พยับที่ ๙
หายไปไหนกันนะ?
คุณหลวงหนุ่มขมวดคิ้วหมุ่นเดินไปมารอบๆห้องมาสักพักหนึ่งแล้ว วันนี้เป็นวันหยุดราชการ เขาเองก็อยากจักอ่านหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาเสียหน่อย หากแต่ว่าหนังสือภาษาฝรั่งเศสเล่มโปรดเล่มนั้นไม่รู้ว่ายามนี้ไปอยู่เสียที่ใดแล้ว
“หาอะไรเหรอคุณหลวง?”
“หาหนังสือน่ะซี พ่อทีป์เห็นหนังสือฉันบ้างหรือไม่ ปกสีแดง เป็นภาษาฝรั่งเศส”
“เอ่อ แหะๆ ผมหยิบไปอ่านน่ะขอรับ ไม่ได้บอกคุณหลวง ไม่โกรธใช่หรือไม่ขอรับ?”
“จะโกรธอันใดพ่อทีป์ได้เล่า อ่านจบแล้วฤาไม่ ฉันใคร่จักอ่านเสียหน่อย”
“จบแล้วขอรับ เดี๋ยวผมไปหยิบให้”นภทีป์ว่าแล้วก็เดินออกไปนอกห้องตรงมุมประจำที่ทั้งนั่งทำงาน ทั้งนั่งอ่านหนังสือ
“ปกติพ่อทีป์นั่งเล่นตรงนี้หรือ?”
“ขอรับ ปกติก็ทั้งนั่งเล่นทั้งนั่งทำงานให้คุณหลวงตรงนี้แหละ นี่ขอรับ ผมหยิบเล่มอื่นมาอ่านอีกได้หรือเปล่า?”
“ได้ซีกระไรจักมิได้เล่า”
“คุณใจดี”
“กระนั้นหรือ พ่อทีป์เป็นคนแรกๆเชียวแลที่ชมว่าฉันใจดี หากเป็นลูกน้องที่กรมคงว่าฉันดุนัก ใครๆก็ว่าฉันเหมือนเจ้าคุณพ่อ ดุดันแลก็เฉียบขาดนัก”
“คุณไม่เคยดุกับผมนี่”นภทีป์ยิ้มแฉ่งใส่หน้าคุณหลวง ทำเอาใบหน้าสีนวลขึ้นสีระเรื่อ นี่เขาเป็นอะไรไปแล้ว เหตุใดจึงเคอะเขินกับพ่อทีป์ได้นะ
“กระนั้นหรือ? ฉันคงเอ็นดูพ่อทีป์เหมือนน้องกระมัง จึงไม่เคยดุเสียที เอ้า อยากอ่านก็ไปหยิบมาอ่านเสียซี มัวแต่ยืนจ้องหน้าพี่อยู่จะได้อ่านหรือจ๊ะ?”
“เอ่อ...ขอรับ”เพราะปลายเสียงอ่อนเสียงหวานนั่นแท้ๆ ทำเอานภทีป์จิตใจกระเจิดกระเจิงไปเสียหมด โอยย ไม่นะ อยู่มาตั้งยี่สิบกว่าปีไม่ได้คิดไม่ได้ฝันว่าจะเดินบนเส้นทางมีสี (ม่วง) วันดีคืนดีดันมาใจเต้นตึกตักกับคนแก่กว่าร่วมร้อยปีเนี้ยนะ ไปกันใหญ่แล้ว
ไอ่ทีป์!!
“หน้านิ่วคิ้วขมวด ไปเลือกเสียซี หรือจะให้พี่ช่วยบอกให้หรือไม่จ๊ะว่าเล่มไหนสนุก”
“มะ...ไม่ต้องขอรับ คือผม เอ้อ กระผมมีเล่มที่เล็งๆไว้แล้วน่ะขอรับ”
“เอ้างั้นก็รีบๆไป หาไม่แล้วเกิดพี่เปลี่ยนใจมิยอมให้หยิบยืมเสียแล้ว พ่อทีป์จะอดได้ลาภเอานา...”รอยยิ้มยั่วเย้าจุดขึ้นบนใบหน้า
คมๆของคุณหลวง ทำเอาคนมองยิ่งใจเต้นไปกันใหญ่
“ขะ...ขอรับ”คราวนี้นภทีป์เลยไม่รอให้คุณหลวงพูดอะไรรีบหันหลังปุบปับเข้าห้องไป
“หึๆ น่ารักเสียจริงเชียว”คุณหลวงพึมพำเบาๆ ถือหนังสือเล่มโปรดไปนั่งตรงหอนั่งอย่างอารมณ์ดี มัวแต่รื่นรมย์จนลืมฉุกใจคิดไป
ว่า หนังสือที่นภทีป์ยืมนั้นเป็นหนังสือภาษาฝรั่งเศส
และเขาเอง กำลังต้องการผู้รู้ภาษาฝรั่งเศสอย่างคล่องแคล่วไปช่วยงานเขาอยู่พอดี
“โอยยย หัวใจจะวาย ทำไมกูเป็นงี้เนี้ย ไอ่ทีป์มึงนะมึง ทำไมทำตัวแบบนี้ห้ะ!?? กลายเป็นผู้ชายใจง่ายไปแล้วกู”นภทีป์บ่นพึมพำระหว่างที่กรีดนิ้วไปตามสันหนังสือที่วางเรียงเป็นระเบียบอยู่บนชั้นหนังสือในห้องนอนของคุณหลวง
“เอ...นี่มันร.ศ.อะไรนะ?”
“คุณหลวงขอรับ”พอพยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ได้ว่าคุณหลวงเคยบอกว่านี่ร.ศ.อะไรเมื่อตอนที่เจอกันครั้งแรก สุดท้ายนภทีป์เลยเดินออกไปถามให้หายค้างใจ
“ว่ากระไร? อยากได้อะไรเพิ่มหรือ?”
“เอ่อ เปล่าขอรับ กระผมแค่จะถามว่าปีนี้ร.ศ.เท่าไร?”
“ร.ศ.111 พ่อทีป์ถามไปทำไมหรือ”ตากลมๆเบิ่งโต ตกใจจนไม่ได้สนใจฟังคุณหลวงต่อไปแล้ว อะไรนะ!?? ร.ศ.111 นี่มันช่วงวิกฤตการณ์ที่ไทยเสียดินแดนนี่นา....
“ตอนนี้...มีเรื่องอะไรรึเปล่าขอรับ?”
“เรื่องกระไรล่ะ ช่วงนี้มีเยอะเทียว...พ่อทีป์ อยากรู้กระไรหรือ?”
“ตอนนี้...เอ่อ...มีปัญหากับอังกฤษกับฝรั่งเศสอยู่หรือเปล่า?”เสียงนภทีป์แผ่วเบา แต่คุณหลวงนพเทพอัครากลับได้ยินชัดเจน พ่อทีป์รู้แจ้งในเรื่องนี้หรือ??
“พ่อทีป์รู้ได้อย่างไร?”
“กระผม...เอ่อ...กะ...ก็เคยบอกไปแล้วไงว่าผมมาจากพ.ศ.2557”
“พ่อทีป์ ไข้อีกแล้วหรือ วิปลาสอันใดกันหือ?”นภทีป์ได้แต่ถอนใจแผ่วเบา... เมื่อไหร่ตาคนนี้จะเชื่อสักทีว่ากูไม่ใช่คนยุคนี้ว้อยยยยยย ไม่งั้นคงไม่ทำอะไรแปลกๆไปซะเยอะหรอก ตอนมาแรกๆแทบจะกินน้ำล้างมือตอนกินข้าว รอดตัวไปฉิวเฉียดเพราะคุณแม่จุ่มมือลงไปล้างเสียก่อน จิ๊
“เฮ้อ...ช่างเถอะๆ เอาเป็นว่าผมรู้ว่าตอนนี้กำลังจะเกิดอะไรขึ้นก็พอแล้วขอรับ”
“นั่นสินะ...พี่จะไปคาดคั้นอันใดจากเจ้าได้กัน ไหนไปหยิบอันใดมาอ่านให้พี่ดูทีฤา”
“เล่มนี้ขอรับ”นภทีป์ยื่นหนังสือเกี่ยวกับการทูตของสมัยนี้ที่ไปเจอแล้วเกิดอยากศึกษาการทูตแบบโบราณขึ้นมาเลยหยิบมาอ่านให้คุณหลวงที่ยื่นรออยู่
“พ่อทีป์...รู้ภาษาอะไรบ้าง”
“อังกฤษ ฝรั่งเศส แล้วก็พอได้เยอรมันกับสเปนบ้างนิดหน่อยขอรับ”
“พ่อทีป์เป็นใครกันแน่!??”
“ฉ่า....”เสียงน้ำมันเดือดดังไปทั่วเรือนเมื่อคุณหญิงนึกอยากจะฝึกปรือนภทีป์ให้ทอดปลาให้น่าทานตามฉบับชาววังขึ้นมา นภทีป์ยืนถือตะหลิวอย่างเก้กังรอฟังคนสั่งจากคนที่วันนี้สถาปนาตัวเองเป็นอาจารย์ด้านการเรือนให้กับชายหนุ่มให้พลิกปลาไปมาอย่างไรอยู่
“พ่อทีป์ แม่ว่าปลาคงใกล้ได้แล้วแลลูก ไหนลองพลิกอีกสักที”
“เอ่อ...เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”นภทีป์เงยหน้าถาม
“อือ...แม่ว่ากำลังน่ากินเชียว เอ้าพอแล้ว ยกกระทะออกมาเสียลูก เอาปลาขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันตรงนี้ นั้นแหละ แหม พ่อทีป์เก่ง
การเรือนขึ้นเยอะ ไว้วันหลังแม่จักสอนทำต้มทำแกงเสียบ้าง”นภทีป์หน้าซีดเผือด โอ้ย กูนะกู เป็นผู้ชาย แถมยังเป็นนักการทูตอนาคตไกล ตอนนี้กลายเป็นพ่อศรีเรือนไปซะแล้ว
“หึหึ”เสียงหัวเราะขลุกขลักดังมาจากตรงชานเรือน ทำเอาคนตัวเล็กกว่าหันไปค้อนขวับใส่เสียวงเบ้อเร่อ เพราะถูกคนแก่กว่าหัวเราะเยาะใส่ ใช่สิ ก็ไม่ใช่นักการทูตยุคนี้นี่หว่า
“เอ้า เบะปากทำไมลูก พ่อนพนี่ล่ะก็ อย่าหัวเราะเยาะน้องซี”คุณหญิงแขไขหันไปดุลูกชายเบาๆเมื่อเห็นว่าสายตาขุ่นเคืองของนภทีป์พุ่งตรงไปที่ใคร
“โธ่ คุณแม่ขอรับ ลูกแค่หยอกน้องนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเองขอรับ ใช่หรือไม่จ้ะพ่อทีป์ บอกคุณแม่ไปซีว่าพี่แค่หยอกเล่น”คุณหลวงพูดพลางสาวเท้ามายืนประกบด้านหลังนภทีป์แล้วชะโงกดูปลานิลตัวอวบอ้วนที่ถูกทอดเสียเหลืองกรอบ แลดูน่าทาน
“จ้างให้ก็ไม่พูด”
“หึหึ ไว้พี่จะคิดบัญชีทบต้นทบดอกทีหลังกับงานหนังสือนั่น ดีหรือไม่?”คุณหลวงพยักเพยิดไปตรงมุมประจำของนภทีป์ที่ตอนนี้บนตั่งตัวเตี้ยมีแต่กองหนังสือภาษาฝรั่งเศสวางอยู่เต็มเอี๊ยด
“กลัวตายแหละ”
“กระไรกันจ้ะสองคนนี้ มาๆลูก ไหนพ่อทีป์เอาปลามาใส่จานนี่มา นังใบเอาจานไปให้คุณทีป์เข้าสิ”บ่าวสาวร่างแน่งน้อยที่ยังคงรูปแบบนุ่งน้อยห่มน้อยจนแทบหลุดของบ้านนี้นวยนาดเอาจานมายื่นให้ บิดตัวยื่นอย่างพอเหมาะพอเจาะว่าถ้าคุณๆทั้งสองมองลงไปจักต้องเจอร่องหน้าอกที่เบียดกันอยู่อย่างแม่นมั่น
“ขอบใจจ้ะ”นภทีป์ยิ้มให้พร้อมรับจานมา สายตาจ้องมองไปด้านหลังปะทะกับร่องอกเข้าเต็มๆจนต้องกลืนน้ำลายเสียอึกใหญ่
“พ่อทีป์ รีบๆช้อนปลาใส่จานซี คุณแม่ท่านรอ”คุณหลวงที่มองมาอย่างขัดใจเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ นภทีป์ถอนสายตาออกจากร่องอกใหญ่โตคู่นั้นแล้วหันมาสนใจปลาแทน
“เอ้า นังใบนั่งอยู่ทำไม เสร็จเรื่องของเอ็งแล้วก็ลงเรือนไปเสียซี กระเดี๋ยวข้าจักเรียกใช้เมื่อใดค่อยขึ้นมา”คุณหลวงหันไปสั่งนางบ่าวที่ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมอย่างนั้น
“เจ้าค่ะ”นางใบชม้อยชม้ายชายตาให้สองหนุ่มอีกรอบ จนคุณหลวงได้แต่หงุดหงิดใจจนคิ้วขมวดมุ่นเป็นปมใหญ่ นางบ่าวนี้ กระไรนักนะ
“เป็นอะไรหรือขอรับคุณหลวง”
“กระไร ฉันเป็นอะไรหรือ?”
“เอ้า ก็ผมเห็นคุณหลวงทำหน้าบูดอยู่นี่ไงขอรับ”
“หน้าบูดคืออันใด?”
“เออ...หน้าตาไม่พอใจน่ะขอรับ”
“ฉันน่ะหรือ?ไม่พอใจ?”
“นี่ไง โกรธอะไรผมหรือขอรับ เมื่อตะกี้ยังเรียกพี่อย่างนั้นพี่อย่างนี้อยู่เลย??”
“ใครโกรธกระไรพ่อทีป์ หาได้มีแต่อย่างใดไม่”
“จริงนะขอรับ”นภทีป์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนคุณหลวงต้องย่นคอหนีแล้วรีบร้อนตอบ
“จริงซี ฉันจะหลอกลวงพ่อด้วยเหตุอันใดเล่าจ้ะ”
“พ่อง”นภทีป์พึมพำเบาๆแล้วเบือนหน้าหนี เพราะคุณหลวงยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆบ้าง ทำเอาใบหน้าขาวๆแดงๆระเรื่อ
“แหม ไหนมาให้แม่ดูทีพ่อทีป์”คุณหญิงแขไขกวักมือเรียกไวๆเมื่อสองหนุ่มที่เดินมาทางหอนั่ง
“ไม่รู้ว่าจักถูกปากคุณแม่หรือไม่นะขอรับ กระผมเองก็ไม่เคยลองงานเรือนพวกนี้เลย”
“แหม กำลังน่าทานเชียวลูก”
“จริงหรือขอรับ"
“จริงซี แม่จักหลอกให้พ่อทีป์ดีใจเปล่าด้วยอันใดเล่า มา เดี๋ยวแม่จักให้นังม้วนมันสั่งให้เขายกสำรับขึ้นมาอีก”
“นังม้วน นังม้วน”
“เจ้าค้า”
“สั่งให้นังพวกนั้นยกสำรับมาที แล้วบอกพวกมันให้นุ่งผ้าห่มผ้าเสียให้เรียบร้อย อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนัก”
“เจ้าค่ะ”
“แอ้ๆ”ตอนนี้ผมอยู่ที่นี้มาได้สักหกเดือนแล้วมั้ง...จริงๆก็ถึงบ้านอยู่ แต่ไม่รู้จะกลับยังไง เออ นั้นแหละก็เลยต้องรออยู่เฉยๆ ทำนั้นทำนี้ เลี้ยงลูกให้คุณหลวงก็เป็นอีกงานนึงของผม แม่ศรีเรือนสัสๆเลย
“ว่าไงครับ หืมม หิวแล้วหรือ”ผมหันไปถามเจ้าตัวเล็กที่จู่ๆก็ร้องโยเยชูไม้ชูมือขึ้นมา สงสัยจะหิว เด็กๆใกล้ๆจะครบขวบนึงในวันสองวันนี้แล้ว เพราะตอนคุณหลวงไปพามา แล้วก็เจอผมเด็กๆก็อายุหลายเดือนแล้ว
“ป้อ...”หึๆ ว้า น่าสงสารคุณหลวงจริงๆ เพราะไม่ค่อยได้อยู่บ้านเด็กๆเลยติดเรียกผมว่าพ่อแทนคุณหลวงคนที่จะเป็นพ่อเจ้าตัวซนพวกนี้
“ว่าไงครับ หืมมมม”โอ้ยน่ารักจริงๆ เล่นเอาซะผมอยากมีลูกเลย เฮ้ออ ว่าไปก็คิดถึงที่บ้าน คิดถึงคุณพ่อ คุณแม่ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ผมร้องไห้จนไม่รู้จะร้องยังไงแล้ว เลยเริ่มปลงๆไปซะบ้าง
“เอ้า พ่อทีป์ทำกระไรจ้ะ เด็กๆกวนหรือไม่ลูก?”
“ไม่เลยขอรับคุณแม่ เจ้าสามแสบนี่เลี้ยงง่ายออกจะตายไป คุณแม่ขอรับ เมื่อไหร่เด็กๆจะมีชื่อหรือขอรับ?”
“เขาว่ารอให้ครบขวบก่อนจ้ะถึงจักตั้งชื่อให้ ถ้านับตามที่พ่อนพบอกแม่มาตั้งแต่คราแรกว่าเจ้าพวกนี้อายุเท่าไรตอนมาเรือนเรา นี่ก็จวนแล้วแลลูก แม่ก็ดูๆไว้บ้างแล้ว แม่หวังใจให้เด็กๆเป็นเด็กดี อย่าได้กเฬวรากเหมือนเด็กๆบางบ้านเขา เพราะพอเขาเริ่มโต พ่อนพของจักมียศศักดิ์ใหญ่โตยิ่งแล้ว แม่เกรงว่าเจ้าพวกนี้จักติดนิสัยไม่ดีเพราะคิดว่าพ่อของตนใหญ่โตคับฟ้า”
“ผมเชื่อว่าเด็กๆต้องเป็นเด็กดีแน่ๆขอรับคุณแม่ คุณแม่ขอรับวันนี้คุณแม่ไม่มีกระไรจักสอนกระผมหรือขอรับ”อันที่จริงผมค่อนข้างชอบหลักสูตรการเรือนของคุณหญิงแขไขทีเดียวนะ ทำให้ผมหายเหงาไปได้เยอะ ว่างๆก็อยากจะเรียนบ้างอะไรบ้าง อย่างน้อยก็ยังจะมีอะไรทำ
“อยากทำอันใดเล่าจ้ะ จีบบุหรี่ดีหรือไม่ เมื่อวานแม่เพิ่งให้บ่าวไปเก็บดอกบัวมาเด็ดกลีบตากไว้เทียว”
“จีบบุหรี่หรือขอรับ?”
“ก็จีบบุหรี่น่ะซี”
“ใช่กลีบบัวนี่หรือขอรับ?”
“ก็กลีบบัวน่ะซีลูก สูดเข้าไปจักได้หอมหวาน มากระเดี๋ยวมาจักสอน รอให้เด็กๆนอนเสียก่อนแล้วกัน จักได้ลองจีบให้พ่อนพเขาสูบดูบ้าง”
“คุณหลวงสูบบุหรี่ด้วยหรือขอรับ?”
“สูบบ้างจ้ะ แต่แม่เองก็มิได้เห็นพ่อนพจักหยิบบุหรี่มาสูบเสียเท่าไรดอกจ้ะ พ่อคนนั้นเขาทานแต่ข้าวกับชาก็เหลือเกินสำหรับวันๆ
นึงแล้ว ทั้งซิกาเร็ตฝรั่ง ทั้งบุหรี่ของแม่ ทั้งหมากทั้งพลู มิเห็นเขาค่อยสนใจสักเท่าใด”
“หรือขอรับ คุณแม่ขอรับกระผมว่าพาเด็กๆไปนอนเสียตอนนี้ดีหรือไม่ขอรับ แดดเริ่มแรงแล้วเดี๋ยวจักเพลียแดด”
“เขาเรียกแดดนายลูก มาเถิด เดี๋ยวแม่จักช่วยพาไป ให้หลับกันเสียในห้อง กระเดี๋ยวจักไม่สบายกันเสียอีก ใช่หรือไม่จ้ะหลานย่า”คุณหญิงแกดูมีความสุขมากครับเวลาอยู่กับพวกเด็กๆ ถ้าเป็นผมผมก็คงมีความสุข อยู่ดีๆได้หลานมาเสียตั้ง 3 คน ถึงจะเป็นฝรั่งหัวแดงแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยก็เถอะ
“ลางที พ่อทีป์กับเด็กๆพวกนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ฟ้าลิขิตมาให้พ่อนพก็เป็นได้นาลูก”จู่ๆคุณหญิงก็พูดขึ้นระหว่างที่เรากำลังเดินไปที่ห้องคุณหญิง ผมกระเตงเจ้าตัวเล็กมาสองคน ส่วนคุณหญิงอุ้มอีกคนนึงไป เด็กๆไม่ค่อยงอแงเลย ดีจังเลยแฮะ ไม่รู้ว่าตอนเด็กๆผมเลี้ยงง่ายแบบนี้รึเปล่า
ไม่เคยถามคุณแม่ซะด้วยสิ...
แล้วคิดว่าบางที ตอนนี้คงหมดโอกาสที่จะได้กลับไปถามแล้ว ผมไม่ได้ตายจาก ผมยังมีชีวิต แต่อยู่กันคนละภพชาติกับครอบครัวของผม บางทีก็ได้แต่เจ็บปวดในใจแหละนะ...
ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ หรือบางที อาจจะเป็นฟ้าลิขิตแบบที่คุณหญิงว่าก็เป็นได้ล่ะมั้ง
“เด็กๆน่ะกระผมพอเข้าใจนะขอรับคุณแม่ แต่กระผมเองเนี้ย ฟ้าจักประทานมาให้คุณหลวงด้วยเหตุอันใดเล่าขอรับ หากกระผมเป็นกุลสตรีแม่เรือนที่ฟ้าประทานมาก็ว่าไปอย่าง”
“พ่อทีป์น่ะไม่รู้อันใดดอกจ้ะ แต่แม่จักไม่บอกดอกหนา โบราณเขาถือ”นภทีป์หัวเราะเบาๆกับอาการหวงความลับเรื่องฟ้าประทานมาของคุณหญิง
“เอาไว้กระผมรอให้ถึงเพลาที่กระผมจักได้รู้ก็ได้ขอรับคุณแม่”
“จ้ะ เอ้า วางเด็กๆลงเสียซี แล้วรอสักกระเดี๋ยว แม่จักสั่งบ่าวให้เตรียข้าวเตรียมของจักได้จีบบุหรี่ไว้รอรับพ่อนพเขา”
“ขอรับ กระผมเกรงว่าคุณหลวงจะไม่กล้าสูบเพราะมันดูน่ากลัวเกินไปน่ะซีขอรับ”
“พ่อทีป์นี่ล่ะก็ เอ้า ไปเอนหลังเสียหน่อยก็ได้ลูก กว่าบ่าวจักเตรียมข้าวของเสร็จของใช้เวลานานโขอยู่เทียว หาใช่เพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลกดอก”
“ขอรับคุณแม่”
นภทีป์นอนอยู่ริมเตียงกว้างในห้องคุณหลวง เขาเข้ามานอนในห้องนี้ได้สักพัก หลังจากที่คุณหลวงให้ช่วยงานบ้าง...นอนเตียงเดียวกันทุกคืน เฮ้อ...อย่างกับผัวเมีย
ตากลมโตกวาดไปรอบๆห้องด้วยความเบื่อหน่าย หลังจากที่คุณหญิงบอกว่าให้มานอนพักเสียหน่อยเขาเลยตัดสินใจมานอนพักเอาจริงๆ ติดแต่ว่าเขานอนไม่หลับ เลยได้แต่เอนหลังลงเตียงแล้วก็พลิกตัวไปมาอยู่แบบนี้
นอนไม่หลับทั้งๆที่อยากจะนอนนี่มันแย่จริงๆเลย
ครืน...ครืน...
เสียงฟ้าร้องมาแต่ไกล ฝนคงตั้งเค้าจะตกอีกแล้ว...เขามาที่นี้ตอนหน้าฝน น้ำกำลังหลาก ฝนกำลังแรง แล้วก็อยู่มาเรื่อยๆ จนหน้าร้อนเข้าไปแล้ว อันที่จริงก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ในความคิดของนภทีป์ ด้วยต้นไม้ยังมากนัก ถึงร้อนอย่างไรก็ยังเย็นอยู่ดีนั้นแหละ
ซู่....
นั้นไง คิดยังไม่ทันขาดตอน ฝนก็เทลงมาซะแรงเชียว สงสัยจะไม่ได้จีบบุหรี่ซะแล้วล่ะมั้งนี่ บางทีฝนตกนี่อาจจะทำให้เขาอยากนอนขึ้นมาก็ได้...
“คุณแม่ขอรับ คุณแม่”
“จ๋า พ่อนพมีกระไรกับแม่หรือจ้ะ? กลับมาถึงก็ร้องทักเสียก่อนอย่างนี้”
“พ่อทีป์อยู่ในห้องหรือขอรับ?”
“จ้ะ เห็นจักเป็นเยี่ยงนั้นกระมัง หะแรกแม่ชวนเขามวนบุหรี่ จีบบุหรี่ กระเดี๋ยวเดียวยังตระเตรียมขอมิทันเสร็จอันใดฝนก็ตกเสีย
ยกใหญ่เชียวลูก แม่เลยให้บ่าวเก็บของไว้เสียก่อน ค่อยสอนพ่อทีป์เขาวันหลัง”
“กระนั้นหรือขอรับ ถ้าเช่นนั้นกระผมขอไปดูพ่อทีป์เขาก่อนนาขอรับ”
“เอาซีลูก ไปเถิด แม่มิว่าอันใดดอก”
“ขอรับคุณแม่”คุณหลวงหนุ่มเดินเข้าส่วนของเรือนตนไป ในห้องของเขาเงียบกริบ ค่ำแล้วไฟตะเกียงก็หาได้จุดไม่ พ่อทีป์จักทำ
กระไรอยู่นะ
“พ่อทีป์ พ่อทีป์จ๋า”คุณหลวงเรียกชายหนุ่มอีกคนเสียงเบา แต่ไม่มีการตอบรับอันใดนอกจากความเงียบที่รายล้อมอยู่รอบกายคุณหลวง
“พ่อทีป์”คุณหลวงเรียกย้ำอีกครั้ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบอันใดกลับมา
“พ่อทีป์ เหตุใดเงียบไปเล่า”คุณหลวงรีบสาวเท้าเข้าไปหลังฉากกั้น พลันสายตาก็เห็นร่างโปร่งของอีกคนนอนตะแคงอยู่บนเตียง คุณหลวงเดินไปจุดตะเกียงตรงโต๊ะหัวเตียง แสงไฟวับแวบสว่างกระจายเป็นวงไปทั่วห้อง พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงโปร่งของอีกคนที่นอนขดตัวอยู่ริมเตียง
“พ่อทีป์ เป็นกระไรนั่น”คุณหลวงขยับเข้าไปหาแล้วถามอีกครั้ง แต่ก็ยังคงเงียบไร้เสียงตอบรับ มีเพียงลมหายใจสม่ำเสมอที่ดังต่อเนื่อง ทำให้คนมาปลุกพออุ่นใจได้บ้างว่าคนที่นอนอยู่ยังคงมีชีวิตไม่ได้เป็นอะไรไป
“อือ...”นภทีป์ส่งเสียงครางแผ่วเบาแล้วพลิกตัวกลับมา หากแต่เปลือกตายังคงปิดสนิท หน้าผากของคนที่นอนอยู่ยับย่น เหงื่อยังคงไหลไม่หยุด
“พ่อทีป์ เป็นกระไรไป ฝันร้ายหรือ หรือเป็นไข้จ้ะ เป็นกระไร บอกพี่ซี”
“ผม...ปะ...ปวดหัว”
“ปวดมากเลยหรือ?”
“มากเลยขอรับ คุณหลวงขอรับ อย่าไปไหนนะ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”ร่างโปร่งพึมพำเบาๆ แล้วเงียบหายไปอีกรอบ คนตัวโตกว่าเลยอนุมานได้ว่าอีกคนหลับไปแล้วเรียบร้อย
“หากพี่ไม่ออกไปจักเอายาที่ใดมาให้พ่อทีป์ได้เล่า หือ...”คุณหลวงบ่นงึมงำกับคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แล้วขยับไปสั่งการกับบ่าวหน้าห้อง
“อ้ายทดๆ”
“มีกระไรให้กระผมรับใช้หรือขอรับ”
“ไปเอามะนาวฝานทางปูนแดงมาให้ข้าที น้ำกับผ้าสักผืนด้วย”
“ขอรับ”นายทดรับคำแล้วรีบวิ่งแจ้นไปเตรียมของมาให้คุณหลวง
“ฮ้าวววว”ร่างโปร่งขยับเปลือกตาขึ้นพลางบิดขี้เกียจ ตากลมโตกระพริบปริบๆ เพราะเห็นใบหน้าของอีกคนอยู่เสียชิดจนหน้าใจหาย
“คุณหลวง”ริมฝีปากพึมพำเบาๆ ใบหน้าคมสันของคนตรงหน้าคล้ายมีมนตร์สะกดอะไรสักอย่างทำให้นภทีป์ถอนสายตาออกไปไม่ได้
“อือ...ตื่นแล้วหรือจ้ะ”
“ขอรับ ตื่นแล้ว”นภทีป์เอ่ยตอบคนที่อุตส่าห์ถามเขาแต่ไม่ยอมลืมตาขึ้นมา
“หายปวดหัวแล้วหรือไม่จ้ะ?”เสียงทุ้มยังคงงัวเงีย
“ขอรับ หายแล้ว คุณหลวงขอรับ คุณหลวงเอาอะไรแปะหน้าผากผม?”
“มะนาวทาปูนอย่างไรเล่า เขาว่าแก้ปวดชะงัดนักแล พ่อทีป์ไปทำกระไรมาเหตุใดจึงปวดหัวเสียได้เล่า”
“อ่านหนังสือมากไปกระมังขอรับ คุณหลวงง่วงก็นอนต่อก็นะขอรับ กระเดี๋ยวกระผมจักเรียนคุณแม่ให้ ว่าคุณหลวงลุกไม่ใคร่ไหว”นภทีป์พูดขณะชันศอกขึ้นตั้งฉากกับหมอนแล้ววางหัวลงไปบนฝ่ามือ สายตายังคงจับจ้องไปบนใบหน้าคมสัน
“อือ บอกท่านว่าวันนี้ฉันไม่เข้ากรม ไม่ใคร่ตื่นแต่ย่ำรุ่งเสียเท่าใด”นภทีป์พึมพำรับคำ พลางผินหน้าไปมองนอกหน้าต่าง แสงสีทองเรื่อๆเพิ่งจะแตะขอบฟ้า เสียงน้ำค้างยังคงร่วงเปาะแปะลงกระทบพื้นบ้านอยู่เรื่อยๆ
“ก๊อกๆ คุณหลวงเจ้าคะ คุณหญิงให้มาเชิญเจ้าค่า”เสียงนังม้วนดังมาจากหน้าประตูห้อง นภทีป์มองหน้าคนที่หลับสนิทแล้วเลยตัดสินใจไม่ปลุก แต่เดินไปบอกยายม้วนเสียเองว่าคุณหลวงอยากจักนอนให้มากเสียหน่อยในวันนี้
“คุณหลวงหลับอยู่นะม้วน ท่านว่าอยากพักให้มากหน่อยวันนี้ ฉันฝากเรียนคุณหญิงทีนะจ้ะ กระเดี๋ยวสายๆคุณหลวงคงจักตื่น”
“เอ...กระนั้นหรือเจ้าค่ะ ม้วนจักเรียนคุณหญิงท่านให้นะเจ้าคะ”
“ขอบใจม้วนมาก กระเดี๋ยวสายหน่อยให้คนยกสำรับเข้ามาในห้องได้หรือไม่ ฉันว่าจักรับพร้อมคุณหลวงท่านน่ะ”
“เจ้าค่ะ”
“ขอบใจมากนะจ้ะ”นภทีป์ก้มหัวปลกๆให้นังม้วนซึ่งได้แต่ยิ้มปลาบปลื้มใจที่เจ้านายอ่อนโยนกับตนถึงเพียงนี้ นางจึงยิ้มกริ่มจากไป
นภทีป์เดินกลับไปในห้อง เอนหลังพิงหัวเตียงแล้วเริ่มอ่านหนังสือที่หยิบติดมือมาเมื่อวาน คุณหลวงยังคงหลับตาพริ้ม ด้วยเมื่อคืนอยู่เฝ้าไข้นภทีป์เสียดึกดื่น จนคนตัวบางกว่าหลับสนิทนั้นแหละ คุณหลวงถึงได้หลับลง
“ชอบหรือ?”จู่ๆเสียงนุ่มทุ้มก็เอ่ยถามคนที่อ่านหนังสืออยู่ นภทีป์เงยหน้าจากหนังสือมองตรงมายังคุณหลวงอย่างงงๆ จู่ๆก็ถาม ใครก็ตกใจแหละวะ
“ชอบอะไรขอรับ?”
“หนังสือที่อ่านอยู่นั่นอย่างไรเล่า ฉันเห็นพ่อทีป์อ่านไปยิ้มไป เลยคิดว่าน่าจะชอบกระมัง?”
“ออ...ชอบซีขอรับ เป็นหนังสือที่ดีเชียวแหละ แล้วคุณหลวงไม่นอนต่อแล้วหรือ? หิวหรือยังขอรับผมจะไปเรียกม้วนให้เค้าตั้งสำรับให้”
“อืม...ยังหรอกว่าแต่พ่อทีป์เถิด ตื่นมาก่อนฉันเสียนานเนิ่น ยังไม่หิวหรือไรจ้ะ?”
“ยังขอรับ จริงๆตอนอยู่บ้านผมก็ไม่ค่อยกินข้าวเช้าอยู่แล้ว ส่วนมากก็กินกาแฟแก้วเดียวกับขนมปัง”
“กินแบบอีหรอบมันหรือ?”
“งั้นมั้งขอรับ ตกลงคุณหลวงหิวแล้วหรือยัง?”
“ยังไม่หิวเท่าใดดอก ออกไปรับที่ศาลาเล็กก็คงได้กระมัง หรือพ่อทีป์อยากกินในห้องจ้ะ?”
“ศาลาเล็กก็ดีขอรับ จักได้ให้ลมโกรกเพลินๆเสียบ้าง...”
“ไป...งั้นไปกันเถิด”คุณหลวงผุดลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา เอาไม้ทุบปลายสีฟันสักเดี๋ยวก็ชักชวนให้นภทีป์ออกไปข้างนอกห้องพร้อมกัน นภทีป์ยังคงถือหนังสือติดมือ หากแต่ก็ตามคุณหลวงไปต้อยๆ ด้วยไม่เคยกินข้าวตรงศาลาเล็ก เลยอยากจะลองเปลี่ยนบรรยากาศใจแทบขาด
คงจะดีมาก...
------------------------------
มาต่อให้แล้วค่ะ ขอโทษนะคะที่ผิดสัญญาหายไปเป็นเดือนเลย
เพราะยุ่งมากจริงๆ TT มีคอนเฟอเรนซ์ตลอดเลย งานบึ้มบั้ม
ตอนถัดๆไปคนเขียนจะพยายามให้มากขึ้นเน้อออออ