My Almond Crush....
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Almond Crush....  (อ่าน 44554 ครั้ง)

ออฟไลน์ sine_saki

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #90 เมื่อ26-10-2013 19:36:35 »

ตอนนี้เหมือนน้องท๊อปจะมาวินกว่าเลย
น้องโย๊ปไปไหนแล้ว ไม่ค่อยมาแสดงตัวเลย(แอบเชียร์อยู่ อิอิ)

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #91 เมื่อ26-10-2013 22:14:51 »

ไม่มีใครเป็นสินค้าไม่มีตำหนิหรอก

greenoak

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #92 เมื่อ26-10-2013 22:35:34 »

มีคนบอกว่าเรื่องนี้เด็ด เลยเข้ามาดูครับ ปรากฏว่า......สุดๆ อ่ะ  :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #93 เมื่อ27-10-2013 00:34:30 »

ไม่มีใครเป็นสินค้าไม่มีตำหนิหรอก

พูดได้เหมือนที่ใจฉันคิด

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณ คุณ uknowvry และคุณ oaw_eang มากครับ คอมเมนท์สั้นๆ แต่ทำให้ชีวิตคนๆ หนึ่งดูมีคุณค่ามากขึ้นเยอะเลยครับ ในชั้นเรียนจิตวิทยาสังคมคนเราบ่อยครั้งมักมองไม่เห็นข้อดีของตน จนกระทั่งมีคนอื่นมาบอก รู้สึกว่าจะคล้ายๆ กับโฆษณาของโด๊ฟที่ให้เพื่อนผู้หญิงผลัดกันชมเพื่อน

ถึงผู้อ่านทุกท่านนะครับ ในบทนี้ผมยกกลอนที่มีความหมายและมีอิทธิพลมากกับวิในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย และช่วงที่เป็นวัยรุ่น กลอนนี้เป็นกลอนภาษาอังกฤษครับ โดยแถวด้านซ้ายจะเป็นต้นฉบับ ส่วนแถวด้านขวาผมแปลเป็นไทยให้เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

ขอบคุณครับ
"วิ"
..............................................................


15(11) But Only Love Can Say (เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี)

When I was one-and-twenty................................เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี
I heard a wise man say, ........................................มีผู้รู้มากล่าวไว้
'Give crowns and pounds and guineas..............   มอบไปเถิดสินทรัพย์นอกกายใด
But not your heart away;........................................แต่เก็บหัวใจไว้ให้จงดี
Give pearls away and rubies.................................มอบไปเถิดเพชรพลอยและแหวนแก้ว
But keep your fancy free.'......................................แต่เก็บจิตให้เป็นเสรี
But I was one-and-twenty,..................................แต่ตอนนั้นฉันอายุแค่ยี่สิบเอ็ดปี
No use to talk to me...............................................ฉันไม่ฟังหรอกคำที่เขาพูดมา

When I was one-and-twenty.............................เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี
I heard him say again,.........................................ผู้รู้ท่านได้ย้ำไว้
'The heart out of the bosom..............................ดวงใจที่ยกให้ผู้อื่นออกจากอกไป
Was never given in vain;.....................................หาใช่เป็นสิ่งของที่ไร้ซึ่งราคา
'Tis paid with sighs a plenty...............................จะนำกลับมาต้องแลกด้วยเสียงถอนใจนับหมื่นแสน
And sold for endless rue.'..................................เอามันคืนมาพร้อมกับความแค้นเศร้าไม่สิ้นสุด

And I am two-and-twenty,.................................และวันนี้ฉันอายุยี่สิบสองปี
And oh, 'tis true, 'tis true...................................และ โอ้  มันเป็นไปดังที่ท่านพูดมา
(When I Was One-and-Twenty by A. E. Housman แปลเป็นไทยโดย วิฬะ คณะอักษรศาสตร์)

        กลอน When I Was One-and-Twenty หรือที่ผมแปลเป็นภาษาไทยว่าเมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี เป็นกลอนภาษาอังกฤษที่ผมได้เรียนตอนอยู่ปี 3 เนื้อหาของกลอนนั้นกล่าวถึง เด็กอายุ 21 ปีคนหนึ่งซึ่งได้รับการตักเตือนจากผู้รู้ให้ระวังอย่ามอบหัวใจและจิตวิญญาณของตนไปให้กลับใครง่ายๆ เพราะเมื่อใจที่ออกจากอกไปแล้ว ถ้าต้องการกลับมาราคาของมันถือการถอนใจนับพันนับหมื่นครั้ง และความเศร้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด ท้ายที่สุดเด็กคนนั้นก็ไม่ฟังเพราะเขายังเด็กอายุแค่ 21 ปี กระทั่งเขามอบหัวใจตัวเองให้กับคนอื่นไปแล้ว ผ่านความเจ็บช้ำ และโศกเศร้าจนอายุได้ 22 ปี และมองย้อนกลับไปมองตัวเองเมื่ออดีต จึงอุทานว่า มันเป็นจริงดังที่ผู้รู้เตือนไว้

        ผมอินกับกลอนนี้มากครับเพราะมันเหมือนกับชีวิตผมไม่มีผิด และโดยเฉพาะไอ้ท็อบ ผมคิดว่าในเร็ววันนี้ผมจะเขียนกลอนบทนี้ให้กับมัน ผมไม่อยากให้มันเสียใจเพราะฝากหัวใจไว้กับผม จนมันโตขึ้นเพื่อที่จะเรียนรู้ความโศกเศร้าและลงเอยแบบกลอนบทนี้


     วันนี้เป็นวันศุกร์ครับ โดยสี่วันที่ผ่านมาผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเข้าห้องเรียน ทำงานกลุ่ม และอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคในสัปดาห์หน้า ซึ่งน่าอายมากคือตอนนี้ผมแทบจะย้ายตัวเองมาอ่านหนังสือห้องคอร์ทแล้ว และก็นอนที่นั่นเลย  อย่างไรก็ตามวันศุกร็นี้ ไม่ได้เป็นวันศุกร์ธรรมดาครับแต่เป็นวันที่ผมต้องเข้าอภิปรายในงานรักแห่งสยาม งานนี้จัดไม่ใหญ่มาก จัดที่ห้องประชุมบนอาคารสำนักงานคณะที่จุผู้เข้าชมได้ไม่เกิน 100 คน และผมกำลังนั่งทบทวนความคิด เพื่อจะมีคำถามที่ต่อยอดจากการอภิปรายของพวกเราทั้ง 3 คน แต่ผมว่าไคลแมกซ์ของงานนี้มันไม่ได้อยู่ที่ผม ไอ้รี่ กับไอ้โน๊ตมาวิจารณ์สับแหลกหนังเรื่องรักแห่งสยามหรอกครับ คนคงอยากมาดูไอ้ตูนกับเพื่อนๆ ปี 1 ของมันแสดงละครล้อหนังมากกว่า

     หลังจากงานเริ่มเวลา 10.30 พวกผม 3 คนใช้เวลาในการอภิปรายตามบทที่ซักซ้อมกันมาประมาณ 30 นาที หรือประมาณคนละ 10 นาที โดยมีคำถามจากอาจารย์นิดหน่อย แต่คำถามที่ผมไม่คาดฝันนั้นมาจากเด็กปี 1 ที่ผมไม่รู้จักชื่อคนหนึ่งครับ

“พี่วิฬะครับ ต้องขอโทษก่อนนะครับ ในฐานะที่พี่ก็ชอบผู้ชาย ถ้าพี่เป็นแฟนของพระเอกซึ่งโดนแม่พระเอกมาขอให้เลิกยุ่งกับลูกชายเขา ทั้งๆ ที่ลูกชายเขากับพี่ก็รักกัน พี่จะเลือกทางออกไหนครับ จะเลิกคบ หรือจะฝืนคบต่อไป”

“ถ้าเป็นตัวพี่เองใช่มั้ย...” ผมย้ำคำถาม

“ครับ”

“ถ้าเป็นพี่...พี่จะเว้นช่องว่าง ให้เวลากับพระเอก หรือแฟนพี่สักพัก เพราะพี่ไม่อยากให้เขาลำบากใจ....” ผมเริ่ม
“พี่อยากจะอ้างคำพูดของฝรั่งคนหนึ่งว่า There is never a time or place for true love. It happens accidentally, in a heartbeat, in a single flashing, throbbing moment. เธอคนนี้ชื่อว่า Sarah Dessen พี่เชื่อเช่นเดียวกับเธอว่า ในโลกนี้ไม่มีสถานที่หรือเวลาใดที่รักแท้ดำรงอยู่อย่างถาวร เพราะความรักนั้นมักจะเกิดขึ้นในเวลาที่เราไม่ได้คาดหมาย และเร็วเกินกว่าที่เราจะรู้ตัว ความรักก็เกิดขึ้นแล้ว ในชั่ววูบที่หัวใจเราเต้น...มันรวดเร็ว งดงาม แต่ไม่เป็นนิรันดร์” และผมก็พักหายใจชั่วครู่เพราะรู้สึกมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมาที่ผมไม่ลดละเวลาที่ผมพูดเรื่องความรัก
“ฉะนั้นแม้เราจะไม่ได้รักกันวันนี้ ไม่ได้แปลว่าวันพรุ่งนี้เราจะไม่ได้รักกัน ไม่ได้แปลว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราจะรักกันไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นที่สยามตามท้องเรื่องเท่านั้นที่เราจะรักกันได้....วันนี้ต้องยอมรับว่าทั้งพระเอกและแฟนยังไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นของตนเองอย่างสมบูรณ์ หรือบรรลุนิติภาวะ วุฒิภาวะ เพราะว่ายังคงต้องพึ่งพาแม่อยู่ ปัจจัยนั่นมีอิทธิพลมากต่อความรัก และการตัดสินใจ ของคน2 คน....พี่เชื่อว่าถ้าเราเว้นระยะห่างกับเวลาไว้สักพักเราจะได้คำตอบ และทางออกของปัญหาที่มากกว่าฝืนคบกันต่อไป หรือว่าเลิกกัน” ผมมองหน้าน้องที่ถามคำถามนี้ แต่ไม่มีการตอบสนองว่ายังต้องการคำตอบอีก และเมื่อไม่มีใครตั้งคำถามอีก ไอ้รี่จึงกล่าวขอบคุณคนที่เข้ารับฟัง และให้พิธีกรของงานนำเข้าสู่ช่วงละครล้อ

“สำหรับผมนี่คือช่องว่างของระยะทางกับเวลาใช่มั้ย” ไอ้ตูนเดินสวนมากระซิบข้างหูผม ระหว่างที่สมาชิกคนอื่นช่วยกันเคลียร์เวทีให้เปลี่ยนเป็นลานแสดง

“บางทีนะ หรืออาจจะไม่ใช่ หรืออาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่” ผมตอบมันเบาๆ ด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจ รู้สึกมีความสุขที่ความมั่นใจซึ่งผมทำหล่นหายไปเป็นเดือนๆ นั้นกลับมาเหมือนเดิม 

        ผมไม่ได้อยู่ดูไอ้ตูนแสดงละครล้อหรอกครับ ผมยังคงไม่ไว้ใจตัวเองพอที่จะมองหน้า หรือสบตามันในตอนนี้ เพราะภาพที่มันเดินจากไปในความมืดทุกวันนี้ก็ยังติดตาผมอยู่ บวกกับความรู้สึกผิดที่ผมมีให้กับมันด้วย ตอนี้ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคณะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออกไปหาเด็กน้อยของผมด้วยรอยยิ้ม ทั้งหนักใจ และมีความสุข

“ไงครับ คนดี กินข้าวรึยัง” พักหลังผมสังเกตตัวเองว่าผมใช้สรรพนามแทนตัวท็อบว่า คนดี แปลกๆ นะ แต่มันคล่องปากมากเลย

“กำลังจะกินค้าบ” มันตอบเสียงหวานเชียว

“เป็นไงบ้างสอบวันสุดท้าย” ผมถามมัน

“เต็มที่เลยอ่ะครับ...อัดอั้น ไม่ได้นอนกับเมียมาเป็นอาทิตย์แล้ว เพราะสอบนี่แหละ” มันพูดอะไรตลกๆ ออกมาอีกแล้ว แต่ผมก็ขำครับ

“55555”

“พรุ่งนี้อย่าลืมนัดเรานะ” ผมเตือนมัน

“ไม่ลืมแน่ค้าบบบ....ผัวรอมานานแล้วค้าบบบบ” มันยังเล่นไม่เลิก

“ส้นตีxx เหอะครับ แค่นี้นะ กินข้าวด้วย” แล้วผมก็วางสายครับ

        ทันทีที่ผมวางสายจากมันใจผมมันก็เริ่มเลื่อนลอยอีกแล้วครับ ผมสงสารท็อบจริงๆ ที่มันยกหัวใจมาให้คนอย่างผมไว้ คนที่ไม่มีค่าพอจะดูแลหัวใจที่บริสุทธิ์ของมันเลยแม้แต่นิดเดียว จากนี้ไปมันคงเติบโตขึ้นพร้อมๆ กับแผลลึกในใจ ความเศร้า และเสียงถอนใจแบบที่ Housman แต่งกลอนบอกไว้

     รักเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายครับอยู่ๆ มันจะเกิดก็เกิดแค่สบตาแค่หัวใจเต้น แล้วมันก็อาจจะพาเราไปสู่ความสุข หรือความทุกข์ที่ไม่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน


Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #95 เมื่อ27-10-2013 02:46:40 »


มีข้ออยากแย้งฮะ  แต่เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมมากกว่า

คือ  บทกลอนที่เอามาลง  กินใจมากครับ  และผมรู้สึกเข้าถึงมันได้จากคำแปลที่คุณวิใส่ไว้ข้าง ๆ แล้ว  ผมเลยรู้สึกว่าการอธิบายซ้ำด้วยร้อยแก้วอีกครั้งตามมา  มันเกินความจำเป็นน่ะครับ  และทำให้รู้สึกสะดุด  เพราะมันไม่งามเท่ากับตอนเรียงร้อยกันอยู่  และตอนที่เรียงร้อยกันอยู่นั้นมันเปิดพื้นที่ให้กับคนอื่นในการให้ความหมาย  และเก็ตนัยอันชาญฉลาดของกลอนบทสุดท้าย  มากกว่าที่จะถูกบังคับเฉลยโดยผู้เขียนว่าบทสุดท้ายหมายความว่าอย่างไร

แต่นั่นเป็นความรู้สึกส่วนตัวด้านความงามนะครับ  แต่ในด้านเนื้อเรื่องผมก็เห็นความจำเป็นอยู่ว่าต้องอธิบายเพราะจะต้องโยงกลับไปว่าทำไมถึงอยากจะมอบกลอนนี้ให้ท๊อป


++++

ในส่วนความสัมพันธ์ของวิกับพระเอกทั้งสาม  ผมชอบตูนมากที่สุดแฮะ  ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตูนกับวิมีอะไรที่ลึกซึ้งต่อกัน  วิธีคิดที่ตูนคิดต่อวิ  มันน่าสนใจและน่าประทับใจมาก ๆ  แต่คิดว่าคอร์ทมาแรงเพราะว่าเป็นอะไรที่ฝังใจในช่วงที่เป๋กับชีวิต  คือวิได้ใช้เวลา 'เฝ้ามอง' คอร์ทอยู่นานน่าดู รวมทั้งมี sympathy ในบางเรื่องด้วยกัน   ขณะที่ตูนเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน  เหมือนรองเท้าแก้วหลุ่นใส่หัว  ความรู้สึกคลั่งมันจะน้อย  แต่จะเป็นความประหลาดใจ  พิศวงงงงวย  ซึ่งสุดท้ายไม่ใช่เรื่องที่ดี  เพราะมันทำให้วิเลือกที่จะไม่พยายามทำความเข้าใจตูน  เพราะคิดตัดใจแต่แรกว่าเขาเห็นวิเป็นแค่ของแก้เงี่ยน

ในด้านคนที่รู้สึกมีเคมีน้อยที่สุด  คือ ท๊อปน่ะครับ  ตอนที่วิคิดในใจว่ารักเด็กคนนี้มาก  ผมไม่ค่อยอินเท่าไหร่

สุดท้าย  อยากรู้มาก ๆ เลยครับว่าโย๊ปจะมีบทบาทอย่างไรต่อไป  foreshadow ไว้ได้อย่างเข้มข้นมาก 

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #96 เมื่อ27-10-2013 08:00:37 »

มีข้ออยากแย้งฮะ  แต่เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมมากกว่า

คือ  บทกลอนที่เอามาลง  กินใจมากครับ  และผมรู้สึกเข้าถึงมันได้จากคำแปลที่คุณวิใส่ไว้ข้าง ๆ แล้ว  ผมเลยรู้สึกว่าการอธิบายซ้ำด้วยร้อยแก้วอีกครั้งตามมา  มันเกินความจำเป็นน่ะครับ  และทำให้รู้สึกสะดุด  เพราะมันไม่งามเท่ากับตอนเรียงร้อยกันอยู่  และตอนที่เรียงร้อยกันอยู่นั้นมันเปิดพื้นที่ให้กับคนอื่นในการให้ความหมาย  และเก็ตนัยอันชาญฉลาดของกลอนบทสุดท้าย  มากกว่าที่จะถูกบังคับเฉลยโดยผู้เขียนว่าบทสุดท้ายหมายความว่าอย่างไร

แต่นั่นเป็นความรู้สึกส่วนตัวด้านความงามนะครับ  แต่ในด้านเนื้อเรื่องผมก็เห็นความจำเป็นอยู่ว่าต้องอธิบายเพราะจะต้องโยงกลับไปว่าทำไมถึงอยากจะมอบกลอนนี้ให้ท๊อป


++++

ในส่วนความสัมพันธ์ของวิกับพระเอกทั้งสาม  ผมชอบตูนมากที่สุดแฮะ  ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตูนกับวิมีอะไรที่ลึกซึ้งต่อกัน  วิธีคิดที่ตูนคิดต่อวิ  มันน่าสนใจและน่าประทับใจมาก ๆ  แต่คิดว่าคอร์ทมาแรงเพราะว่าเป็นอะไรที่ฝังใจในช่วงที่เป๋กับชีวิต  คือวิได้ใช้เวลา 'เฝ้ามอง' คอร์ทอยู่นานน่าดู รวมทั้งมี sympathy ในบางเรื่องด้วยกัน   ขณะที่ตูนเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน  เหมือนรองเท้าแก้วหลุ่นใส่หัว  ความรู้สึกคลั่งมันจะน้อย  แต่จะเป็นความประหลาดใจ  พิศวงงงงวย  ซึ่งสุดท้ายไม่ใช่เรื่องที่ดี  เพราะมันทำให้วิเลือกที่จะไม่พยายามทำความเข้าใจตูน  เพราะคิดตัดใจแต่แรกว่าเขาเห็นวิเป็นแค่ของแก้เงี่ยน

ในด้านคนที่รู้สึกมีเคมีน้อยที่สุด  คือ ท๊อปน่ะครับ  ตอนที่วิคิดในใจว่ารักเด็กคนนี้มาก  ผมไม่ค่อยอินเท่าไหร่

สุดท้าย  อยากรู้มาก ๆ เลยครับว่าโย๊ปจะมีบทบาทอย่างไรต่อไป  foreshadow ไว้ได้อย่างเข้มข้นมาก

ขอบคุณ คุณคีรี~มัญจาโร สำหรับคอมเมนท์นี้มากครับ ผมคิดว่าคอมเมนท์นี้มีประโยชน์ต่อผมที่เป็นคนเขียนมาก เพราะบ่อยครั้งพื้นที่ของการสื่อสารในนิยายของคนเขียน และของคนอ่านมักจะไม่เท่า หรือไม่เสมอกัน มากไปเท่ากับเป็นการปิดกั้นจินตนาการ หรือ cognitive feeling อื่นๆ ของผู้อ่าน แต่น้อยไปก็จะเป็น false communication ทำให้ผู้เขียนเข้าใจคลาดเคลื่อนไป ในกรณีนี้ผมไม่มั่นใจว่าฝีมือการแปลชั้นปลายแถวของผมนั้นจะเป็น source ที่เพียงพอสำหรับคนอ่านหรือไม่ จึงเพิ่มอีกย่อหน้าหนึ่งเพื่ออธิบายกลอนบทนี้อีกที ซึ่งทำให้เกิดความมากเหินจำเป็นของการพรรณา

สำหรับคอมเมนท์เรื่องความรักความสัมพันธุ์ระหว่างวิกับพระเอกอีก 3 คน คุณคีรี~มัญจาโร วิเคราะห์ความรู้สึกระหว่าง วิกับคอร์ท และวิกับตูนได้ดีมากครับ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างวิกับท็อบนั้นก็ใช่ส่วนหนึ่ง โดยในมุมของผมแล้ว....

ความรักระหว่าง วิกับคอร์ท นั้นมีมากมายที่สั่งสมมาตั้งแต่เริ่มแรก มันมากมายจนวิตัดสินใจเลือกคอร์ท แต่ความรักนั้นมันก็หยุดอยู่แค่นั้นครับ มีมากอย่างไร ไม่ลดลงอย่างไร แต่ไม่มีการเพิ่มเติม

ความรักระหว่าง วิกับตูน ทั้ง 2 คน ไม่เคยตระหนักว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความรักครับ ไม่ว่าจะผ่านเรื่องราวลึกซึ้ง หรือสิ่งดีๆ ที่มีต่อกันมากเท่าไร ความรักยังคงไม่ถูก recognized และไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆ จากความสัมพันธ์ของคน 2 คน ท้ายที่สุดจึงสายไปที่จะรักกัน

และสุดท้ายความรักระหว่าง วิกับท็อบ ถูกที่ว่ามันน้อยนิดเมื่อเริ่มต้น ผมคิดว่าความรักนี้กลับมีโอกาสในการที่จะเจริญเติบโต และผ่านเรื่องราวต่างๆ มันได้เติบโตขึ้นมา โดยส่วนตัวผมคิดว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่งมันมีพัฒนาการของมันเองไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบ ที่ผ่านมาผมจึงพยายามสร้างให้ท็อบเป็นตัวละครที่ adorable อย่างไรก็ตามอาจเป็นความรวบรัดของเนื้อเรื่องซึ่งเป็นความผิดพลาดในการเขียนของผมเองที่ไม่สามารถสื่อให้เห็นถึงความรักที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันระหว่างวิกับท็อบได้

อย่างไรก็ตามขอขอบคุณคอมเมนท์นี้จากใจจริงครับ
"วิ"

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #97 เมื่อ27-10-2013 08:26:37 »

 :mew6:

ออฟไลน์ Takarajung_TK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-2
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #98 เมื่อ27-10-2013 09:08:37 »

เข้ามาอ่านจากกระทู้แนะนำของ ong_eng

เลยอยากรู้ว่าจะแนะนำเรื่องแนวไหน

ไม่ผิดหวังเลย

ชอบวิธีการนำเสนอเรื่องราวของคุณวิ

การนำหลักวิชาการที่เรียนมาวิเคราะห์ผ่านมุมมองของวิ

ทำให้เราได้ย้อนมองตัวเรากับความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ด้วย

เราว่าคุณวิมีความเป็นนักวิชาการนะ รับฟังความเห็นผู้อ่านและนำไปปรับใช้

ไม่แน่ตอนนี้อาจเก็บข้อมูลคนอ่านแล้วนำไปวิเคราะห์ในเชิงสังคมวิทยาแน่เลย

สรุปว่าชอบเรื่องนี้  และเป็นกำลังใจให้นะคะ

 o13 :กอด1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #99 เมื่อ27-10-2013 21:51:32 »

ใช้เวลาตามอ่านสองวันเต็ม ๆ
ตอนแรกก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของวิ ที่มีอะไรกับใครไปทั่วอย่างนี้
แต่พอวิเริ่มตัดใครออกไปทีละคน ก็กลับเศร้า
ทั้งที่เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเก็บไว้ทั้ง3คน ต่อให้รักหรือสงสารแค่ไหนก็ตาม
ชอบสถานที่หรือฉากในเรื่องมันสื่ออารมณ์ได้ดีมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My Almond Crush....
« ตอบ #99 เมื่อ: 27-10-2013 21:51:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
15(12) But Only Love Can Say (คราสบังจันทร์...คราสบังใจ)


     4.30 ในเช้ามืดของวันเสาร์ผมนอนอยู่บนเตียงในห้องที่มืดสนิท ผมตื่นมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้แต่ผมกลับไม่สามารถข่มตาให้หลับอีกครั้งได้ ใจของนั้นผมสงบนิ่ง เช่นเดียวกับที่มันกำลังสับสนวุ่นวาย เหมือนกับหัวใจของผมไม่เป็นของตัวเองอีกต่อไปผมไม่มีความสามารถในการควบคุม ผมพยายามจะคิดว่าผมจะทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่กับท็อบ จะต้องเลือกทางออกแบบไหนให้ความรักสามเส้าแบบนี้มันจบลงไปเสียที และแม้ผมที่มีนิสัยมองโลกในแง่ร้ายจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะจบแบบไหน สุดท้ายมันจะเป็นเรื่องที่โหดร้าย และโศกเศร้า

       ผมอ่านหนังสือชุด ทไวไลท์ ซาก้า (Twilight Saga) ของเสตเฟนี เมเยอร์ (Stephenie Meyer) ซึ่งประกอบด้วยหนังสือ 4 เล่ม 1) Twilight แปลว่าช่วงโพล้เพล้ พลบค่ำ 2) New Moon แปลว่าพระจันทร์ดวงใหม่ 3) Eclipse แปลว่า จันทรคราส และ 4) Breaking Dawn แปลรุ่งอรุณ ซึ่งชื่อหนังสือทั้ง 4 เล่มแสดงถึงลำดับเวลาตั้งแต่พลบค่ำไปจนถึงย่ำรุ่งของอีกวัน แนวคิดเรื่องเวลาของกลางคืนนี้ Meyer ผู้เขียนหนังสือใช้มันอธิบายการมีความรักของมนุษย์คนหนึ่งตั้งแต่แรกพบ คือตุกหลุมรักจนไม่มีความสามารถในการแยกแยะถูกผิด ควรไม่ควร เหมือนคนเราอยู่ท่ามกลางแสงสว่างมาทั้งวันฉันพลันความรักแรกพบที่เปรียบเหมือนกับยามค่ำก็ลงมาปิดบังสายตาให้เราไม่รับรู้ความจริง รักทำให้ตาบอด พอมาถึงเล่มที่ 2 ผู้เขียนเรียกมันว่า พระจันทร์ดวงใหม่ เมื่อนางเอกถูกพระเอกทอดทิ้งให้เหมือนกับอยู่ลำพังในคืนที่มืดมิด แต่แล้วพระรองก็เข้ามาดูแลหัวใจจนนางเอกรัก ในที่สุดนางเอกก็ได้พบกับแสงสว่างของพระจันทร์อีกครั้ง ในที่สุดรักสามเส้าเดินทางมาถึงเล่มที่ 3 จันทรคาส เมื่อพระเอกกลับมาอีกครั้งนางเอกซึ่งยังรักปักใจจึงพบกับทางเลือกครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ว่าจะเลือกใคร ความคลุมเครือ ความหม่นหมอง ความสูญเสีย และความรู้สึกผิดเป็นเหมือนเงาของโลกที่บดบังความรักที่ส่องแสงกระจ่างราวดวงจันทร์ให้มืดดับ ในเล่มที่ 3 นี้ มีการเลือกรูปภาพหน้าปกหนังสือเป็นภาพริบบิ้นสีแดงที่ถูกตัดขาด แม้ถูกตัดขาดแต่เมื่อมองเข้าไปเราจะเห็นถึงเส้นใยที่ขาดวิ่นกระจุยกระจาย เส้นใยบางส่วนก็ยังพยายามยึดติดกันไว้ ความรักความสัมพันธ์ของคนเราก็เช่นกัน เมื่อถูกตัดขาดมันเป็นเรื่องของความบอบช้ำ ความห่วงหา ความเศร้า และความเครียดแค้น ตลอดเวลาที่ผมอ่านหนังสือชุดนี้จบไปรอบแล้วรอบเล่า ผมดูแคลนนางเอกของเรื่องที่ชื่อ Isabella Swan มาตลอดในความอ่อนแอของจิตใจเธอ ที่ทอดทิ้งรักใหม่ที่แสนดี กลับไปหารักครั้งเก่าที่ฝังใจ แม้พระเอกจะเป็นคนที่ทิ้งตัวเองไป เพราะพระเอกจะคิดว่านางเอกและตัวเขาไม่มีความสามารถพอที่จะรักกันต่อไปได้ ในวินาทีที่นางเองให้อภัยและกลับไปหาพระเอกเป็นวินาทีที่นางเอกทำลายศักดิ์ศรีของตนเองไป ผมดูแคลนคนอ่อนแอ และคนที่ทอดทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองมากที่สุด (รวมทั้งตัวผมเองด้วย) แต่ในวันนี้ที่ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ผมอ่อนแอ ผมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อกลับไปหาความรักฝังใจ ผมก็ไม่ต่างจากนางเอก จากความดูแคลนกลายเป็นความเห็นใจ และความเข้าใจในชีวิต ความเข้าใจในความรักมากขึ้น

“My deepest and sincerest apology to you, Miss Swan.” ผมขอมอบคำขอโทษอันบริสุทธิ์จากก้นบึ้งของจิตใจผมแด่คุณ...คุณสวอน ผมพึมพำกับโปสเตอร์ภาพนางเอกที่ผมซื้อมาติดไว้บนผนังห้อง ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในคราส หรือที่ไอ้จิตรมันเรียกอย่างบ้านๆ ว่า ราหู ที่บดบังใจ ผมนอนลืมตาในความมืดและมีน้ำตาที่ไร้สุ้มเสียง

   สำหรับคนอย่างผมความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้ยเคย ความรู้สึกที่เกิดจากความไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี เพราะที่ผ่านมามีน้อยครั้งที่ผมจะล้มเหลวครับ แต่ในเวลานี้ผมไม่รู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่มีล้นเหลือในตัวเองเลยด้วยซ้ำ

       6.45 ผมอาบน้ำแต่งตัว แปลกใจตัวเองว่าทำไมผมต้องพยายามแต่งตัวให้ดูดีกว่าทุกวันด้วย ก็แค่วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของผมกับท็อบ ผมลงจากหอมาด้วยอาการเวียนหัวเล็กๆ จึงซื้อนมเย็นกินเล่นอทานการกินข้าวเช้า และเดินออกมาจากหอเพื่อไปที่ท่ารถตู้หน้ามหาลัย ผมมาถึงที่ท่ารถตู้ไม่นานท็อบก็มาถึง แต่งตัวด้วยเสื้อยืดแขนกุดสีส้มลายกราฟฟิตี้ที่ผมซื้อให้ตอนเราไปเดินตลาดนัดองค์พระฯ ด้วยกัน

“ใส่แว่นดำมาทำไม...อายคนเหรอที่มาเที่ยวกับผม” ท็อบแซว

“เปล่า...แค่เวลานั่งหลับจะได้ไม่มีใครรู้ 55” ผมบอกมัน วันนี้เราตื่นเช้าทั้งคู่ แถมผมยังนอนไม่หลับอีก ผมว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราคงจะนั่งหลับในรถ

    ผมเอื้อมมือไปกุมมือท็อบไว้มือที่มีนิ้วเรียวยาว มือที่เคยลูบไล้ โอบกอดร่างกายผม มือที่ผมรักหนักหนา ผมรู้สึกเวียนหัวสลับกับการสงบนิ่งอย่างประหลาด การได้อยู่ใกล้กับท็อบทำให้ผมรู้สึกมีความสุขและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน  ระหว่างที่ผมกำลังปล่อยตัวปล่อยใจให้ว่างเปล่า พยายามไม่ใส่ใจอนาคตอันโหดร้ายที่จะมาถึงในเวลาอีกไม่นาน

     เมื่อรถแล่นออกมาจากตัวเมืองสักพัก ขณะเดียวกับที่ความคิดผมกำลังล่องลอย ไอ้ท็อบก็ทำทะลึ่งครับ มันเอามือผมไปวางบนไอ้นั่นของมันที่แข็งรออยู่แล้ว และดึงตัวผมให้เอนไปซบไหล่มัน การซบไหล่ท็อบ การได้สูดกลิ่นตัวของท็อบเบาๆ ทำให้ผมสบายใจ แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะขยับได้ภายใต้อุ้งมือผม มันทำให้ผมไม่สามารถนั่งหลับได้ ผมลูบไล้มันขึ้นลงผ่านเนื้อผ้ากางเกงยีนส์อย่างเอ็นดู และนั่งหน้าแดงไปตลอดทาง ผมคงคิดไม่ผิดที่วันนี้ผมใส่แว่นดำมา

    การนั่งรถตู้จากหน้ามหาลัยมาที่เมเจอร์ปิ่นเกล้านั้นใช้เวลาประมาณ 40 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงครับ และก็ด้วยเวลาที่สั่นกว่าที่ผมคิดไว้ ผมกับท็อบก็มายืนรอรถเมล์อยู่ที่หน้าเมเจอร์ฯ เรากระโดดขึ้นรถเมล์สาย 542 ซึ่งวิ่งผ่านถนนจรัญสนิทวงศ์ (ถ้ามผมจำชื่อไม่ผิด) แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่สะพานซังฮี้ ผ่านมหาลัยราชภัฏ 2 ที่ ผ่านพระที่นั่วิมานเมฆ และถึงสวนสัตว์ดุสิตในที่สุด ผมซื้อตั๋วราคา 70 บาท 2 ใบสำหรับเราแล้วเดินเข้าไป

     โซนแรกสุดของการจัดแสดงในสวนสัตว์ดุสิตเป็นโซนแอฟริกาที่มีม้าลาย ยีราฟ นกกระจอกเทศ และตัวเมียร์แคทฝูงหนึ่งอยู่ด้วยกัน เลยมาก็เป็นกรงนกกระเรียนที่จับคู่ครั้งเดียวตชีวิตซึ่งทำให้ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจเมื่อต้องเดินมาดูพวกมันกับท็อบ เมื่อเดินย้อนกลับมาฝั่งตรงข้ามเป็นโซนของลิงสารพัดชนิดทั้งเล็กและใหญ่ และโซนถัดมาเป็นโซนประจำตัวของผมคือโซนแมวใหญ่ ที่มีเสือโคร่ง เสือขาว สิงโต เสือดาว เสือดำ เสือปลา เสือไฟ และแมวป่า ผมชื่นชมความทรงพลัง และอืสรภาพตามธรรมชาติ และสัญชาตญาณนักสู้ของมันมากครับ

“วิชอบเสือไง ดูนานเชียว” ท็อบมันถาม ระหว่างที่ผมอยู่หน้ากรงเสือไฟตัวยาวเพรียว หางยาว ขนสีแดงสนิมดูเหมือนเปลวไฟเมื่อโดนแสงแดงที่ส่องลอดต้นไม้ลงมา

“อืม....” ผมรับ

   ต่อไปเป็นโซนที่ผมไม่ชอบที่สุดแต่มันกระตุ้นอะดรีนาลีนในร่างกายผมได้มากที่สุด คือ โซนสัตว์เลื้อยคลาน จากนั้นเป็นบ่อฮิปโปโปเตมัส และเป็นโซนหมี 11.20 เรานั่งพักเหนื่อยกันที่ร้านเคเอฟซีตามใจไอ้ท็อบ ทั้งๆ ที่ผมปวารณาตัวไว้ว่าจะไม่บริโภคผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาผ่านรายการเลือกอ่านข่าวตอนเช้าของช่อง 3

“คิดไงชวนมาเที่ยวสวนสัตว์” ท็อบถาม ทั้งๆ ที่ปากของมันกำลังกัดวิ๊งแซ่บอยู่

“ท็อบเด็กไง เลยพามาเที่ยวสวนสัตว์” ผมแหย่มัน

“ไม่เด็กแล้วเหอะ...เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ 55” มันมีหน้ามาแซวตอนเรากำลังกินไก่

“เดี๋ยวไปปั่นจักรยานน้ำกันนะ”

“ไม่เอา” ผมปฏิเสธทันที

“ไมอ่ะ ว่ายน้ำเก่งนิ” มันถามทำหน้าตกใจ ไม่ใช่น้ำหรอกครับที่ผมกลัว ไอ้สิ่งมีชีวิตที่ยั้วเยี๊ยะอยู่ในบ่อน้ำนี้ต่างหากที่ผมกลัว

        แล้วในที่สุดท็อบมันก็ตามใจผมครับ เราเดินจูงมือกันข้ามสะพานไปที่เกาะกลางของสวนสัตว์ที่มีกรงนก และนกกระทุงคู่หนึ่งว่ายน้ำไปมา และว่ายหนีเตลิดไปเมื่อเราเดินผ่านมาใกล้ ผมนั่งลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ริมน้ำ หันหน้าไปมองหอเก่าๆ ที่ตั้งอยู่เหมือนบ้านร้างเก่าๆ บนอีกฝากของบ่อนน้ำใหญ่  ท็อบทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม วางมือของมันทับลงบนมือผม

“........................................”

“วันนี้ทำไมวิแปลกๆ จัง” มันตั้งข้อสังเกต
“วิเงียบๆ ไปนะ”

“...........อิม นั่นสิ”
“........................................” แล้วท็อบก็เอนหลังนอนลงบนพื้นหญ้าเอามือสองข้างขึ้นมาหนุนหัวไว้

“เอ้า....นี่” ผมบอกมันแล้วเอาเป้สะพายข้างที่ทำจากผ้าบุหนังนุ่มๆ ของผมรองให้หัว

“วิมีเครื่องเล่น MP3 มั้ย โทรศัพท์วิก็ได้” ไอ้ท็อบเกิดเรื่องมากอยากฟังเพลงขึ้นมาอีก ปกติแล้วผมค่อนข้างจะหวงเพลงในโทรศัพท์และเครื่องเล่นของตัวเอง เพราะผมมักจะเลือกเพลงที่สะท้อนสถาพความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นไว้ฟัง และการปล่อยให้คนอื่นฟังเพลงในมือถือผมก็เหมือนเป็นการอนุญาตให้คนๆ นั้นรับรู้ความรู้สึกในใจผม

“โอ๊ะ.........มีแต่เพลงภาษาอังกฤษ ดันมีเมียเรียนอักษรฯ ” ไอ้ท็อบมันบ่น ทั้งที่ผมอุตส่าหห์ยอมให้มันเปิดเพลงฟัง

“จะฟังมั้ยล่ะ” ผมบ่นมันบ้าง

“ครับๆ”

“.........And if you have a minute, why don't we go
Talk about it somewhere only we know?
This could be the end of everything
So why don't we go somewhere only we know?
Somewhere only we know

Oh simple thing, where have you gone?
I'm getting old and I need something to rely on
So tell me when you're gonna let me in
I'm getting tired and I need somewhere to begin

And if you have a minute, why don't we go
Talk about it somewhere only we know?
This could be the end of everything
So why don't we go? So why don't we go?

Oh, this could be the end of everything
So why don't we go somewhere only we know?
Somewhere only we know
Somewhere only we know......”



     เพลง Somewhere Only We Know ของ Keane เพลงที่มีจังหวะร็อค แต่เนื้อหากลับหวานลึกซึ้ง ตามแนวโรแมนติค (romanticism) หลีกหนีความจริง ซึ่งเป็นการที่ชายหนุ่มที่รู้สึกเหนื่อยล้า และแก่ตัวลงจากการรอคอยได้ชวนคนรักของเขามาพูดคุยกันเพื่อจะหาสถานที่ๆ เขา 2 คนจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ ไม่ต้องสนใจสังคมภายนอก สถานที่ที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้จัก แล้วผมที่ตอนนี้ล้มตัวลงนอนอยู่ข้างๆ ตัวของท็อบก็ต้องแปลความหมายให้มันฟัง ผมแปลกใจว่าในอากาศอุ่นๆ เกือบจะร้อนของตอนกลางวัน แถมมีลมเย็นพัดโชยเป็นระยะ ทำไมเราไม่ง่วงนอนสักที

“พรุ่งนี้....อาจไม่มีฉัน  พรุ่งนี้....อาจไม่ไม่มีเรา” ผมปิดเพลงจากโทรศัพท์ แล้วร้องท่อนหนึ่งของเพลงจากนักร้องคนโปรดของผม เมื่อท็อบมันไม่มีทีท่าจะสนใจฟังเพลงภาษาอังกฤษต่อ

“................................................”

“ท็อบ ไม่คิดว่าเราจะรักกันตลอดไปใช่มั้ย” ผมถามคนที่นอนเงียบๆ อยู่ข้างๆ แต่ผมไม่ได้คำตอบจาก  ท็อบ

“................................................”

“เป็นไร หลับเหรอ” ผมถามมันเบาๆ ทั้งที่เห็นว่ามันกำลังลืมตาอยู่

“.......กำลังคิดอยู่” มันตอบสั้นๆ ผมคิดไปว่า มันคงกำลังคิดหาทางที่เราสองคนจะรักกันต่อไปซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็แอบหวังให้มันคิดมันจะต้องใช้ชีวิตของมันต่อไปโดยไม่มีผมสักที

“วิ เชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ย” อยู่ๆ มันก็ถามอะไรเพี้ยนๆ ออกมาไม่รู้

“ไม่เชื่อ ไม่มีใครมากำหนดชีวิตใครได้แม้แต่พระเจ้า” ผมบอกความคิดตนเองไป เพราะส่วนตัวผมคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคนๆ หนึ่งนั้นเป็นผลพวงจากสิ่งที่เขาเลือกทำหรือเลือกที่จะไม่ทำ

“...หึหึ แฟนผม” ท็อบมันหัวเราะ ซึ่งทำให้ผมแปลกใจ

“ผมก็ไม่เชื่อโชคชะตา....วิรู้ป่าว ตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นวิ ที่ผมชอบวิ ผมก็คิดแล้วก็พยายามทำทุกอย่างจนเรามีวันนี้” คำพูดของมันฟังดูเหมือนคำพูดของคนที่โตแล้วแทนที่จะเป็นเด็กมัธยม แสดงว่าที่ผ่านมาท็อบพยายามแค่ไหน ทั้งต้องคบกับคนอายุมากกว่าอย่างผม แถมต้องเผชิญหน้ากับสังคมของมันอีก และไม่ว่าจะทางไหนผมไม่เคยอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยมันเลย มันต่างๆ ที่ช่วยผมเอาไว้ในเวลาที่ผมตกต่ำ ผมหันหน้าไปทางซ้ายมองดูคนที่นอนอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่เยาว์วัย มีสิวขึ้นเล็กน้อย มีไรหนวดบางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น แต่ความมุ่งมั่นแสดงความเป็นผู้ใหญ่ที่มากกว่าอายุจริง

“........................................”

        ตลอดเวลาที่เราสองคนอยู่ใต้ความเงียบของเรา เงาของต้นไม้ที่บังแดดของเมืองไทยเอาไว้ให้เราทำให้ผมนึกถึงคราสครับ เมื่อรักมาถึงทางตันความหม่นหมองก็เปรียบเสมือนเงามืดที่บังแสงสว่างจากพระจันท์ไว้ ทำให้เรามองไม่เห็นทางออกของปัญหาแม้ว่ามันจะอยู่ตรงหน้า ตอนนี้คราสนั้นก็บังใจผมอยู่เช่นกัน ผมมองหน้าคนข้างๆ อีกครั้ง พยายามรวบรวมความตั้งใจที่จะบอกกับท็อบว่าให้เราเลิกกัน แต่ผมก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไป

“วิไปกันเถอะ” ท็อบลุกขึ้นมาชวนผม
“ไปดูหนังกันมั้ย” มันถามอีก

“อืม....เอาสิ มัมมี่ 3 ก็น่าดูนะ” ผมบอกมัน

        ผมกับท็อบจูงมือกันเดินออกมาจากสวนสัตว์ดุสิต ซึ่งทำให้ผมไม่สบายใจ เมื่อตอนนี้คนที่ผมรักฝังใจกลับมาอ้างความเป็นเจ้าของจิตใจผม คนที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามาในชีวิตผมคนนี้จะเป็นอย่างไร Bella ในหนังสือชุด Twilight Saga ตัดสินใจเลือก Edward พระเอกที่เคยทิ้งตัวเองไปทันที ทำเหมือนว่าตัวเองไม่เคยมีความรักให้กับพระรองที่ชื่อ Jacob แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับความรู้สึกของผมมันชัดเจนกว่านั้น และตอนนี้เรากำลังเดินออกจากสวนสัตว์ สถานที่ที่เป็นกรงขังเสมือนจริงซึ่งปิดกั้นอิสรภาพของสัตว์นับร้อยชีวิต และเมื่อตอนนี้ผมอ่อนแอเกินกว่าที่จะปล่อยท็อบไป ผมได้แต่เฝ้าหวังในใจว่า ผมและมันจะหลุดพ้นออกจากกรงที่มองไม่เห็นของเรา

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #101 เมื่อ01-11-2013 22:16:26 »

ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็เจ็บด้วยกันทั้งนั้น

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #102 เมื่อ01-11-2013 23:19:08 »

กดดันอ่ะ T^T

ออฟไลน์ sine_saki

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #103 เมื่อ02-11-2013 06:43:09 »

ความรู้สึกของคนนี่มันพูดยากจังนะ
หากคิดในแนวจินตนาการหรือตามครรลองที่ควรจะเป็น เราควรรักและเลือกอยู่กับใครสักคนเพียงคนเดียว เพราะการมีมากกว่าสองคนมันหมายถึงความเจ็บปวดที่จะตามมา แต่พออ่านเรื่องนี้ผ่านมุมมองของวิแล้วรู้สึกว่า เออ นี่แหละความเป็นจริง มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนเราตัดสินใจลำบาก... ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่รวมถึงด้านอื่นๆในชีวิตคนเราด้วย
ปล.อยากรู้จริงๆนะเออ ว่าโย๊ปมีบทบาทอย่างไรในชีวิตวิ คงไม่ใช่คนเดินบทธรรมดาใช่ไหมค่ะ???

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush...15(13) But Only Love Can Say (ล้มเหลว)
«ตอบ #104 เมื่อ02-11-2013 15:25:04 »

15(13) But Only Love Can Say (ล้มเหลว)


     ผมกับท็อบเลือกที่จะดูหนังบนฝั่งเซ็นต์ปิ่นครับ โรงของ EGV ซึ่งอยู่ที่ชั้นบนติดกับฟู๊ดคอร์ท ตอนนี้บ่าย 3 กว่าๆ แล้ว เราเลยนั่งกินข้าวกันก่อนที่จะดูมัมมี่ ตลอดเวลาที่ผมกินข้าว หรืออาจจะตลอดทั้งวันเลยก็ได้ครับ ผมรู้สึกไม่ดีมาตลอด แต่ไม่ใช่เพราะท็อบหรอกครับ เป็นเพราะตัวผมเอง เป็นเพราะผมรู้ตัวว่าผมกำลังล้มเหลว และความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคย

     หนังเรื่องมัมมี่ภาค 3 เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิ์องค์หนึ่งของจีนที่ใช้ไสยเวทย์เพื่อจะครอบครองโลกไปตลอดกาล ท้ายที่สุดด้วยการต่อต้านจากลูกน้องคนสนิท และผู้ใช้เวทมนตร์อีกคนหนึ่ง จักรพรรดิ์จึงล้มเหลว และกลายเป็นมัมมี่ จนเวลาผ่านไปนับพันปีมัมมี่ของจักรพรรดิ์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งและเดินหน้าแผนการครองโลกต่อเช่นเดิม แต่แล้วก็ถูกขัดขวางอีกครั้งโดยผู้ใช้เวทมนตร์คนเดิม ที่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกพระเอก ก็เป็นหนังแอ็คชั่นที่ทำออกมาตามธรรมเนียมนิยม คือพระเอกและพวกก็จะชนะ และตัวร้ายก็จะพ่ายแพ้แม้จะวางแผนการไว้ยิ่งใหญ่

“มัมมี่กับจีนมันดูแปลกๆ นะ พอพูดถึงมัมมี่แล้วนึกถึงอียิปต์มากกว่า” ท็อบพูดขณะที่เราเดินออกจากโรงหนัง

“มัมมี่มาจากภาษาอียิปต์ คำว่า มัมมิอา แปลว่า ยาง ยางมะตอย ซึ่งเป็นกระบวนการกลายสภาพของร่างกาย เพราะฉันนั้นมัมมี่จึงกลายเป็นคำเรียกการกลายสภาพของเนื้อหนังมนุษย์เป็นยาง ไม่เน่าเปื่อย มัมมี่น่ะมีอยู่แทบจะในทุกวัฒนธรรมทั่วโลกนั่นแหละ บ้านเราก็มีพระที่ละสังขารแล้วยังไม่เน่าไง” ผมบรรยายให้เด็กน้อยฟัง

“ครับๆ” ผมรู้สึกเป็นธรรมชาติมากครับ เวลาที่ผมสอนอะไรให้ท็อบ แล้วมันตอบครับๆ รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ปกติมากสำหรับเราสองคน เหมือน Bella ตอนอยู่กับ Jacob สบายๆ มีชีวิตที่เรียบง่าย เป็นตัวของตัวเอง

     เราไม่ทันรถตู้รอบสุดท้ายครับ ผมเลยเรียกแท็กซี่เพื่อไปขึ้นรถทัวร์ที่สายใต้เก่า โชคที่ที่ตอนกลางคืนรถไม่ติด และคนก็น้อย รถทัวร์เลยขับไวมากครับ ไม่นานก็เข้าเขตนครปฐม ผมที่นั่งซบไหล่    ท็อบอยู่ก็คิดว่า เวลาหนึ่งวันของเรานั้นมันสั้นจริง ๆ

“เรียน รด. หนักมั้ย” ผมถามท็อบเบาๆ ใจหายเหมือนกันที่เราจะไม่ได้เจอกันอีกเป็นเดือน หรือยิ่งกว่านั้นเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกต่อไป

“หนักสิ....เหนื่อย ร้อน ถามไม วิไม่ได้เรียน รด. เหรอ”

“ไม่เคย” ผมตอบมัน

“ทำไมไม่เรียน...ไม่กลัวต้องเกณฑ์ทหารเหรอ” มันถามผม ติดน้ำเสียงเชิงต่อว่า

“ไม่กลัว....” ผมตอบตามความจริง เรื่องเกณฑ์ทหารไม่เคยเป็นเรื่องที่อยู่ในหัวผมเลย

“อ่ะนะ......” มันบ่นพึมพำ ตอนมันทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ผมก็ชอบนะครับ เพราะมันจะดูลุกลน ดูเป็นเด็กตลกๆ ผมเลยอดไม่ได้ที่จะต้องเงยหน้าไปหอมแก้มมัน นั่นทำให้มันก้มหน้ามาจูบผม เราจูบกันบ้าง กุมมือกันไว้จนกระทั่งรถทัวร์วิ่งผ่านทางองค์พระฯ

   ผมลงจากรถพร้อมกับท็อบ ในฐานะที่อายุมากกว่าผมต้องคอยส่งเด็กน้อยกลับห้องอย่างปลอดภัย

“วิ นอนห้องผมนะ.....พรุ่งนี้ผมต้องกลับบ้านแล้ว” ท็อบชวนผมด้วยการย้ำว่ามันต้องกลับบ้าน และไปเรียน รด. ในช่วงปิดเทอม

“......อืม” ผมตอบตกลงโดยไม่มีข้อแม้ในใจเลย ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมเกิดความสงสัย เพราะตอนนี้นอกจากคอร์ทแล้วพื้นที่ในใจผมแทบจะไม่ได้แบ่งให้กับใคร แต่ทำไมผมถึงตอบรับท็อบง่ายๆ แบบนี้

     11.00 เราสองคนยืนกอดกันให้ห้องอาบน้ำของท็อบ สายน้ำจากฝักบัวราดรดร่างกายที่เปลือยเปล่าของเราทั้งคู่ และในอ้อมกอดที่ไม่มีเสื้อผ้ามาปกปิดนี้ ผมก็ได้รู้ความจริงว่าท็อบมันยึดครองพื้นที่เล็กๆ ในใจผมตลอดมา และพื้นที่นั้นมันไม่ได้หดหายไป นอกจากใจของผมจะเป็นของมันเช่นกันแล้ว ร่างกายของผมก็ตอบรับสัมผัสจากมือ และริมฝีปากของมัน ร่างกายผมปรารถนามันมากจนเหมือนถูกแผดเผาด้วยไฟราคะ มันเองก็คงจะรู้สึกได้จากความต้องการของผมที่แข็งตัวแนบชิดอยู่บนร่างกายมัน เราแทบจะไม่ได้เช็ดตัวให้แห้งเลยด้วยซ้ำเมื่อผมล้มตัวลงบนเตียงของท็อบ ซึ่งตอนนี้กำลังคร่อมตัวผมลงมา มันเลียผมไปทั่ว มีความสุขจนผมแทบทนไม่ไหว

“อ่า.....ท็อบ ทำเหอะ” ผมทนความต้องการตัวเองไม่ไหวอีกต่อไปแล้วครับ

“เรียกผัวสิครับ” มันยังบังคับให้ผมทำเรื่องน่าอายแม้กระทั่งวินาทีที่มันเอาไอ้นั่นมาจ่อไว้ที่ก้นผม

“อืม....ผัวครับ.....xxxผมที” การมีเซ็กส์กับท็อบในครั้งนี้เป็นทั้งความสุขและความทรมานครับ มันจับผมอยู่ในท่าคุกเข่าแล้วกดตัวผมลงไปกับเตียงให้ก้นผมลอยขึ้นมา เพื่อมันที่เข้ามาจากด้านกลังจะสามารถกระแทกได้สุดแรง

“อ๊า.....ท็อบ” ผมกรีดร้องเพราะความจุกและความเสียวซ่าน ผมไม่รู้ว่ามันเข้าใจรึเปล่า แล้วมันก็จับแขนผมสองข้างมาไพล่ไว้ข้างหลัง นั่นทำให้ผมอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย จนกระทั่งมันปล่อยน้ำเชื้อเข้ามาในตัวผม และใช้มือช่วยชักว่าวให้ผม

        ผมนอนอยู่ในความมืดใต้อ้อมกอดของท็อบ เหมือนกับที่ส่วนนั้นของมันยังฝังอยู่ในตัวผม ผมล้มเหลว แต่ความล้มเหลวที่จะบอกเลิกท็อบกลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่อย่างที่คิด ผมหลับตาในความมืดสูดดมกลิ่นกายของคนที่คุ้นเคย แล้วพบว่าใจผมไม่สงบเช่นเคย ใจผมไม่สามารถรับความรู้สึกจากท็อบได้แบบที่เคย ยิ่งนานวันความรักสามเส้าที่มันบิดเบี่ยวของผม ยิ่งกัดกร่อนจิตใจผมลงไป และใจผมเริ่มด้านชา ผมกลัวว่าหากปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปสักวันหนึ่งผมคงไม่มีความรู้สึกเหลือที่จะรักใคร ไม่ว่าคอร์ท หรือ ท็อบ และผมก็ปล่อยโอกาสนี้ไป เดินข้ามทางออกที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า กลับเข้าไปสู่ความมืดมนของและเขาวงกตของความรักอีกครั้ง


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #105 เมื่อ02-11-2013 16:36:46 »

 :ling2: วิ จะเอางัยเนี่ย

gboykung

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #106 เมื่อ02-11-2013 18:51:09 »

 :katai1:

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #107 เมื่อ02-11-2013 19:48:52 »

วิกลัวไปล่วงหน้าเองอ่า  วิกลัวตัวเองจะตกต่ำ  กลัวตัวเองจะชินชาต่อความเลวของการโลเลหลายใจ

วิพยายามจะเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง  ในจินตนาการของวินะ 
เลยต้องไฟท์กับเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวตัวเองจะเปลี่ยนไป

วิสู้ ๆ  3P ต่อไป   :katai2-1:

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
16(1)  ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (วางแผนลงใต้)


        ปลายเดือนกันยาฯ ต้นเดือนตุลาฯ เป็นช่วงที่พวกเราสอบปลายภาคเรียนที่ 1 เสร็จครับ แล้วก็อย่าให้ผมต้องพูดถึงมันเลยครับว่าผมทำได้หรือไม่ได้ ลืมมันไปให้หมดใจแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่ในวันที่เกรดออก มหาลัยผมปิดเทอมแรกประมาณ 1 เดือน ซึ่งผมคงกลับไปอยู่บ้าน แต่ก่อนที่เราจะกลับบ้าน ผมกับเพื่อนๆ ก็ตกลงว่าจะไปกินเหล้าย้อมใจเรื่องข้อสอบที่ทะเลกัน แต่จะเป็นที่ไหนพวกผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจหรอกครับ

        เย็นวันศุกร์หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ผม ไอ้ทรี ไอ้เอ็ม ไอ้วิตซ์มานั่งกินข้าวพี่อาร์ต อเวนิว และบังเอิญจริงๆ ที่พี่วิกับไอ้คอร์ทก็มากินข้าวที่นี่เหมือนกัน สุดท้ายแล้วเราก็ต้องนั่งโต๊ะเดียวกันครับ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเราอึมครึมมาก เพราะไอ้ทรีมันยังโกรธที่ไอ้คอร์ทเคยหาเรื่องพี่วิ มึงไม่เคยรู้อะไรบ้างเลยไอ้ทรี สองคนนั้นเขากลับมาคืนดี จนร่วมหอลงโลงกันแล้ว
   
“พี่วิไปเที่ยวทะเลกันป่าวครับ” ไอ้เอ็มชวน ไอ้นี่ก็อีกคน ชวนพี่เขาต่อหน้าไอ้คอร์ทอีก

“ทะเลเหรอ” พี่วิทำหน้าแปลกใจ
“ไปป่ะคอร์ท” แล้วพี่วิก็หันหน้าไปถามสุดที่รักของเขา ไม่สนใจน้องชายตัวเองที่ตอนนี้กำลังโมโหจนหน้าแดง

“อืมม...ไปดิ” ไอ้คอร์ทตกลงครับ

     ปัญหาก็อยู่ที่ไอ้ทรีนี่แหละครับ เพราะผมกับไอ้คอร์ทก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม ส่วนไอ้เอ็มพี่วิว่าอย่างไร มันก็ว่าตามนั้น เพราะนอกจากมันจะคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณที่พี่วิพาไปโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้มันยังกลายเป็นสาวกของพี่วิไปด้วย เพราะไอ้เอ็มคลั่งนิยายเรื่อง Twilight มากครับ ตอนนี้มันอ่านไป 3 เล่มที่แปลเป็นภาษาไทย แต่พี่วิอ่านฉบับภาษาอังกฤษจนจบแล้ว แถมวิเคราะห์บท วิเคราะห์ตัวละครให้ไอ้เอ็มฟังยกใหญ่ ไอ้เอ็มก็อยากให้พี่วิเล่าตอนจบให้ฟังแต่พี่วิไม่ยอม เขาบอกว่าอยากให้ไอ้เอ็มได้อ่านเองก่อน

“เฮ้ย...ไงวะพวกมึง” เสียงผู้ชายดังมาจากข้างหลังพวกเราขณะที่ไอ้ทรีกำลังส่งสายตาอาฆาตไปที่ไอ้คอร์ทที่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

“ไง....สัตว์บลีช” ไอ้บลีชเพื่อนที่คณะผมครับ มันโคตรเด็กเทพอ่ะ ตอบอาจารย์ได้ทุกคำถาม วันนี้ก็หน้าบานออกมาจากห้องสอบ มันก็นิสัยโอเคนะครับ เสียดายอย่างเดียวแม่งมันชอบอวดเก่งเป็นบางครั้ง

“....มึงทำข้อสอบคณิตศาสตร์ที่ให้คำนวณหาจำนวนรถในประเทศด้วยตัวอักษร 2 ตัว กับ เลขทะเบียน 4 หลักได้รึเปล่า” แล้วมันก็ร่ายยาวครับว่าคำนวณตัวเลขออกมาอย่างไร ผม ไอ้ทรี ไอ้เอ็ม และก็ไอ้วิตซ์ นั่งก้มหน้าเลยครับ มันจะซ้ำเติมอะไรพวกกูนักหนา กูรู้ว่ากูไม่เก่ง

“ไม่เชื่อ” พวกเราทุกคนอึ้งครับ รวมถึงไอ้บลีชด้วย มันหันไปมองพี่วิที่นั่งอยู่กับไอ้คอร์ท อย่างสงสัย และเอาเรื่องครับ พี่วิก็กระหนุงกระหนิงกับไอ้คอร์ทไม่ได้ใส่ใจไอ้บลีชที่ตัวเองเพิ่งหักหน้าเลย

“......................................”

“ชื่อบลีช ใช่มั้ยเรา คำนวณได้เท่าไร....งั้นลองคิดนี่ดู บลีชเคยเห็นป้ายทะเบียนรถที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพวกนี้มั้ย...ชน...จน...ตก...ตด...ตบ...จม...วก...วน...งง...รก...ฉก ฯลฯ คำอัปมงคลพวกนี้ล่ะ คำที่คนไม่ยอมเอามาใช้เป็นทะเบียนรถเพราะเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตแย่ลงล่ะ....จะคำนวณยังไง” ทีนี้ไม่ใช่แค่พวกพวกที่อึ้งครับ ไอ้บลีชก็อึ้ง เด็กเทพเจอเด็กเทพกว่าครับงานนี้ มวยลุ้นครับ

“ตัวเลขน่ะเรื่องง่าย มีสูตรคำนวณ แล้วก็มีเวลานิดหน่อยเดี๋ยวก็หาคำตอบได้ แต่ชีวิตคนทำให้โลกนี้มันซับซ้อนนะ ตัวเลขน่ะมันเอามาอธิบายคนไม่ได้หรอก” พี่วิร่ายต่อ ผมคิดว่าไอ้บลีชจะชกพี่วิที่หักหน้ามันในที่ธาระกำนัล แต่ที่ไหนได้นับแต่นั้นเป็นต้นมามันก็กลายเป็นสาวกของพี่วิไปอีกคน เพราะหลังจากนี้มันมาคุยกับพี่วิครั้งละนานๆ ให้พี่วิเล่าประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์ และฟิสิกซ์ให้ฟัง มันดูเหมือนคนที่เพิ่งได้เห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรกครับที่ได้รู้ว่าคณิตศาสตร์นั้นปรากฏอยู่ในทุกวัฒนธรรมบนโลกนี้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน

“คราวหลังอย่าหงอ” แล้วพี่วิก็หันมากระซิบข้างหูผม เมื่อเราพากันเดินออกมาจากอาร์ต อเวนิว พี่ช่างไม่รู้อะไรเลยนะครับว่า คนไม่เก่งมันไม่มีตัวเลือกอะไรมากนักหรอก ต่อหน้าคนแบบพี่ผมก็หงอ

“ตกลงไปกันวันจันทร์ใช่มั้ย วันธรรมดาคนน้อยดี” ไอ้เอ็มบอกตอนที่พวกเรากำลังแยกกัน พวกผมจะขี่จักรยานกลับหอ ส่วนพี่วิกระโดดซ้อนท้ายเวสป้าไอ้คอร์ท

“งั้นเจอกันหน้ามอ ตอน 6.00 นะ” พี่วิบอก

“ครับ เดี๋ยวผมเป็นคนจองตั๋วเอง” ไอ้เอ็มอาสา

“อืม.......”

     ถึงผมจะไม่ใช่สาวกพี่วิแบบไอ้เอ็ม หรือไอ้บลีช แต่ผมก็ได้มรดกหลายอย่างมาจากพี่เขาครับ หนึ่งในนั้นคือการที่ผมได้ยืมอ่านหนังสือเรื่อง กล่องไปรษณีย์สีแดง ของ อภิชาติ เพชรลีลา ซึ่งเป็นเรื่องราวของ ไข่ย้อย หนุ่มนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ถูกปฏิเสธความรักโดยเพื่อนสนิทของตัวเองที่รู้จักกันมา 5 ปี เพราะทำใจไม่ได้เขาจึงนั่งรถไฟหนีไปใช้ชีวิตที่ชายทะเลในภาคใต้ และเมื่อมีโอกาสเขาก็จะเขียนจดหมายและไปรษณียบัตร ไปเล่าเรื่องราวของชีวิตที่แปลกใหม่ และความรักที่เขามีต่อเพื่อนสนิทซึ่งแม้แต่มวลน้ำเหลือคณาของทะเลก็ไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้ หนังสือเรื่องนี้สุดท้ายแล้วกลายมาเป็นภาพยนตร์ครับ โดยเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น เพื่อนสนิท (Dear Dakanda)

      และอีกแค่ 2 วันผมก็จะเดินทางลงไปทะเลเหมือนกับไข่ย้อยแล้วครับ สำหรับพวกเราที่เรียนในจังหวัดนครปฐม การไปเที่ยวทะเลอาจจะไม่ได้ดูเป็นเรื่องใหญ่ หรือน่าตื่นเต้นแบบคนที่เรียนในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนมหาลัยผมครับ บรรยากาศมันต่างกับตอนที่ผมไปเที่ยวกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมจริงๆ ผมเดินมานั่งริมหน้าต่างห้องคอมมอนรูมที่ประจำ แล้วโทรศัพท์หาปลา มันคงจะดีที่มีคนเดินจูงมือกันริมชายหาด แล้วให้คลื่นซัดปลายเท้าเราให้จมลงในพื้นทราย  ไข่นุ้ยจากล่องไปรษณีย์สีแดงบอกไว้ครับว่าน้ำทะเลไม่อาจลมความทรงจำและความรักของเขาที่มีให้ดากานดาได้ แต่สำหรับผมแล้วความรักของผมมันเริ่มลบเลือนด้วยระยะห่าง และกาลเวลา


ออฟไลน์ บ๊ายบายโพ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #109 เมื่อ03-11-2013 11:34:55 »

สงสัยมานานแล้วว่าทำไมโย๊ปถึงมีพาร์ทเล่า ตอนแรกคิดว่าเพราะคนเขียนอยากให้มีมุมมองแบบ2ด้านรึเปล่า
แต่ลองคิดอีกที หรือสุดท้ายโย๊ปจะเป็นอัลมอนด์บดของพี่วิ
ไม่ใช่ อะไรแอบเชียร์โย๊ปไง 555555  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My Almond Crush....
« ตอบ #109 เมื่อ: 03-11-2013 11:34:55 »





Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #110 เมื่อ03-11-2013 12:32:28 »

ต่อได้เร็วเหลือเชื่อ

 :katai3:

รออ่านบทของโย๊ปต่อ  ถ้าเข้าใจม่ผิดเหมือนตอนนี้โย๊บยังมีแฟนผู้หญิงชื่อปลา  :katai5:

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #111 เมื่อ04-11-2013 00:01:21 »

เขียนได้ดีมากเลย
บอกตรงๆว่าส่วนตัวแล้วไม่ชอบอ่านเรื่องที่แบบ รักคนนี้ แต่ก็ตัดใจจากคนนู้ไม่ได้ อะไรงี้
แต่คุณคนเขียน เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ ติดงอมแงมเลย จะรอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Also

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #112 เมื่อ04-11-2013 14:56:50 »

วางไม่ลงกันเลยทีเดียว ภาษาสวยมากค่ะ เจอคำผิดเล็กๆ แต่ก้อไม่ได้ทำให้การอ่านสะดุดเลย

เอาใจช่วยวิค่ะ ไม่ว่าสุดท้ายแล้ววิจะเลือกใครหรือมีใครผ่านเข้ามาในชีวิตอีก

เราเป็นอีกคนที่คิดว่าวิน่าอิจฉานะ จริงๆถ้าวิเปิดใจ น่าจะพบว่ามีคนอยากรักวิตั้งมากมาย

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ ^^

ออฟไลน์ puppyluv

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2539
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2000/-20
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #113 เมื่อ04-11-2013 16:35:29 »

ลุ่มหลงรักวิด้วยคน
เหมือนภาพฝัน
แต่ถ้าจะไปก็ต้องยอมปล่อยมือ
บวกและเป็ดขอบคุณ
 :hao5:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #114 เมื่อ04-11-2013 16:40:07 »

โย๊ป จะได้ครองคู่กับวิ ในตอนจบมั้ยนิ  :laugh:

วิฬาร์

  • บุคคลทั่วไป
ถึงผู้อ่านทุกคนครับ ครั้งที่แล้วผมรีบร้อนลงจนลืมที่จะเขียนแนะนำบทของโย๊ป เพราะในบทที่ 16 (ช่วงปิดเทอม) เป็นตอนที่เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดกึ่งกลางพอดีครับ เพราะเรื่องราวนี้เป็นของวิที่มีระยะเวลา 1 ปีการศึกษา ก่อนที่จะเรียนจบไป ต้นแบบตัวละครโย๊ป เป็นคนที่มีบุคลิกอ่อนโยน และลึกซึ้ง เป็นคนสนุกด้วยครับ แต่บางทีก็ไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้ดวงตาอาตี๋ที่อยู่หลังแว่นสายตากลมๆ อันเบ้อเร่อ ฮ่าๆๆๆ ผุ้อ่านอาจจะรู้สึกว่าบางทีเรื่องมันเฉื่อยๆ แต่ปกติไอ้โย๊ปมันก็ชอบทำตัวเฉื่อยๆ แบบนี้แหละครับ

และตอนนี้ตัวผมเองรู้สึกตื่นเต้น เมื่อผู้อ่านทุกคนพยายามคาดเดาเรื่องราวนี้ว่ามันจะจบอย่างไร วิจะได้คู่กับใครกันแน่ อยากบอกนะครับ แต่คิดแล้วอุบไว้ดีกว่า

ขอบคุณ คุณ puppyluv ที่ชอบวิครับ ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนทำให้ วิ เป็นมนุษย์ประหลาดมาตั้งแต่ต้น
ขอบคุณ คุณ sine_saki คุณ Also คุณ Poes คุณ คีรี~มัญจาโร คุณ drasil คุณ บ๊ายบายโพ และผู้อ่านคนอื่นที่ไม่ได้เอ่ยถึงแต่ระลึกถึงอยู่เสมอ ขอบคุณที่คอยติดตามอ่าน เป็นกำลังใจในการเขียน และคอมเมนท์ที่มีให้แก่กันครับ

ขอบคุณมากครับ
"วิ"
...............................................................................................



16(2) ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (อะไรเอ่ยไม่เข้าพวก)


     เราตกลงกันได้ในเวลาต่อมาครับว่าจะไปเที่ยวทะเลที่ชะอำ ถึงความจริงพวกผมอยากจะไปไกลกว่านั้น แบบปราณบุรี แต่พี่วิหารีสอร์ทที่มีชายหาดส่วนตัวได้ครับ เราจะได้เฮฮาเต็มที่ไม่ต้องคอยระวังตัว แถมยังสะดวกเพราะที่รีสอร์ทมีบ้านพัก 3 ห้องนอน บวกกับราคาถูกมาก พวกเราเลยโอเคครับ ไปเที่ยวทะเลครั้งนี้พวกเราไปกันทั้งหมด 11 คนครับ เพราะทุกคน (ที่มีแฟน) ต่างก็เอาแฟนไปด้วยครับ คงยกเว้นแค่ผมที่แฟนเรียนอยู่คนละมหาลัย พวกเรามาเจอกัน 6.00 ตามที่นัดกันไว้ แล้วขึ้นรถสองแถวไปสถานีรถไฟหลังตลาดองค์พระ ซึ่งตอนนี้กำลังคับคั่งไปด้วยพี่ ป้า น้า อา ที่ออกมาจ่ายตลาด ดูวุ่นวายแต่ก็เป็นเสน่ห์ของนครปฐมมากครับ

        หลังจากไอ้เอ็มกับแฟนมันไปเอาตั๋วที่สถานีมากแจกพวกเรา พร้อมกับข่าวดีว่ารถไฟจะดีเลย์ 1 ชั่วโมง นี่แหละครับธรรมชาติของรถไฟไทยไม่ต้องแปลกใจว่าเป็นหน่วยงานรัฐที่มีหนี้จนแทบจะล้มละลาย เมื่อรู้ว่าต้องรอไปอีก 1 ชั่วโมงพวกเราก็เลยแยกย้ายกันไปหาข้าวกิน และไม่แปลกใจเลยที่จะแยกกันไปแบบคู่ใครคู่มัน ไอ้เอ็มไปกับแฟนมัน ไอ้ทรีไปกับแฟนมัน ไอ้วิตซ์ไปกับแฟนมัน พี่วิไปกับไอ้คอร์ท เหลือผม ไอ้หนิงเพื่อนไอ้เจ็มแฟนทรี กับไอ้บลีชที่เสือกตามมาด้วยจนได้ครับ เศร้านะครับเพราะผมไม่สนิทกับไอ้ 2 คนนี้เลย ไอ้หนิงยังพอพูดง่าย แต่ไอ้บลีชนี่สิครับนอกจากพี่วิแล้ว พวกเราคนอื่นเหมือนโดนมันกดหัวตลอดเวลาเลย

“พี่วิกินไร ผมไปกินด้วย” ในที่สุดครับไอ้บลีชสาวกคนเดียวของพี่วิที่ยังโสดอยู่ก็ขอตามศาสดามันไป ไอ้บลีชไม่รู้ครับว่าพี่วิคบกับไอ้คอร์ทอยู่ จริงๆ แล้วคนที่รู้ มีแค่ผม ไอ้ทรี ไอ้เอ็มครับ ผมกลัวก็แต่ไอ้คอร์ทเห็นมันนิ่งๆ แต่ไอ้นี่น่ากลัวครับ

“จะไปกินโจ๊กกับคอร์ท” พี่วิตอบครับ แล้วสุดท้ายผมกับหนิงที่ไม่ได้สนิทกันก็ตามพี่วิกับไอ้คอร์ทไปกินโจ๊กกันหมดเลยครับ ฮ่าๆ ขอโทษนะเพื่อนที่กูมาเป็นกขค.

        ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพวกเรามายืนรอกันแน่นที่หน้าสถานีรถไฟ เพราะเราซื้อตั๋วชั้น 3 ครับ ต้องรีบขึ้นไปแย่งชิงที่นั่งกับคนอื่นๆ เราได้นั่งโบกี้ท้ายๆ ครับแต่ก็ยังต้องนั่งแยกกัน เพราะคนเยอะมาก ก็เหมือนเดิมแหละครับต้องแยกกันไปเป็นคู่ และโชคก็เข้าข้างผมเพราะพวกเรามากัน 11 คน ให้ทายว่าใครที่ไม่เข้าพวก ฮ่าๆ ผมไงครับ พอจะไปนั่งใกล้ๆ พวกไอ้เอ็มกับแฟนมัน ไอ้ทรีกลับพยักเพยิดให้ผมไปนั่งตรงข้ามพี่วิกับไอ้คอร์ท ให้ผมช่วยทำหน้าที่กขค. อีกแล้วครับ ไอ้เชี่ยนี่ก็ตั้งแง่มากคงหวงพี่ชายมัน แต่ไอ้คุณคอร์ทเป็นคนเดียวในทริปนี้ครับที่เล่นกีตาร์เป็น แถมพี่วิยังไม่ฟังน้องชาย จึงเป็นเงื่อนไขที่ไอ้ทรีทำอะไรไม่ได้ครับ แถมมันเองก็ยังมากับแฟนอีกเลยหมดสิทธิคุมพี่ชาย

        เมื่อรถไฟออกผมก็นั่งเล่นเกมอะไรเอ่ยไม่เข้าพวกอีกครับ เพราะผู้ชาย 2 คนที่นั่งบนเบาะฝั่งตรงข้ามผม ที่นั่งหันหน้าเข้ามาหาผม ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละมิติ ไอ้คอร์ทผิวขาวหน้าตาดีใส่เสื้อยืดแบรนด์เนม กางเกงยีนส์แบรนด์เนม สวมแว่นตาดำแบรนด์เนม พี่วิสวมเสื้อคอกว้างยืดสียีนส์ กางเกงยีนส์ขาเดฟ รัดผมหยักศกเซอร์ๆ ไว้ข้างหลัง ใส่แว่นตาดำ Playboy พอนั่งอยู่ด้วยกันแล้วเหมือนมีออร่ามาหุ้มไว้ แถมไอ้คอร์ทยังเป็นคนที่เรียนดี เล่นกีฬาดี และมีความสามารถพิเศษมากที่สุดคนหนึ่งที่ผมโตมาด้วยกัน ผมยอมรับครับว่าอิจฉามันในทุกเรื่องตั้งแต่อยู่มัธยม นั่นคงเป็นเหตุผลให้ผมชอบหาเรื่องแกล้งมัน ความสามารถของไอ้คอร์ทจับคู่กับความสามารถของพี่วิได้ลงตัวมากครับ พี่วิมีพลัง มีความมั่นใจ และเป็นตัวของตัวเองมาก เก่งแม้แต่กับเด็กเทพเทคโนฯ เมื่อ2 คนนี้จับคู่กันมาทำให้ผมเหมือนตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตก้นเหว ที่กำลังแหงนมองฟ้าครับ

        รถไฟจากนครปฐมไปชะอำใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ครับ ซึ่งระหว่างนั้น 2 คนตรงข้ามผมก็แบ่งหูฟังเครื่องเล่น MP3 กันคนละข้างแถมยังเอนหัวซอบกันอีก หวานไม่เกรงใจกขค. อย่างผมเลย เสียงคุยของพวกไอ้ทรีก็ดังมาจากเบาะที่อยู่ถัดออกไป ตอนนี้ผมเหมือนหมาหัวเน่าที่สุดครับ

สักพักหนึ่งก็มีคนขายของกินมาเดินขายน้ำ ขายขนม ข้าวหลาม ข้าวกล่องบนรถไฟ กันจนผู้โดยสารพากันคึกคักเมื่อได้ของกิน

“คอร์ท...พี่วิ” ผมเรียกคู่รัก 2 คนให้ตื่นมาเลือกซื้อของกิน เผื่อจะได้ลดความหวานลงมั่ง แล้วไอ้คอร์ทก็เงยหน้ามามองหาของกินครับ

“วิ....น้ำหวานป่าว” ผมอึ้งครับ แปลกหูนะเวลาไอ้คอร์ทมันเรียกชื่อพี่วิเฉยๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจครับว่าเขาเป็นแฟนกัน

“หรือจะเอาข้าวด้วย”

“เอาสไปร้ท์ เอาผัดหมี่ เอาขนม” พี่วิบอกเมื่อจ่ายตังคนขายเสร็จเราก็เริ่มลงมือกินครับ

“กินขนมด้วยกันก็ได้นะโย๊ป” พี่วิเรียก

“ครับๆ” ผมตอบรับไป แต่ในใจไม่คิดจะกินขนมกับ 2 คนนั้นหรอกครับ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งเป็นส่วนเกิน แล้วพอกินเสร็จ 2 คนนั้นก็นั่งคุยกันต่อครับ เรื่องปิดเทอม คอร์ทจะกลับบ้านแค่สัปดาห์เดียวเพราะมันต้องซ้อมลีดตอนปิดเทอมด้วย ส่วนพี่วิก็กลับบ้านสัปดาห์เดียวเหมือนกันครับ เพราะพี่เขาต้องออกภาคสนามที่ชายแดนพม่า 10 กว่าวัน

“มานอนห้องผมดิ” ไอ้คอร์ทชวน

“อ่ะนะ ยังไม่เบื่อเหรอ” พี่วิตอบ นอนก็หวาน ตื่นก็หวาน ผมเลยแกล้งหลับครับ และในที่สุดก็หลับไปจริงๆ

        ผมตื่นมาเมื่อรถไฟของเราจอดที่ชานชาลาอำเภอชะอำ สถานีรถไฟที่นี่ดูไม่ค่อยคึกคักเหมือนกับที่สถานีหัวหิน แต่ก็มีรถรับจ้างมากมายทั้งมอเตอร์ไซด์ และรถกระบะ เมื่อรวมพลกันครบพวกเราก็ตัดสินใจจ้างรถกระบะไปส่งที่รีสอร์ทครับ แถมไม่ลืมที่จะแวะซื้อเบียร์ 2 ลัง เหล้า 3 ขวด สปาย โซดา น้ำเปล่า ฯลฯ กะว่าจะจัดหนักเลยครับ

        11.50 หลังจากที่รถรับจ้างพาเราวกวนถนนสายเปลี่ยวมาสักพัก เราก็มาถึงที่หมาย ชะอำ คาบาน่า รีสอร์ท ซึ่งบ้านพักของเราที่จองไว้ก็โอเคมาก อยูติดทะเลหันหน้าเข้าหาชายหาด มี 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำตามที่ตกลงไว้ ปัญหาเล็กน้อยๆ ก็เหมือนเดิมแหละครับ คือ เราต้องเล่นเกมอะไรเอ่ยไม่เข้าพวก พวกเรา 11 คน ผู้หญิง 4 คน นอนห้องหนึ่ง พี่วิกับไอ้คอร์ทจองห้องหนึ่ง และพวกเราห้องหนึ่ง แต่ห้องพวกเรานอนได้แค่ 4 คนเหมือนกันครับ ฉะนั้นแล้วต้องมีคนหนึ่งที่ถูกถีบไปนอนห้องเดียวกับไอ้คอร์ทกับพี่วิ ไม่ต้องทายหรอกครับว่าใคร สุดท้ายก็ผมนี่แหละที่ต้องกลายเป็นกขค. แต่ก็ดีครับ เพราะห้องพี่วิกับไปอ้คอร์ทเป็นเตียงเล็ก 2 เตียง ผมจะได้ไม่ต้องนอนเบียด

        หลังจากเก็บของไม่นาน พวกเราก็ทนไม่ไหวครับที่ต้องเล่นน้ำทะเล เกลียวคลื่นสีเทาฟ้า หาดทรายสีเทาน้ำตาล มีกิ่งไม้ใหญ่วางอยู่เป็นจุด ล้อมด้วยทิวต้นสน ดูเชิญชวนพวกเราเหลือเกิน พวกเราถอดเสื้อออก ส่วนพวกผู้หญิงก็เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นลงเล่นน้ำกัน ผมเห็นพี่วิกับไอ้คอร์ทเล่นน้ำกันอยู่ห่างๆ จากพวกเรา พี่วิแทบจะตัวติดกับไอ้คอร์ทเลยครับ ผมเองเคยเห็นพี่วิถอดเสื้อมาหลายครั้งมาก เพราะหอเราใช้ห้องน้ำรวม แต่พอผมมาเห็นพี่วิถอดเสื้อยืนอยู่ใกล้ไอ้คอร์ทแล้วคิดว่าเขาเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูกครับ

“คอร์ทหล่อเนอะ” เอาละครับ ไอ้แก้ว (เพื่อนแฟนไอ้ทรี) เปรยกับผมเรื่องความหล่อของไอ้คอร์ท ถ้าพี่วิได้ยินทะเลนองเลือดแน่

“อืม....” ผมตอบไม่ใส่ใจ แล้วสักพักไอ้เอ็มก็ตามสองคนนั้นมาเล่นลิงชิงบอลในทะเลด้วยกันกับพวกเราครับ สนุกดีครับ

เล่นกันจนเหนื่อยเราก็ชวนกันขึ้นฝั่งครับ ไปนั่งอยู่แถวๆ ชานหน้าบ้านพักพวกเรา เอาขนมกับเบียร์มาเปิดกินกันไปเรื่อยๆ แล้วพี่วิกับไอ้คอร์ทก็หายตัวไป ผมนั่งกินสักพักก็ลุกไปอาบน้ำ แล้วกลับมาแต่งตัวในห้องที่เปิดแอร์ไว้จนเย็น ผมเห็น 2 คนนั้นนอนหลับกอดกันอยู่ ผมเลยรีบแต่งตัวแล้วออกไปนั่งเล่นที่หน้าชานบ้านเหมือนเดิม

“พี่กูล่ะ” ไอ้ทรีถามทันทีเมื่อผม เดินกลับไปนั่งที่เดิม

“นอนอยู่ในห้อง” ผมตอบมันพร้อมกับทำหน้าแบบว่ามึงอย่าถามต่อนะ อาจติดเรท

“2 คนนั้นเป็นแฟนกันเหรอ” ไอ้เจ็มแฟนไอ้ทรีถามมันครับ ดันถามในในเรื่องที่ไอ้ทรีมันหงุดหงิดอยู่ด้วย

“มั้ง” ไอ้ทรีตอบแบบสั้นๆ

“เสียดายอ่ะ คอร์ทหล่อมาก” ไอ้แก้วเสริม จะไม่หล่อได้ไงล่ะ ลีดคณะเภสัชเชียวนะครับ

     นั่งกินเบียร์เล่นกันมาสักพักผมก็เห็นว่าบ้านพักอีก 3 หลังที่อยู่ถัดจากหลังของเราไปมีกลุ่มวัยรุ่น น่าจะเป็นเด็กมหาลัย ประมาณ 50 คน เข้ามาเก็บของครับ แล้วพวกเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปที่ทะเล จากเสียงร้องที่ได้ยิน และเกมที่พวกเขาเล่นกัน มารับน้องแน่นอนครับ แบบนี้

“นึกว่าจะมีแค่พวกเราซะอีก” ไอ้บลีชมันบ่น

“ทำใจเหอะมึง อีก 4 วันแน่ะ” ไอ้วิตซ์บอกเพื่อนมัน

        เวลาเดินเร็วมากครับ เผลอนั่งเล่นกันแป๊บเดียวก็เย็นแล้ว พวกเราไม่ได้สั่งอาหารไว้กับทางรีสอร์ท เพราะคิดว่าจะทำกินกันเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้เราควรต้องออกไปซื้อกันได้แล้วก่อนที่ฟ้าจะมืด แล้วตลาดจะวาย แล้ว 2 คนในห้องก็ออกมาพอดีเหมือนกันครับ สรุปว่าพวกเราจะไปซื้อของกัน 6 คนผู้ชายหมดครับ เพราะจะเช่าจักรยานรีสอร์ทปั่นไปที่ตลาดกว่าจะกลับมาถึงก็คงมืด เลยให้พวกผู้หญิงกับไอ้ทรี ไอ้วิตซ์ อยู่ที่บ้านพัก

“อ้าว....เฮ้ยย วิ” เสียงทักดังมาจากหน้าห้องอาหารตอนที่เรากำลังเดินผ่านไปเช่าจักรยานที่โต๊ะรีเซฟชั่น แต่พี่วิไม่ได้สนใจ
“วิ....” แล้วเจ้าของเสียงก็วิ่งกระหืดกระหอบ มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราครับ เป็นผู้ชายตัวสูงกว่าพี่วินิดหนึ่ง ตัดผมสั้นเท่ห์ๆ ตาคมโต สีผิวแบบเดียวกับพี่วิ แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือเวลาที่เขายิ้มครับ ทุกครั้งผมจะเห็นประกายแสงสีเงินลอดออกมาจากริมฝีปากคู่นั้น เขาเจาะลิ้นและฝังหมุดเงินครับ
“จำไม่ได้เหรอ” คนมาใหม่ถาม พี่วิที่ทำหน้างง และแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร

“หึ....ไม่เคยเห็นหน้าเลย” พี่วิตอบครับ คงงงๆ อยู่ๆ มีคนไม่รู้จักมาทัก

“เอ็กซ์...ไง อักษรฯ จุฬาฯ ที่เราเข้างานอักษรฯ 3 มหาลัยด้วยกันตอนปี 1 ไง” คนที่ชื่อว่าพี่เอ็กซ์แนะนำตัว

“อักษรฯ จุฬาเหรอ รู้จักแต่พิน กับเอริ์ธ แค่ 2 คน” พี่วิตอบ

“แล้วมารู้จักวิได้ไง” พี่วิถามกลับ

“ก็เราแขวนป้ายชื่อกันไง” เขาตอบยิ้มแย้มเหมือนเดิม แต่อ้คอร์ทไม่ยิ้มแล้วครับ ระหว่างนี้พวกผมเลยเดินไปจูงจักรยานมา

“อืม....มารับน้องเหรอ”

“อืมรับน้องเอกน่ะ”

“อ่อ....ไปก่อนนะ จะไปตลาด” แล้วพี่วิก็ซ้อนท้ายไอ้คอร์ท และเราก็ปั่นจักรยานไปตลาดกันครับ

“แล้วเจอกันนะ” ไอ้พี่เอ็กซ์บอก แต่ผมเห็นพี่วิแอบกลอกตาแลบลิ้น ฮ่าๆๆ แถมกอดเอวไอ้คอร์ทแน่นอีก มันคงขี้หึงมั้งครับ

        เมื่อมาถึงตลาดพี่วิก็ให้เราแยกย้ายซื้อของตามที่ตกลงกันไว้ โดยต้องได้ราคาที่ถูกที่สุดครับ ง่ายๆ ก็คือให้พวกเราต่อราคาของกินให้เต็มที่ ส่วนใหญ่ที่ซื้อก็เป็นหมึกสด กุ้งสด ปู ข้าว ขนม กับแกล้ม

     ไม่นานเราก็กลับมาคืนจักรยาน แล้วมาชานหน้าบ้านพักครับ เดินออกไปอีกนิด บนหาดทราย พวกไอ้ทรีก่อกองไฟ กับเตาปิ้งย่างไว้รอแล้วครับ พวดเราเลยเริ่มลงมือทำอาหารกัน ส่วนใหญ่ก็ปิ้งย่าง ครับ น้ำจิ้มซีฟู๊ดก็ซื้อมาด้วยแล้วตอนไปตลาด ไม่นานก็เสร็จครับ แล้วเราก็นั่งล้อมวงกันกินหมึกย่าง กุ้งย่าง ปูย่าง ปลาย่าง แบบเป็นคู่ๆ นะครับ ให้ทายว่าอะไรไม่เข้าพวก ก็ผม ไอ้บลีช กับหนิงไงครับ ฮ่าๆๆ ไอ้ 2 คนนี้มันคงเริ่มรู้ว่าตัวเองคิดผิดที่มาด้วยแล้วมั้งครับ

     ถัดออกไปไกลๆ บนชายหาดมีกองไฟก่อขึ้นมา วัยรุ่นประมาณ 50 กำลังร้องเล่นเต้นรำ ผมได้ยินเสียงกลอง ได้ยินเสียงร้องเพลงเชียร์สูงบ้าง ต่ำบ้างลอยมา เราก็ไม่สนใจครับ พอกินไปสักพักเราก็เริ่มเปิดเหล้ากับเบียร์ (น่าสงสารไอ้เอ็มอดแดก) และไอ้คุณคอร์ทก็เล่นกีตาร์ครับ ตอนนี้ผมขำอยู่เรื่องหนึ่งครับ คือ ไอ้ทรีที่ดูเคืองๆ กับไอ้คอร์ทอยู่นั้นกลับเป็นคนเลือกเพลงแทบจะทั้งหมด ทั้งเพลงของ Tattoo Color วง Pancake วงเล้าโลม นอกจากนี้ก็มีเพลงที่พวกผู้หญิงขอครับ เราเล่นกีตาร์ ร้องเพลง กินเบียร์ กันไปเรื่อยๆ จนเกือบสามทุ่ม ไอ้คอร์ทก็เริ่มเมื่อยแล้วครับ และที่สำคัญต่อไปก็จะเป็นเวลาเล่นไพ่แล้วครับ

     ก่อนพวกเราจะเลิกวงเหล้าแล้วไปตั้งวงไพ่ ก็มีเงาของคน 2 คน เดินมาจากความมืดครับ พอใกล้เข้ามาผมจึงเห็นว่าเป็นพี่เอ็กซ์ กับผู้หญิงผมยาวหน้าหวานอีกคนหนึ่ง

“วิจริงด้วย” เสียงผู้หญิงดังขึ้นมา

“พิน....” พี่วิกระโดดลุกขึ้นรับคนที่ส่งเสียงเรียกทันที

“มาไงเนี่ย” ผู้หญิงที่ชื่อพินถาม แล้วเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็จับแขนกับพี่วิ

“เรามาเที่ยวกับน้องๆ อ่ะ แล้วพินล่ะ”

“เรามารับน้องเอก 3 วัน”

“อ่อ”

“....เอ็กซ์นั่งกินเบียร์ด้วยได้ป่าว พอดีมารับน้องเลยเอามาไม่ได้อ่ะ” จู่ๆ ไอ้พี่เอ็กซ์ถามขึ้นมา

“เอ็กซ์....” พี่พินปราม

“ถามน้องๆ มันดูแล้วกัน เราไม่ได้กินเท่าไร” พี่วิบอก

“กินต่อครับ แต่เดี๋ยวจะยกวงเข้าบ้านไปเล่นไพ่” ผมบอกเมื่อพี่เขามองมา

“เออดีๆ พี่เล่นด้วย” ผมตกใจครับ ไม่คิดว่าพี่เขาจะตกลงเลย

“เอ็กซ์....” พี่พินปรามอีกครั้งครับ แต่ไอ้พี่เอ็กซ์ทำเหมือนไม่ได้ยิน

“ช่างเถอะ เดี๋ยววิเดินไปส่งพินเอง” พี่วิบอก
“คอร์ท เดินไปเป็นเพื่อนวิป่าว”

“อืม....” แล้วไอ้คอร์ทที่ทำหน้าเซ็งๆ ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกีตาร์ในมือ แล้วพี่วิ พี่พิน ไอ้คอร์ทก็เดินหายไปในความมืด พวกเราช่วยกันดับไฟ แล้วเก็บของกิน กับแกล้มย้ายเข้าไปในบ้านครับ แต่ก่อนที่ผมจะได้เล่นไพ่ โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมา

“ว่าไงปลา...” ผมทักคนที่โทรเข้ามา

“โทรมาหาเฉยๆ ทำไรอยู่ล่ะ” ปลาถามครับ ผมเลยเดินออกไปคุยโทรศัพท์หน้าบ้านพัก

“กำลังจะเล่นไพ่อ่ะ”

“555 เหรอ ระวังหมดตัวนะ”

“อืม....สอบเป็นไงมั่ง”

“ก็เรื่อยๆ แหละ ได้บ้างไม่ได้บ้าง...เดี๋ยววันศุกร์ก็สอบเสร้จก็กลับบ้านแล้ว” ปลาพูดย้ำในเรื่องที่เรารู้กันอยู่แล้ว คือเรื่องวันสอบและเรื่องปิดเทอม แล้วเราก็คุยกันต่อประมาณ 10 นาทีครับ เรื่องทั่วไป กลับบ้านจะไปเที่ยวไหนกันดี จะนัดเจอกับเพื่อนคนไหนบ้าง จะแวะกลับไปหาอาจารย์ที่โรงเรียนเก่ามั้ย

“โย๊ปมีแฟนใหม่ป่าวนี่” อยู่ๆ ปลาก็ถามด้วยคำถามที่ทำให้ผมเงียบไป

“ป่าว ไม่มี....ทำไมอ่ะ ” ผมตอบแม้ว่าความจริงแล้วผมมองผู้หญิงอยู่หลายคนครับ แต่ก็มองเพราะว่าพวกเขาสวย หรือน่ารัก บ่อยครั้งผมไปเป็นเพื่อนไอ้เอ็มจีบผู้หญิง จนกระทั่งวันนี้ไอ้เอ็มมันมีแฟนไปเรียบร้อยแล้ว หวานจนคนเขารู้กันทั้งคณะ

“ป่าว....แค่รู้สึกว่าเราห่างๆ” ปลาบอก

“ก็เราอยู่ห่างกันนี่” ผมตอบ แล้วเราก็เปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องอื่นกันอีกสักพัก จนผมเห็นไอ้คอร์ทกับพี่วิเดินจูงมือกันกลับมา ผมเลยรีบบอกลาปลาแล้วก็วางสายโทรศัพท์ครับ

“อ้าว....ไม่ได้เล่นไพ่กับเขาเหรอ” พี่วิถาม

“ออกมาคุยโทรศัพท์กับแฟนอ่ะพี่ จะเข้าไปเล่นแล้วแหละ”

“คุยกับปลา เหรอ” ไอ้คอร์ทถาม

“เออ” แล้วเราก็กลับเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นพื้นกระเบื้องของบ้านพัก ที่ตอนนี้มีผ้าปูที่นอนมาปูไว้ทำเป็นวงไพ่ ขาไพ่มีทั้งชายหญิง และนอกจากเหล้า เบียร์ และกับแกล้ม ขาไพ่แต่ละคนก็เอาหมอน ผ้าห่ม ฯลฯ มาเป็นพร็อบครับ

“วิ...เล่นบ๊อกเด๊งป่าว” พี่เอ็กซ์เงยหน้ามาชวน

“ม่ายอ่ะ....เล่นไม่เป็น” พี่วิปฏิเสธ

“มึงจะเล่นป่าวคอร์ท” ผมกระซิบถามเพื่อน แต่จากหน้าเซ็งโลกของมันแล้ว ผมก็รู้คำตอบ

“เดี๋ยวกูเข้านอนแล้ว” แล้วมันก็ดึงแขนพี่วิเดินไปห้องนอนครับ

        1.00- 2.00- 3.00 เวลาเท่าไรแล้ว ตอนนี้ผมก็จำไม่ได้ครับ ดึกมากแล้ววงไพ่พวกเราก็เลิกแล้ว ผมก็กลับเข้ามานอน แต่กลายเป็นว่าผมไม่ได้มาคนเดียว เพราะไอ้พี่เอ็กซ์มันเมากลับไม่ไหว มันก็เลยมานอนที่เตียงผมด้วยครับ
 
        1.00- 2.00- 3.00 เวลาเท่าไรแล้ว ตอนนี้ผมก็จำไม่ได้ครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองหลับไปพักหนึ่ง แต่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงครางด้วยความพึงพอใจเบาๆ ผมนอนตะแคงหันหน้าไปทางเตียงของพี่วิ ภาพที่ผมเห็นคือ ไอ้คอร์ทที่นอนไม่ใส่เสื้อกำลังคร่อมตัวพี่วิที่ไม่ได้ใส่เสื้อเหมือนกัน คอร์ทกำลังก้มลงดูดคอพี่วิเหมือนแวมไพร์ในหนัง พี่วิเงยหน้าแอ่นคอให้แล้วครางครับ มือของเขาก็ลูบไล้บนหน้าอกไอ้คอร์ทที่ มีรอยกระดูกไหปลาร้าคมชัด

“จะทำรอยหรอ....อ่า” พี่วิกระซิบแต่ให้ห้องที่เงียบสนิทผมได้ยินเสียงนั้นชัดเจน

“มันจะได้รู้ไงว่าใครเป็นเจ้าของ” ไอ้คอร์ทตอบเบาๆ น้ำเสียงเจือความโกรธเอาไว้

“อ่า....คอร์ท” พี่วิครางหนักกว่าเดิม เพราะตอนนี้ 2 คนนั้นไม่ได้หยุดแค่การดูดคอกับลูบไล้แล้วครับ

“อ๊า......” พี่วิกรี๊ดออกมาแล้วรีบหยุดเสียงตัวเองไว้ เมื่อโดนไอ้คอร์ทกัดเข้าที่ฐานคอ บนหน้าอก มือของพี่วิกลายเป็นกรงเล็บที่จิกบนแผ่นหลังสีขาวของไอ้คอร์ท

“เดี๋ยวโย๊ปเห็น” พี่วิกระซิบหอบ ไอ้คอร์ทลุกขึ้นครับ แล้วดึงพี่วิขึ้นมาด้วย มันใส่บอกเซอร์ลายทางซึ่งตอนนี้มันถูกดันออกมาจากข้างในจนตุงเหมือนกระโจม และบ็อกเซอร์ที่พี่วิใส่ก็ไม่ได้แตกต่างกัน

“มาข้างนอก...” ไอ้คอร์ทกระซิบแล้วทั้ง 2 คนก็เดินผ่านเตียงของผมออกไปนอกประตู เหมือนวิญญาณที่ลอยไปอย่างไร้เสียง

   ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันอาจจะเป็นความอยากรู้ที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาแล้วแอบเดินตามออกไป 2 คนนั้นไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่น ผมเลยเดินออกจากประตูบ้านพัก แสงจันทร์สีขาวเทาทำให้ผมเห็น แผ่นหลังของทั้ง 2 คน สะท้อนอยู่บนชายหาดที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวเทา และพวกเขากำลังเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ ครับ เหมือนวิญญาณที่กำลังเดินทางตามแสงจันทร์ ผมเว้นระยะห่างแล้วตามไปพยายามไม่ให้เขารู้ตัว

        สองคนนั้นหยุดบนกิ่งสนขนาดใหญ่ที่ล้มพาดไว้กับพื้น ข้างๆ ทิวรั้วต้นสน พี่วิขึ้นคร่อมคอร์ทแล้วทั้ง 2 คนก็จูบกับ เป็นจูบที่เร่าร้อน เนิ่นนาน  และรุนแรง ขณะดียวกับที่มือของทั้ง 2 คนทำหน้าที่ในการปลดปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระจากเครื่องปกปิดชิ้นสุดท้ายของทั้งคู่ ส่วนนั้นของไอ้คอร์ทใหญ่เหมือนกันครับ ใหญ่กว่าที่ผมเคยเห็นมันตอนที่อาบน้ำพร้อมกันสมัยเรียนรด. มาก ขนสีดำตรงนั้นดูหนาขึ้นกว่าเดิมลามรกมาจนถึงสะดือ และตอนนี้ส่วนนั้นกำลังเสียดสีกับของพี่วิที่เล็กกว่าไอ้คอร์ทเล็กน้อย ขนสีดำนั่นเหมือนกับผมพี่วิครับ หยิกสั้น สักพักไอ้คอร์ทก็ทิ่มนิ้วมือไปในก้นของพี่วิ

“อ๊ะ...........” ผมได้ยินเสียงครางที่ลอยออกมาตามสายลม จากนิ้วเดียว เป็น 2 นิ้ว และ 3 นิ้ว แถมมันยังกระแทกนิ้วรัวเข้าไปในก้นของพี่วิไม่หยุด

“อ๊ะ......อ่า” พี่วิคราง ใบหน้าบิดเบี้ยว สะบัดไปมา

“.....คอร์ท” พี่วิใช้เสียงหวานเรียกชื่อไอ้คอร์ท และนั่นคงเป็นสัญญาณ ไอ้คอร์ทยืนขึ้นพร้อมกับกดบ่าพี่วิให้คุกเข่าลงไป พี่วิใช้ปากโม๊กให้ไอ้คอร์ท ทันที ดูไม่รังเกียจส่วนนั้นของไอ้คอร์ทที่มีน้ำใสปริ่มอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นผู้ชายทำ ออรัล เซ็กส์ให้กัน

“อ่า.....” คราวนี้เป็นเสียงครางของไอ้คอร์ทครับ เสียงมันฟังแล้วเหมือนสัตว์ที่กำลังเจ็บปวด ผมไม่เคยเห็น คน 2 คนที่ผมทั้งชื่นชม ทั้งอิจฉาในความสามารถ ในภาพแบบนี้มาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมากครับ ไม่นานเท่าไรไอ้คอร์ทก็ดึงพี่วิลุกขึ้น พลักให้หันหลัง และออกแรงกดหลังพี่วิให้ก้มโค้งลง ผมไม่รู้ว่าคนนิสัยแบบพี่วิจะยอมการใช้กำลังกับร่างกายตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร แต่ผมไม่ได้คิดหาคำตอบหรอกครับ

“อ๊า....” พี่วิกรีดร้องเมื่อไอ้คอร์ทยัดท่อนเนื้อของมันเข้าไปจนเกินครึ่ง ไอ้คอร์ทโน้มตัวลงไปกัด และดูดหลังคอของพี่วิ

“อ้า....อ่า....” พี่วิครางไม่หยุดแล้วครับ แล้วไอ้คอร์ทก็เปิดเกมกระแทกก้นพี่วิไม่ยั้ง เสียงเนื้อของทั้ง 2 คนที่กระทบกันดังชัดเจน
 
        ผมเฝ้ามองอย่างสนใจด้วยความสงสัย และอยากรู้ จนไม่รู้สึกตัวถึงความแข็งตัวของท่อนเนื้อผมที่อยู่ในกางเกงบ็อกเซอร์ มันแข็งและยืดยาวออกมาจากขากางเกง และสัมผัสกับลมเย็นของทะเล ผมเคยดูหนังดูแล้วชักว่าวให้ตัวเองไปจนน้ำเชื้อแตก แต่ครั้งนี้ผมกำลังดูหนังสด แถมนักแสดงนำยังเป็นชายกับชาย ท่ามกลางเสียงครางของพี่วิ และเสียงกระแทกเอวของไอ้คอร์ท อุณหภูมในร่างกายผมก็เพิ่มขึ้นไม่หยุด จนผมรู้สึกว่าลมเย็นที่พัดมาโดนใบหน้าผมนั้นเย็นจนบาดเนื้อ

   ผมไม่รู้ว่าทำไมต่อจากนั้นผมจึงจับเอาท่อนเนื้อของตัวเองที่แข็งจนปวดออกมาจากกางเกงแล้วชักว่าวตาม 2 คนนั้นไปด้วย อาจเป็นเพราะฟีโรโมนที่ 2 คนนั้นปล่อยออกมา แต่ผมรู้สึกตัวเองว่าตื่นเต้นกับการชักว่าวครั้งนี้มากกว่าทุกครั้งที่เคยทำในชีวิต

“อ๊า....คอร์ท วิไม่ไหวแล้ว” พี่วิคราง พร้อมกับชักว่าวให้ตัวเองแรงมาก

“แตกไปก่อนเลย” ไอ้คอร์ทตอบมาด้วยเสียงหอบ ใต้แสงจันทร์ผมเห็นน้ำเชื้อของพี่วิฉีดออกมาเป็นระลอก ระลอกแล้วระลอกเล่า รดลงบนพื้นทราย ผมเองก็เร่งมือตัวเองแล้วระเบิดน้ำเชื้อตัวเองลงบนพื้นทรายในเวลาที่ใกล้เคียงกับพี่วิ ถึงอย่างนั้นท่อนเนื้อของผมก็ยังไม่ยอมสงบลง ผมชักว่าวต่อเป็นครั้งที่สองตามจังหวะของไอ้คอร์ท ที่จับพี่วิยกขาข้างหนึ่งแล้วกระแทก ท่านี้ทำให้ผมเห็นท่อนเนื้อของไอ้คอร์ทเคลื่อนที่เข้าออกจาดชกก้นของพี่วิชัดเจน ไม่นานไอ้คอร์ทก็ดึงผมพี่วิขึ้นมาอย่างแรง ดึงไว้อย่างนั้น แล้วกัดคอพี่วิจน พี่วิร้องกรี๊ดออกมา ก้นของมันก็อัดแรงกระแทกพี่วิจนเสียงดัง

“อ่า.....” ไอ้คอร์ทส่งเสียงร้องแหบแห้ง พร้อมกับดันท่อนเนื้อมันเข้าไปในก้นพี่วิจนสุด ผมระเบิดน้ำเชื้อครั้งที่สองออกมาพร้อมๆ กับมัน

        ตอนนี้ 2 คนนั้นนั่งลงบนพื้นทราย พี่วิยังคงนั่งอยู่บนท่อนเนื้อไอ้คอร์ท แล้วหันไปจูบปากกัน พี่วิเอามือลูบไล้หน้าไอ้
คอร์ท ไอ้คอร์ทก็กอดพี่วิไว้

“.....วิรักคอร์ทนะ” ผมแทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่ได้เย็น แต่หลักฐานอื่นทำให้ผมเชื่อว่าคำรักนั้นเป็นจริงคือ น้ำตาสีที่สะท้อนแสงจันทร์เป็นสีเงินไหลมาจากหางตาพี่วิ พี่วิบอกรักไอ้คอร์ทและร้องไห้ออกมา

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #116 เมื่อ06-11-2013 14:21:30 »

โย๊ป แกถ้ำมอง  :hao6: สมต้องว่าวเอง นิสัยมะดี

 :เฮ้อ: ที่วิร้องให้เนี่ย หลังจากบอกรัก ดีใจหรือเสียใจอีกเนี่ย


ออฟไลน์ Also

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #117 เมื่อ06-11-2013 14:34:38 »

วิร้องไห้อีกแล้ว แสดงว่ากำลังเสียใจ รึเปล่า
คาดเดาทิศทางของเรื่องไม่ถูก หุหุ รอคนเขียนมาเฉลยละกันค่ะ

อยากอ่านต่ออีกอ่ะ ^^

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #118 เมื่อ06-11-2013 17:32:24 »

แล้วไอ้เอ๊กซ์ล่ะ  จะเป็นถ้ำมองซ้อนถ้ำมองไหมนะ   :hao6:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: My Almond Crush....
«ตอบ #119 เมื่อ06-11-2013 22:08:59 »

ตอนนี้โย๊ปคงอยากได้บัตรคิวเป็นแฟนวิอีกคนแล้วสิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด