It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]  (อ่าน 96361 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
กราฟเอ้ย.....สงสัยจะถอนตัวจากไนล์ไม่ขึ้นแล้วเนี่ย

ออฟไลน์ from_mars

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-0
ไม่รอดแล้วกราฟ เจอคนนิ่งกว่า
แต่อยากรุ้มากว่า ทำไมไนล์ มั่นใจเรื่องกราฟจ

รออ่านต่อ ขอบใจจ้า

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
เจอขนาดนี้ไม่รอดหร๊อกกก~

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
ตกลงตัวตนที่แท้จริงเป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลย เฮ้อออออออออ
แต่ที่แน่ๆกราฟไปทั้งตัวแล้วแหละ รู้ตัวรึยัง ฮ่าาาาา

ออฟไลน์ loveyous

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
    • Aphrodite Shop
อ่านแล้วหน่วงมากจริงจริง

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
อยากรู้จักตัวตนของไนล์เยอะๆ เหมือนมีอะไรในตัวเยอะ :hao5:

ออฟไลน์ КίmY

  • BJYX♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-3
ไนล์เอ๊ย  บางทีก็สนใจตัวเองบ้างเถอะนะ สงสารร่างกายหน่อยยย   :z3:
รอนะฮะ :')

ออฟไลน์ ronlbb

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
วิศวะเรียนเหนื่อย แต่นอนบ้างก็ดีนะ

ออฟไลน์ `ลoงสิจ๊ะ™

  • รักคือรัก จะให้หักห้ามใจนั้นยาก
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มาต่อนะคะ

อยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ มันหน่วงจิตหน่วงใจดี

waerp_

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วรู้สึกหน่วง ๆ ในจิตชอบกล
ชอบคาแรกเตอร์ของไนล์ แปลกมนุษย์
ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้เหตุผลของไนล์
เหมือนเก็บความลับได้ล้านเรื่อง หรือไม่ก็ต้องเรื่องกุมารทองไว้แน่ ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น












สถานที่ที่ผมพาไนล์มาไม่ใช่ที่ไหนเลยนอกเสียจากคอนโดของผม ผมให้เขารอที่ห้องนั่งเล่นและเดินไปหยิบแล็บท็อปออกมาจากห้องนอน ก่อนจะตกลงกันว่าให้เขาหาข้อมูลสำหรับประกอบรายงาน ส่วนหน้าที่พิมพ์มันลงในเวิร์ดผมจะจัดการเอง ทว่าแม้จะออกตัวแล้วว่าใครทำอะไร แต่ไนล์ก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมทำงานของเขาอย่างง่ายดาย

“ไม่ต้องหรอก แค่ให้ฉันใช้คอมก็พอ”

คำตอบของเขาทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะแค่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ผมก็เดาได้แล้วว่าหากเขาทำรายงานด้วยตัวเองเพียงคนเดียวล่ะก็สภาพของเขาจะเป็นยังไง และมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจินตนาการถึง

“คืนนี้นายคิดจะไม่นอนหรือไง”

“แต่มันรายงานของฉัน”

“อย่าดื้อ ฉันบอกแล้วว่าจะช่วย”

เป็นอีกครั้งที่ผมขึ้นเสียง มิหนำซ้ำเขายังเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่ทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนจนเก็บอารมณ์ของตัวเองให้สงบนิ่งไม่ได้ ผมคว้าหนังสือที่มีโพสต์อิทติดเอาไว้มาตั้งข้างตัว เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าผมไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ไนล์จึงมองหน้าผมค้างอยู่ชั่วครู่หนึ่งราวกับจะต่อสู้กับผม แต่สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายชนะหลังจากพูดออกมาอีกประโยค

“นายห่วงตัวเองบ้างเหอะ”

นัยน์ตาเรียวนั้นจับจ้องดวงตาของผมต่ออีกหน่อยหลังจากผมพูดแบบนั้น ก่อนเขาจะหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายกับว่าจำยอมต่อเหตุผลของผม ผมจึงเริ่มลงมือพิมพ์ข้อความไปตามหนังสือที่เขาคั่นหน้าเอาไว้ และมีการวงข้อความเป็นช่วงๆ เพื่อให้รู้ว่าจะใช้ข้อมูลตรงไหนบ้าง ขณะที่ไนล์ก็หาข้อมูลในหนังสือต่อไปเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปจากตีสอง กลายเป็นตีสามและตีสี่ ปริ๊นเตอร์ถูกใช้งานให้พิมพ์เอกสารออกมาปึกหนึ่ง ก่อนผมจะนำมันมาเข้าเล่ม ดีว่าที่ห้องของผมมีอุปกรณ์พวกนี้เก็บเอาไว้เผื่อใช้งานบ้าง จึงจัดการมันจนเรียบร้อยสำหรับพร้อมส่งได้ในทันทีที่พรุ่งนี้ไปมหา’ลัย

“ขอบใจ”

ประโยคแรกหลังจากที่ผมปิดคอมพิวเตอร์แล้วมาจากคนที่รับรายงานจากมือผมไป แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะเรียบเฉย แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเขารู้สึกขอบคุณผมจริงๆ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่ได้รับคำนั้นจากไนล์ รู้สึกดีที่ผมช่วยเหลือเขาได้ ถึงกระนั้นก็ยังอดย้อนเสียงกลับไปไม่ได้

“ขนาดฉันช่วยนาย ยังเสร็จตอนตีสี่ แล้วถ้านายทำคนเดียว ไม่เสร็จหกโมงเช้าเลยเหรอ”

“...”

เขาเงียบ เพราะคงเถียงผมไม่ออก ซึ่งผมก็ไม่อยากจะตอกย้ำเขาในเรื่องนี้อีก จึงเป็นฝ่ายปริปากขึ้นมาอีกครั้ง

“ไปนอนกันได้แล้ว”

แทบจะเช้าอยู่แล้ว ผมจึงไม่ปล่อยให้เราต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ ก้าวขาเดินนำไปทางห้องนอน ทว่าเดินไปได้สองสามก้าว ผมก็หันไปมองทางด้านหลัง ไนล์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ผมจึงเดินย้อนกลับไปอีกรอบแล้วดึงมือของคนที่ยืนขาตายให้เดินไปห้องนอนด้วยกัน ตอนแรกเขามีท่าทางอิดออดเล็กน้อย แต่ก็ยอมตามผมมา

“พรุ่งนี้นายมีเรียนกี่โมง”

“สิบโมง”

“งั้นพรุ่งนี้ออกไปพร้อมกัน เดี๋ยวฉันไปส่งนายที่หอ”

หลังจากตอบคำถาม ผมก็หยิบโทรศัพท์มาเสียบสายชาร์จและตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อเวลาไปส่งไนล์ที่หอเพื่อให้เขาได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย ก่อนจะเดินไปปิดไฟและกลับมาทิ้งตัวลงบนเตียง วันนี้ไนล์มีท่าทีเก้ๆ กังๆ กว่าคืนก่อนที่เขาขอมานอนกับผม จนผมอดแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่สถานการณ์ไม่ได้ผิดแผกไป แต่เขากลับทำตัวผิดปกติ แม้ว่ามองแบบผิวเผินเขาจะยังคงความนิ่งสงบได้เหมือนเคยก็ตามที

เขาไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้ผมแม้แต่น้อย ระยะห่างระหว่างเราเกินกว่าหนึ่งช่วงแขนด้วยซ้ำ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ในอกยังไงชอบกล

ผมอยากให้เขานอนกอดผมเหมือนคืนนั้นหรือไง?

แทนที่จะรู้สึกใจสงบและนอนหลับได้สบาย ที่ไนล์ไม่ได้มาสร้างความปั่นป่วนให้กับผม ทว่าผลมันกลับตรงกันข้าม ผมรู้สึกว่าตอนนี้ต่างหากที่ไนล์กำลังปั่นหัวผม ราวกับเขารู้และจงใจให้มันเป็นแบบนั้น ผมต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่รู้สึกเหมือนโดนเขาควบคุมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม

“นอนไม่หลับหรือไง”

อาจเพราะผมขยับตัว คนที่นอนอยู่บนที่นอนเดียวกันถึงรับรู้ถึงแรงสะเทือนได้ เสียงของไนล์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้ใจของผมที่มันรุมๆ เหมือนตั้งอยู่บนเตาด้วยไฟอุ่นๆ สงบลงได้เล็กน้อย ผมตรึกตรองอยู่ในใจว่าควรจะตอบคำถามนี้ด้วยประโยคแบบไหนดี ทว่าไม่ทันได้เกริ่นเสียงออกมา ไนล์ก็ขัดขึ้นมาก่อนราวกับรู้ทันความคิดของผม

“หรือเพราะฉันนอนห่างกับนายมากเกินไป”

ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างลืมตัว และนึกขอบคุณความมืดภายในห้องที่ทำให้เขาไม่เห็นว่าผมกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นอยู่ครู่หนึ่งพลางโต้กลับอย่างรวดเร็วราวกับคนร้อนตัว

“ทำไมฉันจะต้องนอนไม่หลับเพราะนอนห่างกับนาย”

“ฉันนึกว่านายอยากให้ฉันนอนกอดนายอีก”

เสียงของไนล์ราบเรียบเหมือนเคย แต่มันเหมือนแท่งหอกแหลมๆ ที่พุ่งมาปักอกของผม โดยที่ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมผมต้องรู้สึกว่าคำพูดของเขาถูกต้อง ไม่เข้าใจเหตุผลสักนิดว่าทำไมผมต้องอยากให้เราใกล้ชิดกัน ทั้งที่พอเป็นแบบนั้นแล้วผมก็ต้องปั่นป่วน

ผมไม่ตอบไนล์ เพราะหาคำตอบไม่ได้ และเขาก็ตัดสินใจเอาเองโดยไม่ถามผมสักคำว่าผมต้องการแบบไหน ถึงได้ขยับตัวเข้ามาใกล้ผมทั้งที่เมื่อกี้ห่างกันคนละฟากของเตียง ไนล์เขยิบตัวมาใกล้จนผมรับรู้ได้ถึงไออุ่นๆ จากตัวของเขา เขามาเผชิญหน้ากับผมทั้งที่ห้องมีแต่ความมืด แต่ผมก็ยังเห็นแววตาที่เฉยชาของเขาสะท้อนวาวเพราะเราอยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่คืบ

หัวใจของผมสั่น...

เขามองหน้าผม ขณะที่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเราเหมือนความกดอากาศที่ทำให้ผมเริ่มหายใจติดขัด ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เมื่อรู้สึกว่าในปากเต็มไปด้วยน้ำ พลางเม้มปากเข้าหากันอีกครั้งหนึ่งด้วยเวลาสั้นๆ ขณะที่ตาจับจ้องยังโครงหน้าได้รูปที่ผมมองเห็นเป็นกรอบเงารางๆ

สุดท้ายผมก็ไม่สามารถเผชิญกับอาการที่เกิดขึ้นในใจของตัวเองได้ ผมจึงต้องเปลี่ยนเป็นพลิกหน้ากลับ แล้วหันหลังให้กับไนล์เหมือนคนขี้แพ้ แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะต่อสู้กับความนิ่งสงบของเขาต่อไปไหวจริงๆ เขาทำให้ผมเต้นไปตามจังหวะและความนึกคิดของเขาราวกับผมเป็นของเล่นที่สามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย














ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง ผมไปส่งไนล์ที่แมนชั่นตามที่บอกเขาไว้เมื่อคืน และรอให้เขาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงออกมามหา’ลัย ผมไปส่งเขาที่คณะวิศวะฯ ก่อน เพราะไนล์ยืนยันว่าจะไปส่งรายงาน และไม่ต้องการให้ผมรอรวมทั้งไม่อยากไปกินข้าวเช้ากับผมด้วย ผมจึงไปที่โรงอาหารคนเดียวและรอพวกเพื่อนๆ ที่มักจะนัดเจอกันที่โรงอาหารแทน

เช่นเคยที่วันนี้พี่ภูก็อยู่ด้วย เขาตามไอ้ยีนเป็นเงาตามตัว มันถึงชอบทำหน้าบูดไม่พอใจอยู่บ่อยๆ แต่พวกผมก็ทำหูทวนลมไม่สนใจคำบ่นของมันหรอกครับ เพราะดูท่าทางแล้วมันก็ไม่ได้เกลียดขี้หน้าพี่ภูเหมือนเมื่อก่อน สถานการณ์ระหว่างสองคนนี้คงจะดีขึ้นไม่น้อยแล้ว ทำให้ผมกับไอ้กัสและไอ้เคลมแอบลอบยิ้มให้กันอยู่หน่อยๆ ตอนมองไอ้ยีนเถียงกับพี่ภู

กินข้าวเช้าที่ค่อนข้างสายเสร็จ พวกผมก็แยกย้ายกันไปเรียนตามคณะของตัวเอง แต่ออกจะโดดเดี่ยวสักหน่อย เพราะพี่ภูยึดเพื่อนของผมแล้ว ไม่ใช่ว่าไอ้ยีนยอมขึ้นรถพี่ภูเพื่อไปคณะแต่โดยดีหรอกครับ แต่ถูกรุ่นพี่ร่างใหญ่ลากให้ขึ้นรถไปด้วยต่างหาก

เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะเพิ่งเคยเห็นไอ้ยีนตกอยู่ในสภาพนี้ ปกติแล้วมันชอบอวดเก่ง เบ่งกล้าม เวลาอยู่กับคนอื่น จะขี้อ้อนบ้างเวลาอยู่กับผมหรือไอ้กัส แต่เวลามันอยู่กับพี่ภูนี่เหมือนลูกหมาที่ได้แต่เห่าเพราะฟันยังขึ้นไม่หมดยังไงไม่รู้ น่ารักดี

แต่ไม่ใช่แค่ตอนเข้าเรียนนะครับที่พี่ภูตามติดไอ้ยีน เพราะตอนเลิกเรียน เพื่อนรักของผมก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันได้ล่ำลาด้วยซ้ำ ถือว่าช่วงนี้ผมกับไอ้ยีนค่อนข้างห่างกันกว่าปกติก็ว่าได้ เพราะนับตั้งแต่เสียมิ้นไป ไอ้ยีนจะอยู่กับผมตลอดเวลา จนเรียกได้ว่าแทบจะตัวติดกันด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกย่ำแย่อะไร เหมือนจะรู้สึกดีอยู่หน่อยๆ ด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมาผมผูกมัดมันไว้กับตัวผม แต่ตอนนี้มันเริ่มมีชีวิตของตัวเองอีกครั้ง ถึงจะทำให้ผมรู้สึกเหงาๆ ไปบ้าง แต่ผมก็ยินดีหากว่าเพื่อนรักที่สุดของผมได้มีความสุข

ผมขับรถไปที่คณะวิศวะฯ แทนที่จะกลับคอนโด เพราะตอนกินข้าวเช้าได้ยินไอ้กัสกับไอ้เคลมคุยกันว่าวันนี้มีแล็บ น่าจะเลิกบ่ายสามหรือบ่ายสี่ ดังนั้นคนที่ผมตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่าจะคอยตามดูเพื่อให้รู้ว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ และต้องการอะไรจากผมก็คงจะเลิกเรียนพอๆ กัน

รออยู่ในรถพักหนึ่ง เพราะผมจอดรถไว้ในบริเวณที่สามารถมองเห็นด้านหน้าของตึกได้อย่างชัดเจน ฉะนั้นถ้าไนล์ออกมาผมก็ต้องเห็นอย่างแน่นอน ทว่าสี่โมงกว่าแล้วผมก็ยังไม่เห็นคนที่รออยู่ สุดท้ายแทนที่จะนั่งรอเฉยๆ ผมก็ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ

ผมกดโทรออกไปยังเบอร์โทรศัพท์ของไนล์และฟังสัญญาณรอสาย ทว่ามันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ เพราะแทนที่จะมีเสียงตอบกลับมาเพื่อให้ผมรอการรับสายจากคนที่โทรหา กลับกลายเป็นเสียงฝากข้อความของโอเปอร์เรเตอร์ เหมือนว่าเขาไม่ได้เปิดโทรศัพท์เอาไว้หรือว่าแบตหมดอย่างไรอย่างนั้น

“หรือยังไม่เลิกแล็บ ถึงปิดโทรศัพท์”

ตั้งคำถามกับตัวเองแบบนั้นแล้วผมก็ยอมอดทนต่ออีกสักพัก การรอคอยใครสักคนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผม เพราะผมค่อนข้างเป็นคนใจเย็น หากเป็นไฮยีนหรือไอ้เคลม ป่านนี้มันคงกดโทรศัพท์จนจอยุบหรือไม่ก็กลับไปแล้ว แต่ใช่ว่าความอดทนของคนใจเย็นจะไม่มีขีดสิ้นสุด

รอต่อไปได้อีกสักพัก ผมก็โทรศัพท์กลับไปที่เบอร์เดิมอีกครั้ง ทว่าก็ยังได้รับคำตอบเช่นเดิม คราวนี้ผมจึงไม่รออีก ผมขับรถออกมาจากที่นั่นและตรงไปยังแมนชั่นของไนล์แทน แต่ใช่ว่าไปแล้วจะได้ผลอย่างที่หวัง เพราะขึ้นไปถึงห้องที่ผมเริ่มคุ้นเคย กลับไม่มีเงาของคนที่ผมตามหาอยู่ ในห้องของไนล์มีแต่ความเงียบและความว่างเปล่าเหมือนเดิม แต่สิ่งที่แปลกไปที่ผมจดจำได้ คือ รูปวาดที่ไนล์วาดเสร็จเมื่อคืนไม่อยู่ในตำแหน่งเดิมของมันแล้ว นั่นทำให้ผมพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ผมถูกปั่นหัวอีกเหมือนเคย

ประตูห้องถูกผมปิดลงหลังจากเปิดมันอย่างถือวิสาสะโดยใช้กุญแจสำรองที่ได้รับมา ทว่าหลังจากปิดมันลงแล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นตัวได้เล็กน้อยเพราะคิดว่าเจ้าของห้องน่าจะเป็นคนโทรเข้ามา แต่เมื่อหยิบเครื่องที่กำลังร้องอยู่ขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่คนที่ผมคิดว่าใช่

“ว่าไงวะมึง”

คนที่โทรมาเป็นไอ้เคลมครับ ถึงจะไม่ถาม ผมก็พอจะเดาได้ว่ามันโทรมาทำไม เหตุผลมีไม่กี่อย่าง และมันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ

[คืนนี้ออกมาแดกเหล้ากัน มึงไม่มาเที่ยวกับกูกับไอ้กัสนานแล้วนะ]

อย่างที่บอกครับ ผมสนิทกับไอ้ยีนมากกว่าไอ้กัสกับไอ้เคลม เพราะฉะนั้นพอไอ้ยีนออกมาเที่ยวกลางคืนไม่ได้ ผมก็เลยไม่ค่อยได้ออกมาด้วยเหมือนกัน ไอ้กัสกับไอ้เคลมที่เชี่ยวเรื่องท่องราตรีถึงต้องออกมาสองคนเสมอๆ แต่ถือว่าคืนนี้เพื่อนของผมโชคดี เพราะหากเป็นคืนอื่นผมอาจจะปฏิเสธ แต่คืนนี้ผมรู้สึกเซ็งๆ หน่อย ที่ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมจึงรับปากมันและขับรถไปยังจุดหมายที่ไอ้เคลมบอกไว้ทางโทรศัพท์


 











เสียงดนตรีที่ดังเป็นจังหวะเปลี่ยนให้ความสงบกลายเป็นความรื่นเริง ผมนั่งผงกหัวไปตามเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม มือจับแก้วและกรอกน้ำสีน้ำตาลเข้าปากเป็นระยะ ขณะที่ไอ้เคลมกำลังโอ้โลมสาวสวยที่มันสอยมาได้ก่อนหน้าผมมาครู่หนึ่ง ส่วนไอ้กัสก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ มันกวาดตาไปรอบเพราะยังหาเหยื่อที่ถูกใจไม่ได้

“นี่ถ้าไอ้ยีนมาด้วยได้ก็ดี”

อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่ได้มาเที่ยวกันครบแก๊งเหมือนเดิม เพราะถ้าไอ้ยีนอยู่ด้วยคงมันกว่านี้แน่นอน มันชอบหาอะไรเล่นกลางวง หรือไม่ก็ดวลเหล้ากับไอ้กัสเพื่อดูว่าใครแน่กว่า แล้วสุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนแบกมันกลับบ้านเพราะมันเล่นกินเหล้าแบบไม่บันยะบันยัง แม้แต่ไอ้กัสเองก็แทบสลบไปเหมือนกัน เหนื่อยทั้งผมทั้งไอ้เคลม

ถึงบางครั้งไอ้เคลมจะบ่นอุบ เพราะพอสองคนนั้นดวลกันทีไร แทนที่จะมันจะได้ไปบันเทิงเริงรมย์กับผู้หญิงกลับกลายต้องมาลากเพื่อนกลับบ้านแทน แต่มันก็เต็มใจจะดูแลไอ้กัสแหละครับ

“เออ นั่นดิ นี่กูไม่ได้ดวลเหล้ากับมันนานแล้ว”

“ดวลทีไรมึงก็แกล้งต่อให้ทุกที”

เป็นสิ่งที่ไฮยีนไม่รู้ครับ ไอ้เคลมก็ด้วยเหมือนกัน เป็นความจริงที่ผมกับไอ้กัสรู้กันสองคน ถึงไอ้ยีนจะคอแข็งอยู่บ้าง แต่ก็สู้ไอ้กัสไม่ได้ เพราะไอ้นี่มันคอหินของจริง แต่มันไม่อยากให้ไอ้ยีนเสียหน้าที่สู้มันไม่ได้สักที ถึงได้ยอมอ่อน แกล้งแพ้บางครั้ง พลอยให้ไอ้เคลมต้องรับกรรมตามไปด้วย เพราะไอ้กัสเป็นดาราเจ้าบทบาท แม้แต่แกล้งเมามันก็ยังทำได้เนียนแบบสุดๆ

“ถ้ากูไม่ยอมบ้าง คนที่เดือดร้อนก็คือมึงนะ”

“เออๆ กูรู้”

ไอ้กัสหัวเราะเสียงในคอเบาๆ ตามสไตล์คุณชายของมัน ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากอีกรอบ ตาก็กวาดมองไปทั่วๆ ก่อนจะหยุดลงที่จุดจุดหนึ่งแล้วเรียกผม

“นั่นมัน... ไนล์ ที่มึงรู้จักใช่ไหมวะ”

ถ้าไม่มีชื่อนั้นอยู่ในประโยค ผมอาจจะไม่ชะงักค้างอย่างที่เป็นอยู่ก็ได้ แต่เพราะมันเป็นชื่อของคนที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยจนออกมาดื่มกับเพื่อน ผมถึงได้รีบเบี่ยงหน้าไปทางที่ไอ้กัสบอกทันที และก็เป็นว่าเป็นอย่างที่เพื่อนผมว่าจริงๆ

ไนล์อยู่ตรงนั้น...

อยู่ข้างๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร

กำลังเต้นอยู่กับผู้หญิงคนนั้นที่วางมือสองข้างโอบคอมันเอาไว้อย่างแนบชิด

ผมรู้สึกรำคาญหัวใจของตัวเองแบบไม่มีสาเหตุในเสี้ยววินาทีที่เห็นภาพนั้น มันเหมือนถูกหมากฝรั่งเหนียวๆ ติดเอาไว้ ผมพยายามแกะก้อนขาวๆ นั้นออกแล้วแต่ว่ามันก็ไม่ยอมหลุดไปจนน่ารำคาญ ยิ่งเห็นว่าไนล์กำลังยิ้มให้กับผู้หญิงคนนั้น ผมก็ยิ่งรู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว

แก้วในมือของผมถูกจรดที่ปาก ก่อนน้ำที่อยู่ภายในจะถูกกรอกลงลำคอรวดเดียวจนหมด ผมมองภาพคนสองคนที่กำลังเต้นด้วยกันอย่างใกล้ชิดและดูมีความสุขแล้วก็คว้าขวดเหล้ามาเทของเหลวลงแก้วอีกครั้งตามด้วยกรอกมันเข้าปากอีกรอบ

“มึงรู้ได้ไงว่ากูรู้จัก”

ไม่อยากจะเห็นอีก และรู้ว่าไม่สามารถเลี่ยงบทสนทนากับไอ้กัสได้ ผมจึงเบี่ยงสายตาไปทางอื่นและเค้นเสียงถามกลับแทน ซึ่งไอ้กัสก็ตอบกลับมาสบายๆ

“ไอ้ยีนเคยถามว่ารู้จักไหม เห็นมันบอกว่ามึงรู้จัก”

“อ้อ”

ผมตอบกลับได้เพียงเท่านั้นเพราะคิดอะไรต่อไม่ออก น้ำสีอำพันยังคงถูกส่งเข้าคอเป็นระลอก พลางมองรอบๆ ร้านไปด้วยเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธจนไอ้กัสสงสัย เพราะมันเป็นคนฉลาด ช่างสังเกต ถึงปากมันจะไม่พูด ไม่ถาม แต่มันก็มักจะมองอะไรๆ ได้ทะลุปรุโปร่ง

แต่แม้จะบอกตัวเองว่าไม่ให้มองไปที่ผู้ชายคนนั้นบ่อยๆ ทว่าหลายครั้งที่ผมเหลือบไปทางนั้น ตอนนี้ไนล์กลับไปที่นั่งที่แล้ว รวมทั้งผู้หญิงคนนั้นด้วย เธอเกาะแขนไนล์ไม่ปล่อย ซบหน้าเข้ากับบ่าของคนที่ทำให้ผมใจไม่สงบ มือข้างหนึ่งส่งแก้วเหล้าให้กับเขา ซึ่งไนล์ก็รับมันไปดื่มอย่างไม่อิดออด อีกทั้งยังยิ้มให้กับเธอด้วยรอยยิ้มที่ดูพิเศษ มันไม่เหมือนรอยยิ้มที่เธอยิ้มให้พี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวอย่างที่ผมเคยเห็น

หรือผู้หญิงคนนี้จะเป็นแฟน?

เกิดคำถามในใจของผมอย่างห้ามไม่ได้ ผมผ่อนลมหายใจออกมาเพราะไม่รู้ว่าจะระบายแบบไหน ก่อนจะฉุดตัวลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ ราวกับคนเส้นกระตุก เพราะคนที่ผมลอบมองอยู่ลุกจากเบาะที่นั่งอยู่

“กูไปห้องน้ำ เดี๋ยวมา”

ผมบอกไอ้กัสไว้ก่อน มันจะได้ไม่งงที่อยู่ๆ ผมก็ลุกขึ้นเอาเสียดื้อๆ ไอ้เคลมที่แทบจะป้อนปากผู้หญิงข้างๆ เหลือบมามองผมนิดหน่อย ผมจึงสะบัดมือให้มันนิดๆ บอกให้รู้ว่ามึงจะทำอะไรก็ทำเหอะ แล้วจึงเดินออกจากโต๊ะมา ตรงไปยังสถานที่ที่ผมตั้งใจว่าจะไป

ไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำอย่างที่บอกเพื่อนไปหรอกครับ แต่ผมเห็นว่าไนล์เดินมาทางนั้นจึงเผลอแสดงพฤติกรรมแปลกๆ จนต้องแก้สถานการณ์แบบนี้อย่างช่วยไม่ได้ ผมสาวเท้าไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมาย พลางกวาดตาไปรอบๆ ห้องน้ำด้วยเพื่อมองหาคนที่เดินนำมาก่อน

“ไม่คิดว่าจะเจอนายที่นี่”

ไนล์เห็นผมก่อน เสียงของเขาถึงดังขึ้นให้ผมรู้สึกตัว เขาพลิกตัวกลับมาจากโถฉี่ก่อนจะเดินไปล้างมือที่อ่างและมองผมผ่านเงาสะท้อนของกระจกด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ตกใจสักนิดที่เจอกันที่นี่ ทั้งที่มันไม่ใช่ร้านเดียวกับที่ผมกับเขาเคยเจอกันก่อนหน้านี้

บางทีเรื่องบังเอิญก็เกิดขึ้นง่ายเกินไปจนน่าเหลือเชื่อ

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”

ผมพยายามห้ามตัวเองที่จะไม่ขยับเท้าเดินเข้าไปใกล้เขา และเลือกสบตาเขาผ่านทางกระจกเงาที่สะท้อนภาพของเราสองคน เพื่อให้เหมือนกับว่าผมเฉยชาต่อการสนทนากับเขาเหมือนที่เขาทำกับผม ดีที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนมาเข้าห้องน้ำ ผมจึงไม่ต้องระวังในการคุยกับเขานัก เพราะคนอื่นพอจัดการธุระเสร็จก็ออกไป

“แบตหมด”

ไนล์ยังตอบกลับมาเสียงเรียบเหมือนทุกที สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาได้ ที่เหมือนผมจะเป็นเดือดเป็นร้อนอยู่คนเดียวกับการที่ติดต่อเขาไม่ได้ จากที่คิดว่าจะไม่ยอมก้าวเท้าเข้าไปใกล้อาณาเขตของไนล์เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกผู้ชายคนนี้ดึงดูดและเสียการควบคุมเหมือนกับทุกครั้ง สุดท้ายความคิดของผมก็ต้องพังไม่เป็นท่า

ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เขาจนเรายืนอยู่ข้างกันหน้ากระจกบานใหญ่ ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ยอมหันไปทางเขา เรายังสบตากันผ่านเงาสะท้อน

“รู้ไหมว่าฉันโทรหานายกี่รอบ”

“แล้วโทรทำไม”

เขาพลิกตัวหันมาเผชิญหน้ากับผม ทำให้ผมต้องหันไปทางเขาด้วยเช่นกัน เราสบตากันโดยตรง ดวงตาสีดำของเขามองผมด้วยความว่างเปล่าเหมือนคนไร้ชีวิตไม่ต่างจากทุกที เห็นแบบนั้นแล้วผมก็รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตตรงหัวใจ เพราะเผลอนึกถึงสีหน้าและแววตาของไนล์ตอนมองผู้หญิงคนที่ผมเห็นว่าเพิ่งอยู่กับเขาหมาดๆ ยิ่งรวมกับคำถามนี้ก็ทำให้ผมเก็บอารมณ์ต่อไปไม่ไหว

ทำไมต้องเป็นผมที่เขามองด้วยสายตาแบบนี้

มองเหมือนกับผมไม่มีค่าหรือความสำคัญอะไรเลย ขณะที่เขามองคนอื่นด้วยแววตาที่แตกต่างออกไป

“นายเป็นคนบอกให้ฉันไล่ตามจับนาย”

“อย่างนั้นก็ไล่จับต่อไปสิ”

ราวกับไม่แยแสสักนิดที่ปั่นหัวผมจนเหมือนคนบ้า ไนล์สาวเท้าผ่านตัวผมโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและแววตาแม้แต่น้อย ผมจึงคว้าแขนของเขาเอาไว้เสียก่อนที่เขาจะเดินห่างไปมากกว่านี้ เจ้าของร่างผอมนั้นจึงหันกลับมามองผมอีกรอบ

“นายห้ามไม่ให้ฉันยุ่งกับพี่ดาหลา แต่นายกลับมาเที่ยวกับผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ คิดว่ามันแฟร์เหรอ”

รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สมควรพูดออกมาเลยสักนิด แต่ผมก็ทวงถามความยุติธรรมสำหรับตัวเองอย่างที่เคยทำเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมพยายามจดจ้องเข้าไปในตาเรียวคู่นั้นเพื่อจับสังเกตว่ามันมีแววตาอะไรสะท้อนออกมาเป็นพิเศษแต่ผมไม่ทันมองเห็นหรือเปล่า แต่มันก็เป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ

“อย่าพูดเหมือนกำลังหึงแบบนั้นสิ”

เสียงไนล์ย้อนกลับมาเรียบๆ แต่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนธูปจี้จนแทบสะดุ้ง เขายื่นหน้าเข้าหาผมหน่อยๆ คล้ายกับจะค้นหาอะไรบางอย่างในใจของผมผ่านทางแววตา เหมือนกับที่ผมทำ แต่ผมมั่นใจเลยว่าผมไม่สามารถมองตอบเขากลับโดยไม่มีแววสะท้อนอะไรได้ เพราะผมรู้สึกว่าแววตาของผมกำลังสั่นไหวจนอยากจะหลบสายตาของเขา

“ฉัน... ไม่ได้หึง แต่มันไม่แฟร์ ทั้งที่นายห้ามฉัน แต่นายกลับทำ มันสมควรแล้วเหรอ นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือไงว่านายสนใจฉัน”

“แต่ตอนนี้คนที่สนใจ คือ นายมากกว่าฉัน ไม่ใช่หรือไง”

ราวกับท้าทายให้ผมปฏิเสธ เล่นเอาผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เพราะไม่สามารถปฏิเสธออกมาได้ว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ที่ผมเอาแต่สนใจว่าเขาคิดอะไร เขาจะทำอะไรจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ก็ได้ ฉันสนใจนาย นายปั่นหัวฉัน จนฉันทำอะไรไม่ได้ เพราะเอาแต่สนใจนายและอยากรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ นายเองก็รู้ แล้วทำไมจะต้องทำให้ฉันเอาแต่นึกถึงนายเหมือนคนบ้า”

เมื่อไม่สามารถแก้ตัวโดยใช้เหตุผลอะไรได้ ผมก็สารภาพไปตามตรง และมองเขาด้วยความจริงจังพลางคาดหวังว่าเขาจะเห็นแก่คำสารภาพของผมแล้วยอมบอกอะไรออกมาบ้าง ทว่าเขากลับไม่ปรับเปลี่ยนสีหน้าที่ซีดจางนั้นเลย อีกทั้งยังย้อนกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ”

“ไนล์!”

“ฉันบอกแล้วไงว่าให้คิดถึงฉันให้มากๆ”

ผมไม่ได้ตาฝาด แต่ว่าไนล์กำลังยิ้ม มุมปากของเขายกสูงขึ้นกว่าปกตินิดหน่อย แค่เพียงน้อยนิดแต่มันก็ชัดเจนจนผมเห็นได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่ามันเป็นความจริงหรือความฝัน แววตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยผิดจากทุกครั้งที่มันไม่มีแววใดๆ ก่อนมือผอมจะวางบนมือของผมที่จับแขนของเขาเอาไว้แล้วดึงมือของผมออก

“เพราะฉันชอบแบบนั้น”

ไนล์ย้ำมาอีกประโยค ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไปขณะที่ลูกค้าคนอื่นเข้ามาทำธุระส่วนตัว ผิดกับผมที่ยืนตัวชาอยู่ที่เดิม ก้อนเนื้อใต้อกเร่งจังหวะขึ้นมาราวกับรัวกลอง มันกระหน่ำและกึกก้องจนสะท้อนไปทั่วทั้งอก ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองตามร่างผอมบางที่เดินห่างไปเรื่อยๆ จนประตูปิดลง







อ่านต่อข้างล่าง


v


v


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2014 22:42:30 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน


v



v


เสียงสบถของผมดังก้องในใจเมื่อรู้ตัวว่าพลาดท่าให้กับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว พลางก้าวขายาวๆ เพื่อออกจากห้องน้ำ ผมตรงไปยังโต๊ะที่มีไอ้กัสกับไอ้เคลมอยู่ ทว่าขณะเดียวกันก็เหลือบมองทางโต๊ะที่เห็นไนล์ก่อนหน้านี้ด้วย แต่ว่าผมไม่เจอเขาแล้ว เขากำลังเดินออกจากร้านไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น ผมจึงรีบสาวเท้าไปหาเพื่อนรักให้เร็วขึ้น

“กูกลับก่อน”

บอกมันแล้วผมก็หยิบแบงก์พันออกมาวางบนโต๊ะสองใบ แล้วจึงก้าวออกมาจากตำแหน่งนั้นทันที ไม่สนใจอีกแล้วว่าไอ้กัสจะงงหรือไอ้เคลมจะมองผมด้วยหน้าเหวอๆ มากแค่ไหน เพียงแต่คิดว่าจะออกจากร้านไปให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้คลาดสายตาจากคนที่ออกมาจากห้องน้ำก่อนผม

ออกมานอกร้านแล้ว คนที่เป็นเป้าสายตาของผมก็ไปหยุดอยู่ที่รถคันหนึ่ง เขาส่งผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถ กระทั่งรถสีขาวแล่นออกจากลานจอดรถไป ร่างที่ผมรู้สึกว่ามันซีดจางก็ค่อยๆ เดินจากจุดเดิม ผมจึงรีบไปที่รถของตัวเองทันที แล้วขับรถตามหลังเขาไปอย่างช้าๆ พลางรอดูว่าไนล์จะทำอะไรต่อไป

กายโปร่งบางเดินเลียบฟุตปาธไปเรื่อยๆ เหมือนคนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ก่อนจะหยุดลงที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ผมจึงไปหยุดรถตรงนั้นและเลื่อนกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับลงเพื่อให้คนที่ผมตั้งใจให้เขาเห็นสังเกตได้ง่ายๆ ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่ผมต้องการ ไนล์ทอดสายตาเข้ามาในรถของผม ผมจึงพยักหน้าเบาๆ และขยับปากโดยไร้เสียงให้เขารู้ว่าผมต้องการอะไร

ไม่ต้องให้ผมรอนานจนโดนรถเมล์ที่ต้องเข้าป้ายมาบีบแตรไล่ ไนล์ก็ขึ้นมานั่งบนรถของผม รถของผมเคลื่อนที่ไปตามทางกลับแมนชั่นของไนล์อย่างไม่รีบร้อน เพราะผมมีเรื่องที่ยังอยากพูดกับเขาอยู่ เสียงของผมจึงดังขัดความเงียบที่ไนล์สร้างขึ้นมาโดยการทิ้งสายตาออกไปทางกระจกหน้าต่างของรถ

“ไม่กลับไปกับผู้หญิงคนนั้นล่ะ”

ทั้งที่ผมต้องเรียบเรียงความคิดและพยายามปั้นสีหน้าและน้ำเสียงให้ดูเหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจ แค่ถามไปตามมารยาท ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบเฉย ไนล์ไม่ตอบคำถามของผม สร้างความกดดันให้ผมต้องหายใจติดขัดไปชั่วครู่

“ทำไมถึงอยากรู้”

ผมสะดุดลมหายใจของตัวเองไปจังหวะหนึ่งที่ราวกับถูกตอกกลับมาจนพูดไม่ออก ตาของผมกลิ้งไปมาอยู่ในกระบอกตา สมองพลันคิดถึงเหตุผลต่างๆ นานาที่ผมสามารถยกมาอ้างได้ เพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่าผมอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขามากจนเกินไป แม้ว่าผมจะสารภาพออกไปอย่างเต็มปากแล้วว่าเขาทำให้ผมอยากรู้เรื่องของเขามากแค่ไหนก็ตาม

“แล้วทำไมนายต้องทำตัวให้เป็นปริศนานัก”

“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้”

คำตอบของเขาดูไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย ผมใช้ตัวเองยืนยันได้เลยว่าเขาจงใจทำตัวลึกลับให้ผมสงสัย ใคร่รู้ จนผมสลัดเรื่องของเขาออกไปจากหัวไม่ได้ ผมหักพวงมาลัยและนำรถจอดลงข้างทางก่อนจะหันไปพูดคุยกับเขาอย่างจริงจัง จับจ้องใบหน้าของเขาที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งที่สิ้น พลางปรักปรำเขาด้วยความรู้สึกนึกคิดของผม

“นายจงใจ”

ไนล์เบือนหน้าจากที่มองออกไปนอกหน้าต่างมามองผมแทน นัยน์ตาของเขาไม่มีแววหลุกหลิกแต่อย่างใด กลับสะท้อนภาพของผมกลับมาราวกับไม่สะทกสะท้านกับคำกล่าวหาของผม

“ทำไมถึงบอกว่าฉันจงใจ”

“ก็ทั้งที่เวลาอยู่กับคนอื่น นายออกจะร่าเริง ยิ้มแย้ม กับผู้หญิงเมื่อกี้ก็ด้วยเหมือนกัน แต่เวลาอยู่ต่อหน้าฉัน นายกลับชืดชา ทำเหมือนคนไม่มีชีวิต ไม่มีแรง เหมือน... เหมือนวิญญาณลอยไปลอยมา”

ไม่อยากจะเปรียบเปรยแบบนี้ แต่ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะสาธยายเขาด้วยคำพูดแบบไหนถึงจะเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด แต่ดูเหมือนไนล์จะไม่แยแสเช่นเดียวกันที่ผมมองว่าเขาเหมือนผี เขายังจ้องหน้าผมโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย สายตาว่างเปล่านั้นยังคงมีความหมายที่ผมอ่านไม่ออกซ่อนเร้นเอาไว้

“มันไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนกันยังไง ฉันไม่เข้าใจสักนิด นายทำกับฉันเหมือนที่นายเป็นกับคนอื่นไม่ได้เหรอ ทำไมนายต้องทำให้ฉันสับสนเพราะนาย เวลาอยู่กับนายฉันคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะทำตัวแบบไหน หรือนายคิดอะไรอยู่”

“ก็ทำตัวตามปกติ”

“ปกติ? พูดออกมาได้ นายยังไม่ปกติกับฉัน”

แม้แต่ตอนนี้ผมยังรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ต่างจากลูกข่างที่ถูกไนล์ปั่นเล่นอย่างสนุกเสียด้วยซ้ำ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วของผมขมวดเข้าหากันมากแค่ไหนตนที่ถามเขากลับไปแบบนั้น แต่ไนล์ก็ยังไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับท่าทีของผมที่จริงจังขึ้นเรื่อยๆ เขาแค่เลื่อนมือมาด้านหน้า กำมือไว้หลวมๆ เหลือเพียงนิ้วชี้ที่ยื่นออกมาและจิ้มเบาๆ ตรงระหว่างคิ้วของผมที่แทบจะมัดแน่นกันเป็นปม ราวกับจะช่วยคลายมันออก แล้วจึงค่อยละมือลง

“ฉันปกติกับนายที่สุดแล้ว”

“นายจะบอกว่าที่นายพูดคุย หยอกล้อ หรือยิ้มให้ใครต่อใคร แม้แต่กับผู้หญิงที่ฉันเจอคืนนี้ มันไม่ปกติหรือไง”

“...”

คลื่นของความเงียบโถมเข้ามาระหว่างเราอย่างฉับพลันหลังจากสิ้นเสียงของผม ไนล์ไม่ตอบ เขาหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนตาเรียวสีดำขึ้นมองผมอีกรอบ มองราวกับจะตอบผมทางสายตา ผมจึงพยายามสบตาของเขากลับเพื่อให้รู้ว่าผมต้องการคำตอบนี้มากแค่ไหน

ผมอยากรู้... อยากรู้จริงๆ

“เวลาอยู่กับนาย................ฉันเป็นตัวของฉันที่สุดแล้ว”

กินเวลาอยู่นาน กว่าเสียงของไนล์จะหลุดออกมาอย่างราบเรียบ ทว่าประโยคที่เขาตอบมามันทำให้ผมรู้สึกหวิวๆ ในอกยังไงชอบกล ผมมองหน้าไนล์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ไม่ต่างจากคนที่คิดว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินอะไรแบบนี้ แต่ไนล์ก็ไม่ได้แก้ไขคำพูดใหม่ ให้ผมเข้าใจว่าเมื่อครู่เขาโกหก เขามองตาผมด้วยความว่างเปล่า ขณะที่ริมฝีปากสีพีชค่อยๆ ขยับอีกครั้งอย่างเชื่องช้า

“ถ้าฉันยิ้ม......... มันก็คือรอยยิ้มจากฉันจริงๆ”

ระยะห่างของแต่ละคำที่ถูกเรียบเรียงออกมา ราวกับช่วงเวลาที่ตอกย้ำให้ผมรู้ว่ามันเป็นความจริงมากแค่ไหน ยิ่งประกอบกับแววตาของไนล์ที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนความดำมืดเป็นประกายของความหมายบางอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก ดั่งจะย้ำหนักให้ผมเชื่อว่าเขากำลังบอกถึงสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งของความรู้สึกที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ และเขาอยากให้ผมได้รู้จริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้ใจของผมสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะประโยคต่อมาที่ราวกับว่าเขากำลังขอร้องผม

“เพราะงั้นอย่าขอให้ฉันทำกับนายเหมือนเวลาฉันอยู่ต่อหน้าคนอื่น”

เหมือนเขากำลังบอกว่า... มองตัวตนของฉันสิ ไม่ใช่ใครที่ฉันปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกลวง

ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และมันก็ทำให้ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ผมดึงมือของไนล์ที่วางอยู่บนตักมากุมและบีบมันเบาๆ ขณะที่ยังไม่ละสายตาจากเขา ซึ่งไนล์เองก็มองตอบผมเช่นเดียวกัน ใบหน้าของเขาไม่ได้ปรากฏรอยยิ้ม ไม่มีแววของอะไรเป็นพิเศษ แต่สายตาของเขาในเวลานี้มันบอกให้ผมรู้ว่าเขากำลังดีใจที่ผมเข้าใจเขามากขึ้น แม้จะแค่น้อยนิดก็ตาม







================
กลับมาอัพแล้วค่ะ หายไปนานมาก
ต้องขอโทษคนที่ยังรออ่านเรื่องนี้ด้วยนะคะ
กว่าจะเสร็จภารกิจ แถมยังคอมเจ๊งเอย คนเจ๊งเอย

ตอนนี้เหมือนเฉลยเกี่ยวกับไนล์มาอีกนิดนึงแล้วหรือเปล่า  :really2:

Undel2sky


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2014 02:24:54 โดย undersky »

ออฟไลน์ Cappello

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
เยสสส!!!
หายไปนานมากเบยยยยยยย
กลับมาแล้ว ดีใจๆ
มาต่อตอนต่อไปเร็วๆนะก๊าบบ
รออยู่ๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เราชอบกราฟนะคะ แต่ไนล์นี่ยังไง...



ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ลึกลับซับซ้อนจริงๆ หนูไนล์

ออฟไลน์ killerofcao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
นิยายเรื่องนี้ออกแนวงงๆ

ออฟไลน์ michiri.sama

  • ลูกเป็ดที่หมกมุ่นในโลกสีม่วง (´∀`)♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เราชอบคาแรกเตอร์ไนล์นะ
คนที่เราไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
แต่รู้สึกดูมีเสน่ห์และน่าค้นหาอะ

แต่ถ้าได้เจอคนแบบนี้กับตัวเองคงว้าวุ่นหัวปั่นพิลึกล่ะเนอะ ฮะๆๆ

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
เหมือนเริ่มจะเข้าใจว่าเพราะเป็นกราฟไนล์ถึงแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้เต็มที่
แม้ความเป็นตัวเองของไนล์จะทำให้กราฟสับสน คาดเดาความต้องการอะไรไม่ถูกก็เถอะ
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยอมทำอะไรที่ขัดกับการเป็นตัวเองต่อหน้าคนอื่นด้วยละ
ในเมื่อปกติไนล์ก็ไม่สน ไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว ตกลงผู้หญิงพวกนั้นเป็นใครกันนะ
ยังไงก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ไนล์กำลังทำอยู่ดีอะค่ะ
รอติดตาม และบวก บวก เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนมาต่อเร็ว ๆ นะคะ  :pig4: :L2:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
แบบไนล์นี่น่าสงสัยจนปวดหัว
สงสารกราฟ ถูกปั่นหัวจนถอนตัวไม่ขึ้น
ถ้าเป็นเราคงโมโหมากในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไนล์พยายามทำ แต่พฤติกรรมแบบนี้กลับดึงดูดกราฟได้อย่างไ่ม่น่าเชื่อ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ `ลoงสิจ๊ะ™

  • รักคือรัก จะให้หักห้ามใจนั้นยาก
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ไยอ่า ตัวตนไนล์เป็นอย่างนี้เหรอ
ลึกลับอ่า O O

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ณ ที่เดิม™

  • มากกว่าชีวิต...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เป็นการนั่งอ่านแบบอึนๆพอสมควร  :hao7:
รอดูตอนต่อไปละกันฮะ  :katai5:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด












เป็นปกติอยู่แล้วที่ผมจะแวะเข้าไปหาไฮยีนที่บ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะฉะนั้นการที่ผมเดินเข้าบ้านมา ไม่ต้องมารอคอยให้ใครมาต้อนรับจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เพราะการทำตัวเสมือนสมาชิกในบ้านทำให้วันนี้ผมต้องตาค้างไปหลายวินาทีเมื่อเปิดประตูห้องนอนของเพื่อนรักเข้าไป

ไอ้ยีนอยู่ใต้ร่างของพี่ภู แต่ที่สำคัญคือสองคนนั้นกำลังจูบกันนัวเนียอยู่บนเตียง มือพี่ภูเลื้อยไปบนร่างของเพื่อนผมขณะที่สอดอยู่ใต้เสื้อยืดของมัน ผมตะลึงงันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะโพล่งเสียงออกมาอย่างลืมตัว

“ไอ้ยีน!”

นั่นทำให้อีกสองคนที่ถูกผมเข้ามาเห็นฉากเด็ดเข้ารู้ตัว และผมก็รู้ตัวเช่นเดียวกันว่าดันเผลอทำเรื่องที่ไม่น่าทำเข้าเสียแล้ว จึงต้องรีบวิ่งออกมาจากห้องเพื่อจะได้ไม่เป็นก้างขวางคอของรุ่นพี่ที่รู้จักกันมาหลายปีกับเพื่อนรัก

“ไอ้กราฟ เดี๋ยว ฟังกูก่อน!”

ทว่าไอ้ยีนกลับไม่คิดแบบนั้น มันดันตามผมออกมาด้วย มิหนำซ้ำยังดึงแขนของผมเอาไว้ กระชากแบบสุดแรงให้ผมเลิกวิ่ง ผมจึงต้องยอมหยุดแต่โดยดี

“มันไม่ใช่อย่างที่มึงเข้าใจ”

เพียงแค่ได้เห็นสีหน้าเสียๆ ที่ลนลาน รวมกับประโยคเมื่อครู่ของมัน ผมก็รู้แล้วว่ามันคิดว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหน แต่ว่าไม่ใช่หรอกครับ มันต่างหากที่กำลังคิดผิด ผิดโดยสิ้นเชิง ผมจึงถามมันกลับด้วยเสียงเรียบๆ และท่าทางใจเย็น เพื่อมันจะได้สงบลงเช่นกัน

“แล้วมึงเข้าใจว่ายังไง”

ยีนปล่อยมือที่จับผมออก เพราะคงรู้แล้วว่าผมจะไม่หนี แต่มันก็ไม่มีคำตอบให้ผม คงรู้ตัวแล้วว่ามันเข้าใจผิดว่าผมจะเสียใจ หรือเจ็บปวดอะไรเทือกนั้น เพราะคำสัญญาของเรา ผมจึงต้องย้ำให้ชัดเจนขึ้นอีกว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอย่างไร

“ทำไมถึงไม่บอกกูเนี่ยว่ามึงกิ๊กกะพี่ภูแล้ว กูเข้าไปขัดจังหวะพวกมึงเลยเห็นไหมเนี่ย”

“เฮ้ย กูเปล่านะเว้ย”

มันรีบตอบลิ้นรัวเลยครับ หน้าตาเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก เห็นแล้วก็ขำอยู่ในใจหน่อยๆ เพราะท่าทางแบบนี้มีให้เห็นไม่ได้บ่อย อย่างที่รู้ๆ กันว่าไอ้ยีนเป็นพวกที่มีความมั่นใจค่อนข้างสูง ไม่ค่อยเสียเซลฟ์เท่าไร แล้วยิ่งผมตอกย้ำมันเข้าไปอีกว่า ‘แล้วมึงเล่นจูบจนลิ้นพันกันแบบนี้ จะให้กูคิดยังไง’ มันก็ยิ่งทำหน้าไม่ถูก แล้วก็หน้าแดงขึ้นมาเลย

เพื่อนผมถึงปกติจะดูหล่อ แต่เวลาน่ารัก มันก็น่ารักจริงๆ นะครับ มิน่าพี่ภูถึงได้ชอบมัน

“สรุปมึงกับพี่ภูนี่เอายังไง”

เพราะเห็นวันก่อนมันยังบ่นรำคาญอย่างนั้นอย่างนี้ พยายามจะเลี่ยงหนีอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าเพื่อนของผมจะคล้อยตามเขาไปเสียแล้ว ผมจึงอดถามไม่ได้ เพราะถ้ามันชัดเจน หรือไอ้ยีนตัดสินใจได้ ผมก็จะได้เบาใจ ที่มันจะได้มีความสุขอย่างที่มันสมควรมีสักที ไม่ต้องมีชีวิตที่ผูกติดกับผมเพราะคำสัญญานั่น

ถึงผมมีชีวิตต่อมาจนถึงทุกวันนี้เพราะคำสัญญาของมันก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องปล่อยมันไป ผมก็ควรจะปล่อย ผมไม่คิดจะรั้งมันให้จมอยู่กับความผิดในอดีตของผมตลอดทั้งชีวิต ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกับมันด้วยซ้ำ

“......พี่ชมพูบอกว่าชอบกู”

คำตอบของมันไม่ทำให้ผมแปลกใจ เพราะเรื่องนี้ผมกับเพื่อนๆ รู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่อยากรู้ชัดๆ คือความรู้สึกของไอ้ยีนต่างหาก แต่หลังจากผมถามมันกลับไป มันกลับปฏิเสธ ผมจึงต้องสวนมันเหมือนกับจะเค้นเอาความจริง

“ไม่ได้ชอบ แต่มึงก็ให้เขาจูบเขาล้วงมึงอะนะ”

“เหี้ย คำพูดมึงอุบาทว์มาก”

“แล้วกูพูดไม่จริงหรือไง”

มันพูดไม่ออกเลยครับ ได้แต่อ้าปากค้างแล้วก็หุบลงอยู่สองสามครั้ง หน้าตาดูอึ้งๆ หน่อยพลางแก้ตัว

“กูไม่รู้ว่ะ มันก็... กูพูดไม่ถูก”

ถึงกระนั้นผมก็พอจะคาดเดาได้ว่าจริงๆ แล้วตอนนี้ไอ้ยีนรู้สึกยังไงกับพี่ภูกันแน่ เพื่อนผม คบกันมาตั้งหกปี ทำไมผมจะมองมันไม่ออก ผมจึงจ้องตามันเขม็งและตอบโต้มันไปอีกหลายประโยค แต่มันก็ยังไม่ยอมยอมรับความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี เหมือนว่ามันยังลังเล ไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเอง ทั้งที่ผมมองก็รู้ว่าความรู้สึกของมันชัดเจนแค่ไหน เพียงแค่มันกลัว... กลัวที่จะยอมรับว่ามันชอบพี่ภู

“ยีน เรื่องความรักมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย”

ผมพูดกับมันจริงจังมากว่าเก่า จ้องเข้าไปในตาของมัน ให้รู้ว่าผมต้องการให้มันบอกออกมาตามตรง อย่างที่ผมเคยให้มันเป็นที่ปรึกษาของผมในหลายๆ เรื่อง อย่างที่ผมไว้ใจและรักมันจนเปิดเผยตัวตนทั้งหมด ทั้งด้านที่อ่อนล้า อ่อนแอ หรือแม้แต่ตอนที่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนที่กำลังจะตาย ผมที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เพราะสูญเสียความรักไป ผมไม่อยากให้มันต้องเป็นแบบเดียวกัน

อยากจะอยู่กับสิ่งที่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว...

อย่าให้มันสายเกินไป

ดูเหมือนว่าไอ้ยีนจะอ่านสายตาของผมออก มันถึงได้เปล่งเสียงออกมาแผ่วๆ เจือด้วยความวิตกกังวลและสับสนอยู่หน่อยๆ

“กูรู้ แต่กู...ยังไม่แน่ใจ เขาเป็นผู้ชายเหมือนกูนะเว้ย”

“งั้นถ้ากูทำแบบนี้”

ผมหยุดเสียงของตัวเองไว้แค่นั้นก่อนจะผลักไฮยีนจนหลังมันกระแทกกับผนัง จากนั้นบดปากลงไปบนปากของมันเต็มแรง เม้มคลึงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะหากบอกว่าผมกับมันไม่เคยจูบกัน ก็คงจะไม่ใช่ ผมกับมันเคยจูบกันมาแล้ว แต่จะเรียกว่าจูบ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้หรือเปล่า เพราะเราเพียงแค่แตะปากกันเฉยๆ ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่ผมกำลังทำอยู่ ทว่าดูเหมือนจะจังหวะไม่ดีเอาเสียเลย เพราะอยู่ๆ ประตูห้องนอนของไอ้ยีนก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ถูกทิ้งเอาไว้ภายในก้าวออกมา

พี่ภูมองมาทางพวกผมด้วยความตกใจ เขาเบิกตากว้างขึ้น ขณะที่สายตาของเขาที่ผมได้เห็นนั้นเต็มไปด้วยแววของความเจ็บปวด ก่อนจะรีบสาวเท้ายาวๆ ลงไปชั้นล่าง ซึ่งไอ้ยีนก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผม และคงจะชัดเจนยิ่งกว่า อีกทั้งคงทำให้มันรู้สึกเจ็บในอกตามด้วย มันถึงได้ผลักผมเสียแรงจนแทบกระเด็น ทว่าผมก็ยังปั้นหน้านิ่งเฉยและถามมันราวกับไม่รู้สึกอะไร

“พี่ภูเห็นซะแล้วว่ะ”

“มึงจะพูดให้ได้อะไร”

สีหน้าของไอ้ยีนตอนนี้ไม่ดีเลยครับ แต่มันกำลังพยายามทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แล้วทำเป็นหงุดหงิดใส่ผม แต่พอผมถาม ‘แล้วมึงรู้สึกยังไง’ มันก็ตวัดเสียงใส่

“รู้สึกเหี้ยอะไร”

“ที่กูจูบมึงไง”

“ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นแหละเว้ย”

ทั้งที่มันปฎิเสธ แต่ผมรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังยอมรับ จริงๆ เพื่อนของผมคนนี้ก็ไม่ได้อ่านยากเลย ผมจึงย้อนเสียงกวนๆ มันกลับไป เผื่อว่ามันจะสะกิดใจและรู้ใจตัวเองขึ้นมาบ้าง

“หรือต้องให้กูใช้ลิ้นด้วย เผื่อมึงจะเคลิ้มเหมือนพี่ภูมั่ง”

มันด่าผม ‘สัตว์’ แถมยังยกตีนขึ้นมาถีบอีก ผมจึงกระเด้งตัวหนี แต่ก็ยิ้มกวนมันไปด้วย ก่อนจะยกแขนขึ้นพาดคอมันแล้วลากให้มันเดินลงไปชั้นล่างด้วยกัน เพราะคิดว่าพี่ภูคงจะกลับไปแล้ว คงไม่อยากอยู่รอดูภาพอะไรที่มัตำตาอีก ถึงเขาจะรู้ว่าผมเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของไอ้ยีนก็ตาม

“กูว่ามึงต้องหาตัวช่วยแล้วว่ะ ถ้ามึงยังดันทุรังแบบนี้”













พาไอ้ยีนไปที่คอนโดไอ้กัสแล้วเรียกไอ้เคลมมารวมพลและสุมหัวหาทางแก้ ก็สรุปได้ว่าจะทำตามแผนการพิสูจน์ของไอ้กัส ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะทำอะไร แต่ถ้าเป็นไอ้กัสล่ะก็ ผมเชื่อว่าแผนการนี้จะลุล่วงไปด้วยดี ความรู้สึกของไอ้ยีนที่มีต่อพี่ภูจะได้ชัดเจนเสียทีว่ามันชอบหรือไม่ชอบกันแน่ ถึงผม ไอ้กัส ไอ้เคลม จะลงคะแนนกันสามเสียงว่ามันชอบพี่ภูไปแล้วก็ตาม

หลังจากแยกย้ายกันไป วันต่อมาผมก็กลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง นั่นก็คือการค้นหาความจริงเกี่ยวกับตัวไนล์ ผมเอาแล็บท็อปและกีตาร์จากคอนโดของผมไปที่แมนชั่นของไนล์ เพราะเท่าที่จำได้ ห้องของไนล์ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกหรือสิ่งบันเทิงที่ผมจะใช้ฆ่าเวลาไปได้เลยหากผมอยู่ที่นั่น

เมื่อไปถึง ผมก็เห็นว่าไนล์นั่งจมอยู่กับรูปวาดของเขาเหมือนเคย แต่เป็นรูปใหม่ที่เพิ่งร่างขึ้นมา ผมจึงไม่คิดรบกวนการทำงานของเขา เพราะไม่อยากให้ไนล์ต้องมานั่งเร่งทำงานจนอดหลับอดนอนอีก ผมนั่งเล่นอินเตอร์เน็ต เล่นเกมไปเรื่อยเปื่อย แต่ที่มากที่สุดคงเป็นการเอากีตาร์ขึ้นมาเล่นในระหว่างที่ไนล์นั่งวาดรูป เพราะถึงช่วงหลังๆ ผมจะไม่ได้เล่นทุกวันเหมือนตอนเรียน ม.ปลาย ที่อยู่ชมรมดนตรี แต่ผมก็ยังชอบหยิบมันมาเล่นอยู่ตลอดทุกครั้งที่ว่าง

“ฉันเล่นกีตาร์แบบนี้รบกวนการทำงานของนายหรือเปล่า”

แม้มันจะเป็นทางที่ช่วยให้ผมมีอะไรทำขึ้นมาบ้างนอกจากการนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องเล็กๆ นี้ ถึงกระนั้นผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันจะทำให้เขาหนวกหูหรือเสียสมาธิหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมสบายใจขึ้น

“ไม่ มีเพลงฟังบ้างก็ดี บางทีก็ทำให้หัวแล่น”

ผมจึงใช้ชีวิตวนเวียนอยู่แบบนั้นซ้ำๆ ในห้องของไนล์ตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นวันที่มีเรียนก็ตาม ถ้าวันไหนไม่มีนัดกับพวกเพื่อนๆ ผมจะกลับมาที่ห้องของไนล์หลังจากเรียนเสร็จ เพราะมีกุญแจห้องของเขาอยู่แล้ว และค่อยกลับไปที่คอนโดของตัวเองตอนประมาณสี่ทุ่ม

เกือบหนึ่งสัปดาห์นี้ผมไม่ได้ไปหาพี่ดาหลาเลยครับ และไม่ได้รู้สึกอยากเจอพี่เขาเหมือนกับเมื่อก่อนด้วยหลังจากที่ล่ำลากันครั้งสุดท้ายในโรงหนังวันนั้น แม้จะมีบางครั้งที่ผมนึกถึงเธอขึ้นมา แต่ผมก็ไม่ได้ติดต่อหรือไปหาเธอที่คณะ ผมกลับเลือกจะมาที่ห้องของไนล์ เพราะผมไม่อยากรู้สึกกระวนกระวายใจเพราะผู้ชายคนนี้อีก

แต่ตั้งแต่ผมมาที่นี่ทุกวัน ผมกับไนล์กลับแทบไม่ได้พูดคุยกัน นอกจากถึงเวลาที่ผมคิดว่าควรจะออกไปกินข้าว ผมถึงเรียกเขาให้ออกไปกินด้วยกัน โดยที่ไนล์เลือกร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ กับแมนชั่นเพื่อไม่ให้เสียเวลา ซึ่งผมก็ไม่ใช่คนเรื่องมากเกี่ยวกับการกินอยู่แล้ว และรสชาติอาหารร้านนั้นถึงจะไม่ได้ไม่อร่อย แต่อยู่ในระดับที่กินได้ ผมจึงไม่เดือดร้อนสักเท่าไร

เวลาส่วนมากของไนล์จะหมดไปกับการนั่งวาดรูปที่ระเบียงพร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วยอย่างที่ผมเคยเห็น เขาวาดรูปจนเสร็จ ก่อนรูปที่เขาวาดจะอันตรธานจากห้องอย่างไร้ร่องรอยพร้อมๆ กับตัวเขาที่หายไป ผมเดาว่าเขาคงเอารูปไปขายโดยไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรกับผม ผมจึงเฝ้ารอเขาอยู่ที่ห้อง

เลยเวลากลับคอนโดของผมแล้ว แต่ว่าไนล์ก็ยังไม่กลับมา ผมยังคงนั่งทนรอเขา ในใจเริ่มไม่สงบเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกลับมาเมื่อเห็นว่ามันดึกขึ้นเรื่อยๆ อยากจะโทรศัพท์หาเขาเพื่อสอบถามให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ผมจะได้สบายใจ แต่ก็ต้องแข็งใจเอาไว้

ผมไม่อยากจะเต้นไปตามกับการกระทำของเขาที่ปั่นป่วนความรู้สึกของผมจนผมมองอะไรไม่เห็นเหมือนอย่างที่เคยเป็น ไม่อยากตกอยู่ในการควบคุมของเขา จวบจนเที่ยงคืน ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับคนที่ผมรอคอยเดินเข้ามา ไนล์ไม่มีสีหน้าแปลกใจที่เห็นว่าผมยังนั่งอยู่บนเตียงและจ้องไปที่หน้าประตู ผมสบตากับเขา แต่ไนล์ก็ยังนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไร เขาเดินผ่านตัวผมและหยุดลงหน้าราวตากผ้าเล็กๆ ที่อยู่หน้าห้องน้ำพลางถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก

“นายไปไหนมา”

แน่ใจว่าเขาไม่ได้แค่เอารูปไปส่งเท่านั้น แต่ยังไปที่อื่นต่อด้วย

“ฉันเอารูปไปส่ง”

แต่ว่าเขากลับตอบเฉพาะในสิ่งที่อยากให้ผมรู้ คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะกลิ่นต่างๆ ที่ผสมปนปนบนตัวของเขา

กลิ่นบุหรี่... กลิ่นเหล้า.............. กลิ่นน้ำหอมผู้หญิง

นายกำลังปิดบังอะไรอยู่

ความคิดนั้นแล่นขึ้นมาในหัวของผมทันที แต่ผมก็ไม่ถามเพราะรู้ว่าผมคงไม่ได้คำตอบ ผมจึงเลือกที่จะเงียบ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้เริ่มต้นประโยคใหม่กับผม แต่เข้าห้องน้ำไปพร้อมกับผ้าเช็ดตัว

กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมต้องหัวปั่น เพราะไนล์ แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย

ผมรอจนไนล์ออกมาจากห้องน้ำและมาใส่เสื้อผ้าที่ด้านนอก เขามองหน้าผมเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่ล้มตัวลงบนเตียงและปิดตาลง ราวกับไม่สนใจว่าผมจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือว่าจะกลับคอนโดของตัวเองเหมือนวันอื่นๆ

“คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่”

บอกเท่านั้นผมก็เดินไปปิดไฟและกลับมาล้มตัวลงนอนหันหลังให้ไนล์บนเตียงที่คับแคบเกินไปสำหรับผู้ชายสองคน โดยเฉพาะกับผู้ชายตัวใหญ่แบบผม ความว่างเปล่าของอากาศที่กั้นแผ่นหลังระหว่างเราสองคนเอาไว้ทำให้ผมรู้สึกค่อนข้างแย่ ผมอดทบทวนกับตัวเองไม่ได้ว่าผมแคร์เขามากเกินไปแล้ว ผมปล่อยให้เขามีอิทธิพลกับตัวผมมากเกินไป

แต่ผมก็หยุดไม่ได้...











หลังจากงานหนึ่งเสร็จไป ไนล์ก็มีเวลาพักผ่อนวันสองวันก่อนเริ่มงานชิ้นใหม่ตามที่ผมจับใจความได้จากการได้ยินเขาพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นก็หมดไปกับการนั่งนิ่งๆ หายใจทิ้งและทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างด้านข้างของห้อง

ไนล์นั่งรับลมที่โชยพัดเข้ามาราวกับจะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยไม่สนใจว่ามันนานแค่ไหน โดยมีอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับวาดรูปกองอยู่รอบๆ เขาไม่ได้แยแสด้วยซ้ำว่าผมยังอยู่ในห้องนี้หรือเปล่า และไม่เคยแม้สักครั้งที่จะหันหน้ามาคุยกับผม กลายเป็นผมเองที่เหมือนเป็นคนไม่มีตัวตน ไม่ใช่เขาที่ใช้ชีวิตบางเบาเหมือนคนไม่มีชีวิต

ขณะที่ผมนั่งเกากีตาร์ไปด้วย ในหัวคิดต่างๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องของเขา สิ่งที่ผมได้รู้ตลอดเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่แทบจะอยู่ที่นี่ตลอดยกเว้นตอนไปเรียนและตอนกลับไปนอนที่คอนโด กลับไม่มีอะไรเพิ่มเติมมากเกินไปกว่าการได้รู้ว่าเขารับจ้างวาดรูปก็เท่านั้น

คนที่ทำตัวเปรียบเสมือนวิญญาณซีดเซียวและไร้ตัวตนไม่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้ผมรู้แม้แต่น้อย เขาไม่พูดเรื่องตัวเอง รวมทั้งไม่พูดอะไรเพื่อดึงดูดหรือเรียกร้องความสนใจจากผม เขานิ่งสงบและเรียบเฉย ทว่านั่นเป็นดั่งกับดักให้ผมตกหลุมพรางไปเต็มๆ เพราะมันทำให้ผมเอาแต่อยากรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรกันแน่

สายตาของผมยังคงทิ้งไว้ที่ร่างของเขาเสมอ ราวกับไม่สามารถหันไปมองทางอื่นได้ เพราะผมอาจจะพลาดบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเขาไปได้ แม้ว่าเขาจะไม่หันหลังกลับมามองผมเลยก็ตาม

ผมไปหยุดยืนข้างๆ ไนล์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างและมองออกไปทางช่องว่างของกรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่หลายชั่วโมงโดยไม่คิดจะกระดิกกระเดี้ยตัวไปไหน เขามองออกไปด้านนอกที่ไม่ว่าผมจะพิจารณาอย่างไรก็ไม่เห็นว่ามันมีอะไรน่าสนใจจนทำให้นั่งมองได้เป็นชั่วโมงๆ อย่างที่เขากำลังทำ จากหน้าต่างห้องริมสุดของชั้นสามผมเห็นแต่ตึกและต้นไม้ปลูกอย่างกระจัดกระจาย รวมทั้งท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง

“เวลามองออกไปด้านนอก นายคิดถึงอะไร”

มองเสี้ยวหน้าของคนที่ยังทิ้งสายตาออกไปนอกหน้าต่างแล้วผมก็มองไปยังทิศทางเดียวกันราวกับจะพยายามค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ทั้งที่เคยพยายามแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งพิเศษใดๆ

“ไม่ได้คิดอะไร แค่มองออกไปเฉยๆ เพราะในหัวมันว่างเปล่า”

คำตอบของไนล์สร้างความประหลาดใจแก่ผมค่อนข้างมาก แต่คงไม่แปลกนัก เพราะเขามักทำให้ผมคาดไม่ถึงเกี่ยวกับความนึกคิดของเขาเสมอ ทว่าผมก็เผลอคิดไปว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนมากกว่านี้ ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นประโยคใหม่ที่น่าจะทำให้ผมได้เข้าไปอยู่ในความสนใจของเขา เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่เขาพยายามฉุดดึงผมทุกทางเพื่อให้ผมสนใจ

“แล้วนายไม่คิดถึงวิธีดึงความสนใจจากฉันบ้างหรือไง ถึงฉันจะมาหานายแบบนี้ แต่ฉันก็ยังไม่ตัดใจเรื่องพี่ดาหลาหรอกนะ”

ถึงจะเริ่มคิดว่าผมพอจะปล่อยวางเรื่องพี่ดาหลาไปได้บ้าง ผมไม่ได้คิดถึงเธอเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เพราะในใจของผมถูกรบกวนด้วยคนข้างๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็หยิบยกชื่อนั้นขึ้นมาอ้าง เพราะรู้ว่ามันจะทำให้ไนล์หันกลับมามองผม ซึ่งก็ได้ผลอย่างที่ผมคาดหวังเอาไว้

ไนล์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าๆ หันมามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือขึ้นมาประกบสันกรามทั้งสองข้างของผม และคว้าใบหน้าของผมเอาไว้โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว เขาประกบปากของตัวเองลงบนปากของผมอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการบอกกล่าว ทว่าสัมผัสที่ผมรับรู้ได้ในตอนที่ริมฝีปากของเขาแนบชิดกันทำให้หัวใจของผมกระตุก และเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก

ทว่าเพียงชั่วครู่สัมผัสนั้นก็ค่อยๆ ห่างออกไป กลายเป็นผมเสียเองที่ไขว่คว้ามันเอาไว้ ผมใช้สองมือรั้งใบหน้าของไนล์และแนบกลีบปากเข้าชิดกับเขาอีกครั้ง บดเบียดเข้าหาส่วนนิ่มๆ นั้นและดูดคลึงมันราวกับกำลังลิ้มรสชาติหอมหวานของเยลลี่ ก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปรุกรานภายใน พลอยให้ไนล์สะดุ้งเล็กน้อย ถึงกระนั้นเขาก็ยินยอมเปิดปากให้ผมได้เข้าไปสำรวจความอ่อนนุ่มที่อยู่ข้างใน

เป็นอีกครั้งที่ผมจูบเขา

แต่เป็นครั้งแรกที่ผมจูบเขาโดยใช้ลิ้นแบบนี้

ลิ้นของเราสองคนคลุกเคล้าเข้าด้วยกันหลังจากที่ผมไล่ต้อนอยู่พักหนึ่ง เสียงลมหายใจของคนที่ผมจูบเล็ดลอดออกมาจากปลายจมูกอย่างยากลำบาก ราวกับว่าลืมวิธีการหายใจไปชั่วคราว พานให้ผมยิ่งอยากไล่บี้ให้เขาหมดทางรอด ผมอยากได้ยินเสียงหายใจของเขาชัดขึ้น อยากให้มันช่วยตอกย้ำให้ผมรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ ไม่ใช่ร่างที่กลายเป็นภาชนะแต่ไร้วิญญาณ หรือเป็นร่างซีดจางที่ไร้ความรู้สึก

แต่เหมือนว่าผมจะรุกเร้าเขาหนักไปหน่อย เก้าอี้ที่ไนล์นั่งอยู่จึงเริ่มเสียการทรงตัว และมันก็ทำให้เขาต้องหงายหลังลงไปกับพื้นขณะที่ผมได้แต่ตื่นตกใจ ร่างกายขยับไปตามสัญชาตญาณและประคองศีรษะของเขาเอาไว้ไม่ให้กระแทกกับพื้น ก่อนเสียงของซึ่งอยู่บริเวณนั้นล้มระเนระนาดจะดังตามมา

ผมรู้สึกเหมือนของเหลวหนืดๆ ราดไปตามท่อนแขนอีกข้างของผม แต่นั่นไม่สามารถเรียกความสนใจของผมได้เท่ากับคนอีกคนที่กำลังนอนอยู่ใต้ร่าง เพราะถูกผมทับเอาไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“...”

ไนล์ไม่ตอบ แต่เขากลับมองหน้าผมนิ่งๆ และหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยเหมือนพร้อมจะจางหายไปต่อหน้าต่อตาได้ทุกเมื่อกลับปรากฏรอยยิ้ม ผมรู้สึกเหมือนตาของผมพร่ามัวด้วยแสงสว่างในวินาทีนั้น มันอาจจะดูเหมือนว่าผมเว่อร์ แต่สิ่งที่ผมเห็นในเวลานี้มันทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของไนล์ที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินและได้เห็น

เหมือนผมกำลังฝันไป...

“นายหัวเราะอะไร”

“หรือนายคิดว่ามันไม่น่าขำ”

คราวนี้เขาตอบผมแล้ว แต่ว่าใบหน้าของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป ยังมีรอยยิ้มติดอยู่นิดๆ จนผมเผลอจ้องมองมันอยู่แบบนั้น พานให้เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัยที่ผมเอาแต่จ้องเขาไม่เลิก และไม่ทันให้เขาได้เอ่ยปากถามอะไร ผมก็จูบไนล์อีกครั้ง

ผมกำลังเป็นบ้าอยู่หรือไง?

ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งคุยกับไอ้ยีนเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้ผมกลับกำลังทำไม่ต่างจากมัน

ผมเริ่มเข้าใจความสับสนของมันแล้ว และรู้ด้วยว่าสถานการณ์ระหว่างผมกับไนล์ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ในตอนนี้เหมือนทุกอย่างจะไร้เหตุผล รู้อย่างเดียวว่า...ตอนนี้ผมอยากจูบเขาชะมัด

เขายอมจูบตอบผมโดยไม่หลีกเลี่ยงจนผมเป็นฝ่ายผละออกมาเอง เรามองตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนเขาจะหลบสายตาของผมเล็กน้อยแล้วโพล่งเสียงออกมาเมื่อสังเกตเห็นบางอย่างที่แขนของผม

“แขนนายเลอะ”

ได้ยินเช่นนั้นผมจึงหันไปทางเดียวกับปลายสายตาของไนล์ แล้วก็เห็นว่าน้ำหนืดๆ ที่ติดอยู่บนแขนของผมคืออะไร มันเลอะแขนของผมไปครึ่งหนึ่ง และทำให้ผมต้องรีบเค้นเสียงออกมาด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย

“ฉันขอโทษ ฉันทำสีของนายหก”

ผมดันตัวที่คร่อมทับไนล์ออก เปลี่ยนมานั่งลงข้างๆ เขาแทน ซึ่งไนล์ก็ขยับตัวขึ้นนั่งเช่นเดียวกัน เขามองไปยังกระป๋องสีโปสเตอร์สีเขียวตองอ่อนที่น่าจะเหลืออยู่ครึ่งกระป๋องและหกออกมาเลอะพื้น พลอยให้เลอะแขนของผมด้วยแววตาเศร้าๆ เหมือนกำลังเสียดาย

“อื้ม ช่างมัน”

“เดี๋ยวฉันจะซื้อคืนให้ ฉันเป็นคนทำมันหกเอง”

จำได้ว่าตอนล้มตัวลงมาประคองหัวของไนล์เอาไว้ แขนผมไปโดนกระป๋องสี มันจึงหกออกมาเพราะแรงกระแทกและฝาที่ปิดเอาไว้ไม่สนิทมากนัก แต่แทนที่ไนล์จะตอบรับในเรื่องที่ผมเสนอ เขากลับปัด

“สีนั่นฉันผสมเอง ไว้จะใช้ค่อยผสมใหม่ก็ได้ แต่นายไปล้างแขนก่อนเหอะ”

ในเมื่อเจ้าตัวว่าอย่างนั้น ผมจึงลุกไปห้องน้ำเพื่อจัดการกับแขนที่เลอะของตัวเองตามคำบอก ทว่าก็ไม่วายหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วย ซึ่งไนล์ก็หยิบผ้าเก่าๆ ที่ใส่ถุงเอาไว้ตรงมุมห้องออกมาเช็ดคราบสีที่เลอะบนพื้น จนมันเกือบจะแห้ง ก่อนจะเดินมาที่ห้องน้ำเพื่อล้างสีออกจากผ้าผืนนั้น

ทว่าห้องน้ำภายในห้องเช่าแคบๆ นี้ไม่มีอ่างล้างมือแยกออกมาอยู่แล้ว เขาจึงต้องยืนรอผมที่กำลังล้างแขนของตัวเองอย่างไม่ถนัดนัก เพราะมือหนึ่งต้องจับฝักบัวเอาไว้ ขณะที่เอียงแขนข้างทีเลอะเพื่อล้างคราบสีนั้นออก

ดูท่าว่ามันคงดูทุลักทุเลในสายตาของคนมองเห็น ไนล์จึงเลื่อนมือมาลูบแขนผมบริเวณที่ผมต้องการทำความสะอาด พานให้ผมเงยหน้ามองเขานิดนึง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรแตกต่างไปจากเดิม เพียงแค่ละมือนั้นออกแล้วไปถูสบู่ที่วางอยู่บนบนแท่นวางให้เกิดฟองเล็กน้อย แล้วจึงมาลูบแขนของผมอีกครั้ง

“เอาผ้ามาล้างสิ”

กระทั่งแขนของผมสะอาดหมดจด ผมก็เป็นฝ่ายช่วยไนล์บ้าง ผมถือฝักบัวและยื่นไปหาเขาเพื่อให้เขาจัดการขยี้ผ้าที่เอาไปเช็ดพื้นมาเมื่อครู่เพื่อกำจัดสีออกไป ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้อิดออดอะไร เขารับความช่วยเหลือจากผม ซักผ้าผืนนั้นก่อนจะกลับไปเช็ดพื้นอีกครั้งเพื่อให้มันไม่มีร่องรอยสกปรกอีก ขณะที่ผมยื่นรอเขาอยู่ในห้องน้ำเหมือนเดิม ถึงกระนั้นก็ชะโงกหน้าไปดูเขาตอนที่เช็ดพื้นด้วย

ผ้าเก่าๆ ที่คงจะเลอะสีมาหลายต่อหลายครั้งแล้วถูกบิดจนหมาด เราทั้งคู่ก็ออกจากห้องน้ำไป ไนล์นำผ้าไปตากไว้ที่ราวของระเบียงด้านหลังห้อง แล้วจึงเดินย้อนกลับมา ส่วนผมช่วยเก็บของที่ล้มจนเกลื่อนพื้นผิดที่ผิดทางของมัน สีที่อยู่ในกระป๋องหลายสีใกล้จะหมดทำให้ผมคิดได้

“เปลี่ยนเสื้อผ้าสิ”

ไนล์มองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไรแม้ว่าจะไม่เปลี่ยนสีหน้าไป หน้าของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ได้เคลือบรอยยิ้มและดวงตาไม่ได้มีประกายเหมือนอย่างตอนที่เขาหัวเราะ ทว่าผมก็พอจะเดาออกว่าเขาค่อนข้างงงที่ผมพูดแบบนั้น

“ฉันจะพานายไปซื้อสีใหม่ ฉันทำของนายหกก็ต้องรับผิดชอบ แล้วสีอื่นๆ ของนายก็จะหมดแล้วด้วย ถือว่าเป็นการไถ่โทษของฉันก็ได้”

ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่มันไม่เกี่ยวกัน แต่ผมก็เสนอตัวแบบนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ไนล์มองตาผมค้างอยู่ชั่วครู่ ราวกับต้องการพิจารณาให้แน่ใจว่าผมต้องการแบบนั้นจริงๆ หรือ และเมื่อได้คำตอบที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากผมแล้ว เขาก็ยอมหยิบเสื้อและกางเกงที่เหมาะกับการใส่ออกข้างนอกมากกว่าเสื้อกล้ามตัวหลวมๆ กับกางเกงขาสั้นที่เขาสวมอยู่ตอนนี้ออกจากตู้เสื้อ






อ่านต่อด้านล่าง


v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥


ต่อจากข้างบน


v


v





“แล้วนายจะไปที่ไหน”

ผมรอไนล์เปลี่ยนชุดอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าโดยไม่แคร์สายตาของผมสักนิดว่าจะมองอยู่หรือเปล่า จนเป็นผมเองที่ต้องเบี่ยงสายตาไปทางอื่นพลางถามไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

“หอศิลป์”

คนที่ผมถามตอบกลับก่อนจะมายืนข้างๆ ผม ให้รู้ว่าเขาจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย ผมจึงครางเสียงในลำคอรับคำเล็กน้อย ก่อนเราจะเดินออกจากห้องพักนั้นมา ไปที่รถของผมเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายที่ถูกระบุเอาไว้

ระยะทางระหว่างแมนชั่นของไนล์กับหอศิลป์ค่อนข้างไกลจากกัน ทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางชั่วโมงกว่าแม้ว่าผมจะเป็นคนที่ขับรถเร็วก็ตาม แต่ด้วยสภาพการจราจรช่วงเย็นของวันหยุดในกรุงเทพฯ ก็เป็นที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าติดขัดมากแค่ไหน ดังนั้นกว่าจะหาที่จอดรถได้ ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว

ผมและไนล์เดินเข้าไปในตึกด้วยกัน ผมไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาที่นี่เลยสักครั้ง ได้แต่มองอยู่ด้านนอกเวลาที่มาเที่ยวห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ นี้ในบางครั้ง บรรยากาศภายในแตกต่างจากข้างนอกที่เต็มไปด้วยรถราและผู้คน เสียงอื้ออึงต่างๆ เหมือนถูกกรองเอาไว้ทำให้ภายในอาคารนี้ค่อนข้างสงบ

ไม่ค่อยมีคนอยู่ในนี้นัก แม้ว่ามันจะเป็นตึกที่ค่อนข้างใหญ่ มีสินค้าแฮนด์เมดตั้งร้านเล็กๆ ขายอยู่บ้างตามแต่ละชั้น แต่ก็ไม่จอแจ เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ผมรู้สึกสงบและสบายใจอย่างไรชอบกลเมื่อได้เข้ามาที่นี่

“ปกตินายมาซื้อสีที่นี่เหรอ”

เพราะว่ามันไม่ค่อยสะดวกในการเดินทาง ผมจึงอดสงสัยไม่ได้

“เมื่อก่อน”

คำตอบของเขาทำให้ผมเผลอคิดตามไม่ได้ว่าถ้าเป็นแบบนั้น บ้านของเขาก็คงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ผมเดินตามไนล์ที่เดินกวาดตาไปตามกรอบรูปที่ถูกติดไว้บริเวณผนังของทางเดิน ก่อนเขาจะเข้าไปยังห้องหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีการจัดแสดงภาพอยู่

“แล้วทำไมคราวนี้นายถึงมาที่นี่”

“แค่อยากมา”

เสียงของเขาหลุดออกมาจากปากเพียงเท่านั้นก่อนจะสาวเท้าเร็วขึ้นเพื่อชมภาพที่ถูกจัดแสดงอยู่ มีคนอยู่ภายในห้องนี้ไม่มากนัก และค่อนข้างสงบมากๆ ผมจึงไม่สอบถามอะไรเพิ่มเติมอีก เพียงเดินตามเขาไปช้าๆ และมองตามเขาไปด้วย ไนล์มองมันอย่างตั้งใจราวกับถูกรูปพวกนั้นตรึงสายตาเอาไว้ บางรูปก็ทำให้เขาต้องขยับตัวเข้าไปเพื่อมองใกล้ๆ และมันก็ทำให้ผมคิดไม่ได้ว่าเขาชอบการวาดรูปมากจริงๆ

ใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมง ไนล์ดูภาพทั้งหมดเสร็จ เราออกมาด้านนอกอีกครั้ง แต่คราวนี้ไนล์เดินนำไปลงบันไดเลื่อนเพื่อไปชั้นล่างสุด ที่นั่นมีคนอยู่บ้างประปราย และก็มีคนที่เหมือนจะรับจ้างวาดรูปอยู่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เพราะผมเห็นเขากำลังวาดรูปเหมือนกับในรูปถ่ายที่หนีบอยู่บนกระดานวาดรูปของเขา ส่วนบริเวณใกล้ๆ กันก็มีรูปที่วาดเสร็จแล้วตั้งโชว์อยู่

“ไนล์.....หรือเปล่า”



เสียงเรียกจากคนที่นั่งวาดรูปอยู่เรียกให้ทั้งผมและไนล์ต่างหันไปมองด้วยกันทั้งคู่ ก่อนไนล์จะเบิกตาขึ้นเล็กน้อยและเอื้อนเสียงออกมาเบาๆ

“พี่โป้ง”

“เฮ้ย ไม่ได้เจอกันนานเลย นึกว่าจะไม่ได้แกแล้ว ตั้งเท่าไรวะ สามปีได้หรือเปล่าวะ ที่อยู่ๆ แกก็หายไป”

คำทักทายที่เหมือนรู้จักกันดีดึงให้ไนล์เดินเข้าไปหาผู้ชายผิวเข้มคนนั้น ท่าทางของเขาคล้ายๆ กับพวกจิตรกรทั่วไป เขาแต่งตัวสบายๆ ผมยาวประมาณบ่าแต่มัดรวบเอาไว้หลวมๆ ไม่ให้ดูรุงรัง ผมจึงเดินเข้าไปหาผู้ชายที่ดูเหมือนจะอายุมากกว่าผมสักสี่หรือห้าปีด้วยความสนใจและใคร่รู้

“ประมาณนั้นแหละครับ ไม่คิดว่าพี่จะยังวาดรูปอยู่ที่นี่”

“เวลาว่างๆ น่ะ ช่วยไม่ได้นี่หว่า อยู่ที่นี่แล้วสบายใจดี ว่าแต่แก เป็นยังไงมั่งล่ะ ตอนนี้น่าจะเข้ามหา’ลัยแล้วใช่ไหม สอบเข้าจิตกรรมได้อย่างที่หวังหรือเปล่าวะ”

ใบหน้าของพี่เขาประดับด้วยรอยยิ้มหน่อยๆ มองไนล์ที่มีสีหน้านิ่งเรียบด้วยตาที่เป็นประกายเล็กน้อย ราวกับจะแสดงความยินดีด้วยอย่างไรอย่างนั้นทว่าเพียงได้เสียงของไนล์ดังขึ้น สีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไป

“เปล่าครับ”

“อ้าว ทำไมวะ เฮ้ย ถ้าแกสอบไม่ผ่าน เอาไว้สอบใหม่ก็ได้”

พี่โป้งปลอบใจไนล์พลางตบบ่าเล็กๆ นั้นไปด้วยเหมือนกำลังให้กำลังใจ แต่มันก็ไร้ประโยชน์

“ผมจะไม่สอบเข้าที่นั่นแล้วล่ะครับ”

“แกบอกว่าอยากเข้ามากไม่ใช่เหรอ นั่นความฝันของแกเลยนะเว้ย”

จากที่สนใจบทสนทนาของสองคนนี้อยู่แล้ว ผมยิ่งสนใจมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่อุปาทานไปเอง แต่ผมรู้สึกว่าหูของผมผึ่งขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น มันเหมือนอย่างที่ผมคิดตอนที่ไปห้องพักของไนล์ครั้งแรก ว่าเขาน่าจะเรียนเกี่ยวกับศิลปะมากกว่าเรียนวิศวะฯ

“มีเหตุผลนิดหน่อยครับ”

“เออๆ ถ้าแกตัดสินใจดีแล้ว พี่ก็คงยุ่งอะไรไม่ได้ แต่ว่างๆ ก็แวะมาที่นี่บ้างสิ มีลูกค้าเก่าๆ อยากให้แกวาดรูปให้ด้วย มาถามฉันหลายครั้งก็มี”

“ตอนนี้ผมเรียนอยู่ไกลครับ คงมาไม่ค่อยสะดวกเท่าไร แต่ตอนนี้ผมรับจ้างวาดอยู่บ้าง ถ้ายังไงผมทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ที่พี่แล้วกัน”

“เอางั้นก็ได้”

จากนั้นไนล์ก็หากระดาษแถวๆ นั้นมาจดเบอร์ให้กับพี่โป้ง ก่อนจะเดินไปดูภาพวาดของพี่โป้งที่ตั้งอยู่รอบๆ ผมจึงถือโอกาสนี้เข้าไปคุยกับคนที่ยังไม่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ แม้จะรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่อยู่ๆ ก็ไปคุยกับเขาเรื่องของไนล์ แต่มันเป็นทางเดียวในตอนนี้ที่จะช่วยให้ผมรู้เรื่องของไนล์มากขึ้น

“พี่รู้จักกับไนล์มานานแล้วเหรอครับ”

เพียงแค่ถูกถาม เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผมราวกับกำลังพิจารณาว่าผมมีเจตนาอะไรกันแน่ แต่เพียงครู่สั้นๆ เขาก็ตอบคำถามของผม

“ก็ตั้งแต่มันอยู่ ม.2 ได้มั้ง มันชอบมาป้วนเปี้ยนที่นี่ แล้วก็มาขอวาดรูปด้วย มีคนชอบงานของมันอยู่พอสมควรล่ะ ขอซื้อบ้าง จ้างวาดบ้าง มันก็รับงานไปตามที่มันทำได้ มันมีพรสวรรค์ มีความสามารถ เคยชนะการประกวดอยู่หลายครั้ง ฝีมือไม่เบาเชียวล่ะ ถ้าเดินทางนี้คงอนาคตไกลอยู่ น่าเสียดายที่มันทิ้งความฝัน”

สิ้นประโยค พี่โป้งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองตามไนล์ที่ไม่ได้สนใจเราสองคนแม้แต่น้อย เพราะเอาแต่จ้องภาพวาดด้านหน้าอย่างหลงใหล ซึ่งผมเองก็เช่นกัน รู้สึกหน่วงในใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่าไนล์กำลังละทิ้งความฝันของตัวเองด้วยเหตุผลบางอย่าง

ผมคิดว่าคนที่มีจุดหมายหรือความฝันที่ชัดเจน ค่อนข้างน่านับถือ และมันก็คงเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องยอมเดินจากความฝันของตัวเองมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจำเป็นแค่ไหนก็ตาม

“นายเป็นเพื่อนมันใช่ไหม”

สายตาของผมที่ทอดมองไปตามร่างโปร่งบางต้องถอนออกมาหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุดอีกครั้งหลังจากคำถามนั้น

“เอ่อ... ครับ”

เสียงของผมเกริ่นออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะยังระบุสถานะระหว่างผมกับไนล์อย่างชัดเจนไม่ได้ แม้ว่าผมจะเผลอจูบเขาไปแบบนั้นแล้ว แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจ

ผมแค่สนใจเขามาก...

ผมแค่อยากรู้เรื่องของเขาว่าเป็นใครกันแน่ และต้องการอะไรจากผม

ผมยังไม่ได้เผลอไปชอบเขาอะไรแบบนั้นใช่ไหม?

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”

พี่โป้งยิ้มนิดๆ จะว่าเป็นรอยยิ้มพอใจก็ไม่เชิง รอยยิ้มเหนื่อยใจก็ไม่ใช่ เหมือนเขาจะโล่งใจมากกว่า ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้

“ทำไมเหรอครับ”

“ไอ้ไนล์เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เรื่องที่มันสนใจมีแค่เรื่องที่เกี่ยวกับการวาดรูป”

“...”

“ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนที่อยู่ๆ มันก็หายตัวไป มันมาที่นี่คนเดียวตลอด ไม่เคยพาใครมาด้วยเลย เพิ่งมีนายเป็นคนแรก”

จากที่หน่วงในใจอยู่แล้ว ผมกลับยิ่งรู้สึกเหมือนโดนทุบแรงๆ ลงบนหัวใจจนเจ็บ ผมเลื่อนสายตาไปทางไนล์อีกครั้งอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่พี่โป้งพูดกับผม มันทำให้ผมไม่อยากละสายตาจากไนล์อีกเลย

“อย่าทิ้งมันล่ะ”







================
คืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ (อย่างช้าๆ) แล้ว

ขอบคุณคนที่ยังติดตามอ่านนะคะ


Undel2Sky



ออฟไลน์ michiri.sama

  • ลูกเป็ดที่หมกมุ่นในโลกสีม่วง (´∀`)♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
โฮฮฮฮฮฮฮ

เดาว่าไนล์จะต้องมีอดีตที่ไม่ค่อยสวยงามแน่ๆ
ถึงได้ทำให้มีบุคลิก/นิสัยอย่างนี้ ;_______;

กราฟอย่าทิ้งไนล์นะะะะะ

ออฟไลน์ `ลoงสิจ๊ะ™

  • รักคือรัก จะให้หักห้ามใจนั้นยาก
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
หือ อะไรอะ ไนท์ นายจะมีความหลังที่ไม่ดีหรือ
อ๊ากกยังไง อยากรู้

ออฟไลน์ Cappello

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2

ออฟไลน์ from_mars

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-0
เฝ้าเค้าเลยนะ
แถมไปจูบ(ลึกซึ้ง)กะเค้าอีกด้วยอ่ะ เขินนน

ค่อยๆ เปิดเผยทีละนิดแล้ว...
รออ่านต่อนะจ๊ะ

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ใกล้ขึ้นมากหน่อยนึงแล้ว
อยากรู้จักไนล์จริงๆ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่ไนล์ไม่พูดคืออะไร มีอะไรที่หักเหชีวิตของไนล์
รู้สึกเหมือนจะเป็นกราฟเข้าไปทุกทีแล้วว

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
ยังคงความเป็นบุคคลที่น่าค้นหาอยู่ตลอดเวลาจริงๆ ไนล์

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
เอ๊ เรียกว่าใกล้เข้าไปอีกนิดรึเปล่านะ ยังมีเรื่องที่กราฟต้องพยายามหาคำตอบอีกมากเหมือนเดิม
แถมเพิ่มเรื่องเหตุผลที่ไนล์ทิ้งความฝันมาด้วย จะมีอะไรที่เกี่ยวกะกราฟไหมนะ
อยากรู้อดีตหรือเรื่องของไนล์มากกว่านี้อีกจัง เพราะงั้นกราฟก็พยายามเข้านะเพื่อคนอ่านด้วย
รอติดตาม และบวก บวก เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปค๊า  :pig4: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด