#8 บัตรเชิญงานเต้นรำสองอาทิตย์ที่ผ่านมาตั้งแต่บีมเริ่มรู้ตัวว่ามันคงชอบมือเบส หรือเรียกได้ว่าสับสนทางเพศมาสักระยะมันก็นำความไปถวายไอ้โจ้ที่เปรียบดังพระราชาและราชินีในคืนวันหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่าโจ้ลงเรียนวิชาจิตวิทยาเยอะกว่ามัน
"กะ...กูควรจะทำไงดีวะ"
เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่มันรู้ตัวก่อนที่จะให้ชาวบ้านชาวช่องต้องมาบอกว่า 'เฮ้ย! กูว่ามึงชอบมือเบสแล้วล่ะ' แต่กระนั้นมันก็ยังไม่รู้จะจัดการความรู้สึกตัวเองยังไง
"กูไม่ถือหรอกถ้ามึงจะเป็นเกย์เพราะแค่เป็นมึงก็ประหลาดพออยู่แล้ว"
เพื่อนที่เหมือนพ่อพูดไปพลางเล่นกับแมวไปพลาง คำตอบนั่นไม่ได้ทำให้หมอเพี้ยนโล่งใจแม้แต่น้อย
"ไม่ใช่เรื่องนั้น กูถามว่าควรจะทำยังไงดี"
เอาจริงๆคือเป็นเกย์หรือเปล่ามันยังไม่ทันคิดแต่พอรู้ตัวว่ามันชอบนายซินมันก็ชักจะกระวนกระวายจนทำตัวไม่ถูก
"ทำอะไรล่ะวะ"
"กูไม่ค่อยแน่ใจในตัวเองว่ะ"
"ว่ามึงเป็นเกย์หรือเปล่า"
ไอ้โจ้ก็วกเข้าแต่เรื่องเดิมๆ
"ว่ากูจะทำยังไงต่อไปดี"
ไอ้นี่ก็อธิบายไม่เคลียร์
"ไอ้ห่า กูจะรู้กับมึงไหม!?"
ในที่สุดระเบิดก็ลงกับไอ้โจ้ที่ยังนอนผวามาหลายคืนเพราะนึกไม่ถึงว่าเพื่อนจะมีซัมติงรองกับมือเบสผู้หล่อเหลา
"ไอ้เหี้ยโจ้เพื่อนรัก กูไม่รู้จะทำยังไงจริงๆนะมึง"
โจ้มองไปที่เพื่อนที่นั่งยองๆเอามือลูบคอไอ้ปลาอยู่ตรงข้าม เมื่อผู้ชายนิสัยเสียมานั่งก้มหน้าสลดไอ้โจ้ก็อดสงสารอยู่ไม่ได้มันจึงสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเริ่มไต่สวน
"มึงชอบน้องคนนั้น?"
มันถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
"กะ...กู...เอ่อ"
เสียงของไอ้แว่นตะกุกตะกักไปชั่วครู่พร้อมกับใบหูที่แดงจนเหมือนมันร้อน
"คงงั้น..."
มันอ้อมแอ้มตอบออกมาในที่สุด แม้ไอ้โจ้จะพอเดาออกอยู่แล้วแต่พอได้ยินจริงๆกลับอึ้งแดกไปพักใหญ่ก่อนจะป้อนคำถามต่อไป
"มึงเป็นเกย์หรือเปล่า"
เพื่อนผู้น่าสงสารชำเลืองมองมันอยู่ปราดนึงก่อนจะก้มหน้าลงตามเดิม
"กูไม่รู้..."
แว่นขยี้หัวอย่างคนสติหลุดจนโจ้อดสงสัยไม่ได้
"มึงไปชอบน้องมันได้ไงวะ ปกติเห็นไม่สนใจใครก่อน"
"เพราะมันใจดีมั้ง...กูอธิบายไม่ถูก"
แว่นก้มหน้าลงมากกว่าเดิม ทำเป็นเกาพุงให้แมวแต่หน้าคอและหูแดงเหมือนเส้นเลือดฝอยแตก เอาเถอะ...โจ้ก็เปรียบเทียบได้โหดสมกับอนาคตหมอของมัน
“เวลากูมองหน้ามันแล้วกูไม่เป็นตัวของตัวเองเลยว่ะ หรือเพราะแม่งหล่อไปวะกูอยากเกิดมาหน้าตาแบบนั้นด้วยดิ”
“มึงชอบน้องมันหรือชอบหน้าน้องมันกันแน่?”
เพื่อนโจ้เริ่มเหนื่อยกับไอ้บ้าที่พูดจาวกไปวนมา
“ไม่ได้ชอบแค่หน้านะ เวลามันยิ้มกับหัวเราะกูก็ชอบ”
แว่นทำหน้าเหมือนอมตะปูไว้พลางตอบไปด้วย
“มึงไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม”
ไอ้โจ้ถามอย่างจริงจัง ไอ้เพี้ยนเงยหน้าขึ้นมาเบะปากเหมือนจะร้องไห้ไอ้โจ้จึงโบกมือไปมาเป็นทำนองว่า ‘มึงไม่ต้องตอบหรอก’ เพราะยังไงก็คงคิดไปเองอยู่แล้วไม่อย่างนั้นจะชอบได้ยังไง
"ขอกูสูดหายใจแปปนะ"
เพื่อนโจ้ขอทำให้ครู่หนึ่งก่อนจะเสนอทางเลือกให้
"กูให้มึงสามทางเลือก ข้อแรก ตัดใจซะทุกอย่างก็จะจบมึงจะได้ไม่ต้องวุ่นวายใจ"
แว่นมองหน้าเพื่อนผู้เป็นที่ปรึกษาที่ดีมาโดยตลอด พลางครุ่นคิดไปด้วย
"สอง มึงเอารองเท้าไปคืนน้องมันแล้วก็หาทางจีบต่อไป"
"เฮ้ย!? จีบเหี้ยอะไร"
แว่นร้องเสียงหลงเพราะคำแนะนำข้อสอง
"งั้นก็ข้อสาม มึงก็เอารองเท้าไปคืนแล้วกลับมาใช้ชีวิตตามเดิมของมึงซะ ซักวันมึงก็คงลืมไปเอง"
แว่นจ้องตาเพื่อนนิ่ง ลืมงั้นเหรอวะ
ลืม.......ลืมคนที่ช่วยมันจากฝ่าตีนไอ้ยักษ์
ลืม.......คนที่สะกดกั้นอารมณ์กับคำพูดกวนตีนของมันได้
ลืม.....คนที่แม้ไม่ได้พูดอะไรแค่ทอดยิ้มอ่อนโยนให้มันก็รู้สึกสบายใจ
ลืม.....คนที่ยอมให้มันกอดหลายๆครั้งแม้จะเกลียดการสกินชิพท์
ลืม.....คนที่ช่วยพามันฝ่าฝนไปส่งบ้าน
ลืม.....คนที่เล่นกีตาร์ให้มันร้องเพลง
ลืม.....คนที่หัวเราะปากกว้างแต่ก็ยังหล่อ ถึงเหตุผลจะบ้าบอไปนิดแต่เพี้ยนก็มั่นใจได้ว่า
"กูลืมไม่ได้หรอกว่ะ"
"งั้นมึงจะมาทำตัวอกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มจีบทำไมวะ"
"ก็กู...จีบไม่เป็น..."
ไอ้โจ้เพื่อนยากตบหน้าผากตัวเองดัง’ผัวะ’อย่างละเหี่ยใจ ไอ้โจ้ผู้จะมีเมียเป็นตัวเป็นตนต้องมาสอนเพื่อนจีบผู้ชาย มิหนำซ้ำดูท่าเพื่อนจะไปเป็นเมียเขาอีก...ว่าแต่เจ้าตัวมันคิดถึงจุดนี้หรือยังวะ หรือว่ามันคิดว่าเป็นป๊อปปี้เลิฟใสๆ โจ้ล่ะกลุ้ม! และเมื่อกลุ้มแล้วคงต้องหาตัวช่วย
"ทำอะไรวะ"
แว่นเพี้ยนถามเมื่อเพื่อนยากสไลด์หน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรหาใครบางคน
"โทรหาเอ้"
"เฮ้ย! กูยังไม่อยากให้เอ้รู้"
แว่นตาลีตาเหลือก
"มันรู้ก่อนมึงอีก"
เมื่อเพื่อนตอบด้วยเสียงเรียบๆ อย่างกับทุกอย่างคือเรื่องธรรมดาแว่นจึงทำได้เพียงนั่งยิ้มแหยๆอย่างคนเพี้ยน ไอ้เพื่อนสองตัวนี่มันรู้ทุกอย่างก่อนที่เจ้าตัวจะรู้เสียอีก
"เอ้มาที่ห้องหน่อย มีเรื่องให้ช่วย"
เพื่อนโจ้เริ่มบทสนทนาเมื่อปลายสายกดรับ
"กูไม่ว่าง มีนัดกินข้าวกับสามี"
"กูจะคุยเรื่องน้องซิน"
"ไม่แดกแม่งละข้าว เดี๋ยวกูไปนะคะ"
เพราะเหตุนั้นเองนางจึงรีบให้ว่าที่สามีมาส่งถึงที่พักเพื่อนโดยหอบเสบียงมาด้วย และใล่ให้ว่าที่สามีกลับไป...เจริญดีแท้...
“นี่กูให้พี่เขากลับไปก่อนเลยนะ บอกว่าเพื่อนกำลังถูกพิษรักเล่นงาน”
นางยักคิ้วให้หนุ่มๆเจ้าของห้องก่อนจะวางลาบ ไก่ย่าง และอะไรอีกมากมายลงบนโต๊ะกินข้าวขนาดย่อม โดยเหลือบมองไอ้แว่นที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เป็นระยะ
“เป็นนิมิตหมายอันดีเลยนะ ที่ไอ้บีมมันหัดชอบคนอื่นก่อน”
เจ๊เปิดประเด็นโดยไม่ให้เสียเวลา
“และก็เป็นผู้ชาย”
เอาจริงๆคือไอ้โจ้ยังสงสัยและเคืองอยู่ไม่น้อยที่เพื่อนเปลี่ยนรสนิยมทางเพศจากหน้ามือเป็นหลังตีน...ก็มันไม่เคยนึกมาก่อนนี่หว่า
“หล่อ เป็นที่รู้จัก สุภาพ นิสัยดีเป็นกูกูก็เอา”
โจ้ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับวาจาของเพื่อนสาว
“เอาล่ะ ต่อไปหม่อมแม่จะมาช่วยเจ้าชายวางแผนชิงหัวใจซินเดอเรลาเอง”
นางพูดพร้อมกับใช้ฟันเรียงสวยฉีกน่องไก่อย่างน่าสยดสยอง ภายใต้สายตาของไอ้แว่นที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับแต่พวงแก้มแดงจัด
*********************************
“โย่ว”
ไอ้แว่นพยามแทบกระอักเลือดที่จะหาเวลาว่างมาดักรอผู้ชายที่ม้าหินอ่อนของคณะไอทียามเย็น มันยิ้มแหยๆยกมือทักทายอ้วนออมเพื่อนแว่นอีกคนและนายซินที่เดินมาพอดี ความบังเอิญมันไม่ได้มีในโลกหรอกทุกอย่างมันถามอ้วนออมมาตั้งแต่รู้ว่าวันไหนในอาทิตย์ที่ตัวเองไม่มีเวรดึกแล้ว ซึ่งทุกขั้นตอนเวลาและกระบวนการทุกอย่างก็อยู่ในแผนของเจ๊เอ้
“อ้าวพี่”
ไอ้ออมทักทายได้เนียนเหมือนคนไม่รู้มาก่อน ปล่อยให้ไอ้บิ๊กตัวผอมทำหน้างงกับสถานการณ์ประหลาด นายซินผู้เป็นเป้าหมายของวันนี้ยิ้มให้น้อยๆก่อนจะยกมือไหว้ แค่ยิ้มเดียวก็ทำเอาหมอเพี้ยนหน้าร้อนเหมือนเอาเหล็กนาบมันนึกว่าพ่อคนดังจะเดินขมวดคิ้วตีหน้านิ่งอย่างเคยเสียอีก
“พอดีกูเอาชุดมาคืน”
มันยื่นชุดที่ไอ้ซินเคยไปค้างมาให้ บทนี้มันท่องอยู่เกือบอาทิตย์ได้ตอนพูดจึงไม่ค่อยตะกุกตะกักนักแต่ก็เร็วปรื๋อจนเกือบฟังไม่ทัน
“ขอโทษครับ ผมยังไม่มีเวลาเอาชุดพี่ไปคืน”
“มะ...ไม่เป็นไร”
ไอ้แว่นปัดมือเป็นพัลวัน เพราะบทนี้ไม่ได้ท่องมาก็เลยเป็นอย่างที่เห็น...ให้ตายเถอะไอ้ออมและไอ้บิ๊กผู้ไม่รู้เรื่องชุดได้แต่มองหน้ากันด้วยความงงงวย
“ช่วงนี้ผมมีซ้อมตอนเย็น เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเช้าผมรีบเอาไปให้นะ”
นายซินพูดด้วยความเกรงอกเกรงใจ
“ว่างแล้วค่อยเอามาคืนก็ได้ กูไม่ได้ใช้หรอก”
แว่นรีบตอบจนดูเหมือนรนทุกอากัปกิริยาตกอยู่ในสายตาของบางคน
“มันว่างหลังปีใหม่โน้นแหละพี่”
อ้วนออมตอบให้เพื่อน ทำเอาใจหมอร่วงไปอยู่ตาตุ่มมันลืมไปได้ยังไงว่าไม่ใช่แค่มันที่ยุ่ง อย่าว่าแต่จีบติดอย่างที่ไอ้เอ้บอกเลยแค่อยากทำความรู้จักดีๆเป็นเพื่อนกันอย่างที่มันหวังไว้ก็ยากสุดๆ เพราะเวลาของมันสองคนยุ่งวุ่นวายพอกัน
“ผมมีซ้อมวง”
ซินอธิบายเหตุผล ไอ้เพี้ยนที่เคยหน้าทะเล้นปั้นยิ้มแบบฝืนๆมาให้แล้วพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจแว่นกระชับมือขวาที่ถือถึงรองเท้าคู่ใหม่ไว้ก่อนจะยื่นไปให้อีกคนอย่างที่ซ้อมมากับเจ๊เอ้ ‘แลกกับเบอร์มึงนะเว้ย’ นั่นเป็นบทที่มันหลับหูหลับตาท่องมา แต่เอาจริงๆมันก็พูดได้แค่
“เบอร์ใหม่รอนานไปนิดนะ”
เบอร์โทรกับเบอร์รองเท้าความหมายช่างต่างกันเยอะ หมอลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับตัวเอง การที่จะทำความรู้จักกับใครอีกคนนี่มันเหนื่อยใจกว่าที่คิดแฮะ ต้องนับถือแฟนคนก่อนๆของมันเลยทีเดียวที่ตื้อจนมันยอมเป็นแฟนด้วยได้
“ขอบคุณมากครับ”
ยิ่งอีกคนรับของไปง่ายๆมันก็ยิ่งใจแป้ว เพราะเหมือนกับคงไม่มีเรื่องไหนแล้วที่มันจะตามมาวุ่นวายคนข้างหน้าได้อีก
“คืนนี้พี่ไม่ทำงานเหรอ”
ซินถามไอ้เพี้ยนที่ยืนคอตก แว่นพยักหน้าแล้วยิ้มให้ก่อนจะหันหลังแล้วโบกมือลาทั้งแบบนั้น จะไม่ว่างได้ไง เขาแพลนกันเป็นอาทิตย์เว้ย
“ไปดูผมซ้อมไหม”
ไม่ใช่แค่แว่นที่ตกใจกับคำชวนจนชะงักกึก อ้วนออมแล้วแว่นบิ๊กก็ตกใจเสียจนตาโตเป็นไข่ห่าน
ไอ้บีมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นทำนองว่า ‘มึงชวนกูเหรอ’ ซินยิ้มขำกับหน้าตาเหรอหราของอีกคน ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
“ห๊ะ!?”
นั่นเป็นเสียงของไอ้แห้งบิ๊กที่เรียกสติอีกสองแว่นที่ไปคนละกู่ ไอ้ออมกำลังงงกับตรรกะและข้อมูลที่ตัวเองเคยสรุปไว้ก่อนหน้าดูหลุกหลิกพอๆกับหมอแว่นที่ไม่เชื่อหูตัวเอง ไอ้เพี้ยนรีบพยักหน้ารัวๆอย่างกลัวคนชวนจะเปลี่ยนใจกริยาประหลาดนั่นทำให้ไอ้ซินหลุดขำพรืดออกมา ผู้ไม่เคยเห็นไอ้ซินมาดหลุดมาก่อนอย่างไอ้แว่นแห้งบิ๊กถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ไปนะ”
ซินบอกลาเพื่อนด้วยคำพูดง่ายๆเป็นเรื่องปกติ จะไม่ปกติตรงที่มันเดินไปแตะไหล่รุ่นพี่ที่หน้าตากวนตีนเหมือนเด็กมัธยมปลายเบาๆแล้วเดินนำไปที่ลานจอดรถนั่นแหละ ไอ้ออมหันซ้ายหันขวาก่อนจะโบกมือลาอีกแว่นที่กำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน นายซินขึ้นคร่อมพาหนะคู่ใจอย่างชำนาญก่อนปลดหมวกกันน็อคอันใหญ่ออกมา มันนึกอะไรอยู่ครู่นึงก่อนจะยื่นหมวกกันน็อคให้ไอ้แว่นที่ยืนบื้ออยู่ข้างรถ
“พี่ใส่ดีกว่า”
มันไม่พูดเปล่าแต่สวมหมวกให้รุ่นพี่ที่ยังยืนเลิกคิ้วสงสัยอยู่
“เฮ้ย! มึงไม่ใส่รึไงเล่า”
ไอ้เพี้ยนโวยวายพร้อมกับทำท่าจะถอดหมวกใบใหญ่ออก ไอ้ซินจับด้านบนของหมวกไว้เพื่อไม่ให้อีกคนถอดออกได้ ใจจริงมันอยากจะตบลงบนหมวกด้วยซ้ำ...โทษฐานหมั่นเขี้ยวหนะนะ
“ขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวผมสาย”
แว่นยอมทำอย่างว่าง่าย เพราะถ้าให้มันดื้อดึงถอดหมวกกันน็อคออกพ่อคนดังต้องเห็นหน้าร้อนๆเหมือนเตาถ่านแดงแจ๋ของมันแน่
ทุกอากัปกิริยาของพวกมันอยู่ในสายตาใครหลายคน ทั้งการสวมหมวกให้ที่ดูอย่างไรก็ประหลาดเพราะความรู้สึกอิจฉา ทั้งรอยยิ้มขี้เล่นของนายซินผู้เป็นเสือยิ้มยาก ทั้งการที่หมอแว่นเกาะไหล่มือเบสเพื่อขึ้นบิ๊กไบค์คันสุดหวงอย่างกับเป็นเรื่องธรรมดา และการที่นายซินปล่อยให้อีกคนกอดเอวไว้ก่อนที่จะขี่รถลับสายตาไปด้วยความเร็วสูง ใครบางคนในนั้นได้แค่แค่นยิ้มแล้วเดินกลืนตามฝูงชนออกไป
********************************
วันนี้ไอ้ซินมาแปลก รถสองล้อคันสุดหวงบรรทุกใครบางคนมาด้วย ไอ้เต้ที่ยืนรดน้ำต้นดอกไม้อยู่หน้าสตูดิโอเพ่งมองจนตาแทบจะถลน
"ใครมากับไอ้ซินวะ"
ไอ้พี่พายยื่นหน้าเข้ามาถามไอ้เต้ คนที่ยืนจ้องอยู่สะดุ้งเฮือก
"พี่พาย! ผมตกใจหมด"
"ใครวะ"
ไอ้พายไม่ได้สนใจรุ่นน้องแต่พยักเพยิดไปทางคนอีกคู่ที่กำลังจอดรถไว้ตรงลานด้านหน้าสตูดิโอ
"ไม่รู้ว่ะพี่ น้องชายพี่ซินเขามั้ง"
ไอ้เต้เดาจากการคาดคะเนทางสายตา
"เออ...นั่นใครวะ"
ไอ้พี่พายรับไหว้มือเบสก่อนจะส่งสายตาไปที่คนที่กำลังเดินตามมา แว่นยิ้มให้เบาๆเพราะทำหน้าไม่ถูก
"รุ่นพี่ที่ม."
ไอ้ซินมันนึกชื่อหมอแว่นอยู่หน่อย น่าสงสารไอ้บีมจริงๆแม้แต่ชื่อนายซินก็แทบนึกไม่ออก
"หมอบีมครับ"
ไอ้แว่นถึงกับหันขวับไปหาคนพูดด้วยความแปลกใจ จริงๆซินไม่ได้ลืมหรอกเพียงแต่มันไม่เคยเรียกเลยกระดากปากพิกล
"เช้ดดดดดดด เรียนหมอด้วย"
ไอ้เต้อุทานอย่างสบประมาท ที่จริงมันนึกว่าจะได้เพื่อนวัยเดียวกันมาเย้วที่สตูดิโอเสียอีก
"นี่พี่พาย มือกีตาร์วงผม"
นายซินแนะนำไอ้พายให้คนมาใหม่ แว่นผู้เงอะงะยกมือไหว้มือกีตาร์พอๆกับไอ้พายที่ยืนกร่างรับไหว้ด้วยความเหนือกว่า ไอ้ซินยิ้มก่อนจะแก้ความเข้าใจผิด
"พี่พายต้องไหว้หมอ พี่บีมเขาแก่กว่าพี่"
"เวร"
ไอ้พายสบถพลางยกมือขึ้นมาไหว้ปะหลกด้วยความขวยเขิน ต้องสมน้ำหน้าไอ้เพี้ยนเพราะไอ้โจ้อุตส่าห์เตือนแล้วว่าอย่าใส่เสื้อลายสก็อตกับสกินนี่รัดขามา มันเหมือนเด็กแวนซ์มันก็ไม่เชื่อ แว่นที่หน้าตา(ปัญญา)อ่อนเหมือนเด็กม.ปลายต้องโบกมือในเชิงว่าไม่เป็นไร
"เฮ้ย!"
ผู้ที่มาทำลายบรรยากาศประหลาด คือเด็กฝรั่งที่เดินง่วงออกมาจากห้องซ้อมมันวิ่งเต็มความเร็วมาหาใครบางคน
"คุณหมอ!"
คนในฝันของเอเดนอยู่ตรงหน้าแล้วมันแอบคิดว่าจะลองหกสูงให้มือเดาะเล่นจะได้ไปนั่งมองหน้าหมออีก แต่นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ หมอแว่นมาหาถึงที่ มันถือวิสาสะจับแขนเขาแล้วโวยวาย
"หมอจริงด้วย หมอมาได้ไง"
แถมลามไปที่มือแล้วเขย่าๆ อีกหลายรอบ
"เอเดน พี่ฟ้าล่ะ?"
เอเดนทำหน้ายู่ มันแอบเบื่อไอ้ซินอยู่หน่อย เวลาไม่พอใจอะไรก็ถามถึงแต่พี่ฟ้าแถมวันนี้มีสายตาพิฆาตแถมมาด้วย ถามว่าฝรั่งกลัวไหม...ขอตอบว่าไม่!!!
"หมอมาทำอะไรเหรอ"
"พี่มาดูเราซ้อม"
มันเอ่ยถึงจุดมุ่งหมายจริงๆที่ถูกชวนมา
"Oh God Really!? เข้าไปข้างในกันเถอะ"
เด็กฝรั่งผู้สร้างโลกส่วนตัวลากคุณหมอหลุนๆไปข้างใน ไอ้ซินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินตามเข้าไป ไม่รู้ว่ามันคิดถูกหรือผิดที่พามาด้วยก็แค่เห็นหน้าตาเหมือนเด็กถูกทิ้งก็เลยชวนมา...แค่นั้นเอง แล้วอีกอย่างการที่ได้พูดคุยกันมากขึ้นจากวันนั้นคงเรียกได้ว่าพวกมันเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องหรือคนรู้จักกันได้สนิทปาก ถ้าหมอรู้มันคงจะดีใจน่าดู ซินแนะนำไอ้เพี้ยนให้ทุกคนรู้จักอย่างที่เคยพูด หลายๆคนแปลกใจกับหน้าตาและท่าทางเด็กกว่าอายุและอาชีพมีแต่ไอ้ฟ้าที่เริ่มประมวลผลสมองและยิ้มเยาะในใจอย่างผู้รอบรู้...นี่มันแกรนด์โอเพนนิ่งว่าที่เจ้าชายชัดๆ...
พวกมันเริ่มซ้อมตอนเกือบสองทุ่มเพราะมัวแต่เซ็ตนั่นนี่ที่หมอไม่เข้าใจ ไอ้เต้เล่าให้ฟังว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่จะนำไปเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ตอนปิดเรื่อง แว่นที่ไม่ค่อยเข้าใจถึงความสำคัญก็พอรู้ว่าเพลงนี้จะต้องได้เปิดในคลื่นวิทยุทั่วโลกทั้งเนื้อร้องก็เป็นภาษาอังกฤษหมด เพราะหนุ่มๆร็อควงนี้กำลังจะบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเซ็นสัญญากันที่ยุโรป อธิบายตามตรงแบบไม่ได้อวยมันคิดว่าเพลงนี้เพราะและติดหูมาก เป็นเพลงร็อคเสียงเครื่องดนตรีและเสียงร้องแน่นๆแต่ฟังแล้วเมโลดี้สวย คำร้องของเด็กฝรั่งสำเนียงก็ชัดเจนยังไงก็ขายได้แน่ๆ ไอ้บีมที่ฟังเพลงป๊อบและลูกทุ่งมาตลอดชีวิตไม่ได้อวยจริงๆนะ...เชื่อมันหน่อยเถอะ ยิ่งเมื่อรวมกับองค์ประกอบทางศิลปินหมอให้ผ่านรวด! มือกลองก็ดูท่าดี มือกีตาร์ก็พลิ้ว นักร้องก็หน้าตาเยี่ยงบอยแบนด์อังกฤษโดยเฉพาะมือเบสที่ยืนหน้านิ่งๆ แต่หันมายิ้มให้เป็นพักๆถ้าเป็นสาวๆคงนอนตายกันเกลื่อนด้วยความฟิน ซึ่งไอ้แว่นได้แต่นั่งถลึงตาใส่เพราะหมั่นไส้ในความเท่ห์ที่ตัวเองไม่มีแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันหน้าร้อนวูบๆอยู่หน่อย แต่เพราะวันนี้อากาศหนาวกว่าปกติหรืออย่างไรไม่รู้ นักร้องร้องเพลงได้เพี้ยนเสียจนพี่โปรดิวเซอร์ต้องให้หยุดซ้อมและเรียกไปคุย มันให้เหตุผลแค่ว่า...มันไม่มีสมาธิเพราะคุณหมอมองอยู่ แค่นั้นก็ได้เสียงโห่ฮาจากบรรดาคนรอบข้าง ไอ้พี่ฟ้าถึงกับกุมขมับแล้วโบกกบาลมันไปสองทีแต่ฝรั่งที่กำลังเห่อคุณหมอก็ยังยิ้มร่าไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ไอ้ตัวต้นเรื่องอย่างแว่นหัวเราะแหะๆแบบอยากจะสารภาพเหลือเกินว่าพี่แกฟังไม่ออกแต่น้อยว่ามันเพี้ยน เพราะมองแต่มือเบสจนไอ้ซินแทบจะสึก
“ทีหลังไม่ต้องมาแล้วนะพี่ นักร้องผมร้องไม่ได้”
เป็นเสียงจากไอ้พายผู้กวนส้น ความจริงหมอน่าจะโกรธนะ แต่ทว่า....
“ก็คนมันหล่อ”
ดูไอ้แว่นกับไอ้พายจะเข้ากันได้ง่ายเหลือเกิน เหตุผลคงเพราะพวกมันห่ามเหมือนกัน เจ้เอมมี่ปรบมือเรียกทุกคนเพื่อให้หยุดซ้อมและพาไปเลี้ยงมื้อดึกตอนเกือบห้าทุ่ม แว่นผู้ความเกรงใจน้อยนิดเดินตามต้อยๆไปหน้าปากซอยเพราะหิวเหมือนกัน ไอ้ฟ้าเห็นทางสะดวกจึงเดินเนียนมาข้างๆหนุ่มแว่นเพื่อเปิดฉากการทักทาย
“พี่เรียนหมอเหรอ”
“ครับ”
แว่นตอบพลางมองตามหลังนายซินที่เดินคุยกับพี่โปรดิวเซอร์ข้างหน้า ไอ้ฟ้าลอบมองแล้วก็เก็บข้อมูลไว้ในใจ ‘พี่มาได้ไง’ หรือ ‘รู้จักกับซินได้ยังไง’ มันเป็นคำถามที่คนธรรมดาเขาถามกันแต่กับนางฟ้าหรือไอ้พี่ฟ้ามันเหนือกว่านั้น
“อากาศมันเริ่มเย็นๆแล้วนะพี่”
มันถูแขนตัวเองไปมา
“ผมนึกถึงงานเทศการที่เขาใหญ่เลย ขนาดหน้าร้อนแม่งยังหนาว พี่ได้ไปไหมตอนสามเดือนที่แล้ววงพวกผมก็ขึ้น”
“อ๋อ ไปๆแต่ผมดูเวทีแดนซ์ต่างประเทศ เสียดายไม่ได้ไปดูพวกคุณ”
เพราะมันเป็นตัวเอกนิยายปรัมปราไง พี่แกถึงคิดไม่ค่อยทัน
“แดนซ์ที่ติดกับเวทีแจ๊ส ที่เขาตีกันเหรอพี่”
แว่นหัวเราะหึๆเพราะเป็นคนต้นเรื่อง แต่ก็ตอบจนไอ้ฟ้ากระจ่างทุกข้อสงสัยอยู่ดี
“ใช่ครับ ดีที่ซินช่วยไว้ก่อน”
เพราะมันไม่รู้นี่หว่าว่าไอ้ซินผู้ซื่อเล่าเหตุการณ์แม้กระทั่งการกอดที่แสนอับอายให้ชาวบ้านชาวช่องฟังหมด ไอ้ฟ้าที่ได้ข้อมูลจนครบแล้วกำลังจะหาวิธีล้วงข้อมูลของวันนี้ที่นายซินให้นั่งรถมาด้วยง่ายๆแต่มีมารที่เป็นฝรั่งมาขัดเสียก่อน
“คุณหมอ”
เอเดนไม่เดินเปล่าแต่ใช้แขนสองข้างแหวกตัวไอ้พี่ฟ้าออกจากคุณหมอของมันแล้วเดินแทรกกลาง
“คุณหมอมากับพี่ซินได้ไง”
ถือว่ามารตัวนี้มีคุณอยู่ไม่น้อย ไอ้แว่นผู้ป๊อปปูล่าร์ชั่วขณะยังไม่ได้ตอบอะไรนายซินก็เดินร่นมาข้างหลังพร้อมกับใบหน้าไล่แขกสองคนที่เกาะแกะคนที่มันพามาด้วย
“รำคาญป่ะพี่”
มันถามเรียบๆตามสไตล์แต่ทำเอาคนที่เดินมาเป็นปกติตอนต้นแทบจะขาขวิดกัน...แว่นท่าจะเป็นเอามาก...
“ปะ...เปล่า น้องมันน่ารักดี”
ฝรั่งยิ้มเยาะพลางเดินขนาบข้างไอ้แว่นแต่คนละข้างกับนายซิน
“โทษทีนะพี่ดึกจนได้ เพราะวันนี้เอเดนมันเพี้ยนเลยซ้อมนานหน่อย”
ซินยิ้มอ่อนๆให้แว่นเพี้ยนที่อุตส่าห์นั่งนิ่งๆดูมันซ้อมมาหลายชั่วโมง
“ทำไมให้กูมาด้วยวะ”
แว่นก้มหน้าต่ำไม่มองทางแล้วเดินเหตุเพราะมันเขินล้วนๆ ถ้ามันใจกล้าเหลือบมองพ่อมือเบสสักนิดคงเห็นว่าอีกคนเกาคอแก้เก้อเพราะเขินเหมือนกัน เอ็งพลาดแล้วบีม!
“ผมกำลังเห่อเพลงมั้ง”
ไอ้ซินโกหก! เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่มันโกหกแต่ตอนนี้มันขอไว้ก่อนเพราะมันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฝรั่งที่เดินอยู่ข้างๆเหมือนไม่มีตัวตนในสายตาคนสองคนแม้แต่น้อย เอเดนจิ๊ปากแบบไม่พอใจแต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร นางฟ้า....หมายถึงไอ้ฟ้าก็มาลากตัวไปซะก่อน
“ผมจะนั่งข้างๆหมอออออออ”
มันโหยหวนเมื่อไอ้พี่ฟ้าลากไปนั่งตรงข้ามกับหมอแว่น
“มึงก็นั่งตรงข้ามพี่หมอไง จะได้เห็นชัดๆ”
ไอ้เต้ผู้ซึ่งฉลาดอยู่นิดหน่อยเสนอทางเลือกให้ ซึ่งเด็กฝรั่งก็ยอมแต่โดยดี
หัวข้อการสนทนาในร้านข้าวต้มเที่ยงคืนวันนี้ไม่ใช่เรื่องเพลงใหม่ แต่เป็นเรื่องผู้มาใหม่ต่างหาก อย่างเช่นว่า
“พี่อายุยี่สิบห้าจริงดิ”
“รู้จักกันได้ยังไงวะ”
หรือไม่ก็
“ทำไงให้ไอ้ซินยอมให้ซ้อนรถคะ พี่ขอซ้อนนิดหน่อยมันปฏิเสธตลอด”
เจเอมมี่พูดพลางถลึงตาใส่มือเบสที่นั่งเงียบแว่นได้แต่ยิ้มแหะๆมองนายซินที่จ้วงข้าวเข้าปากอย่างเรียบร้อย แต่ไม่ได้สนใจคำถามใด...เขาเรียกตีมึนไว้ก่อน จะมีแต่ไอ้ฟ้าที่นั่งเงียบอย่างผู้กำความลับของโลกแล้วคอยสังเกตพฤติกรรมเล็กน้อยๆอย่างเช่น
“เผ็ดเหรอ จมูกแดงหมดแล้ว”
ว่าแล้วนายซินก็ส่งทิชชู่ให้ หมอหันไปฉีกยิ้มให้ก่อนจะรับทิชชู่มาด้วยไปหน้าที่แดงกว่าเดิม
แล้วมารอย่างเด็กฝรั่งก็จะแยกเขี้ยวขู่นายซินที่นั่งกินเงียบๆแต่ดูกวนตีนพิกล การกินข้าวมื้อดึกผ่านไปด้วยความเฮฮา หมอแว่นเข้ากับทุกคนได้ดีจนเหมือนไม่ได้เจอกันครั้งแรก ไอ้ซินยิ้มกับภาพที่แว่นโดนเจ๊เอมม่าขอถ่ายรูปแล้วติ๊ต่างว่าได้แฟนเป็นหมอแต่โดนเอเดนไหว้ขอร้องเพราะไม่ให้ถ่าย พอๆกับพี่ๆโปรดิวซอร์และไอ้พายที่บ่นตลอดว่าแพ้ทางเพราะอาชีพการงาน ไม่รู้ทำไมมันถึงรู้สึกสนุกและยิ้มได้บ่อยๆเพราะไอ้แว่นเพี้ยนโรคจิตในตำนานก็ไม่รู้ ในที่สุดนายซินก็หาข้อดีข้อที่สองของหมอแว่นนอกจากความเสียสละได้ นั่นก็คือ...ไอ้แว่นเป็นคนสนุกสนาน...
_______________________________________________________________________________________
ต่อหน้า 5