Part 8

“..ก็ดูเหมือนว่าคุณจะชอบเจ้าของกล้วยไม้... มากกว่ากล้วยไม้ที่ได้รึเปล่า...ถึงได้ทำหน้าเกินความพอดีที่ได้เห็นแค่กล้วยไม้..”
“……………..” จ้องหน้าหน้าคนที่เอ่ยคำพูดแปลกหูออกมา...ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าคิดอะไรอยู่...แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณโอคิดอย่างนั้น...ถ้าเหตุผลมันไม่ร้ายแรงอะไรผมก็ควรจะอธิบายสินะ...เพราะการที่ต้องทำงานอยู่ตรงนี้ ผมก็อยากจะสบายใจและไม่ต้องการให้เจ้านายอย่างผู้นำพยัคฆราชมาเข้าใจผมผิด ๆ
“มีอะไร...”
“ผมชอบกล้วยไม้จริงๆ ไม่ได้ชอบคุณอาทิตย์มากกว่ากล้วยไม้”
“งั้นเหรอ..ก็ไม่ได้ว่าแค่สันนิษฐาน” อีกคนดูเหมือนจะเหวอไปเล็กน้อยและรีบพูดเหมือนแก้ตัวเมื่อผมตอบด้วยสีหน้าจริงจัง...ทำไม..ผมแสดงออกไปยังไง ถึงทำให้คิดว่าจะชอบเจ้าของกล้วยไม้มากกว่ากล้วยไม้...ไม่ค่อยพิสมัยเท่าไหร่กับคนที่ชอบตัดสินคนอื่นจากมุมมองตัวเอง...
“ผมไม่ต้องการให้ใครมองผมอย่างนั้น...คุณโอเป็นเจ้านายผม..ผมก็ไม่อยากให้เข้าใจผิด..ผมชอบกล้วยไม้จริง ๆ เข้าใจไหมครับ..”
“..............”
“................” อธิบายให้ฟังยาวเหยียดก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปหาคุณโต้ที่ยืนคุยกับคนงาน ไม่ได้สนใจคนที่ย่นคิ้วมองผม...คงไม่คิดว่าจะกล้าอธิบายโดยใช้ซีนอารมณ์นิดนึงด้วย...
“มีอะไรรึเปล่าซอ”
“เปล่าครับ” หันมองคนที่ยังยืนนิ่งๆ มองผมอยู่...ถอนหายใจแผ่วเบา เพราะคงเป็นครั้งแรกที่พูดความในใจออกไปให้คนอื่นได้รับรู้...ก็ผมชอบกล้วยไม้สีฟ้านั่นจริงๆ ส่วนคุณอาทิตย์ก็เป็นคนดีที่ยังอุตส่าห์เก็บกล้วยไม้ไว้ให้...จะว่าไปก็กลัวนิด ๆ เหมือนกันที่กล้าแสดงท่าทางอวดดีแบบนั้นออกไป...แต่ก็ช่างเถอะทำไปแล้ว...ถ้าโกรธที่ผมกล้าเถียงก็ฆ่าทิ้งซะ...ก็แค่นั้น...
ในที่สุด...ก็หมดไปอีกวัน โดยที่เหมือนลืมว่าตั้งใจจะทำอะไร...มองนาฬิกาก็เกือบหกโมงแล้ว เห็นพี่ต่ายเริ่มมาทำอาหารเย็นให้เจ้านายตัวเองตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง...ผมจะทานอาหารที่นี่เฉพาะตอนกลางวัน ที่เหลือก็ทานที่บ้าน น้าบานชื่นทำกับข้าวไว้รอทุกวัน...และที่สำคัญอร่อยมากด้วย...มองกล้วยไม้แล้วก็ส่งยิ้มให้มันเหมือนกับจะล่ำลา...พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะ..เอาไว้ซอหยุดจะเอาไปหาเพื่อนที่บ้าน...
“.................”
“กลับแล้วเหรอ”
“..ครับ...” ตอบคำถามหลังจากยกมือไหว้คนที่เดินลงมาจากบนบ้านพอดี...วันนี้ทั้งวันทั้งคุณโอคุณโต้ยุ่งกับเรื่องขยายสวนใหม่เพราะเห็นว่าไปติดต่อซื้อที่ข้าง ๆ กันอีกฝั่งนึงได้สำเร็จ...ร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์พอดีตัวทำให้เห็นสัดส่วนแข็งแรงได้ชัดเจน ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงจะวิ่งออกไปกรี๊ดหน้าบ้านแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าสบตากับเจ้านายตัวเองเพราะนึกถึงเมื่อตอนกลางวันที่ไปอวดดีใส่...ถึงผมจะไม่ผิด...แต่จากฐานะและความเป็นอยู่ในเวลานี้ ผมก็คงจะไม่ควรทำใช่ไหม...
“..เหมือนคุณจะกลัวผม..”
“..เปล่าครับ...”
“...กลัวว่าผมจะทำร้ายครอบครัวคุณ...”
“................” เงยหน้ามองคนที่ยืนบนบันไดขึ้นสุดท้ายก่อนจะถึงพื้นด้านล่าง...ใช่ผมกลัว..กลัวมากด้วย...ที่ผมยอมที่จะอยู่ที่นี่ก็น่าจะรู้ว่าผมกลัวว่าผมครอบครัวผมจะลำบาก...
“ ...ผมไม่กลัว เพราะคุณโอบอกเองว่าเป็นลูกผู้ชายพอ คำไหนคำนั้น...”
“..หึ..ผมคิดไว้แล้วว่าคุณก็ไม่ใช่คนหัวอ่อน ที่ใครจะจูงอะไรง่าย ๆ..เสียดายนะที่เจ้าสัวศรันย์ไม่เห็นอะไรดี ๆ ในตัวคุณเลย..”
“..................” ทั้งที่คำพูดพวกนี้มันแทงใจดำ จนรู้สึกว่ากลืนน้ำลายลำบาก...แต่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องโต้กลับไป...เพราะทุกอย่างคือความจริง ความจริงที่ผมต้องทนเจ็บปวดตั้งแต่จำความได้..และรู้สึกได้ว่าตัวเองขาดสิ่งที่เรียกว่า ความรัก จากคนเป็นพ่อ...กำมือแน่น..ก่อนจะเงยหน้ามองคนพูดอีกครั้ง...ผมแสดงสีหน้าและแววตาออกไปยังไงผมไม่รู้...แต่ความรู้สึกที่เริ่มจะรังเกียจคำพูดส่อเสียดนั่นมีอยู่เต็มหัวใจ...
“.................”
“อยากพูดอะไรก็พูดเถอะครับ คุณมีสิทธิ...ถึงผมจะสามารถพูดหรือทำอะไรได้ดีแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็มีขีดจำกัด..ว่าผมไม่ควรที่จะทำ...เพราะสำหรับคุณ ตอนนี้ผมก็เหมือนมดตัวเล็ก ๆ ที่จะใช้เท้าขยี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้....แต่ก็ดีใจ ที่อย่างน้อย การที่ผมมีชีวิตอยู่ที่นี่ทำให้ครอบครัวผมไม่ต้องถูกคนที่ดูเหมือนจะเหนือกว่าอย่างคุณไปทำเรื่องร้ายๆ อย่างที่คุณขู่ไว้..ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวครับ..”
“เดี๋ยว!!”
“โอ๊ย! เจ็บ..คุณโอ ปล่อย!..” นิ่วหน้าลงเพราะความเจ็บที่วิ่งซ่านที่ต้นแขน...ผมเซถลาถอยหลังเพราะแรงกระชาก..ร่างประทะกับหน้าอกกว้างจนต้องใช้มืออีกข้างยันหน้าอกหนานั่นไว้
..ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก...ใบหน้าเคร่งเขม็งนั่นทำให้พูดอะไรไม่ออก...
“ผมดูเลวร้ายมากสินะ...ผมคงจะเหมือนคนที่จ้องจะทำร้ายราชสีห์เกริกไกรของคุณมากใช่ไหม!!”
“..................” ..รู้สึกว่าตัวเองหน้าซีดลง....หัวใจเต้นแรงเพราะสีหน้าท่าทางน้ำเสียงที่ทรงอำนาจนั่น...แขนผมอีกข้างที่เป็นอิสระก็ถูกมือหนาอีกข้างของอีกคนยื่นมาบีบไว้แน่น...พร้อมกับฉุดให้ผมหันไปเผชิญหน้ากับตัวเอง...เหมือนอยากให้รับรู้และฟังสิ่งที่ตนเองจะพูดให้ชัดที่สุด...แรงบีบที่ต้นแขนทั้งสองข้างจากเจ็บกลายเป็นปวดหนึบเหมือนกำลังจะหัก....
“รับรู้แค่สิ่งไม่ดีของคนอื่น...ไม่เคยที่รับรู้สิ่งไม่ดีของพวกเดียวสินะ..เพียงเพราะคำทำนายบ้าๆ นั่น.!!.”
“..ปล่อย...ปล่อย!!...” ความกลัววิ่งสุมในหัวใจ...แววตาแข็งกร้าวที่จ้องมา เหมือนกับอยากจะฉีกผมออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย...เพราะแรงบีบที่ต้นแขนที่ทำให้เจ็บและความกลัวที่ไม่เคยได้สัมผัสจากใครที่ไหน….ร่างกายผมเริ่มสั่น...จากความกลัว เริ่มเปลี่ยนเป็นรังเกียจสัมผัสที่แตะต้องเนื้อตัวผมอยู่...รังเกียจ...ไม่อยากให้จับ...ขนลุกและสั่นไปหมด...
“..หึ..อย่าสำคัญว่าอยากจับ...ไม่ต้องสั่นขนาดนั้น...ถ้าอยากอยู่อย่างมีความสุข ก็อยู่อย่างเจียมตัว...ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูด!!..”
“ ฮึก..ไม่พูด!! ผมจะไม่พูดอีกแล้ว...ฮึก ปล่อย!..ปล่อย!..” เหมือนร่างกายจะสลายและหลอมละลายไปกับมือร้อน ๆ ที่จงใจออกแรงบีบต้นแขนผมให้แน่นขึ้น...ตะโกนออกไปเพราะความกลัว...ทั้งที่เหมือนใจจะสู้ แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ตลอด...
“....................”
“....ฮึก...อึก...” ร่างผมเซออกมาเล็กน้อยเพราะอีกคนยอมปล่อยและผลักผมออกจากตัวเอง...ยืนมองหน้าคนที่ยังทำหน้าเคร่ง...มือหนายกขึ้นเสยผมตัวเองอย่างหัวเสีย...
“..จะยืนอยู่ให้ผมระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้หรือไง...คุณทำผมโมโหแค่ไหนรู้ไหมซอ...เพียงเพราะคำพูดของคุณ..”
“..ฮึก ...ขอโทษ! ฮึก...” ขอโทษทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดรึเปล่า... พยุงตัวเองไว้.. พยายามกลืนก้อนสะอื้น และกลั้นน้ำตาไว้ ถึงมันจะทำได้ไม่ดีก็ตามที...ปล่อยให้ส่วนที่เกินกลั้นไหลเคลียแก้มตัวเอง...ร่างกายยังสั่นสะท้าน หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย...หันหลังก่อนจะก้าวออกมาอย่างที่คิดว่ามั่นคงที่สุด...ทั้งที่ยังต้องใช้มือจับขอบประตูเพื่อพยุงตัวเองใส่รองเท้าหน้าบ้าน...
...ตอนนี้สิ่งที่ผมตกใจมากกว่าสีหน้าและแววตาเครียดแค้นนั่นก็คือ ...อาการกลัวสัมผัสของผู้ชายคนนั้นจนเกือบช็อค...อาการหน้ามืดวิ่งเข้ามาในหัว ...จนต้องหยุดยืนอยู่ข้างต้นไม้แล้วพิงตัวเองกับต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน...เมื่อคราวกับคุณโต้ที่ไม่ได้รุกรานหนักก็คิดว่าตัวเองแค่กลัวเพราะไม่ได้ถูกใครสัมผัสเลยนอกจากพวกพี่ ๆ และบัว...แต่อาการตอนนี้ทำให้รู้สึกกังวล
...ความอ่อนแรงของร่างกายมีมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวสมองและหน้าชาไปหมด..หัวใจเต้นแรง...จนเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้...
“ อึก....” ...ปวดหัว...ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโหวงเหวงจนต้องเหยียดแผ่นหลังพิงต้นไม้ให้มากขึ้นเพราะเหมือนว่าตัวเองกำลังจะล้มลง...ตาที่จ้องทางข้างหน้าที่กำลังสลัวเพราะหมดแสงอาทิตย์ไปแล้วกำลังพร่ามัว...หนังตาหนักอึ้ง...และ...กำลังจะ...
“..ซอ!...”
ร่างกายเบาหวิวในที่สุด...ความพร่ามัวของดวงตา ความหนักอึ้งในหัว...ความมึนงงในสมองถูกทาบทับด้วยความมืดจากเปลือกตา
ที่ปิดสนิท...เหมือนสับสวิทย์ตัวเอง...ก่อนทุกอย่างจะมืดดับพร้อมกับรับรู้ว่าร่างกายกำลังโอนเอียงล่วงลงกับพื้นหญ้าด้านหน้า...แต่เสียงเรียกและสัมผัสแผ่วเบานั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้รับรู้....
ความชื้นที่ลำคอและใบหน้าทำให้ค่อย ๆ รู้สึกตัว...ผมค่อย ๆ ขยับตัว..กระพริบตาถี่...และลืมขึ้นในที่สุด..เพราะยังมึน ๆ จึงได้แค่กวาดตามองสิ่งของรอบตัวตัวเองที่ไม่คุ้นเคย...ไม่ใช่ที่บ้านบัว...
“คุณน้องฟื้นแล้วเหรอคะ..ฮึก..บัวเป็นห่วงแทบแย่...”
“บัว...ซอ..ทำไม...” ไม่รู้จะถามคำถามไหนก่อน...ซอเป็นอะไร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ และที่นี่ที่ไหน....
“คุณน้องหมดสติค่ะ ที่คุณโต้ให้คนไปตามแม่มาดู...บัวพึ่งมาเปลี่ยนกับแม่เมื่อครู่นี่เอง..เพราะคุณน้องไม่ยอมทานข้าวเช้า ข้าวเที่ยงใช่ไหมคะ พี่ต่ายบอกบัว”
“ซอ ไม่หิว..” ส่งยิ้มให้คนที่เข้มแข็งตลอด แต่ตอนนี้กลับมีน้ำตาคลออยู่เพราะเป็นห่วงผม...ห้องที่ผมนอนอยู่คงเป็นอีกห้องของบ้านหลังนี้ที่ว่างอยู่สินะ เพราะดูแล้วคล้ายๆ ห้องของทั้งสองคนที่เห็นตอนเอาน้ำแก้เมาเข้าไปให้...
“ไม่เอาค่ะ ต้องหิว...ทั้งที่บัวกับแม่ห่วงคุณน้องขนาดนี้...แต่คุณน้องไม่ห่วงตัวเองเลยเหรอคะ..รู้ไหมว่าบัวใจหายแค่ไหน..ฮึก..อย่าทำอีกนะคะ..”
“ ไม่ทำแล้ว...ซอขอโทษ..” บัวพยักรับรู้พร้อมกับรีบเช็ดน้ำตาตัวเอง...สุดท้ายผมก็ทำให้ใครต่อใครลำบากอีกแล้ว...แต่ว่าใครที่ไปเจอผมตอนนั้น...เพราะสำรวจร่างกายแล้วไม่มีแผลเจ็บ หรือปวดตรงไหนของร่างกายจากการล้มลงที่พื้น...
“งั้นทานข้าวต้มอุ่น ๆ นะคะ บัวจะลงไปเอามาให้...คุณโต้สั่งให้คุณน้องพักอยู่นี่ก่อนจนกว่าจะดีขึ้น บัวเลยเอาเสื้อผ้ากับของใช้เล็กน้อยมาให้แล้ว”
“ซอหายแล้ว..กลับบ้านเราเถอะ..อึก!..”
“นอนลงค่ะ อย่าพึ่งลุก..อย่างนี้เหรอคะที่เรียกว่าหาย..พักอีกซักหน่อยนะคะ ถ้าดีขึ้นพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านเรา บัวลาป่วยล่วงหน้าให้คุณน้องแล้ว”
“ซอไม่อยากนอนนี่..แล้วบัวจะกลับตอนไหน..” ผมถามเพราะไม่อยากนอนที่นี่...อยากกลับไปนอนที่บ้านหลังเล็กแต่อบอุ่นนั่นเหมือนเดิม...การที่อยู่ที่นี่ก็ยังรับรู้ความรู้สึกบางอย่างจากเจ้าของบ้านอยู่...ความรู้สึกโกรธและคับแค้นจากเหตุผลบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้...
“บัวอยู่ด้วย พี่ต่ายไปนอนเป็นเพื่อนแม่แล้ว รอแป๊บนึงนะคะบัวจะลงไปเอาข้าวต้มมาให้..”
“บัวเป็นผู้หญิงนอนบ้านที่มีแต่ผู้ชาย ไม่กลัวเหรอ” ถามคนที่กำลังขยับตัวลุกขึ้นเพื่อเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าที่ข้างในคงเป็นเสื้อผ้า และของใช้ของผมเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยิบห่อยาออกมาจากในกระเป๋า...
“บัวไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหล่ะค่ะ กลัวอย่างเดียว กลัวคุณน้องจะป่วยและเป็นอะไรไป..บัวจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย...รออยู่นี่นะคะเดี๋ยวบัวมา”
“................” ส่งยิ้มแล้วพยักหน้าให้พี่สาวคนเก่ง...ถ้าเรื่องของผมบัวไม่กลัวอะไรจริงๆ นั่นแหละ แม้กระทั่งบุกมาขออนุญาตคุณโต้เพื่อไปงานที่ต่างจังหวัดกับผมเมื่อวันก่อน...กล้าคิด กล้าทำ จนบางครั้งผมก็รู้สึกละอายที่ต้องคอยพึ่งบัวอยู่ตลอด...แต่ถ้ามีสิ่งไหนที่ผมช่วยเธอได้ ผมก็ยอมแม้จะต้องแลกกับอะไรก็ยอม...บัวลุกออกไปจากห้องเหลือเพียงความเงียบทำให้ต้องกรอกตามองฝ้าสีเดียวกับเนื้อไม้...ถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่จำไม่ได้ ก็แค่อยากระบายความอัดอั้นบางอย่างออกมา...
ก๊อกๆๆ
“คุณโต้”
“เป็นยังไงบ้าง เห็นบัวบอกว่าคุณฟื้นแล้ว...นอนลงเถอะ ไม่ต้องลุก..”
“อย่า!..เอ่อ ขอโทษครับ...” พยายามจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นพิงหัวเตียง แต่คุณโต้ก็เดินมาพร้อมกับดันผมให้ล้มตัวลงเหมือนเดิม แต่ทันทีที่สัมผัสจากคุณโต้แตะที่หัวไหล่ ก็สะดุ้งและเผลอเสียงดังออกไปจนคุณโต้รีบปล่อย...เป็นอีกแล้ว...กลัวและรู้สึกรังเกียจจนขนลุกไปหมด...ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายอะไรซักนิด....กำมือแน่นจนเจ็บ...ผมเป็นอะไรกันแน่...
“คุณคงเหนื่อย ผมให้คุณพักผ่อนจนกว่าจะดีขึ้น ถึงค่อยมาทำงาน”
“ครับ...” ค่อย ๆ เลื้อยตัวลงนอนพร้อมกับหลบตาคนที่ผมพึ่งเสียมารยาทไป...มือหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้ถึงคอ เหมือนกับกลัวว่าจะถูกสัมผัสอีก.คุณโต้มองผมอยู่พร้อมกับสีหน้าที่นิ่งผิดปกติ....คงจะทั้งสงสัยและรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ผมทำ....
“...ซอ ไม่ว่าคุณจะมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้..บอกผมนะ ผมพร้อมเสมอ...”
“..................”
“เพราะผมอยากให้คุณอยู่กับผมที่นี่ ตลอดไปถ้ามันจะเป็นไปได้”
“...............” ไม่พูดอะไรเพียงแค่เงยหน้าสบตากับคนที่เปล่งเสียงนุ่มทุ้มออกมาอย่างน่าฟัง....รู้สึกผิดที่ทำอย่างนั้นออกไป แต่ผมก็เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้....แววตาที่แน่วแน่ถูกส่งมาจากดวงตาคมของคนเป็นเจ้านาย...
“ขอโทษครับ ซอตกใจ ขอบคุณคุณโต้ ซอไม่เป็นอะไร”
“งั้นคุณพักเถอะ”
“ครับ” มองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเดินออกจากห้องที่ผมนอนอยู่...ประตูเปิดกว้างออก....ทำให้ผมย่นคิ้วมองคนที่ยืนอยู่หน้าประตู...ที่เห็นหลังจากที่คุณโต้เปิดประตู...
“ฟื้นแล้วล่ะ...จะเข้าไปไหม”
“..................” คุณโอมองเข้ามา ครู่นึงที่สบตากัน แต่ก็แค่ครู่เดียวเพราะอีกคนส่ายหัวด้วยสีหน้านิ่งๆ แทนคำตอบ ก่อนจะเดินออกไป ไม่นานประตูห้องก็ปิดลง....ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งอย่างคนมีปัญหาหนัก...ปัญหาใหม่ที่ทำให้ผมต้องคิด....กับสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูด....ครอบครัวผมไปทำอะไรเลวร้าย...ผู้นำพยัคฆราชถึงบอกว่าผมไม่เคยรู้เรื่องอะไรของคนของพวกเดียวกัน...เพราะคำทำนายบ้า ๆ...แล้วมันคืออะไร...ใครจะบอกผมได้
....จริงสิ...น้าบานชื่น...น้าบานชื่นอยู่กับคุณแม่มานาน ต้องรู้อะไรบ้าง....
*********************************************************
“น้าไม่รู้หรอกค่ะ น้าไม่รู้จริง ๆ”
“ทำไมล่ะครับ ก็น้าบานชื่นอยู่กับคุณแม่มาตั้งนานไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยเหรอครับ” ผมเข้าไปเกาะแขนคนมีอายุที่ตอนนี้นั่งอยู่บน
พื้นกระเบื้องกำลังเด็ดยอดผักเพื่อจะทำกับข้าวตอนเย็น...อาการผมดีขึ้นมากแล้ว...จากวันนั้นก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์ผมถึงได้ตัดสินใจถามออกไป....อยากจะถามคุณโอให้รู้เรื่อง แต่เช้าอีกวันหลังจากที่ผมนอนป่วยอยู่ที่บ้านหลังนั้น พี่ต่ายก็บอกว่าคุณโอกลับไปแล้ว....เลยเก็บอาการสงสัยไว้ได้โอกาศวันหยุดผมเลยนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระ และวกเข้าเรื่องนี้ในที่สุด....แต่คำตอบที่ได้มันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคิด...
“คุณน้องอย่าบังคับน้าเลยนะคะ...น้าไม่รู้จริง ๆ..”
“น้าบานชื่นรู้แต่ไม่บอกซอใช่ไหม...หรือน้าบานชื่นก็คิดเหมือนคุณพ่อว่าซอไม่ใช่คนในครอบครัว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสีห์เกริกไกรถึงไม่ยอมเล่าให้ซอฟัง” ผมมองแววตาของคนสูงวัย ก็พอจะเดาออกว่าน้าบานชื่นรู้แต่ไม่ยอมเล่าไม่ผมฟัง...มันเป็นเรื่องหนักหนาแค่ไหนผมถึงรู้ไม่ได้..
“โธ่ คุณน้องขา...ไม่ใช่หรอกค่ะ...น้ารับปากท่านหญิงไว้แล้ว...ว่าจะดูแลคุณน้อง...เรื่องบางเรื่องรู้แล้วทุกข์ใจ น้าก็ไม่อยากให้
คุณน้องรู้หรอกค่ะ อย่าบังคับน้าเลยนะคะ...มีใครพูดอะไรรึเปล่าคะ ถึงถามเรื่องนี้...”
“ เปล่าครับ ไม่มี ซอแค่เห็นว่าตระกูลนี้เขาเป็นคู่แข่งกับราชสีห์เกริกไกร เลยถามดูว่ามีความแค้นอะไรกันมาก่อนรึเปล่า...แต่ดูแล้วต้องมีแน่ ๆ” ต้องโกหกออกไป เพราะไม่อยากให้น้าบานชื่นไม่สบายใจ แกยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณโอเจ้านายผมคือผู้นำพยัคฆราชคนใหม่ ผมกับบัวไม่ได้บอกกลัวว่าน้าบานชื่นจะห่วงและกังวลมากเกินไป....แม้กระทั่งเจอพวกพี่ที่งานต่างจังหวัดก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง...
“ถ้าไม่มีใครก่อ ก็ยังไม่จำเป็นต้องรู้หรอกค่ะ เอาไว้คุณน้องมีวุฒิภาวะพอที่จะรับรู้เรื่องราวและรับได้ทุกอย่างแล้วน้าจะเล่าให้ฟัง อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปนะคะ ไปนั่งดูทีวีรอก่อนนะคะ น้าจะไปทำกับข้าวแล้ว ประเดี๋ยวบัวก็คงจะกลับจากทำงานแล้ว”
“ให้ซอช่วยอะไรไหม ซอช่วยเจียวไข่”
“คุณน้องอยากทานเหรอคะ เดี๋ยวน้าเจียวให้”
“เปล่าครับ งั้นซอนั่งอ่านหนังสือรอก็ได้” น้าบานชื่นส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว เสียงกระทะเสียงตะหลิวแล้วก็กลิ่นหอมลอยมาเป็นลำดับ ซักพักบัวก็กลับมาจากทำงานพร้อมขนมครกที่ผมบอกว่าอร่อย...ค่ำคืนที่มีความสุขกับครอบครัวใหม่ ก็ผ่านไปอีกคืน...บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าผมจะอยู่อย่างนี้ไปได้ตลอดชีวิตไหมนะ....แต่เขามักจะบอกว่า...
...ความสุขจะอยู่กับเราได้ไม่นาน....เพราะความแน่นอน...คือความไม่แน่นอน...สรุปแล้วผมก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี...แต่ซักวันผมก็ต้องขอให้น้าบานชื่นเล่าให้ได้ว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น....
“พี่ต่ายครับ ทำอะไรอยู่”
“ตกใจหมดเลยค่ะ พี่ต่ายกำลังดูคนงานเขาวัดพื้นที่ค่ะ”
“วัดพื้นที่ทำไมครับ” ผมเดินไปชะเง้อมองตามที่พี่ต่ายดูก็เห็นคนงานกำลังถือสายวัดเดินวัดอยู่ข้างรั้วบ้านฝั่งอ๊อฟฟิตที่ผมนั่งทำงาน อยู่ห่างจากตัวบ้านประมาณเกือบ 100 เมตร...
“เห็นว่าจะลงแปลงกล้วยไม้ค่ะ”
“กล้วยไม้ จริงเหรอครับ!”
“ค่ะ เห็นว่าคุณโอจะดูงานเองทั้งหมดเลย ช่วงนี้คงเตรียมงานอยู่... คุณโต้ก็สั่งให้พี่เตรียมห้องไว้ให้พร้อมเพราะถ้าคุณโอมาก็คงพาเพื่อนที่จะดูแลแปลงกล้วยไม้มาด้วย..”
“ อ๋อ...พี่ต่ายงั้นซอไปทำงานนะครับ..”
“ค่ะคุณน้อง เดี๋ยวพี่ต่ายเอาขนมไปให้” ผมยิ้มให้พี่ต่ายก่อนจะเดินเข้าบ้าน แล้วเข้าไปในอ๊อฟฟิศ....อดส่งยิ้มให้เจ้ากล้วยไม้สีสวยที่ป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้เอาไปไหน แต่พี่ต่ายก็เอามันออกไปตากแดดให้น้ำ...ที่โคนต้นมีปุ๋ยเม็ดเล็ก ๆ อยู่ด้วย...ผมดูแลเองเพราะไม่อยากจะโทรไปกวนคุณอาทิตย์และไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด...เรื่องการขอบคุณผมก็ส่งเป็นข้อความ...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายได้อ่านรึเปล่าเพราะไม่มีข้อความตอบกลับมา...ถ้าให้เดาเพื่อนคนที่จะมาด้วยก็คงเป็นคุณอาทิตย์นี่แหละ ถ้ามีโอกาสได้คุยกันค่อยขอบคุณด้วยวาจาอีกทีละกัน...
....ดีจังเลยน้า...เจ้าฟ้าใส...แกจะมีเพื่อนแล้วนะ...ถ้าแกไม่อ่อนแอตายไปซะก่อน...
“......อยู่ตรงนี้ก่อนนะแล้วจะมารับ........” ยกกล้วยไม้ขึ้นมาส่องๆ ก่อนจะเดินพามันออกไปตากแดดยามเช้า...ตั้งชื่อให้เสร็จสรรพ...
“คุณน้องคะ โทรศัพท์ค่ะ”
“ ครับ “ เดินเข้าไปหาพี่ต่ายที่รับโทรศัพท์บ้าน ก่อนจะเรียกผมที่กำลังจะเข้าอ๊อฟฟิศให้รับโทรศัพท์หลังจากที่พาเจ้าฟ้าใสไปรับแดด...
/ ผมเองคุณศนัญชา /
“ ครับผมศนัญชารับสาย..เรียนสายกับใครอยู่ครับ...” ลูกค้าและซับพายเออร์ที่ติดต่อเรื่องสวนแห่งนี้ก็หลายคน ถึงเสียงทุ้ม ๆ และจังหวะการพูดจะคุ้น ๆ แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี เลยตัดสินใจถามออกไป...
/ ผมโอฬาริศ พยัคฆราช จำได้หรือยัง /
“ คุณโอ!...เอ่อ มีอะไรครับ..” เพราะเสียงปลายสายดูแหบลงเล็กน้อยเพราะผ่านโทรศัพท์แต่พอบอกว่าใคร แนะนำเต็มยศ...ผมก็คิดออกโดยไม่ต้องทวน แต่มีเรื่องอะไรถึงต้องโทรเข้าเบอร์บ้าน ปกติมีอะไรก็จะผ่านคุณโต้ทั้งหมด....
/ พรุ่งนี้เตรียมตัวขึ้นกรุงเทพฯ ผมจะให้รถไปรับ จะเอาพี่สาวหรือแม่คุณมาก็ตามสบาย...ผมบอกโต้ไปแล้วว่าผมจะให้คุณขึ้นมาเรียนงานที่สำนักงานใหญ่ซัก 2 วัน /
“ ไปเรียนงาน..คือผมไม่มีความรู้พอที่จะ..”
/ แล้วใครบอกว่าผมจะให้คุณมาเรียนงานจริงๆ /
“แล้วทำไมผมต้องไปด้วยขอเหตุผลด้วยครับ...คุณตั้งใจจะทำอะไร” ผมกลั้นใจถามออกไปเสียงเรียบ...มันไม่ผิดปกติรึไง จู่ๆ ก็
จะให้ผมไปโดยไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ ถึงผมจะเป็นตัวประกันแต่ผมก็ควรจะมีสิทธิที่จะรู้...
/ หึ ไม่ต้องกลัวหรอก...คุณพ่อผมอยากพบคุณ /
“อยากพบผม.!.” หัวใจที่ข่มไว้กับอาการเต้นแรงที่ได้คุยกับอีกคนที่ใช้น้ำเสียงเย้ยในที...แต่ในที่สุดสิ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้ต้องเข้ากรุงเทพฯจริง ๆ กลับทำให้มือไม้ผมอ่อนไปด้วย...
/ เจ้าสัวแห่งพยัคฆราชมีเหตุผลพอ ที่จะไม่ทำร้ายฝ่ายศัตรูโดยไม่มีเหตุผล...หวังว่าจะไม่เรื่องเยอะหรือตุกติกอะไร...คงจะจำได้ว่าผมพูดอะไรออกไปบ้าง /
“ ผมเข้าใจดี!...แค่นี้ใช่ไหมครับ..หวังว่าการที่ผมไป...พ่อของคุณคงไม่หาเหตุผลอะไรมาเพื่อทำร้ายผมใช่ไหม...แต่ถึงจะใช่..มันก็ไม่มีทางทำให้ราชสีห์เกริกไกรพ่ายแพ้คุณแน่!!” ในที่สุดอารมณ์ผมก็ระเบิดออกมาอีกครั้งหลังจากที่พยายามพร่ำบอกตัวเองว่าต้องไม่ทำอย่างนี้ต้องพยายามเก็บความรู้สึกเพื่อที่ผู้นำพยัคฆราชจะได้ไม่โหและรักษาสัญญาที่ให้ไว้......แต่คำพูดที่คอยข่มขู่ ให้ดูเหมือนตัวเองเหนือกว่าอยู่ตลอดทำให้ผมสุดจะทน...เจ้าสัวของพยัคฆราชมีเหตุผลพอ...มันส่อให้เห็นว่ากำลังเหน็บว่าเจ้าสัวของตระกูลอื่นเป็นคนไร้เหตุผลอย่างนั้นสินะ...
/ อย่าโมโหไปครับคุณศนัญชา...เพราะถ้าคนที่จะถูกทำร้าย..ด้วยเหตุผลที่เกินพอ...คือคุณ...คนที่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย..คือผมเอง../
***

มาอีกแว้วว...ขอให้สนุกกับทุก ๆ ตอนนะคะ พยายามแต่งให้เต็มที่ทุกตอนเลยขอบคุณทุกบวก ทุกวิว ทุกเป็ด ขอบคุณหลาย ๆ คนที่ชอบเรื่องนี้ ตอนต่อไปก็เร็ว ๆ นี้แน่นอนค่ะ