ขอบคุณ คุณ uknowvry และคุณ oaw_eang มากครับ คอมเมนท์สั้นๆ แต่ทำให้ชีวิตคนๆ หนึ่งดูมีคุณค่ามากขึ้นเยอะเลยครับ ในชั้นเรียนจิตวิทยาสังคมคนเราบ่อยครั้งมักมองไม่เห็นข้อดีของตน จนกระทั่งมีคนอื่นมาบอก รู้สึกว่าจะคล้ายๆ กับโฆษณาของโด๊ฟที่ให้เพื่อนผู้หญิงผลัดกันชมเพื่อน
ถึงผู้อ่านทุกท่านนะครับ ในบทนี้ผมยกกลอนที่มีความหมายและมีอิทธิพลมากกับวิในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย และช่วงที่เป็นวัยรุ่น กลอนนี้เป็นกลอนภาษาอังกฤษครับ โดยแถวด้านซ้ายจะเป็นต้นฉบับ ส่วนแถวด้านขวาผมแปลเป็นไทยให้เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ
ขอบคุณครับ
"วิ"
..............................................................
15(11) But Only Love Can Say (เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี)
When I was one-and-twenty................................เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี
I heard a wise man say, ........................................มีผู้รู้มากล่าวไว้
'Give crowns and pounds and guineas.............. มอบไปเถิดสินทรัพย์นอกกายใด
But not your heart away;........................................แต่เก็บหัวใจไว้ให้จงดี
Give pearls away and rubies.................................มอบไปเถิดเพชรพลอยและแหวนแก้ว
But keep your fancy free.'......................................แต่เก็บจิตให้เป็นเสรี
But I was one-and-twenty,..................................แต่ตอนนั้นฉันอายุแค่ยี่สิบเอ็ดปี
No use to talk to me...............................................ฉันไม่ฟังหรอกคำที่เขาพูดมา
When I was one-and-twenty.............................เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี
I heard him say again,.........................................ผู้รู้ท่านได้ย้ำไว้
'The heart out of the bosom..............................ดวงใจที่ยกให้ผู้อื่นออกจากอกไป
Was never given in vain;.....................................หาใช่เป็นสิ่งของที่ไร้ซึ่งราคา
'Tis paid with sighs a plenty...............................จะนำกลับมาต้องแลกด้วยเสียงถอนใจนับหมื่นแสน
And sold for endless rue.'..................................เอามันคืนมาพร้อมกับความแค้นเศร้าไม่สิ้นสุด
And I am two-and-twenty,.................................และวันนี้ฉันอายุยี่สิบสองปี
And oh, 'tis true, 'tis true...................................และ โอ้ มันเป็นไปดังที่ท่านพูดมา
(When I Was One-and-Twenty by A. E. Housman แปลเป็นไทยโดย วิฬะ คณะอักษรศาสตร์)
กลอน When I Was One-and-Twenty หรือที่ผมแปลเป็นภาษาไทยว่าเมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี เป็นกลอนภาษาอังกฤษที่ผมได้เรียนตอนอยู่ปี 3 เนื้อหาของกลอนนั้นกล่าวถึง เด็กอายุ 21 ปีคนหนึ่งซึ่งได้รับการตักเตือนจากผู้รู้ให้ระวังอย่ามอบหัวใจและจิตวิญญาณของตนไปให้กลับใครง่ายๆ เพราะเมื่อใจที่ออกจากอกไปแล้ว ถ้าต้องการกลับมาราคาของมันถือการถอนใจนับพันนับหมื่นครั้ง และความเศร้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด ท้ายที่สุดเด็กคนนั้นก็ไม่ฟังเพราะเขายังเด็กอายุแค่ 21 ปี กระทั่งเขามอบหัวใจตัวเองให้กับคนอื่นไปแล้ว ผ่านความเจ็บช้ำ และโศกเศร้าจนอายุได้ 22 ปี และมองย้อนกลับไปมองตัวเองเมื่ออดีต จึงอุทานว่า มันเป็นจริงดังที่ผู้รู้เตือนไว้
ผมอินกับกลอนนี้มากครับเพราะมันเหมือนกับชีวิตผมไม่มีผิด และโดยเฉพาะไอ้ท็อบ ผมคิดว่าในเร็ววันนี้ผมจะเขียนกลอนบทนี้ให้กับมัน ผมไม่อยากให้มันเสียใจเพราะฝากหัวใจไว้กับผม จนมันโตขึ้นเพื่อที่จะเรียนรู้ความโศกเศร้าและลงเอยแบบกลอนบทนี้
วันนี้เป็นวันศุกร์ครับ โดยสี่วันที่ผ่านมาผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเข้าห้องเรียน ทำงานกลุ่ม และอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคในสัปดาห์หน้า ซึ่งน่าอายมากคือตอนนี้ผมแทบจะย้ายตัวเองมาอ่านหนังสือห้องคอร์ทแล้ว และก็นอนที่นั่นเลย อย่างไรก็ตามวันศุกร็นี้ ไม่ได้เป็นวันศุกร์ธรรมดาครับแต่เป็นวันที่ผมต้องเข้าอภิปรายในงานรักแห่งสยาม งานนี้จัดไม่ใหญ่มาก จัดที่ห้องประชุมบนอาคารสำนักงานคณะที่จุผู้เข้าชมได้ไม่เกิน 100 คน และผมกำลังนั่งทบทวนความคิด เพื่อจะมีคำถามที่ต่อยอดจากการอภิปรายของพวกเราทั้ง 3 คน แต่ผมว่าไคลแมกซ์ของงานนี้มันไม่ได้อยู่ที่ผม ไอ้รี่ กับไอ้โน๊ตมาวิจารณ์สับแหลกหนังเรื่องรักแห่งสยามหรอกครับ คนคงอยากมาดูไอ้ตูนกับเพื่อนๆ ปี 1 ของมันแสดงละครล้อหนังมากกว่า
หลังจากงานเริ่มเวลา 10.30 พวกผม 3 คนใช้เวลาในการอภิปรายตามบทที่ซักซ้อมกันมาประมาณ 30 นาที หรือประมาณคนละ 10 นาที โดยมีคำถามจากอาจารย์นิดหน่อย แต่คำถามที่ผมไม่คาดฝันนั้นมาจากเด็กปี 1 ที่ผมไม่รู้จักชื่อคนหนึ่งครับ
“พี่วิฬะครับ ต้องขอโทษก่อนนะครับ ในฐานะที่พี่ก็ชอบผู้ชาย ถ้าพี่เป็นแฟนของพระเอกซึ่งโดนแม่พระเอกมาขอให้เลิกยุ่งกับลูกชายเขา ทั้งๆ ที่ลูกชายเขากับพี่ก็รักกัน พี่จะเลือกทางออกไหนครับ จะเลิกคบ หรือจะฝืนคบต่อไป”
“ถ้าเป็นตัวพี่เองใช่มั้ย...” ผมย้ำคำถาม
“ครับ”
“ถ้าเป็นพี่...พี่จะเว้นช่องว่าง ให้เวลากับพระเอก หรือแฟนพี่สักพัก เพราะพี่ไม่อยากให้เขาลำบากใจ....” ผมเริ่ม
“พี่อยากจะอ้างคำพูดของฝรั่งคนหนึ่งว่า There is never a time or place for true love. It happens accidentally, in a heartbeat, in a single flashing, throbbing moment. เธอคนนี้ชื่อว่า Sarah Dessen พี่เชื่อเช่นเดียวกับเธอว่า ในโลกนี้ไม่มีสถานที่หรือเวลาใดที่รักแท้ดำรงอยู่อย่างถาวร เพราะความรักนั้นมักจะเกิดขึ้นในเวลาที่เราไม่ได้คาดหมาย และเร็วเกินกว่าที่เราจะรู้ตัว ความรักก็เกิดขึ้นแล้ว ในชั่ววูบที่หัวใจเราเต้น...มันรวดเร็ว งดงาม แต่ไม่เป็นนิรันดร์” และผมก็พักหายใจชั่วครู่เพราะรู้สึกมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมาที่ผมไม่ลดละเวลาที่ผมพูดเรื่องความรัก
“ฉะนั้นแม้เราจะไม่ได้รักกันวันนี้ ไม่ได้แปลว่าวันพรุ่งนี้เราจะไม่ได้รักกัน ไม่ได้แปลว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราจะรักกันไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นที่สยามตามท้องเรื่องเท่านั้นที่เราจะรักกันได้....วันนี้ต้องยอมรับว่าทั้งพระเอกและแฟนยังไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นของตนเองอย่างสมบูรณ์ หรือบรรลุนิติภาวะ วุฒิภาวะ เพราะว่ายังคงต้องพึ่งพาแม่อยู่ ปัจจัยนั่นมีอิทธิพลมากต่อความรัก และการตัดสินใจ ของคน2 คน....พี่เชื่อว่าถ้าเราเว้นระยะห่างกับเวลาไว้สักพักเราจะได้คำตอบ และทางออกของปัญหาที่มากกว่าฝืนคบกันต่อไป หรือว่าเลิกกัน” ผมมองหน้าน้องที่ถามคำถามนี้ แต่ไม่มีการตอบสนองว่ายังต้องการคำตอบอีก และเมื่อไม่มีใครตั้งคำถามอีก ไอ้รี่จึงกล่าวขอบคุณคนที่เข้ารับฟัง และให้พิธีกรของงานนำเข้าสู่ช่วงละครล้อ
“สำหรับผมนี่คือช่องว่างของระยะทางกับเวลาใช่มั้ย” ไอ้ตูนเดินสวนมากระซิบข้างหูผม ระหว่างที่สมาชิกคนอื่นช่วยกันเคลียร์เวทีให้เปลี่ยนเป็นลานแสดง
“บางทีนะ หรืออาจจะไม่ใช่ หรืออาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่” ผมตอบมันเบาๆ ด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจ รู้สึกมีความสุขที่ความมั่นใจซึ่งผมทำหล่นหายไปเป็นเดือนๆ นั้นกลับมาเหมือนเดิม
ผมไม่ได้อยู่ดูไอ้ตูนแสดงละครล้อหรอกครับ ผมยังคงไม่ไว้ใจตัวเองพอที่จะมองหน้า หรือสบตามันในตอนนี้ เพราะภาพที่มันเดินจากไปในความมืดทุกวันนี้ก็ยังติดตาผมอยู่ บวกกับความรู้สึกผิดที่ผมมีให้กับมันด้วย ตอนี้ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคณะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออกไปหาเด็กน้อยของผมด้วยรอยยิ้ม ทั้งหนักใจ และมีความสุข
“ไงครับ คนดี กินข้าวรึยัง” พักหลังผมสังเกตตัวเองว่าผมใช้สรรพนามแทนตัวท็อบว่า คนดี แปลกๆ นะ แต่มันคล่องปากมากเลย
“กำลังจะกินค้าบ” มันตอบเสียงหวานเชียว
“เป็นไงบ้างสอบวันสุดท้าย” ผมถามมัน
“เต็มที่เลยอ่ะครับ...อัดอั้น ไม่ได้นอนกับเมียมาเป็นอาทิตย์แล้ว เพราะสอบนี่แหละ” มันพูดอะไรตลกๆ ออกมาอีกแล้ว แต่ผมก็ขำครับ
“55555”
“พรุ่งนี้อย่าลืมนัดเรานะ” ผมเตือนมัน
“ไม่ลืมแน่ค้าบบบ....ผัวรอมานานแล้วค้าบบบบ” มันยังเล่นไม่เลิก
“ส้นตีxx เหอะครับ แค่นี้นะ กินข้าวด้วย” แล้วผมก็วางสายครับ
ทันทีที่ผมวางสายจากมันใจผมมันก็เริ่มเลื่อนลอยอีกแล้วครับ ผมสงสารท็อบจริงๆ ที่มันยกหัวใจมาให้คนอย่างผมไว้ คนที่ไม่มีค่าพอจะดูแลหัวใจที่บริสุทธิ์ของมันเลยแม้แต่นิดเดียว จากนี้ไปมันคงเติบโตขึ้นพร้อมๆ กับแผลลึกในใจ ความเศร้า และเสียงถอนใจแบบที่ Housman แต่งกลอนบอกไว้
รักเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายครับอยู่ๆ มันจะเกิดก็เกิดแค่สบตาแค่หัวใจเต้น แล้วมันก็อาจจะพาเราไปสู่ความสุข หรือความทุกข์ที่ไม่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน