My Almond Crush....
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Almond Crush....  (อ่าน 44553 ครั้ง)

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
My Almond Crush....
« เมื่อ11-10-2013 15:24:22 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

................................

My Almond Crush

บทนำ

สิ่งสำคัญยิ่งสิ่งหนึ่งของนักเรียนสังคมวิทยาอย่างผมก็คือความสามารถที่จะมองให้ออกและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของบุคคลคนหนึ่งต่อบุคคลอื่น และต่อสังคม แต่ในตีสองของวันอันเศร้าหมองสิ่งที่ทำให้ผมสมเพชตัวเองเป็นที่สุดก็คือ การที่ผมนั่งครุ่นคิดถึงรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่ง และไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมว่ารูปแบบความสัมพันธ์ของเราควรจะเป็นอย่างไรต่อไป เรื่องของเรื่องก็คือผมดันแอบชอบรุ่นน้องต่างคณะที่อยู่ในหอพักเดียวกัน และไอ้เจ้าเด็กโง่คนนี้ก็ไม่ได้ตระหนักเลยสักนิดว่าการที่มันคอยมาคุย กินข้าว ดูหนัง ชวนไปเที่ยว ช่วยทำการบ้าน หรือการที่มันมาเอาอกเอาใจผมต่างๆ นานานั้นก็เหมือนกับเนื้อที่ลืมว่าตัวของมันกำลังเดินเข้าปากเสือ แต่ปัญหาทั้งหมดนั้นกลับเป็นปัญหาสามัญที่ชวนให้โลกแตกเป็นที่สุดเมื่อผมต้องเผชิญความจริงที่ว่า เราต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน และในตอนเช้ามืดผมก็ล้มตัวลงนอนพร้อมกับตำหนิตัวเองที่โกงเอาเวลาอ่านหนังสือเรื่องแม็คเบ็ธมานอนก่ายหน้าผากคิดถึงคนที่นอนอยู่อีกห้องถัดไป แต่อย่างน้อยเชคเสปียร์ก็พยามบอกคนอ่านผ่านเลดี้แม็คเบ็ธว่า “สิ่งที่ทำไปแล้วไม่อาจย้อนกลับไปไม่ทำได้” ซึ่งมีค่าเท่ากับ “คนที่มีรักแล้วไม่อาจกลับไปไม่มีรักได้”
หากเป็นไปได้ผมอยากจะคุยกับเชคสเปียร์สักครั้งเพื่อค้นหาว่าเหตุผลหรือต้นตอ (ตามสันดานของนักสังคมวิทยา) ใดที่ทำให้เขาได้รจนาบทประพันธ์ที่ตรงกับความรักได้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ เขาจะเคยถูกคนที่รักทิ้งไปแบบผมหรือเปล่าเลยรู้ว่า ความรักที่มากล้นนั้นเมื่อพบกับความผิดหวังมันจะบูดเบี้ยวกลายเป็นความเกลียดที่รุนแรง แต่ความเกลียดและความรักก็กลับเป็นเหมือนฝาแฝดที่อยู่ด้วยกันเสมอ เพราะผมก็ยังรู้สึกได้ว่ายิ่งเราเกลียดคนรักเก่ามากเท่าไรก็หมายความว่าเรายังรักเขามากเท่านั้น เรื่องของเรื่องก็คือคนที่ผมรักนั้นดันเป็นอดีตรูมเมทของผมเอง รูมเมทและเพื่อนที่แสนดีที่ทิ้งผมไปทันทีที่ผมบอกรักมัน ทิ้งผมให้อยู่ในห้องที่เคยเป็นของเราห้องที่มันเคยตั้งชื่อให้เท่ห์ๆ ว่า “ห้องแห่งความลับ” ตามหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์ และผมต้องเจอการนินทาอย่างเมามันของคนในคณะและคนที่หอเรื่อง “วิฬะกับห้องแห่งความลับ” ต่อมาอีกเป็นปี ตั้งแต่นั้นมาผมจึงตั้งกฎเหล็กให้กับตัวเอง
ข้อแรก ห้ามตกหลุมรักรูมเมทไม่ว่าจะในกรณีใดๆ
ข้อสอง ห้ามมีสัมพันธ์ทางกายกับคนในหอเด็ดขาด
ข้อสาม อย่าพูดคุย ทำกิจกรรมใดๆ หรือไปไหนมาไหนกับผู้ชายสองต่อสอง
ผ่านมาแล้วหนึ่งปีเต็มๆ หลังจากที่ผมเทียวเข้าเทียวออกออฟฟิศของจิตแพทย์อยู่สองสามครั้ง ผมก็คิดได้ว่าผมควรจะเริ่มต้นใหม่เสียที กรรมของกรรมก็คือลูกพี่ลูกน้องของผมที่สอบติดคณะวิศวะฯ มาขอแชร์ห้องอยู่กับผมด้วย ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของผมหรอกนะ แต่เพื่อนๆ ของมันต่างหากที่เปรียบได้กับผู้เสพความตายพร้อมกับคำสาปพิฆาต โทษผิดสถานเดียวอีกเป็นชุด แม้ตอนนี้ตรามารจะเด่นชัดบนฟากฟ้าแต่แผลเป็นที่กลับมาแสบราวกับโดนไหม้ของผมไม่ได้อยู่บนหน้าผากแต่หากว่ามันอยู่ที่หัวใจของผม หัวใจที่ถูกทิ้งให้ตาย หัวใจที่หยุดเต้น

..........................................................

ในตอนที่ผมกำลังดาว์นโหลดหนังฟรีจากเว็บไซต์ประจำอยู่ในห้อง ผมก็ออกมาที่ระเบียงนั่งคุยเรื่อยเปื่อยบนกรอบหน้าต่างไม้ขนาดใหญ่ใหญ่ของหอพัก เพื่อคุยโทรศัพท์กับปลา แฟนที่อยู่คนละมหาลัยกับผม ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมคุยโทรศัพท์กับปลามาตั้งแต่ตอนไหนแต่การคุยกับแฟนของตัวเองไปเรื่อยๆมันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรสักหน่อย ส่วนมากเราคุยกันด้วยเรื่องของเพื่อนในโรงเรียนเก่าที่เราเคยเรียนอยู่ด้วยกันว่า เพื่อนๆ ของเราแต่ละคนตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร มีนัดไปเที่ยวด้วยกันอีกเมื่อไหร่ ราวกับว่าพวกเรากำลังช่วยกันเหนี่ยวรั้งเวลาของชั้นมัธยมปลายที่มันจบไปแล้วให้อยู่ตลอดไปตราบนานเท่าที่เราทำได้ เมื่อผมวางสายจากแฟนกลับเข้าห้องมาดูความคืบหน้าของการดาว์นโหลดเพื่อนๆ ของผม รูมเมทของผมก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว นาฬิกาดิจิตอลในคอมพ์บอกเวลาสองนาฬิกาของวันใหม่และผมก็เริ่มหิวอีกแล้วแต่ที่พลาดก็คือเมื่อคืนผมได้ได้ซื้อขนมมาตุนเอาไว้ ผมคิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะกินอะไรดีและจะไปกินกับใครดีถ้าเพื่อนยังไม่ตื่น ความจริงแล้วผมไปกินคนเดียวก็ได้หรอก แต่ว่าในฐานะเด็กปีหนึ่งคณะเทคโนฯ ที่เพิ่งผ่านการรับน้องมาหยกๆ ผมสารภาพว่าผมยังกลัวกลัวพวกรุ่นพี่อยู่เลยนั่นพลอยทำให้ผมไม่อยากไปไหนมาไหนคนเดียว โดยเฉพาะในโรงอาหารสถานที่ชุมนุมของนักศึกษาทุกชั้นปี
เพื่อนของผมที่เรียนสาขาวิชาเอกเดียวกันที่อยู่ในหอเดียวกับผมมีสามคน ไอ้ทรี ไอ้เอ็ม ไอ้วิตซ์ ว่าไปแล้วคนที่มีความเป็นไปได้ที่จะหนหิวไม่ไหวแล้วออกมากินข้าวตอนเช้าพร้อมๆ กับผมก็คงจะไปไอ้ทรีนี่แหละ ห้องที่ไอ้ทรีอยู่นั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องผมถัดไปอีกสองห้อง ไอ้ทรีมันบอกว่ามันอยู่กับพี่มัน เห็นว่าพี่มันเรียนอยู่ปีสี่คณะอักษรฯ เขาคงจะไม่ค่อยมายุ่งกับผมมากนักหรอกนะ อย่างนั้นพรุ่งนี้ถ้าไอ้สองตัวที่อยู่ห้องเดียวกับผมมันไม่ยอมตื่นผมจะไปชวนไอ้ทรีก็แล้วกัน แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ แปรงฟันแล้วหรือยังผมก็จำไม่ได้
เป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้ในตอนเช้ามีแต่ไอ้ทรีที่จะลงไปกินข้าวกับผมแต่ที่ผมก็ไม่ได้คาดไว้ก็คือไอ้ทรีมันเสือกชวนพี่มันไปด้วยนี่สิ
“เออ รอแป๊บได้มะ” เสียงหนึ่งที่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนดังมาจากเตียงด้านในที่ถูกบังไว้ด้วยโต๊ะอ่านหนังสือตัวใหญ่ที่หันหน้าเข้าหาเตียง แถมบนโต๊ะยังมีหนังสือเป็นสิบเล่มกองเป็นตั้งๆ ให้ดูสูงขึ้นไปอีก มันทำให้ผมมองไม่เห็นคนที่อยู่ด้านหลัง แต่แค่น้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดผมก็ไม่อยากจะเห็นหน้าแล้ว

Share This Topic To FaceBook

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #1 เมื่อ11-10-2013 15:32:32 »

1 เปิดเทอมใหม่หัวใจเฟรชชี่ (ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น)
   หลังจากกลับมาจากภาคสนามในดินแดนอันไกลโพ้นเป็นเวลาสิบวันสิบคืน ผมก็ได้กลับมาที่มหาลัยซึ่งปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาของผมแล้ว 1324 ห้องของผมที่ใช้มาตลอดสามปีอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยฝุ่นเพราะไม่มีคนอยู่คอยทำความสะอาดในช่วงปิดเทอม เมื่อขนข้าวของขึ้นมาบนห้องเรียบร้อยผมก็เริ่มทำความสะอาดและจัดของใช้ต่างๆ เข้าที่ ผมต้องยกเตียงสำรองออกมาไว้อีกมุมหนึ่งของห้องและเช็ดรอยเลือดที่เคยใช้มันปิดไว้แม้เดิมทีผมไม่มีความตั้งใจจะเช็ดรอยเลือดนี้ เหมือนอะไรบางอย่างบอกผมว่าให้ลืมเลือนเรื่องไม่ดีเก่าและเริ่มต้นใหม่จริงๆ เสียที และเหตุผลที่ผมต้องยกเตียงต้องห้ามที่ไม่ได้ใช้มาหนึ่งปีออกมาก็เพราะว่าปีนี้ลูกพี่ลูกน้องของผมชื่อ “ทรี” มาขอแชร์ห้องอยู่ด้วย ทางบ้านผมก็สนับสนุนเต็มที่ว่าพี่น้องควรจะอยู่ด้วยกันจะได้ช่วยเหลือกัน โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าผมแอบลำบากใจในตอนแรกเพราะผมเคยคุยกับไอ้ทรี แล้วมันก็เล่าว่ามันไม่ชอบกะเทยเพราะว่าตอนเล่นสงกรานต์เมื่อปีที่แล้วมันกับเพื่อนถูกกะเทยกลุ่มประมาณสิบกว่าคนวิ่งไล่ตามปะแป้งกว่าสามร้อยเมตร แล้วคนที่ไม่ชอบกะเทยต้องมาอยู่กับคนรักร่วมเพศแบบผมก็คงลำบากใจกันทั้งสองฝ่ายถึงแม้ผมจะมีบุคลิกหลายๆ อย่างที่ไม่เหมือนกะเทยก็เถอะ แต่เอาเถอะก็นี่มันเป็นเวลาที่เราจะเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เหรอ
   “เตียงนั้นให้ทรีนอน เตียงนี้เป็นของพี่ แล้วตู้เสื้อผ้าเราก็แบ่งกันใช้ของพี่แถบขวาของทรีแถบซ้าย แล้วตู้เก็บของที่ว่างอยู่ทรีก็ใช้ได้นะ” ผมบอกทรีเมื่อช่วยมันขนของขึ้นมาบนห้องจนครบ สองวันจากที่ผมมาถึง แล้วผมก็กลับมานั่งที่เตียงเล่นเกม”Age Of Mythology” ต่อจนง่วง ไม่รู้ว่าผมหลับไปเมื่อไหร่แต่เมื่อผมตื่นขึ้นมาก็บ่ายสามโมงครึ่งแล้ว เห็นว่าทรีมันจัดของเสร็จแล้ว และตอนนี้มันก็หลับอยู่บนเตียงหลังนั้นด้านซ้ายมือของห้อง ผมซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรทำก็ล้มตัวลงนอนต่อพลางวางแผนว่าตอนห้าโมงเย็นผมจะชวนทรีมันขี่จักรยานไปซื้อราวตากผ้าอันใหม่ที่ห้างโลตัส
“พอดีเลยพี่วิ ทรีกำลังอยากจะได้ราวตากผ้าเหมือนกัน” ไอ้ทรีตอบรับทันทีหลังจากที่ผมชวน และระหว่างที่ผมกำลังซื้อของในโลตัสก็ไม่ลืมที่จะหยิบน้ำอัดลมขวดลิตรติดมือมาครึ่งโหลเพื่อเลี้ยงต้อนรับไอ้ทรี
   ความจริงมันก็ไม่ใช่การเลี้ยงฉลองอะไรหรอกก็แค่การที่ทางบ้านของพวกเราทำกับข้าวมาหลายอย่างเพราะรู้ว่าผมเบื่ออาหารตามสั่ง และรู้ว่าไอ้ทรีมันชอบกินข้าว (กินจนอ้วน) ผมไม่ได้กินข้าวกับคนในครอบครัวหรือญาติมานานมากแล้วเนื่องจากสองปีสุดท้ายของการเรียนผมออกไปฝึกงานและออกภาคสนามทั้งสองปี แถมผมยังไม่ชอบกลับบ้านสักเท่าไร ผมกำลังนั่งกินข้าวกับทรี แม้จะเป็นญาติแต่ก็ไม่ใช่พี่น้องในสายเลือดทั้งมันยังออกปากเองว่าเกลียดกะเทยผมจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะวันนี้ผมฝืนกฎเหล็กของตัวเองโดยการกระทำกิจกรรมใดๆ กับผู้ชายสองต่อสองไปแล้วทั้งไปซื้อของในห้างและนั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน
“ทรีถ้าทรีอยู่ที่นี่แล้วมีอะไรไม่สบายใจก็บอกพี่นะ หรือถ้าต่อไปอยากจะออกไปอยู่กับเพื่อนพี่ก็ไม่ว่า บอกพี่แล้วพี่จะไปบอกแม่ทรีกับคนที่บ้านให้” ผมรวบรวมความกล้าและบอกกับทรีตรงๆ ในระหว่างที่เรากินข้าว เมื่อได้ฟังทรีก็ทำหน้าสงสัยระคนตกใจเล็กๆ ผมจึงรีบพูดต่อว่า
“ไม่ใช่พี่ไล่ทรีหรอกนะแต่พี่กลัวทรีอยู่กับพี่แล้วไม่สบายใจ พี่รู้ว่าทรีไม่ชอบกะเทย...พี่ก็อยากบอกให้รู้ว่าพี่ชอบผู้ชาย บางทีทรีอาจจะรังเกลียด บางทีทรีอาจจะอายเพื่อน...” ผมเริ่มจิตตกนิดๆ เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา
ทรียิ้มแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกพี่ทรีไม่คิดอะไร อีกอย่างเป็นพี่น้องกันด้วย”
“อือ มีอะไรก็บอกแล้วกัน” ผมย้ำ และเราก็กินข้าวต่อจนเกลี้ยงผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมทรีถึงอ้วนและผมเองก็เคยอ้วนตอนช่วงมัธยมต้น
   หลายวันต่อมา ในตอนเช้า (มากๆ) ผมถูกปลุกขึ้นมาโดยไอ้ทรี มันคงจะไม่รูว่าถ้าผมนอนไม่เต็มอิ่มแล้วถูกปลุกขึ้นมาผมจะอารมณ์เสีย ถึงจะหงุดหงิดเล็กๆ แต่ผมก็ต้องรักษามารยาท
“พี่ พี่วิ ไปกินข้าวกัน” ไอ้ทรีชวนหลังจากผมตื่นขึ้นมา มันคงหิว ผมคิด
“เออ รอแป๊บได้มะ” ผมตอบไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสียงฟังดูหงุดหงิดแล้วผมก็กระโดดออกจากเตียงนอน ใช้นิ้วเท้ากดปิดพัดลมโดยไม่มอง คว้าตะกร้าเครื่องอาบน้ำและวิ่งออกไปที่ห้องน้ำรวม เพราะยังไม่ได้ใส่คอนแทคฯ ผมจึงไม่เห็นว่ามีคนใส่เสื้อสีดำยืนรออยู่อีกด้านของประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ โครม เมื่อผมชนคนกระเด็นไปสองก้าว
“พี่เป็นไรเปล่า” ทรีร้องถาม
แต่ผมกลับรีบขอโทษคนที่ผมชนโดยไม่สนใจเสียงไอ้ทรี “เอ่อ...เป็นไรเปล่าน้อง โทษทีนะ พี่ไม่ทันมอง”
“ไม่เป็นไรครับ” เด็กคนนั้นตอบกลับมาเมื่อยืนขึ้นเด็กนี่ตัวสูงกว่าผมตั้งสองช่วงหัว ตัวโตแบบนี้คงไม่เจ็บมากหรอกมั้ง
“ไม่เจ็บใช่มั้ย” ผมย้ำ
“ครับ” คือคำตอบ แล้วผมก็วิ่งต่อไปยังห้องน้ำเพราะกลัวทรีมันจะรอนาน โครม เมื่อผมชนกับขอบอ่างล้างหน้าสีขาว ผมไม่แปลกใจตอนตื่นใหม่ๆ ผมมักจะประสาทช้า สายตาก็มองไม่เห็นเพราะสั้น แต่เพราะประสาทการรับรู้และตอบสนองช้าลงนี่แหละผมถึงไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างไร แต่ทรีกับเด็กคนนั้นต่างก็ชะโงกหน้ามาดูพร้อมกัน
เมื่อผมแปรงฟันล้างหน้าเสร็จความสดชื่นทำให้อารมณ์ของผมกลับมาเป็นปกติ ผมรีบกับมาที่ห้องเห็นเด็กคนนั้นนั่งคุยอยู่บนเตียงของทรี เมื่อรู้ว่าเป็นเพื่อนทรีผมจึงเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไร เปิดตู้ส่องกระจกแล้วล้วงเอาคอนแทคฯ ออกมายัดใส่ลูกตา และเปลี่ยนชุดอย่างรีบๆ เพราะความอายคนแปลกหน้า
“พี่วิ นี่เพื่อนทรี อยู่เอกเดียวกันชื่อ “โย๊ป” ทรีแนะนำตัวเพื่อนใหม่ของมัน
“อื้อ “ ผมตอบรับสั้นๆ
“สวัสดีครับ” เด็กคนนั้นยกมือไหว้พร้อมกับทักทาย แม้จะรู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมของมหาลัย แต่ผมก็อดกระดากไม่ได้เมื่อถูกไหว้
“อือฮึ” ผมตอบรับสั้นๆ อีกครั้งและเราก็ลงไปกินข้าวกัน
   หัวข้อของการรับน้องใหม่และการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่เกมในปีนี้คือ “เปิดเทอมใหม่หัวใจเฟรชชี่” ซึ่งผมคิดว่ามันห่วยมากๆ กับการตามกระแสหนังวัยรุ่นแนวที่ผมไม่เคยคิดอยากจะดู และก็เข้าทางพอดีกับการที่อาจารย์คนหนึ่งในภาควิชาสังคมวิทยาให้พวกเรานักศึกษาปีสี่ทั้งสิบเจ็ดคนไปจัดนิทรรศการชุมชนที่หมู่บ้านสามชุกเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน ซึ่งต้องจัดตรงกับคืนเฟรชชี่เกมทั้งสามวันพอดี ก็ไม่ได้เสียดายอะไรหรอกนะ เพราะผมเองเคยปฏิญาณไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมรับน้องของคณะอีกเด็ดขาด เพราะหลังจากที่เรื่องราวของผมกับรูมเมทคนเก่ารั่วไหลออกไปสู่สาธารณะชนคณะอักษรศาสตร์ มันก็ถูกใส่สีตีไข่เสียจนผมทนไม่ได้ เมื่อหมดศรัทธาต่อตัวเพื่อนร่วมคณะที่ครั้งหนึ่งเราเคยเล่นหัวกันมา ที่ครั้งหนึ่งเราทำงานกลุ่มร่วมกัน ที่ครั้งหนึ่งเราเคยไปเที่ยวด้วยกัน ผมจึงแปลกแยกตัวเองออกจากสังคมตามแนวคิดของมาร์กซิสต์ นั่นทำให้นอกจากเพื่อนในเอกสังคมวิทยาสิบหกคน เพื่อนสนิทบางคน กับรุ่นน้องที่รู้จักอีกประมาณสามสิบกว่าคนผมไม่มีคนคบเลยในมหาลัยที่มีคนมาอาศัย ร่ำเรียนกว่าหมื่นชีวิต
คืนหนึ่งในตอนที่ผมกำลังออกจากห้องไปร้านเช่าหนัง ผมก็ได้พบกับเด็กปีหนึ่งที่น่าตาน่ารักมาก (ไหนว่าจะไม่ชอบใครอีกแล้วไงเรา) กำลังยืนเกาหัวแกรกๆ อยู่หน้าห้องของน้องโย๊ปที่อยู่ถัดจากห้องผมไปสามห้อง ให้ตายเถอะผมไม่เคยเจอกับใครที่น่าตาน่ารังแก น่าแกล้งเท่านี้มาก่อน หลังจากนั้นบางครั้งผมก็แอบหวังเล็กๆ ว่าผมจะได้เห็นหน้าน้องเขาบางครั้งตอนที่ออกจากห้องและผมก็ได้เห็นน้องเขาจริงๆ และที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือ น้องมักไปไหนมาไหนกับทรี โย๊ป และเพื่อนมันอีกสองคนที่ตอนนี้ผมรู้จักแล้วว่าชื่อ วิตซ์ และ เอ็ม ผมจึงคิดว่าเขาคงเป็นเด็กเทคโนฯ แต่ไม่ได้อยู่เอกเครื่องกลเหมือนพวกไอ้ทรี และถ้าเป็นเพื่อนของทรีสักวันผมก็คงได้คุยกับน้องเขาอย่างแน่นอน
เปิดเทอมมาได้เดือนครึ่งก็เริ่มเข้าสู่ช่วงระยะเวลาของเทศกาลสอบกลางภาค มันดูน่าตลกมากเลยในความคิดของผมที่ไอ้พวกเด็กๆ ปีหนึ่งพากันออกมาจากห้องของตัวเองแล้วนั่งอ่านหนังสือหน้าตาเคร่งเครียดด้วยกันจนเช้ามืดที่ห้องคอมมอน พึมพำต่างๆ นานาถึงความยากความโหดของอาจารย์และบทเรียนที่จะออกสอบ แต่หลังจากหัวเราะเยาะเด็กได้ไม่นานกรรมก็ตามสนองเมื่ออาจารย์พิมพ์ที่สอนวิชา “บทละครคัดสรร (ภาษาอังกฤษ)” ให้ผมเขียนเรียงความจากบทละครเรื่อง “สวนสัตว์แก้วผลึก (The Glass Menagerie)” และเพราะการเขียนเรียงความวิชาการนั้นต้องอาศัยการอ้างอิงที่ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นในการเขียนเรียงความในแต่ละครั้งผมจึงต้องกางหนังสือที่ต้องใช้อ้างอิงไว้ด้วยกว่าสิบเล่ม นั่นทำให้ผมต้องออกมานั่งเขียนที่ห้องคอมมอนเนื่องจากโต๊ะเขียนหนังสือในห้องของผมเองนั้นใหญ่ไม่พอ และคืนหนึ่งเขาก็เดินมานั่งอ่านหนังสือด้านตรงข้ามของผมบนโต๊ะตัวเดียวกัน น้องปีหนึ่งคนนั้น “น้องคอร์ท” ผมสังเกตเห็นว่าน้องเขาหยุดอ่านหนังสือและหันมาฟังผมอธิบายเรื่องจิตวิทยาว่าด้วยความรักเพื่อนที่เอกภาษาอังกฤษฟังอย่างตั้งใจ (สนใจพี่ล่ะสิ คิดว่าพี่ฉลาดล่ะสิ่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า) อย่างกับคนในห้วงรักที่กำลังค้นหาคำอธิบายให้กับหัวใจตัวเอง
“อ้าว น้องคอร์ทจะสอบวิชาอะไรจ๊ะ” ลิตเติ้ล เพื่อนของผมถาม
“เค็ม (เคมี) ครับ” น้องตอบอย่างสุภาพ หลังจากได้คำตอบแล้วลิตเติ้ลก็หันมาคุยกับผมอีกสักพักแล้วเดินกลับเข้าห้องไป เมื่อลิตเติ้ลไปแล้วน้องคอร์ทก็เริ่มแกะห่อขนมหวานที่ซื้อมากินซึ่งส่วนใหญ่เป็นช็อกโกแล็ตบาร์ น้องเขาก็คงจะมีมารยาทล่ะมั้งเลยชวนผมกิน 
“กินมั้ยครับพี่” น้องเขาชวนพร้อมกับยื่นช็อกโกแล็ตมาให้
“อือ ขอบคุณนะ” ผมตอบพร้อมกับหักช็อกโกแล็ตมาเสี้ยวหนึ่ง
“พี่วิ พี่เรียนอยู่คณะอักษรฯ เหรอครับ” น้องคอร์ทถาม
“อืม ช่าย” ผมตอบ ยิ้มอาบจนหน้าบานเป็นกะละมัง
“พี่เรียนเอกภาษาอังกฤษเหมือนพี่ลิตเติ้ลเหรอครับ” น้องเขาถามต่อ
“เปล่าพี่เรียนเอกสังคม แต่เรียนภาษาอังกฤษเป็นสาขาวิชาโทน่ะ”
“เหรอครับ เห็นพี่เขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็ อ่านแต่หนังสือภาษาอังกฤษ”
“ก็นี่มันเป็นงานของวิชาภาษาอังกฤษนี่นา”
“และก็มิน่าล่ะพี่ถึงพูดเรื่องความสัมพันธ์ของคนแบบลึกๆ ซึ้งๆ บางทีก็ฟังดูแปลกๆ เหมือนกับเป็นตัวของตัวเองไม่ยอมตามความคิดของใครง่ายๆ แต่ก็ยอมรับฟังความคิดของคนอื่นเหมือนกัน” น้องเขาพูดต่อ
“เฮ้ย พี่เพี้ยนขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ที่พี่พูดเมื่อกี้นี้มันทฤษฎีล้วนๆ เลยนา” ผมอายจนหน้าดำๆ แอบแดง
“เปล่าครับ ไม่ได้หมายความว่าเพี้ยน”
“กินอีกก็ได้นะครับพี่” น้องเขาพูดพร้อมกับเลื่อนกองขนมที่เหลือมาอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับเขา แล้วเราก็คุยกันเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ กินขนมบ้าง อ่านหนังสือเขียนเรียงความของเรากันต่อไป ผมเขินเลยกินขนมจนคอแห้ง เมื่อดูเวลาแล้วว่าหอจะปิดผมจึงตัดสินใจจะไปซื้อน้ำกับขนมที่เซเว่นฯ
“พี่จะไปเซเว่นนะ จะฝากซื้ออะไรรึเปล่า” ผมถาม จริงๆ แล้วอยากให้น้องเขามาด้วยกัน
“ไม่ล่ะครับ...น้ำเปล่าขวดหนึ่งละกันครับ”
“อื้อ” ผมรับคำแล้วเดินจากมา
   และเหตุการณ์นั้นคือ รักครั้งใหม่หรืออะไรก็ไม่รู้สิ แต่ผมก็ตัดสินใจตั้งแต่วันนั้นว่าผมจะทำความรู้จักกับน้องเขาไปเรื่อยๆ แล้วดูสิว่าหัวใจที่ยัดไว้ด้วยฝุ่นทรายของผมนั้นมันจะยอมเต้นไปกับจังหวะของการตกหลุมรักแบบแรกกพบครั้งนี้หรือเปล่า น้องคอร์ท ช็อกโกแล็ตบาร์ของผม

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #2 เมื่อ11-10-2013 15:46:08 »

2 ห้องแห่งความลับ

   เดือนครึ่งแล้วกับการที่ผมได้เข้ามาใช้ชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย หลังจากช่วงแรกที่ผมค่อนข้างจะหวาดผวากับการรับน้องที่ค่อนข้างรุนแรง (ว๊าก) ตอนหลังเมื่อผ่านมาแล้วผมก็เริ่มคุ้นเคยกับมัน ชีวิตนักศึกษานั้นเป็นชีวิตที่มีอิสรเสรีอย่างแทบจะไร้ขอบเขต ผมกินเมื่อผมหิว ผมนอนเมื่อผมง่วง ผมเที่ยวดึกเท่าที่ผมต้องการ ผมคุยโทรศัพท์กับแฟนครั้งละหลายๆ ชั่วโมงโดยไม่ต้องห่วงว่าจะโดนแม่กับน้องสาวตัวดีแซว แต่ว่าตอนผมอยู่มัธยมพ่อมักจะพาผมไปดูหนังแทบทุกวันเพราะว่าโรงหนังอยู่ใกล้บ้าน การไปดูหนังกับพ่อคงเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งในช่วงมัธยมที่ผมคิดถึงล่ะมั้ง แต่จะว่าไปแล้วที่หอนี่ก็มีโรงหนังเหมือนกัน ฉายที่ห้องห้อง 1324 ห้องของไอ้ทรีกับพี่มัน (ผมประชดที่เขาดูหนังทุกวัน) ห้องนั่นก็ประหลาดมีสติ๊กเกอร์แปะไว้ว่า “The Chamber of Secret (ห้องแห่งความลับ)” ตามหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์หนังสือเล่มโปรดของผม (จริงๆ แล้วเป็นนิยายเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ผมอ่าน) นอกจากตัวอักษรแล้วยังมีกระดาษตัดเป็นกิ่งไม้แห้งกับใบเมเปิ้ลร่วงติดประดับอยู่ด้วย ตอนแรกผมก็งงแต่หลายๆ ครั้งที่ได้เข้าไปในห้องของไอ้ทรี ไปเล่นคอมพ์ ไปนั่งคุย ผมก็เห็นว่าเตียงของพี่มันที่อยู่หลังโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือเป็นตั้งๆ นั้นมีผ้าปูเตียง หมอน หมอนข้าง และผ้าห่มเป็นสีและลวดลายของฤดูใบไม้ร่วง เหนือเตียงและพนังของห้องก็มีใบเมเปิ้ลกระดาษติดอยู่เต็มไปหมด รวมทั้งโปสเตอร์หลังเรื่อง “สงครามโค่นพันธุ์อสูร ภาพวาดของแวน โก๊ะ (Vincent Van Gogh) และภาพลายเส้นของการ์ตูนเรื่อง “เทพมรณะ (Bleach)” กับ “นารูโตะ นินจาคาถา” อีกหลายภาพติดอยู่ ผมไม่เคยเห็นใครบ้างานศิลปะและสิ่งสร้างสรรค์ของมนุษย์อยู่ ทั้งยังเอาของเหล่านั้นมาอยู่ในการใช้ชีวิตมากเท่าพี่วิ พี่ของไอ้ทรีมาก่อนเลย ทั้งวรรณกรรม บทความวิทยาศาสตร์ สารคดี ภาพยนตร์ ภาพวาด หนังสือประวัติศาสตร์ ทฤษฏีทางสังคม การ์ตูน และพี่วิพี่ของไอ้ทรีนี่เองที่ติดหนังเข้าเส้นเลือดพี่เขาต้องดูหนังทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งเรื่องจากการสังเกตของผม เสียงที่ดังลอดออกมานั้นทำให้ผมอยากจะเข้าไปขอดูกับเขาเลยด้วยซ้ำ แต่พี่วิบางทีก็ดูหน้ากลัวโคตร ทั้งสายตาที่ว่างเปล่าแต่มองทะลุความคิดเหมือนกับว่าผมไม่สามารถมองเห็นว่าพี่เขาคิดหรือรู้สึกอย่างไรแต่พี่เขากลับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของผม ไม่พูดไม่จา ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ทั้งหน้าก็คมจนดูหน้าดุ ขนาดผ่านการรับน้องมาแล้วผมยังไม่กล้าแหยมเลย แต่บางทีพี่เขาก็ดูใจดี น่ารัก (มั้ง) แบบแปลกๆ หัวเราะง่ายๆ ยิ้มจนหน้าบาน และก็มีนิสัยเป็นเด็กๆ ชอบเรื่องตลก ชอบแกล้ง มองพวกผมที่ทำเรื่องโง่ๆ แล้วก็หันหน้าไปหัวเราะทางอื่น
   คืนวันอาทิตย์ไอ้ทรีเพิ่งกลับมาจากบ้านพร้อมกับกับข้าวมากมายมีซี่หมูทอด แกงส้ม (พี่วิสั่งมา) พะโล้ ดังนั้นไอ้ทรีกับพี่เขาก็เลยชวนพวกผมไปกินข้าวเย็นที่ห้องเขา ดังนั้นตอนหนึ่งทุ่มผมจึงไปที่ห้องของพี่วิ เพื่อรอรูมเมทผมที่ออกไปข้างนอกเพื่อซื้อน้ำแข็งกับน้ำอัดลม กับข้าวเยอะมากและโต๊ะในห้องของพี่วิก็ไม่มีเก้าอี้พอ
“หรือเราจะไปกินที่ห้องคอมมอนกันดีพี่” ไอ้ทรีถามพี่มัน
“อืมม” พี่วิทำท่าคิด
“โต๊ะญี่ปุ่นของทรีคงใหญ่พอ เรากินกันในห้องนี่แหละ” พี่วิพูด และแล้วด้วยความเคลื่อนไหวที่ผ่านตัวผมไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ พี่วิกระโดดลงจากเตียงผ่านหน้าผมไปดึงโต๊ะญี่ปุ่นที่เขาบอกว่าเป็นของไอ้ทรีออกมาจากซอกตู้ หมุนตัวกลับด้วยความเร็วท่าน่าทึ่งเหมือนเดิมยื่นมือไปใต้เตียงดึงลังกระดาษที่พับอยู่ออกมา เสียงคว้ากของกระดาษที่ถูกฉีกขาดดังขึ้นก่อนที่ผมจะเข้าใจว่าพี่เขาจะใช้ลังกระดาษรองพื้นกับโต๊ะ และก่อนที่ผมจะเอ่ยปากช่วยพี่วิก็วิ่งถลาออกนอกห้องไปโดยมีเสียงประตูปิดตามหลังดังโครม ทิ้งให้ผมกับไอ้ทรียืนอึ้งอยู่ด้วยกันสองคนในห้อง
“นี่แหละพี่กู” ไอ้ทรีบอก
“แล้วมึงจะตกใจ”
สามนาทีต่อจากนั้นผมกำลังเล่น HI5 ด้วยคอมพ์ของไอ้ทรีอยู่ เสียงตึงเพราะอะไรบางอย่างมากระแทกกับผนังที่เป็นทำจากฝ้าก็ดังขึ้น และประตูก็เปิดขึ้น เบาะเตียงนอนก็ค่อยๆ ลอยเลื่อนเข้ามาในห้อง ผมตกใจแทบช็อกนึกว่าโดนผีหลอก หลังจากนั้นผมจึงรู้ว่าพี่วิไปลากเบาะเตียงจากห้องเก็บของมาสองตัวเพื่อเอามานั่งล้อมโต๊ะญี่ปุ่น
“แรงเยอะโคตรพี่กู” ไอ้ทรีกระซิบ ทั้งๆ ที่พี่เขาตัวนิดเดียว เตี้ยกว่าผมตั้งสิบกว่าเซนต์ (ผมสูง 188 เซนต์) ตัวก็ดูบางผิดสัดส่วน แต่ไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน ทั้งเร็วทั้งแรงเยอะผมยิ่งกลัวพี่เขาขึ้นไปอีก
“เอ่อ พี่ชอบกินข้าวบนเตียงน่ะ” พี่เขาแก้ตัวเขินๆ คงเพราะเห็นสีหน้าที่กำลังงงโคตรของผม และแล้วผมจึงมีโอกาสช่วยพี่เขาโดยการลากเบาะเตียงอีกตัวมาปูอีกด้านหนึ่งของโต๊ะญี่ปุ่น
“พี่ไปเอาเตียงมาจากไหนเนี่ยครับ” ผมถามเพราะอึ้งในความคิดบรรเจิดและการลงมือทำที่ฉับไวของพี่เขา
“พี่ไปขโมยมาจากห้องเก็บของน่ะ” พี่วิตอบด้วยรอยยิ้มภูมิใจของเด็กผู้ชายชั้นประถมฯที่เพิ่งเล่นเกมเขี่ยไพ่ชนะเพื่อนทั้งห้อง
“โหพี่ แล้วไม่มีใครว่าเหรอ” ผมถามอึ้งในความกล้าบ้าระห่ำของพี่เขาอีกแล้ว ทั้งผมยังห่วงว่าพี่เขาจะโดนพวกกรรมการหอพักเล่นงาน
“ทำไมล่ะ ก็มันไม่มีคนใช้นี่นา อีกอย่างไม่เห็นต้องกลัวใครว่าเลยเราไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย” พี่เขาตอบด้วยสีหน้าของเด็กผู้ชายที่ถูกจับได้ว่าเตะก้นเพื่อนร่วมชั้นอีกแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกเบาใจว่าคงไม่มีเรื่องยุ่งยากอะไร ทั้งคิดว่าการจะทำอะไรที่ดูหมิ่นเหม่ต่อกฎเกณฑ์งี่เง่าต่างๆ โดยไม่ผิดศีลธรรมหรือทำให้ใครต้องเดือดร้อนนั้นเป็นการสร้างสีสันให้กับชีวิต เหมือนกับว่าเมื่ออยู่ข้างๆ พี่เขาผมจะมีความกล้าที่จะทำทุกอย่าง นี่ถ้าผมมีพี่ชายแบบนี้ชีวิตที่ผ่านมาสิบแปดปีของผมคงจะเป็นเรื่องที่สนุกน่าดู น่าเสียดายที่ผมเป็นพี่ชายคนโตแถมน้องยังเป็นผู้หญิงอีก
ตอนนี้ไอ้ทรีกำลังเทกับข้างใส่จานและพวกรูมเมทของผมก็มาถึงกันพอดี เรากินไปคุยไปด้วยความสนุกมาก จนกินเสร็จล้างถ้วยล้างจานแล้ว เราก็กลับเข้ามาในห้องฟังพี่วิเล่าเรื่องผีในหอให้ฟัง

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #3 เมื่อ11-10-2013 16:41:40 »

3 ผัดไท กับ การใส่ใจ

   หลายสัปดาห์หลังจากที่ผมได้รู้จักกับน้องคอร์ทผ่านไป ผมก็เริ่มทำตัวสนิทกับรุ่นน้องเทคโนฯ พวกนี้มากขึ้นเหตุผลก็เพราะว่าผมอยากได้รู้จักและก็ได้เจอกับน้องเขามากขึ้นนั่นแหละ (ก็มันช่วยไม่ได้นี่นาที่น้องเขาน่ารักขนาดนั้น) ทั้งช่วงนี้ผมยังยอมลดตัวออกจากเตียงอันแสนอบอุ่นแล้วฝืนสังขารมาอ่านหนังสือที่ห้องคอมมอนเหมือนกับคนอื่นๆ และก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้จริงๆ เมื่อผมกับน้องคอร์ทได้เจอกันมากขึ้นได้รู้จักกันมากขึ้น
“ทรี คอร์ทมันเป็นคนยังไงเหรอ” ผมแอบถามทรีตอนที่มันไม่ระวังตัวเท่าไร มันจะได้ไม่สงสัยว่าผมแอบชอบคอร์ท
“มันก็เป็นคนเงียบๆ ขี้อายน่ะพี่” ทำไมเหรอ” ทรีเงยหน้าขึ้นตอบจากคอมพ์ของมัน
“ก็เห็นคอร์ทมันไม่ค่อยจะเฮฮาเหมือนพวกเราเท่าไรเลยน่ะ”  ผมแอบตอบ
“แถมมันยังโดนแกล้งอยู่ตลอดเลย” ผมพูดต่อ นึกถึงตอนที่น้องคอร์ทเผลอหลับในห้องดูทีวีโดยที่ยังกำรีโมตเอาไว้และโย๊ปก็ดึงเอารีโมตออกมาแถมยังเอากระป๋องกาแฟยัดใส่มือของคอร์ทอีกต่างหาก พอตื่นขึ้นก็กดกระป๋องอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อจะเปลี่ยนช่องโดยไม่รู้ตัว เรื่องกลั่นแกล้งนี้ถูกปันทึกเป็นภาพถ่ายและการบอกเล่าที่เมื่อไอ้โย๊ปเอามาให้ผมดูผมถึงกับหัวเราะท้องแข็งเลย
“ก็นั่นแหละพี่ ก็มันติ๋มๆ เอง” ทรีหัวเราะ มันคงคิดถึงเรื่องโจ๊กนั้นขึ้นมา
ที่จริงผมก็สงสารน้องคอร์ทอยู่หรอกนะที่คอยจะโดนแกล้ง แต่ผมที่เป็นคนขี้แกล้งอยู่แล้วก็คิดว่ามันน่าสนุกเกินกว่าจะหยุดได้ และท่าทางน้องเขาก็ชวนให้ถูกแกล้งสุดๆเลย
   คืนหนึ่งที่ผมกำลังอ่านบทละครเรื่อง “เชาวน์ชีวิต (Wit)” ตามที่อาจารย์พิมพ์บอกมาอยู่นั้นน้องคอร์ทก็หอบของพะรุงพะรังมานั่งที่ตรงข้ามกับผมอีกเหมือนเคย น้องเขายิ้มและทักทายผมตามปกติ และเราต่างก็ทำงานของแต่ละคนไปน้องเขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนถึงเรียงความเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรของคณะเภสัชศาสตร์” ว่าอาจารย์สั่งให้เขียนในด้านใดบ้าง
“ทำไมถึงเขียนเรียงความของคณะเภสัชฯ ล่ะ” ผมถามด้วยความสงสัยเมื่อคอร์ทเลิกคุยโทรศัพท์กับเพื่อน
“ก็ผมอยู่คณะเภสัชนี่ครับพี่” น้องเขาตอบเหมือนรู้ทันว่าผมไม่เคยสนใจว่าเขาอยู่คณะไหน
“เหรอ พี่นึกว่าคอร์ทอยู่เทคโนฯ มาตลอดเลยนะนี่ เห็นเข้าๆ ออกๆ อยู่ห้องโย๊ปมัน” ผมชวนน้องเขาคุยต่อ
“ก็ผมกับโย๊ปเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนเดียวกันนี่ครับ”
“แล้วอย่าบอกนะว่ายอมให้โย๊ปมันแกล้งอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ม.ปลายแล้ว” ผมแซว คราวนี้น้องเขาไม่ตอบแต่หน้าแดงเพราะอายเรื่องที่ตัวเองถูกแกล้ง แล้วผมก็ปล่อยให้น้องเขาเขียนเรียงความต่อไป ส่วนผมก็กลับมาคิดถึงบทละครต่อว่าทำไมคนเรามักทำเรื่องที่ง่ายดายให้เป็นเรื่องยาก ทำไมคนเราถึงกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้จัก เหมือนกับวิเวียนตัวละครเอกของเรื่องที่กลัวความตาย แม้ความตายจะเป็นอีกส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์อย่างเรา ทำไมผมจึงกลัวว่าตัวเองจะรักคนอื่นมากเกินกว่ารักตัวเองอีกครั้ง ทำไมผมจึงกลัวว่าถ้าทำความรู้จักกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของผมมากเกินไปผมอาจจะพาตัวเองเดินไปหาเรื่องที่น่าอับอายเหมือนที่เคยเป็นมาก็ได้
   เที่ยงคืนแล้วที่ผมกำลังทำความเข้าใจว่าชีวิตกับความตายนั้นอยู่ห่างกันเพียงแค่ช่วงลมหายใจที่กั้นเอาไว้ เพราะเมื่อเราหยุดหายใจเราก็จะตายอย่างเงียบงัน น้องคอร์ทโทรไปหาเพื่อนของน้องเขาอีกครั้งท่าทางจะงงกับงานที่กำลังทำอยู่มาก
“พี่ขอดูเรียงความคอร์ทได้มั้ย” ผมเสนอหน้าเข้าไปช่วยในตอนที่ผมคิดว่าน้องเขากำลังแย่
“ครับ” แล้วน้องเขาก็ส่งเรียงความที่เพิ่งเขียนมาให้ หลังจากอ่านจบรอบหนึ่งผมก็ต้องต่อสู้กับความต้องการที่จะเอาดินสอขีดข้อความที่อ่านไม่รู้เรื่องนี้ทิ้งไปเสีย เนื่องจากการเรียนในเอกสังคมวิทยาของผมทำให้ผมคุ้นเคยกับการประมวลความคิดเสียก่อนแล้วจึงเขียนออกมา ทั้งหลักการเขียนย่อหน้าก็ขาดใจความสำคัญ
“แย่เหรอครับ” น้องคอร์ทถามด้วยหน้าตาที่ยอมรับว่าตนเองเพิ่งได้ทำเรื่องเลวร้ายมา
“นั่นสินะ” แล้วผมก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งฝั่งเดียวกับน้องเขา นั่งข้างๆ น้องเขา และผมกับน้องเขาก็เริ่มคุยกันว่าจะแก้ไขงานนี้อย่างไร กลิ่นที่ลอยออกมาจากตัวของคอร์ทช่างหอมหวานยั่วยวนผมเสียงจนผมอดที่จะแอบเหลียวไปมองน้องเขาบ่อยๆ ไม่ได้ และเมื่อนั้นผมจึงคิดว่าน้องเขาหล่ออยู่ไม่น้อยเลย
“พี่ว่า เขียนใหม่เลยเถอะ” ผมเสนออย่างอ่อนใจในตัวเองที่ชอบจะยุ่งเรื่องของคนที่ผมสนใจ และผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าอยู่ๆ คอร์ทจะลุกขึ้นยืนแล้วชกหน้าผม
คอร์ทไม่ว่าอะไรแต่เริ่มเขียนเรียงความใหม่ตั้งแต่ต้นทันที จากที่ผมคำนวณแล้วน้องเขาคงต้องใช้เวลาสามถึงสี่ชั่วโมงกว่าจะเขียนเรียงความใหม่เสร็จ นั่นก็หมายความว่ากว่าน้องเขาจะได้นอนก็คือตอนตีสามหรือไม่ก็ตีสี่ และเนื่องจากผมได้ทำลายงานชิ้นเก่าและความมั่นใจในตัวเองของคอร์ทลงจนยับเยินผมจึงคิดว่าผมควรอยู่ตรงนี้จนกว่าน้องเขาจะเขียนงานเสร็จเช่นกัน
“พี่ไปนอนเถอะครับ” คอร์ทบอกผมตอนตีสองกว่าๆ
“แต่คอร์ทยังเขียนไม่เสร็จเลยนี่น่า และตามเวลามาตรฐานหอพักเรา ตีสองก็ยังไม่ถือว่าดึกจัด” ผมบอกในใจแอบเสียดายที่คิดว่าน้องเขาจะไปนอนแล้ว
“งานต้องส่งพรุ่งนี้เช้าไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ ผมจะลงไปดูบอลที่ห้องทีวีครับ” น้องคอร์ทสารภาพอย่างอายๆ
“แมนยูฯ แข่งกับ ลิเวอร์พูล”
นั่นทำให้ผมรู้ว่านอกจากน้องเขาเรียนอยู่คณะเภสัชฯ แล้ว น้องเขายังชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ
“ไปเถอะ” ผมบอกยิ้มๆ แทบจะหัวเราะออกมา
“บอลจบแล้วผมจะมาเขียนต่อให้เสร็จ คืนนี้ผมจะไม่นอน” น้องคอร์ทยืนยันด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนกับเด็กที่พ่ออนุญาตให้ออกไปเล่นฟุตบอลได้ก่อนที่จะทำการบ้านเสร็จ แล้วน้องคอร์ทก็วิ่งลงไปผมกลับเข้าห้องนอนซึ่งตอนนี้ทรีหลับไปแล้ว พลางคิดว่าผมจะตื่นตอนหกโมงเช้าเพื่อไปอ่านเรียงความให้คอร์ทอีกครั้งก่อนที่จะส่ง
หกโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ผมล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็วแล้วออกไปที่ห้องคอมมอน คอร์ทนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ยาวหมอนเก่าๆ ใบหนึ่งหนุนหัวอยู่ อีกใบหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของน้องเขา แผ่นกระดาษรายงานวางเลื่อนอยู่บนโต๊ะ แสงจางๆ ที่ส่องมาจากหน้าต่างทำให้น้องเขาหน้ารักมากขึ้นไปอีก ปากที่เผยออยู่น้อยๆ น่าจูบเป็นที่สุด แก้มขาวที่ตอนนี้มีหนวดขึ้นอยู่หร็อมแหร็มเพราะยังไม่ได้โกนก็น่าลูบมากมาย ตัวเล็กที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงบอลก็น่าจับอุ้มกับไปนอนบนเตียงอุ่นๆ ผมเดินมาที่หน้าของน้องคอร์ทยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่เคยคิดว่าเวลาคนเรานอนหลับน่าตาท่าทางจะมีความสุขเช่นนี้ ผมเอานิ้วมือจิ้มที่น่าผากแกล้งน้องเขา แล้วจึงขยี้ผมน้องเขา คอร์ทไม่ตื่น ผมจึงหยิบเรียงความที่อุตส่าห์เขียนจนเสร็จแล้วไปนั่งอ่านบนกรอบหน้าต่างเพื่อบังแสงในคอร์ทแม้จะแค่ช่วงสั้นๆ งานออกมาเป็นที่น่าพอใจ ผมวางเรียงความกลับที่เดิม มองคอร์ทที่กำลังหลับอยู่รอยยิ้มก็โผล่ขึ้นมาโดยที่ผมไม่รู้สึกตัวอีกครั้ง ผมถอนใจแล้วกลับไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเข้าเรียน
ผมคงจะเป็นพวกซาดิสต์หรือไม่ก็มาโซคิสต์อย่างที่เพื่อนผมว่าจริงๆ เพราะแม้ผมจะเก็บวิชาบังคับเลือกครบแล้วแต่ผมก็ยังอุตสาห์ลงเรียนวิชา “ความรู้กับอำนาจ” ที่ตอนนี้อำนาจของมันบังคับผมที่นอนไม่พอให้ต้องมานั่งฟังอาจารย์บรรยายเรื่อง “ถ้ำของเพลโต (The Cave of Plato)” เป็นเวลาสามชั่วโมงตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงเที่ยง หลังจากกินข้าวกลางวันกับเพื่อนๆ ในเอกเสร็จแล้วผมก็รีบตรงกลับหอ (ง่วงนอนมาก) เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสามที่ผมอยู่ ผมก็เห็นน้องคอร์ทอยู่ที่นั่น พิงกรอบหน้าต่างที่ผมอ่านเรียงความของน้องเขาเมื่อตอนเช้า ตอนนี้น้องคอร์ทแต่งชุดนักศึกษา (ที่ผมไม่ชอบแต่งไปเรียน) ดูเรียบร้อยดีพิกล หนวดก็โกนแล้วหน้าใสกิ๊กเลย
“งาย” ผมทักเมื่อน้องคอร์ทมองเห็นผมเดินขึ้นมา และผมก็ได้รอยยิ้มของน้องเขากลับมา
“ผมส่งเรียงความไปแล้วนะครับพี่” น้องคอร์ทบอกเพราะไม่รู้ว่าเมื่อเช้าผมมาอ่านทวนเรียงความให้แล้ว
“อืม...ก็เขียนดีนี่” ผมยิ้มให้กำลังใจหลังจากสร้างความวิบัติให้แก่ความมั่นใจในตัวเองของน้องเขาเมื่อคืน
“หา...” คอร์ททำหน้างง
“พี่อ่านแล้วล่ะเมื่อเช้า” ผมสารภาพ ขบขันกับท่าทางประหลาดใจ
“ตอนไหน” คอร์ทยังตกใจไม่เลิก
“ก็ตอนที่คอร์ทละเมอพูดว่า อย่าทิ้งผมไปเลยนะครับไง” ผมล้อน้องเขาตามสันดานคนขึ้แกล้ง
“แถมคอร์ทยังกอดหมอนไว้ซะแน่นเชียว น้องหนมอนเขาจะทิ้งคอร์ทไปไหน” ตอนนี้คอร์ทพูดอะไรไม่ออกแล้วหน้าใสๆ แดงเป็นเย็นตาโฟร้านยายป้าปากหมาที่โรงอาหาร
“ฮ่าๆๆๆ...ล้อเล่น อย่าบอกนะว่าเชื่อ” ผมเลิกแกล้งน้องเขา
“พี่วิน่ะ...” แล้งน้องเขาก็นิ่งไป อายหน้าแดงอีกครั้ง ก็น่ารักอย่างนี้ไงล่ะ ถึงเชิญชวนให้ผมชอบแกล้ง
“ผมอุตส่าห์ไม่นอนทั้งคืนเขียนเรียงความใหม่ ถ้าไม่ได้ A นะอาจารย์ได้เห็นดีกันแน่” น้องคอร์ทรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แหม...เกรดมันก็แค่ตัวเลข มันใช้วัดความสามารถจริงๆ ของคอร์ทไม่ได้หรอกนะ ทำดีที่สุดก็พอแล้ว” ผมให้กำลังใจพร้อมๆ กับติเรื่องทัศนคติต่อการศึกษาของน้องเขา
“แหม...พี่มันก็มีบ้าง” คอร์ทแก้ตัว
“อือ...รู้แล้วแหละ”
“พี่วิเย็นนี้ไปกินข้าวร้านผัดไทกันมั้ยครับ” คอร์ทชวน
“ผมกับพวกไอ้ทรีจะไปกินกันเย็นนี้”
“ร้านผัดไทข้างม.เหรอ” ผมถามเพราะไม่ค่อยอยากไปร้านนี้เท่าไร
“ครับพี่วิเคยไปกินรึยัง” คอร์ทถามต่อ ท่าทีกระตือรือร้น
“ไม่...พี่ไม่เคยไปร้านผัดไท” ผมสารภาพ น้ำเสียงเริ่มห่อเหี่ยว
“งั้นดีเลย ร้านนี้นะทำผัดไทอร่อยมาก อาหารตามสั่งก็มีนะครับ...” แล้วน้องคอร์ทก็บรรยายถึงร้านผัดไทต้องคำสาปนั่นไปกว่าห้านาที
“คอร์ทชอบกินผัดไทล่ะลิ ไปกินข้าวด้วยกันก็หลายครั้ง เห็นสั่งผัดไทแทบทุกครั้ง” ผมถาม
“ครับ ชอบครับ พี่วิไปนะเดี๋ยวผมเลี้ยงขอบคุณ” คอร์ทยังชวนต่อด้วยท่าทางของเด็กอนุบาลที่กำลังจะโน้มน้าวให้พี่ชายพาไปร้านขายของเล่น
“เฮ้ย...ไปน่ะไปแต่ไม่ต้องเลี้ยง แค่นี้เอง” ผมตัดสินใจไปร้านผัดไทในที่สุด
“แล้วเจอกันนะ ตอนเย็น” แล้วผมก็เดินกลับเข้าห้องนอนด้วยจังหวะที่ถูกกระตุ้นโดยสารแห่งความสุขที่หลั่งมาจากที่ไหนสักแห่งในหัวของผม กะโดดลงบนเตียงสีฤดูใบไม้ร่วงแล้วหลับตา
   อาหารตามของร้านผัดไทไม่ได้อร่อยอย่างคำล่ำลือที่มีมาอย่างยาวนาน อีกทั้งร้านผัดไทยยังเป็นร้านที่รูมเมทคนเก่ากับเพื่อนเอกภูมิศาสตร์ของมันชอบมากิน ผมจึงค่อยๆ เขี่ยเส้นผัดไทยกับกุ้งเข้าปากอย่างเสียมิได้ และที่สำคัญตอนนี้ผมนั่งตรงข้ามกับน้องคอร์ทที่หน้าตาดีอย่างไม่น่าเชื่อคนที่กำลังกินและก็มองชำเลืองมองผมในบางโอกาสเช่นกัน ในเวลานี้เหมือนกับว่าพวกไอ้ทรี โย๊ป และก็คนอื่นๆ ไม่ได้นั่งอยู่ข้างๆ ผมกับคอร์ท เหมือนกับว่าเย็นนี้เรามากินข้าวกันแค่สองคน เป็นความสุขที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน
“พี่วิกินเหมือนผู้หญิงเลยนะ” น้องคอร์ทพูดขึ้นมา ทำให้ผมอึ้งไปหลายนาที ไอ้ทรีและเพื่อนๆ มันต่างก็หันมาจ้องเราสองคน ตอนนั้นผมอยากจะมุดดินหนีด้วยความอายเป็นที่สุด
“ก็พี่ค่อยๆ กิน น่ะ เขี่ยไปทางนู้นที ทางนี้ที เลือกกินบ้าง ผู้หญิงชัดๆ” น้องคอร์ทยังไม่หยุดเหมือนเพื่อนๆ มันไม่ได้มีตัวตน ไอ้ทรีทำหน้าเหวอ เหมือนกลัวว่าผมจะลุกขึ้นแล้วเอาเก้าอี้ฟาดหัวน้องคอร์ท ผมเลยตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า
“เอ่อ....พี่....ว่าผัดไทยมันไม่อร่อยอ่ะ พี่เลยเขี่ยๆ”
“จริงอ่ะ หรือพี่วิไม่ชอบผัดไทย ร้านนี้ออกจะอร่อย” ยังน้องคอร์ทยังไม่เลิก ย้ำผมจังไอ้นี่
“ความจริงถ้าพี่ไม่ชอบผัดไทยบอกผมก็ได้” สรุปกูผิด ผมคิดในใจ เริ่มอายด้วยเหมือนมากินข้าวกับแฟนแล้วทะเลาะกัน เพื่อนๆ มันและน้องผมก็เงียบเชียว
“พี่กินได้หมดและ แต่จานนี้มันเลี่ยนๆ เหมือนแม่ค้าใส่น้ำมันเยอะไปมั้ง” ผมแก้ตัวไป แต่จานนี้ไม่อร่อยจริง แม่ค้ากับลูกสาวที่คอยเสริ์ฟอาหารมองผมเหมือนอยากจะเอากระทะฟาดหน้า
“ครับๆ ” น้องคอร์ทยอม
“งั้นคราวหน้าให้พี่วิเลือกร้านละกัน” กูเป็นอะไรกับเมิง ต้องไปกินข้าวด้วยกัน
“อือฮึ” ผมตอบรับมันสั้นๆ แล้วกินต่อ
สักพักเมื่อเรากินเสร็จ คอร์ทก็ชวนผมกับเพื่อนๆ ข้ามถนนเพื่อไปซื้อนมร้อนฝั่งตรงข้าม เสร็จแล้วพวกเราก็ขี่จักรยานกลับหอกัน และในฐานะนักเรียนสังคมวิทยาผมก็ทำพลาดโดยการลืมสังเกตถึงพฤติกรรมเล็กๆ น้อย ของน้องคอร์ทไป

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #4 เมื่อ12-10-2013 21:26:05 »

4 4 แพร่ง ทางแยกของหัวใจ

หลังจากอยู่ในรั้วมหาลัยได้พักใหญ่ผมก็ชอบชีวิตใหม่มากขึ้น ผมมีเพื่อนใหม่ ผมมีสังคมใหม่ ไม่ใช่ว่าเพื่อนเก่าหรือสังคมเก่าที่ผมจากมานั้นไม่ดี แต่ชีวิตอย่างไรก็ต้องเดินหน้าต่อไปเสมอ ผมมองดูโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นราวกับว่ามันเป็นระเบิดเวลาที่กำลังจะทำงาน ปลาโทรมาหาผมอีกแล้ว ครั้งที่ห้าของวันนี้ เราคุยกันไปสักพัก เมื่อวางลงผมก็คิดต่อไปว่าปลากำลังคิดว่าอยู่กับเธอเหมือนเดิมหรือเปล่า ลืมไปว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว จริงอยู่ที่ว่าตอนอยู่มัธยมเราจะได้เจอหน้ากันทุกวัน ได้พูดคุยหรือทำอะไรร่วมกันอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ผมยอมรับความเปลี่ยนแปลง และพร้อมๆ กันผมก็กลัวกับความเปลี่ยนแปลง ผมไม่แน่ในว่าผมจะรับมือกับมันอย่างไร และปลาเองจะรับมือกับมันได้มั้ย
“โย๊ป เปิดประตูห้องให้กูที............................” เสียงร้องไอ้ทรีปลุกผมขึ้นมาจากภวังค์ เสียงผีเท้ามันไม่ได้มีความเกรงใจคนในหอเลย ไอ้เวร
“เร็ว.........” ยังเสือกเร่งกูอีกแน่ะ เสียงฝีเท้ามันมาหยุดที่ประตูพร้อมๆ กับที่ผมเปิดประตูให้มัน
“ตายยยยยย.......” เงาสีดำวูบผ่านหลังไอ้ทรี ผัวะ.....เสียงวัตถุบางอย่างฟาดหลังไอ้ทรีอย่างเต็มแรง มันรีบกระโดดเข้าห้องผม แล้วล็อกประตู
“กูรอดแล้ว” ไอ้ทรีพึมพำ แต่ผมยังตกใจกับเงาดำที่ทำร้ายไอ้ทรี
“เป็นไรวะมึง” ผมถาม
“5555 มันหัวเราะ กูโดนพี่ไล่ตีว่ะ” มันพูดแล้วก็ขำอีก ไอ้เงาดำที่วิ่งผ่านไอ้ทรีคือพี่วินั่นเอง แถมยังเร็วขนาดฟาดซัลโวส่งท้ายมันได้อีก
“55555” ผมหัวเราะไปด้วย แล้วค่อยๆ แอบแง้มประตูออกไปดู ไม่มีคนบนทางเดิน พี่วิกลับเข้าห้องไปแล้ว เสียงฝีเท้าไม่มีเลย คนอะไรเร็วเหมือนผี
“ทะเลาะอะไรกับพี่มึงมาล่ะ” ผมถามเริ่มอยากรู้
“ตอนกลางวันกูไปดูสี่แพร่งที่หอเจ็มมาว่ะ แม่งโคตรหลอน แล้วห้องน้ำมันมืดกูเลยขอพี่วิไปเยี่ยวพร้อมกัน พี่วิไม่ไป กูเลยแซวว่า....ของเขาเล็กกว่าของกู พี่กูเลยของขึ้น”
“5555 ไอ้สัตว์ ว่าแต่กูยังไม่ได้ดูเหมือนกัน คืนนี้ไปดูกันดิ ห้องมึง”
“เออ”
ในห้องที่กว้างเพราะมีเพราะมีผู้อยู่อาศัยแค่สองคนของพี่วิกับไอ้ทรีกลายเป็นที่สิงสถิตของพวกผมที่จะมาเล่นคอมพ์ของไอ้ทรี หรือนอนคุยกันบนพื้นห้องที่ปูเบาะเตียงทั้งสองตัวที่พี่วิขโมยมาใช้ต่างพรมที่หนาโคตร และที่สำคัญตอนนี้ห้องของพี่วิยังโรงหนังให้พวกผมได้ดูหนังผีด้วยกัน พี่วิพูดคุยกับพวกผมเป็นปกติทุกอย่าง คงหายเม้งไอ้ทรีแล้ว และก็คงไม่รู้ว่าไอ้ทรีปูดเรื่องขนาดของไอ้นั่นให้ผมฟัง คืนนี้พวกผมทุกคนรวมทั้งพี่วิเตรียมพร้อมมาก พร็อบคือเสื้อคลุม ผ้าห่ม หมอนกอด และหมอนข้าง แล้วไอ้ทรีก็เอาแผ่นสี่แพร่งที่เช่ามา ใส่เข้าไปในเครื่องเล่น
“ขนาดกูดูแล้วกูยังหลอนเลย...เหี้ยเอ้ย” ไอ้ทรีตัวสั่น แม่งมันกลัวผีจริงครับ
“หนังยังไม่เริ่มเลยไอ้อ้วน” พี่วิด่าน้องให้เงียบครับ แล้วเราก็เริ่มดูกันไป
“ลูกผู้ชายตัวจริงห้ามปิดตา ห้ามหลบนะโว้ย” ไอ้เอ็มท้าเพื่อนครับ ทั้งที่มันก็เอาเสื้อคลุมครอบหัวไว้
ผมเองชอบตอนแรกมากที่สุดครับ ที่เป็นโทรศัพท์ผีน่ะ แต่ชื่อตอนจริงๆ เรียกว่าอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว ฉากที่นางเอกก้มไปเก็บโทรศัพท์จากใต้เตียงแล้วผีก็พุ่งออกมา พวกเราผู้ชายตัวโตๆ สี่คนหันไปกอดกันกลมเหมือนคนเล่นรักบี้ลืมคำท้าไอ้เอ็ม ส่วนพี่วิหายตัวไป สรุปแล้วเขากระโดดถอยหลังกลับไปที่เตียงตัวเอง ตาจ้องจอค้างเลบครับ เป็นคนเดียวที่รักษาคำท้า ฮ่าๆๆ เราดูกันต่อไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่ชื่อว่าคนกลาง แล้วโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมา ปลาครับ ปลาโทรมา ผมหยิบโทรศัพท์แล้วลุกขึ้น สังเกตเห็นพี่วิมองมาด้วยหางตา ผมเลยออกจากห้องไปคุยโทรศัพท์กับปลาครับ
   กลับมาอีกทีหนังสี่แพร่งก็จบแล้ว เพื่อนๆ ก็เริ่มแยกย้ายไปนอนครับ ผมก็เข้ามาเก็บสัมภาระตัวเอง ผ้าห่มกับหมอนครับ ออกมาก็เจอกับพี่วิครับ เกือบชนกับผมอีกแล้ว พี่เขาไปถอดคอนแท็กเลนส์มา พี่เขามามองหน้าผมแล้วก็ยิ้มให้แปลกๆ ครับ เหมือนยิ้มแบบหยิ่งๆ ขำๆ งงครับ ผมก็ปล่อยไปครับ เพิ่งเที่ยงคืนเอง ผมจะนอนเลย หรือจะเล่นคอมพ์ต่อดี คืนนี้ยังอีกยาวไกล ชีวิตนักศึกษามหาลัย

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #5 เมื่อ12-10-2013 23:02:45 »

5 ความผิดพลาดของนักสังคมวิทยา

วันนี้ผมตื่นเช้าครับ มีเรียนวิชาความรู้กับอำนาจ ที่ช่างทรมานหัวใจเหลือเกิน ไม่รู้จะลงเรียนทำไมในเมื่อผมเก็บหน่วยกิตครบแล้ว ตอนกำลังจะเดินออกจากหอ (เพราะจักรยานผมพังเพราะเอาไปออกภาคสนาม) ผมก็เจอกับพี่ด้าย พี่ได้เรียนคณะศึกษาศาสตร์ปี 5 ครับ ปีนี้พี่เขาต้องไปฝึกสอนจริงที่โรงเรียนแถวๆ องค์พระ พี่เขาสนิทกับผมมากเพราะเป็นเกย์เหมือนกัน แถมห้องเรายังอยู่ชั้นเดียวกันด้วย ห้องพี่เขาเป็นห้องริมครับ ห้องใหญ่ อยู่กับเกย์ร่างยักษ์อีกคน
“วิ....” พี่ด้ายทัก
“อะไร ยังไง พี่ด้าย” ผมทักกลับด้วยภาษาปากของคนในมหาลัย
“ดูเหนื่อยๆ นะ ต้องสอนเช้าทุกวันหรอ”
“อืม...ไอ้ด้อมชอบพาน้องๆ มาเล่นที่ห้องด้วยอ่ะ พี่เลยนอนไม่หลับ”
“พวกไอ้ทรีป่าวพี่” ผมถาม
“อืม นั่นแหละ ไอ้ด้อมมันชอบกินเด็กใหม่” พี่ด้ายประชด
“โอเค เดี่ยววิจะเตือนน้องให้” ผมคงเตือนแค่ไอ้ทรีคนเดียวแหละ ผมคิดในใจ แล้วเราก็แยกย้ายกันไป เรียน
คาบนี้อาจารย์ผมเชิญอาจารย์พิเศษจากที่อื่นมาบรรยาย ซึ่งผมคิดว่าเขาบรรยายแล้วเข้าใจยาก ผมฟังไม่รู้เรื่องเลย หรือจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจฟังเต็มที่ด้วย หลังจากเรียนเสร็จ ผมเลยเดินมากินข้าวที่โรงอาหารคนเดียว เพราะเพื่อนผมที่ลงเรียนด้วยกันต้องไปเรียนภาษาเกาหลีต่อ โชคดีที่ผมเรียน 8.30 เลยเลิกก่อนเที่ยง คนในโรงอาหารยังไม่แน่นเท่าไร ไม่อย่างนั้นผมคงต้องสั่งใส่กล่องเอาขึ้นไปกินบนห้องแบบที่ต้องทำบ่อยๆ (ไม่มีคนคบ ไม่มีเพื่อนกินข้าวด้วย ฮ่าๆ) ผมสั่งเนื้อทอดกระเทียมกรอบๆ ราดข้าว แล้วซื้อน้ำมะนาวโหลใหญ่ (ที่มหาลัยผมร้านชายน้ำจะใช้โหลกาแฟแทนแก้วน้ำ ราคา 10-20 บาท ถูกมาก) ผมกำลังนั่งกินได้ไม่กี่คำ ก็มีคนเดินมาเซอร์ไพร้ส์ครับ
“พี่วิ...” น้องคอร์ทเดินยิ้มหน้าบานมาทักผม
“ผมนั่งกินข้าวด้วยคนสิ”
“เอาดิ” ผมยิ้มตอบ บังคับไม่ให้ตัวเองยิ้มจนฉีกถึงหู
สักพักน้องคอร์ทก็เดินถือชามราดหน้ามาวาง กับขวดน้ำเปล่า แล้วก็เริ่มกินไปพร้อมกับผม ผมแอบคิดว่าวันนี้ทำไมเจอน้องมันคนเดียว อยู่คณะมันไม่มีเพื่อนเหรอ
“นี่ผมมีอะไรจะอวดให้ดู” มันหยุดกินกลางคันแล้ว ก็ยกแขน หมุนมือ ทำท่าแปลกๆ ให้ผมดูไปสัก 3-4 นาที
“เป็นไงพี่”
“เหมือนลีดเลยอ่ะ 555” ผมทักเพราะท่าทางที่เห็นเป็นท่ามือลีดชายชัดๆ
“อืมใช่สิ นี่ผมฝึกท่านี้มาทั้งคืนเลยนะ” มันบอกต่อ
“อ้าว ไปฝึกมาทำไมล่ะ” ผมถาม
“อ้าว พี่ ก็ผมเป็นลีดนิ” น้องตอบ ดูผิดหวังเล็กน้อย
“จริงอ่ะ พี่ไม่รู้เลย” ผมสารภาพ
“ใช่ๆ พี่ไม่เห็นผมเต้นลีดวันเฟรชชี่เหรอ” คอร์ทถามต่อ
“พี่ออกไปจัดงานของภาคที่ต่างจังหวัดน่ะ” ผมตอบ คิดถึงสิ่งที่ผมได้พลาดไป
“จริงดิ  โถ่เสียดายอ่ะ ผมกำลังจะถามพี่อยู่พอดีเลยว่าชอบที่ผมเต้นมั้ย” น้องยิ่งทำหน้าผิดหวังหนัก
“เอ่อ โทษทีนะ แต่ที่เต้นเมื่อกี๊ก็โอเคนะ” ผมแก้ตัวไป แล้วเราก็กินกันต่อจนเสร็จ
“พี่ครับผมไปก่อนนะ มีเรียนต่อแล้ว” น้องคอร์ทบอกลา ไม่ยิ้มแล้ว
“อืม สู้ๆ” ผมตอบรู้สึกผิด และรู้สึกขัดแย้งในใจตัวเองอย่างหนัก ผมเคยปฏิญานแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับพวกเด็กกิจกรรมอีกเด็ดขาดเนื่องจากเหตุการณ์ฉาวของตัวเองเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา และนั่นทำให้ผมไม่ไว้ใจไม่ว่าจะเป็นเด็กกิจกรรมประเภทไหน ทั้งพี่เชียร์ พี่ว๊าก รวมถึงลีดเดอร์ด้วย (ยกเว้นน้องรหัสของผมเธอสวยจนเป็นหลีดมือของคณะ) ผมเดินกลับหอด้วยความหงุดหงิดในใจ กลับหอไปก็หงุดหงิดจนอ่าน อะ มิด ซัมเมอร์ ไนท์ ดรีม ของเซคสเปียร์ ไม่รู้เรื่อง ผมพลาดมากจริงๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมรู้น้องคอร์ทมักจะหายไปตอนกลางคืน  เวลาไม่ค่อยตรงกับเพื่อน บางทีก็หายไปเฉยๆ แต่ผมไม่เคยเก็บรายละเอียดของพฤติกรรมเหล่านี้มาคิด และนั่นถือว่าผมสอบตกในฐานะนักสังคมวิทยา เพราะผมนึกว่าน้องเป็นเด็กเรียน (เป็นเด็กเรียนจริงๆ) และรีบเข้านอนเพื่อมีเวลาอ่านหนังสือทุกคืน แถมยังเป็นนักบอลคณะเภสัชศาสตร์อีก ผมถูกมายาคติในใจตัวเองหลอกเอา เพราะไม่ชอบเด็กกิจกรรม เลยพยายามจะไม่คิดว่าน้องคอร์ทที่ผมแอบตกหลุมรักจะกลายเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงมาตั้งแต่ต้น ผมผิดหวังเมื่อรู้ความจริง และผมรู้สึกผิดกับน้องเขาที่ไม่เคยรับรู้ตัวตนทั้งหมดของน้องเขาเลย และผมก็ยังคงพลาดต่อไป

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #6 เมื่อ13-10-2013 09:02:21 »

6 โจทย์รัก

   ช่วงนี้พวกเราว่างๆ กันครับ ก็กิน เที่ยว เล่น ไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตนักศึกษามหาลัย คนที่หายไปจากกลุ่มเพื่อนเราบ่อยๆ ก็ สองคนครับ ไอ้คอร์ท กับไอ้ทรี คนแรกมันเรียนหนักและก็เป็นลีด แต่ไอ้คนหลังนี่สิครับ แม่งเข้ามาไม่นานตอนนี้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วครับ อ้วนก็อ้วนแบบที่พี่มันด่านั่นแหละ ไม่รู้ทำไมผู้หญิงชอบมัน แต่วันนี้แปลกครับพวกเราอยู่กันครบหน้าเลย พอกินข้าวกลางวันเสร็จบ่ายไม่มีเรียนก็มานอนอืดกันอยู่ที่ห้องผม ประมาณบ่ายสี่โมงแดดร่มลมตก ไอ้คอร์ทก็ชวนพวกผมไปนั่งเล่นกีตาร์ที่สระแก้วกัน
“เออๆ” ไอ้เอ็มเอาด้วยครับ
“แวะไปกินข้าวก่อนค่อยไปละกัน แต่เอากีตาร์ไปเลย” ไอ้ทรีเสนอ
“ไปกินหน้าคณะอักษรฯ นะ ใกล้ดี” ไอ้คอร์ทบอก
“ทรี ไม่ชวนพี่วิเหรอ” ไอ้คอร์ทถามตอนเราเดินผ่านห้องไอ้ทรีไปที่บันได
“วันนี้พี่กูเรียนเลิกดึกว่ะ” ไอ้ทรีตอบ
“....เชคสเปรียร์ วันพุธเย็น” ไอ้คอร์ทพึมพำ แต่พวกผมไม่ได้ใส่ใจ
   หลังจากกินข้าวเสร็จพวกผมก็ปั่นจักรยานมาที่ศาลาขาวริมสระแก้ว จัดแจงนั่งริมน้ำ แล้วก็เอาสมุดคอร์ดกีตาร์มากางครับ ฮ่าๆๆ ไม่อยากจะสารภาพว่าพวกผมมีหน้าที่เลือกเพลง กับร้องเพลงเท่านั้นครับ เพราะมีไอ้คอร์ทคนเดียวที่เล่นกีตาร์เป็น เก่งจริงครับมัน ผมยอมรับ เรียนเก่งมาก เล่นบอลเก่ง เป็นลีดคณะ เล่นกีตาร์ได้ ร้องเพลงได้ หน้าตาดีด้วย ครบอ่ะครับ เสียแต่บ่อยครั้งมันชอบเอ๋อ เหมือนเด็กเนริ์ด เพราะตอนมัธยมพ่อแม่มันบังคับให้เรียนหนักอย่างเดียว เราร้องกันไปจนฟ้ามืดครับ
“เพลงนี้ ขอ 2 รอบนะ กำลังอิน” ไอ้คอร์ทพูดขึ้นมา ไม่มีใครขัดมันได้หรอกครับมันเป็นคนเล่นนิ มันเริ่มเล่นแล้วก็ร้องเพลง โจทย์รัก ของเล้าโลม ครับ
 “...........ความรักที่แตกสลาย   ก่อขึ้นใหม่อีกครั้ง ชีวิตที่เคยสิ้นหวังเริ่มจะสดใส
แต่แล้วในวันนี้ เธอคนเดิมที่เคยจากฉันไป กลับมาขอคืนวันเก่าๆ ให้เราเป็นเหมือนเดิม....
หนึ่งคนทิ้งเราให้ตาย อีกคนให้ลมหายใจ หนึ่งทางคือรักจริง อีกทางก็รักฝังใจ
ไม่อยากเสียใครสักคน แต่วันนี้ต้องตัดสินใจ โจทย์ความรักจะจบเช่นไร ก็ยังไม่รู้หัวใจตัวเอง”
ไม่รู้มันอินอะไรนักหนาครับ แต่พวกผมก็ร้องตามมันไปทั้งสองรอบนั่นแหละ ฮ่าๆ  เราร้องกันอยู่นานครับ ดูนาฬิกาที่โทรศัพท์ ก็สองทุ่มเศษๆ แล้วครับ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นมีอะไรบางอย่างตกลงในสระข้างๆ พวกผมครับ จนน้ำกระเด็นเลย หันไปมองครับเป็นลูกมะพร้าว แต่แวบหนึ่งผมเห็นเป็นหน้าคนครับ ไอ้ทรีแม่งกรี๊ดเลย ไอ้เชี่ยนี่หลอนหนัก ไม่พูดพล่ามทำเพลงครับ พวกเรารีบเก็บข้าวของแล้วเผ่นขึ้นจักรยานกลับหอทันทีครับ
“เชี่ยแม่ง กูยังไม่ได้ซื้อน้ำขึ้นมาเลยหว่ะ” ผมพูด ไม่กล้าออกไปเซเว่นแล้วเพราะต้องขี่จักรยานผ่านสระแก้ว
“เออ กูด้วย” ไอ้เอ็มบอก
“เดี๋ยวกรูโทรบอกให้พี่วิแวะซื้อเข้ามาให้ พวกมึงจะเอาอะไรกันมั่ง” ไอ้ทรีถาม พวกผมก็สั่งกันไปน่ะครับ พี่วิคงหนักตายแน่
“คอร์ท เอาอะไรมั่งป่าววะ” ไอ้ทรีถาม
“ไม่เอาอ่ะ” ไอ้คอร์ทปฏิเสธ แล้วมันก็ขอตัวกลับห้องไปอาบน้ำนอนครับ ซึมๆ ไป สงสัยหลอนเงียบ

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #7 เมื่อ13-10-2013 10:14:52 »

7 สมา (SMA) กับประชาธิปไตย

สมา มาจากชื่ออักษรย่อภาษาอังกฤษตัว เอส เอ็ม เอ ครับ เด็กอักษรฯ เลยเรียกมันสั้นๆ ว่า สมา สมาเป็นงานประกวดการร้องดนตรีของมหาลัยผมครับ จัดครั้งละประมาณ 2-3 วัน ปีละครั้ง ที่สนุกคืองานนี้นอกจะเป็นการประกวดร้องเพลงแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นการจัดคอนเสริ์ตในนักศึกษาออกมาโชว์ลีลาของร่างกายกันครับ
“วิ....ไปสมากับเค้ามั้ยจ๊ะ” ลิตเติ้ลเพื่อนสาวผมชวนครับ
“ไปสิจ๊ะ ที่รัก” ผมตอบอย่างไม่ค่อยลังเล แม้จะไม่ชอบงาน แต่ผมสนิทกับลิตเติ้ลมากครับ เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่หวันไหวกับข่าวฉาวของผม เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเสมอมา แล้วพอเราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเราสองคนก็ค่อยๆ เดินไปงานด้วยกันครับ
   งานคืนนี้ครึกครื้นดีครับ เด็กๆ แน่นเลย ช่วงประกวดร้องเพลงกำลังจะจบลงไปแล้วครับ เพราะอาจารย์กรรมการกำลังจะกลับ ช่วงคอนเสริ์ตอยู่ไม่ไกลแล้วครับ
“เดินไปที่แสตน์คณะกันเถอะ” ลิตเติ้ลชวน
“อืม” ไปก็ไป ถึงแม้ในใจผมกลัวว่าจะไปเจอหน้าบรรดาคนที่ผมไม่อยากเจอ ที่แสตนคณะอักษรฯ กำลังเต้นกันนัวๆ เลยครับ โยกย้ายไปมาช้าๆ จังหวะเดียวกับเพลงแนวสการ์ที่เล่นมาได้สักพัก ผมกับลิตเติ้ลก็โยกตามนิดหน่อย
“วิๆ ดูสิ นั่นไงเดือนคณะ ปีหนึ่ง” ลิตเติ้ลชี้ให้ผมดูครับ แต่ผมมองไปก็ไม่รู้ใครมันปนๆ กันไปหมด
“ไหนอ่ะ คนไหน” ผมถามอีกครับ เริ่มอยากรู้ขึ้นมาเหมือนกัน ผมก็พยายามมองหาแต่ก็ไม่เจอครับ
“ไหนอ่ะ ยังหาไม่เจอ” ผมแพ้ต่อความอยากรู้ครับ ถามไปอีกจนได้ ลิตเติ้ลกำลังจะบอกอีกรอบ ไม่รู้ว่ารำคาญผมหรือเปล่า แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อน้องผู้ชายคนหนึ่งสูงกว่าผมสักช่วงหัวหนึ่ง ใส่เสื้อยืดสีฟ้า เดินออกมาจากกลุ่มเพื่อนเขาครับ
“ผมเองแหละครับพี่” น้องเขาเดินออกมาพูดใส่หน้าผม ผมอึ้งครับ ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเดือนคณะ หน้าก็ไม่ได้หล่อเทพ สูงกว่าผมแค่นิดเดียว กล้ามเยอะไปนิด
“หน้าผมไม่เหมาะจะเป็นเดือนขนาดนั้นเลยหรอครับ” เขาพูดต่อ น้ำเสียงปนความหงุดหงิด เหยียดๆ แล้วก็กวนตีน ประมาณว่ากูหน้าตาดีกว่ามึงแล้วกัน
“ไม่รู้สิ” ผมตอบ กวนตีนกลับเหมือนกัน
“แต่ก็นั่นแหละ กี่ปีกี่ปีก็เหมือนกันหมดแหละ ดูที่หน้าตาเอาประมาณตามกระแสนิยม ความสามารถก็อีกเรื่องหนึ่ง” ผมกวนตีนล้ำเส้นครับ คิดว่ามันกำลังจะชกผม ผมไม่กลัวหรอกครับ
“ตูน คะ” เสียงน้องผู้หญิงปีหนึ่ง ข้างหลังดังมาเป็นระฆังห้ามมวยครับ
“มาเต้นด้วยกันสิคะ”
“ครับๆ” มันตอบแล้วเหลือบมามองผมอย่างฆาตโทษ แล้วก็เดินกลับไปเต้นกลับกลุ่มน้องผู้หญิงครับ  ไปตายไหนก็ไปเถอะไอ้คนเกือบหล่อ
“กรี๊ดดด...เกือบโดนผู้ชายตีเลยค่ะ” ลิตเติ้ลระบายลมหายใจ คงลุ้น ฮ่าๆ
“บ้า...ไม่หรอก” ผมบอกให้เพื่อนสบายใจ
เราเต้นกันต่อไปสักชั่วโมงครับ ทักทายเพื่อนๆ ที่เต้นผ่านมา พอถึงเวลาแล้วเราก็เดินกลับครับขากลับแวะซื้อน้ำที่เซเว่น แล้วผมก็ส่งที่รักกลับห้องส่วนตัวเองก็กลับห้องนอนครับ ไอ้ทรีกับเพื่อนยังไม่ได้กลับมา ส่วนน้องคอร์ทผมไม่ได้คิดถึงเลยครับ คืนนั้น
   สามสี่วันหลังจากงานสกา ผมมีกิจกรรมพิเศษครับ เนื่องจากช่วงนี้เกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง ส่งผลให้ประชาคมนักศึกษาและอาจารย์ในมหาลัยมีการเคลื่อนไหวครับ อาจารย์ผมสองคนกำลังผลัดกันแถลงเหตุการณ์ที่ผ่านมา และวิจารณ์การกระทำของรัฐบาล หลังจากนั้นอาจารย์ก็แบ่งกลุ่มย่อยครับให้นักศึกษาจำนวน 60 กว่าคนได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ ผมได้รับการมอบหมายให้เป็นผู้นำการสนทนากลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งครับ ซึ่งแลกเปลี่ยนประเด็นกันอย่างเผ็ดร้อนมาก
“ผมไม่ชอบ และไม่เห็นด้วยเลยที่คนไทยสองกลุ่มที่ความเห็นทางการเมืองต่างกันต้องมาทำร้ายกัน แบบนี้ มันไม่มีอารยะเลย แย่มากๆ” น้องเมฆ ภาควิชาปรัชญาพูดขึ้นแสดงความอึดอัดครับ น้องค่อนข้างใช้อารณ์
“มองในอีกแง่มุมหนึ่งนะ” ผมเสนอ ในฐานะที่เป็นผู้นำการสนทนาจะเงียบอยู่ไม่ได้ครับ
“ความรุนแรงที่เกิดจากคนสองกลุ่มปะทะกันจะไม่เกิดขึ้นเลย หากมีการควบคุมฝูงชนที่ดี เราต้องยอมรับว่ากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล และรัฐบาลเองก็มีอำนาจในการสั่งการฝูงชนได้ หากรัฐบาลไม่นำมวลชนที่สนับสนุนตัวเองมาท้าทายอีกลุ่มหนึ่งในระยะประชิดแบบนี้ จะเกิดความรุนแรงขึ้นมั้ย” ทุกคนตั้งใจฟังครับ ผมเลยพูดต่อ
“เมฆ อาจจะติดใจกับผลลัพธ์ที่เป็นความรุนแรง แต่สาเหตุและกลไกที่ก่อให้เกิดการปะทะล่ะ เราควรจะคำนึงถึงจุดนั้นด้วย”
น้องเมฆ และเด็กคนอื่นๆ ก็แลกเปลี่ยนประเด็นกันครับ เราคุยกันไปเรื่อยๆ เกือบชั่วโมง จนกลุ่มนักศึกษาเริ่มแยกย้าย ผมก็ขอตัวกลับครับ หิวข้าว อยากไปดูหนังที่ห้องด้วย
“พี่ครับ” ผมถูกดึงแขนจากข้างหลังครับ แต่น้ำเสียงและแรงบีบค่อนข้างสุภาพครับ เลยหันไปมอง เป็นน้องผู้ชายหน้าคุ้นๆ
“พี่ชื่อ วิ ป่าวครับ” น้องถาม ผมกำลังพยามยามนึกชื่อน้อง เหมือนน้องเขาจะอยู่ในกลุ่มสนทนาด้วย แต่นั่งฟังอย่างเดียวครับ
“ผมตูน ไงครับ” ที่เราเจอกันที่สกา วันนี้ผมก็มานั่งฟังกลุ่มพี่ ผมนึกออกละครับ น้องเดือนคณะนี่เอง
“พี่อยู่ ปีสี่เหรอครับ ตอนแรกผมนึกว่าปีสอง ไม่ก็ปีสาม” น้องยังถามต่อ
“อือฮึ” ผมไม่รู้จะตอบยังไง แต่ดูเหมือนน้องมันจะไม่ต้องการคำตอบครับ
“พี่ใช้หลักตรรกะได้ดีนะครับ ผมนั่งฟังอยู่ ผมเก็บวิชาภาษาจีน ประวัติศาสตร์ แล้วก็ปรัชญาน่ะครับ เลยมาฟัง”
“เหรอ” ผมตอบสั้นๆ ไม่รู้มันต้องการจะสื่ออะไร
“พี่ผมขอเบอร์โทรศัพท์พี่หน่อย เพื่อนัดกันตอนชุมนุมครั้งต่อไป”
“อืม เบอร์พี่ 08 4xxx xxxx” ผมให้เบอร์น้องมันไปอย่างเสียมิได้ครับ
“ขอบคุณครับ แล้วไว้ผมโทรไปครับ ผมไปเรียนก่อนนะครับ” แล้วน้องเขาก็วิ่งไปโบกมือ มาให้แบบนักร้องบอยแบนด์ ผมไม่รออยู่ดูต่อจากนั้นหรอกครับ คนเยอะ ผมอึดอัด ผมเลยเดินกลับข้ามสะพานสระแก้วกลับไปที่หอครับ สั่งข้าวขึ้นมากินเพราะติดเที่ยงแล้วก็เปิดหนังดูไปด้วย สักพักผมก็นอนหลับครับ เหนื่อยมากช่วงนี้

ออฟไลน์ hotoil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #8 เมื่อ13-10-2013 10:54:38 »

ติดตามค่ะ เป็นอะไรที่ยาวมากๆ
อ่านตอนแรกเรางงมากๆเลยทำไม แต่ละตอนคนบรรยายไม่เหมือนกัน
อ่านไปอ่านมาเริ่มเข้าใจแล้วค่ะ ว่ามีการเปลี่ยนคนบรรยาย
วินี่ใช่นายเอกไหมน้าาา(วิบัติเพื่อเสียง)
คอร์ทนิสัยเหมือนเด็กแต่ตัวสูง(รึป่าว) พระเอกแน่ๆ(สาธุๆ)
วิก็เหมือนกันนิสัยเหมือนผู้ใหญอันนี้ไม่ขัด แต่อ่านแล้วมันขัดเหมือนวิจะเป็นพระเอกไม่ได้นะ ไม่ยอม!
รอติดตามต่อไปค่ะ อย่าเลิกเขียนนะค่ะ รออ่านอยู่ ช่วงแรกๆคนอ่านจะน้อย แต่อย่าจากเราไปนะ ชอบอ่านเรื่งนี้จริงๆ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #9 เมื่อ13-10-2013 14:02:14 »

ขอบคุณ Hotoil มากครับ คอมเมนท์ให้กำลังใจผมมากครับ ผมคงจะพยายามเรียบเรียงเรื่องราวแล้วเขียนลงไปจนจบครับ แค่คนอ่านเข้าใจผมก็ดีใจแล้วครับ (นักสังคมวิทยามักจะพูดภาษาที่ชาวบ้านไม่เข้าใจ) เพราะผมในฐานะที่พูดแทน วิฬะ ต้องการให้เรื่องนี้เป็นของขวัญกับพระเอกของเรื่องครับ ถ้าผมหายไปนานช่วยตามด้วยนะครับ
ปล. ผมไม่ค่อยเข้าใจคำว่า พระเอกนายเอก เคะ เมะ หรอกครับ ผมเลยเสริ์จกูเกิ้ลเอา ครับ ถ้าผมเข้าใจผิดรบกวนช่วยบอกด้วยนะครับ อย่าให้ผมหน้าแตกนาน 55

"วิ"


8 อุบัติเหตุ

   รู้สึกผิดมากครับที่ต้องเล่าเหตุการณ์นี้ให้ฟัง ผมสะเทือนใจมากครับ และผมคิดว่าทุกคนในมหาลัยก็คงจะต้องสะเทือนใจไม่แพ้กัน เหตุการณ์ก็คือว่า มีเพื่อนรุ่นเดียว คณะเดียวกับผมคนหนึ่ง จัดงานวันเกิดตัวเองด้วยการแอบเอาเหล้ามากินข้างสระแก้วเพื่อฉลองวันเกิดครับ เมื่อเมาแล้วเพื่อนๆ เลยท้ากันให้ว่ายน้ำในสระแก้วครับ สรุปเจ้าของวันเกิดจมน้ำตายครับ ไอ้ทรีกับพวกผมหลอนไปหลายวันครับ เดือดร้อนพี่วิ ที่ต้องคอยส่งน้องครับ พวกเราหลายคนแทบจะนอนห้องพี่วิเลยครับ พี่เค้ารำคาญรึเปล่าก็ไม่รู้
“เฮ้ย โย๊ป ทำไรวะมึง โหลดหนังโป๊หรอ” ไปบู้เพื่อนคณะผม มันเพิ่งขอย้ายมาอยู่หอเดียวกับพวกผมครับ
“เชี่ย กูคุยโทรศัพท์กับแฟนอยู่” ผมด่ามันครับ เชี่ยไม่รู้จักกาละเทศะ  ผมกลับไปคุยกับปลาต่อ ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วครับพวกผมกำลังทำรายงานกลุ่มที่ห้องพี่วิครับ
“เออ ปลา เราไปทำรายงานกับพวกไอ้เอ็มก่อนนะ” ผมบอกปลา เธอพูดต่อสักพักแล้วเราก็วางโทรศัพท์ครับ ผมยกโน๊ตบุ๊คแล้วเดินกลับเข้าห้องพี่วิครับ ในห้องตอนนี้มีผม ไอ้เอ็ม ไอ้ทรี แล้วก็ไอ้วิตซ์ ครับ พี่วิไม่อยู่สงสัยไปห้องพี่ลิตเติ้ลครับ พวกเราทำรายงานต่อสักพักก็มีเสียงเคาะห้องครับ เป็นไอ้คอร์ทเปิดประตูเข้ามา
“ทำอะไรกันอยู่อ่ะ” มันถาม
“ทำรายงานว่ะ” ไอ้ทรีตอบ
“ทำไมวันนี้มึงนอนดึกวะ” ผมถามเด็กเรียนครับ แอบแปลกใจ
“ทำเรียงความภาษาอังกฤษว่ะ” มันตอบ
“แล้วพี่วิไม่อยู่เหรอ” มันถามอีก
“อยู่ห้องพี่ลิตเติ้ลมั้ง มึงจะให้พี่กูช่วยตรวจเหรอ” ไอ้ทรีตอบ
“เออๆ งั้นไปละ” มันบอกแล้วก็ออกจากห้องไปเฉยๆ เลยครับ แต่พวกเรายุ่งๆ ก็ไม่ได้สงสัยอะไร
ประมาณตีหนึ่งพี่วิก็กลับมาครับ
“ทำไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ” พี่เขาบอก แล้วก็ขึ้นไปนอนบนเตียงครับ แต่จากนั้นอีกไม่นานพวกผมก็แยกย้ายกันไปนอนครับง่วงเกิน

   จากนั้นมาไม่นานครับเหมือนว่าเราจะไม่ได้รับบทเรียนจากเพื่อนที่เพิ่งจมน้ำเสียชีวิตไป พี่ด้อมครับปีสี่คณะศึกษาฯ เขาเลี้ยงเหล้าครับ แอบเอาเหล้าขึ้นมากินในหอครับเป็นลังเลย พี่เขาทำได้ครับเพราะเขาเป็นกรรมการหอ พวกเราซื้อข้าวแล้วก็กับแกล้มมากินที่ห้องคอมมอนชั้น 3 ครับ กินกันทุกคนครับพวกผม 5 คน ไอ้คอร์ทก็โดนชวนมากินด้วย อุบัติเหตุของพวกผมก็คือ ไอ้เอ็มแพ้เหล้าครับ ไอ้อ็มแพ้มากครับ ห้าทุ่มกว่าๆ แล้วด้วย พวกผมเริ่มเมาๆ ครับเลยทำอะไรไม่ถูก เลยช่วยกันแบกมันไปนอนบนม้านั่งอ่านหนังสือไอ้ทรีเลยไปตามพี่วิมาครับ
“เอ็ม เป็นอะไร” พี่วินั่งลงถามไอ้เอ็ม แต่ไม่รอคำตอบครับ พี่วิก้มหน้าแนบแก้มกับจมูกไอ้เอ็มเลยครับ
“อ้าปากสิ” พี่วิสั่งอีก พี่วิก้มหน้าจนเกือบจะชนปากไอ้เอ็มครับ พวกเราทุกคนมองตาค้างเลย
“ไหวมั้ยเอ็ม” พี่วิถามอีก ไอ้เอ็มตอบไห้แค่พยักหน้าครับ
“โย๊ปไปแต่งตัว แล้วเดี๋ยวมากับพี่ วิตซ์ไปเอากระเป๋าตังไอ้เอ็มมา...ด้อมแกลงไปเปิดประตูหอ เดี๋ยวนี้เลย” ทุกคนทำตามคำสั่งครับ แม้แต่พี่ด้อมที่อยู่ปีเดียวกับพี่วิ ผมไปแต่งตัวครับออกมาก็เห็นพี่วิเอาเยาเม็ดสีขาวๆ เล็กให้ไอ้เอ็มกิน ให้มันกินน้ำ แล้วพี่เขาก็แบกไอ้เอ็มเลยครับ แรงควายมาก ไอ้เอ็มตัวสูงกว่าพี่เขาอีก
“โย๊ปมาไปรอหน้าบันได” ผมเพิ่งเก็ทว่า พี่วิจะพาไอ้เอ็มไปโรงพยาบาลครับ ให้ผมไปช่วยแบกไอ้เอ็มเพราะผมตัวโตที่สุดในกลุ่ม
“คอยเปิดประตูให้ด้วยนะด้อม แล้วแกก็ไปเก็บเหล้าซะ” พี่วิสั่งกึ่งด่าครับ
“ไอ้ทรี กลับมาอย่าให้กูเห็นมึงเมานะ คราวนี้มึงแดกตีนกูแน่”
“ไม่มีใครมีรถเลย โย๊ปช่วยพี่แบกมันไปหน้ามอไหวมั้ย” พี่วิถามเสียงอ่อนลงแล้ว
“ไหวครับ” ผมตอบ
“ผมไปด้วยคน” ไอ้คอร์ทครับ เดินมาบอกจะไปด้วยแบบอารมณ์เสียมาครับ หน้ามันแดงๆ คงเมาเหมือนกัน พี่วิมองมันหัวจรดเท้าเลยครับ
“อือ มาสิ” พี่วิบอก
เรามาถึงหน้ามหาลัย แล้วก็เรียกแท็กซี่ครับ ไปโรงพยาบาลสนามจันทร์ พี่วิสั่งคนขับ เมื่อเรามาถึงพี่วิก็แบกไอ้เอ็มติดต่อแผนกฉุกเฉิน เอาบัตรประชาชนจากกระเป๋าตังค์ไอ้เอ็มยื่นให้ครับ สรุปไอ้เอ็มแพ้เหล้าครับ หมอฉีดยาแก้แพ้ แล้วก็ยาฆ่าเชื้อให้ครับ พี่วิเล่าให้ฟัง ตอนนี้หมอให้ไอ้เอ็มนอนพักในห้องดูอาการ 3 ชั่วโมงครับ พวกเราก็ไปนั่งรอที่นั่งหน้าหวอดครับ ไอ้คอร์ทนั่งข้างพี่วิ ผมนั่งฝั่งตรงข้ามเผื่อจะคุยกัน แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีใคร คุยกันครับ เที่ยงคืนจะตีหนึ่งละครับ ง่วง เมาด้วย ผมสลึมสลือครับ เห็นไอ้คอร์ทนั่งหลับเอาหัวซบไหล่พี่วิครับ พี่วิตื่นอยู่ แต่นั่งเฉย มองไปที่ไอ้คอร์ทบ่อยๆ สงสัยพี่เขาเมื่อย แต่ไม่อยากบ่น แล้วผมก็หลับไปครับ
   ผมตื่นขึ้นมาตอนตี 3 ครับ พี่วิปลุก ไอ้เอ็มออกมาแล้วครับ ได้ยามาชุดหนึ่งด้วย แล้วเราสี่คนก็นั่งแท็กซี่กลับครับ
“โย๊ปโทรหาไอ้ด้อมให้มันลงมาเปิดประตูสิ” พี่วิสั่งอารมณ์เสียอีกแล้วครับ พี่ด้อมรับครับแต่เสียงง่วงๆ แล้วจู่พี่วิก็แย่งโทรศัพท์ผมไปครับ พูดเสียงดังจนผมกลัว
“ลงมาเปิดประตู....เดี๋ยวนี้ ลงมา” เสียงแสบแก้วหูผมมากครับ
พี่วิทิปแท็กซี่ แล้วขอโทษเพราะทำเสียงดังครับ เราเข้าหอช่วยประคองไอ้เอ็มไปชั้น 3 พามันไปห้องนอน แล้วเราก็แยกย้ายกันครับ
“พี่วิ” เสียงไอ้คอร์ทครับ ผมเลยหันไปดู
“หืมม...”
“ผมนอนห้องพี่นะ ผมง่วง ขี้เกียจกลับไปห้อง” ห้องไอ้คอร์ทมันอยู่คนละชั้นกับพวกเราครับ พี่วิมองไอ้คอร์ทจากหัวจรดเท้าแบบเดิมอีก ครับ
“อืม......” แล้วสองคนนั้นก็หายไปในห้องพี่วิ
“ขอบคุณนะโย๊บ” เสียงพี่วิลอยมา
“ค้าบบบผม” จริงๆ พวกผมต้องขอบคุณพี่ต่างหากครับ ช่วยพวกเราไว้ ไม่งั้นคงสลด
ผมรู้สึกดีมากๆ ครับ ที่พี่วิให้ผมไปช่วย เหมือนผมได้ช่วยเพื่อน เหมือนเราผูกพันกันมากขั้น เหมือนผมได้ทำประโยชน์ เหมือนตัวเองมีความสามารถทำสิ่งที่ดีได้ ผมรู้สึกดีครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My Almond Crush....
« ตอบ #9 เมื่อ: 13-10-2013 14:02:14 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #10 เมื่อ13-10-2013 15:20:51 »

เพิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่านค่ะ ไม่ผิดหวังเลยค่ะ
เราอ่านไปลุ้นไปหนุกดี

เราว่าวิคู่กับโย๊บแน่เลยตอนแรกมีบอก
ประมาณว่ารู้สึกดีกับคนที่อยู่ห้องตรงข้าม
ช่ายป่าวหว่า^_^

ติดตามเป็นกำลังใจให้น๊า สู้ๆ อิอิ

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #11 เมื่อ13-10-2013 15:36:31 »

9 หนุ่มอักษรฯ

   เตียงผมเล็กครับ มาตรฐานของหอพักเราให้นักศึกษาใช้เตียงกว้าง 3 ฟุตครับ หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล ผมก็เห็นไอ้ทรีหลับเป็นตายครับ คงเมาหลับ ผมบอกคอร์ทเลือกเอาจะนอนไหน เพราะผมเอาฟูกอีกสองหลังวางไว้บนพื้นห้องครับ แล้วผมก็ไปล้างมือมาถอดคอนแทกเลนส์ครับ
“ผมติดผ้าห่มครับ” คอร์ทบอก ตอนนี้น้องเขานั่งอยู่ปลายเตียงผม
“งั้น นอนกับพี่ได้ป่าวล่ะ” ผมก็เป็นคนติดผ้าห่มครับ
“ครับๆ” น้องคอร์ทตอบ
เรานอนตะแคงครับ เพราะเตียง 3 ฟุตค่อนข้างแคบเกินไปสำหรับผู้ชาย 2 คน น้องนอนตะแคงหันหน้าออกจากผมครับ นั่นหมายความว่าน้องหันหลังมาหาผมครับ ผมอยากกอดน้องเขานะครับ แต่วูบหนึ่งภาพในอดีตย้อนกลับมาหาผม ภาพที่รูมเมทคนเก่าของผมเมาเหล้ามาแล้วลวนลามผมที่กำลังหลับ ผมถึงกับเวียนหัว หูอื้อเลยครับเมื่อคิดถึงภาพตอนนั้นผมเลยไม่กอดน้องเขา ไม่นานผมก็หลับครับ เพราะผมเหนื่อยมากแบกผู้ชายหนักกว่าแบกร๊อตไวเลอร์ที่บ้านผมอีก ผมไม่ได้สังเกตหรอกครับว่าคอร์ทหลับไปแล้วรึยัง

   ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าครับ น้องคอร์ทยังหลับอยู่ ผมเองวันนี้ก็ไม่มีเรียน (วันศุกร์) เลยเอามือขยี้ผมน้องเขาครับน้องเขาน่ารักมาก เผยอปากน้อยๆ ตอนนอน มีหนวดขึ้นหรอมแหรมเพราะไม่ได้โกน ต่างจากตอนที่ต้องแต่งหน้าเข้ม ใส่ชุดแฟนซีแล้วเต้นลีด ตอนนี้เขาดูบริสุทธิ์ ได้เดียงสา และเป็นสุขครับ ผมขยี้ผมน้องอีกแล้วดมกลิ่นของน้องจากไรผมครับ (กลิ่นของผู้ชายคลายความเครียดครับ ลองดมกลิ่นจากไรผมของพวกเขาดู) ผมหลับไปอีกตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกที่เที่ยงแล้วครับ น้องคอร์ทหายไปแล้ว  ไอ้ทรีก็หายไป มีโน๊ตจากไอ้ทรีว่าผมกลับบ้านนะครับพี่ พี่อยากกินอะไรโทรมาสั่งผม
ผมเลยลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวครับ พอแต่งตัวเสร็จโทรศัพท์ผมก็ดังครับ เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรเข้ามา
“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมตอบ
“ผมเองครับ พี่” ปลายสายทักมา ร่าเริงจังนะกูเพิ่งตื่น
“ผมตูนไง ครับพี่”
“อ่อ หรอ ทำไมล่ะ” ผมตอบกำลังจะออกจากห้องครับ
“วันนี้พี่ไม่มีเรียนใช่มั้ยครับ” ไอ้ตูนถาม รู้ได้ไง
“งั้นเย็นนี้พี่ไปกินข้าวกับผมนะครับ ผมเลิกเรียนจีนตอน 4 โมง” มันชวนผมไปกินข้าวครับ เดือนคณะชวนผมไปกินข้าวครับ
“ทำไมไม่ไปกับเพื่อนล่ะ” ผมพยายามปฏิเสธครับ ไม่อยากคบค้าสมาคมกับพวกเซเลปของคณะครับ บอกตรงๆ
“พอดีอยากกินไปถามไปอ่ะพี่ ผมเก็บภาษาจีน ประวัติฯ ปรัชญาอ่ะ....พี่เรียนเก็บประวัติฯ ปรัชญา ภาษาอังกฤษ และก็สังคมฯ ใช่มั้ยครับ มาแนะนำผมหน่อยเถอะ” มันมาเป็นชุดเลยครับ เสือกรู้อีก
“อืมๆ” ผมรับปากมันครับ ผมคงเนริ์ดเกินไปมั้ง เวลาใครมาพูดกับผมเรื่องเรียนนี่ผมเออออไปหมดเลย ครับ ก็หน้าตาหมาไม่แดกอ่ะครับ พอมีแต่หัวสมองที่พอเอาออกไปวัดไปวาได้ ผมลงไปกินข้าวเล็กน้อยๆ ครับ คนเยอะมาก แล้วก็กลับมานอนต่อที่ห้อง ว่างจริงไม่รู้จะทำอะไร เปิดรูปดูในโทรศัพท์ครับ ผมชอบรูปน้องคอร์ทนอนหลับในห้องทีวี น้องโดนแกล้งเอากระป๋องกาแฟมาใส่มือแทนรีโมทที่กำไว้  ผมยิ้มครับสักพักก็มีคนมาเคาะประตูครับ
“เมื่อคืนขอบคุณมากนะครับพี่” ไอ้เอ็มเข้ามาในชุดนักศึกษาครับ ผมพยายามไม่ทำหน้าผิดหวัง
“เออๆ ไม่เป็นไร ว่าแต่สบายดีแล้วนะ” ผมถามไม่อยากดุครับ ผมรู้ว่านอกจากน้องคอร์ท แล้วเอ็มเป็นอีกคนหนึ่งที่เรียบร้อยมาก
“ครับๆ” เอ็มตอบหน้าดำๆ เริ่มแดง
“ไอ้ทรีไปไหนอ่ะพี่” เอ็มถามอีก
“มันกลับบ้านอ่ะ” ผมตอบ
“ครับๆ งั้นผมไม่กวนพี่ละ” แล้วมันก็เดินกลับไปครับ หลังจากนั้นผมก็หลับครับ

ผมตื่นมาเกือบ 4 โมงเย็นครับ กำลังจะส่งเมสเสจไปบอกไอ้ตูนว่าผมจะไปเจอมันที่ตึก 50ปี แต่มันดันชิงโทรมาก่อนครับ
“4 โมง 15 พี่ลงมารอที่หน้าหอพี่นะครับ เดี๋ยวผมไปเจอ” ไอ้ตูนบอก รู้อีกว่ากูอยู่หอไหน
“ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปเจอที่ตึก 50” ผมบอก
“ผมออกจากตึก 50 มาละครับ...อีก 15 นาทีลงมารอนะครับ” แล้วมันก็วางไป
อีกเกือบๆ 15 นาทีครับผมก็หยิบหนังสือหลักสูตรคณะ แล้วก็ปากกาดินสอ (กะไปคุยกับมันเรื่องวิชาเลือกจริงๆ) แล้วก็เดินลงไปรอหน้าหอ ครับ ผมยกนาฬิกาดู 4.15 แล้วครับ มันยังไม่มาอีก (ผมค่อนข้างเป็นคนตรงเวลาครับ ส่วนใหญ่ผมชอบไปถึงก่อนเวลานัด) แล้วจู่ก็มีรถเก๋งสีขาวแล่นมาจอดหน้าผม ประตูของมันเปิดออกครับ
“พี่ขึ้นมาสิครับ” ไอ้ตูนชะโงกหน้าออกมาพูดครับ ผมไม่อยากขึ้นครับ
“เฮ้ย...จะไปกินที่ไหนอ่ะ เอารถไปทำไม” ผมถามอยากลับขึ้นห้องละครับ
“เอ้า ไปบิ๊กซีนะพี่ เอารถไปนี่แหละ....น่าพี่ขึ้นมาเร็วๆ รถคันหลังเขาด่าแล้วครับ” เสือกเร่งอีก ผมเลยกระโดดขึ้นรถไปครับ
“ไม่กิน เคเอฟซี ไม่กินแม็ค ไม่กินเอ็มเค” ผมบอกตั้งแต่เราก้าวเข้าประตูห้างเลยครับ
“เรื่องมากขนาดนี้กินที่ ฟู๊ด คอร์ท เลยมั้ยครับ” มันประชด
“ก็ดีอยากกินหอยหอด” ผมบอกครับไม่ได้ประชด มันจับแขนผมเบาๆ แล้วดึงผมมาร้านพิซซ่าครับ
“กินอะไรดีครับ พิซซ่าพัพ” ผมบอก
“พี่พิซซ่าพัพมันสั่งคู่กับหน้าอื่นไม่ได้นะ” มันท้วงเสียดัง ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษา เห็นแนวกล้าม กับ ขนหน้าอก พอดีกับที่พนักงานสาวเดินมา
“จะกินอ่ะ มันไม่เลี่ยน” ผมยืนยันเสียงแข็งครับ
“งั้นเอาพิซซ่าพัพที่หนึ่ง สปาเก็ตตีพัดขี้เมา ปีกไก่ทอด ขนมปังกระเทียม แล้วก็โค๊กสองที่ครับ” มันสั่งพนักงานที่ยิ้มเล็กยิ้มน้อย
“กินหมดไง” ผมตะลึง มันสั่งเยอะมาก
“โธ่พี่ ร่างกายผมต้องการโปรตีนนะ” แล้วมันก็ถกแขนเสื้อเบ่งกล้ามให้ผมดู ขาวดีนะครับผิวข้างในมัน ตัดกับขนสีดำ เอิ่มมมมม
สักพักเมื่ออาหารมาเสริ์ฟ เราก็กินกันไปติวกันไปอย่างที่มันพูดจริงๆ ครับ มันตั้งใจฟังที่ผมพูดนะส่วนใหญ่ มองมาที่ผมตลอด สักพักเมื่อเราอิ่ม ติวก็เสร็จแล้ว มันก็พาผมมาส่งหน้าหอครับ
“บาย....ครับพี่” มันบอกตอนผมกำลังปลดเข็มขัดนิรภัย
“อืมๆ ไม่เป็นไรผมตอบ” แล้วมันก็เอามามาจับผมของผมที่ยาวประบ่ารั้งไปไว้หลังท้ายทอย
“ผมว่าพี่นะจะตัดผมสั้นนะครับ ใส่เชริ์ตแทนเสื้อยืด แล้วก็ใส่กางเกงขาเดฟ” ผมอึ้งตั้งแต่มันกล้าจับปอยผมของผมแล้วครับ
“เพื่ออะไร” ผมบอกปัดทำเป็นไม่สนใจ
“พี่นิสัยน่ารักดีนะครับ ตอนแรกคิดว่าพี่เป็นพวกชอบกวนตีน หาเรื่องรุ่นน้อง” มันเพ้อต่อ
“พี่เม็มเบอร์ผมด้วยนะครับ แล้วผมจะโทรมาหา” มันบอกตอนผมกำลังจะปิดประตูรถครับ
ผมใช้ตรรกะแล้วสรุปได้ง่ายๆ ครับว่ามันบ้า คนกว่าทั้งคณะพยายามจะอยู่ห่างจากปลาทูเน่าอย่างผม   แต่มันเดือนคณะเสือกมาวอแวด้วย มันคงบ้าแน่ครับ ก็แค่นั้น

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #12 เมื่อ13-10-2013 19:36:33 »

Palmpalm ขอบคุณมากนะครับ

"วิ"

10 โรคระบาด และยารักษา

   เหตุอาเพศน่าจะยังไม่พ้นไปจากพวกผมครับ มันเริ่มจากไอ้บู้ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ด้วยครับ ไอ้เชี่ยนี่มันเอาโรคอีสุกอีใสมาฝากด้วยครับ อีสุกอีใสโรคที่ดูไม่น่ากลัวเท่าไร แต่ให้มาเป็นตอนหนุ่มเนี่ยนะครับ ถ้าจะไม่เวริ์ค ตอนนี้ไอ้วิตซ์ครับ ติดโรคไอ้บู้ไปด้วยอีกคน ผมกลัวครับ
“พี่วิครับ ผมกับไอ้เอ็มมานอนห้องพี่สักพักได้มั้ยครับ” ผมถาม พี่เค้าคงด่าในใจว่าไอ้เวรปกติพวกมึงก็เข้าออกห้องกูเป็นว่าเล่นอยู่
แล้ว
“ไอ้บู้เอาอีสุกอีใสมาปล่อยครับ ตอนนี้ไอ้วิตซ์ก็ติดแล้ว” ผมเล่าต่อ รักเพื่อนมาก ณ จุดนี้
“เฮ้ยจริงอ่ะ กูก็ไม่เคยเป็น” ไอ้ทรีร่วมวงด้วย
“เอาดิ มานอนได้ไม่เห็นเป็นไรเลย” พี่วิตอบ
“ขอบคุณมากพี่”
“เออๆ” แล้วพี่วิก็กลับไปอ่าน หนังสือของเขาต่อ หลังจากนั้นผมก็ชวนไอ้เอ็มขนย้ายหมอน ผ้าปู  ผ้าห่มมาห้องพี่วิครับ ตามเดิมเราสองคนได้นอนพื้น
“พี่วิเคยเป็นอีสุกอีกใสป่าวครับ” ผมถามตอนนี้พวกเราใกล้จะนอนแล้ว
“ไม่เคย....”
“เวรละพี่ พวกเราจะซวยกันมั้ย” ผมเครียดครับ
“คิดมาก ไม่เป็นไรหรอก”
   ถึงพี่วิจะบอกอย่างนั้น ถึงพวกผมจะแยกห้องนอนกับไอ้วิตซ์ ไอ้บู้ แต่เราก็ยังต้องไปเรียนด้วยกันอยู่ดี ท้ายที่สุดผ่านไปได้แค่ 4 วัน ไอ้ทรีติดอีสุกอีใสครับ แต่มันเป็นไม่หนัก คราวนี้พี่วิก็ต้องดูแลน้องเขาเต็มที่ละครับ คราวนี้ไอ้ทรีเลยอ้อนที่บ้านว่าอยากกลับไปแอดมิทที่โรงพยาบาลแถวบ้าน วันศุกร์พ่อ (ลุงพี่วิ) มันเลยมารับกลับครับ ไอ้เอ็มก็กลับบ้านด้วยครับ แม่งป๊อดทิ้งผม เหลือผมกับพี่วิครับ เย็นนี้เราเลยได้ไปกินข้าวกันสองคน แต่ก่อนออกไปกินข้าวเย็นผมอาบน้ำแล้วรู้สึกว่าตัวร้อนแปลกๆ เหมือนเป็นไข้ ท่าทางผมจะไม่รอดละครับ 
“พี่ผมว่า ผมกลับไปนอนห้องผมดีกว่า ผมเกรงใจ ผมน่าจะเป็นอีสุกอีใสครับ ผมไม่อยากให้พี่ติด” ผมบอกตอนเรากำลังกินก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ร้านดัง
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ทำไมล่ะ ไม่สบายเหรอไง” พี่เขาบอกเหมือนผมเป็นไอ้ทรีเลยครับ
“ครับผมตัวร้อนนิดหน่อย”
“แล้วแต่นะ แต่พี่ไม่เป็นไรหรอก พี่มียาแก้ไขอยู่ที่ห้อง ขากลับมากินด้วยแล้วกัน” พี่วิยังทำเฉยๆ ครับ
สุดท้ายแล้วผมเห็นสภาพไอ้สองคนในห้องผมผมก็ทนไม่ไหวครับ เลยขอพี่วินอนด้วย พี่เค้าก็ไม่ว่าอะไร แถมชวนผมดูหนังอีกเรื่อง Day of The Dead ครับ หนังซอมบี้ เหมือนจะน่ากลัวแต่ก็ขำครับเพราะพระเอกเป็นคนกินมังสวิรัติติดเชื้อซอมบี้แล้วกลายร่างครับ แต่ก็ยังรักนางเอกครับ พอหนังจบพวกเราก็นอน แต่ผมยังไม่ง่วงครับเพราะปกตินอนดึก
“พี่วิถามอะไรหน่อยสิครับ” ผมชวนคุย พี่เขาน่าจะยังไม่หลับ
“หืม....ว่าไงล่ะ” ยังไม่หลับจริงๆ ครับ
“พี่กับไอ้ทรีหน้าไม่เหมือนกันเลยครับ เป็นพี่น้องกันจรองเหรอ” ผมถามสิ่งที่สงสัยมานานครับ เพราะไอ้ทรีอ้วนขาว ดูยังไงก็จีน ส่วนพี่วิผิวสีน้ำตาล ผมหยักศก หน้าคม
“อืม ปู่พี่กับย่าของไอ้ทรีเป็นพี่น้องกัน.....พ่อของไอ้ทรีแต่งงานกับคนเชื้อจีน มันเลยกลายเป็นลูกครึ่ง” พี่วิเริ่มเล่าครับ
“ปู่พี่แต่งงานกับย่าที่เป็นคนจีน พ่อพี่เลยเป็นลูกครึ่ง แล้วพ่อก็มาแต่งงานกับแม่ที่มีเชื้อไทย พี่เลยมีเลือดจีนแค่เสี้ยวเดียว....แต่น้องสาวพี่ขาวนะ ตัวขาวเหมือนไอ้ทรีเลย”
จู่ๆ โทรศัพท์ผมก็ดังครับ ตอนแรกผมคิดว่าปลาโทรมา แต่กลายเป็นไอ้ทรีครับ
“ว่าไวมึง” ผมทัก
“ไอ้ทรีพี่” หันไปบอกพี่วิ แม่งตายตายฉิบไอ้นี่
“กูจะบอกว่า พี่วิเคยเป็นอีสุกอีใสแล้ว ตอน 2 ขวบ ย่าพี่วิบอกกู ตอนนั้นเขายังเด็กเลยจำไม่ได้ แต่เป็นแล้ว 55” อ่อ หลังจากนั้นผมกับพี่วิก็สลับกันด่าไอ้ทรีคนละคำสองคำครับว่าไม่สบายแต่เสือกไม่นอน แล้วค่อยวางครับ เราหัวเราะกันที่แกล้งไอ้ที แต่ผมคึกยิ่งว่านั้นครับ
“พี่วิ” ผมเรียก
“อะไร” พี่วิลุกขึ้นมาตอบครับ ผมได้ทีเลยเอาหมอนกับผ้าห่มปาใส่พี่วิครับ แล้วเขย่าๆ ฮ่าๆๆ
“พี่ไม่กลัวใช่มั้ยครับ ถ้าพี่ติดไอ้ด้วยผมได้ไม่ต้องเกรงใจแล้ว 5555” ผมขำ
“ไอ้คxxxย” พี่วิไม่ด่าเปล่าครับ แถมลูกถีบมาที่ท้องน้อยผม หงายหลังเลยครับ จุกแต่ยังขำ
“มือหนัก ตีนหนัก เหมือนที่ไอ้ทรีว่าเลย”
“มึงบ้าป่ะไอ้นี่ อยู่ๆ ก็หาเรื่องโดนถีบ”
“โดนตีนพี่ผมหายเลยอ่ะ ยาวิเศษ” ผมล้อหลังจากนั้นเราก็นอนครับ
สุดท้ายแล้วผมก็เป็นแค่ไข้หวัดตามฤดูกาลครับ รอด พี่วิแน่นอนว่าปลอดภัย ส่วนไอ้ทรีกลับมาแล้ว ไอ้วิตซ์กับไอ้บู้ก็เริ่มหายดี แต่ผมได้ข่าวครับว่าไอ้คอร์ดไม่สบายมากครับเป็นไข้หวัดเหมือนกัน มันเลยไปนอนห้องพี่ด้อม พี่ด้อมเขาช่วยดูแลครับมันบอก แล้วผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะผมเห็นมันเมื่อวาน มันดีขึ้นมากเหมือนกันครับ

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #13 เมื่อ13-10-2013 21:59:25 »

11 อะไรเดิมๆ อีกนานไหม และคำสัญญา

   พอผมจะเริ่มคิดถึงน้องคอร์ท ผมก็ได้เจอน้องเขาเช้าวันพฤหัสฯ อีกสัปดาห์ถัดมาครับ จะว่าไปมันก็ไม่เช้าหรอกครับ สายละ 11 โมงเกือบเที่ยงละ ผมเพิ่งเรียนวิชาการเมืองภาคประชาสังคมเสร็จครับ น้องเขาอยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศ นั่งจับกีตาร์อยู่ที่ห้องคอมมอนชั้น 3
“ไง คอร์ท” ผมทัก ยิ้มครับดีใจ แอบชอบลีดเดอร์ก็แบบนี้ละครับ เซเลปหาตัวยาก
“ครับ....” น้องยิ้มรับ เหมือนจะดีใจวูบหนึ่ง แต่ผมคงตาฟาดครับ หล่อเทพอย่างน้องคงไม่มีวันชอบผมหรอก
“เล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ” ผมปลื้มมากครับ เพราะแฟนเก่าผมก็เล่นกีตาร์ครับ เขาชอบเล่นกีตาร์ให้ผมร้องเพลง แล้วก็นอนตักเขาไปด้วย โรแมนติกสุดครับ
“พี่เพิ่งรู้อีกแล้วเหรอครับ.....” น้องตอบน้ำเสียงเศร้าๆ
“เอ่อ....โทษที” ผมหน้าแตกครับ
“งั้นพี่ลองฟังดูครับ เพลงนี้ผมจะฝึกเล่นไปประกวดที่คณะฯ” น้องบอกครับ แล้วน้องเขาก็ค่อยจับคอร์ด นิ้วเรียวของเขา ดีดปัดสาย เพราะรู้สึกว่ามันเพราะที่สุดครับเพลง อีกนานไหม  ศิลปิน Mild ครับ

“อะไร ๆ เดิม ๆ ที่มีอยู่    อะไร ๆ เดิม ๆ ที่คุ้นตา
อะไร ๆ ที่เราเคยเสาะหา    อะไร ๆ ที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนไป
อะไร ๆ เดิม ๆ ที่เคยมี    อะไร ๆ เดิม ๆ ที่เข้าใจ
อะไร ๆ เดิม ๆ จากไปไหน    อะไร ที่ทำให้เราไม่รักกัน

 อย่าบอกฉันว่ามันหายไป   อย่าบอกว่าใจ เปลี่ยนไปไม่รักกัน
ไม่อยากรู้เรื่องเธอและฉันที่เคยมีกัน   วันนั้นแค่ฝันไป. . .

 และฉันจะทำอย่างไรต่อจากนี้    วันเวลาดีดี ที่มีหมดความหมาย
 และฉันจะทนได้นานสักแค่ไหน    กับช่วงเวลาที่มันเดียวดายไม่มีเธอ
และฉันต้องรออีกนานสักเพียงไหน    ใจที่มันละลายจนเริ่มชินกับความเหงา
และฉันต้องทน ต้องทรมานกับความปวดร้าว    กับเรื่องของเราอีกนานเท่าไร. . .

พรุ่งนี้จะเป็นยังไงถ้าพบเธอ   พรุ่งนี้จะเป็นยังไงถ้าคุยกัน 
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไงเมื่อเรานั้น   ไม่มีซึ่งกันและกันเหมือนเคยๆ
พรุ่งนี้จะเป็นยังไงถ้าเราจบ   พรุ่งนี้จะเป็นยังไงเมื่อชิดใกล้
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรเธอไปไหน   และเธอจะไปกับใครที่ไม่ใช่ฉัน

เพราะว่าชั้นยังต้องการเธอ   และตัวชั้นยังไม่แน่ใจ ว่าตัวชั้นจะทำได้
ถ้าลืมเธอไปเรื่องของเรา....โว้ว”

ผมซึ้งมากครับ แต่ไม่คิดเข้าข้างตัวเองครับว่า เพลงนี้น้องจะร้องให้ผม ความหมายเหมือนเป็นอดีตมากเลยครับ แล้วน้องเขาก็ร้องอีกรอบผมก็ตั้งใจฟังเหมือนเดิมครับ แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตอนน้องคอร์ทร้องท่อน “พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรถ้าพบเจอ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงถ้าคุยกัน  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไงเมื่อเรานั้น ไม่มีซึ่งกันและกันเหมือนเคยๆ” น้ำตาของน้องเขาค่อยๆ ไหลออกมาจากหางตาข้างขวาครับ ผมตกใจมากครับแต่ไม่กล้าทำอะไร น้องยังไม่หยุดร้องเพลงด้วย อะไรจะอินขนาดนั้นผมคิด แต่ผมหวั่นไหวกับน้ำตาของน้องเขามาก และเหมือนน้องเขาจะรู้ครับ เขาเล่นจนจบเพลงแล้วเอามือปาดน้ำตาตัวเองแบบไม่ใส่ใจ
“เป็นไงบ้างครับพี่...”
“.............” ผมพูดไม่ออกครับ
“ดีมากครับ เพราะมาก” ผมหาคำพูดตัวเองเจอในที่สุด
“งั้นพี่จะไปดูผมเล่นป่าครับ ที่คณะผม ตึกดาว” น้องถาม
“อืม....พี่ไป” ผมตอบทันที
“พี่ไปแน่นะครับ” น้องถามอีก
“โอเค พี่สัญญา พี่ต้องไปให้กำลังใจคอร์ทอยู่แล้ว”ผมตอบ
“ครับผม ขอบคุณมากครับ”
“พี่วิครับผมไปเรียนก่อนนะครับ ผมมีเรียนบ่าย” แล้วน้องคอร์ทก็ลุกเดินออกไปอย่างสุภาพ ไม่หันหลังกลับมา แสงสว่างจากหน้าต่างที่ไหล่หลังน้องไปนั้นทำให้น้องดูเศร้า และเท่ห์อย่างบรรยายไม่ถูก ผมอยากจะถามว่าน้องกินข้าวรึยัง แต่ก็ไม่ได้ถามครับ เพราะผมกำลังตกอยู่ในภวังค์ของความหล่อ

tegomon

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #14 เมื่อ13-10-2013 22:03:12 »

จิ้ม จิ้ม ไว้ก่อน

แปะ แปะ

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #15 เมื่อ13-10-2013 22:05:12 »

12 All Hell Breaks Loose when the Truth comes out (นรกแตกเมื่อความจริงปรากฏ)
ยืมคำพี่วิมาครับ


เรื่องมีอยู่ว่า ไอ้คอร์ทหายตัวไปครับ หายไปเลย 2 สัปดาห์ พวกผมติดต่อไม่ได้เลยครับ ห้องพี่ด้อม ห้องพี่วิ ห้องมันเองไม่อยู่เลยครับ โทรไปก็ไม่รับสายครับ แต่ผมก็ไม่ค่อยเป็นห่วงครับ คอร์ทมันเป็นเด็กดีครับ ดีกว่าผมมาก มันคงหนักทั้งกิจกรรม หนักทั้งเรียนครับช่วงนี้ จนกระทั่งเย็นวันพุธผมขี่จักรยานเหล่สาวแถวคณะอักษรฯ ครับ ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่ง จากด้านข้างนึกว่าเป็นไอ้คอร์ทครับ แต่คนนี้มันดูไม่ใช่ครับ ท่าทางมันเพลย์บอยสุดๆ ระเบิดหู เดินจูงมือมากับผู้หญิงที่สวยสุดๆ ครับ เห็นอย่างนั้นผมก็คิดว่าคงไม่ใช่ ปกติไอ้คอร์ทต้องติ๋มๆ ผมเลยขี่จักรยานกลับหอครับ จะไปกินข้าวกับพวกไอ้เอ็ม

สองวันหลังจากนั้นผมก็รู้ว่าผมไม่ได้จำคนผิดครับไอ้คอร์ทกลับมาที่หอ มันเปลี่ยนไปมากครับไม่เหลือคราบเด็กเรียนนิสัยที่ที่ผมรู้จักมาตั้งแต่สมัยมัธยมเลยครับ มันระเบิดหูทั้งสองข้าง เจาะหางคิ้ว ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่มันจะช็อกรึเปล่า
“เฮ้ย....คอร์ท มึงไปทำไรมาวะ” ผมทักมันที่ชั้นล่างครับ
“กูแต่งตัวตามกระแสหน่อย น่ะ” กู ไอ้คอร์ทไม่เคยใช้คำเรียกแทนตัวเองว่า กู ไม่ถูกละครับอย่างนี้
“เฮ้ย มึงเป็นอะไรป่าววะ” ผมถามเริ่มเป็นห่วง มันปัดมือแบบไม่ค่อยสนใจ
“มึงมายืนทำอะไร อยู่ข้างล่างนี่วะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง
“กูกำลังจะย้ายหอ ไปอยู่หอนอก” มันบอก ผมอึ้งครับ อยู่ๆ ก็ย้าย แต่ผมก็ไม่ซักไซร้ครับ
“กูช่วยขนของป่าว” ผมเสนอตัว
“ไม่ต้องหรอกว่ะ กูมีของไม่กี่อย่าง” มันตอบแบบไม่ใส่ใจอีกแล้วครับ
“เออๆ งั้นเดี๋ยวกูไปตามพวกไอ้เอ็มลงมากินข้าวก่อน” ผมบอกมันว่าจะไปตามไอ้เอ็มแต่จริงผมเอาข่าวที่มันจะย้ายหอไปบอกเพื่อนทุกคนครับ ไปบอกไอ้ทรีกับพี่วิด้วย พี่วิหน้าซีดเลยครับ
“คอร์ท บอกรึเปล่าว่ามันจะย้ายทำไม” พี่วิเป็นคนถามครับ
“ป่าวพี่ มันไม่ได้บอก”
“ลงไปเจอมันมั้ยล่ะ มันกำลังไปขนของออกจากห้อง”
“เอ่อ...ไม่รู้สิ” พี่วิลังเล แต่ลุกขึ้นยืนแล้ว
“เอ่อ แต่พี่จะไปกินข้าวกับพวกผมป่าว” ผมชวน ถึงรู้ว่าไอ้ทรีคงชวนแล้ว
“อืม....”
แล้วพวกเราสี่คนก็ลงมาข้างล่างพร้อมกันครับ มีผม พี่วิ ไอ้ทรี ไอ้เอ็ม ไอ้ห่าวิตซ์ไปติวครับ เซคชั่นมันจะมีควิสวันพรุ่งนี้ พอลงมาบันไดชั้น 2 ครับ พี่วิที่เดินนำหน้าก็หยุด อึ้งครับ ไอ้ของเดินผ่านหน้าพี่เขาไป มองหน้าครับ แต่ไม่ทักเลย ไอ้ทรีโมโหครับบอกไอ้คอร์ทไม่ให้เกียรติพี่มัน แต่พี่วิปรามน้องชายไว้ครับ
พอลงมาถึงชั้นล่างครับ พี่วิให้พวกผมขี่จักรยานไปก่อนเลยครับ บอกมีธุระ แล้วจะตามไปไอ้ทรีไม่ยอมจนพี่วิต้องขึ้นเสียงว่า กูโตแล้วไอ้สัตxx กูจัดการปัญหาตัวเองได้ พวกผมเลยขี่จักรยานออกมาครับ แต่ผมสกิดพวกมันให้จอดแล้วแอบดูตรงมุมตึกครับ
   6 โมงกว่าแล้วครับฟ้าเริ่มมืด ผมเห็นพี่วิยืนกอดอกคุยกับไปคอร์ทอยู่ตรงลานจอดจักรยานฝั่งริมครับ มืดแล้วคนก็น้อย แต่พวกผมอยู่ไกลครับเลยไม่ค่อยได้ยินว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันครับ จนกระทั่งพี่วิเริ่มเสียงดังครับ
“....มันไม่ได้เป็นแบบที่คอร์ทคิดเสมอไปหรอกนะ.....” ไม่ได้ตะโกนแต่พี่วิเพิ่มเสียงครับ เหมือนโมโห
“.....เหมือน...ทุกคนแหละ......โอกาส” ผมได้ยินไม่ชัดครับ
“....สัตว์แม่งวิปริศ” คำนี้ผมได้ยินชัดครับ จับไม่อยู่แล้วครับไอ้ทรีวิ่งเข้าไปแล้วครับ พวกผมจับไอ้ทรีทัน พอหันไปมองก็เห็นพี่ด้าย รูมเมทพี่ด้อม มาห้ามมวยพี่วิกับไอ้คอร์ทครับ
“เหี้xxx คอร์ท มึงด่าไรพี่กู” ไอ้ทรีตะโกนเลยครับ ไอ้คอร์ทเดินกลับไปที่รถขนของแล้วรถก็แล่นออกไป พี่ด้ายยืนกอดพี่วิไว้ครับ ยืนกอดกันนิ่งอยู่ที่เดิมเลย พวกผมเลยค่อยๆ เดินเข้าไปหาครับ พอมองใกล้   ๆ พี่วิตัวสั่นไม่หยุดเลยครับ สั่นเหมือนคนจะยืนไม่ได้ พี่ด้ายน้ำตาไหลเลยครับ
“พี่มันทำไรพี่” ไอ้ทรีถาม
“กูบอกให้มึงไปกินข้าวไง” พี่วิหันมาตวาดเสียงสั่น
“ไปดิ”
“เอ็มพาเพื่อนไปกินข้าวไป ไปเถอะพี่ขอร้อง” พี่ด้ายพูดครับ ร้องไห้แล้ว
“เดี๋ยวพี่พาวินั่งมอร์เตอร์ไซด์ไปกินข้าวเอง” พี่ด้ายบอกต่อ ยังร้องไห้ไม่หยุด พวกผมไม่รู้จะทำอย่างไรเลยลากไอ้ทรีไปกินข้าวครับ แต่พอถึงมุมตึก ผมบอกมันสองคนว่าผมจะแอบตามพี่เขาไป จะแอบฟังว่าเกิดอะไรขึ้นครับ ผมก็อยากรู้มาก

   พอไอ้ทรีกับไอ้เอ็มไปผมก็กลับขึ้นหอครับในห้องพี่วิเปิดไฟ มีเสียงสะอื้นสองคนครับ พี่วิร้องไห้แล้ว กำลังคุยกับพี่ด้าย สิ่งที่ผมได้ยินทำให้ผมช็อกที่สุดครับ เพราะผมก็มีส่วนผิดด้วย เรื่องก้คือว่าช่วงที่ผมไม่สบายไปนอนห้องพี่วิ ไอ้คอร์ทก็ไม่สบายหนักแต่ไปนอนห้องพี่ด้อมเพราะเกรงใจห้องพี่วิเต็ม พี่ด้ายเป็นรูมเมทพี่ด้อมครับ จึงรู้เรื่องทุกอย่าง ตอนคอร์ทมันไม่สบายหนักพอกินยาเยอะเลยถูพี่ด้อมลวนลามครับ เห็นว่าถึงขั้นนั้นเลย ผมโกรธแทนเพื่อนมากครับ ดทษตัวเองด้วยที่ไม่ดูแลเพื่อน สองคนในห้องคุยกันไปสักพักพี่วิหยุดสะอื้นครับ แล้วบอกให้พี่ได้ไปพักเพราะพี่ได้ต้องตื่นเช้าไปสอนเด็ก
“ไม่ต้องคิดมากนะวิ” พี่ด้ายพูดแล้วเปิดประตูออกมา ผมรีบวิ่งไปแอบในห้องน้ำครับ พอเสียงเท้าพี่ได้หายไปแล้วพี่วิก็เปิดประตูออกมากครับ พี่วิวิ่งเลยครับ ผมตามไปครับ พี่วิไปนั่งตัวแข็งเป็นหินบนม้าหินหน้าหอครับ นิ่งเป็นหินจริงๆ สักพักพี่ด้อมตัวต้นเหตุก็มากลับเดินกลับเข้าหอมากับเพื่อน 3 คน ผมเก็ททันทีครับ พี่วิมาดักหาเรื่องไอ้พี่ด้อม ผมจะห้ามก็ไม่ทันครับ พี่วิวิ่งไปกระชากคอเสื้อคนที่ตัวสูงกว่าสองช่วงหัว ตัวใหญ่หว่าประมาณสองเท่า ไม่กลัวเลยครับ เพื่อนพี่ด้อมหันมามองตกใจครับ แต่พอเห็นสายตาพี่วิ ทุกคนก็เดินหนีหลบไปครับ สายตานั้นไร้ความรู้สึก เย็นชาเหมือนสายตาคนตายครับ
“มึงมาคุยกับกูหลังหอ ด้อม” พี่วิสั่ง ไอ้พี่ด้อมปัดคอเสื้อเหมือนไม่ใส่ใจครับ สมควรครับมวยคนละรุ่นกันเลยสองคนนั้น
“หรือมึงอยากให้เรื่องเหี้ยๆ ของมึงหลุดไปเข้าหูน้องๆ กู” ทีนี้ครับ ไอ้พี่ด้อมหน้าซีดเลยครับ แล้วยอมเดินตามไปแต่โดยดี

พอถึงหลังหอพี่วิหันมาคุยกับไอ้พี่ด้อมครับ
“มึงลวนลามน้องคอร์ทใช่มั้ย” ไอ้พี่ด้อมยิ้มครับ
“กูถามว่ามึงลวนลามไอ้คอร์ทใช่มั้ย” พี่วิขึ้นเสียงดังมากครับ ผมว่าคนทั้งหอคนได้ยิน อันที่จริงคนในรัศมี 500 เมตรคงได้ยินหมด พี่ด้อมหน้าซีดครับ คงกล้วคนรู้
“กูรู้ว่ามึงก็อยากได้ไอ้คอร์ทเป็นผัวจนตัวสั่นเหมือนกัน....” ไอ้พี่ด้อมสวนครับ ผมก็ตกใจที่ได้รู้ครับว่าพี่วิก็ชอบไอ้คอร์ท
“แต่มึงไม่มีปัญญาแบบกู สัตxx มึงไม่ต้องมาปากดี อีตุ๊ดเหี้xx”
“รูมเมทมึงคนก่อน มึงก็แอบดูดควxx เขาใช่มั้ยล่ะ เขาถึงย้ายหอไปคนเขารู้กันทั้งมหาลัย” ยิ่งสวนยิ่งแรงครับ ไอ้เหี้xx นี่โคตรเลว
“หึหึ...” พี่วิร้องไห้แล้วหัวเราะเหมือนคนบ้าครับ วูบเดียวเท่านั้นครับ โครม กว่าผมจะรู้ว่าที่มาของเสียงคืออะไรผมก็เห็นร่างใหญ่นอนหงายหลังอยู่บนพื้นครับ พี่วิยืนอยู่ข้างๆ หัวไอ้พี่ด้อมเท้าข้างหนึ่งกดคอหอยไอ้พี่ด้อมไว้กับพื้น คำพูดต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของพี่วิที่ผมรู้จักครับ
“หึหึ...มึงไม่รู้หรอกไอ้ด้อม ว่ากูเป็นใคร” เสียงเหมือนเสียงผีครับ เสียงต่ำมาก เย็นมาก
“มึงไม่เคยรู้หรอกไอ้ด้อม ว่ากูเคยฆ่าใครมาบ้าง มึงจะเอาอะไร ไอ้เหี้xx ลูกปืน มีด รถคว่ำ....กูจัดให้มึงได้หมดแหละ” ผมสยองมากครับกับประโยคนี้
“รึกูจะปล่อยให้มึงอยู่ แต่ไปบอกให้ทั้งโลกรู้ว่ามึงเคยทำเหี้xx อะไร” พี่วิยิ้มน่ากลัวมากครับ
“หึหึ...มึงลองคิดดูนะ มึงเรียนครู จบไปต้องเป็นครูได้อย่างเดียว ไม่มีโรงเรียนไหนที่รับคนจับเด็กเย็xx ไปเป็นครูสอนหนังสือหรอก มึงเลือกเอาละกันนะ...รูปร่างอย่างมึงถ้าไม่ได้เป็นครู ก็คงติดคุก หรือไม่ก็เป็นจับกังไปชั่วชีวิตนั่นแหละ” พี่วิขู่จนไอ้พี่ด้อมเงียบเลยครับ
“มึงฟังกูให้ดีๆ นะ กูห้ามมึงเข้าใกล้ไอ้คอร์ทอีก ห้ามให้ไอ้คอร์ทเห็นหน้ามึงอีก ถ้ามึงเห็นมันเดินมามึงก็ต้องเดินหนีไป มึงเข้าใจกูมั้ย” พี่วิคงเหยียบคอไอ้พี่ด้อมหนักขึ้นครับ มันส่งเสียงอู้อี้ใหญ่
“กูถามว่ามึงเข้าใจมั้ย....หะ”
“อือ..อือ” ไอ้พี่ด้อมตอบเสียงอู้อี้ครับคงหายใจไม่ออก
“ดี....แล้วมึงอย่าคิดจะไม่รักษาสัญญานะ มึงอย่าคิดว่ามึงจะพ้นตากูไปได้ น้องกูอยู่คณะมึงหลายคนนะ” แล้วพี่วิก็ปล่อยไอ้พี่ด้อมครับ พี่ด้อมค่อยคลานลุกขึ้น
“มึงจำกูไว้ให้ดีดีนะ...” พี่วิพูดเสียงเย็นส่งท้ายแล้วเดินเหยียบบนมือของไอ้พี่ด้อมครับ ผมตกใจมาก
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก” เสียงเหมือนควายถูกเชือดครับ คนละแวกนี้คงตื่นหมด พี่วิเดินกลับมาโดนไม่เหลียวหลังครับ เหมือนเสือที่เพิ่งขย้ำวัวมา ผมรีบหนีเลยครับ ไม่รู้ว่าคนที่กำลังเดินมานั้นเป็นใครอีกต่อไป และมันได้ผลครับพี่ด้อมเหมือนหายไปจากชีวิตพวกผมเลย จะเห็นมันบ้างก็นานๆ ที

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #16 เมื่อ15-10-2013 15:53:23 »

13 (1)  Win-Win Situation (การสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย) ตอนที่ 13 ขอแบ่งเป็น 2 ตอนนะครับ เพราะยาวเกินไป

   ผมนอนเฉยๆ มาหลายวัน ไม่อยากลุกไปไหน เวียนหัวจะอ้วก ทุกครั้งเวลามีเรื่องกับคนที่ผมรักผมจะเวียนหัวแล้วอ้วกครับ  ครั้งก่อนตอนเกิดเรื่องกับรูมเมทก็เป็น ไม่ชอบเลย วันนี้ผมลุกขึ้นมาตอนสายๆ เพราะวันพุธเย็นผมมีเรียนวรรณกรรมเอกเชคสเปียร์ของอาจารย์ภัคร อาจารย์ดีมากครับ เอาใจใส่ ทุ่มเทสอนจนดึกครับทั้งที่อาจารย์อายุมากแล้วแถมร่างกายก็ไม่แข็งแรง ผมรักเคารพอาจารย์มาก เวลาเห็นอาจารย์เดินผมจะอาสาพาอาจารย์ขึ้นจักรยานไปส่ง (ตอนจักรยานยังไม่พัง) กลัวอาจารย์โดนหมาที่ยามในมหาลัยเลี้ยงไว้กัดครับ คืนนี้เราเลิกกันสองทุ่มเลยครับสนุกมาก เรื่อง อะ มิด ซัมเมอร์ ไนท์ ดรีม ของ เชคสเปียร์ มีผู้หญิงคนหนึ่งได้ชายที่ตนรักมาครอง (แบบชั่วคราว จริงๆ แล้วผู้ชายรักคนอื่น) เพราะใช้คุณไสยเวทมนตร์ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเสียใจและเปรียบเทียบว่า เหมือนตนเองเก็บเพชรขึ้นมาได้ เพชรเป็นของเธอ แต่ก็ไม่ใช่ของเธอ....เพราะจริงๆ และเพชรไม่ใช่ของเธอไงครับ ถึงเธอเก็บได้แต่ก็ไม่กล้าใส่ไปอวดใคร เพราะกล้วว่าวันหนึ่งเจ้าของตัวจริงจะมาเจอ แล้วตัวเองจะเสียทุกอย่างไป ผมกลับห้องกับลิตเติ้ลครับ เรียนด้วยกัน ผมส่งเพื่อนเข้าห้องแล้วก็กลับมานอนเลย ไม่หิวเลยครับ
“พี่กินไรยัง” ทรีถาม
“กินแล้ว” ผมโกหก
“ครับๆ” มันตอบเหมือนพยายามเชื่อ ช่วงนี้มันไม่กล้าแหย่ผมครับ คงดูออกว่าผมยังเฮริ์ทอยู่ เพื่อนๆ มันก็ไม่ค่อยแวะมาครับ ดีแล้วความเงียบคือสิ่งที่ผมต้องการตอนนี้ ผมอาบน้ำแล้วแอบกินยานอนหลับครับ
“อ่านหนังสือไปเหอะทรี ไม่ต้องปิดไฟก็ได้” ผมบอกน้องก่อนที่จะเข้าสู่ภวังค์ต่อครับ คิดๆ ดู อาจารย์ภัครน่าจะสอนยันเช้าเลย จะได้ไม่ต้องมานอนฟุ้งซ่าน

วันพฤหัสผมตื่นตอนบ่ายครับ มีเรียนวิชาการเมืองภาคประชาสังคมตอนเช้าแต่ผมไม่ตื่นครับ ผมว่าจะไปเช่าหนังมาดู กำลังจะไปอาบน้ำ แต่ก็มีโทรศัพท์เข้ามา ไอ้ตูนครับ
“ว่าไง” ผมรับ
“พี่ไม่เห็นโทรหาผมเลยครับไม่เจอกันตั้งนานละ” ร่าเริงจังนะมึง น่าถีบ
“ไม่มีอะไรจะคุย” ผมตอบตรงๆ ครับ
“555 แบบนี้ผมชอบนะ” มันหัวเราะชอบใจ ไอ้นี่คงบ้า
“.....................”
“พรุ่งนี้เย็นไปกินข้าวกันนะพี่” มันชวน
“อืม” เซ็งๆ เลยรับปากมัน
“4 โมงตรงนะ” มันบอกเวลา
“เลิกเรียน 4 โมงนิ” ผมทักจำเวลาเรียนวันศุกร์มันได้
“ผมจะแอบออกมาก่อน” มันบอก
“ไม่ต้องเลย...........”
“แค่นี้นะครับ” แล้วมันก็ว่าง ช่างแม่งมัน สอบตกก็เรื่องของมัน

วันต่อมาผมตื่นเช้า ไม่ได้กินยานอนหลับ ไม่อยากมึนตอนไปเที่ยว ไอ้ทรีขอกลับบ้านครับ แม่งกลับทุกสัปดาห์แหละลูกติดแม่
“พี่วิอยู่ได้นะ กลับด้วยกันป่าว” มันถามกลายเป็นพี่ผมละ
“เออ อยู่ได้” ผมตอบ
“กินแกงส้มมะรุมมั้ย ของชอบพี่นิ”
“อืมจุดธูปแล้วเรียกชื่อพี่แล้วกัน” ผมประชด
“เฮ้ย.....พี่เป็นลางว่ะ ถ้าวันอื่นผมจะขำ” แล้ววันนี้วันโลกแตกไงวะ
“กูล้อเล่น เอามาฝากด้วยละกัน” ต้องขึ้นมึงขึ้นกูน้องถึงจะฟัง
“ครับๆ” แล้วมันก็ไป ผมดูหนังเล่น อ่าน เบรคกิ้ง ดอว์น (Breaking Dawn) ของ Mayer ไปเรื่อยเปื่อย
พอเที่ยงอยากจะไปเช่าหนังแต่อะไรไม่รู้ดลใจ ผมเลยเดินต่อไปจนถึงตลาดเวลครับ แล้วไปที่ร้านตัดผมชื่อ ภาพ เพราะเจ้าของชื่อพี่ภาพ ผมหลงมาตัดโดยบ้งเอิญตอนปี 2 ครับ หลังจากนั้นมาผมก็เป็นลูกค้าประจำร้านพี่เขา
“น้องเอาออกเยอะนะ...ไม่เสียดายเหรอ” ช่างถามผมครับ
“....ไม่หรอกมั้งพี่” ผมไม่รู้จะตอบอะไร
“ตัดไปเหอะพี่ ผมเชื่อมือพี่อยู่แล้ว”
จากผมดัดที่ยาวประบ่าตามต้นฉบับเด็กอาร์ตของมหาลัย ตอนนี้ไม่เหลือแล้วครับสั้นไปประมาณ 10 cm ตรงปลายยังหยิกอยู่ แต่โคนผมเริ่มตรงแล้วครับ ช่างเซ็ตทรงออกมาแล้วเหมือนคบไฟเลย ฮ่าๆ ผมออกมาแล้วเดินไปตลาดนัดเวลที่อยู่ติดกับร้านครับแล้วซื้อกางเกงขาเดฟเอว 29 มาตัวหนึ่ง

ประมาณบ่าย 2 ไอ้ตูนเมสเสจมาบอกครับว่าให้ผมไปเจอหน้าศูนย์หนังสือใต้ตึก 50 ปีครับ คราวนี้มาแปลกนึกว่าจะป๋า เอาเก๋งมารับกู แต่ผมไม่ใส่ใจ
“อืม” ผมส่งเมสเสจไปบอกมัน จากนั้นผมอาบน้ำอีกรอบครับ ล้างเศษผมที่ติดตามตัว แล้วแต่งตัวใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟครั้งแรกในชีวิตเพราะผมคิดว่าตัวเองก้นใหญ่ ไม่มั่นใจครับ ใส่เสื้อเชริ์ตนักศึกษาที่เพื่อนบริจาคมาให้ผมใส่ถือพานงานไหว้ครู (เสื้อนักศึกษาตัวเองผมทิ้งหมดแล้ว เพราะแต่งชุดไปเวทเรียน) ปลดกระทุมเม็ดบนอย่างที่เห็นไอ้ตูนทำ ใส่รองเท้าหนังทรงสูงสีน้ำตาล แล้วก่อนออกก็ไม่ลืมหยิบแว่นตากันแดดเพลย์บอยใส่ไป

บ่าย 3 .55 ผมเริ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วครับ มองซ้ายมองขวาหาไอ้ตูนครับ ผมไม่ชอบอยู่ในที่โล่งของคณะนานๆ กลัวอดีตเพื่อนแทงข้างหลัง ฮ่าๆ
“พี่......” เสียงโคตรดัง ไอ้ห่า
“พี่จริงป่ะ” เล่นไม่เลิก
“ไม่ใช่มั้ง” ผมสวนครับ
“ใส่แว่นดำมาทำไมครับ เดทกับผมแล้วอายคนหรอ” คนน้อยหรอกมึงวันนี้ถึงได้กล้าพูด
“ไม่อาย แต่กลัวตูนอาย” ผมถอดแว่นดำมาเสียบที่หน้าอกเลยครับ
“วันนี้ไม่มีเรียน แต่งชุดนักศึกษาทำไม เอาใจผมเหรอ” เสือกถามกูอีก อย่ามารู้ทัน
“พี่ไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเรื่องงานวิจัยมา” ผมเนียนทำเสียงเคร่งครับ
“อ่อๆ อกเนียนดีนะ” สัตxx แซวกูอีก
“ไปๆ พี่เดี๋ยวช้า” แล้วมันก็จับแขนผมไปลานจอดรถหน้าคณะครับ
“เฮ้ย จะไปกินไหนวะ....” ผมโวยวาย ไอ้เชี่ยตูนขับออกถนนใหญ่มานครชัยศรีแล้วครับ
“เอ่าน่า ว่างนิ บ่นจัง” เรื่องของมึง อย่างไรกูไม่เซอร์ไพรส์หรอก สัตxx

สรุปมันพาผมมาเซ็นต์ปิ่นครับ (เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า) ไอ้ห่านิพ่อมึงเป็นเจ้าของปตท. รึไง ผลาญน้ำมันเล่นซะ
“จะกินไรครับ” มันถาม
“ไม่เคเอฟซี ไม่แม็ค ไม่เอ็มเค” ผมตอบเหมือนเดิม
“งั้น ฟูจิ ละกัน” จากนั้นเราก็เข้าไปที่ร้านฟูจิกันครับ ผมสั่งข้าวหน้าปลาดิบ มันสั่งข้าวหน้าปลาไหล แดกแต่ของแพง
“ทำไมพี่ไม่โทรหาผม” มันถามตอนผมกับลังซดมิโซะ แต่น้ำเสียงมันฟังดูจริงจังกว่าทางโทรศัพท์
“โทรไป ก็ไม่รู้จะคุยอะไร” ผมเลยตอบแบบเป็นทางการ แล้วยัดปลาแซลมอนเข้าปาก
“...................”
“ไม่หวงผมเหรอ ผมหายไปตั้ง 2 อาทิตย์” มันถามอีก
“หวงทำไม เป็นอะไรกัน” ผมตอบครับคราวนี้ไม่สนใจจะถนอมน้ำใจแล้วครับ แม่งมันจะไล่ให้ผมขึ้นรถตู้กลับเองมั้ยวะนี่
“เหรอ.....” แล้วมันก็เงียบครับ
“ตามผมหน่อยก็ดีนะ” ยังหยอดอีก
“โตละ...ตามทำไม” ผมก็ปากดีครับ เดี๋ยวคงได้นั่งรถตู้กลับหอเอง
“55555 ดีนะ แบบนี้ผมชอบ” เสือกหัวเราะ แม่งบ้า
“ผู้หญิงชอบโทรตามผมน่ะ บางทีก็น่ารำคาญ แต่พี่ไม่โทรเลยผมชอบตรงนี้แหละ” วันหลังกูแดกขี้มึงก็คงบอกว่าชอบตรงนี้แหละ
“อืม...................” แล้วเราก็กินต่อจนเสร็จ ตอนแรกมันจะเลี้ยงป๋าตลอดอ่ะ แต่ผมไม่ยอมครับ ไม่ชอบเป็นบุญคุณ ให้ใครมาทวงทีหลัง
“ขอแวะซื้อขอแป๊บนึงได้ป่าว ไหนๆ มาแล้ว” ผมทำเสียงอ่อนบอกไอ้ตูน
“เอาสิครับ” แล้วมันก็ผายมือสองข้างออก ประมาณว่าตามสบาย โธ่ โอเว่อร์ แอคติ้ง
“รอหน้าร้าน 3 นาที”แล้วผมก็เดินเข้าร้านเสื้อผ้า ZEN กับ UFO ครับ ซื้อเสื้อเชริ์ตขาวสามตัวครับ แต่ละตัวตรงชายเสื้อจะมีลายเก๋ๆ ครับ ตัวหนึ่งเป็นลายเลื่อมคล้ายเกล็ดงู อีกตัวเป็นลายเมฆ ส่วนตัวสุดท้ายขาวล้วนแต่ตรงกลางหลังมีสกรีนรูปสัญลักษณ์หยินหยางของลัทธิเต๋าครับ ผมว่าผมจะเปลี่ยนมาเป็นแนวนี้ และไม่ลืมซื้อกางเกงยีนส์ขาเดฟเพิ่มอีก 2 ตัว รูดบัตรเดบิตปรื๊ดๆ ครับ ถ้าท่านแม่รู้คงสั่งเก็บ ฮ่าๆๆ
“ไป....” แล้วเราก็กลับนครปฐมครับ

   8.39 เลยจากตลาดนัดเวลออกไปทางถนนใหญ่ อพาร์ตเมนท์สูงสีขาว มีสระน้ำในตัว พ่อไอ้ตูนเช่าห้องให้มันอยู่ ว่าแต่พากูมาห้องมึงทำไม
“ห้องน่าอยู่มั้ย” มันถาม อวดห้องครับ
“อืม กว้างดีนะ ดูสะอาดด้วย” ผมบอก
“ขอบใจนะอุตส่าห์พาไปเซนต์ปิ่นมา คราวหน้าพี่เลี้ยงข้าว เป็นค่าน้ำมันแล้วกัน” ผมบอก อยากกลับไปเช่าหนังดูละครับ อยู่กับผู้ชายสองต่อสองนานๆ แล้วครั่นเนื้อครั่นตัว
“อ่ะนะ...แสดงว่าต้องมีครั้งหน้าของเราแน่เลย 555 แต่พี่ไม่ต้องเลี้ยงหรอกผมพอใจ” มันพูดหยอด
“ไม่ได้ ไม่เอา ต้อง win-win situation ไง สมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ จะลองเก็บขาสังคมวิทยาไม่ใช่เหรอ จำคอนเซ็ปนี้ไว้ด้วย” ผมแกล้งเนริ์ดครับ
“งั้นพี่ช่วยสมประโยชน์ให้ผมวันนี้ไม่ได้หรอครับ” มันลุกมายืนมองหน้าผม เอามือจับไหล่ผม ใกล้กันเกินงามละ
“จะให้พี่ติวอะไรล่ะครับ” ผมถาม ไฟผมติดละครับ สัตxx เอ้ยยั่วกู
“นั่นสิ....หึหึ” เราจูบกันแล้วครับ เรียกว่าดูดเลยจะดีกว่า พยามยามแย่งน้ำลายของอีกฝ่ายหนึ่ง ฮ่าๆ ผมปลดกระดุมเสื้อมัน แล้วถอดออก ผิวขาวจริงครับ กล้ามเป็นกล้าม มีขนหน้าอกสีดำ สาหร่าย แหวะ มันก็ถอดเสื้อผมเหมือนกันครับ
“สีผิวเหมือนน้ำผึ้งเลย เนียนดีนะ” ผมเกลียดเวลาผู้ชายพูดกับผมแบบนี้ครับ ไม่ชอบถูกชมแบบตัวเองเป็นผู้หญิง แต่ผมยุ่งอยู่กับกล้ามหน้าห้องของมันอยู่จนลืมที่จะเถียงครับ มันเองก็คงเครื่องติด ถอดกางเกงออกเองเลยครับ ไอ้นั้นมันตุงจนมองผ่านกางเกงในสีขาวได้เลย มันเห็นผมนิ่งมั้งครับเลยได้ทีไซร้คอ ลงมาจนถึงหัวนมครับ ผมสะท้านไปทั้งตัวเลย โดนลิ้นมันไปไม่นานก็เข่าอ่อนครับ เอนตัวเหมือนจะล้ม มันเลยปล่อยผมล้มบนเตียง ผมหอบเลยครับตอนหลุดออกมาจากมันได้ มันไม่หยุดครับ มันถอดกางเกงผม กางเกงใน ผมอายมากครับที่ต้องแก้ผ้าให้มันดู ไอ้นั่นผมแข็งมันก็เห็น แล้วมันก็ถอดกางเกงในมันออก ของมันใหญ่กว่าของผมอีก
“ผมโชคดีจัง มีเด็กเทพมาติวให้ถึงบนเตียง”
“หึหึ....” ผมหัวเราะครับ ไอ้ห่ายังมีหน้ามาแซวกู มันคร่อมผมละครับ แล้วดูดนมผมเหมือนเดิม แรงขึ้นกว่าเดิม ผมครางเลยครับ กลั้นไม่อยู่แล้ว
“ผมทำนะครับ” เอาเหอะ ล่อกูซะเคลิ้มขนาดนี้แล้ว มันหยิบถุงยางจากลิ้นชักหัวนอนมาสวมครับ เร็วมาก บีบเจลมาทาที่ก้นผม ยัดนิ้วเข้ามา
“อ่ะ...” ผมคราง
“หึหึ...” ทีนี้ตามันหัวเราะบ้างแล้วครับ มันค่อยๆ ยัดของมันเข้ามา ผมเจ็บๆ ไม่ได้มีอะไรกับใครมาเป็นปีแล้ว โดนเดือดคณะปัดฝุ่นเลย
มันใส่เสร็จก็เริ่มขยับครับ มันดูดนมให้ผมไปด้วยจงผมแข็งอีกครับ แล้วผมก็ชักไปด้วย ครั้งแรกไม่ผาดโผนอะไรครับ มันเองก็คงอั้นมานาน ผมแตกไปพร้อมกับมันครับ น้ำผมพุ่งไปเปื้อนแก้มมันเลยครับ ผมเลยเอื้อมหยิบทิชชู่มาเช็ดให้มัน มันยังไม่ยอมเอาออกจากตัวผมครับ
“ควxx เล็กแต่พุ่งแรงจังนะครับ” มันไม่ยั้งคำพูดกับผมแล้วครับ ผมอายครับไม่รู้จะตอบมันยังไง
“จะไปล้างป่ะ” ผมถามมันเสียงอ่อนๆ
“ไม่ล่ะครับ ผมชอบตอนวิสกปรก” สัตxx ไม่เรียกกูพี่แล้วหรอ อยู่ๆ มันก็ชักของมันออกมาครับยังไม่หดเลย มันเหี้xxมากครับมันถอดถุง ยางแล้วเทน้ำเชื้อมันบนตัวผม แล้วละเลงครับ
“แบบนี้ไง” มันบอกยิ้มชั่วร้าย แต่โทรศัพท์ผมดังก่อนผมเลยรับครับ
“ว่า” ไอ้ทรีโทรมาครับ
“พี่อยู่ไหนไอ้โย๊ปบอกว่าห้องล็อกปิดไฟ” สัตxx กูเป็นนักโทษ
“พี่มาห้องเพื่อน”
“ห้องพี่ลิตเติ้ลไม่อยู่ พี่ด้ายก็ไม่เห็น” เชี่ยโย๊ปทำหน้าที่ดีเกินไปป่ะ
“กูอยู่หอนอก มาทำวิจัยกับเพื่อน แค่นี้นะ” ผมวางเลยครับ หันไปไอ้ตูนนั่งรอผม อยู่ครับยิ้มแบบชั่วร้าย ควxx มันยังไม่หดเลยครับ
“หอพี่ปิด 5 ทุ่มนะ” ผมบอกมัน แล้วหันมองนาฬิกา
“วิก็ไม่ต้องกลับสิครับ” มันยิ้ม
“จะให้ผมอยู่ทำไมครับ” ผมเล่นด้วย เลยไม่เรียกตัวเองว่าพี่
“น่านสินะ.......วิอมควxx ให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ” ผมไม่ตอบแต่แสยะยิ้มเข้าไปหามันครับ ใช่ว่าผมจะไม่เคย ของแบบนี้ หึหึ
“ผมอาจทำไม่เก่งนะครับ” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายจากปากผม
คืนนั้นผมเสร็จไปหกรอยครับ หมดแรงมาก น้ำแห้งเลย ไอ้ตูนสงเสร็จประมาณห้าน้ำครับ เตียงมัน      ผ้าห่ม ผ้าปู หมอน มีแต่คราบน้ำ คราบเจล แล้วก็คราบเลือดผม สกปรกสมใจมันเลยครับ หน้ามันหน้าผมมีแต่คราบน้ำ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเมื่อคืนผมทำอะไรลงไป เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ตีห้าสี่ครับ มันคงไม่ตื่นง่ายๆ แต่กลิ่นตัวมันเริ่มมาติดบนตัวผมแล้วครับ ผมเลยล้างหน้าแต่งตัวด้วยชุดเมื่อวานแล้วกลับหอครับ ก่อนออกไปผมเขียนโน๊ตทิ้งไว้บนเตียงว่า ขอบคุณสำหรับคืนที่ผ่านมาครับ คุณเดือนอักษรฯ ผมรู้แล้วทำไมถึงมีสาวๆ โทรหาคุณทุกวัน


   พี่รหัสผมเคยบอกผมไว้ว่า ใบไม้ใบเดียวร่วงหล่น ณ ลานทรงพล มันดังกึกก้องไปทั่วคณะอักษรศาสตร์ เรื่องจริงครับ สองสามสัปดาห์ต่อจากนั้น ผมก็ไปมีอะไรกับไอ้ตูนอีกหลายครั้งครับ จนคนในคณะเริ่มลือ ข่าวเร็วมากกก แต่ผมเลยจุดที่จะสนใจขี้ปากคนมานานมากละ วันพุธนี้ผมเรียนวิชาความรู้บกัอำนาจเสร็จตอน 11 โมงครับ แต่นัดเพื่อนในกลุ่มอีก 4 คนหญิงล้วนครับมากินข้าวกันที่โรงอาหาร จะคุยเรื่องงานวิจัยกันด้วย พอเจอเพื่อนแล้วตอนผมกำลังไปซื้อข้าวก็ดันเจอไอ้ตูนจนได้  เสือกเรียนคณะเดียวกันอีก มันยักคิ้วแล้วผิวปากใส่ผมครับ ผมกลอกตาไปมาทำหน้าเด็กเนริ์ดใส่มันกลับ แล้วมันก็โบกมือเดินไปพร้อมๆ กับกลุ่มเพื่อนมัน ไอ้นี่
“ไอ้วิ มึงตัดผมแล้วแต่งตัวลุคนี้ดูเข้ากับมึงมากเลยว่ะ ไม่เหมือนลุคเซอร์มึง” ไอ้อินบอกผมเมื่อเจอครับ
“สัตxx เป็นเพื่อนกูมากว่าสามปี เพิ่งมาบอกกูวันนี้” ผมเลยย้อนครับ
“อีราหู” ไอ้จิตรครับ เพื่อนสนิทผมอีกคน พอนั่งปุ๊บต้องด่ากูปั๊บ
“หอย มึงมาเรียกกูราหูทำไม กูรู้กูดำ”
“ไม่ได้ราหูเพราะดำ แต่ราหูอมจันทร์” ผมเข้าใจความหมายทันที มันกำลังบอกว่าผมอมเดือนคณะครับ
“สัตxx กูไม่ได้อมทั้งต้วโวย กูอมแค่บางส่วน” ผมไม่ยอมครับ
“ส่วนไหน.......” เพื่อนๆ ผมเริ่มกรี๊ดกร๊าดกันละ
“กูอมอวัยวะของผู้ชาย ขึ้นต้นด้วย ค.ควาย ลงท้ายด้วย ย.ยักษ์ ตรงกลางมีขน” ผมของขึ้นครับ เล่นไม่อายโต๊ะอื่นแล้วครับ เพื่อนๆ ผมกรี๊ดเลย
“อะไร อะไร คืออวัยวะอะไร” ผมขำครับแต่ไม่บอกไป เราคุยงานกันเสร็จประมาณเที่ยงเศษก็แยกย้ายกันกลับครับ วันนี้วันพุธด้วยผมจะเดินตลาดนัดสักหน่อย

ผมกำลังเลือกรองเท้า อยากได้รองเท้าใหม่ พอดีมีทรงที่ถูกใจเลยเข้ามาลองใส่ดู ที่ร้านนี้ประมาณ 5 นาทีแล้ว ระหว่างกำลังเลือกรองเท้าก็มีเรื่องไม่คาดฝันครับ
“พี่มีเบอร์รึเปล่าครับ” เด็กม.ปลายโรงเรียนสาธิตครับ ตัวสูงๆ สูงกว่าผมอีก หัวปิงปอง หน้าผากมีสิวนิดหน่อยเดินมาถามครับ ผมอึ้งเลยครับ หน้ากูเหมือนคนขายรองเท้าขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“ไม่มีครับ” ผมบอก น้องเขาเลยเดินไปครับ ผมกำลังจะจ่ายตังแล้วครับน้องเขาก็เดินเข้ามาใหม่
“พี่ครับ ผมขอเบอร์โทรศัพท์พี่นะครับ” มาตรงครับคราวนี้ หน้าไอ้หัวปิงปองแดงมากครับคราวนี้
“มานี่ก่อน ขวางหน้าร้านเขา” ผมบอกแล้วพาน้องมาตรงที่โล่งครับ
“อ่ะเบอร์พี่ 08 4xxx xxxx” น้องเขาก็เม็มเบอร์ครับ
“แล้วคราวหลังอย่าขอเบอร์ผู้ชายในร้านขายรองเท้าล่ะ....เดี๋ยวจะได้เบอร์ 41” ผมจับไหล่น้องเตือนครับ ไอ้หัวปิงปองหน้าแดงอีกครับ เดี๋ยวเลือดก็เข้าไปคลั่งในหัวสิวหรอก ผมเลยตบเกรียนมันแบบเอ็นดูเบาๆ ต้องเขย่งเท้าเพราะแม่งตัวสูงกว่าผมเด็กมัธยมเดี๋ยวนี้ตัวควายจริง
“ผมไปก่อนนะครับ” มันยิ้มแล้วก็โบกมือ ผมเดินกลับหอต่อครับ หางตาเห็นมันวิ่งไปหาเพื่อนผู้หญิงสามคน ผู้ชายสองคน
“เขาให้กูละ....เย่” เด็กนะเด็ก


   เย็นวันศุกร์ผมนัดไอ้ตูนที่อพาร์ตเมนท์มันตอนสองทุ่มครึ่งครับ มันติดงานกลุ่มแต่ประมาณ 4 โมงเย็นผมก็อาบน้ำแล้วครับ กำลังแต่งตัวก็มีเบอร์ไม่รู้จักโทรเข้ามาครับ
“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมรับสาย
“พี่ครับ ผมท็อบนะครับ พี่จำผมได้มั้ยอ่ะ ผมขอเบอร์พี่จากตลาดนัดในมอวันพุธไง”
“อ่อๆ จำได้ ชื่อท็อบใช่ป่าว” ผมนึกได้ครับไอ้หัวปิงปอง
“ครับๆ พี่ชื่ออะไรอ่ะครับ วันนั้นผมก็ไม่ได้ถาม” มันทำเสียงอ้อนครับ
“วิ ครับ” ผมตอบ
“พี่วิเหรอ” มันย้ำ เราคุยรายละเอียดส่วนตัวกันสักพัก ไอ้ท็อบมันเรียนม.5 โรงเรียนสาธิตมหาลัยผมครับ ภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนครปฐม แต่คนละอำเภอครับ
“พี่อีก 15 นาทีพี่ว่างมั้ย 5 โมงเศษๆ ก็ได้” มันเริ่มเข้าประเด็น
“พี่มาที่สนามบาสโรงเรียนผมหน่อยสิ”
“ไม่ไปไม่ชอบเล่นกีฬา” ผมบอกตัด
“โธ่ ไม่ได้มาเล่น ให้มาเชียรืผม ผมกำลังจะแข่งบาส” มันบอก
“แข่งบาสเหรอ งั้นไม่ไปอ่ะคนเยอะ เสียงดัง” ผมบอกเหมือนเดิมครับ
“...ไรวะพี่ เอ้างั้นแข่งเสร็จผมพาพี่ไปเลี้ยงน้ำแข็งใสที่อาร์ต อเวนิวเลย” มันงัดไม้ตายครับ
“เออๆ ไปๆ สักพักแล้วกัน” ผมไม่ได้เห็นแก่กินนะแต่กลัวมันร้องไห้
“เย่” แล้วมันก็วางสาย
   ผมไปประมาณ 5.20 ครับขี้เกียจอยู่นาน สนามบาสมันเดินห่างจากหอผมไปนิดเดียวครับ คนมุงเยอะครับข้างสนามส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน ชุดกระโปรงน้ำเงิน กางเกงน้ำเงิน นักบาสในสนามใส่เสื้อแขนกุดกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินขาวครับ ผมไม่เห็นไอ้ท็อบหรอกครับ ไปยืนหลบมุมตรงท้ายๆ สนาม
“พี่.....” ไอ้ท็อบโบกมือวิ่งเข้ามาครับ พาดผ้าขนหนูผืนเล็กกับไหล่อีกข้าง มันสูงผอมนะครับ แต่ไม่ล่ำ นักบาสคนอื่นสูงเหมือนกันแต่กล้ามเนื้อจะเยอะกว่า แต่ผมชอบแขนไอ้ท็อบครับ แขนเรียวๆ มีกล้ามเล็ก ดูดีครับ ต่ำลงมาเจอขนจักกะแร้มันดำปี๋ครับ เสือกโบกมือ สาหร่าย แหวะ 
“อ้าว ไม่เล่นไง” ผมถาม
“เบรคกันอยู่พี่ ไม่ดูเลยไง” เวร ย้อนผมอีก
“อือๆ” ผมตอบ ขี้เกียจเถียง
“พี่รอจนผมแข่งเสร็จนะ อีกครึ่งเกม” มันบอก
“เออๆ” ไหนๆ ก็มาแล้ว
ผมรอมันจนเล่นเสร็จครับ มันคงไม่ป๊อบมากมั้งครับไม่มีกองเชียร์ตามออกมา มันเดินมาหาผมที่ตอนนี้นั่งหลบมุมอยู่ริมอัฒจันทร์
“พี่....มารอผมล้างตัวก่อนแป๊บหนึ่ง” แล้วมันก็พาผมไปนั่งหน้าตึกเรียน มันเดินไปห้องน้ำสัก 3 นาทีได้ ล้างตัวก่อนออกมาจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ มันออกมาพร้อมกับเป้สะพายบ่า ยังใส่เสื้อแขนกุดเล่นบาสเหมือนเดิม
“เร็วมาก....สาบานว่าล้างตัวแล้ว” ผมแกล้งแขวะมันครับ แต่กลิ่นตัวมันเป็นกลิ่นเหงื่อจางๆ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมครับ ยังอยู่ในระดับที่รับได้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร
“มาครับ” มันยื่นมือมาจะดึงผมลุกจากม้านั่ง มือมันเรียวสวยรับกับแขวเรียวของมันมากคร ผมไม่กล้าจับมือมัน กลัวหลงมัน ฮ่าๆๆ
“เฮ่ย....อาร์ตฯ อยู่แค่นี้เอง” มันแก้เก้อด้วยการเอามือไปเกาหัวเกรียน โชว์จักกะแร้ กับสาหร่ายอีก แหวะ ผมกับมันเดินออกไปนิดเดียว ข้ามถนนก็เป็นอาร์ต อเวนิวแล้วครับ

   อาร์ต อเวนิว หรือที่ผมเรียกประชดว่า อาร์ต อเวจี เป็นเวิ้งหลังตึกแถวเล็กๆ มีร้านอาหารประมาณ 10 ร้าน ร้านการ์ตูนลุง เพราะเจ้าของเป็นคนแก่อัธยาศัยดี คนเลยเรียกว่า ลุง ผมมาใช้บริการประจำ ด้านหน้ามีร้านชุดนักศึกษามุมทอง ร้านเครื่องเขียน ร้านก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ แล้วก็ห้องซ้อมดนตรีครับ
“พี่อยากกินอะไรครับ” รู้สึกว่าคำนี้จะมีคนถามผมเยอะเกินไปละ
“ยาคูลท์โป้ปั่น” ผมบอกหนึ่งในสองเมนูเด็ดประจำตัวผม อีกหนึ่งเมนูคือ โกโก้ภูเขาไฟระเบิด แต่ละชื่อ
“อ่าว...น้ำแข็งไสอ่ะ ผมจะเลี้ยงไง” มันทวง
“ไม่ต้องเลี้ยง ตอนนี้เกิดอยากกินยาคูลท์โป้อ่ะ” ผมบอก
“ครับๆ” น่าหนักใจเนอะ ผมนั่งดูดยาคูลท์โป้ ไปมองดูมันกินน้ำแข็งไสไป มันกินหมดเร็วมาก
“พี่ครับ ผมหิวข้าวอ่ะ พี่กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย” มันชวนแต่ผมไม่อยากกิน เพราะต้องไปต่อที่ห้องของไอ้ตูนอีก กลัวจุกครับเวลาโดนกระแทก
“พี่กินลูกชิ้นปิ้งนะ เพิ่งกินข้าวเย็นก่อนไปสนามบาส” ผมโกหก รู้สึกตัวว่าโกหกเก่งขึ้นทุกวัน
“ครับๆ” แล้วมันก็ซื้อผัดกระเพรามากิน ผมก็นั่งมองดูไปเรื่อยๆ รู้สึกเพลินมาก ชอบมองมิ้วมือ กับแขนมันเคลื่อนไหว
“มองไรครับ” ผมสะดุ้งครับ อยู่ๆ ก็ถาม
“เปล๊า” เสียงสูงเลยครับ โดนจับได้ว่าแอบมอง
“จะมองก็มองครับ ผมไม่ว่าอะไรหรอก ผมน่ารักใช่มั้ยล่ะ 555” มันพูดแล้วก็แซวผม
“ถุ๊ยยย” ขอแสดงสันดานกุ๊ยครับ ฮ่าๆๆ มันอ้าปากค้างเลย
“555555” คราวนี้เป็นตาผมขำบ้างแล้ว มันเลยกลับไปกินข้าวต่อจนหมด
“กลับหอไปอาบน้ำได้แล้วไป เริ่มเน่าละ” ผมบอกมัน มันมองหน้าหาเรื่องเลยครับ
“ไม่เหม็น” มันเถียงแล้วทำจมูกฟุดฟิด
“ไม่เชื่อพี่ลองชะโงกหน้ามาใกล้ๆ สิ” ผมหลงเชื่อมันจนได้ แล้วจู่ๆ เร็วมากครับมันชูแขนสองข้างขึ้นเหนือหัว
“อี๋ สัตxx” ขนจักกะแร้ สาหร่าย แทบจะทิ่มตาผมเลย แหวะ
“55555” มันขำทับตกเก้าอี้เลย ผมเลยตบเกรียนมันคืนครับ
“โอ๊ย ตีแรงจัง” มันร้อง
“สม”
“พี่ไปส่งผมขึ้นรถสองแถวที่ถนนสนามจันทร์ทีนะ” ทีนี้เสือกอ้อน
“อืมๆ” ผมเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว ผมรอจนมันขึ้นรถครับ
“บายครับพี่วิ เลิฟๆ” โถกูนึกว่าพระเอกหนังค่าย GTH ผมกรอกตาใส่มัน พอเห็นรถมันวิ่งลับสายตาแล้วผมก็ข้ามถนนเดินไปตลาดเวล ไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมกำลังไปหาไอ้ตูน

   

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #17 เมื่อ15-10-2013 16:02:57 »

13 (2)  Win-Win Situation (การสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย)   ตอนที่ 13 ต้องขอโทษมากๆ นะครับ คงต้องแบ่งเป็น 3 ตอนครับ แบ่งครึ่งแล้วก็ยังยาวเกินไป ชีวิตมีปัญหา

ผมปฏิเสธที่จะรับกุญแจห้องจากไอ้ตูนครับ เลยต้องมาเต็ดเตร่รอมันอยู่แถวอพาร์ตเมนท์ แต่ไม่นานมันก็มาครับ
“วิรอผมนานป่ะครับ” ผมถาม เลิกเรียกผมว่าพี่เวลาอยู่นอกคณะมาสักพักใหญ่แล้ว ปีนเกลียวจริง
“ไม่นานอ่ะ” ผมยังกระดากปากที่ต้องเปลี่ยนคำพูดกับมันครับ
“วิกินไรยังครับ” มันถามตอนเดินขึ้นห้องกัน
“กินแล้ว”
“อ้าว....ไม่รอผมเลย” มันท้วง
“อ้าว ตูนยังไม่ได้กินเหรอ” ผมถามมันกลับครับ เริ่มห่วง
“กิน แล้วครับ แหะๆ” สัตxx หลอกต้มกู
“....ตีน” ผมพึมพำ
“ผมได้ยินนะครับ พูดไม่เพราะเลย” แต่ผมไม่สนใจมันละ เรานอนเล่นกันในห้องพักใหญ่มันเปิดช่องหนังดูครับ หนังตลกไร้สาระผมเลยไม่ค่อยใส่ใจดู
“วิ เราลงไปว่ายน้ำกันมั้ย” ตูนชวน
“สระไม่ปิดแล้วหรอ” ผมถาม
“ไม่มีใครสนใจหรอกครับ”
“อืม แต่ไม่ได้เอากางเกงว่ายน้ำมานะ” ผมบอก
“ใส่แค่กางเกงในก็ได้ครับ”
“จริงอ่ะ” ผมหันไปมองหน้ามัน
“ควxx วิเล็กไม่มีใครเห็นหรอก 555” ขำเดี๋ยวมึงได้เดี้ยงเอาหรอก
“ล้อเล่นนครับ ป่านนี้ไม่มีคนหรอก” มันพูดจริงครับคราวนี้
“อืมแต่ถ้ามีคนเล่นอยู่วิยังไม่ลงนะ อาย”
“ครับๆ” แล้วมันก็ถอดเสื้อผ้าถอดเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำต่อหน้าผมเลย ถึงเคยเห็นมันแก้ผ้ามาหลายครั้งแต่ก็ไม่ชินสักที ฮ่าๆ
   ที่สระว่ายน้ำตอนนี้ไม่มีคนเลย มีแสงสีส้มสลัวๆ จากโคมไฟรอบสระ มีเตียงอาบแดด และที่สำคัญคืนนี้มีพระจันทร์บนฟ้า  แต่ผมก็มีพระจันทร์ส่วนแล้วครับ ฮ่าๆ กำลังล้างตัวอยู่ข้างๆ เลย เซ็กซี่เหมือนกันอันนี้ต้องยอมรับ ผิวมันขาวแบบพระจันทร์อายอ่ะ ผมยืดแขนขาก่อนลงสระกันไม่ให้เป็นตระคริว หรือกล้ามเนื้อยึดครับ มันก็ทำแต่คนละแบบผมยืดแบบคนที่เรียนโยคะ ส่วนมันยืดแบบคนที่เข้าฟิตเนส ผมกระโดดลงก่อนมันเลย น้ำเย็นมากจริงๆ เลยต้องว่ายไปมาสักพักเพื่อให้ร่างกายคุ้นกับความเย็น มันกระโดดตามลงมาแล้วครับ
“วิว่ายน้ำเก่งจัง” มันบอก
“บ้านเกิดวิอยู่ติดแม่น้ำอ่ะ ตอนเด็กๆ ว่ายบ่อย” ผมบอกมัน สนุกมาก ผมไม่ได้ว่ายน้ำมาหลายปีแล้ว เพราะตัวเองเป็นคนกลัวจระเข้ พอน้ำท่วมฟาร์มจระเข้แล้วจระเข้หลุดมา ตั้งแต่นั้นผมไม่เคยลงแม่น้ำท่าจีนเลยครับ ว่ายกันเกือบชั่วโมงครับ คุยกันไปมาด้วย
“วิมาตรงนี้สิครับ” ผมว่ายไปหาครับ จะดูว่ามันเรียกทำไม พอไปถึงมันจับมือผมไปวางบนหน้าอกมัน อี๋ให้ผมจับสาหร่ายทำไมก็ไม่รู้ ผมมองหน้ามันสงสัย มันยิ้ม แล้วจูบผมเลยครับ ในสระว่ายน้ำนั่นล่ะ ลิ้นมันมาแบบจัดเต็มมาก เคลิ้มไปเลยผมตอนนั้น เอามือไปจับอกมันไว้สองข้างตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ และมันกอดผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ รู้อีกทีมันกำลังขยำก้นผมอยู่ครับ แต่อารมณ์นี้มันเคลิ้มแล้วอ่ะเลยไม่ฝืน
“นุ่มมือจัง” ถอนจูบแล้วต้องพูดเชียวไอ้เวร เสียบรรยากาศ มันดึงผมไปชิดตัวมัน ไอ้นั้นของมันแข็งตัวอยู่บนท้องน้อยผม อุ่นดีจัง ฮ่าๆ มันเองก็คงรู้สึกถึงของผมที่ต้นขามัน มันยิ้มโปรยเสน่ห์อีกละ
“ในน้ำมั้ยครับ” มันถามสุภาพเชียว
“นั่นสิ ทำไมเราไม่ลองดูล่ะครับ” ผมไม่พูดเปล่าแต่เอาแขนคล้องคอมัน เขาก็เกี่ยวเอวมันครับ
“ผมว่าวิชอบลิงอุ้มแตงนะ” มันล้อ
“ในน้ำตูนจะได้ไม่หนักไงครับ” ผมก็ล้อมันกลับ
เราไม่ได้ได้เสียกันในน้ำหรอกครับ เสียงกระแทกคงดังพอจะปลุกคนทั้งอพาร์ตเมนท์มาดูฉากอัศจรรย์กลางแสงจันทร์และสายน้ำของเรา แต่เราสองคนก็อดใจให้กลับไปถึงห้องไม่ไหวครับ ในห้องอาบน้ำและแต่งตัว ผมกอดผมจากข้างหลัง ตอนนี้เราเปลือยอยู่กลางห้องอาบน้ำครับ มันจับนมผม กอดผม และพยายามสอดเข้ามา
“โอ๊ย...” ไม่เข้าหรอกครับ ฝืดซะขนาดนี้
“....เข้ายากจัง” มันบ่น ไม่ได้เป็นคนเจ็บแต่เสือกบ่น แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเถียงกับมันหลอกครับ ของแบบนี้ประสบการณ์มันสอนให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผมปิดฟักบัวแล้วหัวไปใช้ปากให้มัน ใช้น้ำลายผมเองนี่แหละเป็นตัวหล่อลื่น
“วิรู้ใจผมตลอดเลย” อ่ะนะไม่ต้องมาหวาน สักพักมันก็จับผมหันหลังกลับแล้วสอดเข้ามาใหม่ มันก็ยังเจ็บอยู่นะ แต่ผมพยายามทน มันก็ใจดีด้วยการกระแทกไป ชักให้ผมไปด้วย ไม่นานผมก็แตกใส่พื้นห้องอาบน้ำ แล้วมันก็แตกในตัวผม แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอมันลากผมไม่ยอมเอาไอ้นั่นออกจากตัวผม ไปที่ห้องแต่งตัว ครั้งที่สองของคืนนี้ก็เกิดขึ้นที่นั่น ตอนที่เราจูงมือกันแล้วค่อยๆ เดินกลับขึ้นห้องของตูนผมก็คิด ได้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ม้นไม่ได้ใช้ถุงยางกับผม แต่จะให้ทำยังไงมันเผลอตัวไปแล้ว หลังจากนั้นมันไม่เคยใช้ถุงยางกับผมอีกเลย แม้ว่าผมจะเตือนมัน

   เที่ยงวันอาทิตย์ผมกับไอ้ตูนมากินข้าวที่อาร์ต อเวจีครับ แถมบังคับให้ผมแต่งตัวแบบที่มันชอบ สไตล์เกย์กรุงเทพฯ เดฟกับเสื้อเชริ์ตแบะอก แต่ที่ขัดใจก็คือ ผมไม่เข้าใจทำไมต้องเป็นที่อาร์ต อเวจี กลัวคนรู้จักไอ้ตูนเห็นน่ะครับ คนรู้จักมันน้อยซะที่ไหน ผมเลยยืมแว่นดำมันมาด้วย ตอนมานั่งกินข้าวตรงข้ามมันในอาร์ต อเวจี ผมใส่แว่นดำเลยครับ กลัวจริง และพอกินไปได้ครึ่งจาน คุยโน่นนี่นั่นกับไอ้ตูนไปเพลินๆ ด้วย ผมก็เห็นไอ้โย๊ปครับ แม่งมาครบเลย ไอ้เอ็ม ไอ้วิตซ์ ขาดแต่ไอ้ทรี (มันกลับบ้าน) มากินข้าวกลางวัน เวรเอ้ยอเวจีสมชื่อจริงๆ กูไม่มีตัวตน กูไม่มีตัวตน กูไม่มีตัวตน
“วิ...วิเหม่อไรอ่ะ” ไอ้ตูนเรียก
“ป่าวๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” กินยาคูลท์โป้ไม่อร่อยแล้วกู
“กินเสร็จแล้วไปไหนกันต่อดีอ่ะวิ” มันถามครับ
“ไปส่งวิกลับเหอะ หรือให้วิเดินกลับเองก็ได้หอวิอยู่แค่นี้เอง” ผมตอบได้คำเดียวครับ อยากกลับห้องมาก
“อ้าวๆ รีบจังยังไม่บ่ายเลย” ยังอุตส่าห์ขัดกูอีก
“ตูนให้วิกลับไปทำการบ้านบ้างเหอะ” ผมบอกลุกไปเก็บจาน
“ทำการบ้านที่ห้องผมตั้งสองคืนละ ยังไม่พออีกหรอ 55” มันตามมาล้อตรงที่เก็บจาน ไอ้เวรนี่ท่าทางจะอายุสั้น ถึงใส่แว่นดำใช่ว่าคนจะจำมึงไม่ได้นะ เด่นซะขนาดนี้
ขณะกำลังเดินออกจากอาร์ต อเวจี ก็เกิดเหตุจนได้ครับ อาถรรพ์ที่มันแรง
“พี่วิ...พี่วิ” ไอ้โย๊ปเรียก ผมถอนใจครับ แต่ด้วยมารยาทผมก็จำเป็นต้องถอดแว่นดำออก
“อ๊าว...มากินข้าวเหรอ” ผมทักครับ แกล้งทำเป็นว่าเพิ่งเห็นมันเหมือนกัน ไอ้ตูนครับก็ถอดแว่นดำออกแล้วมายืนข้างๆ ผม เวรละกู
“พี่เปลี่ยนไปเยอะนะ......เหมือนคนละคน” มันบอก ผมหน้าเสียเลย
“พี่ตัดผมมาสองสามสัปดาห์แล้วนะ” ผมบอกแก้เก้อ แกล้งยิ้มด้วย
“นั่นสิ....พวกผมไม่ค่อยเห็นพี่เลย” อย่าเข้าประเด็น พลีสสส
“............................”
“น้องวิ ที่อยู่ด้วยกันเหรอครับ” ไอ้ตูนแทรกขึ้นมา เสือกจริง
“อืม....เพื่อนน้องน่ะ เด็กเทคโนฯ ปี 1” ผมบอกลอยๆ
“นี่ตูน รุ่นน้องที่คณะพี่” ผมแนะนำตัวมันให้ไอ้สามคน พวกมันพยักหน้า
“งั้นค่อยเจอกันที่หอนะ....กินข้าวไปเถอะ” ผมตัดบทแล้วเดินกลับออกมาเลย
“วิ ไปผมไปส่ง” ตอนเดินออกมาไอ้ตูนมันเอามือดันหลังผมครับ แต่เป็นตำแหน่งที่เหนือปั้นท้ายมานิดเดียว ถ้าไม่ใช่คนเป็นแฟนไม่มีใครกล้าสัมผัสจุดนั้นคนอื่นหรอกครับ คนเขาจำหน้ามึงได้นะไอ้ตูน เวรเหอะ

   ตอนเย็นไอ้ทรีกลับมาครับ เอากับข้าวฝีมือแม่มันมาด้วยหลายอย่าง ผมชวนลิตเติ้ลมากินด้วยกันที่ห้องผมครับ เป็นกันชน ฮ่าๆ เรากินก็เฮฮาดีนะ ลิตเติ้ลเป็นคนมีอารมณ์ขันมาก แต่ผมยังไม่กล้าคุยกับพวกไอ้โย๊ปมาก กลัวมันเอาเรื่องเมื่อกลางวันมาถามต่อ สักพักน้องท็อบโทรเข้ามาครับ
“ว่าไงท็อบ” ผมรับสายแล้วลุกจากวงกินข้าว เดินออกไปนอกห้อง ไอ้โย๊ปมันมองผมแบบที่ผมมองมันตอนมันรับโทรศัพท์แล้วออกไปคุยกับแฟน เพียงแต่มันไม่ยิ้มครับ แต่ผมไม่สนใจ
“กลับมาแล้วพี่ พรุ่งนี้เที่ยงผมไปหาที่คณะพี่นะ” มันมาเลยครับ กรรม
“มาทำไม พี่เรียนบ่ายโมง” ผมเรียนวิชาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ตอนวันจันทร์บ่ายครับ
“เออ...ไหนกินข้าวอีกเดี๋ยวเข้าเรียนช้า” ไม่ต้องมาหรอก ความจริงผมขี้เกียจจะฉาว
“............................”
“แล้วเย็นซ้อมบาสป่าว เดี๋ยวพี่ไปหา....อยากมีเพื่อนไปเดินเล่นที่สนามจันทร์” ผมเปลี่ยนประเด็น กลัวมันเสียใจด้วย
 “หกโมงอ่ะ พี่” มันบอก
“ว่างไปกับพี่ป่าวล่ะ” ผมถามอีก
“ไปสิครับ”
“อืมๆ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” ผมบอก
“ค้าบผม” แล้วผมก็วางสายครับ กลับเข้าห้องไปคุยกับลิตเติ้ลดีกว่า สบายใจ


   ผมเรียนวิชาทักษะการฟังภาษาอังกฤษกับลิตเติ้ลครับ พอเรียนเสร็จลิตเติ้ลขอตัวไปคุยงานกลุ่มกับเพื่อนในเอกภาษาอังกฤษต่อ ส่วนผมเดินออกจากคณะ ผ่านบ้านพักอาจารย์เพื่อไปโรงเรียนสาธิตของไอ้ท็อบ เดินๆ ไปก็แทบช็อค ตัวเหี้ย (ต้องใช้คำพูดนี้ครับเพราะเป็นคนละสายพันธุ์กับตัวเงินตัวทอง) หรือที่คนในมหาลัยเรียกแบบติดปากว่า ตุ๊ดตู่ (ซึ่งเป็นคำเรียกที่ผิดครับเพราะเป็นคนละสายพันธุ์) ตัวใหญ่มากเดินขวางถนน กลัวมาจากจริง แต่พวกมันไม่กลัวคนเลย ลากสังขารมาถึงสาธิตก็นั่งพักมันแถวนั้นละครับหยิบเบรคกิ้ง ดอว์นมาอ่านเล่นอีกไปสักพัก ไม่นานน้องท็อบก็มาหาผมครับ
“ผมซ้อมบาสชั่วโมงเดียวนะพี่” มันบอก
“พี่มารอผมนานแล้วสิ.....เกรงใจจัง” โถ
“งั้นพี่เอาของไปเก็บที่หอก่อนละกัน ประมาณ 6 โมงมาเจอนะ”
“ครับๆ เจอกันครับ” ผมเลยเอาของไปเก็บครับ

ตอนผมเอาของไปเก็บไอ้ทรีกับไอ้โย๊ปอยู่ที่ห้องครับ มันกำลังเล่นเกมฟุตบอลอ่ะ แต่เล่นอย่างไรผมไม่รู้หรอกเพราะไม่เคยเล่น
“พี่ไปกินข้าวกับพวกผมป่ะ” ไอ้ทรีถามไม่เงยหน้าจากจอครับ
“เนี่ยจบเกมก็ไปละ”
“พอดีพี่นัดเพื่อนน่ะ ไปกินกันเลยเดี๋ยวพี่ออกไปหาอะไรกินเอง” ผมบอกแล้วก็รอจนใกล้หกโมงครับ สรุปคือ ผมกับพวกไอ้ทรีลงไปพร้อมๆ กัน
“พี่ไปเจอเพื่อนที่ไหน...ผมขี่ไปส่ง” ไอ้ทรีอาสา
“พี่ไปแค่สาธิตเอง” ผมบอก
“พอดีเลย ผมจะไปกินอาร์ต”
“อืมๆ” ผมเลยซ้อนท้ายมันไปครับ
   ผมลงหน้าสาธิตน้องท็อบก็มานั่งรอผมแล้วครับ ชุดเล่นบาสแขนกุดเหมือนเดิมแต่ตัวนี้สีดำ
“มากับใครอ่ะพี่วิ” มันถามครับ
“น้องพี่เองแหละ...น้องพี่เรียนเทคโนฯ เลยมาอยู่ห้องเดียวกัน” ผมบอก
“อ่อๆ...ไป ไปเดินกันได้ละพี่ฟ้าจะมืดแล้ว” แล้วเราก็ลงชื่อผ่านเข้าวังครับ ผมไม่ค่อยสนใจตัววังหรอก แต่ชอบบรยยากาศรอบๆ ตรงกลางสวนมีเทวาลัยพระคเณศครับ เด็กมหาลัยผมมักจะบนพระคเณศให้ตัวเองสอบผ่าน โดยจะแก้บนโดยการวิ่งรอบพระคเณศครับ แบ่งเป็นรอบเล็กคือ วิ่งรอบเทวาลัย และรอบใหญ่คือ วิ่งรอบวัง ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วครับ 6 โมงกว่าๆ แล้ว ผมเห็นคนเยอะเหมือนกันมาออกกำลังกาย มาเดินเล่น ฯลฯ แล้วจู่ไอ้ท็อบก็เอามือมาจูงมือผมครับ ชอบนะไม่ฝืนเลยเพราะผมชอบมือมัน มือมันสวยมากถึงแม้ผิวจะด้านๆ ก็เหอะ
“จูงทำไม ไม่อายคนเหรอ” ผมถามไม่ตรงกับใจ
“ไม่อาย” มันบอกสั้นๆ ผมก็ปล่อยเลยตามเลย เราเดินผ่านสระน้ำที่มีศาลาอยู่ ที่ศาลานี้ผมเคยมาให้อาหารปลากับน้องรหัสผมครับ แต่ตอนนี้มีคนนั่งอยู่ เราสองคนเลยเดินต่อไป จนถึงลานเครื่องออกกำลังกาย จำพวกแบ้นโหน ราวเดิน บริเวณนี้ค่อนข้างเปลี่ยวครับ ไฟส่องทางน้อย ผมปล่อยมือท็อบแล้วกระโดดไปเดินบนราวทรงตัว ชอบเล่นมาก ไอ้ท็อบกระโดดขึ้นมาเดินด้วยครับ แต่มันแบกเป้เลยเซไปเซมา ตลกมากครับตัวมันเก้งก้างสุดๆ บนราวทรงตัว ไม่เหมือนในสนามบาส
“โอ๊ยๆๆ ร่วง” ผมเลยรีบหันไปคว้ามันครับ พอจับมันไว้แล้วก็แกล้งปล่อย มันร่วงก้นกระแทกเลย
“5555” ขำครับ สะใจได้แกล้งคน
“ใจร้ายว่ะ คนเรา” มันบ่น แต่ผมเดินต่อไปจนสุดราว แล้วก็ไปนั่งม้านั่งริมน้ำที่ผมชอบมานั่งอ่านหนังสืตอนเช้าๆ สมัยอยู่ปี 2 ท็อบก็ตามมานั่งด้วย
“หิวป่าว” ผมถามมัน
“ยังอ่ะ...พี่อ่ะ”
“เฉยๆ....นั่งเล่นสักพักมั้ย เดี๋ยวพี่พาไปกินบัวลอยแต้จิ๋วที่องค์พระ” ผมบอก
“ดีๆ ครับ” แล้วเราก็คุยกันมากมายเรื่องเรียนบ้าง เรื่องเพื่อนบ้าง แล้วมันก็เอาหลังเอนไปกับม้านั่งยกแขนพาดไว้บนขอบ ถ้าผมขยับเข้าไปใกล้ๆ ก็จะเหมือนว่าผมเข้าไปให้มันกอดไหล่ ผมไม่เอาหรอกครับ ขนจักกะแร้ สาหร่าย แหวะ แต่ผมก็ละสายตาจากแขนมันไม่ได้ครับ ที่สุดเลยเอามือไล่ลูบแขนมันเริ่มตั้งแต่ปลายนิ้ว ไล่ไปช้าๆ จนถึงหัวไหล่
“พี่มือนุ่มจัง ผมไม่เคยจับมือผู้ชายนุ่มขนาดนี้เลย” ผมไม่ชอบครับ แต่ผมรู้เพราะมีคนบอกผมหลายคนว่ามือผมนุ่มมาก บางคนบอกต่อหน้าแม่ผมเลย แม่ผมมักพูดว่า แม่ไม่เคยปล่อยให้ผมทำงานบ้านครับ มือผมเลยนุ่มมาก ผมชักมือกลับ แต่มันคว้าไว้ เอาไปแนบแก้มมันครับ ผมใจเต้น ตกใจ กลัวสิวมันแตก ฮ่าๆๆ ท็อบมันน่ารักจริงๆ ครับ ถึงจะมีกลิ่นเหงื่อนิดๆ ผมเลยห้ามใจไม่ไหวโน้มตัวไปจูบปากมัน จะโดนมันด่ารึเปล่าไม่รู้ แต่มันจูบตอบครับ มันจูบใช้ได้นะสำหรับเด็กมัธยม มันเอาแขนยาวนั้นโอบไหล่ผมจริงๆ ด้วย สาหร่ายแปะอยู่บนบ่าผมเลย แหวะ ผมต้องการแสดง skill ที่เหนือกว่าครับ เลยเริ่มไซร้แก้มมัน มือก็เลิกชายเสื้อมันขึ้นแล้วลูบท้อง ไล่ไปจนถึงหัวมนมัน แต่มันไม่ยอมแพ้ครับ มันใช้ไม้ตายโดยการปลดเข็มขัดผมแล้วจับเอาไอ้นั่นผมออกมาชักข้างนอกเลย ผมแอบตกใจ แม่งไม่ดูก่อนเลยว่ามีคนป่าว แต่ก็เลยตามเลยครับ มันจูบผมแรงขึ้น ชักให้ผมแรงขึ้นเป็นจังหวะ
“อะ อะ....พอ ท็อบ พอ” มันกลั้นไม่อยู่แล้วครับ มองเห็นมือเรียวสวยกำลังชักว่าวให้ผม แต่ท็อบไม่หยุด
“อ๊ะ.....อ่ะ” ผมครางเลยครับ จนกระทั่งผมแตกแล้วมันก็ยังไม่หยุด น้ำผมเลยพุ่งเปื้อนเต็มไปหมด เสื้อผม กางเกงผม เสื้อท็อบ เป้ท็อบ ผมหมดแรง เข่าอ่อน แต่มันยังไม่ยอมหยุดให้ ผมฟุบลงไปบนอกมันเลย แล้วหอบครับ ใบหูกับแก้มสัมผัสกับขนจักกะแร้มันแต่ไม่รังเกียจแล้วครับ กลิ่นเหงื่อมันเร้าใจสุดๆ มันหยุดแล้วเอาผ้าเช็ดเหงื่อมันทำความสะอาดเราครับ เช็ดแม้กระทั่งไอ้นั่นผมที่เริ่มออ่อนแล้วอายสุดๆ แต่ที่คิดไม่ถึงคือ ท็อบมันเลียน้ำเชื้อผมที่เบื้อนมือมันเข้าปาก แล้วโน้มมาจูบผมต่อ ผมไม่ปฏิเสธครับ รสชาดน้ำรักในปากเราทั้งขมและหวานแปลกๆ
“ทำให้ผมบ้างนะครับ” มันบอกเสียงหวานแล้วเอามือผมไปจับไอ้นั่นมันที่แข็งรออยู่แล้ว ใหญ่เกินเด็กครับ ผมเลยเอามันออกมาข้างนอกมันยาวมากครับ ยาวกว่าผมอีก หมอxx มันก็เยอะครับ ผมเหมือนเดิมคือต้องการโชว์ skill ที่เหนือกว่ารวมถึงใช้มือไม่ถนัด เพราะมันนั่งอยู่ด้านซ้ายมือผม แตผมเป็นคนถนัดขวา ผมเลยก้มไปโม๊คให้มันเลยครับ มีกลิ่นเหงื่ออับๆ เพราะมันเล่นกีฬามา แต่อารมณ์ผมกระเจิดแล้วครับ กลิ่นเหงื่อไอ้ท็อบเซ็กซี่สุดๆ อยากจะแก้ผ้าแล้วเอากับให้ตรงนี้ไปเลย ผมโม๊คมันจนผมแข็งอีก แต่ไม่ได้บอกมัน
“อือ...อ่า.....” มันเริ่มครางครับ แล้วเอามือมาจับหัวผม ค้างไว้แล้วยกก้นมันเด้าเองครับ มันเย็xxปากผมรึนี่
“อ่า....เสียว ดูดแรงๆ” มันทั้งสบถ ทั้งสั่ง ไม่เห็นหัวหัวผมแล้วครับ
“โอ๊ย...อ่า..... กินน้ำผัวด้วยนะ” ใครบอกจะกิน แล้วใครเป็นผัว แต่ผมปากไม่ว่างเถียงมันหรอกครับ แล้วมันก็พุ่งเข้าคอผมเต็มๆ แม้จะขยาดปากแต่ด้วยทิฐิต้องการเอาคืน ผมเลียหัวควxxมันต่อไม่ยอมหยุดครับ จนน้ำมันเริ่มเย้มทะลักออกจากปากผม ควxxมันในปากผมกระตุกเป็นบ้าเลย
“โอ๊วววว......” มันปล่อยเสียงครางเหมือนวัวถูกเชือดเลยครับ ยาวมากและดังมาก ไม่กลัวคนได้ยิน ผมเงยหน้าแล้วครับทำให้มันนานแล้วเวียนหัว น้ำมันในปากผมอยากจะคายมาก มันคงเห็นผมทำหน้าพะอืดพะอมมันเลยจับหน้าผมไปจูบปาก เราแบ่งกันกินน้ำเชื้อของมันในปากผมครับ
หลังจากนั้นเรารีบแต่ตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมาอีกฟากของวังครับ ที่ติดกับวงเวียนน้ำพุ ถนนต้นสน เราไม่รีบร้อนจูงมือกันเดินผ่านถนนต้นสนไปที่องค์พระ ชอบมือของมันจริงๆ


วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #18 เมื่อ15-10-2013 16:07:24 »

13 (3) Win-Win Situation (การสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย)

เรามาถึงในองค์พระ (วัดพระปฐมเจดีย์) กำลังเดินเข้าส่วนที่ขายของกินครับ ที่นี้ขึ้นชื่อเยอะมาก ไอติมลอยฟ้าก็ขายที่นี่ ผมชอบบัวลอยแต้จิ๋วสุดครับ
“พี่ขึ้นไปไหว้พระกับผมนะ...ไหนๆ ก็มาด้วยกันแล้ว” ไอ้ท็อบทำเสียงอ้อน ผมอึ้งครับ
“เอ่อๆ....พี่ไม่นับถือศาสนา ไม่ไหวพระ”
“อ้าวพี่ไม่ได้เป็นพุทธหรอ แต่พี่ไม่ได้ขลิบนะ” มันถามลามไปยันเรื่องใต้กางเกง ผมเลยต้องอธิบายมันว่าผมเริ่มจาการนับถือพุทธในสายขององค์ดาไล ลามะ ซึ่งพระองค์ต้องการให้ทุกคนเมื่อตระหนักในธรรมแล้ว ก้าวข้ามพ้นศาสนาแห่งพิธีกรรม ไปสู่จริยธรรมและความเมตตากรุณาในจิตใจ อธิบายจนมันเข้าใจครับ
“อ่อๆ แต่ไปเป็นเพื่อนผมได้ใช่มั้ย” มันตื้อ
“ไปได้สิไม่เห็นเป็นอะไรเลย” ผมยิ้มหวานตอบ หลังจากขึ้นไปไหว้พระเสร็จ ผมกับมันก็เดินลงกลับไปที่ร้านขายของกินครับ
“รู้มั้ยผมขอพรอะไร” ผมส่ายหัวบอกมันว่าไม่รู้และไม่ต้องบอกให้เดา
“ผมขอให้เมียผมรักผม หลงผมมากๆ” นั่นมึงต้องไหว้พระขุนแผนแล้ว อีกอย่างใครเป็นเมียมึง เรากินผัดไท หอยทอดกันก่อนครับ แล้วก็พามันไปกินบัวลอยแต๋จิ๋ว บัวลอยแต่จิ๋วคล้ายๆ กับเต๋าทึงเย็นครับ แต่ใส่แผ่นแป้งแบนๆ เคี้ยวกรึบๆ ไม่ใช่กลมๆ เละๆ เหมือนบัวลอยบ้านเรา ใส่ในน้ำลำไย แล้วก็เครื่องพวกถั่วแดง วุ้น ฯลฯ แล้วโปะด้วยน้ำแข็งที่ใสจนบางเป็นเกร็ด ไอ้ท็อบเปิ้ล 4 ถ้วยครับ ผมกินแค่ 2 ก็พอ มันคงเพิ่งเสียเหงื่อ แล้วก็เสียน้ำมาจึงต้องการพลังงานทดแทน ผมคิดแล้วก็ขำ
“พี่ไปนอนห้องผมมั้ย” มันถามตอนใกล้กินเสร็จ
“ไม่อ่ะ ไม่มีชุดเปลี่ยน ไหนจะต้องถอดคอนแท็กเลนส์อีก” ผมปฏิเสธครับ
“โหพี่อ่ะ.....” มันประท้วง ผมเลยลุกไปจ่ายเงินครับ สักพักผมก็เดินจูงมือมันไปส่งที่ท่ารถสองแถว กะว่าจะเรียกมอเตอร์ไซด์รับจ้าง (ที่นครปฐมเรียกว่า เมล์เครื่อง) กลับหอ พอดีไอ้ทรีโทรเข้ามา
“สามทุ่มจะสี่ทุ่มแล้วนะพี่” มันบอก น่าเบื่อ
“พี่นอนหอเพื่อนนะคืนนี้ไม่กลับเข้าไปแล้ว” ด้วยความที่ผมเซ็งมันเลยบอกไปอย่างนั้น แล้ววางสาย
“จริงนะ” ที่ไหนได้ไอ้ท็อบแอบฟังอยู่ครับ เวร
“..............................”
“ได้มั้ยล่ะครับ ท็อบให้ผมไปค้างด้วยได้มั้ย” มันยิ้มเลยครับ แล้วเราก็พากันขึ้นรถสองแถวไปหอมัน
   หอไอ้ท็อบอยู่เลยตลาดขายของสดของนครปฐมออกไปทางถนนใหญ่ครับ นั่งรถสองแถวมาแป๊บเดียว ท็อบมันขอแวะซื้อน้ำที่เซเว่นข้างล่าง ผมก็เลยยื่นแบงก์ให้มันแล้วบอกว่าฝากซื้อด้วย สักพักเราก็เดินขึ้นหอมันครับ
“ผมขออาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวมากๆ” มันบอกเพื่อเราเข้าห้องมาครับ แล้วมันก็แก้ผ้าโยนใส่ตระกร้าเลย อายกูบ้าง ผมนั้งลงบนเตียงมันครับ ห้องมันโล่งๆ ดี
“พี่มาอาบน้ำพร้อมผมนะ” อยู่ๆ มันก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาเรียกผม ไม่อายเลย ไอ้นั่นมันครับแข็งอยู่ ดูเต็มๆ ตา แล้วยาวมาก แข็งมาก เด็กสมัยนี้ทำไมมันใหญ่ไปหมด
“มาเร็ว” ไม่ต้องเร่งกู ผมถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นครับอายๆ จนกระทั่งเหลือแต่กางเกงในผมถอดหน้าห้องน้ำครับ มันก็คงเห็นว่าไอ้นั่นผมก็แข็งมากเหมือนกัน
“โห...” มันบอกทำเสียงกวนตีน แต่ตอนนี้ผมได้แต่หน้าแดง ความอายทำให้พูดอะไรไม่ออก
“เห็นของผัวแล้วมีอารมณ์เหรอครับ” ผัวอีกละ
“อืมม......” แต่เราไม่ได้มีอะไรกันในห้องน้ำนะครับ ผมไม่อยากลืมตากลัวน้ำเข้าคอนแทกเลนส์ ไม่มีที่เปลี่ยนจริงๆ คืนนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาค้าง พออาบน้ำเสร็จผมไล่มันไปทำการบ้านครับ แล้วก็นอนเปลือยรอมัน เพราะใช้ผ้าเช็ดตัวที่มีแต่กลิ่นของไอ้ท็อบทำให้ผมมีอารมณ์มากครับ ผมเลยไม่ใส่เสื้อผ้า นอนบนเตียงมันแบบเปลือยๆ แล้วเอาผ้าห่มคลุมครับ ประมาณ 30 นาทีมันก็ทำการบ้านเสร็จ ทีนี้มันจะมาทำการบ้านกับผมละครับ
“วิ....” มันเรียกเดินเปลือยมาหาผมเหมือนกัน ผมชอบรูปร่างมันมากจริง นอกจากแขนของมันแล้ว ขา อก ไหล่ สะโพก ทุกส่วน ผมเริ่มเลยครับพอมันเดินเข้ามาใกล้ ผมโม๊คมันครับ แป๊บเดียวมันก็แข็งเต็มที่ ท็อบผลักผมนอนแล้วขึ้นคร่อมจูบไซร้ผมสักพัก แล้วมันก็ทำท่า 69 กับผมครับ ผมฟินมาก มันรู้สึกดีจริงๆ มันร้อน อุ่น นุ่ม แล้วก็ชื้นๆ สัมผัสจากช่องปากคน
“ผมไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครเลยนะ วิเป็นคนแรกจริงๆ” น้ำเสียงมันจริงใจมากครับ แล้วมันก็ทำสิ่งที่ผมไม่คาดฝันครับ มันยกหัวขึ้นมา เอามือแยกก้นผมออกแล้วใช้ลิ้นเลียตูดผมครับ ผมช็อกพร้อมๆ กับที่รู้สึกดีครับ มันทะนุถนอมผมดีจัง มันทำให้ผมไม่กี่นาทีหรอก แต่ผมก็ซึ้งใจที่มันไม่รังเกียจเลย
“วิ เป็นเมียผมนะ” มันจู่โจมใจผมตอนซึ้งครับ
“........................”
“.....ครับ” ผมตอบเบาๆ ตัดใจ สิ้นเสียงผมมันเอานิ้วแทงเข้าไปเลยครับ แรกๆ รู้สึกฝืนๆ กลัวด้วยกลัวว่าจะแถมทองให้มัน จากนิ้วเดียว เป็นสอง แล้วเป็นสาม ผมเสียวจนลืมอายแล้วครับ ตัวสั่นเป้นเจ้าเข้าเลย
“ท็อบ....ท็อบครับ” ผมเรียกชื่อมันครับ อยากให้มันทำตอนนี้เลย มันก็รู้งานครับลุกขึ้นมาใส่ถุงยางแป๊บนึงแล้วก็สอดเข้ามา มันไม่ยากเท่าไรเพราะท็อบมันใช้นิ้วช่วยผมไว้ก่อนแล้ว มันดันทีเดียวช้าๆ จนมิดครับ แล้วก็เริ่มกระแทก ผมรีบชักตามเลยครับ ไม่นานก็เสร็จน้ำพุ่งเต็มหน้าอกท็อบเลย มันไม่เช็ดครับ ไม่สนใจแล้วเอามือข้างหนึ่งที่ใช้ยกขาผมไว้ปาดน้ำเชื้อผมขึ้นไปกินครับ แล้วก็ก้มลงมาแบ่งให้ผมกินผ่านปาก ไม่นานผมก็แข็งอีกรอบ แต่คราวนี้ผมอยากทำอะไรให้มันบ้าง ผมเลยพลิกตัวมาอยู่ด้านบน แล้วนั่งเทียนให้มันครับ เสียวจริงๆ ของมันเข้ามาลึกมาก มันเอามือที่ว่างแล้วตอนนี้ชักว่าวให้มือ มือสวยๆ ของมัน อีกข้างหนึ่งลูบไล้ไปทั่วตัวผม มือที่ผมรัก ผมมีความสุขจากเซ็กส์ครั้งนี้มากจริงๆ มันเองก็คงเหมือนกัน หน้าเด็กๆ ใส ตอนนี้แดงมีเหงื่อไหล บิดเบี้ยว
“....เมียจ๋า...เมียจ๋า” มันพึมพำ ผมไม่ว่าอะไรมันแล้วครับ เพราะสติผมหลุดหมดแล้ว ผมแตกอีกครั้งใส่หน้าไอ้ท็อบ มันไม่ว่าอะไร แต่มันยังทำต่อ
“จะเสร็จ ยังท็อบ” ผมไม่ไหวแล้วครับทั้งเหนื่อยทั้งเสียวเหมือนจะขาดใจ มันเลยจับผมยืนหันหลังกระแทกมาจากด้านหลัง เดินไปที่ระเบียงแล้วมันก็เปิดปรตูกระจกออก ผมไม่ขัดอะไรมันทั้งนั้นครับตอนนั้นไม่มีสติเลย ใครจะเห็นก็ช่างเขา
“เรียกผัวสิครับ...ชอบควxxผัวมั้ย” มันกระซิบข้างหูแล้วดูดหลังผม
“.....ผัว....ผัวครับ.... อ่าเย็xxผมแรงๆ เอาควxxผัวเย็xxผมแรงๆ” มันเลยสนองใหญ่ ใช่ว่าผมจะไม่เคยเรียกผู้ชายคนไหนว่าผัวมาก่อนนะครับ แต่เอาเข้าจริงผู้ชายที่ไหนอยากมาเป็นผัวผม อีกอย่างกระดากปากเลยไม่เรียกครับ
“อ่า.....อ๊า.......ผัว” ผมครางไม่เป็นภาษามนุษย์แล้วครับ
“เมียชักควxxไปด้วยสิครับ...เสร็จพร้อมกัน” ผมชักเร็วครับ กำลังจะแตกเป็นรอบที่ 4 ของวันนี้ แต่อยู่ๆ มันก็ถอดควxxมันออกจากตูดผม ผมรู้สึกเคว้งคว้างอึ้งครับ แต่แล้วมันก็เสียบเข้ามาใหม่แรงมาก แรงมากจริงๆ
“ชักไปให้แตกเลย” เสียงมันออกคำสั่งมากครับ แต่ผมก็ยอม
“เมียจ๋าแตกพร้อมกันนะ.....อ่ะ อ้า”
“โอ๊ะ.....ผัวครับ โอ๊ย.....” ผมครางแล้วน้ำก็พุ่งออกนอกระเบียงไปเลย ส่วนที่เหลือก็ราดเปื้อนอยู่บนพื้นห้อง ความรู้สึกอย่างอื่นของผมเริ่มกลับมาเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นไหลตามต้นขา ผมเหลียวหลังไปดูแต่โดนมันจูบปากแทน และในที่สุดผมก็รู้ว่า มันถอนควxxออกไปเพื่อถอดถุงยางแล้วมาเย็xxสด ปล่อยมันครับ
น้ำเชื้อมันเยอะมากไหลออกมาจากตัวผม ไปตามขาผม ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้ต้องทำอะไรต่อ ทั้งๆ ที่ผมคิดจะโชว์ skill แต่ผมหมดปัญญาครับ ท็อบมันเก่งแถมแข็งแรงอีกต่างหาก ผมพยายามจะถอนตัวออกด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ แต่มันยังกอดผมไว้แน่นตามจูบผมไปทั่วทั้ง ปาก คอ หลัง ผมวูบไปเลยครับเหมือนจะหลับคาอ้อมกอดมันนั่นแหละ รู้สึกลึกๆ ว่ารักแขนคู่นี้ที่กอดไว้ แล้วก็รู้สึกว่าอาจจะรักมัน ระหว่างที่ผมสลึมสลือ มันก็ยังทำผมต่อ แต่ผมแค่นอนเฉยๆ มันคงอุ้มผมมาที่เตียง ผมก็ปล่อยไปครับ ปล่อยตัวปล่อยใจ รู้สึกว่าตัวเองร้องไห้ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง คืนนี้ผมไม่น่ามาเลย แล้วผมก็หลับไปครับ

ผมตื่นมาเช้ามืดไม่รู้ว่ากี่โมงแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ท็อบนอนกอดผมจากข้างหลัง แขนข้างขวาของมันโอบผมไว้ ผมเลยหยิบมือขวามันมาวางที่อกด้านซ้ายผม ตรงนั้นมีหัวใจผมที่เต้นอยู่ ตอนนี้เราเปลือยเปล่า ส่วนนั้นของมันนุ่มนิ่มแนบกับก้นผม กลิ่นเหงื่อมันกระจายไปทั่วห้อง ติดอยู่ที่ตัวผมด้วย แต่ตอนนี้ผมชอบครับ ผมหลับต่อ ผมชอบท็อบมาก

ผมตื่นเพราะท็อบปลุกตอน 6.30 มันอาบน้ำแต่งชุดนักเรียนกางเกงน้ำเงินแล้วครับ มันดูเด็กจัง
“ไหวมั้ยครับ” มันถามเห็นผมนั่งเบลอ ผมพยักหน้ารู้สึกเจ็บตามากขึ้นเรื่อยๆ ลืมตาเหมือนจะไม่ขึ้น แล้วท็อบมันก็นั่งลงข้างผมบนเตียงครับ ผมอายที่ต้องเปลือยทั้งที่มันแต่งตัวครบแล้ว
“วิตาแดงมากเลยนะ เหมือนคนเมาเหล้า” เอาล่ะครับ ผมรู้เลยว่าทำไมถึงเจ็บตา ผมลืมถอดคอนแทกเลนส์ครับ มันเลยพาผมไปถอดที่ห้องน้ำ สรุปก็คือทิ้งเลย ดีนะที่ซื้อสำรองเก็บไว้ที่ห้อง แต่ผมบอดแล้วครับ มองอะไรเกินรัศมี 2 เมตรไม่ชัดเลย ผมล้างหน้าบ้วนปาก แต่งตัวชุดเดิมที่มาเมื่อคืน ปวดก้นจี๊ดๆ แล้วออกมานั่งรถสองแถวมาพร้อมกับมัน รถจอดฝั่งตรงข้ามมหาลัยครับ มันเลยพาผมข้ามถนน พาผมกลับหอ หอผมต้องผ่านโรงเรียนมัน ผมกลัวมันอายเลยปล่อยมือครับ แต่มันก็ไม่ปล่อยจับมือผมจนได้ ผมรักมือมันจริงๆ ด่านสองต่อจากโรงเรียนมันต้องเดินผ่านโรงอาหารหน้าหอผมครับ (โรงอาหารคณะศึกษาฯ) ตอนเช้าคนเยอะครับ เด็กศึกษาฯ ต้องตื่นเช้า ใครเห็นผมในสภาพนี้ก็คงรู้ละครับว่าไปทำอะไรกับมันมา เสื้อกางเกงเปื้อนคราบน้ำเมื่อคืน ทรงผมยับ ไม่รู้ว่าบนหน้ามีคราบหรือขนอะไรติดบ้าง ตาก็เจ็บผมปวดหัวครับ เวียนหัวจะอ้วกเริ่มเดินเซ ท็อบเลยต้องเดินช้าลง จับมือผมแน่นขึ้น คนมองจริงๆ ครับ แต่ผมปวดหัวมากครับ ไม่ไหวแล้ว ดีที่หอผมอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงอาหาร ผมขอบคุณมันที่มาส่งให้มันรีบไปเข้าแถว ผมรูดบัตรเข้าหอเดินขึ้นไปอ้วกในส้วมซึ่งไม่มีอะไรในท้องให้อ้วกออกมา บ้วนปากแล้วกลับเข้าห้อง ด่านสามคือไอ้ทรีครับ เข้าห้องไปมันกำลังผูกเนคไทอยู่
“พี่.........” มันเสียงดังมาก ผมกลัวห้องข้างๆ ตื่น ผมเดินไปนั่งบนเตียง
“พี่เป็นไร ไปทำไรมา ใครทำไรพี่” มันถามน้ำเสียงร้อนรนละ ผมรู้ครับว่าน้องชายห่วงผม เรามีสายเลือด เรามีเนื้อร่วมกัน ผมมันเหี้xx เองที่หาเรื่องให้ตัวเองเสียใจตลอด หงุดหงิดมาก็ด่าก็ตีน้อง
“เป็นไรป่าวพี่....” เสียงมันไม่ดีแล้ว ผมร้องไห้ครับ ร้องไห้เลย อ่อนแอมากตอนนี้ ชอบใครทีไร รักใครทีไรร่างกายอ่อนแอทุกที ไอ้ทรีอึ้งทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะปลอบผมยังไง สักพักเพื่อนมันก็มาตามไปเรียน ผมเลยไล่มันไปเรียนกับเพื่อน มันบอกว่าตอนเที่ยงจะมาดูผม ผมก็เออๆ ให้มันไป แล้วนอนต่อ

เห็นมั้ยครับว่าชีวิตของคนนั้นมันเหมือนกับหนังสือเรียนอย่างไร ตามเรื่องของ อะ มิดซัมเมอร์ ไนท์ ดรีม ผมเชื่อเสมอครับว่าพระจันทร์ของผมที่ใครๆ ก็จ้องมอง ไม่ใช่ของผม ทำให้ผมไม่เคยคิดจะไปถึงขั้นนั้นด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่โทรหา หรือสานสัมพันธ์รักเลย แค่รู้สึกดีต่อกัน เอิ่ม....แล้วก็มีบางเวลาที่ทั้งสองเราจะสมประโยชน์กันบ้าง ส่วนเรื่องของท็อบค่อนข้างซับซ้อนนิดหนึ่ง สมผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายมั้ยก็คงใช่ ผิดที่ว่าในใจลึกๆ ผมเริ่มชอบมันไม่รู้เป็นอะไร แค่เด็กคนหนึ่ง แต่ผมมีความต้องการครอบครองครับ จะดีจะร้ายอีกไม่นานผมก็ต้องทำให้น้องเสียใจอยู่ดี จะรักกับคนอย่างผมไม่ใส่เรื่องง่ายหรอกครับ

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #19 เมื่อ15-10-2013 17:43:29 »

อัพพวดพลาดจนตามอ่านแทบไม่ทัน
อ่านจนตาแฉะ ยาวมากชอบจัง อิอิ

วิดูแปลกๆ เป็นคนหลายบุคลิกมากมายอ่ะ
แล้วจะหยุดอยู่ที่ใครกันแน่น๊า ใครจะรักและ
เข้าใจวิจริงลุ้นมากมายค่า^_^

ถึงยังไงเดี๋ยวเชียร์โย๊ปอยู่ดี อิอิ

สู้นะค่าคนเขียนเรายังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิม^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My Almond Crush....
« ตอบ #19 เมื่อ: 15-10-2013 17:43:29 »





ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #20 เมื่อ15-10-2013 19:53:23 »

ทำไมมีอะไรง่ายจัง

SanDiego

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #21 เมื่อ15-10-2013 19:58:11 »

ลงพรึดเดียว ตามอ่านไม่ทันละคร้าบ บอกเลย

ออฟไลน์ hotoil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #22 เมื่อ16-10-2013 07:58:27 »

วิจะเลือกใคร...ต้องติดตามกันต่อไป
เรื่องนี้เป็นอะไรที่เราอ่านแล้วหยุดไม่อยู่
ลงมาทีเดียวอย่างยาว อย่างจุใจ เป็นอะไรที่โดน ฮ่าๆ
ปล. ขอถามหน่อยนะคะ ว่าเรื่องมันคือ  เรื่องแต่งขึ้นบนพื้นฐานเรื่องจริง หรือคะ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2013 01:11:02 โดย oaw_eang »

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #23 เมื่อ16-10-2013 10:21:15 »

ถึงคนอ่านทุกคนครับ
ขอบคุณที่กรุณาอ่านเรื่องไม่เป็นเรื่องนะครับ เมื่อวานหลังจากลงตอนที่ 13 ทั้ง 3 part ลงไปแล้วแอบไม่สบายใจหลายชั่วโมง คิดว่าตัวเองควรจะเซ็นเซอร์ให้มากกว่านี้ เพราะเนื้อหาค่อนข้างรุนแรงมากกก (ช่วยแนะนำได้นะครับ)


ถึงคุณ hotoil ครับ ถ้าให้พูดตามจริงเรื่องนี้เป็น "เรื่องแต่ง" ที่ based on true story ครับ ตัวละครแทบทุกตัวมีอยู่จริง แต่เปลี่ยนชื่อ หรือเปลี่ยนสถานภาพครับ ยกเว้นตัวละครที่ไม่มีส่วนได้เสียก็จะใช้ชื่อจริง เช่น ลุงร้านเช่าหนังสือ สำหรับเหตุการณ์กว่าร้อยละ 80 เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงในสถานที่จริงครับ แต่ผ่านเวลามาหลายปีแล้ว การนำมันมาเขียนใหม่จากความทรงจำทำให้ลำดับเวลาหลายอย่างผิดเพี้ยนไป และโดยเฉพาะการที่ผมใช้ โย๊ป เป็นคนเล่าเรื่องคู่ขนานไปกับ วิ เหตุการณ์อาจจะเป็นเรื่องจริง แต่ความรู้สึก กับความคิดทั้งหลายของโย๊ปนั้นมาจากการสังเกต การคาดเดา และแต่งเติมครับ 

ขอบคุณทุกคนครับ
"วิ"

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #24 เมื่อ16-10-2013 16:41:23 »

บทที่ 14 ใบไม้ใบเดียว/The Cinderella Racing/ The Journey to the Afterlife

   ใบไม้ใบเดียวร่วงหล่น ณ ลานทรงพล มันดังกึกก้องไปทั่วคณะอักษรศาสคร์ เป็นสุภาษิตของพี่วิครับ หมายความว่า เรื่องราวใดก็ตามไม่ว่าจะเล็กจะน้อยแค่ไหนในมหาลัยแห่งนี้ ไม่มีทางหลบพ้นหูพ้นตาผผู้อื่นไปได้ ข่าวลือนั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังและความลับนั้นไม่มีอยู่ครับ ตัวอย่างที่ใกล้ตัวผมน่ะหรอครับ ก็ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกลหรอก ตัวพี่วิเองนั่นแหละ อาจจะรวมไอ้คอร์ทด้วยอีกคน หลังจากที่สองคนนี้มีเรื่องกัน ไม่รู้จะมีเรื่องกันทำไมในเมื่อต้นเหตุก็เป็นคนอื่น แต่มันก็เป็นไปแล้วครับ ไอ้คอร์ทเพื่อนผมตั้งแต่สมัยมัธยม เด็กเรียนดี เรียบร้อย กลายเป็นเพลย์บอยขี้อวด แถมช่วงนี้ยังมีข่าวลือด้วยครับว่ามันเป็นไบ เพราะมันย้ายไปแชร์ห้องกับรุ่นพี่คณะมันแต่พี่คนนั้นเขาเป็นเกย์ครับ ส่วนพี่วิไม่ต้องพูดถึงจากเด็กเรียนดี ลุคเซอร์ๆ และเป็นกันเอง ตอนนี้ก็กลายเป็นเพลย์บอย และคนไม่เอาใจใส่ไม่รับผิดชอบครับ ไอ้ทรีบอกผมว่ามันห่วงพี่มัน ที่บ้านก็เป็นห่วงด้วย พี่วิไม่เคยกลับบ้านเลยครับเสาร์อาทิตย์ไปนอนห้องผู้ชาย บางทีก็หายไปกลับผู้ชายกลางคืนแล้วกลับมาตอนเช้า ยกตัวอย่างในเรื่องที่ไม่ดีเท่าไรนะครับ แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเข้าไปทำอะไรได้ครับ ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง

   ทุกปีมหาลัยของผมจะจัดงานหนังกลางแปลง ระยะเวลาจัดประมาณ 1-2 คืน แล้วแต่ปี ในปีนี้ก็เช่นกันครับ ชื่องานว่า คืนหนึ่งหนังไทย ถ้าจำไม่ผิดเขาจะเอาหนังเรื่องปอบ เรื่องแฟนฉัน หนังไทยเกือบเก่าประมาณนี้ครับ ในคืนที่จัดงานหอพักพวกผมก็จะเลื่อนเวลาปิดให้ครับ จากห้าทุ่มเป็นเที่ยงคืน
ตอนแรกคิดว่าจะชวนเพื่อนๆ ไปดูเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือ คะแนนสอบกลางภาคออกมาครบทุกวิชาแล้วครับ ปวดใจมาก พวกเราเลยชวนกันไปทำกิจกรรมเพื่อปลอบประโลมใจครับ
“พี่วิ เย็นวันศุกร์ไปร้องคาราโอเกะกับพวกผมมั้ย” ไอ้ทรีชวนพี่มัน (สัปดาห์นี้มันไม่กลับบ้านครับ) ตลอดแหละครับ ไม่เคยรู้หรอกว่าพี่วิเขาไปนอนห้องผู้ชายทุกสุดสัปดาห์
“.........................”
“อืม ไปดิวันศุกร์เหรอ กี่โมงอ่ะ” มาแปลกครับ
“6.30 พี่”
“เออๆ”

เย็นวันศุกร์พวกเราเอาจักรยานปั่นไปครับ แวะกินข้าวกันสักพักที่ตลาดนัดเวล ผมว่าเราโคตรเปิ่นเลยครับที่ขี่จักรยานมาเพราะว่าร้านคาราโอเกะร้านนี้ เป็นร้านแบบผู้ใหญ่ครับ คือ คนที่มาเที่ยวสามารถซื้อชั่วโมงสาวๆ เข้าไปนั่งในห้องได้ด้วย แถมพวกเราทุกคนยังแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษา ยกเว้นพี่วิที่ใส่เสื้อคลุมกันหนาวสีฟ้ามีฮู๊ด กับเดฟครับ
“มากันกี่ท่านคะ” พนักงานสาวถามพี่วิครับ คงดูจากการแต่งตัว
“5 คนครับ” พี่วิตอบ
“ค่ะ ต้องการเด็กเปิดขวดรึเปล่าคะ” พนักงานเสนอโปรโมชั่นครับ ซึ่งความจริงคือการถามว่าพวกผมจะจ้างพวกเธอไปนั่งเล่นด้วยมั้ย
“ไม่ดีกว่าครับ” พี่วิตอบสุภาพครับ แล้วยิ้มให้พนักงาน ยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ้มเจ้าชู้มากครับ พฤติกรรมรวมกับลุคใหม่ของพี่วิทำให้ผมคิดว่า คนๆ นี้เปลี่ยนไปมากครับ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก
“เชิญด้านนี้เลยค่ะ” แล้วพนักงงานก็เดินคู่กับพี่วิ นำพวกเราเข้าไปห้องคาราโอเกะขนาด 5-10 คน ที่อยู่ด้านใน
“สักพักจะมีพนักงานมารับออเดอร์นะคะ” แล้วเธอก็เดินออกไป
“ร้านคิดราคาเป็นชั่วโมงอ่ะ” ผมบอกเพื่อนๆ แล้วเราก็เริ่มเลือกของกินเล่นกับเครื่องดื่มครับ จนพนักงานนุ่งน้อยห่มน้อยเดินเข้ามาครับ แล้วเรื่องตลกมากๆ ก็เกินขึ้นเพราะเธอเป็นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน พวกเราทุกคนสั่งหมดแล้ว
“เอ่อน้อง....พี่เอาสไปร้ท์ด้วยนะ 4 ขวด” พี่วิสั่ง เพราะเราสั่งเบียร์กันเป็นส่วนใหญ่ครับ
“สปร้ายทท ไหนคะ” เธอพูดไม่ค่อยชัด
“สไปร้ท์ขวดสีเขียวน่ะ” พี่วิบอก
“สปร้ายย สีเขียวที่นี่ไม่มีค่ะ มีแต่สปร้ายยยแดง” พนักงงานบอก พวกเรางงมากครับ สไปร้ท์ที่พม่าทำขวดสีแดงหรอ
“อืมๆ เอามาเหอะ” พี่วิตัดบท เสียงหงุดหงิดครับ สังเกตุมานานละครับว่าเวลาพี่เขาสั่งคนน้ำเสียงเขาจะออกมาแบบนี้ ทำนองเอาแต่ใจ จะเอาให้ได้
   ของเริ่มมาเสริ์ฟ แล้วเราก็เริ่มร้องเพลงกันครับ ร้องกันเยอะมากเลยครับ ช่วงแรกก็เพลงที่กำลังฮิต พอเบียร์เข้าปากไปสักพัก ก็เริ่มเป็นเพลงเร็ว แล้วก็ลุกขึ้นเต้นครับ สักพักผมสังเกตว่าพี่วิกับไอ้วิตซ์เดินออกไปนอกห้องครับ ผมคิดว่าคงไปเข้าห้องน้ำ สักพักพี่วิกลับเข้ามาก่อนครับ หน้านิ่วมาเชียว แล้วอีกไม่นานไอ้วิตซ์ก็กลับมาครับมาพร้อมกับสาวเปิดขวด ขาวนมโต นุ่งกระโปรงสั้น หน้าตาโอเค ไอ้ห่าวิตซ์เอาแล้วไงครับ แต่ไม่มีใครว่ามันหรอก กำลังติดลม สาวเสริ์ฟเธอเต้นเก่งดีครับ ส่วนพี่วิกระดก สปายครับ กระดกเอาๆ
“เฮ่ยพี่....เอาสปายมาจากไหน ไม่ได้สั่งนิ” ผมถามเห็นพี่เขาดูหงุดหงิดเลยชวนคุย
“ตั้งแต่แรกแล้ว สปร้ายยยสีแดงไง” พี่วิทำเสียงล้อ
“55555555” ผมขำแตกเลยครับ พนักงานจากประเทศเพื่อนบ้านฟังสไปร้ท์เป็นสปาย
“เปิดขวดมาเรียบร้อยเลย เวร” แล้วก็กระดกต่อครับ คงคอแห้ง
ประมาณหนึ่งชั่วโมงผ่านไปพวกเราก็สั่งของกินกับเครื่องดื่มเพิ่มครับ ดื่มเบียร์กันเป็นว่าเล่น หมดไวมาก ตอนนี้ส่วนใหญ่ไอ้เอ็มจะเป็นคนร้องเพลงครับ เพราะมันดื่มได้แต่น้ำเปล่าแพ้แอลกอฮอล์ แล้วก็ไอ้วิตซ์ครับเพราะมีเด็กเชียร์ ไอ้ทรีนั่งนิ่งมากครับ ส่วนพี่วิก็นั่งตัวเอนเลยตั้งแต่สปายหมดไปสองขวด
“เฮ้ย.....ใครเลือกเพลงนี้ใส่คิววะ” ไอ้ทรีโวยวายขึ้นมา ผมเลยหันไปมองจอว่าเพลงอะไร
“พี่เลือกเอง.....” พี่วิโงหัวขึ้นมาครับ เพลงโจทย์รัก ของเล้าโลม เพลงโปรดที่ไอ้คอร์ทร้อง ต่อมาผมถึงได้รู้หลังจากนั้นว่าไอ้ทรีเคยบอกพี่วิว่าไอ้คอร์ทชอบเพลงนี้
“....................” ไอ้ทรีดูโมโหพี่มันครับ
“มาโย๊ปร้องกับพี่” พี่วิลุกมากอดคอผมครับ พยามยามทำเป็นไม่สนใจไอ้ทรี ท่าทางพี่เขาคงมึนเลยต้องเอาแขนคล้องคอผมไว้ แล้วเราก็ร้องเพลงกันครับ พี่วิร้องได้อารมณ์มาก คงอินเหมือนกัน

“ หนึ่งคนทิ้งเราให้ตาย อีกคนให้ลมหายใจ หนึ่งทางคือรักจริง อีกทางก็รักฝังใจ
ไม่อยากเสียใครสักคน แต่วันนี้ต้องตัดสินใจ โจทย์ความรักจะจบเช่นไร ก็ยังไม่รู้หัวใจตัวเอง........”


   ผมดูนาฬิกาอีกทีก็ 11.09 แล้วครับ อีกไม่ถึงชั่วโมงหอเราจะปิดแล้ว แต่ตอนนี้ไอ้ทรีเมาหลับแล้วครับ พี่วิก็ซบไหล่ผมอยู่ พี่เขาจัดสปร้ายยยไป 4 ขวด ล้มไปเลยครับ ไอ้เอ็มคงร้องหมดแรงเลยนั่งกินกับแกล้มเล่น ไอ้วิตซ์นั่งร้องเพลงมึนๆ ครับ สาวเปิดขวดก็กลับไปแล้ว ผมเลยบอกเอ็มให้ดูเวลาครับ แล้วผมก็สะกิดปลุกพี่วิ เพิ่งเคยเห็นหน้าพี่วิตอนหลับครับ เพราะในห้องพี่เขาเอาโต๊ะทำงานบังเตียงไว้ พี่วิตอนหลับก็ยังขมวดคิ้วครับ ดูจริงจัง มันทำให้หน้าพี่เขาดูคมเข้มขึ้นนะผมว่า ทรงผมใหม่ก็ทำให้ดูดีขึ้นด้วย กว่าไอ้ทรีจะคืนชีพ ผมเลยพยุงพี่วิไปห้องน้ำครับ
“ไหวป่ะพี่” ผมถามพี่วิทำหน้าจะอ้วก ตาแดงมาก
“อืม...........” แล้วพี่เขาก็ล้างหน้า บ้วนปาก
“อืมๆ ไปครับ กลับกัน” แล้วผมก็พยุงเขาออกมา
   ตอนกลับหอกันนี่แหละครับ เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตมหาลัยของผมเลยครับ ตอนหลังพี่วิตั้งชื่อเรียกมันให้ผมอย่างไพเราะว่า The Cinderella Racing มาจากเกมที่ผมชอบเล่น Chokobo Racing (คล้ายๆ เกมรถแข่ง) กับชื่อ ซินเดอเรลล่า ที่ต้องกลับจากงานเต้นรำตอนเที่ยงคืนก่อนที่มนตร์วิเศษจะหายไป พวกเราต้องปั่นทำเวลามากครับเพราะต้องกลับหอก่อนเที่ยงคืน ตอนนี้ 11.45 แล้วครับ ไอ้ทรีพอประคองตัวได้เลยให้ซ้อนไอ้เอ็มครับ ส่วนพี่วิซบหน้าอยู่กับหลังผมนี่แหละครับซ้อนผมกับ กลัวพี่เขาร่วงมากครับ
“พี่เกาะเอวผมไว้นะ” ผมบอกจับมือพี่เขาคล้องเอวผมครับ
“อืมม...”
พอเราเร่งสปีดเลยตลาดเวลมาสักระยะ จากการรีบกลับหอมันก็กลายเป็นการแข่งขันละครับ แต่ละคนขาดสติกันมาก
“เอาป่าวพวกมึง ใครถึงก่อน” ตะโกนท้ากันครับ
“ไม่เคยกลัวอ่ะ ไอ้สัตxx” แล้วพวกเราก็ปั่นแข่งกันเอง แทนที่จะปั่นแข่งกับเวลา
“เฮ๊ย...โย๊ปอย่าแพ้นะ” พี่วิฟื้นมาแล้วครับ แต่กอดเอวผมอยู่
“555 ครับ” ตอนแรกผมนึกว่าพี่จะด่าที่พวกเราแข่งรถกันบนถนนใหญ่ครับ
“เห้ย....เอ็ม วิตซ์ แน่ป่าววะ” ยังมีอารมณ์ไปท้าคนอื่นด้วย ผมนี่เมื่อยตีนจะตายแล้ว
สุดท้ายแล้วคู่ผมชนะครับ และผมก็รู้นิสัยพี่วิว่าเป็นคนชอบเอาชนะมาก เรามาถึงห้องก่อนเที่ยงคืนไม่มากครับ พี่วิไปถอดคอนแทกเลนส์ แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอน ผมฝันถึงตอนแข่งจักรยานต่อจากนั้นอีกหลายคืนครับ ฮ่าๆ (เตือนว่ามันเกิดจากความคึกตะนองประสาวัยรุ่นล้วนๆ แข่งจักรยานกลางถนนสายหลักอาจประสบอุบัติเหตุถึงตายได้ครับ)

 แล้วก็อีกเหตุการณ์ที่เป็นความทรงจำดีๆ ครับ จะไม่พูดถึงก็คงไม่ดีนัก เรื่องที่เราจะทำต่อไปนี้พี่วิตั้งชื่อให้มันอีกแล้วว่า The Journey to the Afterlife การเดินทางสู่ชีวิตหลังความตายครับ เช่นเดียวกับโรงเรียน โรงพยาบาล หรือวัด มหาลัยเป็นพื้นที่อีกประเภทหนึ่งที่ดำรงอยู่กับเสี้ยวของความเชื่อ ความศรัทธา และสิ่งเหนือธรรมชาติ แม้ว่าชื่อมหาวิทยาลัยจะแปลตรงตามตัวอักษรว่า สถานที่อาศัยที่ยิ่งใหญ่แห่งปัญญา หรือสถานที่อาศัยแห่งปัญญาที่ยิ่งใหญ่ (พี่วิ เด็กอักษรฯ บอกมา) ดูขัดแย้งกันรึเปล่าครับ เหตุผลหนึ่งเพราะมนุษย์มีความเชื่อ มีความอ่อนแอ ความกลัวต่อสิ่งที่ตนเองไม่รู้และไม่เข้าใจ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ชื่อไอ้ทรีครับ ไอ้เชี่ยนี่ยิ่งกลัวหนัก มันเริ่มต้นจากการอยากทำอะไรที่ท้าทายครับหลังจากที่พวกเราดูหนังผีมาเยอะ มันก็คงต้องถึงเวลาที่เราต้องลองของจริง
มหาลัยผมสร้างขึ้นทับซ้อนกับพื้นที่ของวังเดิมครับ สิ่งก่อสร้าง หรือสถานที่จำนวนหนึ่งซึ่งเดิมเคยเป็นของราชสำนัก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังปรากฏอยู่ให้เห็นบ้าง แต่ส่วนมากแล้วก็จะปล่อยให้ร้าง ไม่ได้ใช้ประโยชน์ครับ และเมื่อสถานที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ไม่ได้มีการรู้จักหรือเข้าใจโดยบรรดานักศึกษาที่มาร่ำเรียนอยู่ ก็เป็นกฎธรรมดาที่มันจะค่อยๆ ถูกเข้ามาครอบครองโดยความเชื่อที่เหนือความเข้าใจ
“มหาลัยเราน่ากลัวเนอะ...วันก่อนก็มีข่าวลือว่าที่คณะผมมีคนโดดตึกลงมา แต่ไม่เจอศพ” ผมเล่าให้พี่วิที่อยู่คนละคณะกับผมฟัง
“ธรรมดา” พี่วิบอก ทำท่าว่ารับรู้แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องนี้มากเท่าไร
“เมื่อ 2 ปีก่อนที่คณะพี่ก็มีข่าวลือว่าแม่บ้านมาผูกคอตายในห้องเรียน คืนวันศุกร์ แล้วมาเจอศพวันจันทร์ แต่มันก็เป็นแค่ข่าวลือนะ มีอิทธิพลต่อคนจำนวนมาก แต่เราก็ไม่เคยสืบสาวต้นตอของมันว่าจริง รึเปล่า” พี่วิเล่า
“พี่มาอยู่ที่นี่เคยเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเองบ้างป่าวครับ” ผมถาม
“โดนผีหลอกน่ะเหรอ เคยสิ ที่ห้องนี้แหละ” พี่วิบอกยิ้มๆ ครับ
“เฮ้ย....จริงอ่ะพี่” ไอ้ทรีครับ ไอ้มนุษย์ที่กลัวผีขึ้นสมอง
“....หึหึ ทำไมเหรอ” พี่วิต่อครับ
“เล่าให้ผมฟังหน่อยดิพี่” ผมบอกพี่เขา อยากรู้ว่าพี่วิเคยเจอผีที่ห้องนี้แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
“อืมๆ..” พอพี่วิรัยคำไอ้ทรีก็วิ่งออกไปนอกห้องเลยครับ แต่แป๊บเดียวมันก็พาไอ้เอ็มมาเป็นเพื่อนฟังด้วย ไอ้เวรนี่กลัวแต่ก็อยากรู้ครับ ผมเลยเดินไปปิดไฟเพื่อสร้างบรรยากาศครับ
“ก่อนอื่นมันอาจเกิดจากเหตุผลบางอย่างที่พี่ไม่รู้ไม่เข้าใจนะ แต่การที่มาเล่าเป็นเรื่องผี แปลว่าพี่กำลังอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยแนวคิดความเชื่อในโลกหลังความตายนะ” เด็กเรียนครับ จะเล่าเรื่องผียังต้องให้คนฟังคำนึงถึงเหตุผล
“พวกเราเห็นที่ว่างตรงหน้าต่างนั้นมั้ย” พี่วิพูดแล้วชี้มือไปที่ว่างระหว่างตู้เสื้อผ้ากับหน้าต่างห้องครับ
“เมื่อก่อนโต๊ะคอมพ์ที่ทรีใช้เคยตั้งอยู่ตรงนั้น เป็นของรูมเมทคนเก่าพี่.....เพื่อนๆ ในคณะหลายคนชอบมานั่งเล่นนอนเล่นคุยกันที่ห้องนี้ บางคนก็ขอมาใช้คอมพ์.....วันเสาร์วันหนึ่งรูมเมทพี่กลับบ้าน แต่มีเพื่อนที่คณะมาขอใช้คอมพ์ ประมาณเที่ยงคืนมั้งเพื่อนใช้คอมพ์เสร็จก็กลับไปพี่เดินไปล็อกห้องแล้วกลับมานอนที่เตียงนี่คนเดียว” เตียงพี่วิหันปลายเตียงเข้าที่ว่างนั่นเลยครับ แสดงว่าเมื่อก่อนหน้าจอคอมต้องหันหน้าเข้าหาพี่วิ
“....พี่หลับไปสักพักใหญ่ๆ ก็รู้สึกว่าแสงสีฟ้าจากจอคอมพ์มันแยงตา ได้ยินเสียงคนพิมพ์คีย์บอร์ดเสียงดังต๊อกแต๊กไม่หยุด.....พี่คิดว่าเพื่อนเข้ามาใช้ แต่ก็นึกได้ว่าตัวเองล็อกห้องแล้ว จำได้ว่าล็อกห้องแล้วด้วยความรำคาญพี่เลยจะลุกขึ้นมาลืมตาดูว่าใคร......แต่พี่ลุกไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้เลย ลืมตาก็ไม่ได้ แสงก็ยังมีอยู่ เสียงพิมพ์ก็ยังดังอยู่ พี่ดิ้นรนอยู่สักพัก ก็ลืมตาลุกนั่งได้ แต่พอมองดูไม่มีใครเลยคอมพ์ก็ปิด เดินไปดูประตูห้องก็ล็อก....พี่กลัวมากตอนนั้นวิ่งไปห้องลิตเติ้ลเลย แต่มันดึกมาแล้วพี่เลยเกรงใจ อีกอย่างตอนนั้นพี่คิดว่าพี่เพิ่งอยู่ปีหนึ่ง ต้องอยู่ห้องนี้อีก 4 ปี ถ้าพี่หนีครั้งนี้ พี่จะต้องหนีไปอีกกี่ครั้ง พี่เลยเดินกลับเข้ามานอน คิดว่านี่เป็นที่ของเรา ตั้งแต่นั้นมาพี่ไม่เคยเจออีกเลย” พี่วิหยุดพัก
“แต่เรื่องที่ไม่เกิดกับพี่อีก ดันไปเกิดกับเพื่อนพี่แทน เพื่อนพี่ที่อยู่ห้องข้างๆ วันนั้นเขาอยู่หอคนเดียว พี่กับรูมเมทพี่ก็กลับบ้าน....ดึกมากๆ แล้ว เพื่อนพี่เห็นแสงสีฟ้าของคอมพ์สะท้อนออกมาจากทางหน้าต่าง เพราะหน้าต่างห้องเราติดกัน....เพื่อนพี่ด้วยความสงสัยเพราะรู้ว่าเพื่อนกลับบ้านหมด เลยปีนดู พอชะโงกหน้ามาไฟสีฟ้าก็หายไป เพื่อนพี่เลยรีบวิ่งมาหน้าห้องเลยเห็นว่าห้องพี่คล้องแม่กุญแจอยู่ เขาหลอนมากเลยนะตอนนั้น....” แล้วพี่วิก็จบเรื่องครับ
“พี่วิฮาร์ดคอร์สุดๆ อ่ะ ขนาดผียังกลัว” ไอ้เอ็มครับ
“ไอ้บ้า...ก็แค่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ในตอนนั้น” พี่วิบอก ผมนิ่งสักพักแล้วเสนอออกไปครับ
“พี่วิวันศุกร์นี้เรามาเล่นอะไรสนุกๆ กันดีกว่าครับ” ผมชวนแม้รู้ว่าพี่เขาอาจจะไปค้างห้องแฟนเขาเปล่าไม่รู้ ผู้ชายที่สูงไล่ๆ กับผม ขาว หน้าตาดี แต่ดูหยิ่งๆ คนที่ผมเจอที่อารต์ อเวนิว
“ไอ้ทรีวันศุกร์นี้มึงก็ห้ามกลับบ้านนะ มาอยู่เล่นด้วยกัน” ผมสั่งเพื่อนครับ กลัวคนน้อยจะไม่สนุก
“อะไรวะมึง” ไอ้ทรีประท้วงแต่สุดท้ายก็ยอมครับ สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดัง
“ไง...ท็อบ” พี่วิรับโทรศัพท์เสียงหวาน แบบที่ผมได้ยินแล้วตกใจครับ คนแบบพี่วิใช้น้ำเสียงแบบนี้กับคนอื่นเป็นด้วย ขนาดไอ้ทรีที่โตด้วยกันมายังพูดจาภาษาพ่อขุนเลยครับ
“ไม่อ่ะ.....วันศุกร์ไม่ว่างนะ” ทำเสียงอ้อนด้วยครับ
“น้องชวนไปเที่ยวอ่า.......” แล้วพี่เขาก็เดินออกไปคุยต่อข้างนอกห้องครับ พวกผมเลยมองหน้ากัน ทั้งตูนทั้งท็อบเลยพี่


เย็นวันศุกร์พวกผมไปกินข้าวกันที่เต็นท์เขียวครับ เต๊นท์เขียวเป็นลานดินกว้างขนาใหญ่อยู่ตรงข้ามกับหน้ามหาลัย มีร้านขายอาหารประมาณ 20-30 ร้าน ตั้งแต่อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน อาหารเหนือ หอยทอด ผัดไท ผลไม้ ตลอดจนขนมหวาน เย็นนี้เรากินก๋วยเตี๋ยวกันครับ ก๋วยเตี๋ยวน้ำตกร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยเหมือนกัน แต่ที่ขึ้นชื่อกว่าความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวคงจะเป็นความหล่อของลูกชายเจ้าของร้านน่ะครับ ต้องยอมรับครับว่าน้องเขาเป็นเด็กกตัญญูที่มาช่วยมาขายก๋วยเตี๋ยวดดยไม่อายเพื่อน และด้วยความหน้าตาดี บวกกับอัธยาศัยดีนี่เอง สาวแท้ สาวเทียมจึงมาติดตรึมครับ
“เส้นหมีเนื้อเปื่อยไม่งอกค้าบบบ” น้องเขาเอาก๋วยเตี่ยวที่พี่วิสั่งมาส่งให้ถึงมือ พี่วิก็ยื่นมอไปรับครับ น้องเขายิ้มเล็กยิ่มน้อย
“ขอบคุณครับ” พี่วิตอบสุภาพแต่ส่งสายตากับรอยยิ้มเจ้าชู้อีกแล้ว มือก็ยังไม่ยอมปล่อยครับ
“....พี่” ไอ้ทรีทำเสียงเตือนครับ ฮ่าๆๆ พี่วิหันมามองแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำหน้าแบบอินโนเซนต์มาก แล้วก็เริ่มกินก๋วยเตี่ยวครับ
“สรุป....ไอ้โย๊ป คืนนี้มึงจะทำอะไรวะ” ไอ้ทรีถามครับ แต่กิจกรรมในคืนนี้มีแต่ผมกับพี่วิสองคนที่รู้ล่วงหน้า เดี่ยวไม่ตื่นเต้นครับ
“เดี๋ยวมึงก็รู้...รีบไปทำไม” ผมด่ามันครับ
พอกินเสร็จเราก็ไปแวะร้านเช่าหนัง กับร้านขายของชำหน้าอารต์ อเวนิวครับ ผมไปซื้อเทียนไขกับไฟแช็ค แล้วมุ่งหน้ากลับหอครับ

สี่ทุ่มแล้วพวกเรามาพร้อมกันหน้าหอครับ กิจกรรมก็คือเราจะเดินเป็นวงกลมจากหอพัก ข้ามสระแก้ว เกาะนก (เกาะที่อยู่กลางสระแก้ว) ผ่านบ้านจักรยาน (บ้านเก่าสมัยร.6) หอพักหญิง ไปสนามบอล คณะเทคโนฯ ของผม จากนั้นก็คณะเภสัชฯ จนที่สุดท้ายคือคณะอักษรฯ แล้วค่อยเดินกลับหอครับ โดยแต่ละที่ที่เราเดินผ่านพี่วิจะเป็นคนเล่าเรื่องผีที่เคยมีคนพบเจอ ณ ที่นั้นให้พวกเราฟังในฐานะที่เรียนประวัติศาสตร์ แล้วก็อยู่ที่นี่มานานที่สุด ส่วนพวกเราจะเป็นถือเทียนไขแล้วก็ฟังครับ ก่อนออกมาไอ้เชี่ยทรีหลอนมาก จะไม่ยอมมาด้วย จนผมต้องบอกว่ามึงต้องอยู่คนเดียวนะโว้ย จำเรื่องผีในห้องที่พี่วิเล่าให้ฟังได้ป่าว มันถึงยอมมาด้วยกัน
สระแก้ว เกาะนกคือจุดหมายแรกครับ ไม่นานที่ผ่านมาเพื่อนเราคนหนึ่งเพิ่งจมน้ำตายไป แต่ในสมัยที่มหาลัยยังเป็นวังสนมที่คบชู้จะถูกจับใส่โซ่ตรวนแล้วมาถ่วงน้ำที่นี่ครับ
“ที่เกาะนก รุ่นพี่ของพี่เคยเล่าให้ฟังว่าปีหนึ่งเธอกับเพื่อนสองคนมาปีนต้นพิกุลตอนประมาณสองสามทุ่มเพื่อจะได้เอาไปประดับพานไหว้ครูในวันรุ่งขึ้น ขณะที่พี่คนหนึ่งปีนขึ้นไปเก็บดอกพิกุลแล้วส่งลงมาให้เพื่อน เธอก็พูดว่าเรากลับกันเถอะ แต่เพื่อนท้วงว่าเพิ่งเก็บได้นิดเดียวเอง พี่คนนั้นไม่สนใจรีบปีนลงมาแล้วเล่าให้เพื่อนฟังว่า มีมือหยิบดอกพิกุลยื่นมาให้จากข้างบน” เรื่องแรกผีต้นพิกุลบนเกาะนกพวกเราก็ขนลุกแล้วครับ
ถนนผ่านบ้านจักรยานกับคณะวิทยาศาสตร์ มีต้นจามจุรีสูงขนาบสองข้างทางครับ พี่วิเล่าว่ามีเด็กคณะวิทยาฯ ขับรถจักรยานหลังจากรับน้องมาตอนกลางคืนมองเห็นต้นไม้ทั้งสองข้างเป็นขาที่ยาวมากๆ พอเงยหน้าดูเลยเห็นผีเปรตก้มหน้ามองอยู่ เรื่องนี้พวกผมก็เสียวครับ เลยไปหอหญิงมีผีโซ่ตรวนหัวขาดเดินเข้าห้อง มีผีบนดาดฟ้า ผมว่าธรรมดาครับ แต่จากหอหญิงไปคณะผมมีถนนเส้นเล็กที่เรียกว่า บลู โร๊ด เนื่องจากปูด้วยอิฐสีน้ำเงินครับ
“เพื่อนคณะเทคโนฯ เคยเล่าให้ฟังว่ามีคนเคยขี่จักรยานผ่านบูล โร๊ด คนเดียวตอนกลางคืน ปรากฏว่าขี่ยังไงก็ข้ามไม่ถึงอีกฝั่งสักที” พี่วิเล่าครับ ต่อไปก็เรื่องที่คณะเภสัชฯ เรื่องเล่าไม่น่ากลัวแต่ทางเดินของคณะน่ากลัวมากครับ แต่ไคลแม็กซ์ของเราคือที่สุดท้ายครับ คณะแรกที่ก่อตั้งในวิทยาเขต คณะอักษรฯ ครับ พี่วิเล่าว่า บนลานที่เด็กอักษรใช้รับน้องเรียกว่าลานทรงพล เคลเป็นลานประหารครับ หากเข้าห้องน้ำชั้นล่างจากตึกเรียนแล้วมองออกมาก็จะเห็นลาน
“พี่เด็กคนหนึ่งซ้อมเชียร์จนดึก แต่เกิดปวดท้องเลยเข้าห้องน้ำ พอตอนจะออกจากห้องน้ำมองออกไปที่ลานแล้วเห็นนางรำหัวขาดกำลังรำอยู่ เลยกลัวแล้วหนีกลับเข้าไปอยู่ที่ห้องน้ำ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชฎาลอยอยู่โดยที่พื้นไม่มีเท้าคน” พวกผมขนลุกอีกแล้วครับ
ที่ต่อไปคณะอักษรเหมือนกันครับ พี่วิพาพวกเรามาที่ภาคสังคมวิทยาของพี่วิครับ หน้าภาคมีลานสี่เหลี่ยมเรียกว่าลานพิกุล ลานนี้ก็มีประวัติศาสตร์สมัน 14 ตุลาฯ ครับ คือเป็นที่ใช้เผาหนังสือตำราที่ถูกบอกว่าเป็นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์  การเผาหนังสือ แหล่งความรู้ที่ยิ่งใหญ่ในมหาวิทยาลัยเป้นการกระทำบาปร้ายแรงครับ เพราะเป้นการทำลายวิญญาณความรู้ในสถานที่อาศัยของความรู้
“ที่ชั้นสอง ภาควิชาพี่ตอนนั้นมีเด็กต้องการจะแกล้งเพื่อนโดยแอบขึ้นไปข้างบนแล้วค่อยๆ โปรดใบไม้ลงมาหวังจะให้เพื่อนกลัว แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือมีอีกสิ่งหนึ่งกำลังช่วยเขาโปรดใบไม้ลงไปเหมือนกัน เป็นผู้หญิงนุ่งสไบนังบนราวทางเดิน พอเด็กคนนั้นหันไปดู ผู้หญิงนุ่งสไบ ก็หันมายิ้มให้แต่หน้าไม่ใช่คน ที่ซวยที่สุดคือทางเดียวที่จะลง คือต้องวิ่งผ่านผู้หญิงมาที่บันไดตรงนี้” พี่วิจัดเต็มเลยครับทัวร์สู่รอบหลังความตายคืนนี้
ระหว่างที่เราเดินข้ามสะพานสระแก้วกลับหอก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อยครับ แต่ไม่ใช้เรื่องผีแล้ว
“เรื่องแบบนี้กูพอแล้วนะ ไม่เอาแล้ว” อาจจะยกเว้นไอ้ทรี
“พี่วิถามหน่อยสิ พอดีผ่านลานทรงพลเลยนึกได้” ผมฉีกออกนอกเรื่องครับ
“อืม อะไรล่ะ”
“ตอนเด็กอักษรฯ รับน้องจะมีฉายาใช่มั้ยครับ” เด็กผู้ชายอักษรฯ จะมีชื่อที่รุ่นพี่ตั้งให้เพื่อใช้ในการสร้างความบันเทิงและความวุ่นวายครับ
“อืมใช่......” พี่วิตอบ ดูเหมือนไม่อยากพูด อต่ผมอยากรู้
“พี่วิมีชื่อมั้ย” ผมรบเร้า
“มีสิ.....”
“ชื่ออะไรครับ”
“...............................”
“วิภพ ยบแล้วเลิกเค็ด......มันเป็นการเล่นผวนเสียงของคำพูดน่ะ เมื่อก่อนรุ่นพี่มันไม่รู้ว่าพี่ชื่อวิฬะ มันเลยเรียกเป็นวิภพ วิภพ ยบแล้วเลิกเค็ด” พี่วิอายมากแล้วครับตอนนี้แสงไฟจากถนนส่องลงมาหน้าแดงเลย พอไอ้ทรีได้ยินมันก็หัวเราะลั่นเลยครับ ผมอึ้งครับ
“ชื่อเชี่ย.....แม่งแช่งกันสุดๆ” ไอ้ทรีพูดไปขำไป
“ชื่อโคตรเพลย์บอยเลยพี่” ไอ้เอ็มก็หันมาบอกครับ หน้าแดงเหมือนกัน 

ช่วงสองสัปดาห์นี้ชีวิตมหาลัยผมสนุกมากครับ แม้บางครังจะเกินของเขตไปบ้างแบบแข่งจักรยานบนถนนสายหลัก แต่การเดินทางสู่ชีวิตหลังความตายทำให้ผมรู้เรื่องความเชื่อในมหาลัยเพิ่มขึ้น ผูกพันกับมหาลัยเพิ่มขึ้น และผมยังได้รู้จักกับตัวตนอีกคนของพี่วิ วิภพ ยบแล้วเลิกเค็ด

ออฟไลน์ minminmin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #25 เมื่อ16-10-2013 17:01:28 »

ใจจริงๆยังเชียร์คอร์ทอยู่เลยนะ  แต่เค้าหายไปเลยอ่าาาาาาา

แล้วตูนนี่ยังไงกันแน่? ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ว่าแค่เล่นๆหรือจีบ555+

ท็อปก็น่ารักดี ท่าทางจะจริงจัง(?) แต่คอร์ทคนเก่าน่ารักกว่า

สรุปคนไหน ยังไงกันแน่เนี่ย :katai1:

SanDiego

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #26 เมื่อ16-10-2013 23:16:54 »

เข้ามาตามเก็บต่อ อย่าเพิ่งรีบลงดิครับ อ่านไม่ทัน บอกเลย  :katai1:

SanDiego

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #27 เมื่อ16-10-2013 23:29:23 »

ลืมบอกไปว่า ไม่ต้องเซนเซอร์นะครับ แบบนี้กำลังดีแล้ว อิๆๆ  :hao6:
แล้วก็....ชอบการเขียนนะครับ บอกเลย  :katai3:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #28 เมื่อ17-10-2013 02:33:40 »

คุณเจ้แนะนำนะคะ  ว่าเรื่องใหม่ๆ ควรจะลงเยอะๆ เข้าไว้  เพราะคนอ่านจะได้ติดใจ และเรื่องจะได้ไม่ตกไปหน้าหลังๆ

สู้ๆ

ปล.  เคาะย่อหน้า  จัดหน้า  ให้มันน่าอ่านหน่อย

แน่นมากไป  ก็ไม่ดีนะค่ะ

อิเจ้

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #29 เมื่อ17-10-2013 22:49:41 »

ขอบคุณทุกคำ แนะนำนะครับ เรื่องความเยอะ (หนักด้วยหรือเปล่า) ของเนื้อหาอาจทำให้คนอ่านมีปัญหาครับ แต่ผมดันเลือกใช้การเล่าเรื่องจากมุมมองของตัวละคร 2 คน  (วิเล่าบทเลขคี่ โย๊ปเล่าบทเลขคู่) ทำให้การตัดทอนเรื่องราวแล้วเพิ่มจำนวนบทเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม้ได้ครับ (กลัวว่าโครงสร้างลำดับเหตุการณ์จะพัง) เลยจะลองทำตามบทที่ 13 คือ แบ่งออกเป็นตอนสั้นๆ แต่คนเล่ายังเป็นคนเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น
15(1)
15(2)
15(3) ซึ่งวิเป็นคนเล่าทั้งหมดครับ

ขอบคุณครับ
"วิ"

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด