ตอนที่ 49โรงพยาบาลในตอนเช้าดูวุ่นวายไม่น้อยเลย เพราะแค่เจ็ดโมงก็เริ่มมีคนมารับคิวรักษาแล้ว ผมกลับจากกินโจ๊กที่ขายอยู่หน้าโรงพยาบาล เดินผ่านหน้าห้องเวชระเบียนที่มีคนนั่งรอคิวอยู่ด้านหน้าจนเก้าอี้แทบไม่พอก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะปกติโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้ฮิตอะไรขนาดนี้นะ ค่ารักษาก็แพง แต่ที่นี่แปลก คนแห่มากันอย่างกะได้ยาฟรี
มาถึงห้องพักพิเศษที่ผมใช้เป็นที่นอนสำหรับเมื่อคืนที่ผ่านมา คนป่วยตื่นอยู่ก่อนแล้ว และกำลังมีหมอกับพยาบาลรุมตรวจอาการอยู่ ผมนั่งรอที่โซฟาได้ไม่นาน ทั้งห้องก็เหลือเพียงผมกับเมล
“ไง”
“เพิ่งมาเหรอ” เมลถามเสียงเรียบ ผมเลิกคิ้วกับคำถามของมัน
“แล้วคิดว่าไง”
“ไม่รู้”
ถ้าไม่ติดว่าหัวเมลมีผ้าพันแผลพันอยู่รอบ ผมคงได้แจกมะเหงกรับขวัญมันไปแล้ว
“เดี้ยงอย่างนี้มึงยังมีอารมณ์มางอนอีกเหรอ แทนที่จะสำออยอ้อนกู”
ผมเลิกสนใจมัน เดินมาเปิดตู้เย็นหาน้ำกิน ก่อนจะกลับมานั่งโซฟา เปิดทีวีดูข่าวรอบเช้าที่รายงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เอาจริงๆ คือเห็นสภาพรถแล้วไม่น่ามีใครรอด แต่โชคดีมากที่เมลมันแค่กระดูกแขนร้าว เข้าเฝือกอ่อนไว้หนึ่งอาทิตย์ก็หาย ส่วนแผลที่หัวก็แตกซ้ำรอยเดิม ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทว่าไอ้มายด์มันโชคร้ายจริงๆ และเพราะในข่าวรายงานว่าคนขับรถตู้เสียชีวิตและคนขับอีกคนอยู่ในอาการสาหัส เมลถึงได้เลิกงี่เง่าแล้วหันมาหาผมทันที
“เท็น...ไอ้มายด์...”
“มึงทำใจไว้เถอะ มันไม่กลับมาแล้วล่ะ”
ผมคิดว่าจะเห็นเมลโวยวาย หรือแสดงอาการรับไม่ได้ออกมา แต่ความจริงมันทำเพียงแค่พยักหน้า
“กูทำใจไว้แล้ว...”
ขนาดบอกว่าทำใจ น้ำตามันก็ยังไหลลงมาตามแก้ม ผมรีบเข้าไปใกล้ๆ เตียง ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้มันเบาๆ
เพราะเมลเป็นคนที่อยู่กับไอ้มายด์จนถึงตอนที่ประสบอุบัติเหตุ มันคงเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับไอ้มายด์ และเป็นคนแรกที่ได้เห็นไอ้มายด์หลังจากที่รถชน
“แต่มันเร็วเกินไป...เมื่อวานกูยังคุยกับมัน ปรึกษากับมันเรื่องจะไปเรียนต่อด้วยกัน ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้”
“มันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ไม่มีใครอยากให้เกิด”
“แต่กูเป็นต้นเหตุให้ไอ้มายด์กับฟิวทะเลาะกัน”
“มึงไม่ใช่ต้นเหตุนะเมล เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของพวกมันสองคน เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เลิกคิดมาก”
ไม่รู้ว่าเมลเชื่อที่พูดรึเปล่า ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่โทษตัวเองเหมือนที่ไอ้ฟิวกำลังเป็นอยู่ตอนนี้
“เดี๋ยวพวกไอ้เต๋อจะมา มึงอยากกินอะไรมั้ย”
“ไม่อ่ะ”
“อืม งั้นก็นอนซะ”
ไม่กินก็ไม่บังคับ เพราะเมลคงกินไม่ลง ดูจากสีหน้าแล้วผมก็รู้ว่าในหัวของมันคงเต็มไปด้วยเรื่องไอ้มายด์
“อยากได้อะไรก็เรียกนะ กูอ่านหนังสือก่อนละ”
“อืม”
กับเพื่อนสนิทที่เห็นกันมาตั้งแต่จำความได้ คงจะเป็นเรื่องยากหากต้องทำใจยอมรับว่าคนๆ นั้นกำลังจะจากไป... ผมช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ ในเรื่องนี้ ก็ได้แต่หวังว่าการที่ผมยังอยู่ข้างๆ จะทำให้เมลก้าวข้ามความรู้สึกนี้ไปได้...
.
.
.
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของพวกผม แต่เอาเข้าจริงเดือนพฤศจิกายนก็ผ่านไปได้สิบกว่าวันแล้ว กลางเดือนธันวาคมถ้าหากเป็นเมื่อปีที่แล้ว พวกผมคงจะตื่นเต้นที่จะได้ฉลองวันสิ้นปีพร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่ปีนี้แตกต่าง เพราะไม่มีใครยิ้มหรือหัวเราะได้เต็มเสียง ยังคงมีความเศร้าเจือปนอยู่ไม่จางหาย
ถึงผมหรือเพื่อนๆ จะเริ่มทำใจยอมรับได้ แต่ไอ้ฟิวนั้นต่างออกไป มันยังคงแย่ และดูเหมือนจะแย่ลงทุกวัน แม้ว่าไอ้มายด์ยังไม่ไปไหน แต่ก็เรียกได้เกือบเต็มปากว่ามันไม่อยู่แล้ว...แค่รอให้พ่อของมันกลับมาจากต่างประเทศก็แค่นั้น ทีแรกผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อไอ้มายด์ถึงได้ใจจืดใจดำ ไม่ยอมมาดูมันเลย แค่บอกทางโทรศัพท์ว่าให้ทำตามที่หมอเห็นสมควรและบอกว่าจะรีบกลับมา ผมเกือบแย่งโทรศัพท์จากคุณพ่ออเล็กมาคุยด้วยตัวเอง แต่พอเมลบอกว่าคนที่ไอ้มายด์มันเรียกว่าพ่อไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของมัน ผมก็ยอมใจเย็นลงบ้าง
แล้วเหตุผลที่ว่าไม่ใช่พ่อแท้ๆ มันเพียงพอกับการที่จะไม่มาดูลูกชายที่ตัวเองใช้เงินเลี้ยงดูมากำลังจะจากไปเลยเหรอ? มีคนที่ใจร้ายอย่างนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอวะ? มันน่าหงุดหงิดจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น เมลก็ยังยืนยันว่าพ่อไอ้มายด์รักไอ้มายด์
ผมก็หวังอย่างนั้น...หวังอยากให้ไอ้มายด์ได้จากไปพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ค้างคาอีก ไม่ต้องติดค้างกับข้อสงสัยที่ว่าในโลกนี้มีใครที่ต้องการมันบ้างก็เท่านั้น
ถึงผมจะรู้ว่ายังไงไอ้มายด์ก็ไม่อาจจะรับรู้ได้แล้วก็ตาม แต่ผมเชื่อนะ...เชื่อว่าความรักและความคิดถึงที่พวกผมมี จะส่งไปถึงมัน
“เหี้ยเท็น ช่วงนี้มึงหายหน้าไปไหนทีละหลายวันวะ เรียนจบก่อนพวกกูไม่พอ ยังจะเที่ยวไม่เกรงใจกันอีก ฟัคคคคคคค” ไอ้เต๋อตัวอิจฉาส่งสายตาเชือดเฉือนมาให้ผม แต่ผมก็ทำแค่เชิดคิ้วกวนตีนให้มันไป
“แล้วมึงจะไปเมื่อไหร่...” ไอ้เต้ถามขึ้น
“สิ้นปี”
“แล้วเรื่องไอ้มายด์...”
“ก็คงรอให้เรื่องของมันเรียบร้อยก่อน”
“อืม”
วันนี้มากันแค่สามหนุ่มสามมุม ณ ร้านนมปั่นหลังมอ เพราะช่วงนี้พวกผมงดเรื่องสังสรรค์เฮฮากันไปโดยปริยาย
“หน้ามึงโทรมๆ นะเท็น อดนอนเหรอวะ”
“นิดหน่อยว่ะ”
ช่วงนี้ผมเร่งทำของขวัญวันเกิดให้ไอ้เมลอยู่ เพราะไอ้พี่โปรดถึงมันจะยังเดี้ยงอยู่ที่โรงพยาบาล มันก็จัดการส่งของที่ผมอยากได้มาให้แล้ว ความจริงผมไปหาช่างทำเองก็ได้นะ แต่เพราะช่างฝีมือดีที่ทำเขาสนิทกับพ่อไอ้พี่โปรด เลยได้ราคาพิเศษ ประหยัดได้ก็ประหยัดล่ะครับ เพราะผมไม่ค่อยมีงบเท่าไหร่แล้วตอนนี้ ของที่ให้ผมก็ไม่ได้จะเน้นว่ามันต้องแพงนี่นา เน้นการทำให้ด้วยใจมากกว่า อาจจะไม่มีประโยชน์หรอก แต่คงทำให้เมลประทับใจได้บ้างล่ะมั้ง
“มึงทำไรวะ ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยเห็นอยู่กับไอ้เมลด้วย” ไอ้เต๋อถามพลางจิบนม =_=; ไม่ชินจริงๆ นะ เวลาเห็นไอ้เต๋อมันถือแก้วนมเนี่ย
กับเมลก็ยอมรับว่าไม่ค่อยได้คุย ได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่ เพราะมันไปโรงพยาบาลบ่อยๆ ไปทีก็อยู่นานเป็นวัน บางวันก็ไปนอนค้างที่นั่น ผมโอเคนะ ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้โกรธด้วยหากมันจะดูแลไอ้ฟิวในช่วงนี้ เรื่องของผมอาจจะหายไปจากความคิดของมันบ้างก็ไม่เป็นไร
ไม่รู้นะ...มันเป็นความรู้สึกที่ก็บอกไม่ได้ ผมรู้ว่าเมลรักใคร จะให้ไปบอกว่าที่มึงทำอยู่ทุกวันนี้มันไม่ถูก ก็คงไม่ใช่ เมลมันจะรู้สึกผิด หรือจะเป็นเหตุผลที่มันบอกว่าไอ้มายด์ฝากให้มันดูแลไอ้ฟิว หรือจะเป็นเพราะความรับผิดชอบอะไรก็ช่าง...สำหรับผมมันไม่สำคัญเลย เมลโตพอที่จะคิดเองได้ว่าควรทำอะไร ถ้ามันเลือกที่จะทำ ผมก็จะเคารพในการตัดสินใจของมัน
ผมเคยบอกแล้วว่าสำหรับผมความรักมันไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะชีวิตมันต้องก้าวต่อไป ต่อให้มีหรือไม่มีก็ตาม ต่อให้สุดท้ายแล้วเราจะไม่ได้คบกัน ผมก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป...
แค่ทุกวันนี้ ผมทำส่วนของผมในฐานะของคนที่รักมันได้อย่างเต็มที่ก็พอ
“กูกลับก่อนนะ มีงานต้องไปทำ” ผมบอกก่อนจะวางค่านมของตัวเองไว้บนโต๊ะ
“เออๆ จะบินเมื่อไหร่อย่าลืมบอกพวกกูละกัน ไม่ใช่นึกจะไปก็หายไปเลยนะ” ไอ้เต้พูด ชำเลืองมองหน้าผมเล็กน้อย
“ไม่แน่ว่ะ กูไม่อยากเห็นไอ้เต๋อร้องไห้ตอนไปส่งกู”
“เอออออออออ กูไม่ร้องหรอก มึงไปนี่กูจะจัดขบวนเชิดสิงโตไปส่งเลยสัด -*-”
“ไร้สาระนะมึงอ่ะ เอาเวลาไปเร่งทำโปรเจ็คเถอะ โฮะๆ”
แกล้งไอ้เต๋อจนพอใจแล้วผมก็ขับรถกลับบ้าน แต่ไม่ใช่บ้านผมนะครับ เป็นบ้านเมลต่างหาก ช่วงนี้ผมมาอยู่ที่นี่ โดยบอกให้คุณแม่เจนและคุณพ่ออเล็กช่วยปิดเมลให้ด้วย มันเลยไม่รู้ว่าทุกวันนี้ผมนอนที่นี่ ความจริงก็ไม่ต้องปิดอะไรมากหรอก เพราะมันก็ไม่ได้สนใจจะถามอยู่แล้ว
ก็ไม่เป็นไรครับ ถือว่าต่างคนต่างยุ่งเรื่องของตัวเอง ผมเข้าใจ...
“คุณเท็น ทานข้าวมารึยังคะ” นาตาชาเป็นคนเดินมารับผมถึงรถ เธอทำเป็นเรื่องปกติครับ ชอบมาช่วยถือกระเป๋า ถือของ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่แม่บ้านของที่นี่ แต่ก็ยังปฏิบัติตัวกับผมแบบนี้ จนผมต้องแกล้งโกรธบ่อยๆ เพราะนาตาชาก็เหมือนพี่สาวของเมล
“ผมไปกินนมกับเพื่อนมาแล้วครับ แล้วนี่พวกคุณพ่อกับคุณแม่กลับมากันรึยังครับ”
“กลับมากันแล้วค่ะ คงนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น”
“ครับ”
ผมเดินเข้าบ้านมาพร้อมนาตาชา พ่อแม่ของเมลคงจะอยู่ในห้องนั่งเล่นกันจริงๆ เพราะได้ยินเสียงพูดคุยกันดังมาจากทางนั้น ผมเลยแวะเข้าไปทักทาย ตามมารยาทที่มาอาศัยบ้านเขาอยู่
อยู่คุยกับพ่อแม่ของเมลสักพักผมก็ขอตัวขึ้นมาบนห้องที่เกลื่อนไปด้วยตัวเลโก้
ของขวัญวันเกิดเมลปีนี้ผมให้ไอ้พี่โปรดติดต่อหาช่างมือดีทำหุ่นขี้ผึ้งของตัวผมเองให้ เป็นหุ่นที่กำลังทำท่านั่งวาดรูป ถามว่าเหมือนมั้ย ก็คงตอบได้ว่าโคตรเหมือน ส่วนรูปที่หุ่นตัวนี้กำลังทำท่าวาดนั้น ผมก็กำลังวาดอยู่ ที่ไม่ได้หลับได้นอนมาหลายคืนก็เพราะเรื่องวาดรูปนี่แหละ เพราะวาดกี่ใบๆ ก็ฉีกทิ้งหมด สกิลผมต่ำมาก ต่อให้ฝึกฝนเท่าไหร่ หน้าคนก็ไม่ได้ดั่งใจเลยจริงๆ เพราะผมกำลังตั้งใจจะวาดเรื่องราวของผมกับเมลออกมาตั้งแต่แรกเริ่มที่เจอกัน เก็บเป็นความทรงจำดีๆ มันไม่ง่ายเลยนะ แต่ผมก็กำลังพยายามอยู่ -*-
ภาวนาให้เสร็จก่อนวันเกิดของเมลละกัน ถึงปีนี้เจ้าตัวจะออกปากไว้แล้วว่าไม่ฉลองก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากให้อยู่ดี เพราะมันจะได้เอาไว้ดูเวลาที่คิดถึงผมตอนที่ห่างกัน
...อยากให้มันดีใจกับสิ่งที่ผมตั้งใจทำให้ ต่อให้หน้าหล่อๆ ของมันในรูปจะบิดเบี้ยวไปเพราะสกิลการวาดของผมก็ตามที -O-;
.
.
.
คริสมาสต์เป็นวันธรรมดาของผมมาตลอดหลายปี แต่ปีนี้...ผมคงต้องบอกว่ามันเป็นวันที่แย่ที่สุดและเลวร้ายที่สุด
ผมกำลังยืนอยู่ในห้องที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นยา น้ำยาฆ่าเชื้อ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้สถานที่นี้ไม่น่าเข้าใกล้ เครื่องมือทางการแพทย์ครบพร้อมอยู่มุมหนึ่ง สายระโยงระยางจากร่างของเพื่อนที่นอนนิ่งอยู่อย่างนี้มาตลอดเกือบสามเดือน คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่รอบๆ เตียงก็ไม่มีใครส่งเสียงคุยออกมา มีแต่เสียงสะอื้นของไอ้กัสกับไอ้ฟิวเท่านั้นที่ดังคลอไปกับเครื่องช่วยหายใจ
เมลยืนอยู่ข้างๆ ผม กุมมือผมไว้แน่น ตาแดงก่ำของมันมีน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย
พ่อของไอ้มายด์เพิ่งมาถึงเมื่อเช้ามืด เขาตรงมาที่โรงพยาบาลทันทีและเซ็นยินยอมให้ถอดเครื่องช่วยหายใจออกเป็นที่เรียบร้อย
วันนี้เลยเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอไอ้มายด์...แต่การบอกลาเป็นเรื่องที่ทำยากจริงๆ
“ทำไมต้องถอดออกด้วย เดี๋ยวมายด์ก็ตื่น พวกมึงดูสิ มันก็แค่หลับไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นแล้ว” ไอ้ฟิวยังคงยืนยันเสียงแข็ง มันพูดไปพลางร้องไห้ไปพลางมาได้สักชั่วโมงแล้ว
ถึงไอ้มายด์จะดูเหมือนแค่นอนหลับไป...แต่ความจริงก็มีแค่ว่า...มันจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วก็เท่านั้น
“กูไม่ยอมหรอก...ไม่ยอมให้ไปหรอก...ฮึก...มายด์ยังไม่เข้าใจกูเลย กูยังไม่ได้ขอโทษ... ยังไม่ได้บอกอะไรมันตั้งเยอะ ฮึก...ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้ทำด้วยกัน...”
“ฟิว...พอแล้ว พอแล้วนะ...” ไอ้กัสปล่อยโฮออกมา มันกอดไอ้ฟิวไว้แน่น
เสียงร้องไห้ เสียงคร่ำครวญ และเสียงเรียกหา... ต่อให้ดังลั่นห้อง...คนที่อยากให้ฟัง เขาก็คงไม่ได้ยิน
พวกเราบอกลาไอ้มายด์กันทีละคน ...ไอ้เขตเป็นคนแรกที่พูดและเดินออกไปเป็นคนแรกเช่นกัน คนต่อๆ ไปก็ทำเหมือนมัน เพราะคงไม่มีใครทนแบกรับความรู้สึกนี้ได้ไหว พวกมันคงไปกอดคอร้องไห้กันที่ไหนสักที่ ทั้งๆ ที่ต่อหน้าไอ้มายด์ก็ฝืนยิ้มและบอกได้เพียงแค่ว่า 'หลับให้สบายนะเพื่อน'
ผมกับเมลหันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะพร้อมใจกันหันไปมองไอ้มายด์ คงเป็นวันสุดท้ายที่จะได้ส่งยิ้มให้มัน...ผมถึงไม่อยากร้องไห้
“ขอบคุณที่ดูแลไอ้เจคไอ้เป๊บให้ คอยรดน้ำกล้วยไม้ให้กูตลอด มึงทำทุกอย่างให้เงียบๆ โดยไม่บ่นสักคำ... แล้วกูก็หวังนะมายด์...หวังว่าที่ที่มึงไป...จะมีแต่ความสุข ส่วนไอ้ฟิว...พวกกูจะดูแลมันให้ ให้ดีเหมือนที่มึงเคยทำ...”
ผมพูดแค่นั้น บีบมือเมลเบาๆ ก่อนจะเดินออกมา เมลคงอยากอยู่กับไอ้มายด์ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ไอ้ฟิวก็คงเช่นกัน ให้คนสำคัญของไอ้มายด์ทั้งสองคนได้อยู่กับมันจนวินาทีสุดท้าย...
ถึงจะรู้ว่าไอ้มายด์มันไม่ได้อยากจากไป...แต่เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ผมก็ภาวนาให้ไอ้มายด์ไปในที่ที่ดี ไปโดยไม่มีห่วง
อะไรอีก ถึงผมจะไม่เคยเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง หรือเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้รอดพ้นจากอันตราย แต่ผมก็ยังยืนภาวนาไปกับเพื่อนๆ ทุกคน
...ต่อให้ร่างกายจะไม่อยู่ แต่ไอ้มายด์ก็ยังจะอยู่ในความทรงจำของพวกเราทุกคน ตราบใดที่พวกผมยังไม่ตาย ไอ้มายด์ก็จะยังมีชีวิตอยู่...
'หลับให้สบายนะมายด์...'
.................................................To be continue....................................................
จบในตอนหน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ครัชชชชชชชชชชชช

เพลีย

ขอกรี๊ดกับคอมเม้นของคุณ mommee ค่าาา ตอนแรกตกใจอ่ะ นึกว่าเราลงตอนไปแล้วเหรอ แต่ความจริง อ้าว เฮ้ยย ไม่ใช่ คอมเม้นนี่หว่าาาา พออ่านแล้วแบบ กรี๊ดเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ เอาจริงๆ เรื่องนี้คนเขียนไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไรมาก เพราะความคิดเห็นส่วนใหญ่สื่อผ่านเท็นเกือบหมดแล้ว นิสัยตัวละครแต่ละตัวคนเขียนเจอบ้าง ไม่เจอบ้าง ตามปกติของชีวิต เพื่อนที่หลากหลายรูปแบบ และบุคลิกที่แปลกแยกบ้างบางอย่าง
ขอบคุณมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก กัััับคอมเม้นยาวๆ
ส่วนเนื้อเรื่องช่วงหลังๆ ที่ทำให้รู้สึกว่ามันเร็วไปไหม... อันนี้ตอบเลยว่า ไม่ได้เร่งให้จบน้า เพราะมันเป็นอะไรที่แบบว่า ถ้าเรายังจะยืดเยื้อต่อไป เรื่องมันจะวนและไม่ยอมไปไหน อาจจะรู้สึกว่าโล่งและเร็วไป แต่มันมีแค่นี้จริงๆ ค่ะ ไว้จะปรับปรุงนะคะ...เท็นกับคนเขียน ไอคิวอาจจะต่างกัน แต่เราเป็นเพื่อนที่ซี้กันจนแทบจะเรียกว่าเป็นคนๆ เดียว เพราะฉะนัััััััััััั้นจะไม่อ้างความไม่อยู่กับร่องกับรอยของเท็น แต่ขออ้างว่ามันมีแค่นี้จริงๆ แหะๆ จะพยายามอ่านทวนค่ะ ว่ามันเร็วหรือขาดอะไรไป เพื่ออรรถรสของผู้อ่าน
***แก้ไข น้ำยาฆ่าเสื้อ เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ =_= พิมพ์ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย