ต่อจากข้างบน
v
v
ทำไมผมถึงเจอผู้ชายคนนี้อีก?
คำถามดังก้องอยู่ในหัวของผมขณะที่ผมหันหน้ากลับไปอีกทาง ทำเหมือนไม่เห็นว่าเจ้าของชื่อที่ติดอยู่บนอกของผมมาสามวันเต็มกว่าจะลบออก นั่งอยู่ตรงนั้นกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนเดียวกับที่ผับ ทั้งที่ผมแน่ใจว่าเมื่อครู่ผมกับเขาสบตากันราวกับจงใจ
ผมยื่นใบเสร็จและบัตรเครดิตให้กับแคชเชียร์เพื่อให้เขาจัดการต่อ แต่แค่ครู่เดียวผมก็รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างๆ เมื่อหันไปมองก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ในใจ คนที่ผมเลี่ยงที่จะสบตาด้วยมายืนข้างผมแล้ว
“ทำไมไม่โทรมา”
เสียงเรียบๆ ดังพอให้ผมได้ยิน และไม่รบกวนการทำงานของพนักงานที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยมีเคาน์เตอร์กั้นเอาไว้ แต่ผมก็ยังเงียบ ไม่ต่อบทสนทนาด้วย หวังว่าเขาจะเลิกยุ่งกับผม เพราะผมคิดว่าการเข้าใกล้ผู้ชายที่ชื่อ ไนล์ อันตรายเกินกว่าที่ผมจะควบคุมได้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมรู้สึกแบบนั้น
และเขาก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง มือเรียวที่ค่อนข้างเย็นเล็กน้อยเลื่อนมาจับมือผมเอาไว้ ทำให้ผมสะดุ้งนิดๆ และต้องหันไปทางเขา แต่เขาเพียงแค่มองหน้าผมเหมือนต้องการคำตอบทั้งที่แววตากลับว่างเปล่า จุดหมายของมันไม่ใช่ใบหน้าหรือตาของผม แต่เป็นอะไรที่เหมือนจะอยู่ลึกกว่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกทะลวงเข้าไปในหัวใจอย่างไร้เหตุผล
ผมดึงมือตัวเองออกอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เป็นที่สังเกตกับพนักงานที่อยู่ตรงหน้าและลูกค้าในร้าน แต่ก็ยังถูกมือที่เล็กกว่ายึดเอาไว้แน่น สายตาสีดำสนิทคู่นั้นยังทิ้งไว้ในระยะเท่าเดิม ราวกับบอกว่าจะไม่ปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระจนกว่าจะได้คำตอบจากผม และสุดท้ายผมก็ต้องยอมขยับปากตอบ
“ฉันไม่จำเป็นต้องโทรหานาย”
“กลัวเหรอ”
“ทำไมฉันต้องกลัวนาย”
คล้ายว่าเป็นคำพูดท้าทาย ทั้งที่สีหน้าสงบนิ่งและน้ำเสียงยังคงเรียบเฉย พลอยให้ผมต้องโต้ตอบอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าในเวลาเดียวกันผมกลับรู้สึกว่าหัวใจของผมสั่นหน่อยๆ
กลัว?
ทำไมผมจะต้องกลัวคนที่ไม่รู้จักกัน กลัวคนที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และต้องการอะไรจากผม
“นั่นสิ นายจะกลัวฉันทำไม”ทั้งที่เป็นประโยคคำถาม แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันเป็นประโยคที่อีกฝ่ายตั้งใจแทงเข้ามาที่อกของผมอย่างจัง เหมือนเขารู้ว่าผมกำลังรู้สึกยังไง และมันก็ทำให้ผมหน้าชาไปเล็กน้อย
“เอ่อ... ช่วยเซ็นตรงนี้ด้วยค่ะ”
เหมือนถูกช่วยชีวิตเอาไว้จากพนักงานที่น่าจะกำลังรอจังหวะแทรกเสียงขึ้นมา ผมกระชากมือออกอย่างไร้ความเกรงใจต่างจากก่อนหน้านี้ และคว้าปากกามาเซ็นชื่อในสลิปก่อนจะรับบัตรเครดิตคืน แต่กระนั้นผมก็ไม่วายกวาดตาไปทางคนที่ยืนอยู่ข้างกัน เห็นว่าคนคนนั้นกำลังมองมาทางผมเช่นเดียวกัน ขณะที่มือที่จับมือผมเอาไว้เมื่อครู่ยื่นแบงก์พันให้กับพนักงาน
ผมต้องรีบเดินจากเคาน์เตอร์และไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ผิดสังเกต เสียงตึกตึกดังก้องอยู่ในอกของผมเหมือนกำลังบอกว่า ‘อย่าเข้าใกล้ผู้ชายคนนี้’ ก่อนที่ผมจะผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อยและนั่งลงบนม้านั่งเหมือนเดิม
“นานจังวะ”
“พอดีเจอคนรู้จักหน้าร้าน”
ถ้าเป็นคนอื่นถาม ผมอาจจะหาข้ออ้างที่ต่างจากความเป็นจริงได้ แต่คนที่ถามคือไอ้ยีน ผมถึงไม่สามารถโกหกได้
ผมไม่ชอบที่จะปิดบังมัน ผมไม่อยากมีความลับกับมัน ถึงตอนนี้จะเหมือนว่าผมกำลังทำแบบนั้นอยู่ก็ตาม
“เป็นอะไร”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ตอบยีนกลับไปแล้วผมก็ยกแก้วน้ำมาดูดน้ำสีน้ำตาลเข้มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่ๆ “แดกกันเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้ว”
“งั้นก็ไปกันเหอะ พวกมึงจะซื้ออะไรกันอีกหรือเปล่า”
ถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาถูกผมคว้ามาถือเอาไว้พลางลุกยืนอีกครั้ง ขณะที่คนอื่นๆ ก็ยืนตามและก้าวออกจากโต๊ะมาด้วยกัน
“คงไม่ซื้อแล้วมั้ง ดูห่าเคลมดิ จะถือไม่ไหวอยู่แล้ว ซื้ออะไรนักหนา มึงจะเปลี่ยนวันละสิบชุดหรือไง”
เป็นไฮยีนเจ้าเดิมครับที่กระแหนะกระแหนเคลมตามนิสัยระหว่างที่พวกเราเดินออกมานอกร้าน ทว่าตอนที่เดินออกมาก็ไม่พ้นว่าผมเดินสวนกับคนที่ผมพยายามเลี่ยงซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ และแม้ว่าจะไม่อยากสนใจอีกฝ่าย แต่หางตาของผมก็ยังเหลือบไปมองเจ้าของหน้าเรียวนั่น
สายตาของเราสบกันอีกครั้ง ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหลบเล็กน้อย
“กัส มึงช่วยกูถือหน่อยดิ”
“อะไรของมึงเนี่ย มีแต่ของมึง ก็ถือเองสิวะ”
เดินห่างออกจากร้านพิซซ่ามาได้พักหนึ่ง ไอ้เคลมก็งอแง ร้องให้ไอ้กัสช่วย เพราะตอนนี้ถุงเสื้อผ้าที่มันซื้อมาเต็มมือของมันเลย แต่ไอ้กัสไม่คิดจะช่วยครับ หนำซ้ำไอ้ยีนยังซ้ำเติม
“สมน้ำหน้ามึง”
“เสือกว่ะ กูไม่ได้ขอให้มึงช่วยสักหน่อย” คนบ้าช้อปปิ้งตอกกลับก่อนจะทำตาแป๋วใส่คนที่เดินข้างๆ กันต่อ “ไอ้กัส เพื่อนรักของกู ช่วยกูหน่อย เอาไปสามถุงก็ได้”
“ไม่ช่วยเว้ย กูบอกแล้วว่าให้พอ มึงก็จะเอาอยู่ดี”
ดูเหมือนยีนจะพอใจและสะใจอยู่ เพราะมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด
“มึงไม่รักกูแล้วเหรอ”
“...”
ไอ้กัสไม่ตอบครับ เสียงหัวเราะเบาๆ ของไฮยีนถึงหลุดออกมา ไอ้เคลมเลยถลึงตาใส่แล้วหันมาขอร้องผมแทน
“กราฟ มึงรักกูไหม”
ผมยิ้มออกมานิดๆ กับคำถาม พลางเหลือบมองถุงนับสิบใบที่อยู่ในมือของมัน เป็นแบบนี้ตลอด ซื้อของแบบไม่เจียมตัว แล้วพอกินอิ่มทีไรก็เริ่มขี้เกียจทุกที ทั้งที่ตอนยังไม่กินก็ถือมาเองได้ ไอ้ยีนเรียกอาการแบบนี้ของไอ้เคลมว่า ‘โรคสำออย’ ครับ
“เอามา”
“กราฟ อย่าช่วยมันดิวะ เคยตัวว่ะแม่ง”
ยีนห้าม มีการดึงมือผมเอาไว้ด้วย ทำตัวเหมือนเด็กกำลังหวงพี่เลี้ยง ไม่ให้ไปดูแลเด็กคนอื่น พานให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้น ตอนนี้เลยเหมือนเด็กสองคนกำลังแย่งผม คนหนึ่งดึงแขนซ้าย อีกคนดึงแขนขวา ส่วนไอ้กัสได้แต่ยืนมองเหมือนรอดูว่าผมจะตัดสินใจยังไง
แต่เพราะว่าสองคนนั้นยื้อผมกันไปมา ทำให้ผมต้องหัวสั่นหัวคลอนตามไปด้วย และมันก็ทำให้ผมเหลือบไปเห็นคนที่เมื่อครู่อยู่ในร้านพิซซ่าเดินตามมาทางด้านหลัง ทั้งที่ไม่ตั้งใจที่จะสบตากัน แต่ผมก็เหมือนถูกสายตาเลื่อนลอยคู่นั้นจับจ้องมาอีกแล้ว
หมอนั่นตามมาหรือยังไง?
คำถามดังก้องในหัวของผมอีกครั้ง เพราะว่าเราเดินห่างออกมาจากร้านพิซซ่าจนออกมาอีกโซนหนึ่งแล้ว ก่อนเสียงของยีนจะดึงให้สติของผมกลับมาอยู่กับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่
“กราฟ!”
“อะไร”
“เป็นอะไร อยู่ๆ ก็เหม่อ”
“เปล่า” ผมตอบแล้วยิ้มให้ไอ้ยีน ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนออกจากมือทั้งสองข้างของเพื่อนรักสองคน “เดี๋ยวกูถือให้ทั้งสองคนนั่นแหละ จะได้เท่าเทียมกัน”
ว่าแบบนั้นแล้วผมก็คว้าถุงในมือของไอ้ยีนและไอ้เคลมมาคนละสองใบ พวกมันก็ดูงงๆ ที่อยู่ๆ เหมือนว่าผมจะแปลกไปนิดหน่อย ก่อนเสียงจากด้านหลังจะเรียกความสนใจจากผมอีกครั้งทั้งที่มันเบาจนเกือบไม่ได้ยิน
“ไนล์ เข้าไปดูร้านนี้กันเถอะ พี่ผิงอยากได้กระเป๋า”
ผมเหลือบไปทางต้นเสียง ก็เห็นว่าผู้หญิงที่นั่งโต๊ะเดียวกับผู้ชายคนนั้นในร้านพิซซ่าคล้องแขนของคนที่เธอเรียกแล้วดึงให้เดินเข้าไปในร้านกระเป๋าแบรนด์เนมที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยกัน
“กราฟ!”
“อะไร”
เสียงของยีนทำให้ผมต้องหันกลับไปทางด้านหน้าอีกครั้ง และถามอย่างสงสัย เพราะเห็นว่าเพื่อนรักที่สุดกำลังขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนกำลังมีปัญหาหนัก และเดินนำหน้าผมไปเกือบสองช่วงตัวแล้ว
“มึงเป็นอะไร เหม่ออีกแล้ว”
“ไม่มีอะไร กลับกันเหอะ”
“เออ มึงน่ะเดินช้าที่สุดแล้ว”
ไอ้เคลมสวนกลับมาอีกคน ผมเลยต้องรีบก้าวเท้ายาวๆ ตามมันไป แต่ก็ไม่วายเบือนหน้าไปทางด้านหลังเพื่อมองไปที่ร้านกระเป๋าอีกครั้ง และก็ไม่เห็นว่ามีใครคนนั้นอยู่หน้าร้านอีกแล้ว
ทำไมผมจะต้องสนใจหมอนั่น?
===============
ไนล์ออกน้อยอีกแล้ว แต่ตอนหน้าจะออกเยอะขึ้นแล้วค่ะ
ตอนนี้เหมือนเน้นกราฟยีนมากกว่า ฮาาาา 
ปล. เรื่องนี้จะแทรกภูยีนมาเรื่อยๆ ค่ะ เพราะเวลามันคาบเกี่ยวกันเป็นช่วงๆ
แต่งไปก็ต้องเปิดอีกเรื่องไล่เช็คตลอด 
Undel2Sky