บทที่ 3แสงแดดที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างมาแยงตาปลุกธีระให้รู้สึกตัวตื่น เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะกลอกตาไปรอบตัว เขามองภาพเพดานอันไม่คุ้นเคยเหนือศีรษะด้วยความมึนงง นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวขึ้นนั่งบนเตียงหลังใหญ่
เขาไม่รู้สึกเวียนศีรษะหรือคลื่นไส้ อาจเพราะคืนก่อนไม่ได้แตะแอลกอฮอลล์เลยสักหยด แต่สมองที่แจ่มใสก็ทำให้การรับรู้สภาพรอบตัวแจ่มชัดยิ่งขึ้น
นี่ไม่ใช่ห้องเรา...
เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องด้วยความตระหนก ห้องนี้ใหญ่กว่าอพาร์ทเม้นท์ของเขามาก เครื่องเรือนและการตกแต่งโดยรวมเป็นโทนขาวดำ ดูเรียบแต่ก็สะท้อนรสนิยมแบบสมัยใหม่ของเจ้าของ เมื่อสายตาของธีระตกต้องลงบนเสื้อกับกางเกงที่พาดอยู่บนราวทางมุมหนึ่งของห้อง เขาก็จำได้ทันทีว่านั่นคือเสื้อผ้าที่ตนใส่เมื่อคืน
เขาก้มมองตัวเองและพบว่าตนไม่ได้นอนเปลือย แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวที่มีเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเพราะหมายความว่ามีคนถอดชุดเปลี่ยนให้ แถมเมื่อคืนนี้หลังจากมีอะไรกับคนแปลกหน้าแล้วเขาก็หมดสติไป ดังนั้นจึงไม่มีทางรู้ว่าตนถูกพาไปให้คนอื่นย่ำยีระหว่างที่ไม่รู้สึกตัวหรือเปล่า
ธีระเย็นสันหลังวาบเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ เด็กหนุ่มรีบลุกจากเตียงไปหยิบเสื้อผ้าของตนขึ้นมาสวม เมื่อมองจากหน้าต่างออกไปก็พบว่าที่นี่อยู่บนตึกสูงจึงอนุมานว่าน่าจะเป็นคอนโดหรือเซอร์วิสอพาร์ทเม้น ขณะที่กำลังสอดแขนเข้าในเสื้อหลังจากสวมกางเกงเสร็จ หูเขาก็พลันได้ยินเสียงประตูหน้าซึ่งอยู่นอกห้องนอนเปิดออก
เด็กหนุ่มกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ มือหนึ่งกำอกเสื้อแน่นขณะที่ค่อยๆ เหลียวไปมองทางประตูห้องอย่างหวาดระแวง ในหูแทบได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเองที่กำลังรัวถี่อย่างบ้าคลั่ง เพราะเมื่อครู่เขาตื่นขึ้นมาในห้องกว้างเพียงคนเดียวโดยไม่ได้ยินเสียงใดๆ จึงลืมเอะใจไปสนิทว่าเจ้าของห้องอยู่ที่ไหน
เนื่องจากประตูห้องนอนถูกอ้าแง้มไว้เป็นช่องประมาณหนึ่งคืบ เขาจึงเห็นแวบๆ ผ่านช่องนั้นว่าใครคนหนึ่งเดินถือถุงประทับตราซุปเปอร์มาร์เก็ตเดินผ่านเข้าไปด้านใน ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่พอสมควร แต่เนื่องจากเห็นเพียงแวบเดียวจึงไม่ทันรู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
เสียงกรอบแกรบที่ดังมาจากห้องด้านในทำให้ธีระพอจะเดาได้ว่าเจ้าของห้องคงกำลังเอาของที่ซื้อมาไปเก็บ และจากเสียงการเคลื่อนไหวแล้วก็น่าจะกำลังอยู่คนเดียว เขารีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยและเห็นว่าโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์วางอยู่หน้ากระจก จึงรีบหยิบของมีค่าทั้งสองมาใส่กระเป๋ากางเกง พลันสายตาเหลือบไปเห็นขวดน้ำหอมซึ่งข้างขวดมีสายหนังคาดดูเป็นเอกลักษณ์ จึงหยิบขึ้นมาดมเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง
ใช่กลิ่นเดียวกับคนที่กอดเราเมื่อคืนจริงๆ...
ธีระรีบวางขวดน้ำหอมนั้นลงราวกับเป็นของร้อน จากนั้นก็พยายามเคลื่อนตัวให้เงียบที่สุดไปรีๆ รอๆ อยู่หลังประตูห้องนอน
ทำยังไงดี...จะหลบออกไปโดยไม่เจอกันได้รึเปล่า...
ฝ่ามือของเด็กหนุ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อเพราะความตื่นเต้น จากเสียงประตูเปิดเมื่อครู่ทำให้เขาคะเนได้ว่าห้องนอนนี้คงอยู่ไม่ห่างจากประตูหน้ามากนัก แต่ปัญหาคือเขาไม่ต้องการแม้แต่จะทักทายพูดคุยกับเจ้าของห้องเพราะไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือไม่ ถ้าหากเจอกันก่อนแล้วถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ก็คงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่
ถ้าหากรีบออกไปแล้ววิ่งไปลงลิฟต์ ก็คงไม่เป็นไรละมั้ง...
ธีระป้ายมือที่ชื้นเหงื่อเข้ากับกางเกง พลันเสียงเปิดและปิดประตูจากด้านในก็เหมือนเป็นสัญญาณให้เขาตัดสินใจได้ทันที ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้าห้องน้ำหรือห้องอะไรก็ตาม นี่เป็นจังหวะเดียวที่เขาน่าจะแอบหลบออกไปได้โดยเลี่ยงการเผชิญหน้าที่เหมาะสมที่สุด!
เท้าไวเท่าความคิด ธีระรีบออกจากห้องนอนแล้วเลี้ยวไปทางที่ได้ยินเสียงเปิดประตูใหญ่ เมื่อเห็นรองเท้าตัวเองบนชั้นวางก็รีบหยิบขึ้นมาแล้วผลักประตูเปิด เขาออกวิ่งไปตามทางเดินทันทีเพื่อหาลิฟต์ จนกระทั่งเข้าไปในลิฟต์แล้วจึงค่อยสวมรองเท้าที่หยิบมาด้วย จากนั้นก็พิงผนังลิฟต์อย่างอ่อนแรงขณะผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา
หวังว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่มาตามหาเรานะ...
ลมหายใจของธีระหอบรัว ประสบการณ์เมื่อคืนเป็นเรื่องที่เขาไม่ต้องการจะจดจำหรือรื้อฟื้นเป็นครั้งที่สอง เขารู้ดีว่าหากจะโทษก็ต้องโทษเจ้าคนที่เอายาใส่ในเครื่องดื่มนั่น แต่เขาเองก็ผิดที่ไม่เฉลียวใจจนรับเลี้ยงเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้าง่ายๆ ดังนั้นต่อไปถึงจะถูกเพื่อนอ้อนวอนสักแค่ไหน เขาก็จะไม่มีวันเหยียบย่างเข้าไปในสถานที่เช่นนั้นอีกเป็นอันขาด
เขาไม่แม้แต่จะอยากรู้ว่าคนที่ใช้อ้อมกอดช่วยดับความปรารถนาอันเร่าร้อนให้เมื่อคืนเป็นใคร ในเมื่อไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขสถานการณ์ได้ เขาก็จะถือว่านั่นเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งเท่านั้น
ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว...ก็ขอให้อย่าต้องกลับมาพบเจอกันอีกนั่นแหละดี...
ลิฟต์ยังคงดิ่งลงชั้นล่างเรื่อยๆ ไม่หยุดจนกระทั่งถึงชั้นล็อบบี้ เมื่อเดินออกมาจากคอนโดมิเนียมหรูจนถึงถนนใหญ่ ธีระก็โบกเรียกแท็กซี่คันแรกที่ผ่านมาทันที
++------++
เด็กหนุ่มกลับมาถึงอพาร์ทเมนท์หลังเที่ยงเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้ว่ามีคนช่วยเช็ดตัวชำระคราบไคลให้แล้ว แต่เขาก็ยังเข้าห้องน้ำแล้วอาบน้ำขัดถูตัวแรงๆ จนราวกับจะให้หนังชั้นบนหลุดออกมา จนกระทั่งเนื้อตัวซีดและนิ้วเหี่ยวย่นเพราะอาบน้ำนานเป็นชั่วโมง เขาจึงได้ยอมเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าและออกมาทิ้งตัวลงบนโซฟาในที่สุด
สกปรกเหลือเกิน...
เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นตรงหน้า นัยน์ตาทั้งคู่แห้งผากไร้น้ำหล่อเลี้ยง เขาพยายามคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยผู้ชายคนนั้นก็ยังมีน้ำใจพาเขาไปนอนที่ห้องและช่วยดูแลทำความสะอาดให้ ไม่ใช่พอเสร็จสมอารมณ์หมายแล้วก็ทิ้งเขาไว้กับที่ให้ต้องตื่นมาอับอายผู้คน และเขาจะถือเอาว่าการที่ร่างกายไม่อ่อนเพลียหรือไม่เห็นริ้วรอยอันไม่พึงปรารถนามากนักบนเนื้อตัวคือสัญญาณที่ดีว่าเขามีอะไรกับผู้ชายคนนั้นแค่คนเดียวก็แล้วกัน
ธีระนั่งนิ่งอย่างเหม่อลอย พลันโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะก็ดังขึ้นจนเขาสะดุ้ง เด็กหนุ่มมองโทรศัพท์ที่ส่งเสียงและสั่นอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมาดูชื่อคนโทรเข้า เมื่อเห็นว่าเป็นสุเมธ เขาจึงลังเลเพียงครู่เดียวก็กดรับสาย
"ฮัลโหล?"
"เป็นไงมั่งฮึตี้? นี่ฉันไม่ได้โทรมาเป็น กขค.ใช่ไหม?"
น้ำเสียงรัวเร็วราวคนพูดกำลังตื่นเต้นสุดขีดทำให้ธีระขมวดคิ้ว เขาถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจ
"กขค.อะไร แล้วทำไมเมื่อคืนถึงทิ้งเราไว้แล้วก็พากันหายไปเลยล่ะ?"
พอนึกได้ว่าที่เมื่อคืนเกิดเหตุก็เพราะเขาถูกปล่อยให้นั่งเฝ้าโต๊ะคนเดียว ธีระก็เริ่มจะพาลเอากับเพื่อนที่เป็นคนชวนไปร้านนั้นตั้งแต่แรก แต่กลับได้คำตอบเป็นการย้อนถามเสียงแหลม
"อะไร้!!! ใครว่าฉันกับยายซันทิ้งแก! พวกฉันก็เต้นไปแอบมองแกไปตลอดนั่นแหละ ก็เห็นแว้บๆ หรอกว่ามีคนเข้าไปนั่งคุยด้วย แต่ก็คิดว่าถ้าแกได้รู้จักคนใหม่ๆ อาจดีขึ้นเลยไม่เข้าไปกวน แต่พอฉันกับยายซันกลับไปที่โต๊ะอีกทีก็ไม่เห็นแกแล้ว ฉันก็เลยลองขึ้นไปตามหาในห้องน้ำ ไม่นึกเหมือนกันว่าจะไปเจอ..."
คู่สนทนาพูดไม่ทันจบก็หัวเราะ ธีระจึงเริ่มเข้าใจเลาๆ ว่าเจ้าของเสียง 'อุ้ย' ที่เขานึกว่าหูแว่วไปเองตอนกอดกับผู้ชายแปลกหน้าในห้องน้ำเมื่อคืนนี้คือใคร
"โอเค เข้าใจแล้วเมธ ไม่ต้องพูดแล้ว"
"อ๊ายยยย!!! อะไรกันยะ!! ตกลงไปไงมาไงถึงไปจบกับตาคนนั้นในห้องน้ำได้!? ฉันนี่อึ้งตะลึงไปเลยตอนเห็นแกกอดจูบเขาซะนัวขนาดนั้น จะส่งเสียงเรียกก็ไม่กล้า แต่ถ้าไปบอกซันตรงๆ ว่าเจออะไร ฉันก็กลัวมันจะไล่ให้มาแยกแกออกจากพี่เขา เลยลงไปบอกมันว่าแกกลับไปแล้ว แล้วก็โทรคุยกับแกว่าถึงบ้านโดยปลอดภัยแล้วด้วย ยายนั่นถึงได้ไม่โทรไปขัดจังหวะไง ว่าแล้วจะไม่ขอบคุณฉันมั่งเรอะ?"
เพื่อนหนุ่มใจสาวจีบปากจีบคออตอบยาวเหยียดจนธีระปวดหัวขึ้นเรื่อยๆ เขาอยากอธิบายเหลือเกินว่าคนที่นั่งคุยกับเขาที่โต๊ะและคนที่อยู่ในห้องน้ำไม่ใช่คนเดียวกัน แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อจะเป็นคนเดียวกันหรือคนละคนก็ไม่แตกต่างกันสักนิด
แต่คำตอบของสุเมธก็ทำให้เขาตระหนักได้อย่างหนึ่ง ว่าในสายตาของบุคคลที่สามแล้วนั่นเป็นการยินยอมพร้อมใจ ดังนั้นต่อให้อ้างว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยา เขาก็ไปเรียกร้องอะไรกับใครไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อเขาจำหน้าคนที่กอดเขาไม่ได้ แถมอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่พอดีว่าโผล่เข้ามาได้จังหวะจึงทำให้เขาต้องเลยตามเลยเท่านั้นเอง
พอคิดมาถึงตรงนี้ ความกังวลระลอกใหม่ก็คืบคลานมาบีบหัวใจจนเด็กหนุ่มนิ่วหน้า
"เมธ เรื่องที่เห็นเมื่อคืนนี้ไม่ต้องเล่าให้ใครฟังนะ"
"หา? อะไรกันยะตี้ นี่หล่อนกะจะวันไนท์แสตนด์เหรอ?"
"สัญญาสิ! ห้ามบอกใครเด็ดขาด แม้แต่ซันก็ห้ามบอก!"
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นทันควัน ธีระมัวสนใจกับการขอคำมั่นจนลืมแม้แต่จะเอ็ดเพื่อนที่ใช้สรรพนาม 'หล่อน' กับเขาซึ่งเขาไม่ชอบ เมื่อถูกรบเร้าขนาดนั้น สุเมธจึงถามเสียงเครียด
"ก็ได้ๆ ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร ถึงยังไงคืนนี้ยายซันก็จะบินไปซัมเมอร์ที่ลอนดอนอยู่แล้วก็คงไม่ติดใจอะไรหรอก แต่เสียงแกแย่มากเลยนะตี้ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ปรึกษาฉันก็ได้นะ"
น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนสนิททำให้ธีระรู้สึกดีขึ้น กระนั้นก็ยังไม่อาจขจัดความกังวลที่ทำให้รู้สึกมวนในท้องน้อยได้
"ขอบคุณนะเมธ ไม่มีอะไรหรอก สำหรับตอนนี้แค่เหยียบเรื่องที่เห็นเมื่อคืนเอาไว้ก็พอแล้ว ถ้าหาก...มีอะไรจริงๆ...จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน"
"โอเค ถ้างั้นฉันไม่กวนแกล่ะ แค่นี้ก่อนนะ พูดถึงยายซันต้องบินคืนนี้ ฉันก็ต้องเก็บกระเป๋าเตรียมบินกลับหาดใหญ่พรุ่งนี้เหมือนกัน ยังหาซื้อของฝากให้แม่ไม่ครบเลยเนี่ย"
"อื้อ แล้วค่อยคุยกัน ฝากสวัสดีแม่ด้วย"
หลังจากวางสายธีระก็ปล่อยโทรศัพท์หล่นลงจากมือ ไหล่ผอมบางสั่นขึ้นมาทันทีเมื่อนึกทบทวนถึงเรื่องเมื่อคืน จริงอยู่ว่าหากจะเรียกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเขาถูกข่มขืนก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะถึงเขาจะโดนยาแต่ก็ยังมีสติพอจะปฏิเสธ ไม่เช่นนั้นก็คงโอนอ่อนตามไปตั้งแต่โดนเล้าโลมจากเจ้าคนที่มาถึงตัวเขาก่อนแล้ว กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่อาจคิดถึงความเป็นไปได้ในทางร้าย เพราะเมื่อคืนทั้งเขาทั้งผู้ชายอีกคนต่างก็มีอะไรกันโดยไม่ป้องกันทั้งคู่
เด็กหนุ่มชันเข่าขึ้นแนบอกขณะที่สองมือทึ้งผม ความหวาดกลัวแล่นเข้าเกาะกุมจิตใจเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานาจนในหัวร้อนจี๋ ร่างกายหลั่งเหงื่อเยียบเย็นออกมาเต็มแผ่นหลังทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ หากเป็นตอนที่เขายังไร้เดียงสากว่านี้ เขาอาจไม่นึกใส่ใจเรื่องนี้มากนัก แต่ตอนนี้บทสนทนาที่เขาเคยมีกับใครคนหนึ่งกลับดังขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
"ตี้ พี่รู้ว่าพูดอย่างนี้ตี้อาจไม่ชอบ แต่ถ้ามีโอกาสก็ไปตรวจเลือดบ้างนะ"
"พี่รงค์หาว่าตี้สำส่อนเหรอ?"
ตอนนั้นเขาถามเสียงรวนด้วยทั้งโมโหทั้งน้อยใจ ทั้งที่เขาไม่เคยหลับนอนกับใครมาก่อนเลยนอกจากณรงค์ แต่ในเมื่อทั้งคู่ได้คบกันเพราะไปเที่ยวกลางคืน ธีระจึงอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เคยเชื่อคำพูดเขาเลยที่ว่าเขาบริสุทธิ์ผุดผ่องมาตลอด
ตอนนั้นคนที่เขารักเพียงแต่ยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างระอา เหมือนสีหน้าของคุณครูที่กำลังพยายามอธิบายโจทย์ยากๆ ให้เด็กหัวช้าเข้าใจ
"ไม่ใช่อย่างนั้น ต่อให้ไม่เคยมีอะไรกับใครก็ยังควรไปตรวจ โรคพวกนี้มันไม่ได้มาจากการมีอะไรกันอย่างเดียวนะ พี่เองยังกลัวตัวเองจะเป็นโรคที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ตี้ไม่กลัวติดโรคอะไรจากพี่มั่งเหรอ?"
"แต่ตี้เชื่อใจพี่รงค์ว่าไม่เป็นโรคอะไร พี่รงค์ขยันออกกำลังจะตาย เหล้าก็ไม่ค่อยกิน บุหรี่ก็ไม่เห็นสูบ พี่รงค์ไม่มีทางเป็นโรคอะไรแน่ๆ"
เขาเอ่ยแล้วก็โถมตัวเข้าไปกอดคออีกฝ่ายแล้วหอมแก้มแรงๆ ก่อนหน้าที่จะมาคบกับณรงค์นั้นเขาก็ชอบอ้อนคนในครอบครัวอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อได้คบคนรักคนแรกที่อายุมากกว่าหลายปี เขาจึงยิ่งพยายามใช้เสน่ห์จากนิสัยเด็กๆ นี้เพื่อผูกมัดอีกฝ่ายให้มากขึ้น เพราะแม้คนที่รักจะดีกับเขาเพียงไร ส่วนลึกในใจเขากลับรับรู้โดยตลอดว่าฝ่ายนั้นไม่เคยเหลือที่ว่างในใจให้เขาอย่างแท้จริงเลยสักชั่วขณะ ภาพความทรงจำในอดีตผุดขึ้นในหัวเป็นฉากๆ อย่างห้ามไม่ได้ นัยน์ตาของธีระเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ตอนที่ได้พบกับณรงค์ครั้งแรกนั้นเขาไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวมีคนรักอยู่แล้วและกำลังมีปัญหากัน หาไม่เขาก็คงไม่ใจกล้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายในผับตามที่เพื่อนยุ และยิ่งไม่คิดว่าจะตกปากรับคำเชิญให้กลับไปที่ห้องและเริ่มความสัมพันธ์ที่จบลงในเวลาอันแสนสั้น แต่กลับทิ้งความทรงจำที่ทำให้เขาไม่อาจเปิดรับใครใหม่มาตลอดเวลาหลายเดือน เพียงเพราะใครก็ตามที่พยายามเข้ามาในชีวิตจะถูกเอาไปเปรียบเทียบกับณรงค์ทั้งหมด
บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณว่าเราควรทำตามคำแนะนำของพี่รงค์บ้างก็ได้...
เด็กหนุ่มระบายลมหายใจยาวเพื่อตั้งสติ จากนั้นก็ลุกไปที่โต๊ะมุมห้องแล้วเสียบปลั๊กเปิดโน้ตบุ๊ค เวลานี้เขาไม่อาจบากหน้าไปขอให้อีกฝ่ายช่วยเหลือเพราะคงโดนถามแน่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่รงค์ของเขาเป็นคนดีที่เอาใจใส่คนรอบตัวเสมอ แต่ความใจดีที่ไม่อาจเป็นของเขาคนเดียวนั้นไม่เพียงพอ และธีระไม่ต้องการจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพยายามขอเศษเสี้ยวความห่วงใยจากคนที่ไม่เคยมีเขาในหัวใจอีก
เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คสีเงินใช้เวลาบู๊ธเครื่องไม่กี่วินาทีก็เข้าหน้าจอหลัก ธีระกดปุ่มเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต เมื่อเรียบร้อยแล้วก็พิมพ์คำที่ต้องการเข้าไปในช่องค้นหา นัยน์ตาของเขากวาดมองไปตามรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีข้อมูลที่ต้องการก่อนจะเลือกคลิกเมาส์เข้าไปในเพจของคลินิคแห่งหนึ่งด้วยความกระวนกระวายระคนคาดหวัง
"ขั้นตอนปฏิบัติในการเข้ารับการตรวจเลือด"
++---TBC---++
A/N: ตีตี้จ๋า ถึงจะดูเหมือนคนเขียนแกล้งหนู แต่พี่ก็รักหนูมากนะลูก ไปแค้นตากฤตเอานะที่ทำให้หนูต้องวิตกจริตขนาดนี้ T^T
ปล. ถึงจะเขียนนิยายเพ้อฝัน แต่เราก็ไม่อยากละเลยรายละเอียดที่สอดคล้องกับความเป็นจริงค่ะ การมีความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าโดยไม่ป้องกันเป็นเรื่องน่ากลัวจริงๆ นะ ที่น้องตี้จะกังวลก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วละ
ติดตามให้กำลังใจน้องตี้กันต่อในตอนหน้านะค้าาาาาา 