ตามแต่ใจ

   เหมันต์ที่เอารายงานของนักศึกษามากองไว้บนโต๊ะจนเต็มไปหมด  กลับไม่ได้ให้ความสนใจต่อหน้าที่ของตนเองในเวลานี้เลย  ดวงตาสีดำสนิทแฝงรอยเศร้ายังคงเหม่อมองสายฝนที่สาดเทลงมารุนแรง  ด้วยความเหงาใจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

   หากจะพูดถึงฤดูฝน  สิ่งเดียวที่เหมันต์จะนึกถึงตอนนี้  คงเป็นคำว่า  “วสันต์”  ชื่อของคนสำคัญ  ที่ไม่เคยเลือนความสำคัญในใจของเค้าไปได้เลย   เรือนร่างสูงโปร่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน  เดินตรงไปยังประตูด้านขวาสุดของห้อง  ก่อนเปิดเข้าไปภายใน

   เตียงควีนไซต์มีผ้าคลุมแพรสีน้ำเงินเข้ม  เด่นอยู่ท่ามกลางห้องโล่งกว้างที่มีเพียงตู้เสื้อผ้า  และประตูห้องน้ำอยู่ตรงปลายเตียง  เจ้าของห้องเดินไปที่ผ้าม่านสีเหลืองนวลแล้วดึงให้เลื่อนออก  เปิดให้เห็นภาพสายฝนสาดเทภายนอกไม่ต่างจากห้องที่จากมา

   มือบางวางทาบกระจกใสที่มีน้ำฝนไหลรินผ่าน  ราวกับจะสัมผัสได้ถึงสายน้ำเหล่านั้น  ก่อนที่ดวงหน้าจะซบลงไปบนมือ  แล้วปล่อยให้เสียงสะอื้นลอดผ่านออกมาอย่างยากจะอดกลั้น

   ความทรงจำชัดเจน  ไม่เคยมีคำว่าเลือนลาง  หัวใจจดจำชัดเจน  ไม่เคยมีคำว่าลืมเลือน  ความรักยังคงชัดเจน  ไม่มีคำว่าล้างรา  ทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากหัวใจได้เลย

…อธิษฐาน…
ผ่านสายลมเพื่อวอนขอ
ฉันในวันที่เหงาใจคนนั้น…จงหายไป

…อธิษฐาน…
ผ่านสายลมเพื่อฝากถ้อยคำหนึ่ง
ให้จากไปพร้อม ๆ กับ
…ความเหงา…
ที่มานำมาซึ่งความสิ้นหวังนั้น
จงตามสายลมไป…แล้วอย่ากลับมา

เมื่อไรก็ตาม
ที่ฟากฟ้าได้ฉายแสงแห่งความหวังนั้น
…หมายถึง…
…คำอธิษฐาน…
สัมฤทธิ์ผลแล้วด้วยความสุข

ในวันที่สายลมพัดพากลับมาที่ฉัน
…อีกครั้ง…
โปรดนำความหวังนั้น
กลับมาพร้อมกัน

แล้วตัวฉันจะสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาใหม่
…ความสุข…
ที่มีตัวตนด้วยตัวของฉันเอง

…ตัวฉัน…
ที่ไม่ต้องพึ่งพาสายลมและคำอธิษฐาน
จะระลึกถึงทั้งสอง
ไว้ด้วยหัวใจที่ภักดีและยึดมั่น

ขอตอบแทนความสุขนั้น
…ด้วยหัวใจ…
หากมันมีค่าพอ…กับสิ่งที่ได้รับมา

   เสียงสะอื้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง  เจ้าของเสียงดูเหมือนจะจมอยู่กับความทุกข์ในวันวาน  ไม่สนใจแม้แต่เสียงประตูห้องที่เปิดผ่านเข้ามา  ไม่เห็นแม้แต่ใครบางคนที่คุ้นเคยที่เดินเข้ามาหาด้วยความเงียบงัน

   เอวบางถูกโอบล้อมด้วยอ้อมกอดอบอุ่น  ทำให้เหมันต์สะดุ้งตกใจ  แต่ด้วยความคุ้นเคยเจ้าตัวจึงยิ้มบาง ๆ เอนตัวซบไปด้านหลังอย่างที่เคยเป็น  และนั่นเองทำให้สัมผัสได้ถึงสิ่งที่แตกต่าง…ไม่ใช่รัตติกาลอย่างที่คิด

   ร่างบางพยายามดิ้นผละจากอ้อมแขนที่ไม่คุ้นเคย  ดวงหน้าหวานสะบัดไปมองคนที่กอดตนไว้อย่างตกใจ  ก่อนจะตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นคนที่อยู่ใกล้ ๆ  เจ้าของอ้อมกอดที่ไม่คุ้นเคย…หากในความเป็นจริงแล้ว  ควรจะคุ้นเคยได้มากกว่าใคร

   ดวงตารื้นน้ำใสโตขึ้นอย่างบอกอารมณ์ไม่ถูก  ริมฝีปากอิ่มเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา  หากถูกทักทายด้วยรอยจูบเบา ๆ  จากริมฝีปากบางนั้นเสียก่อน

   “ร้องไห้…คิดถึงเหรอครับ”  เสียงกลั้นหัวเราะเอ่ยถาม  ก่อนจะดึงร่างบางไปที่ปลายเตียง  ทิ้งตัวนั่งลงแล้วดึงอีกคนในนั่งบนตัก  มือเรียวเอื้อมเช็ดน้ำตาให้เหมันต์ที่ยังคงนิ่งอึ้ง  เหมือนทำอะไรไม่ถูก

   “ผอมลงอีกแล้ว  เอ…แต่น่ารักขึ้นใช่มั้ย”  เสียงพูดด้วยรอยยิ้มยังคงไต่ถามต่อ  แต่เหมันต์ก็ทำได้เพียงแค่จ้องมองอีกฝ่ายโดยที่ไม่พูดอะไร  ไม่รู้เลยว่านั่นจะทำให้อีกคนได้ใจ  ผลักเขาล้มไปบนเตียงทั้ง ๆ ที่ยังนึกอะไรไม่ออก

   คนตัวโตกว่าที่ทาบทับลงมายิ้มระรื่น  เมื่อดวงหน้าที่หวานกว่าวันวาน  ยังคงนิ่งเฉยด้วยความสับสน  มือหนึ่งไล้ไปตามผิวแก้มนวลอย่างเคยชิน  นึกตำหนิอีกฝ่ายในใจว่าทำไมจะต้องตกใจขนาดนี้  ไม่รู้หรือไรว่าเขากลับมาเหนื่อย ๆ  อยากพักผ่อนมากแค่ไหน

   “เรด…เรดครับ”  เสียงเรียกไม่เบานัก  ทำให้เหมันต์เริ่มได้สติ  ดวงตาพราวน้ำขึ้นมาอีกครั้ง  กับอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่คิดว่าจะเคยได้มี

   “…บลู”  เสียงเรียกหลังจากรับรู้ทุกอย่างได้ดีเอ่ยขึ้น  สองแขนยื่นไขว่คว้าโอบล้อมอีกคนไว้อย่างดีใจ  ทำให้อีกฝ่ายต้องทิ้งตัวลงไปเผื่อโอบกอดคนที่กำลังร้องไห้อย่างหนักหน่วงเอาไว้

   เสียงพูดเบา ๆ กระซิบที่หูเป็นการปลอบประโลม  ได้ยินกันเพียงสองคน  รับรู้กันเพียงสองคนในถ้อยคำนั้น  ลึกซึ้ง…ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร  “รัก”  เพียงคำเดียว



   เสียงไฟสีเหลืองนวลบนหัวเตียงส่องแสงเลือนรางในยามค่ำคืน  สายฝนด้านนอกยังคงโปรยปรายไม่หยุดมาตั้งแต่ช่วงบ่าย  ทำให้เหมันต์ต้องลุกขึ้นมาเลื่อนผ้าห่มคลุมให้คนข้าง ๆ ที่หลับสนิทมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ  เพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง

   ดวงไฟที่เปิดเอาไว้  ด้วยวสันต์ไม่ยอมให้ปิดเพราะอยากเห็นหน้าเขาในยามค่ำคืน  ทำให้เหมันต์มีโอกาสได้จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตาด้วยรอยยิ้ม  หลังจากร้องไห้จนตาบวมไปหมด

   มือบางเอื้อมไล้ใบหน้าหวานของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม  ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่วสันต์ก็ยังคงเหมือนเดิม  น่าแปลกที่แม้ใครจะว่าเค้าดูน่ารักขึ้น  แต่เมื่อมองคนตรงหน้าแล้วก็ยังสู้ไม่ได้เช่นเคย

   คนที่รอคอยอยู่ตรงหน้า  แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะต้องพรากจากกันไปอีก  แต่อย่างน้อยก็ขอให้เวลานี้คงอยู่ต่อไปอีกแสนนาน  หากจะเป็นคืนเดียว  ก็ขอให้ค่ำคืนนี้ล่วงเลยผ่านไปช้า ๆ  ขอให้เวลาเดินช้า ๆ เพื่อเขาสักครั้งเถิด

   “อืม…เรด  นอนไม่หลับเหรอ”  น้ำเสียงงัวเงียของวสันต์เอ่ยถาม  เมื่อเห็นเหมันต์เท้าค้างมองเค้าอยู่  ก่อนโอบกอดร่างบางให้ซบลงที่อกกว้าง 

“นอนได้แล้ว…ไม่มีเวลาให้นอนเยอะหรอกนะ”  น้ำเสียงเหมือนข่มขู่  ทำเอาเหมันต์แก้มแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด  จนต้องทิ้งกำปั้นทุบลงบนแผ่นอกที่หนุนอยู่อย่างห้ามไม่ได้

“โอ้ย…พูดความจริงมันผิดเหรอ”  วสันต์ร้องเสียงดัง  แล้วบ่นด้วยเสียงหัวเราะ  เมื่อเหมันต์ซุกหน้าลงกับอกเขา  แล้วพึมพำถ้อยคำเบา ๆ

“ไม่ต้องบอกก็ได้นี่นา…”

“อ๋อ…รู้ตัว”  วสันต์พูดเสียงเบาเหมือนจงใจจะพูดกับตัวเอง  แต่เหมันต์ก็กลับได้ยินเสียอีก  ร่างบางสลัดตัวหลุดจากคนรัก  ขยับไปนอนห่าง ๆ แล้วพลิกตัวไปอีกด้านอย่างงอน ๆ

วสันต์ขยับตามเข้าไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้  ซบหน้าลงกับซอกคอหอมกรุ่น  แล้วสูดดมอย่างถือสิทธิ์จนเหมันต์อดหวั่นไหวไม่ได้  แต่ก็ยังคงนิ่งเฉยด้วยกลัวจะเสียเปรียบไปมากกว่านี้  รู้ตัวอีกทีคนที่กอดเขาไว้แน่นก็หลับสนิทไปอีกครั้งแล้ว  มือบางจึงดึงผ้าห่มให้สูงขึ้นก่อนจะหลับตาลงอย่างสุขใจ



   เมื่อรักแล้ว  ยากนักหากจะลืม
   เมื่อพรากจาก  ยากนักจะได้พบ
   เมื่อรอคอย  ยากนักจะพบเจอ
   แต่เมื่อคู่กันแล้วไซร้  ยากยิ่งนักจะร้างลา

น้ำเสียงเพียงเบา ๆ ที่เอ่ยกระซิบข้างหู  อีกคนที่อยู่ใกล้เคียงข้างกาย  ทุกความรู้สึกที่ผันผ่านคงจบลงแล้วในวันนี้  เมื่อการกลับมาทำให้การรอคอยสิ้นสุดลง

   ความรักที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ  คนรักที่สัมผัสได้ด้วยสองมือ  อยู่ใกล้โดยไม่ต้องตามไปค้นหาที่ไหน  รู้สึกและสัมผัสได้โดยไม่ต้องรอคอยเหมือนในวันใด

   “รัก  รัก  รัก”  เอ่ยซ้ำสักกี่ครั้ง  ขอเพียงให้ความหมายยังคงเดิม
   “รัก  รัก  รัก”  เอ่ยซ้ำสักกี่ครั้ง  ขอให้ใครคนนั้นยังเป็นเธอ
   “รัก  รัก  รัก”  เอ่ยซ้ำสักกี่ครั้ง  …อธิษฐาน…

ขอให้รักเราคงอยู่แสนนาน…ตราบนิรันดร์






เงาใต้น้ำ : จบทุกเรื่องแล้วนะคะ
เรื่องใหม่เข็นหลายรอบแล้ว  เขียนใหม่หลายรอบไม่พอใจเลย
ไม่แน่ใจว่าจะเข็นออกรึเปล่า  ทำแต่งานไม่มีสมาธิทำอย่างอื่นเลย
ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีกค่ะ (แต่คงเปลี่ยนนามปากกา อยากได้ตัวอักษรไม่มีบนล่าง 5555)
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ    :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 21:34:45 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
ขอบคุณจ้าา ได้อ่านงูน้อยสักที ยาวจุใจเลยยย  o13 o13

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
สุดยอดอ่านยาวสะใจมากค่า

ขอบคุณมากเลยน่ะค่ะ

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
งงกับบลู บลูรู้สึกยังไงกับเรดกันแน่ จำได้แล้วหรือ หรือเป็นเพราะเรื่องทางนั้นไม่เป็นอย่างที่ต้องการถึงกลับมาหาเรด พงใจร้า่ยมากนะนั่น ไม่คิดจะถามหยกสักคำเลยหรือนั่น

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ขอบคุณน๊า ชอบพ่องูอะ น่ารักดีเน้อ

ออฟไลน์ momoku

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆ แบบนี้ให้อ่านนะคะ

สนุกมาก

เราชอบทั้งสามเรื่องเลย ^^

รออ่านเรื่อง ต่อๆๆๆๆๆไปนะคะ

ออฟไลน์ zizits

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ชอบเรื่องเธอที่รักมากเลย อบอุ่นดีจัง เรื่องอสรพิษชอบค๔หยกกับพงมากกว่าแฮะ ดูดุเดือดดี เรื่องที่สามยังไม่ได้อ่านเลย แต่จะกลับมาอ่านแน่ๆ ยาวสะใจมาก ขอบคุณที่แบ่งมาให้อ่านนะจ้ะ  :mew1:

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
สนุกชอบทุกเรื่องเลยค่ะ
ชอบที่สุดก็เรื่องที่สอง น่าร๊ากกกกกก~
เป็นกำลังให้ในเรื่องต่อไป รอติดตามค่าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
สนุกทั้งสามเรื่องเลย  อ่านรวดเดียวจบ   :katai2-1:

ชอบบบบบบบบบ ทุกตัวละคร 

ขอบคุณคนเขียนค่ะ 

 :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
 :m4: อ่านรวดเดียวจบ 3 เรื่องเลยจ้า
แต่มีความรู้สึกว่าเรื่องแรกจะค้างนิสๆ  :hao5:

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
 :L2:  :L2: แทนคำขอบคุณสำหรับผู้แต่งจ๊ะ
 :mew4:

เนื้อเรื่องน่ารักมากๆ น่ารักทุกเรื่องเลย

แอบอยากให้อสรพิษมีภาคต่อ :-[

ออฟไลน์ lalitalx

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-3
หลงน้องน่านฟ้า  :katai2-1:

ออฟไลน์ hibarihao

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ขอบคุณค่า ยาวสะไจมาก สนุกทุกเรื่องเลย

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 468
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ shikyu3211

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1
สนุกมาทุกเรื่องเลยแต่เรื่องสุดท้ายสงสารเรดมากเลยนะ

ออฟไลน์ aezac

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เยี่ยมยอดมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ

ออฟไลน์ waterlily

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ขอบซีรีย์รอบนี้ทุก ๆ เรื่องมากเลยค่ะ จะรอเรื่องต่อ ๆ ไปนะคะ :pig4: :call:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด