#1 รองเท้านายซินหายไป"ซิน ไปกินข้าวโว้ย"
"อือ"
เจ้าของชื่อที่หลับเอาหน้าผากโขกโต๊ะม้าหินอ่อนตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย มันชื่อซิน ซินที่ไม่ได้มาจากคำว่าบาป แต่มาจากซินเดอเรลา เหตุเพราะแม่มันเป็นแฟนพันธุ์แท้นิยายปรัมปราของวอลท์ ดิสนีย์ พอๆกับพี่ชายมันที่ชื่อ
’ ไวท์ ’ ไวท์ที่มาจากสโนว์ไวท์นั่นเอง
"นอนซะหมดมาดเลยมึง"
เพื่อนอีกคนที่กำลังเก็บกระเป๋าว่าพลางส่ายหน้าน้อยๆอย่างเหนื่อยใจ
‘ ซิน ’ เป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปีบริบูรณ์ หน้าตาหล่อเหลาเกินเลเวลความหล่อปกติ แต่ที่เป็นจุดขายของมันคือมันเป็นมือเบสของวงร็อคฮาร์ดคอร์ที่วัยรุ่นไทยส่วนใหญ่รู้จัก พูดง่ายๆคือมันดัง บางคนชอบสับสนชื่อมันกับพี่ซินนักร้องหนุ่มสวยอีกค่าย แต่บอกได้เลยว่าหน้าตาและบุคลิกต่างกันดั่งหน้ามือกับหลังตีน พี่ซินคนนั้นสวยแต่ไอ้ซินเรามันหล่อ หล่อแบบเถื่อนๆ พี่เขาผมยาวหยักเป็นคลื่น มันหัวสกินเฮด หน้าพี่เขาสวยแต่หน้ามันห่างไกลคำว่าสวยเป็นล้านไมล์ ตัวพี่เขาเพรียวสูงไอ้ซินของชาวร็อคมันก็สูงแต่เพรียวนี่ก็เห็นๆกันอยู่ว่าไม่! สรุปแล้วเขาเป็นคนละคนกัน ได้โปรดอย่าสับสนกับนายซินเลย
เห็นว่าเมื่อคืนนายซินมีเล่นคอนเสริตในเทศกาลดนตรีที่เขาใหญ่หลังจากแหกขี้ตามาสอบแลปโปรแกรมมิ่งไปในยามเช้าของวันนี้เสร็จแล้วมันก็สลบเหมือด บอกไปรึยังว่านายซินสุดเท่ห์เป็นนิสิตปีสามคณะไอที สาขาไอที ที่มีแต่พวกบ้าการ์ตูน เกมส์ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์แล้วก็ใส่แว่นหนาๆนั่นแหละ
"เฮ้ย! ไปกินข้าว กินเสร็จจะได้กลับบ้าน"
เพื่อนที่เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วว่า นายซินส่งเสียงอืออาในลำคอเป็นอันรับรู้ก่อนจะงัดหัวตัวเองขึ้นมาจากพื้นโต๊ะที่เย็นสบาย ตาเรียวสีเข้มชั้นเดียวกระพริบตาไล่ความง่วง แต่คิ้วที่มีจิวสีเงินติดอยู่ตรงปลายยังขมวดเป็นปม บ่งบอกว่ามันยังตื่นไม่เต็มตา ปลายจมูกโด่งกับหน้าผากเป็นรอยแดงเพราะฟุบอยู่กับโต๊ะนานร่วมสองชั่วโมง ริมฝีปากบางเฉียบหาวปากกว้างเพราะความง่วง แขนซ้ายที่สักรูปกราฟฟิคหัวกะโหลกตั่งแต่ต้นแขนจนถึงข้อมือยกขึ้นสุดความสูงเพื่อบิดขี้เกียจ ก่อนจะเดินตามไอ้บิ๊กกับไอ้ออมเพื่อนยากออกไปหาอะไรกิน ด้วยสภาพสะโหลสะเหลสุดๆผู้คนแถวนั้นที่กำลังจับจ้องพ่อคนดัง ต่างพึมพำเป็นเสียงเดียวกันว่า งัวเงียแต่ก็ยังเท่ห์!
"เมื่อเช้าแม่งจะยากไปไหน ลูปกี่ลูปวะนั่น"
ออมเป็นผู้ชายพุงพลุ้ยแว่นหนาบ้าการ์ตูนที่ซินยอมรับว่าคุยภาษาคนธรรมดารู้เรื่องที่สุดในสาขา กำลังบ่นเรื่องข้อสอบแลปเมื่อเช้าพลางแทะไก่ทอดในจานไปด้วย
"กูใส่ไปสาม รันติด แต่ซินแทกซ์แดงเถือก เออเรอร์เต็ม"
ไอ้ตี๋แว่นที่ชื่อบิ๊กพูดบ้าง
"สองลูปก็เอาอยู่แล้ว เอ็กซ์เทนเมดธอดอื่นเอา"
ซินที่พูดไปหาวไปไขความกระจ่างแก่เพื่อนทั้งสอง
"อัจฉริยะไปแล้วมึง นอนก็ไม่ได้นอน เอาเวลาไหนไปทบทวนวะ"
บิ๊กว่าพลางโซ้ยข้าวหมูอบเข้าปาก นายซินไม่ตอบแต่ยักไหล่กวนตีน ไอ้ออมจึงเอ่ยปาก
"ยังไงมันก็ไม่ได้เต็มหรอก อาจารย์เสือแกหักคะแนนระเบียบมันเรียบร้อยแล้ว"
นายซินที่มาสอบด้วยเสื้อ เนคไท และกางเกงแสล็คถูกระเบียบ แต่โดนเบรกด้วยรองเท้าแตะหูหนีบจากห้องน้ำหอไอ้ออม เพราะมันกลับมาจากเขาใหญ่ด้วยสภาพรองเท้าข้างเดียวในยามเช้าแถมรองเท้าผ้าใบไอ้ออมก็เล็กกว่ามันสี่เบอร์ พี่ซินของน้องๆ จึงไปสอบด้วยแตะหนีบช้างดาวแบบยัดจนปวดง่ามนิ้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังเท่ห์อยู่ดี
"สเตฟานมินท์มึงไปไหน"
บิ๊กถามถึงรองเท้าคู่โปรดที่เพื่อนมันเห็นเห่อนักหนา ใส่ยังไม่ทันถึงอาทิตย์ก็ไปเสียแล้ว
"ข้างนึงอยู่ห้องกู แต่อีกข้างเจ้าชายเก็บไปตอนเที่ยงคืนเมื่อวานนี้"
ไอ้ออมชี้แจงเสร็จก็ขำก๊าก ทิ้งให้บิ๊กทำหน้าตางงๆ ไอ้อ้วนออมจึงเริ่มเล่าให้เพื่อนฟังต่อ
"ก็เมื่อคืนไอ้ซินมันเล่นเสร็จก็ลงไปหาอะไรกินแล้วเขาดันตีกัน มันก็เลยวิ่งหลบแต่อนิจจาน้องสเตฟานมันเสียสละรอเจ้าชายที่ทางช้างเผือกข้างนึง"
พอพูดจบไอ้สองแว่นก็ประสานเสียงกันหัวเราะ ซินเคยบอกไปหรือยังว่าเขาเกลียดพวกเด็กแว่น โดยเฉพาะไอ้แว่นสองตัวนี้ แต่ที่เซ็งที่สุดคือน้องสเตฟานมาหายไป ไอ้ซินโคลงหัวไปมาแล้วจึงโซ้ยข้าวต่อ อันที่จริงที่เขาเล่าให้ไอ้ออมฟังเมื่อเช้าก็ไม่ผิด แต่เขาเรียกว่าเล่าไม่ละเอียด เรื่องจริงมันเป็นแบบนี้
เมื่อคืน
นายซินเล่นสดที่เวทีในร่มเสร็จตอนสี่ทุ่ม แต่กว่าจะหลุดฝูงชนที่กรูเข้ามาขอถ่ายรูปก็เกือบห้าทุ่ม พวกพี่ๆในวงก็เริ่มปาร์ตี้กันแถวห้องแต่งตัวหลังเวที แต่เขาขอบายเพราะพรุ่งนี้มีสอบ เหตุเกิดเพราะรถตู้ที่เขานั่งมาจะกลับก็ต่อเมื่อขนอุปกรณ์ของวงเสร็จ แล้วบังเอิญว่าไอ้วงที่จะขึ้นต่อดันยืมกลองสแนร์ของวงเขาไป พี่ฟ้ามือกลองควบตำแหน่งหัวหน้าวงเลยอยู่รอด้วย เมื่อหัวหน้าวงไม่กลับแล้วจะมีใครกล้ากลับวะ เขาแอบเห็นว่าไอ้มือกลองอีกวงที่ยืมสแนร์ไปก็ใส่แว่น พับผ่า! ไอ้พวกหน้าแว่นทำเสียเวลาสุดๆ
เขาที่ยังไม่ได้กินอะไรตั่งแต่ตอนเย็นเดินเลี่ยงออกมาหาอะไรเข้าท้องที่ซุ้มของกินแถวๆลานดนตรีแจ๊ส ซึ่งเวลานี้คนน้อยเพราะกำลังเมามันส์กับดนตรีวงดังทั้งนั้น นายซินสั่งผัดไทมาสองกล่อง นั่งกินไปกระดิกตีนไปด้วยความหิวแต่ยังกินได้ไม่ถึงสองคำโต๊ะเก้าอี้แถวนั้นก็ล้มครืนอย่างกับสึนามิเข้า เขารีบคว้าผัดไทอีกกล่องแล้วตั้งท่าจะวิ่งไปหาที่หลบ แต่ไอ้ที่หนักกว่าเก้าอี้ก็ปลิวมาทับเขาแทน
"ตุ้บ"
มันเป็นเสียงกล่องผัดไทที่ปลิวหวือไปแล้วกระแทกพื้นแตกกระจาย ซินนอนคว่ำเอาหน้าจูบพื้นหญ้ารู้สึกหนักไปทั้งหลัง มีไอ้บ้าที่ไหนมาทับก็ไม่รู้
"ไอ้สัส อย่ามายุ่งกับเมียกู!"
"ยุ่งอะไรกูไม่รู้จักเมียมึงด้วยซ้ำ มึงอย่าเมาแล้วพาล!"
"ไม่รู้จัก แต่มึงจับนมเมียกู!"
"เมียมึงตอแหล กูจะจับทำไมในเมื่อกูเป็นเกย์!"
คำประกาศิตที่นายซินมั่นใจแล้วว่าดังมาจากคนที่นั่งทับหลังเขาอยู่ดังขึ้น ทั้งบริเวณเงียบกันเป็นเป่าสากก่อนจะมีเสียงฮึกฮักดังมา
"ฮึก ไม่จริงพี่ มันตอแหล มันจับนมหนู"
"เอ้า เวรละกู"
คนที่ถูกหาว่าเป็นเกย์ตอแหลผุดลุกพร้อมเหลียวซ้ายขวาหาอาวุธแต่หามีไม่ พอเหลือบเห็นคอนเวิร์สคู่เน่าของตนจึงถอดออกทั้งสองข้างก่อนจะปาไปที่พี่หมีหวงเมียเพื่อถ่วงเวลาให้พี่แกสาวเท้าเข้ามาถึงช้าลง ถึงจะไม่เจ็บมากแต่ก็เหม็นใช้ได้ล่ะวะ แต่เมื่อประจักษ์แล้วว่าคอนเวิร์สเบอร์ 42 สองข้างไม่ได้ผล ไอ้หนุ่มจึงถอดไนกี้สเตฟานเบอร์ 46 ของคนที่มันนั่งทับอยู่ปาออกไปด้วย นายซินที่พึ่งเรียกสติกลับมาได้ พลิกตัวกลับมาอีกทีก็เห็นไนกี้ตัวเองไปแปะอยู่บนหน้าคนร่างหมีเสียแล้ว
"เฮ้ย!"
ไอ้ซินอุทานได้คำเดียว คนที่พึ่งลุกออกออกจากตัวก็กระชากคอเสื้อให้ลุกวิ่งตาม แม้จะงงแต่เมื่อเห็นพี่หมีหน้าตาเหี้ยมบีบน้องสเตฟานจนหมดสภาพแล้วถลึงตามาที่เขา ถึงไอ้ซินไม่ได้ปาแต่ของกลางนั่นมันก็ของเขาชัดๆนายซินวิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมกับอีกร่างที่ลากเขามาด้วย โชคดีที่ทั้งบริเวณเป็นพื้นหญ้าไม่อย่างนั้นกรวดคงแทงทะลุถุงเท้าขึ้นมาจิ้มหนังเท้าที่บางกว่าหนังหน้าแน่ๆ เสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากข้างหลังพวกเขา คนต้นเรื่องเห็นท่าไม่ดีจึงลากข้อมือเจ้าของไนกี้สเตฟานวิ่งเข้าไปยังลานคอนเสริตเคป๊อบที่คนเป็นหนอน สาวๆที่กำลังกรี้ดกร้าดโอ้ปป้าอยู่ไม่ได้สนใจพวกเขานัก เจ้าของคอนเวิร์สใช้ความหล่อที่คิดว่าตัวเองมีให้เกิดประโยชน์ เพื่อขอมุดเจ้าไปข้างใน
"ขอทางหน่อยครับ ขอหลบคนหน่อยนะ"
สาวๆเพียงแต่บ่นงึมงำว่าอย่าแทรกแต่สายตาก็ไม่ได้ละจากโอ้ปป้ามาทางไอ้หล่อสองคนแม้แต่น้อย พวกเขามุดจนมาถึงข้างอีกฝั่งที่ติดกับลำธาร โชคดีที่เวทีนี้เป็นเวทีมุมสุด ทางเข้าจึงมีทางเดียวคืออีกด้านเท่านั้น เดาว่าไอ้คุณพี่หมีคงไม่มุดตามมาอย่างแน่นอน ทั้งคู่ยืนก้มหน้าก้มตาหอบอยู่ที่ข้างลำธาร เสื้อกล้ามตัวบางโคร่งสีขาวสกรีนลายเจ้าพ่อเมทัลร็อคแห่งแดนลุงแซมของนายซินดูเหมือนผ้าขี้ริ้วไม่มีผิด เพราะมันทั้งเปียกทั้งเลอะเทอะด้วยท่าสไลด์ลงพื้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ซินสะบัดข้อมืออีกคนออกทันที ความเหนื่อยและความโกรธทำให้เขาพาลอีกคน ทั้งๆที่ตัวเองซอยเท้าเยี่ยงนักวิ่งโอลิมปิกตามไอ้หนุ่มตรงหน้ามาแท้ๆ
“ลากกูมาทำไม กูไม่เกี่ยว”
“ถ้ามึงมัวแต่นอนบื้ออยู่ไอ้ยักษ์นั่นก็กระทืบมึงสิ!”
“กูไม่กะ...”
พอเริ่มมีแรงกะจะเงยหน้าขึ้นมาตวาดไว้เวรนี่ให้เต็มตาหลังจากวิ่งตามหลังมันแบบหน้ามืดตามัวมาในยามกลางดึกที่ทัศนวิสัยแย่สุดๆ แต่พอได้เพ่งเต็มตาซินถึงกับอ้าปากหวอ ไอ้นี่เนี่ยนะที่ไปจับนมเมียพี่เบิ้ม เด็กม.ปลายตัวซีดๆผมรองทรง เนิร์ดแว่นหน้าเรียบร้อยแบบจืดสนิท ดูยังไงก็อนาคตหมอหรือไม่ก็นักวิชาการชัดๆ จะมีแต่รอยแตกที่มุมปากกับตีนเปล่าที่พอยืนยันได้ว่าคนที่ก่อปัญหาเป็นไอ้เด็กเวรนี่จริงๆ
“ไอ้เหี้ยนั่นมันไม่สนหรอกว่ามึงเป็นใครหรอก มันเมา!”
อีกคนพูดไปเอามือโบกให้ตัวเองไป นายซินสบถให้กับความซวยของตัวเองก่อนจะเดินหันหลังกลับเพื่อบุกดงสาวๆกลับถิ่น แต่อีกคนกลับคว้าไหล่ไว้
“รออีกหน่อยสิวะ ไอ้พวกนั้นพวกมันเยอะ”
“แล้วไปจับนมเมียมันทำไมไอ้เด็กเวร!”
ซินสบถแล้วเอามือสแครชหัวสกินเฮดตัวเองอย่างหมดปัญญา ถึงไม่ใช่ซุปตาร์แบบพวกดาราแต่ถ้ามีข่าวต่อยตีละก็ สารวัติที่บ้านต้องเล่นเขาแน่ มีพ่อเป็นตำรวจใช่จะดี ว่างๆพี่แกอาจจะจับใส่กุญแจมือแล้วกักบริเวณดัดสันดานเขาก็ได้ เพราะมีพ่อแบบนั้นแหละเขาถึงไม่กระทืบไอ้เด็กห่านี่ตั้งแต่แรก
“เด็กป้ามึงสิ กูรุ่นพี่มึง!”
“?!”
“กูเป็นเรียนหมอปีหก ม.เดียวกับมึง”
ไอ้แว่นว่าอย่างรำคาญพลางทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าข้างลำธาร ซินไม่ได้ซักไซ้ต่อ มันไม่เคยคิดหรอกว่าตัวมันเองดัง เพียงแต่ถ้าได้ทำหน้าที่สำคัญๆอย่างตัวแทนชั้นปีเพื่อถ่ายโปสเตอร์มหาวิทยาลัยบ้าง ออกไปรับรางวัลเพื่อเป็นหน้าเป็นตาคณะบ้าง ออกทีวีโปรโมทเพลงบ้างแล้ว ในจำนวนนิสิตห้าพันกว่าก็ต้องมีคนจำมันได้สักนิดแน่นอน
“แล้วไปจับนมเขาทำไม”
นายซินนั่งลงใกล้ๆรุ่นพี่ที่ว่า ด้วยเคารพระบบอาวุโสอยู่มากเสียงที่ถามจึงอ่อนลงจนเหมือนเป็นคนละคนกับที่ตวาดตอนต้น แต่ก็ยังไม่ยอมเรียกว่าพี่อยู่ดี
“กูไม่ได้จับ ก็เต้นๆอยู่กับเพื่อน แม่งก็เมาๆกันทั้งกลุ่มกูทั้งกลุ่มไอ้ยักษ์นั่น เมียมันก็เต้นอยู่ข้างๆเอาคัพดีมาเบียดแขนกู กูก็คิดว่ามันฟรีสิ กูก็กึ่มๆ ก็เลยวัดชีพจรไปนิดหน่อย”
“ไหนบอกไม่ได้จับ”
ซินเค้นรุ่นพี่หน้าเด็กที่หน้าแดงนิดหน่อยพลางเกาหัวแก้เก้อ ที่เขาเห็นตาแดงๆตอนแรกไม่ใช่เพราะวิ่งแล้วเหนื่อยแต่มันพึ่งจะสร่างเมาต่างหาก
“กูไม่ได้จับ กูเอาหน้าซุก”
“....”
มีเพียงเสียงพูดคุยเบาๆของคู่รักหลายคู่ในบริเวณนั้นที่ช่วยทำลายความเงียบของรุ่นพี่รุ่นน้องที่พึ่งรู้จักกันในค่ำคืนแห่งความซวย ซินตบหน้าผากตัวเองดัง ’ป๊าป’ แล้วไถลลงไปนอนหงายมองท้องฟ้าอย่างคนหมดคำพูด คนเป็นหมอวัดชีพจรกันแบบนี้เหรอวะ?
“ก็นั่นแหละพอซุกได้สักพัก สาวคัพดีก็ยังหัวเราะพออกพอใจกูก็เร่งเครื่องเลย เมาด้วยกะเล่นหนังสดหน้าเวทีแต่พอไอ้ยักษ์เดินมาคว้าตัวไปปุ๊บ เธอก็ตะโกนปั้บว่ากูจับนม เรื่องเลยยาวเลย”
ฟังแล้วดูดีสุดๆ ไม่ได้จับแต่ซุก! ไอ้ซินถอนหายใจแล้วลุกขึ้นถอดเสื้อกล้ามตัวโครตบางที่ชุ่มเหงื่อออกจากตัวเพราะเมื่อนอนแนบกับหญ้าแล้วมันคันพิลึก เป็นเวลาเดียวกับเสียงกรี้ดโอปป้าหยุดลงแต่มีเสียงโวยวายที่คุ้นหูดังขึ้น
“พวกมันไปไหนวะ ตรงลำธารมีไหม?”
เสียงไอ้ยักษ์แน่นอน ซินที่เหนื่อยสะสมตั้งแต่เล่นคอนเสริตเมื่อหลายชั่วโมงก่อนตวัดตามองไอ้เจ้าของเรื่องแบบกูยอมตาย กูไม่วิ่งแล้ว คนตรงหน้าทำหน้าตาเลิ่กลั่กก่อนจะดันตัวเข้ามานั่งที่หน้าขานายซินแล้วถอดเสื้อคลุมลายสก็อต ออกเหลือเพียงเสื้อยืดสีขาว พร้อมกับเบียดตัวที่เล็กกว่าเพื่อก้มหน้าซุกอกอีกคน
“เฮ้ย!”
วันนี้ซินมันคงมีฤกษ์ให้อุทานแค่คำนี้คำเดียว
“เงียบ! กอดกูเร็วๆก้มหัวลงด้วย”
ทำอย่างกับมันมีทางเลือกนัก ซินก้มลงจนจมูกโด่งชิดกับซอกคอของอีกคน เขาได้กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกับกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ เสียงโหวกเหวกเมื่อครู่ไม่ชัดเท่ากับเสียงลมหายใจหนักๆและไอร้อนๆที่เป่าบนอกเปลือยของมัน เมื่อได้ยินฝีเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที มือของไอ้เกรียนที่ดันแผ่นอกเขาไว้ตอนต้นเปลี่ยนเป็นตวัดแล้วโอบแผ่นหลังกว้างของซินไว้เพื่อดันให้ตัวเองเข้ามาชิดจนแก้มที่ร้อนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์กับกรอบแว่นเหลี่ยมแนบกับแผ่นอกหนา แขนหนาของมือเบสอย่างนายซินกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ดูไกลๆแล้วพวกเขาดูเหมือนแค่คู่รักที่นั่งกอดกันในมุมมืดเหมือนคู่อื่นๆในบริเวณนั้น ติดจะอีโรติกตรงที่นายซินของเรามันไม่ได้ใส่เสื้อแถมกอดอีกคนจมอก คนกลุ่มพี่เบิ้มทำแค่เมียงมองอยู่ห่างๆ เพราะทางนั้นก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพวกมันจะมุดหนีกันได้ไกลขนาดนี้
“ไปยัง”
เสียงอู้อี้ตรงอกถามเบาๆ ซินเหลือบตาขึ้นไปมองว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ผลักไอ้หมอแคระออกจากตัวจนกระเด็น คุณรุ่นพี่ที่เป็นคนเข้ามาคลุกวงในเองบ่นงุบงิบ
“เบาๆก็ได้มึง เหม็นเหงื่อฉิบหายอย่างกับกูอยากจะกอดนักนี่”
พ่อมือเบสหงุดหงิดกับท่าทีคนข้างหน้าจนสมองตื้อจนคิดคำด่าไม่ออก จะเหวี่ยงหมัดก็ผิดจรรยาบรรณที่พ่อสอนมา จึงทำได้แค่นั่งนิ่งๆหายใจเข้าออกเพื่อระบายความโกรธแล้วลุกขึ้นเดินกลับถิ่นด้วยสภาพเอาเสื้อพาดบ่าใส่รองเท้าข้างเดียว แล้วเดินอ้อมหลังเวทีใช้บัตรศิลปินฝ่าดงการ์ดโอ้ปป้าทั้งหลายเพื่อขอกลับไปที่ชุมชนคนร็อคอย่างไม่กลัวตายเพราะเพลียแล้วก็ง่วงเกินทน พอกลับมาถึงก็เป็นเวลาเดียวกับเจ้เอมี่ผู้จัดการวงเรียกรวมเพื่อกลับพอดี มันมาถึงหอไอ้ออมตอนหกโมงสี่สิบห้า นายซินจึงทำได้แค่เปลี่ยนชุดที่เตรียมมาจากบ้านแล้วกวักน้ำล้างหน้าก่อนจะวิ่งไปสอบตอนเจ็ดโมงทั้งๆที่น้ำยังไม่ได้อาบ รองเท้าก็ลากออกมาจากห้องน้ำไอ้ออมนั่นแหละ
************************************
“ระวังนะเว้ย เดี๋ยวมีเจ้าชายเอารองเท้ามาให้สวม”
เออ...ล้อกันเข้าไป แต่วางใจได้เพราะไอ้แว่นสองตัวอย่างอ้วนออมและตี๋บิ๊กไม่ได้อยู่ในแบล็กลิสต์แว่นมหาภัยของนายซินแล้ว ไม่รู้คุณหมอแว่นปีหกผู้วัดชีพจรโดยการเอาหน้าซุกนมคนอื่นจะดีใจกับตำแหน่งที่ได้มาใหม่รึเปล่า แต่ฝ่ายไอ้ซินได้แต่นั่งดูดน้ำอัดลมอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความเซ็ง เซ็งกับเรื่องราววุ่นวายที่พอนึกถึงแล้วก็เหนื่อยใจ ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้เจอกับไอ้หมอแว่นคนนั้นอีกเลย
“พี่ซินคะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”
กลับมาสู่เรื่องธรรมดาประจำวัน ตี๋บิ๊กผายมือเป็นทำนองว่าเชิญทำหน้าที่ครับ ตัวเขาเองยิ้มให้กับรุ่นน้องทั้งกลุ่มแบบง่วงๆก่อนจะให้น้องถ่ายรูป เมื่อน้องหมุนเวียนกันถ่ายเสร็จนายซินคิดว่าน่าจะได้สามอัลบั้มพอดี
“เอาลงแอ็ปฯก่อนนะ หน้าพี่โทรม”
เขาหยอกไปด้วยท่าทางเป็นกันเอง น้องๆที่เกร็งในตอนแรกจึงส่งเสียงแซวกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะขอตัวไปเตรียมตัวสอบในรอบบ่าย
ที่จริงแล้ว ซินหรือนายเอกภพไม่ได้ชอบการเป็นจุดศูนย์กลางเสียเท่าไหร่ เขาชอบทำงานที่ต้องอยู่คนเดียวอย่างการเรียนเอกโปรแกรมมิ่งที่ต้องคุยกับจอคอมพิวเตอร์ ชอบการมีเพื่อนในคณะที่ทุกคนมีโลกส่วนตัวสูงเหมือนกัน ชอบการคิดมากกว่าการพูด ชอบการเล่นดนตรีที่แม้จะอยู่ต่อหน้าคนมากมายแต่เอาจริงๆแล้วก็ใช้สมาธิของตนเล่น เพียงแต่เขารู้จักวางตัวเองให้เรียบ ให้ตัวเองไม่อึดอัดจนเกินไป เหมือนซินเดอเรล่าที่ทำงานหลังเงียบๆหลังบ้าน แต่มีเพื่อนเป็นตั้งแต่หนู นก กระรอก ยันนางฟ้า พูดง่ายๆคือถ้าทั้งหมดเป็นสีดำ ซินจะเป็นสีเทาที่ทุกคนตระหนักว่ามีตัวตน แต่มันจะไม่ใช่สีขาวที่โดดเด่นจนแสบตา ไอ้ออมผู้มืดยิ่งกว่าสีดำเคยให้ฉายามันว่า ซินผู้รักษาสมดุลแห่งโลกคู่ขนาน
“ซิน นี่มึงหรือเปล่า”
ไอ้โอมที่นั่งจิ้มสมาร์ทโฟนอยู่ข้างๆหันมาถาม รูปบนหน้าจอหกนิ้วแสดงภาพคนสองคนที่กอดกันกลมเย้ยจันทร์ ประกอบด้วยมุมด้านข้างและด้านหลังจากโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค มียอดคนไลค์หลายหมื่นคอมเมนท์หลายพันในเวลาไม่ถึงวัน และคำอธิบายสั้นๆว่า ‘คุณคิดว่านี่ใคร?’ ความจริงแล้วภาพมันเบลอและมืดจนจับลักษณะของคนในภาพไม่ได้เลย จะยกเว้นแต่รอยสักหัวกะโหลกที่แขนซ้ายกับรอยสักปีกขนาดใหญ่ทั่วทั้งหลังที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของนายซินไปแล้ว มันอ้างไม่ขึ้นแน่ว่า ‘มันบังเอิญเหมือน’ ถึงสื่อใหญ่จะไม่เล่นข่าวแต่เชื่อเถอะว่าสื่ออย่างโซเชียลน่ากลัวกว่าเห็นๆ นายซินถอนหายใจให้กับภาพและเจ้าของมือที่โอบแผ่นหลังของเขาจนบังรอยสักรูปปีกได้เกือบครึ่ง ดูท่าความสมดุลแห่งโลกคู่ขนานของนายซินจะจบสิ้นลงเพราะคนๆนั้นเสียแล้ว
“ตัดต่อเหรอวะ”
บิ๊กถามพี่ซินของน้องๆที่นั่งทำหน้านิ่งแบบเบื่อโลก
“แสงเป๊ะ นอยซ์เป็นจุดๆองศาเป๊ะขนาดนี้มันตัดต่อตรงไหนวะ”
เพื่อนออมช่วยแก้ตัวให้เป็นอย่างดี ทีหลังมึงไม่ต้องก็ได้นะไอ้อ้วนออม
“มึงมีแฟนแล้วเหรอวะ”
ออมถามอย่างจริงจัง เพราะมันคบกับไอ้ซินมาตั้งแต่ประถม ถ้าไอ้ซินมีแฟนไอ้ออมก็ต้องระแคะระคายบ้างอยู่แล้ว
“เปล่า”
“แล้วมึงกอดใครวะนั่น”
เจ้าของหัวข้อสนทนาหลับตาแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างปลงตก ก่อนจะตอบคำถามเพื่อน
“เจ้าชาย”
คำตอบแบบขอไปทีของไอ้ซินทำเอาเพื่อนทั้งสองมองหน้ากันแล้วถอนหายใจอย่างปลงตกเช่นกัน
__________________________________________________________________________________________
TBC.