It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]  (อ่าน 96524 ครั้ง)

ออฟไลน์ realland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กราฟฟฟฟฟฟฟ :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เหมือนบางมุมไนล์ดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่นะ แต่หลายมุมมากที่ดูล่องลอยจนน่ากลัว555
กราฟหวั่นไหวซะแล้วสิพ่อสุภาพบุรุษของเรา อยากใ้ห้ไนล์ชอบกราฟแบบจริงๆ


ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
บอกตามตรงเลยนะคะ อ่านทีไร
ก็ยังเดาทางไนล์ไม่ถูกซักที
ดูท่าแล้วปมของไนล์ท่าจะใหญ่น่าดู
กราฟใจอ่อนเร็วๆเท้อออ อ

ออฟไลน์ from_mars

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-0
อืมมม คนอ่านก็มึนไม่แพ้กราฟละจร้า...
รออ่านต่อ ไนล์จะทำอะไร

ขอบใจจ้า

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
ยิ่งอ่านยิ่งมึน :really2:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
อะไรของไนล์เนี่ย
ตีความไม่ออกจริงๆว่าที่ทำอยุ่ทุกอย่างต้องการอะไร
ปวดหัวแทนกราฟๆ

ออฟไลน์ killerofcao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ไนล์จ๋า เอาอีกๆๆ

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
 55555 หัวเราะให้กับความสับสนของตัวเองต่อไปค่ะ อ่านยังไงก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของไนล์ได้เลย
ทุกอย่างที่ไนล์ทำยังหาเหตุผลไม่ได้เหมือนเดิม ส่วนกราฟก็ยังคงสับสนอยู่เหมือนเดิมทำได้แค่คอยคล้อยตามไนล์ต่อไป
แล้วสุดท้ายไนล์ก็ทำให้กราฟเข้าไปในห้องไนล์จนได้้ แต่เพื่ออะไรล่ะ ไนล์ต้องการอะไรกันแน่ หรือแค่มีกราฟอยู่ใกล้ ๆ ก็พอแล้ว
นี่แค่คืนแรกแต่ต่อไปต้องมีคืนที่สอง ที่สามแน่ๆ จนกราฟอาจต้องรับกุญแจดอกนั้นจริง ๆ แต่อ่านแล้วชอบกราฟจังค่ะ ดูเป็นผู้ชายที่ดีมากเลย
ถ้าเราเป็นไนล์คงไม่อยากปล่อยกราฟไป แต่คิดว่าไนล์ต้องมีเหตุผลอะไรที่มากกว่านั้นแน่นอน อยากอ่านต่อไว ๆจังค่ะ
ถึงตอนนี้ไนล์จะเหมือนได้ออกเยอะอยู่ แต่ได้พูดไม่กี่ประโยคเองนะคะ รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปค๊า  :pig4:  :L2:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง















ลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย เพราะสิ่งแรกที่เห็นหลังจากเปิดตาไม่เหมือนกับทุกวัน เพดานห้องที่มีรอยเปื้อนประปรายรวมทั้งพัดลมเพดานทำให้ผมต้องกะพริบตาอยู่สองสามครั้ง ทบทวนกับตัวเองว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ไหน

นึกได้ ผมก็พลิกตัวมาด้านข้างที่เมื่อคืนมีเจ้าของห้องนอนอยู่ แม้ว่าผมจะพยายามนอนหันหลังให้เขามาตลอดทั้งคืน เพราะขนาดเตียงเล็กเกินกว่าผู้ชายสองคนจะนอนแผ่หลาอย่างสบายตัวได้ ถึงตัวของไนล์จะไม่ได้ใหญ่เหมือนผมก็ตาม ทว่าเมื่อหันไปแล้วผมกลับพบความว่างเปล่า ไม่มีร่างของอีกคนอยู่ตรงนั้น

ประหลาดใจไม่น้อยที่คนที่ควรนอนอยู่ข้างกันกลับหายไป ตาของผมเบิกขึ้นกว้างกว่าปกติเล็กน้อยอย่างลืมตัว ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่ง ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้วผมก็ได้พบความจริง เพราะคนที่หายไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกเคลื่อนย้ายไปที่ระเบียงแทน

มือข้างหนึ่งของไนล์ถือดินสอที่ผมเดาว่าคงจะเป็น EE ตวัดปลายสีดำของมันไปบนผืนกระดาษ ส่วนมืออีกข้างจับกระดานวาดรูปเอาไว้ขณะที่คีบบุหรี่ไปด้วย ปลายสีขาวถูกเปลี่ยนกลายเป็นเถ้าและมีไฟสีส้มเจืออยู่ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังตั้งใจร่างเส้นมากกว่าจะสนใจส่วนผสมของนิโคตินที่อยู่ในมือ ผมสีดำสนิทด้านหน้าถูกรวบขึ้นเกือบครึ่งหัวป้องกันการเกะกะอย่างที่ผมไม่เคยเห็น

ผมลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ และเดินตรงไปยังระเบียงห้องที่เล็กยิ่งกว่าทางเดินเข้าห้องที่คอนโดของผมเสียอีกด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่กำลังทำงาน เห็นมือข้างที่จับกระดานปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือออกโดยใช้ตักเป็นฐานรองมันแทน ก่อนจะยื่นมือออกไปด้านนอก เคาะเถ้าบุหรี่ที่จับตัวกันเบาๆ กับราวกั้นเพื่อให้ผงสีเทาร่อนออก แล้วจึงจรดก้นกรองเข้ากับริมฝีปาก

ควันสีขาวถูกปล่อยออกมาจากจมูกของคนที่สูบมันเข้าไปครู่สั้นๆ ก่อนมือนั้นจะกลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้ง ไนล์หยิบกระดานขึ้นมาถือเหมือนเดิมและร่างเส้นต่อเติมโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมายืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว ผมจึงยืนพิงกรอบประตูที่เปิดทิ้งเอาไว้พลางมองเขาอยู่พักใหญ่ ซึ่งสิ่งที่ได้เห็นก็ไม่ต่างจากที่ผ่านตามาเมื่อครู่ ราวกับโปรแกรมที่ถูกตั้งเอาไว้ให้ทำหลายๆ ซ้ำ

“ทั้งที่ชอบวาดรูป แต่ทำไมถึงเรียนวิศวะฯ”

เห็นว่าถึงจะยืนต่อไปนานกว่านี้ คนที่ให้ความสนใจกับแผ่นกระดาษสีขาวคงไม่มีทางหันกลับมามองกัน ผมจึงเริ่มต้นประโยคแรก แต่ก็ต้องผิดหวังเล็กน้อยเพราะคนที่ผมพูดด้วยกลับไม่หันกลับมามองสักนิด ไนล์ยังคงเงียบและขยับมือไปเรื่อยๆ ผมจึงต้องขยับตัวเข้าไปใกล้เขาให้มากขึ้น

“ฉันมีเหตุผลของฉัน”

เหมือนจะรู้ว่าผมยังรอคำตอบอยู่ ความเงียบจึงถูกทำลาย แม้ว่ามันจะช้ากว่าคำถามของผมไปเกือบสองนาที

“แล้วนายวาดรูปมานานหรือยัง”

“นาน”

เขาตอบกลับมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงที่เลื่อนลอยไม่ต่างจากเดิม

“วันนี้นายมีเรียนกี่โมง”

เมื่อไม่รู้ว่าจะถามเรื่องอะไรต่อเพราะดูเหมือนว่าคู่สนทนาของผมจะไม่ค่อยสะดวกในการพูดคุยสักเท่าไร ผมจึงเปลี่ยนเรื่องแทน ถึงกระนั้นคำตอบที่ได้ก็ยังสั้นกุดเหมือนกลัวเสียเวลาอยู่ดี

“บ่าย”

“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนแล้วกัน ฉันมีเรียนตอนสิบโมง เดี๋ยวจะไม่ทัน”

ไม่แน่ใจหรอกว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่น่าจะแปดโมงได้ เพราะแดดกำลังดี ไม่ร้อนจนเกินไป และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องอยู่ที่นี่ต่อเช่นกัน จึงล่ำลาเจ้าของห้อง ซึ่งเขาก็เพียงแค่ครางเสียงในลำคอตอบกลับมา เป็นการรับคำผมเฉยๆ จนผมอดจะรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้

มันเหมือนจะหงุดหงิด งุ่นง่านอยู่ในใจ ผมจึงก้าวเท้าเข้าไปใกล้คนที่ยังไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองผม แทรกตัวไปยืนอยู่ต่อหน้าเขาและราวกั้นระเบียงทั้งที่มันก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรพลางเรียกชื่อของคนตรงหน้า

“ไนล์”

ได้ผล ไนล์เงยหน้าขึ้นมามองผมช้าๆ ทำให้ผมได้เห็นหน้าของเขาชัดๆ ปกติแล้วผมหน้าของไนล์จะไล่เลี่ยกับตา แต่ตอนนี้ผมหน้าถูกรวบไปขึ้นไปบนหัวโดยค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อย เผยให้หน้าผากที่เคยถูกปิดด้วยผมมาตลอด ผมเห็นโครงหน้าของไนล์ชัดขึ้น และมันก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นตาเล็กน้อย

เขาดู....น่ารัก? เหมือนเด็กๆ ยกเว้นก็แต่แววตาที่ว่างเปล่าคู่นั้นซึ่งกำลังสะท้อนภาพของผม

“ทำไมเมื่อคืนให้ฉันค้างที่นี่”

ผมรู้ว่าที่เขาทำแบบนั้นไม่ได้เพราะอยากจะนอนกับผม ไม่อย่างนั้นหลังจากที่ผมตอบตกลงเขาคงทำอะไรสักอย่างหรือพูดอะไรกับผมบ้าง ไม่ใช่การนอนหันหลังให้ผมเหมือนกับที่ผมทำ แม้ว่าผมจะเป็นฝ่ายทำก่อนก็ตาม

“ดีกว่าขับรถกลับหรือไม่ใช่”

กระจับปากสีพีชขยับตอบขณะที่มือเรียวยื่นออกไปเคาะเถ้าบุหรี่อีกครั้ง ก่อนจะส่งฝั่งที่เป็นก้นกรองเข้าปากสูดสารที่ผสมกันอยู่ภายในแท่งทรงกระบอกเข้าไปหลังจากตอบผมแล้ว หนำซ้ำยังกลับมาก้มหน้าวาดรูปต่อราวกับจบเรื่องที่ต้องคุยกับผม

เขายังคงเป็นไนล์ที่ทำให้ผมไม่เข้าใจการกระทำของเขาเหมือนเดิม

“ไม่อยากให้ฉันขับรถกลับอย่างนั้นเหรอ”

ผมถามลองเชิง ทั้งที่เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น และถึงจะรู้ตัวว่าเป็นเรื่องยากที่คำตอบจะออกมาเป็น ‘ใช่’ ผมก็ยังถามไปอยู่ดี ทว่าคำตอบกลับเป็นความเงียบ ผมจึงลองดูอีกครั้งด้วยคำที่ชัดเจนกว่าเดิม แม้จะไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไรว่าทำไมถึงอยากรู้คำตอบจากคนคนนี้ก็ตาม

“ห่วง?”

“...”

เป็นอีกครั้งที่ความเงียบย่างกรายเข้ามา ทว่าผิดจากเดิมตรงที่มือซึ่งกำลังขยับไปมาเพื่อสรรค์สร้างผลงานที่ผมก็ไม่แน่ใจ่ว่ามันคือรูปภาพของอะไรหยุดชะงัก ใบหน้าได้รูปสวยค่อยๆ เชิดขึ้นมองผมโดยที่หน่วยตาสีดำนั้นจับจ้องมาที่ส่วนเดียวกันของผม

เขามองหน้าผมค้างอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าควรจะตอบผมอย่างไร แต่นั่นคงเป็นเหตุผลที่ใช้ได้สำหรับคนอื่น ไม่ใช่กับไนล์ เพราะในใจของเขาน่าจะมีคำตอบอยู่แล้ว

“คงจะแบบนั้น”

ไม่ต่างจากที่ผมคิดและเผลอลำพองใจอยู่เล็กน้อยที่เริ่มอ่านไนล์ออกบ้าง แม้ว่ามันจะไม่ได้ดูมีประโยชน์อะไร และไม่สามารถสร้างความกดดันเขาได้เหมือนอย่างที่เขาทำกับผมก็ตาม ทว่ามันก็ทำให้ผมรู้สึกดีใจอยู่หน่อยๆ อีกทั้งคำตอบที่ได้รับก็ถือว่าชัดเจนพอสมควร

ผมกลั้นยิ้มทำไม?

รู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังทำแบบนั้น ผมจึงต้องเม้มปากเข้าหากันแน่นเป็นการบังคับตัวเองไม่ให้ทำพฤติกรรมแบบนั้น ทว่าเมื่อเหลือบตาไปเห็นว่าเจ้าของคำตอบยังคงมองผมอยู่เหมือนเดิม ผมก็ต้องเบี่ยงหน้าไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบสายตาที่เหมือนกับมองสิ่งที่อยู่ในใจของผมออกทุกอย่าง

“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อน”

เริ่มจะทำอะไรไม่ถูก เพราะตาคู่นั้นยังไม่วางจากผม ผมจึงบอกลาก่อนจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง ผมก้าวเท้าออกมาให้ห่างจากคนที่ทำให้ผมต้องทำตัวแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยทำ ก้อนเนื้อใต้อกมันไหวๆ ยังไงชอบกล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงมากก็ตาม แต่มันก็ไม่ปกติ

เดินมาหยุดที่ประตูหน้าห้องได้ ผมก็หันกลับไปมองไนล์ที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เขาไม่ได้หันมามองผม แต่กลับไปร่างเส้นต่อราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเป็นผมเสียเองที่เพี้ยนจนแสดงท่าทางแปลกๆ ออกมา














ตั้งแต่เสร็จสิ้นการสอบมิดเทอม ผมก็ได้กลับบ้านแค่ครั้งเดียว วันนี้ผมจึงตัดสินใจว่าจะมานอนค้างที่บ้านสักคืนหรือสองคืนเพื่อให้พ่อกับแม่ได้เห็นหน้าเห็นตาลูกชายบ้าง แต่ว่าผมกลับมาถึงตอนที่ยังไม่เย็นมาก พ่อก็เลยยังไม่ได้กลับจากบริษัท ส่วนแม่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ครับ

ถึงที่บ้านของผมจะมีแม่บ้านคอยช่วยงานภายในบ้าน แต่เรื่องอาหารเย็นแม่ของผมอาสาทำเอง เพราะอยากให้มีช่วงเวลาที่เป็นของครอบครัวจริงๆ พ่อแม่ลูกกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยอาหารฝีมือแม่ อีกทั้งแม่ยังเคยบอก



‘เสน่ห์ปลายจวัก สามีรักสามีหลง จะทิ้งลงได้ยังไงกัน’



ตอนได้ยินคำตอบนั้นหลังจากบอกแม่ไปว่าให้ป้านิ่มเป็นคนทำก็ได้ แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ผมหัวเราะออกมาเสียงดังเลย แล้วก็ไม่ใช่แค่ผมด้วย เพราะพ่อเองก็หัวเราะร่วนเหมือนกัน ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวจริงๆ จะมีก็แต่ช่วงที่เริ่มเข้ามหา’ลัยนี่ล่ะครับที่ผมไม่ค่อยกลับบ้าน แต่ไปนอนคอนโดเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสผมก็อยากจะกลับมาอยู่บ้านของตัวเองบ้าง

ผมแอบย่องเข้าไปในห้องครัวให้เบาที่สุดเพื่อคนที่อยู่ข้างในจะได้ไม่รู้ตัว ก่อนจะไปยืนอยู่ด้านหลังและชะโงกมองดูว่าแม่กำลังทำอะไร เห็นว่าไม่ได้ถือมีดหรืออะไรที่พอจะเป็นอันตรายได้ ผมก็กอดหมับที่ร่างเล็กๆ นั้นทันที

“อุ้ยตาย ใจหายใจคว่ำ” เสียงอุทานจากแม่ดังขึ้นมาก่อนแล้วจึงตามด้วยเสียงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม่ทำหน้าตึงใส่ผมพร้อมกับตีที่แขนของผมไปด้วย “เข้ามาไม่ให้สุมให้เสียง แม่ตกใจหมด ถ้าเกิดแม่ถือมีดอยู่จะทำยังไง”

“กราฟดูแล้วไงว่าแม่ไม่ได้ถือมีดถึงได้กอด คิดถึงคนสวยของกราฟจังครับ”

ใช้น้ำเสียงที่ติดอ้อนนิดๆ เป็นการเอาตัวรอด ผมก็กระชับวงแขน พลอยให้แม่ถูกผมกอดแน่นขึ้น ก่อนจะตามด้วยกดปากเข้ากับแก้มนิ่มๆ นั่น ทำให้แม่ยิ้มแก้มปริ แล้วผมจึงค่อยคลายกอดออก พลางเหลือบมองสิ่งที่แม่กำลังทำค้างอยู่

“วันนี้แม่ทำอะไรครับ เดี๋ยวกราฟช่วย”

“วันนี้แม่จะทำน้ำพริกอ่อง กราฟมาช่วยแม่ต้มผักแล้วกัน นี่แม่ล้างผักค้างอยู่”

“ครับ”

ผมยิ้มให้แม่ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้น ล้างมือให้สะอาดก่อนค่อยมาล้างผักต่อจากแม่ ส่วนแม่ก็ไปเตรียมอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อทำน้ำพริกต่อ

เราสองคนช่วยกันทำอยู่ไม่นาน น้ำพริกอ่องกับผักเครื่องเคียงก็ถูกจัดสำรับเรียบร้อย น่ากินเชียวครับ ที่เหลือก็แค่รอเวลาพ่อกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันเท่านั้น ผมจึงขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวเสียก่อน กระทั่งเรียบร้อยผมก็หยิบกีตาร์ที่วางอยู่มุมห้องมานั่งดีดเล่นบนเตียงไปพลางๆ นับว่าเป็นวันสบายๆ ของผมอีกหนึ่งวันเลย

ทว่าเล่นกีตาร์ไปได้สองเพลงไม่ทันขึ้นเพลงที่สาม ผมก็ต้องหยุด เพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัด ผมจึงต้องเปลี่ยนมารับโทรศัพท์แทน แต่เบอร์ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ และผมก็ไม่คุ้นสักเท่าไรจึงกรอกเสียงกลับไปอย่างสุภาพ แม้ว่าปกติผมจะไม่ค่อยพูดคำหยาบกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทอยู่แล้วก็ตาม

“สวัสดีครับ”

[อยู่คอนโดหรือเปล่า]

แค่คำถามสั้นๆ ที่มาพร้อมกับเสียงเรียบนิ่งเหมือนคนจะหมดแรงนั้นก็ทำให้ผมจำได้ทันทีว่าเป็นใคร เมื่อคืนผมไม่ได้เมมเบอร์ของไนล์เอาไว้ เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการตามตัวคนก่อปัญหาให้ผมต้องร้อนรน จึงไม่แปลกที่ผมจะไม่รู้ว่าเป็นเขา และมันก็ทำให้ผมอดคิดในตอนนี้ไม่ได้ว่าผมน่าจะเมมเบอร์ของเขาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าเป็นเบอร์ที่ห้ามรับ ผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกวุ่นวายใจอยู่ตอนนี้ว่าเขาคิดจะทำอะไรอีกกันแน่ถึงโทรมาหาผม

“ฉันอยู่บ้าน นายมีอะไร”

ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเย็นชากว่าปกติที่คุยกับคนอื่นๆ เพราะผมรู้สึกถึงความอันตรายที่เพิ่มมากขึ้นจากระยะห่างระหว่างผมกับไนล์ที่หดสั้นลงอย่างรวดเร็ว ผมเข้าใกล้เขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่พยายามจะหลีกหนีหลายต่อหลายครั้ง เพราะฉะนั้นถึงเมื่อคืนผมจะไปนอนค้างที่ห้องของไนล์ ผมก็ต้องระวังและห้ามไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไนล์ใกล้ชิดกันไปมากกว่านี้

[บะหมี่เกี๊ยว ฉันอยากกินของร้านนั้น]

ไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นร้านไหน ผมเลยจะบอกตำแหน่งของร้านแล้วให้ไนล์ไปซื้อกินเอง แต่เหมือนเขาจะรู้ว่าผมตั้งใจทำแบบนั้น ถึงได้พูดอีกประโยคทั้งที่ผมยังไม่ทันอ้าปาก

[จะรอที่อยู่คอนโด]

เท่านั้นไนล์ก็วางสายไป ทำให้ผมอึ้งได้พอควรที่อยู่ๆ ก็ถูกชิ่งตัดสายใส่ และพอผมโทรกลับไป ก็กลายเป็นว่าติดต่อไม่ได้แล้ว ไนล์ปิดเครื่องตัดหนทางการปฏิเสธของผมโดยสิ้นเชิง จนทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาดังๆ เพราะวันนี้ผมตั้งใจแล้วว่าจะนอนที่บ้าน กินข้าวเย็นกับพ่อและแม่ แต่กลับถูกก่อกวนและเริ่มจะทำให้ใจของผมไม่สงบ

โทรศัพท์ถูกผมนำไปวางไว้ที่เดิม ก่อนกีตาร์จะถูกจับไปตั้งไว้ที่เก่า ผมออกจากห้องนอนโดยทิ้งโทรศัพท์ไว้ เพราะไม่อยากถูกรบกวนอีก อย่างน้อยมันก็จะได้ไม่เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ผมต้องห่วงหน้าพะวงหลังกับการหักดิบไม่สนใจอีกฝ่ายที่โทรมาหา

ผมลงไปชั้นล่างเพราะคิดว่าพ่อน่าจะกลับมาแล้ว ซึ่งก็เป็นจริง ผมไหว้พ่อและทักทายกันนิดหน่อยตามประสาพ่อลูกที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน และรอพ่ออาบน้ำเพื่อคลายเหนื่อยอีกประมาณสิบห้านาที อาหารมื้อเย็นของครอบครัวรัตนไพโรจน์ก็เริ่มขึ้น

ช่วงเวลาของการร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวในวันนี้นานกว่าการกินอาหารเย็นตามปกติ เพราะมีการพูดคุยสอบถาม เรื่อยเปื่อย มีสาระบ้าง ไม่มีบ้าง สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป จนผ่านไปเกือบชั่วโมงถึงจะให้แม่บ้านมาเก็บจานและทำความสะอาดโต๊ะได้

ผมมองนาฬิกาเป็นรอบที่สามเห็นจะได้ และเริ่มคำนวณเวลาว่าตั้งแต่ที่ไนล์โทรมาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว รู้สึกร้อนๆ อยู่ในอกเหมือนกำลังกระวนกระวายยังไงชอบกล ตอนที่เผลอคิดไปว่าไนล์กำลังรออยู่หรือเปล่า และรอผมตั้งแต่ตอนไหน

ทว่าอีกใจหนึ่งผมก็บอกว่าตัวเองว่า ‘ช่างสิ จะรอก็รอไป อย่าปล่อยให้เขาชักจูงผมไปมากกว่านี้’ แต่มันกลับดูไม่ค่อยจะได้ผลสักเท่าไร เพราะผมก็ย้อนกลับไปคิดอีกเหมือนเดิมว่าไนล์รอผมนานแค่ไหนแล้ว และจะรอไปถึงเมื่อไร ถ้าผมไม่ไป เขาจะทำยังไง

“กราฟ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ดูลนๆ นะ”

คงเพราะการแสดงออกทางสีหน้าหรืออาจจะเป็นท่าทางที่ลุกลี้ลุกลนของผมล่ะมั้ง ถึงทำให้แม่ต้องเอ่ยปากถามขณะที่พวกเรามารวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ทั้งที่ผมพยายามควบคุมตัวเองแล้ว กล่อมตัวเองกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายผลก็ออกมาอย่างที่ผมบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่ต้องการ

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“แต่แม่ว่ากราฟเหมือนจะมีเรื่องไม่สบายใจนะ มีธุระที่ต้องไปที่ไหนหรือเปล่าครับ”

คำถามนี้ของแม่ทำให้ผมรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย เพราะความตั้งใจว่าจะนอนค้างที่บ้านของผมถูกบั่นทอนลงด้วยความว้าวุ่นใจที่เกิดจากคนบางคน ซึ่งมันก็คงจะทำให้แม่ต้องเสียใจและผิดหวังหากว่าผมออกไปข้างนอกในเวลานี้ เพราะผมรู้ว่าแม่ดีใจแค่ไหนเวลาที่ผมกลับมาอยู่บ้าน ผมจึงต้องข่มความคิดของตัวเองเสียและทำตามที่หน้าที่ของลูกที่ดี ปฏิเสธไปอีกครั้งพลางส่งยิ้มเพื่อให้แม่สบายใจ

“ไม่ได้มีธุระที่ไหนครับ วันนี้กราฟจะอยู่กับแม่ไง”

“ถ้าจำเป็นต้องออกไป ก็ออกไปเถอะ ไม่ต้องทำเหมือนว่าจะไม่ได้กลับมาบ้านอีกหรอก”

คราวนี้เป็นพ่อที่พูดขึ้นมาบ้างราวกับรู้ใจ ถึงกระนั้นผมก็ยังแต้มยิ้มบนหน้าและตอบกลับให้พ่อกับแม่สบายใจ แม้ว่าผมจะรู้สึกหนักใจและ...เป็นห่วงอีกคนหนึ่งที่ตอนนี้ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร หรือยังรอผมอยู่หรือเปล่าก็ตาม

“กราฟว่าดูละครดีกว่านะ ละครมาแล้ว แม่ชอบเรื่องนี้ด้วยไม่ใช่เหรอครับ”

ผมจบประเด็นการพูดคุยด้วยการหันหน้าเข้าหาโทรทัศน์ที่เปิดค้างอยู่ ไตเติ้ลของละครภาคค่ำกำลังเริ่มต้นพอดี เราทั้งหมดจึงเบี่ยงความสนใจไปกรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งมีภาพฉายอยู่ในนั้น แต่ถึงแม้ตาจะมองสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบนั้น สมองของผมก็เอาแต่คิดถึงเรื่องเดิม และดูเหมือนว่ามันจะหนักขึ้นด้วย

กระทั่งสามทุ่มเกือบครึ่ง ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม บนโซฟาในห้องนั่งเล่นข้างๆ แม่ที่ยังดูละครอย่างสนุกสนาน ผมดูนาฬิกาบนผนังซ้ำๆ ไม่รู้กี่ครั้งและเริ่มรู้สึกว่าเข็มนาฬิกาหมุนช้าลงเรื่อยๆ และมันก็ทำให้ผมอึดอัดเหมือนถูกจำกัดอยู่ในห้องแคบๆ ที่แทบขยับตัวไม่ได้ ในใจเอาแต่คิดว่า ‘ไนล์จะเป็นยังไง’ อยู่แบบนั้นไม่รู้กี่สิบรอบ

สุดท้ายความพยายามของผมก็พังทลาย ผมฉุดตัวขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่พลอยให้พ่อกับแม่หันมามองกันเป็นตาเดียวคล้ายกับจะถาม ทำให้ผมรู้สึกกดดันหน่อยๆ จนต้องเม้มปากเข้าหากันอยู่ชั่วครู่ พลางคิดหาคำพูดที่จะใช้ในการบอกกับคนในครอบครัวว่าผมคิดจะทำอะไร

“กราฟขอโทษนะครับ แต่กราฟคงต้องออกไปข้างนอกก่อน”

ทั้งพ่อและแม่ดูไม่แปลกใจที่ผมบอกออกมาแบบนั้น แต่กลับระบายยิ้มให้พลางถามด้วยเสียงอารีอย่างเข้าใจ ถึงจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมผมต้องออกไปก็ตาม

“แล้วคืนนี้จะกลับมานอนที่บ้านไหม”

“กราฟไม่แน่ใจ แม่ไม่น้อยใจกราฟนะ”

ผมออกตัวไว้ก่อน เป็นวิธีการที่จะทำให้แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องผมนักว่าจะออกไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีตอบกลับมา แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ผมสะอึกได้เหมือนกัน

“แม่น้อยใจก็ดีกว่ากราฟใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่จ้องนาฬิกานะ คงเป็นเรื่องสำคัญมากใช่ไหม”

เรื่องสำคัญไหม?

ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมไม่สามารถปล่อยให้คนคนหนึ่งรอผมโดยไม่รู้ชะตากรรมอยู่แบบนั้นได้ ถึงผมจะไม่แน่ใจก็ตามว่าเขาจะยังรอผมอยู่เพราะมันผ่านมาสามชั่วโมงแล้ว ผมได้แต่ตอบ ‘กราฟไปก่อนนะครับ’ แล้วไหว้พ่อกับแม่ก่อนจะวิ่งขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและคว้าของติดตัวที่จำเป็นทุกอย่างไปขึ้นรถที่จอดอยู่ในโรงจอดรถของบ้าน














จุดหมายของผมคือคอนโดที่ผมใช้อาศัยอยู่ประจำ พ่อซื้อไว้ให้ผมตั้งแต่เข้ามหา’ลัย เผื่อผมจะได้ใช้พักผ่อนในช่วงรอเข้าเรียนระหว่างวิชา หรือไม่สะดวกกลับบ้าน ซึ่งก็นับว่าผมได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าตามที่พ่อคาดการณ์เอาไว้

ขับรถอยู่ครึ่งชั่วโมง ผมก็มาถึงที่หมาย ตอนนี้สี่ทุ่มแล้วยิ่งทำให้ใจของผมกระวนกระวายมากขึ้น ผมจอดรถที่ลานจอดชั้นล่างของคอนโดด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งเข้าไปดูว่ามีคนที่บอกว่าจะรอผมนั่งอยู่ที่ล็อบบี้หรือเปล่า แต่กวาดตามองหาจนทั่วแล้วก็ไม่เจอ

“หรือว่าจะกลับไปแล้ว”

ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ใจของผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรกลับไปยังเบอร์ที่โทรหาผมช่วงหัวค่ำ แต่ก็ยังติดต่อไม่ได้เหมือนเดิมจนผมรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

“ทำไมต้องทำแบบนี้ แล้วฉันจะติดต่อนายได้ยังไง”

บ่นกับตัวเองอย่างหัวเสียนิดหน่อยแล้วผมก็ยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ลิฟต์และขึ้นไปยังชั้นที่เป็นห้องของผม เผื่อเอาไว้ว่าคนที่ทำให้ใจของผมร้อนรุ่มจนทนนั่งอยู่ที่บ้านเฉยๆ ไม่ได้จะขึ้นมารอที่หน้าห้อง

แล้วผมก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกจริงๆ เมื่อออกมาจากลิฟต์และเดินตรงไปทางที่เป็นห้องของตัวเองก็เห็นเงาของคนบางคนนั่งอยู่หน้าห้องตั้งแต่ยังเดินไปไม่ถึง ผมก้าวขาให้ช้าลงผิดจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ก่อนจะไปหยุดอยู่ต่อหน้าคนที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น

การปรากฏตัวของผมเรียกให้ใบหน้าสวยนั้นช้อนขึ้นมา ไนล์มองหน้าผม ซึ่งผมเองก็มองเขาเช่นกัน ความอัดอั้นในใจของผมถูกระบายออกมาเป็นเสียงทันทีที่เห็นหน้าเขาได้อย่างชัดเจน

“ทำไมถึงปิดเครื่อง ทำไมถึงยังรออยู่ ทำไมถึงไม่กลับไป”

แต่แทนที่ผมจะได้คำตอบจากคำถามพวกนั้น ไนล์กลับชันตัวยืนขึ้น แต่ก็เซน้อยๆ เพราะคงนั่งอยู่นานแล้ว ผมถึงต้องยื่นมืออกไปจับตัวเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป ขณะที่ตาเรียวที่คล้ายกับแฝงอะไรไว้มากมายในความว่างเปล่ากลับจับจ้องมาที่ผม

มือเย็นๆ นั่นยกขึ้นมาแตะที่ขมับของผมแล้วลูบลงมาตรงจอนผมสั้นๆ เสียงนิ่งเรียบลอดออกมาจากกระจับปากที่ผมมองเห็นได้เด่นชัด เป็นประโยคที่เหมือนกับมีดที่แทงลงมาบนหัวใจของผมจนทำให้ตัวชา และพูดอะไรไม่ออก

“เหงื่อออก รีบมากเหรอ”

ผมต้องกลอกตาหลบสายตาคู่นั้นที่เหมือนกับรู้ทันผมทุกอย่าง อ่านความคิดของผมออกทั้งหมด อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอึกอักเสียงออกมา

“แล้วนี่ทำไมไม่รออยู่ข้างล่าง ถ้าเกิดฉันไม่ขึ้นมาข้างบนจะว่ายังไง”

“ฉันรู้ว่านายต้องขึ้นมา” รอยยิ้มที่ทำให้ใจของผมชาวูบกระตุกที่มุมปากของไนล์ช้าๆ ทั้งที่มือของเขายังแตะอยู่ที่ข้างหูของผม “นายจะตามหาฉันจนกว่าจะเจอ”

ไนล์พูดราวกับมั่นใจว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีดที่คาอยู่บนอกถูกปักลงมาลึกขึ้นอีก มันไม่เจ็บ แต่ทำให้ผมไม่สามารถขยับร่างกายได้ หัวตื้อไปหมด เหมือนกำลังถูกควบคุมโดยคนตรงหน้า

เขารู้ดีทุกอย่าง รู้ดียิ่งกว่าตัวผมเสียอีก

“แล้วนี่กินอะไรหรือยัง”

ผมถามคำถามสิ้นคิดออกไป เพราะไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ยังไง ซึ่งคำตอบที่ได้รับมาก็ทำให้ผมจุกได้เหมือนเคย แม้ว่ามันจะไม่ตรงคำถามก็ตาม

“ฉันรอนายอยู่”

“โอเค งั้นไปกินได้แล้ว”

คงไม่แปลกที่ความรู้สึกผิดจะถมขึ้นมาในใจเมื่อคิดว่าไนล์ต้องรอผมนานแค่ไหน ทั้งที่เขาควรจะได้กินข้าวเย็นตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน แต่เป็นเพราะผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้มาที่นี่ เขาถึงต้องทนหิ้วท้องรอแบบนี้ และมันก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหากว่าผมไม่มาจริงๆ เขาจะทำยังไง จะรอต่อไปอีกหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวจนปล่อยไปไม่ได้

ไนล์มักทำอะไรที่ผมไม่คาดคิดอยู่เสมอ

ใช้ชีวิตเหมือนคนที่ไม่กลัวอะไรเลยและพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ

เป็นคนที่น่ากลัวมากสำหรับผม ...แล้วก็น่าห่วงมากเช่นกัน

มือที่แตะอยู่บนหน้าของผมถูกผมคว้าเอาไว้ ก่อนผมจะออกเดินนำและดึงให้เขาเดินตามมา เราลงลิฟต์ไปชั้นล่างและตรงไปที่รถของผมทันที ผมรีบขับรถให้เร็วกว่าปกติเล็กน้อยเพราะกลัวว่าร้านบะหมี่เกี๊ยวจะปิดเสียก่อน ซึ่งมันคงไม่ดีแน่หากคนที่รอจะกินต้องกลายเป็นรอเก้อเพราะผม แต่ว่าโชคยังดีครับที่ไปถึงแล้วร้านยังเปิดอยู่

ผมหาที่จอดรถริมถนนที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านนั้น เพราะว่ามันเป็นร้านที่อยู่ในตึกแถวริมถนนแค่หนึ่งคูหา และมีคนแวะเวียนกันมากินเรื่อยๆ วันนี้คนไม่เยอะมากเพราะคงดึกแล้ว ผมสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูกรอบพิเศษหนึ่งชาม ไม่ใช่สำหรับผม แต่สำหรับคนที่มาด้วยกัน ก่อนจะเดินนำไปนั่งที่โต๊ะว่างๆ และสั่งโค้กกับน้ำแข็งเปล่ามาเพิ่ม

รอไม่นานบะหมี่ที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมเลื่อนชามที่ถูกนำมาวางตรงหน้าไปที่ให้ไนล์ พลางบอก ‘กินซะสิ’ ไนล์ถึงได้หยิบตะเกียบขึ้นมาและปรุงเครื่องปรุงตามรสชาติที่ผมเห็นแล้วเสียวไส้ น้ำสีเหลืองอ่อนๆ กลายเป็นสีแดงส้ม ก่อนเส้นบะหมี่จะถูกคีบเข้าปากพร้อมกับหมูกรอบ

“ไม่กินเหรอ”

กินไปได้สองสามคำไนล์ก็ถามผม เพราะผมไม่ได้สั่งอะไรเพิ่ม แค่ดูดโค้กจากแก้วที่เทออกมาแบ่งกับเขาบ้างเป็นระยะ ผมจึงตอบกลับไปตามจริง ถึงมันจะทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยก็ตาม

“ฉันกินมาแล้ว”

แต่ไนล์กลับแสดงออกตรงข้ามกับผม เขาคลี่ยิ้มบางๆ ในช่วงเวลาที่สั้นมากจนหากไม่ได้มองอยู่ก่อนแล้วคงไม่ทันเห็น และมันยังเป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากที่เคยเห็นๆ มา

ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของไนล์ ผมจะรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นเย็นชืด ไม่มีชีวิตและไม่มีความรู้สึก แต่ครั้งนี้มันทำให้ผมรู้สึกว่า...มันมีอะไรมากกว่านั้น

ผมเห็นความดีใจที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของไนล์

และก็ทำให้ผมรู้สึกอิ่มเอมในอกอยู่หน่อยๆ จนต้องประหลาดใจ

“ทำไมนายถึงยิ้ม”

“ยิ้ม?”

ไนล์เงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อยหลังจากตักน้ำซุปสีส้มเข้าปากและกลืนเรียบร้อยแล้ว ถามผมย้อนกลับมาเหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

“นายยิ้ม แต่ยิ้มไม่เหมือนกับทุกที”

“ก็แค่ดีใจ..........ที่นายมานั่งรอฉัน”

เหตุผลแค่นั้นแต่กลับทำให้คนตรงหน้าของผมยิ้มได้ด้วยความดีใจ ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็พลอยให้ผมต้องกลั้นยิ้มอย่างไร้เหตุผล รู้แต่ว่าผมรู้สึกดีกับคำตอบนั้นจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้

ราวกับตกอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ ผมมองไนล์ที่ก้มหน้ากินบะหมี่ในชามอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยความรู้สึกว่าผมอิ่มไปด้วย แต่เป็นความรู้สึกอิ่มใจเสียมากกว่า ทว่าผมก็เกือบสะดุ้ง เพราะเสียงโทรศัพท์ของไนล์ดังขึ้นมา ผมเห็นเขาเปิดเครื่องตั้งแต่ตอนอยู่บนรถของผมแล้ว เป็นการยืนยันว่าเขาปิดโทรศัพท์เพราะผมจริงๆ

ไนล์ถนัดในการทำให้ผมว้าวุ่นใจเพราะเขาได้เสมอ






อ่านต่อด้านล่าง

v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน


v


v


“สวัสดีครับ”

ไนล์วางมือจากตะเกียบและยกแก้วที่ใส่โค้กขึ้นมาดูดไปหนึ่งอึกก่อนจะรับโทรศัพท์ที่ติดต่อเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเขาคุยเรื่องอะไร เพราะได้ยินแค่เพียงฝั่งเดียว แต่ก็พอจะคาดเดาได้

“พรุ่งนี้ผมมีแล็บ เลิกสี่โมง”

“เดี๋ยวผมไปหาที่คณะครับ”

“ครับ พี่มายด์ เจอกันพรุ่งนี้ครับ ฝันดีครับ”

วางสายแล้ว ไนล์ก็กลับมากินบะหมี่ที่พร่องลงไปจนเกือบหมดต่อ ผมได้แต่มองเขาพร้อมความรู้สึกแปลกๆ ในใจ แต่ก็พยายามจะไม่คิดอะไร รอกระทั่งไนล์กินเสร็จก็ได้เวลาที่จะแยกย้ายกันเสียที

“เท่าไร”

ตะเกียบถูกวงลงบนชามและดื่มโค้กที่เหลือจนหมดแล้ว ไนล์ก็ถามขึ้น เตรียมหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาจ่ายค่าบะหมี่ แต่ผมหยุดเขาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวฉันจ่ายเอง ถือว่าเป็นการขอโทษที่ทำให้นายต้องทนหิว”

เหตุผลนี้อาจจะฟังขึ้น ไนล์ถึงได้ยอมเก็บกระเป๋าเงินกลับคืนตามเดิม ผมจึงเป็นฝ่ายลุกจากโต๊ะก่อนและเดินไปจ่ายเงินกับคนขาย ไม่ได้เรียกให้เขามาคิดเงินที่โต๊ะ เพราะถึงอย่างไรผมก็ต้องเดินไปทางหน้าร้านอยู่แล้ว จ่ายเงินเสร็จผมก็รอไนล์อยู่หน้าร้าน ซึ่งคนที่ผมรอก็ตามออกมาในเวลาไล่ๆ กัน ก่อนจะเกริ่นประโยคที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“ไปคอนโดของนายนะ”

“ทำไมต้องไปคอนโดฉัน เดี๋ยวฉันไปส่งนายเหมือนเดิมก็ได้ ยังไม่ดึกเท่าไร”

“เมื่อคืนนายนอนที่ห้องของฉันแล้ว คืนนี้ฉันจะไปนอนที่ห้องของนายบ้าง”

ผมอยากตอบกลับไปว่าไม่ต้อง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงหยุดเสียงของตัวเองเอาไว้ ไม่ตอบอย่างที่ใจคิด และมองหน้าไนล์อยู่อย่างนั้นราวกับจะให้มันเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งมันก็ทำให้ผมตัดสินใจได้จริงๆ แต่เป็นการตัดสินใจที่ผิดจากความตั้งใจดั้งเดิมของผมโดยสิ้นเชิง

ไม่ได้ตอบเป็นคำพูด ผมไปรอไนล์ที่รถเลย ซึ่งเจ้าตัวก็คงพอจะเดาคำตอบจากผมได้ ถึงตามมาโดยไม่พูดอะไรอีก ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกในทางที่ไม่อยากเดิน หรือเพราะความลังเลของผมเอง ที่ใจหนึ่งอยากจะออกห่างจากไนล์ในมากที่สุด แต่อีกใจกลับอยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นยังไงกันแน่

ในตอนนี้ผมรู้สึกไม่ต่างจาก...ยิ่งห้ามตัวเองเท่าไร ก็ยิ่งถลำลึกลงไปเท่านั้น










มาถึงห้องผมก็เตรียมผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าให้ไนล์เปลี่ยนสำหรับใส่ในคืนนี้ แต่ผมเป็นฝ่ายเข้าไปอาบน้ำก่อน เพราะไนล์เพิ่งกินมาอิ่มๆ ให้อาบน้ำเลยคงจะไม่ดี ซึ่งพอผมจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย มาอยู่ในชุดเสื้อยืดกับบ็อกเซอร์สีเข้ม ไนล์ก็เข้าไปอาบน้ำต่อและมาแต่งตัวที่ด้านนอกเหมือนอย่างเมื่อวาน

ชุดที่ผมเลือกให้ไนล์เป็นเสื้อยืดเช่นเดียวกัน แต่กางเกงที่สวมเป็นกางเกงขาสั้นที่ผมพยายามเลือกตัวที่สั้นที่สุดสำหรับผมแล้ว แต่มันก็ยังใหญ่อยู่ดีเมื่อเทียบกับขนาดตัวของไนล์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อหรือกางเกง ชุดนี้ผมเคยให้ไฮยีนใส่ตอนมันมาค้างที่ห้องของผมอยู่เหมือนกัน แต่ตอนที่มันใส่ดูหลวมน้อยกว่านี้ ซึ่งก็คงไม่แปลก เพราะไอ้ยีนสูงกว่าไนล์นิดหน่อย และก็มีเนื้อมีหนังกว่าด้วย

ผมมองไนล์ที่อยู่ในชุดของผมทั้งตัวแล้วก็ต้องหลุดยิ้มออกมานิดๆ เพราะคนตรงหน้าของผมตอนนี้เหมือนกับเด็กที่หยิบชุดพี่ชายที่อายุมากกว่าหลายๆ ปีหรือว่าพ่อมาใส่ เพราะมันดูหลวมโพรกไปหมด ยิ่งกว่าเสื้อกล้ามที่เขาใส่เมื่อวานเสียอีก ไหล่เสื้อตกไปอยู่ตรงต้นแขนจนผมยังสงสัยว่ามันจะน่ารำคาญหรือเปล่า

“ขำอะไร”

ไนล์ย่อตัวมานั่งข้างผมบนเตียงและถามคำถาม ขณะที่ก็จดจ้องเข้ามาในตาผมด้วย สายตาของเขายังดูเหมือนหลุมสีดำที่เคว้งคว้างและว่างเปล่า ทว่าในวันนี้ผมกลับสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนไปนิดๆ ประกายอะไรบางอย่างราวกับแสงสีขาวจุดเล็กๆ ที่ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดดำ มันเป็นแววของความมีชีวิต ไม่ใช้ไร้ชีวิตเหมือนทุกที และมันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะมองค้างอยู่ข้างนั้นด้วยความสนใจ

“เสื้อผ้าของฉันคงใหญ่เกินไปสำหรับนาย”

“ไม่เห็นมีอะไรที่ตลกหรือน่าขำ” ไนล์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยังเรียบเหมือนเคย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องใหม่แบบไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว “นายเมมเบอร์ของฉันหรือยัง”

ผมชะงักไปนิดหน่อยที่ไนล์รู้ทันผมอีกแล้วว่าผมยังไม่ได้บันทึกเบอร์ของเขาลงในโทรศัพท์ และยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถามนั้น ร่างโปร่งบางนั่นก็ชะโงกเข้ามาหาผมแล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ผมวางเอาไว้ตรงหัวเตียงอย่างถือวิสาสะ จนผมต้องรีบคว้ามือซนๆ นั่นเอาไว้

“จะทำอะไร”

“เมมเบอร์ฉันลงไป”

“ฉันไม่อยากเมม”

ตอบกลับไปอย่างชัดเจนและลืมตัว ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกอะไรกับคำพูดเมื่อครู่ของผมหรือเปล่า หรือว่าผมอาจจะคิดไปเอง แต่ประกายตาวูบหนึ่งที่ผมได้เห็นมันหายไปแล้ว กลับกลายเป็นไนล์ที่สบตาผมด้วยแววตาที่เหมือนคนไร้ชีวิตเหมือนเดิม

“ถ้านายเมม ฉันจะบอกว่าความลับหนึ่งอย่าง”

คนที่นั่งเผชิญหน้ากับผมยื่นข้อเสนอมาให้ และมันก็เป็นข้อเสนอที่ทำให้ผมสนใจไม่น้อย ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาที่จะได้รู้เรื่องของไนล์มากขึ้น ได้รู้ถึงเหตุผลที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผม จึงรีบโพล่งกลับไปทันควัน

“แน่ใจนะว่าไม่ว่าฉันถามอะไร นายจะตอบ”

“อืม”

“งั้นก็เมมเลย”

ผมไม่รอช้าปล่อยมือตัวเองออกจากมือของไนล์และรีบเร่งให้เขาทำอย่างที่ต้องการ เพราะผมสามารถลบเบอร์ของเขาทีหลังได้ แต่ผลตอบแทนที่ผมจะได้รับมันคุ้มกว่า

“รหัส”

เพราะผมล็อกโทรศัพท์เอาไว้ ไนล์จึงยังจัดการอย่างที่ผมบอกไม่ได้ จึงบอกรหัสปลดล็อกไป ซึ่งก็คือเลขที่ผมกับเพื่อนๆ ในกลุ่มแต่ละคนชอบ รวมกันมาตั้งเป็นรหัส เลขสี่ตัวแทนพวกเราสี่คน เรียงเลขเวียนตามเจ้าของเครื่องและลำดับวันเกิด ฉะนั้นไม่ว่าผม ยีน กัส หรือเคลม ก็จะรู้รหัสของกันทั้งหมด เพราะพวกเราไม่มีความลับต่อกันอยู่แล้ว เว้นก็แต่เรื่องไนล์ที่ผมยังไม่ได้บอกใคร

ตราบใดที่เรื่องของไนล์ยังไม่ชัดเจน ผมคงไม่รู้จะบอกว่ายังไง

มือเรียวเล็กเมื่อเทียบกับมือของผมกดตัวเลขไปตามที่ผมบอก ก่อนจะจัดการบันทึกเบอร์ของเจ้าตัวลงไปในโทรศัพท์ กระทั่งเรียบร้อยไนล์ก็เงยหน้าขึ้นมามองผม

“อยากรู้อะไร”

ถึงเวลาที่รอคอย ผมกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจพลางคิดถึงคำถามที่อยากรู้ที่สุดจากคนตรงหน้า คำถามที่ผมจะได้คำตอบที่ชัดเจนและทำให้ผมกระจ่างในทุกๆ เรื่อง และยังเป็นคำถามที่ผมเพียรถามผู้ชายคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ไม่เคยได้คำตอบเสียที

“นายต้องการอะไร ถึงเข้ามาในชีวิตของฉัน”

ผมถามอย่างชัดถ้อยชัดคำและเคลียร์หูรอฟังคำตอบ แต่ยังไม่ตอบ ไนล์ก็ถามย้อนกลับมาเสียก่อน

“แน่ใจว่าจะถามคำถามนี้”

“แน่ใจ”

เสียงของผมหนักแน่นกว่าครั้งไหนที่เท่าที่ผมจำได้ ในใจรอลุ้นกับความลับที่จะหลุดออกมาจากริมฝีปากสีพีชด้านหน้า ผมจ้องเรียวหน้าสวยนั้นไม่วางตาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างที่ไม่เคยทำ

“ฉันเข้ามาในชีวิตนายก็เพราะ.......ฉันอยากให้นายเลิกยุ่งเกี่ยวกับพี่ดาหลา”

คำตอบที่ได้รับมาคล้ายๆ กับครั้งหนึ่งที่ไนล์เคยตอบผม พานให้รีบสวนเสียงกลับไปเพราะกลัวพลาดโอกาสถามต่อ

“แล้วทำไมต้องไม่อยากให้ฉันเข้าใกล้พี่ดาหลา”

ทว่า...

“ความลับหนึ่งอย่าง”

ไนล์ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มจางที่เย็นชืดแฝงด้วยแววเยาะหยันน้อยๆ ดั่งจะบอกว่าเขาเตือนผมแล้วว่าจะถามคำถามนี้เหรอ แต่ผมก็ยังดันทุรัง ทำให้ผมต้องชะงักและรู้สึกว่าตกหลุมพรางไปเต็มๆ

“เอาโทรศัพท์ฉันคืนมา ฉันจะลบเบอร์นายออกแล้วเมมใหม่ ฉันจะถามนายอีกรอบ”

คิดกลโกงขึ้นมาได้ ผมก็รีบยื่นมือไปแย่งโทรศัพท์ของผมที่ยังอยู่ในมือของไนล์ แต่ไนล์ก็โยกตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว ผิดจากลักษณะที่ดูเหมือนคนไม่มีแรงและพร้อมจะสูญสลายหายไปได้ทุกเมื่อ ทำให้ผมต้องเอื้อมตัวเข้าหามากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงคนที่เอนหลบอยู่ดี

มือเรียวยื่นของที่อยู่ในมือไปด้านหลังสุดแขน ทำให้ผมที่นั่งอยู่ด้านหน้าต้องโน้มตัวเข้าหามากกว่าเก่า และคงเพราะผมเอาแต่จะแย่งโทรศัพท์คืนจากไนล์ ถึงได้ไม่ทันระวัง เสียหลักจนกลายเป็นโถมตัวเข้าใส่คนตรงหน้าทำให้ร่างผอมบางนั้นหงายลงไปนอนแผ่กับที่นอน ขณะที่ผมก็ล้มลงไปคร่อมเขาเช่นกัน

สายตาของเราสองคนประสานกันอย่างไม่ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าไนล์กำลังรู้สึกแบบไหนตอนที่เราจ้องตากันอยู่แบบนี้ แต่ผมรู้สึกเหมือนหยุดหายใจไปวินาทีหนึ่ง ทุกอย่างรอบตัวคล้ายกับหยุดเคลื่อนไหว ตาของผมจับจ้องไปที่ตาเรียวสีดำสนิทที่สะท้อนภาพของผมอยู่ในนั้น และมันก็ราวกับมีแรงดึงดูดให้ผมอยากจะมองเข้าไปให้ลึกขึ้นจนไม่สามารถละสายตาได้

หน้าของผมขยับเข้าไปใกล้หน้าของไนล์ช้าๆ จนระยะห่างระหว่างเราแทบจะหมดลง ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่าออกมาจากจมูกของคนที่อยู่ใต้ร่างของผม มันอุ่นและก็ทำให้ผมรู้สึกว่าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้ายของผมกำลังเต้นแรงขึ้นพร้อมกับใบหน้าของผมและไนล์ที่ห่างกันน้อยลงทุกที...







================
จะจูบไหมน้อ?

ดูท่ากราฟจะหนีไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ

ตอนที่แล้วมีคนบอกว่าถึงไนล์จะออกเยอะ แต่บทพูดยังน้อย
จริงๆ เรื่องนี้บทพูดน้อยๆ ทั้งนั้นเลย กลัวอยู่เหมือนกันว่ามันน่าจะเบื่อหรือเปล่า
แต่คาแรกเตอร์เป็นแบบนี้ ก็เลยต้องออกมาแบบนี้ ฮาาา :katai5:

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ
ตอนนี้ค่อยๆ เฉลยเกี่ยวกับตัวไนล์ไปเรื่อยๆ ออกมาทีละนิดๆ อยู่ค่ะ


Undel2Sky


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
กราฟ อย่าเล่นตัวมาก
กร๊ากกกกกกกกกกกกกก
คือไนล์เป็นคนน่าค้นหาจริงๆ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไร
ชอบกราฟแน่ๆหรือไม่ใช่ แล้วพี่มายด์อะไรนั่นอีก
รออ่านนิยายเรื่องนี้เสมอนะคะ
ตอนหน้าคงได้จูบกันแล้วแหละ #ไซโคล 5555555555555+

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
บรรยากาศแบบนี้ก็สนุกดีนะ มันดูเป็นการค่อยๆแง้มความลับออกมาให้ได้ลุ้นตลอด
แต่ไนล์กับกราฟดูผูกพันกันแล้วนะอิอิ กราฟไปไหนไม่รอดแล้วมั้งแบบนี้

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
จะได้จูบมั้ยหนอ :hao6:

ออฟไลน์ from_mars

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-0
โอยยยยยยย แย่แล้วววว
ยังไงนี่!! แม่ยกอึดอัด แต่ก้อลุ้นนะ 5555
สักที่เถอะ! (หมายถึงคุยให้รู้เรื่อง) คึคึ รออ่านต่อ และขอบคุณจ้า

ออฟไลน์ killerofcao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ฮิ๊ววววววว เขิน  :กอด1:

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
อิอิ ตอนหน้าจูบไม่จูบไม่รู้แต่ตอนนี้น้องกราฟเป็นฝ่ายเริ่มนะนั่น
สงสัยน้องกราฟคงไปไหนไม่รอดเผลอตัวเผลอใจให้กับความน่าค้นหาของน้องไนล์ไปแล้วอะจิ
ขนาดร้อนรนสับสนเพราะกลัวน้องไนล์คอยเก้อเลยอะ แสดงว่าเริ่มแคร์ความรู้สึกน้องไนล์มากขึ้นแล้ว
แล้วความลับหนึ่งอย่างนี่ก็น่าเจ็บใจแทน เหมือนหลงกลน้องไนล์เลยอะ
สรุปไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเหมือนเดิม 555 แต่ตอนนี้เริ่มอยากรู้อีกอย่างพี่มายด์คือใคร ? เกี่ยวอะไรกะน้องไนล์นะ
แล้วทำไมเวลาปกติน้องไนล์ก็ดูเฉย ๆกะน้องกราฟ แต่พอตกเย็นต้องหาข้ออ้างให้น้องกราฟไปหาไปค้างด้วยตลอด
แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหาข้ออ้างมาค้างกะน้องกราฟแทนล่ะ 555 แล้วตอนนี้ยังบังคับให้น้องกราฟเมมเบอร์ตัวเองไว้อีก
น้องไนล์ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าน้องกราฟจำเบอร์ตัวเองได้อาจไม่ยอมรับสายก็ได้
เพราะที่รับสายแต่ละครั้งนี่ก็เพราะน้องกราฟไม่รู้ว่าเป็นเบอร์น้องไนล์นะ แต่ดูจากตอนนี้
คิดว่าต่อไปน้องกราฟคงไม่ปฏิเสธอะไรที่เป็นน้องไนล์แล้วล่ะมั่ง เอ๊ หรือจะยิ่งหนีไม่รู้ (แบบหนีใจตัวเองอะค่ะ)
รอติดตาม และ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนเหมือนเดิมค่ะ  :pig4:  :กอด1:
ปล.ถึงน้องไนล์จะได้พูดน้อยแต่ไม่ได้น่าเบื่อนะค่ะ น่าค้นหาดีออก  :mew1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2013 21:09:24 โดย Lily teddy »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ
















การเคลื่อนที่ทีละน้อยราวกับถูกแรงดึงดูดบางอย่างเหนี่ยวรั้งให้หน้าของผมเข้าใกล้ไนล์หยุดลงก่อนที่ริมฝีปากของผมจะแตะลงบนปากของคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง เหลือเพียงอากาศเล็กน้อยที่กั้นระหว่างผมกับไนล์เอาไว้ ไออุ่นๆ ที่รดอยู่บนแก้มของผมยังคงทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นด้วยจังหวะที่เร็วเหมือนเดิม

ผมกะพริบตาอยู่สองครั้งและดึงสติกลับมาได้ก่อนจะเผลอทำอะไรที่ไม่สมควรทำลงไป จากนั้นก็ดันตัวขึ้นถอยห่างคนที่ทอดสายตามองทางผมโดยไม่หลบเลี่ยง แววตาของไนล์ไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไรผิดกับผมที่รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเองไปเต็มๆ จนต้องตั้งสติอีกครั้ง

“ฉันไม่ถามนายแล้วก็ได้”

ต้องตัดใจในสิ่งที่อยากรู้ไปเพราะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ซึ่งหลังจากผมบอกแบบนั้นไนล์ก็ลุกขึ้นนั่งเช่นกันก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้ผม ผมจึงนำไปวางไว้ตรงหัวเตียงแล้วล้มตัวลงบนเตียงเป็นการตัดบททุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการสนทนา เจรจา หรืออะไรก็ตามแต่พลางบอก

“นอนได้แล้ว ปิดไฟด้วยล่ะ”

ผมพลิกตัวหันหลังให้ไนล์และหลับตาลงแน่นเพื่อข่มความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ให้คนที่ขอมานอนกับผมในคืนนี้มีอิทธิพลหรือทำให้ผมรู้สึกอะไรที่ไม่เป็นตัวเองมากไปกว่านี้

เมื่อผมทำอย่างนั้น ที่นอนทางด้านหลังก็เกิดแรงยวบขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับว่าน้ำหนักที่มีอยู่ก่อนหน้าหายไป ซึ่งก็เดาได้ไม่ยาก ไนล์เดินไปปิดไฟที่ข้างประตูห้องตามคำบอกของผม ก่อนจะกลับมาที่เตียงอีกครั้ง ร่างโปร่งบางนั้นหย่อนลงตัวบนที่นอนอย่างช้าๆ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความมืดจนแทบมองไม่เห็นอะไร ทว่าผมก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกคน

ไนล์เอนตัวลงนอนข้างๆ ผม ทั้งที่เตียงของผมค่อนข้างกว้าง แต่เขาทำเหมือนมันแคบมากจนต้องมานอนเบียดกับผม และมันก็เป็นสร้างปัญหาให้ผม เพราะมันทำให้ผมไม่กล้าขยับตัวหรือแม้แต่พลิกตัวกลับไปอีกด้านที่มีเขาอยู่ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผ่อนออกมาทางปากแทน เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ทว่าสุดท้ายก็ต้องขับเสียงออกมาจากลำคออย่างระมัดระวัง

“ทำไมนายต้องมานอนเบียดฉัน ที่ออกตั้งกว้าง”

“แล้วทำไมนายต้องเดือดร้อนแค่เพียงฉันนอนข้างๆ นาย”

แต่แทนที่ผมจะได้คำตอบกลับมา กลับกลายเป็นคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะถูกยอกย้อนจนตอบไม่ถูก เพราะผมก็ไม่เข้าใจเหตุผลเช่นเดียวกัน กับเพื่อนคนอื่นๆ โดยเฉพาะไอ้ยีน ผมเคยนอนกอดมันมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยด้วยซ้ำว่าจะมีใครนอนอยู่ใกล้ๆ ในตอนนี้ ทว่าทั้งที่รู้แบบนั้นผมกลับบอกตัวเองให้รู้สึกอย่างที่คิดไม่ได้

“...”

ความเงียบโรยตัวลงมาอย่างฉับพลันเมื่อสิ้นเสียงของไนล์ ผมตอบคำถามของเขาไม่ได้ เช่นเดียวกับเขาที่ไม่ได้คะยั้นคะยอเพื่อขอคำตอบจากผม ตามนิสัยที่ไม่แยแสต่อใครอยู่แล้ว ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ ว่ากำลังทำอะไรกันแน่

บางครั้งก็ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ไม่สนใจ

แต่บางครั้งก็ทำเหมือนกับ...กำลังเรียกร้องความสนใจจากผม

แล้วตอนนี้ก็เหมือนว่าผมจะกำลังโดนเรียกร้องความสนใจอยู่จริงๆ เพราะท่ามกลางความเงียบ ผมกลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แตะลงบนหลังจนต้องเอี้ยวตัวหันไปดู ซึ่งคำตอบที่ได้ผ่านความมืดก็คือไนล์เอนตัวเข้าหาผมและวางหน้าผากแตะกับหลังของผมเอาไว้นิดๆ

ไม่มีอะไรที่มากกว่านั้น เพียงแค่จุดเล็กๆ ที่ถูกสัมผัส แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนมีอะไรมากมายซ่อนอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมกลับรู้สึกว่าไนล์กำลังเหนื่อยและต้องการที่พักผ่อนที่สามารถทำให้สบายใจได้ เขาเหมือนคนที่เวลาชีวิตกำลังจะหมดลงถึงต้องการกำลังใจสำหรับก้าวเดินต่อไป และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมนอนลืมตาอยู่เฉยๆ โดยไม่พูดอะไรไม่ได้

“ถ้าเหนื่อยนัก จะพักก็ได้”

ผมอาจจะหน้าแตกที่เสนอตัวไปแบบนั้น และไนล์อาจจะมองว่าผมหลงตัวเอง คิดไปเอง เขาไม่ได้อ่อนแอแบบนั้น ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมากลับเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่ผมคิดมันถูกต้อง ไนล์ขยับตัวเข้าใกล้ผมอีกก่อนจะกอดผมจากทางด้านหลังและแนบหน้าเข้ากับหลังของผมแน่นขึ้น

ผมรู้สึกเย็นวูบในใจนิดหน่อยเหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้ามา ก่อนที่ความเย็นนั้นจะเลือนหายไปจนกลายเป็นความอุ่นเข้ามาแทนที่ ผมนอนนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนตัวเพื่อให้ไนล์กอดผมได้อย่างเต็มที่ นอนลืมตาอยู่อย่างนั้นพักใหญ่จนรู้สึกว่าคนด้านหลังสงบลง ไม่มีแรงกอดที่คอยกระชับตัวของผมเอาไว้ แต่เป็นการกอดหลวมๆ ขณะที่หน้ายังแนบอยู่กับแผ่นหลังของผมเบาๆ ผมถึงค่อยๆ เอี้ยวตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อมองคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้น

ไนล์นอนหลับด้วยท่าทีที่สบายมากขึ้น ทำให้ผมรู้ว่าเขาหลับไปแล้ว เห็นอย่างนั้นผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย เพราะไนล์ที่ดูอ่อนแอเป็นคนที่ผมไม่คุ้นเคย และมันก็ทำให้ผมอดรู้สึกห่วงเขาไม่ได้ คงต้องโทษนิสัยขี้ใจอ่อนและชอบเอาใจใส่คนไปทั่วของผมล่ะมั้ง ที่ทำให้ผมเมินเฉยต่อเขาไม่ได้ ทั้งที่เหมือนว่าผมกำลังตกลงไปในหลุมพรางที่ไนล์ขุดเอาไว้มากขึ้นไปทุกที













เพราะวันนี้ทั้งผมและไนล์ต่างก็มีเรียนตอนเช้าด้วยกันทั้งคู่ ผมจึงขับรถไปส่งไนล์ที่แมนชั่นก่อน แล้วค่อยเข้ามหา’ลัย ไปนั่งรอเพื่อนคนอื่นที่โรงอาหารกลางเหมือนวันอื่นๆ ซึ่งพอพร้อมหน้าพร้อมตา ก็เหมือนเดิมครับที่ไอ้ยีนหน้ายุ่ง เพราะมีพี่ภูนั่งประกบอยู่ข้างๆ เพื่อนรักของผมยังบ่นเรื่องเดิมๆ แม้กระทั่งขึ้นห้องเรียนแล้ว

“ทำไมมึงต้องให้ไอ้พี่ชมพู ไปรับไปส่ง ตามติดกูยิ่งกว่าขี้ติดตูดด้วย มึงต่างหากที่เป็นคนผิด มึงสมควรจะเป็นคนรับผิดชอบไม่ใช่มัน โคตรเซ็งเลยว่ะ”

“แล้วพี่ภูไม่ดีตรงไหน เขาก็เอาใจมึง ตามใจมึงไม่ใช่หรือไง”

“ตามใจห่าอะไรล่ะ” ยีนสบถออกมาเต็มเสียงเลยครับ ถึงจะเสียงไม่ดังมากเพราะมีคนอื่นๆ ในเมเจอร์อยู่ในห้องด้วย แล้วก็ทำหน้าเซ็งยิ่งกว่าเดิม มันเอนตัวมาพิงกับบ่าของผมเอาไว้เหมือนคนหมดแรง “กูรำคาญมัน ไม่อยากให้มันมายุ่งกับกู เห็นหน้าแล้วหงุดหงิด”

“ทำไมมึงต้องหงุดหงิดพี่ภูด้วยวะ เขาทำอะไรให้ ตอนนี้ก็ไม่ได้ด่าหรือคอยหาเรื่องมึงเหมือนตอนแรกๆ ไม่ใช่หรือไง”

“แต่มันกวนตีนกู ถ้าเป็นมึงนะ กูคงสบายใจกว่านี้เยอะ”

“มึงก็เปิดใจหน่อย ถ้ามึงอคติ มึงก็ต้องไม่พอใจอยู่แบบนี้”

ผมบอกมันพลางใช้มือขยี้ผมของยีนไปด้วย ซึ่งมันก็ไม่ได้ปัดมือผมออกแต่อย่างใด แค่นั่งพิงผมเฉยๆ เพราะจะว่าไปก็ชินกับการทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เพื่อนผมคนนี้บางทีมันก็เหี้ย บางทีมันก็อ้อน แล้วแต่อารมณ์ของมัน แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ ในห้องเลกเชอร์จะไม่ค่อยชินเท่าไร ถึงได้มีหลายสายตามองมาทางผมกับไอ้ยีนกัน ก่อนจะตามด้วยเสียงซุบซิบที่ค่อนข้างดังของปลาย สาวสวยประธานเมเจอร์ที่ห้าวสุดๆ

“สวีทกันอีกแล้วว่ะ มึงนี่ฮอตจริงๆ นะไฮยีน ผู้ชายรุมล้อมรอบตัว”

ได้ยินแล้วผมก็ยิ้มขำอยู่หน่อยๆ ปลายไม่ได้จะเหน็บแนมหรือมีเจตนาร้าย แต่แค่แกล้งแซวไอ้ยีนเฉยๆ แต่ไอ้ยีนดูจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร มันพูดเสียงลอดไรฟันให้ผมได้ยิน

“นี่ถ้ากูไม่ต้องทำตัวเป็นเด็กเนิร์ดแว่นหนา ไม่มีปากมีเสียงนะ ไอ้ปลายโดยกูตบกบาลแยกไปแล้ว แม่งชอบเชียร์กูให้ได้กับผู้ชายจัง”

“มึงก็ทำเป็นไม่ได้ยิน อย่าไปสนใจเลย ใครอยากล้ออยากแซวอะไรก็ปล่อยเขา”

“ครับ คุณพ่อพระ แหม มึงนี่จิตใจดี ประเสริฐเลิศล้ำเกินไปนะเนี่ย”

เหมือนพูดเหมือนประชดประชันผมนิดๆ ผมเลยขยี้ผมของมันไปอีกที มันก็หัวเราะออกมานิดๆ ก่อนจะเริ่มต้นหัวข้อสนทนาใหม่ที่เป็นเรื่องของผมแทน

“ว่าแต่ช่วงนี้มึงเป็นยังไงมั่งวะ ตามจีบรุ่นพี่ดาวคณะอะไรนั่นถึงไหนแล้ว”

“ก็เรื่อยๆ ว่ะ ว่างๆ กูก็พยายามไปหาเขา เผื่อจะมีโอกาสที่ไม่ถูกขัดขวางบ้าง”

ผมตอบมันไปตามจริง เพราะก่อนหน้านี้มีอยู่หลายครั้งที่ผมไปหาพี่ดาหลา แต่ก็ถูกไนล์ที่รู้ได้ยังไงไม่รู้มาตามขัดตลอด

“มีคู่แข่งซะด้วย แล้วนี่เขารู้หรือยังว่ามึงชอบ”

คราวนี้ไอ้ยีนดูสนใจความคืบหน้าของผมมากขึ้น แถมยังเข้าใจไปว่าผมมีคู่แข่งเสียอีก มันผละตัวออกจากไหล่ของผมแล้วหันหน้ามาคุยกันโดยตรง ตาเรียวกลมสีดำนั่นจ้องมองผมด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ผมก็ไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดของมันว่าไนล์เป็นคู่แข่งของผม เพราะถ้าอธิบาย จะยิ่งแปลกและงงมากขึ้นไปอีก

“รู้ดิ กูก็ไม่ได้ปิดบังอะไรนี่หว่า”

“แล้วเขามีท่าทีชอบมึงบ้างหรือยัง”

“ไม่รู้วะ กูไม่ได้สังเกตเขาขนาดนั้น”

ไม่ใช่อย่างที่ผมตอบไฮยีนไปเสียทีเดียว ผมก็คอยสังเกตพี่ดาหลาอยู่บ้างว่ามีท่าทีอะไรกับผมไหม ใครล่ะครับที่ไม่อยากรู้ว่าคนที่เราชอบหรือสนใจคิดอะไรกับเราสักนิดหรือเปล่า แต่เพราะอยู่กับพี่ดาหลาทีไร ก็ต้องมีไนล์มาคอยทำตัวแปลกๆ เหมือนเป็นคนละคนอยู่ทุกที มันเลยกลายเป็นว่าแทนที่จะมองพี่ดาหลา ผมกลับเอาแต่สังเกตไนล์ว่าเขาคิดอะไรหรือจะทำอะไรต่อแทน

“ทำไม” ได้ยินคำตอบของผมแล้วมันก็มุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย คงเพราะเคสของผมแตกต่างจากไอ้กัสกับไอ้เคลม หรือแม้แต่มันเอง ที่มักจะเข้าหาผู้หญิงอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่าหน่วยสวาทพุ่งเข้าชาร์จคนร้ายเสียอีก “มึงกลัวอกหักเหรอ โหย ไม่ต้องกลัวหรอก ใครปฏิเสธมึงได้นี่โคตรควายอะ ควายจริงๆ กูพูดเลย เพื่อนกูออกจะดีแสนดี”

ตบท้ายด้วยการยกยอผมแล้วฉีกยิ้มหวานๆ เป็นกำลังใจให้ผมเสียอีก ผมรู้ว่ามันค่อนข้างเชียร์ผมเพราะอยากให้ผมได้มีความรักครั้งใหม่แล้วทิ้งเรื่องของมิ้นเอาไว้เป็นเพียงอดีต ปลดปล่อยความกลัวในใจของผมออกไปเสียที แต่ขณะเดียวกันมันก็ห่วงผมมากเหมือนกัน

“ไม่ได้ถึงขนาดนั้น กูแค่อยากให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อยากบังคับหรือฝืน มึงก็รู้ว่ากูจริงจังกับเรื่องแบบนี้”

“เออ กูรู้ มึงไม่ได้เปลี่ยนคนละสามวันเจ็ดวันเหมือนไอ้กัสกับไอ้เคลม ถ้ามึงบอกว่าคนนี้ กูก็จะเชียร์ มีอะไรให้กูช่วยก็บอก แต่มึงอย่าลืมระวังตัวด้วย อย่ากลายเป็นว่ามึงโดนหลอกซะล่ะ ยิ่งเป็นพวกใจอ่อนง่าย ชอบเห็นใจชาวบ้านอยู่ด้วย”

ผมเข้าใจสิ่งที่ไอ้ยีนเตือนมาดีครับ มันเป็นห่วงผม ซึ่งที่ผ่านมาผมก็พยายามระวังตัวอย่างที่มันว่า แต่คนที่ผมระวังไม่ใช่พี่ดาหลาหรอกครับ เป็นอีกคนที่ทำให้ผมต้องหัวปั่นไม่รู้กี่ครั้งต่างหาก ...คนที่มาขอนอนกับผมเมื่อคืนนี้

แต่จะบอกว่ามาหลอกก็คงไม่ถูก เพราะผมรู้เจตนาที่ชัดเจนของไนล์ว่าไม่ต้องการให้ผมยุ่งเกี่ยวกับพี่ดาหลา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าผมไม่รู้เหตุผลของการกระทำนั้น ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องระวังตัว ทว่ายิ่งจำนวนครั้งที่ได้เจอกันมากขึ้นเท่าไร ก็เหมือนว่ามันจะควบคุมยากขึ้นทุกที เพราะแม้แต่เย็นวันนี้ผมก็ถูกไนล์เล่นงาน











หลังจากเรียนเสร็จ ผมแวะไปหาพี่ดาหลาที่คณะ เพราะคิดว่าคงไม่ถูกรบกวนจากไนล์แน่ๆ ในเมื่อเขามีนัดกับคนที่ชื่อพี่มายด์ ถ้าผมได้ยินไม่ผิดตอนที่เขาคุยโทรศัพท์เมื่อคืน ถึงผมจะยังไม่มีเบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อกับพี่ดาหลา แต่ก็หาตัวเธอไม่ยากครับ เพราะคนในคณะนี้รู้จักเธอกันทั้งนั้น และก็โชคดีว่าเธอเพิ่งเรียนเสร็จ ผมที่รออยู่หน้าตึกถึงได้เจอเธอโดยไม่ต้องตามหา

“อ้าว กราฟ วันนี้มารอเหรอ”

คนแรกที่ทักผมเป็นพี่มะเหมี่ยวที่ยิ้มอย่างร่าเริงและเดินตรงมาหาทันที ก่อนพี่ดาหลาจะตามเข้ามาหาผมด้วยเหมือนกัน ผมยิ้มทักทายผู้หญิงน่ารักทั้งสองคน

“ครับ นี่พวกพี่เรียนกันเสร็จแล้วเหรอครับ มีเรียนต่ออีกไหม”

“ไม่มีแล้ว ขืนมีเรียนต่อคงเซ็งตายเลย” พี่มะเหมี่ยวตอบพลางใส่อารมณ์ให้รู้ว่าเธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แล้วแย้มยิ้มอีกครั้งพลางดึงแขนพี่ดาหลามากอดไว้ “เนี่ย พวกพี่คิดกันอยู่ว่าจะไปชอปปิ้งกันให้สะใจเลย แถมท้ายด้วยการดูหนังอีกสักรอบ วิชาวันนี้ทำปวดหัวไปหมดแล้ว”

“ก็ดีนะครับ ถือว่าได้พักผ่อนด้วย”

ท่าทางร่าเริงของพี่มะเหมี่ยวทำให้ผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ผมหันไปมองทางพี่ดาหลาที่ส่งยิ้มนิดๆ ให้ผม แต่กลับส่ายหัวเบาๆ ให้กับเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะแสดงออกได้โอเวอร์เกินจริง หนำซ้ำยังมีเหน็บแนมเล็กน้อย

“ต้องปวดหัวอยู่แล้ว ก็เธอเล่นหลับจนหัวเกือบโขกโต๊ะ”

“โห อย่ามาแฉเพื่อนสุดที่รักของเธอต่อหน้าผู้ชายหล่อนะยะ”

คนถูกนินทาซึ่งหน้าทำปากยื่นปากยาวกลับพลางชี้หน้าเจ้าของคำพูดนั้นอีก เรียกเสียงหัวเราะจากผมได้เบาๆ ผมว่าเวลาพี่สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วน่ารักดีนะครับ ดูโลกสดใสดี

“ถ้าหากว่าไม่รบกวน ผมขอไปด้วยได้ไหมครับ ผู้หญิงชอปปิ้งกันคงได้ของเยอะเชียว มีผู้ชายสักคนไปช่วยถือของก็น่าจะดี”

“อย่างนั้นก็ดีเลย พี่ชอบเผลอซื้อของเยอะอยู่ด้วย กราฟไปด้วยจะได้ปรามพี่บ้าง”

“ใช่ ไปด้วยกันสิ แต่ไม่ต้องถึงขนาดช่วยถือของหรอก พวกพี่ถือกันได้ รบกวนกราฟเปล่าๆ พี่ไม่ได้อยากให้กราฟไปด้วยเพราะอยากได้คนถือของหรอก”

“งั้นผมถือว่าพี่สองคนอนุญาตแล้วนะครับ”

“อื้อๆ ไปด้วยกันๆ”

พี่มะเหมี่ยวเป็นฝ่ายยืนยันทางคำพูด ส่วนพี่ดาหลายิ้มและพยักหน้านิดๆ ให้ผมอีกที พวกเราก็เลยตกลงกันเรื่องสถานที่ นัดไปเจอกันที่นั่นเพราะว่าพี่ดาหลาจะขับรถไปกับพี่มะเหมี่ยว ผมจึงตอบรับก่อนจะให้ผู้หญิงทั้งสองคนเดินนำไป จนถึงลานจอดรถก็แยกย้ายกันไปที่รถของตัวเองเพราะว่าจอดอยู่คนละด้าน รถของผมจอดอยู่ไกลกว่าเพราะตอนมา ลานจอดรถเหลือที่ให้จอดอยู่แค่สองสามที่

ถึงรถแล้วผมก็เปิดประตูออก ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไปนั่งประจำที่ สายตาของผมกลับต้องสะดุดเข้ากับคนคนหนึ่งที่ดูคุ้นตา คนที่ผมคิดว่าคงไม่ได้เจอถ้าไม่นับตอนเช้า แต่ในตอนนี้เขากลับอยู่ห่างจากผมไม่ไกล

ไนล์ยืนอยู่ด้านข้างประตูคนขับที่ผมลองชะโงกดูแล้วว่าเป็นผู้หญิงผมยาวสวมชุดนักศึกษา โดยไม่ต้องคาดเดา ผมก็คิดได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะเป็นพี่มายด์ ไม่คิดว่าคนที่นัดกับไนล์จะอยู่คณะเดียวกับพี่ดาหลาด้วย รู้ดังนั้นผมก็สลัดความสนใจจากสองคนนั้นทิ้งไป เพราะไม่อยากละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัวของคนทั้งคู่ แต่สีหน้าของพี่มายด์กลับทำให้ผมต้องจ้องมองมากไปกว่าเก่า

ผมไม่ได้ยินที่ไนล์คุยกับพี่มายด์ แต่ดูก็รู้ว่าเธอค่อนข้างไม่พอใจ เหมือนว่าไนล์จะทำอะไรขัดใจเธอสักอย่าง แต่เพียงแค่ครู่เดียว สีหน้าของเธอก็ดีขึ้น เหมือนจะอ่อนโอนไปตามคำพูดของผู้ชายที่ผมไม่เคยเข้าใจความคิดของเขา

ทว่าไม่ใช่แค่เพียงสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่เปลี่ยนไป ผมเองก็เช่นเดียวกัน หลังจากเห็นว่าไนล์โน้มหน้าเข้าหาคนที่นั่งอยู่ในรถผ่านทางกระจกหน้าต่างที่ถูกลดลงอยู่นานแล้ว ริมฝีปากสีพีชที่ผมเคยเห็นใกล้ๆ แตะลงบนปากของผู้หญิงคนนั้นอยู่ครู่สั้นๆ และถอนออกมา

อยู่ๆ ผมก็รู้สึกคอแห้งหลังจากเห็นภาพนั้น เหมือนมีอะไรรุมๆ สุ่มๆ อยู่ในใจแต่อธิบายออกมาไม่ถูก แต่เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีสักเท่าไรจนผมอยากจะกำจัดมันออก ทั้งที่ผมก็เคยเห็นเรื่องพวกนี้มามากแล้ว เพราะเพื่อนของผมแต่ละคนก็ถือว่ามากประสบการณ์ทางด้านนี้

ผมรีบขึ้นรถและสตาร์ทมันเพื่อขับออกไป แต่ยังไม่ทันเคลื่อนรถจากจุดที่จอดเอาไว้ เสียงเคาะกระจกที่อีกฟากของคนขับก็ดังขึ้นเสียก่อน และพอเงยหน้าขึ้นไป ผมก็เห็นว่าเป็นคนที่เพิ่งจูบกับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมต้องตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

แต่ดูเหมือนไนล์จะไม่รอ เพราะเขาเปิดประตูแล้วขึ้นนั่งบนรถผมทันทีจนผมอดโทษตัวเองไม่ได้ที่ลืมล็อกประตูรถเหมือนทุกที ไนล์มองหน้าผมเหมือนไม่รู้สึกอะไรสักนิดทั้งที่เขาน่าจะรู้แล้วว่าผมเห็นไม่อย่างนั้นคงไม่เดินมาที่รถของผมทันทีแบบนี้

“ขอไปด้วยแล้วกัน”

“ฉันไม่ได้จะกลับ”

“ฉันรู้ว่านายนัดกับพี่ดาหลาไว้”

คำตอบของไนล์ทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าเขาทั้งที่เมื่อครู่พยายามจะไม่หันไป ความรู้สึกของผมบอกว่ามันคือความจงใจของไนล์

“นายรู้อยู่แล้ว และนายก็ตั้งใจจะขัดขวางฉัน”

“เป็นอย่างที่นายว่า”

เขาไม่บิดเบือนความจริงแต่ตอบกลับผมอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะดึงเข็มขัดนิรภัยมาล็อกให้เรียบร้อยเพื่อบอกให้รู้ว่าต่อให้ผมขับไล่เขาก็จะไม่มีทางลงจากรถ พานให้ผมต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งเฮือกที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ไนล์ต้องการอีกครั้ง

“นายมีนัดแล้วไม่ใช่หรือไง”

“แต่ฉันก็ยกเลิกไปแล้ว อย่างที่นายเห็น”

ไนล์พูดออกมาอย่างฉาดฉานเหมือนกับรู้ว่าผมมองเขาอยู่ถึงได้มั่นใจเสียเหลือเกิน ซึ่งมันก็ทำให้ผมโต้ตอบอะไรกลับไปไม่ได้ และก็ต้องยอมขับรถออกไปยังสถานที่นัดหมายกับพี่ดาหลา ซึ่งเมื่อไปถึง คนที่ไปถึงก่อนก็ประหลาดใจหน่อยๆ ที่เห็นว่ามีใครอีกคนมาด้วย แต่ไนล์กลับไม่สนใจ หนำซ้ำยังเข้าไปทักทายพี่ทั้งสองคนอย่างเป็นกันเอง สีหน้าเรียบเฉยที่เคยมีเลือนหายไป กลายเป็นไนล์อีกคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเป็นธรรมชาติ

“พอดีผมเจอกราฟแล้วกราฟบอกว่าจะมาชอปปิ้งกับพวกพี่ๆ ผมก็เลยจะมาขอร่วมแจมด้วย คงไม่ว่ากันนะครับ”

รอยยิ้มออกมาจากผู้ชายที่ชอบทำตัวเหมือนพลังชีวิตกำลังจะหมดฉายกว้างให้กับผู้หญิงอีกสองคน จึงไม่มีใครปฏิเสธคำขอนั้นได้ หรือหากให้บอกจริงๆ ทั้งพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวก็ไม่มีใครต้องการจะไล่ให้ไนล์กลับอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อทักทายกันเรียบร้อย พี่ทั้งสองคนก็ชักชวนกันไปเดินซื้อของ โดยที่ผมกับไนล์คอยเดินตามอยู่ด้านหลัง ผมมองพี่ดาหลาที่สนุกกับการเลือกซื้อของ บ้างก็หันมาถามความคิดเห็นของผมกับไนล์เพื่อการตัดสินใจ

ถุงสินค้าหลายแบรนด์เกือบจะเต็มมือของสาวๆ ผมจึงอาสาไปถือให้ ตอนแรกพี่ดาหลาก็ไม่อยากให้ผมช่วย อย่างที่เขาบอกว่าไม่ได้ให้ผมมาด้วยเพื่อมาถือของ อีกทั้งยังบอก

“แค่กราฟต้องมาเดินเลือกของด้วยก็ทำให้ลำบากแล้ว”

เพราะผมไม่ได้เลือกของของตัวเองสักชิ้น แต่กลับต้องมาเดินตามเธอทั้งที่ไม่จำเป็น เธอจึงอดเกรงใจผมไม่ได้ แต่ผมก็บอกถึงจุดประสงค์ของผมไป

“ผมเต็มใจมาช่วยอยู่แล้ว ให้ผมช่วยถือ พี่จะได้เลือกซื้อของได้สะดวกๆ ไงครับ”

ผมยิ้มให้กับเธอ ก่อนจะแย่งถุงในมือเธอมาถือเสียเอง ไนล์ที่ยืนมองผมอยู่จึงแทรกเสียงขึ้นมาบ้าง

“งั้นเดี๋ยวผมถือให้พี่มะเหมี่ยวแล้วกันนะครับ ต้องโชว์ความเป็นสุภาพบุรุษสักหน่อย”

ไม่รู้ว่าเป็นการแขวะผมหรือเปล่าที่ออกตัวช่วยพี่ดาหลาอย่างออกหน้าออกตา แต่ประโยคนั้นก็มาพร้อมกับแววตาที่จับจ้องผม ผมจึงเบนหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อหลบสายตาคู่นั้น ทั้งที่ผมทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทว่ากลับรู้สึกว่ามันทำให้ผมกระอักกระอ่วนเมื่อถูกไนล์จ้องมอง

ราวกับว่าผมกำลังทำผิด...ต่อเขา

จากนั้นพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวก็เข้าไปดูเสื้อผ้าอีกสองสามร้าน ก่อนจะจบการชอปปิ้งลง และแวะที่ร้านอาหารเพื่อกินอาหารมื้อค่ำ เพราะตอนนี้เกือบสองทุ่มแล้ว ผมให้พวกผู้หญิงเลือกร้านได้ตามสะดวกเลย ซึ่งก็ได้ร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่น

“ขอโทษนะ พวกพี่ซื้อของกันซะเยอะ ต้องเหนื่อยกราฟกับไนล์เลย”

พี่ดาหลาเริ่มประโยคหลังจากเราสั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของเธอตอนพูดเหมือนคนรู้สึกผิดหน่อยๆ ที่ต้องรบกวนผมกับไนล์ ผมจึงต้องรีบแก้ความเข้าใจนั้นอีกครั้งเพื่อที่เธอจะได้สบายใจ

“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมเต็มใจช่วย แถมคนที่ขอมาเองก็คือผมนะครับ เพราะฉะนั้นพี่ไม่ต้องคิดมากเลย”

“ใช่ครับ ผมก็เหมือนกัน ถ้าพี่ยังพูดเหมือนว่าเป็นการรบกวนพวกเราที่เสนอตัวช่วย ก็เท่ากับเป็นการทำลายน้ำใจของผมกับกราฟนะครับ พวกผมอุตส่าห์เสนอตัวกันขนาดนี้ พี่จะเอาแต่ใจสักหน่อยก็ได้ครับ”

ลงท้ายด้วยน้ำเสียงที่ติดแววหยอกเอินอย่างที่ผมไม่เคยได้ยิน เรียกให้ผมต้องหันไปมองหน้าไนล์ที่นั่งอยู่ข้างกัน ใบหน้าเรียวได้รูปนั้นประดับรอยยิ้มสดใสเหมือนกับทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับพี่มะเหมี่ยวและพี่ดาหลา ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ได้เห็น

มันเป็นรอยยิ้มที่ผมรู้ดีว่าเป็นการเสแสร้ง และก็ทำให้ผมวิตกกังวลถึงแผนการในใจของไนล์ ทว่า... ผมก็ต้องยอมรับว่าผมอยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่มาจากใจจริงๆ ของเขา

“ในเมื่อพูดกันขนาดนี้ เราจะไม่ยอมรับได้ยังไง เนอะ ขอบใจทั้งสองคนเลยนะที่ช่วยถือของให้ ถ้าไม่อย่างนั้นพี่คงต้องลำบากแน่เลย เกิดไปดูของแล้วเผลอลืมเอาไว้คงแย่แน่ๆ”

พี่มะเหมี่ยววาดยิ้มกลับ ดวงตาของเธอเป็นประกายอย่างสดใสเหมือนกับทุกที ผมจึงได้แต่ยิ้มตอบเมื่อเธอหันมาสบตา ก่อนที่เสียงของไนล์จะดังขึ้นอีกครั้ง

“แล้วนี่กินข้าวเสร็จแล้วพี่ที่น่ารักทั้งสองคนของผมจะไปไหนกันต่อครับ”

“ปากหวานนะเรา” เพื่อนสนิทของพี่ดาหลาแกล้งบิดตัวเล็กน้อยคล้ายกับกำลังเขิน พลางเอ่ยปากชวน “พี่กับดาหลาตั้งใจว่าจะดูหนังกันต่อน่ะ มาดูด้วยกันสิ”

ผมหันไปทางไนล์เพื่อดูปฏิกิริยาของเขาและรอฟังคำตอบไปในตัว ซึ่งสิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือสีหน้าครุ่นคิดของไนล์ คล้ายกับว่าเขาไม่สะดวกที่จะทำแบบนั้น ทำให้ผมต้องตรึกตรองไปด้วยว่าควรจะเลือกอะไร ทว่าเพียงครู่เดียวผมกลับต้องต่อว่าตัวเอง

โอกาสมาถึงแล้ว จะคิดให้มากความทำไม

“ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วเอาของไปเก็บที่รถก่อนค่อยไปดูหนังกันนะครับ”

“แล้วไนล์ล่ะ”

พี่ดาหลาถามไนล์ที่ยังนั่งเงียบอยู่ไม่ตอบคำถาม ผมเองก็พยายามจะไม่หันไปมองเขา เพียงแค่เหลือบตามองเท่านั้น รู้สึกแปลกๆ ที่เขาอึกอักแทนที่จะตอบกลับอย่างไม่แยแสว่าผมจะคิดยังไง แค่มาขัดขวางไม่ให้ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ดาหลาอย่างใกล้ชิดก็พอ

“ผม...ขอตัวดีกว่าครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

เสียงจากพี่มะเหมี่ยวดังแทรกขึ้นอย่างสงสัยทันที เธอทำหน้าเสียดายอยู่หน่อยๆ ที่ไนล์ไม่ไปดูหนังด้วยกัน ทว่าไม่ใช่เพียงแค่พี่มะเหมี่ยวที่แปลกใจหรอกครับ เพราะผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธทั้งที่น่าจะไม่

“ผมไม่ค่อยชอบดูหนังน่ะครับ”

“อ้อ งั้นก็ไม่เป็นไรจ้ะ”

ไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมกลับรู้สึกว่าคำตอบของไนล์เป็นการโกหก ถึงกระนั้นผมก็ไม่คิดจะถามออกไป แค่ทำเฉยและลอบมองพฤติกรรมที่ปกตินั้นเป็นระยะพลางคิดคำนวณเหตุผลที่เขาต้องทำตัวเหมือนไม่ใช่ตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คำตอบ กระทั่งกินอาหารเสร็จ พวกเราก็กลับไปที่รถของพี่ดาหลาเพื่อเก็บของ ก่อนจะกลับเข้าไปในห้างอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม ไนล์ก็โพล่งเสียงขึ้นมาเสียก่อน พลอยให้ผมหันไปมองเขา เราสบตากันเล็กน้อย แววตาของไนล์ที่จ้องมาที่ผมกลับมาเป็นไนล์คนเดิมอีกครั้ง มันว่างเปล่า แต่กลับมีความหมายที่ผมเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ ก่อนเขาจะกลับไปยิ้มให้คนที่เหลือ

“โอเคจ้ะ ขอบใจมากนะที่วันนี้มาช่วยเลือกของและถือของให้พี่มะเหมี่ยว”

“ครับ”

“ขอบใจมากนะไนล์”

สิ้นเสียงของพี่ดาหลา ไนล์ก็พยักหน้านิดๆ เป็นการตอบรับ ก่อนจะเบือนหน้ามาทางผมราวกับรอว่าผมจะล่ำลาเขาด้วยประโยคแบบไหน ทั้งที่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร เป็นหน้านิ่งๆ ไม่มีรอยยิ้มเหมือนกับเวลามองผู้หญิงอีกสองคน ถึงกระนั้นผมกลับรู้สึกว่าเขากำลังคาดเค้นผมอยู่

“เออ ไว้เจอกัน”

ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำพูดแบบไหน ผมจึงบอกไปแบบนั้น ซึ่งไนล์ก็ตอบผมกลับมาด้วยประโยคเดียวกัน ก่อนจะคลี่ยิ้มนิดๆ ที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นการแสดง ไม่ได้มาจากใจจริงๆ เหมือนกับเมื่อคืนที่เขายิ้มให้ผม






อ่านต่อด้านล่าง

v

v


ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥

ต่อจากข้างบน


v

v





ล่ำลาเรียบร้อย ไนล์ก็เดินเลี่ยงออกไปก่อน เหลือผมกับพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวที่เดินไปขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังชั้นโรงหนังด้วยกัน  และเพราะเป็นหนังรอบดึกแล้ว คนที่มาดูจึงไม่เยอะเท่าไร และไม่ลำบากนักที่จะได้ตั๋วหนังที่ต้องการดูมา

พวกผมรอเวลาอีกประมาณสิบห้านาทีก็ได้เวลาหนังเริ่มฉาย หนังเรื่องที่เลือกนี้เป็นแนวโรแมนติกคอเมดี้ ซึ่งก็เหมาะกับพี่ๆ ทั้งสองคนดี แต่น่าเสียดายที่ที่นั่งของผมแทนที่จะติดกับพี่ดาหลากลับกลายเป็นพี่มะเหมี่ยว ทว่าแม้จะรู้สึกแบบนั้น ผมก็ไม่คิดที่จะบอกกับเธอว่าผมอยากนั่งข้างพี่ดาหลามากกว่า

นั่งดูหนังไปเกือบชั่วโมงได้ อยู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงอาการสั่นที่ขาเพราะมีคนส่งข้อความมาทางโทรศัพท์ที่ผมปิดเสียงเอาไว้ ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดูเผื่อว่าจะเป็นเรื่องสำคัญหรือธุระด่วน ทว่าเมื่อเห็นชื่อผู้ส่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วผมกลับรู้สึกเหมือนว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย




ไนล์

                หนังสนุกไหม




เพียงแค่คำถามสั้นๆ นั้นกลับทำให้ผมนั่งดูหนังต่อไปไม่ได้ ความรู้สึกร้อนรนแปลกๆ เหมือนประทุขึ้นมากลางอก ผมเอาแต่นึกถึงคนที่ส่งข้อความนั้นมาจนดูหนังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมกลับรู้สึกสังหรณ์ใจว่ากำลังมีบางอย่างผิดปกติ สุดท้ายผมก็ต้องลุกขึ้นจากตำแหน่งที่นั่งอยู่ พลอยให้พี่มะเหมี่ยวที่นั่งติดกันหันมามอง

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรครับ ผมจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย”

บอกพี่เขาแบบนั้นแล้วผมก็เดินออกมาเลย ผมเลือกที่จะเดินออกมาทางด้านหน้าของโรงหนัง ไม่ใช่ทางที่เป็นห้องน้ำตามลางสังหรณ์ของตัวเอง ผมชะโงกมองไปทั่วๆ บริเวณนั้นก่อนจะต้องชะงักไปเล็กน้อยเพราะคนที่บอกว่าไม่ชอบดูหนังและขอตัวกลับไปก่อนนั่งอยู่บนม้านั่งซึ่งไม่ห่างจากหน้าทางเข้าโรงหนังนัก

ผมบอกพนักงานพร้อมกับยื่นตั๋วหนังให้เขาดูว่ามีความจำเป็นจะต้องออกไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาไนล์ที่กำลังมองมาทางผมเช่นเดียวกัน และเมื่อผมไปหยุดอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็เงยหน้าขึ้นมองผมโดยไม่ละสายตา ท่าทางนิ่งสงบและดูเลือนรางเลื่อนลอยกลับมาอีกครั้ง

“ทำไมยังนั่งอยู่ตรงนี้ ไหนว่าจะกลับ”

ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ เพราะผมออกมาได้ไม่นานนักเพื่อไม่ให้ดูผิดปกติหรือน่าสงสัยทั้งกับพี่มะเหมี่ยวและพนักงานซึ่งยืนอยู่ประจำทางเข้า ผมไม่ได้คาดหวังว่าคำตอบของไนล์จะเป็นแบบไหน เพราะผมไม่สามารถเดาใจเขาได้ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาก็เกินกว่าที่ผมจะคิดเอาไว้ ผมรู้สึกวูบในใจทันทีที่ได้ยินมัน

“นายยังไม่กลับ”

เขากำลังรอผม... ทำไม?

ยิ่งคิดว่าตั้งแต่ที่ไนล์ขอแยกตัวไปกระทั่งถึงตอนนี้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกหวิวๆ ในอก เพราะชั่วโมงกว่าแล้วที่เขาต้องนั่งรออยู่ที่นี่ นั่งรอท่ามกลางผู้คนที่เดินมากับกลุ่มเพื่อนหรือคนรัก แต่เขากลับอยู่เพียงลำพังโดยไม่รู้เวลาที่แน่นอนว่าผมจะออกมาตอนไหนและสังเกตเห็นเขาหรือเปล่า เพราะไม่มีอะไรสามารถยืนยันได้ว่าผมจะสะกิดใจกับข้อความของเขาจนออกมามองหาแบบนี้

มันคือการเสี่ยงดวง...

“ยังทำตามแผนการขัดขวางไม่สำเร็จ ว่างั้น”

แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับคำตอบที่ได้รับ อีกทั้งยังเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่คิดได้เมื่อครู่ แต่ผมก็พยายามปรับความรู้สึกให้กลับมาถูกต้องตามทางที่ควรจะเป็น ทว่าความพยายามของผมก็ถูกล้มล้างเพราะเสียงที่หลุดออกมาจากปากของคนที่นั่งเงยหน้ามองผมอยู่

“นายคิดว่างั้นเหรอ”

หน่วยตาคู่เรียวนั่นจับจ้องมายังผมด้วยความเวิ้งว้างที่เหมือนกับหลุมลึกราวกับจะดูดทุกสิ่งทุกอย่างลงไป แม้กระทั่งความคิดและความรู้สึกของผมก็ไม่สามารถดิ้นรนให้หนีรอด

ผมรู้สึกปากแห้งขึ้นมาเสียเฉยๆ จนต้องยื่นลิ้นออกมาแตะขอบปากนิดๆ และเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ลมหายใจติดขัดไปราวกับถูกไม้แหลมๆ แทงเข้ามาทะลุปอดจนหายใจได้ยากกว่าปกติ ประตูทางออกที่มีดั่งถูกปิดผนึกเอาไว้ด้วยร่างโปร่งที่ทำหน้าไม่ยินดียินร้าย ไนล์ยืนบังทางออกทางเดียวนั้นไว้ทำให้ผมต้องติดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เป็นทางตัน

จนปัญญาที่จะหาคำตอบ ผมจึงทำได้แค่เพียงเลี่ยงจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ สาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังโรงหนังที่จากมาอีกครั้ง ยื่นตั๋วที่ถูกฉีกแล้วให้พนักงานตรวจสอบก่อนจะกลับเข้าไปยังที่นั่งที่จากมา ทิ้งตัวลงยังเบาะนิ่มช้าๆ และให้เบาที่สุด ทว่ามันกลับไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว แรงกระแทกจากการนั่งเรียกให้พี่มะเหมี่ยวหันมามองเล็กน้อย ผมจึงต้องเอ่ยปากก่อนที่เธอจะถามอะไร

“ขอโทษครับ”

สิ้นเสียงของผม ผมก็กลับไปให้ความสนใจจอขนาดใหญ่เบื้องหน้า เพื่อตัดขาดออกจากการเผชิญหน้ากับคนข้างๆ รวมถึงคนที่ผมเลี่ยงมา ทว่าแม้ว่าจะบอกตัวเองให้สนใจแต่สิ่งที่สายตากำลังจับจ้อง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่มองแม้แต่น้อย

ใบหน้าและคำพูดของไนล์วนเวียนอยู่ในหัวของผมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนผมไม่มีสมาธิที่จะดูหนังอีกต่อไป มันรบกวนผมทำให้ร้อนรุ่มในใจจนแทบนั่งไม่ติดเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายผมก็ต้องลุกจากที่นั่งอีกครั้งและหันไปบอกพี่มะเหมี่ยว

“ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีว่ามีธุระด่วน ขอโทษด้วยครับ”

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงของผมไปถึงพี่ดาหลาที่นั่งถัดไปอีกเบาะหรือเปล่า แต่หลังจากบอกแบบนั้นแล้วผมก็ออกจากโรงหนังมาทันที และก็ตรงไปยังคนที่ทำให้ผมเหมือนคนบ้าและใจไม่สงบ

ไนล์เงยหน้าขึ้นมองผมที่มาหยุดยืนต่อหน้าเขาอีกครั้งโดยที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าไป ใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีการแสดงความรู้สึกใดๆ นอกจากแววตาที่สะท้อนออกมาว่าเขากำลังอ่านความคิดและความรู้สึกของผมอยู่ ซึ่งมันก็เหมือนเป็นตัวกระตุ้นให้ความว้าวุ่นในใจของผมทะลักล้นออกมา

ผมคว้าแขนของไนล์เอาไว้ก่อนจะดึงให้ลุกขึ้นและเดินไปด้วยกัน แม้ไม่ต้องบอกจุดประสงค์หรือจุดหมายปลายทาง แต่ไนล์ก็เดินตามผมมาแต่โดยดี ไม่มีคำพูด คำทักท้วงใดๆ เขาเดินตามผมมาเงียบๆ และขึ้นรถของผมตามด้วยคาดเข็มขัดนิรภัยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น







===============
พลาดซะแล้ว ไม่ได้จูบ
แต่ไนล์ก็ทำให้กราฟหัวปั่นกว่าเดิมได้เยอะแล้ว
ดูน่ากลัวๆ ยังไงไม่รู้แฮะ ทำให้คนนึงร้อนรนเป็นบ้า แต่ตัวเองนั่งยิ้มเย็นๆ 555
ตอนหน้าจะคืบหน้าขึ้นแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านอยู่นะคะ

Undel2Sky


ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ไนล์น่ากลัวจริงๆ
แล้วผู้หญิงคนนั้นนี่ยังไง
คิดไม่ออกว่ามีอะไรอยู่ในใจ ต้องการอะไรจากกราฟกันแน่ กิสสส กัดหู!

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
 :serius2: โอ๊ย อ่านเรื่องนี้ทีไร เหมือนตัวเองพยายามเป็นกราฟทุกที
อ่านไปแล้วใจมันหวืด ๆ ตลอดเรื่องเลยอะ 555 สงสัยอินจัดไปหน่อย
แบบอยากรู้จักไนล์มากขึ้น ๆ อยากเข้าใจเหตุผลการกระทำและคำพูดของไนล์
เพราะเหมือนการกระทำและคำพูดของไนล์มักอยู่เหนือความคาดหมายของเราตลอด อย่างที่กราฟรู้สึกอะคะ
อธิบายยากจัง  แล้วตอนนี้ไนล์รู้ได้ยังไงว่ากราฟจะไปหาพี่ดาหลา หรือไนล์จะให้พี่มายด์เป็นสายสืบให้
แล้วที่ไม่ยอมเข้าโรงหนังอีก หรือไนล์จะเป็นโรคกลัวความมืด กลางคืนถึงต้องให้กราฟมานอนอยู่ด้วย(แล้วเมื่อก่อนไนล์อยู่มายังไงล่ะ)
ขนาดกราฟไม่กลับไนล์ก็ไม่กลับแล้วตอนนี้สุดท้ายกราฟก็ต้องยอมตัดพี่ดาหลาแล้วกลับมาหาไนล์อีกจนได้
ดีใจจังตอนหน้าจะมีความคืบหน้าแล้ว ลุ้นเลยนะเนี่ยอยากอ่านต่อไว ๆ จังค่ะ
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปนะคะ สนุกมากเลย  :pig4: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ from_mars

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-0
ใจคิดอะไรอยู่ อ่านยากจริงๆ
เรื่องราวในอดีต ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันไนล์แน่ๆ เลย

รออ่านต่อ และขอบใจจ้า

ออฟไลน์ anuruk97

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-4
ไนล์ทำไมดูเย็นๆๆๆ น่ากลัวยังไงไม่รู้

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
คืออยากรู้ว่ากราฟทนได้ไง
เหมือนโดนไนล์ปั่นหัวตลอดเวลาเลยอ่ะ
ว่าแต่มายด์เป็นอะไรกับไนล์นะ

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
กราฟหัวปั่นจริงๆ รอดูความคืบหน้าจ้าา

guguy

  • บุคคลทั่วไป
ไนล์ อ่านยากมากกก แต่ว่าคนเขียนหายไปไหนเนี่ย มาต่อเร็วๆนะค้าาาา กำลังสนุกเลย o13 o13

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง















ไม่นานนัก เส้นทางจากห้างจนถึงแมนชั่นของไนล์ก็สิ้นสุดลง ผมมาจอดรถที่หน้าทางเข้าแมนชั่นของไนล์อีกครั้งจนอดรู้สึกไม่ได้ว่าพักนี้ผมมาที่นี่บ่อยเกินความจำเป็นไปหรือเปล่า อารมณ์ที่ตีรวนอยู่ในอกจางหายไปแล้ว ผมกลับมาควบคุมสติของตัวเองได้อีกครั้งหลังจากเมื่อครู่มันปั่นป่วนไปหมด

“หวังว่าคืนนี้นายจะไม่ชวนฉันนอนด้วยอีก”

ผมหันไปบอกคนข้างๆ ที่มักทำให้ผมต้องสับสนอยู่เสมอ ซึ่งไนล์ก็ไม่ตอบอะไรกลับมา เขาเปิดประตูรถออกและก้าวเท้าลงจากรถไป ให้ผมได้แต่มองตามการเคลื่อนไหวช้าๆ ของเขาที่ราวกับหุ่นยนต์แบตเตอร์รี่อ่อน มองเขาที่ค่อยๆ ห่างผมไปเรื่อยๆ จนสุดสายตา

ร่างนั้นหายเข้าไปในตัวตึกแล้วผมจึงกลับรถและมุ่งสู่เส้นทางซึ่งเป็นคอนโดของตัวเองบ้าง เพื่อจบวันบ้าๆ อีกหนึ่งวันของผม ผมไม่รู้ว่าผมควรจะดีใจที่ได้เจอพี่ดาหลา ได้ไปซื้อของกับเธอ และได้ดูหนังกับเธอหรือว่าควรจะหงุดหงิดหรือไม่พอใจดีที่ไนล์ทำทุกอย่างที่ควรจะออกมาดีกว่านี้พังจนหมด เพราะมันเหมือนว่าผมจะจดจำสีหน้า แววตา และคำพูดของเขาในวันนี้ได้มากกว่าพี่ดาหลาเสียอีก

ถ้าผมไม่บังเอิญเจอไนล์ที่ลานจอดรถ...

นึกย้อนมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ต้องชะงักความคิดของตัวเอง ภาพเหตุการณ์ที่ผมเกือบลืมไปแล้วปรากฏชัดในความทรงจำของผมอีกครั้ง

ไนล์ที่ยืนคุยอยู่ข้างรถผู้หญิงคนนั้น

ไนล์ที่จูบ...

เพียงแค่ภาพนั้นแวบขึ้นมาในสมองของผม ใจที่สงบอยู่เมื่อครู่ของผมก็กลับมาปั่นป่วนอีกรอบ คล้ายกับมีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจและไม่สามารถสลัดให้หลุดออกไปได้ ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในใจ มันน่าโมโหที่ผมไม่สามารถสะบัดมันทิ้งไปได้

ผมพยายามขับรถต่อไปและบอกตัวเองให้เลิกคิดและเลิกนึกถึงภาพนั้น แต่ก็เหมือนจะยิ่งตอกย้ำลงมาซ้ำๆ ราวกับกำลังโจมตีผมให้พ่ายแพ้ และยิ่งมันย้ำลงมามากขึ้นก็เหมือนจะทำให้สติของผมเริ่มพร่าเลือน ผมไม่ชอบอารมณ์นี้เลยจริงๆ มันเหมือนว่าผมทำอะไรไม่ได้สักอย่าง และมันก็ทำให้ผมค้นพบความจริงว่า...

ผมไม่ชอบเลยที่เห็นไนล์จูบผู้หญิงคนนั้น

“บ้าชะมัด เป็นห่าอะไรของมึงวะเนี่ย!”

อดสบถออกมาไม่ได้เมื่อตอนนี้ผมเริ่มโมโหอย่างไร้เหตุผลจนยากจะควบคุมตัวเองได้ แม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกยังเป็นจังหวะที่ขัดกันไปมาจนชวนให้หงุดหงิด ผมไม่สามารถขับรถกลับไปคอนโดของตัวเองได้ทั้งที่อีกไม่ถึงห้านาทีก็จะถึงที่หมายแล้ว ถ้าผมฝืนต่อไปแบบนี้คืนนี้ผมคงไม่สามารถข่มตาหลับได้

สุดท้ายสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดก็ชนะ ผมวนรถกลับไปยังสถานที่ที่เพิ่งจากมาและจะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด เร่งความเร็วของเครื่องยนต์ให้ไปถึงจุดหมายเร็วกว่าครั้งไหน ก่อนจะขับรถเข้าไปจอดในอาณาบริเวณของแมนชั่น

เสียงถอนหายใจของผมเล็ดลอดออกมาเฮือกใหญ่เมื่อมาถึง ผมกวาดสายตามองไปยังตัวตึกที่เก่าและโทรมก่อนสายตาจะหยุดลงที่ชั้นสาม มองไปยังห้องริมสุดที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องของคนที่ก่อปัญหาให้ผมแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ข้างๆ ก็ตาม เห็นเงาลางๆ ที่ระเบียงนั้นแล้วก็พอเดาได้ว่าเป็นห้องนั้นไม่ผิดแน่

ดับเครื่องยนต์แล้วผมก็ดึงลิ้นชักเล็กๆ สำหรับใส่ก้นบุหรี่ หยิบกุญแจสำรองที่เจ้าของห้องเคยให้มากำเอาไว้ ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่ามาถึงวันนี้ผมจะได้ใช้มันอย่างที่อีกฝ่ายว่าเอาไว้ คิดดังนั้นผมก็ยิ่งกำกุญแจดอกเล็กนั่นแน่นขึ้นอีกแล้วจึงก้าวลงจากรถไป

ตึกนี้ไม่มีลิฟต์เพราะสูงเพียงแค่ห้าชั้น ผมขึ้นบันไดไปทีละก้าวอย่างไม่รีบร้อนนัก ทั้งที่ต้องพยายามบอกตัวเองว่าให้สงบใจลง ผมเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงห้อง 310 ที่ตั้งใจมา แล้วใช้กุญแจที่ถือติดมือมาด้วยไขประตูและเปิดบานไม้สีขาวเก่าๆ ออก

เสียงประตูเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ข้างในซึ่งดูไม่ตกใจสักนิดกับการปรากฏตัวของผม ราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องกลับมาซึ่งคงไม่แปลก เพราะไนล์คาดเดาความคิดของผมได้เสมอ ตอนนี้ผมที่เคยปรกหน้าผากของเขาถูกมัดขึ้นไปเป็นจุกเล็กๆ อยู่บนหัว ปากสีพีชคาบบุหรี่ค้างอยู่ ขณะที่มือข้างขวาถือพู่กันเปื้อนสีไว้ ในตอนนี้สีหน้าของไนล์นิ่งเฉยเหมือนเคย แม้ว่าจะหันมามองผมก็ตาม

ผมก้าวเข้าไปในห้องพักของไนล์ที่กำลังหันกลับไปลงสีบนรูปวาดของเขาต่อ ราวกับว่าเขาแค่หันมาดูเพราะได้ยินเสียงเปิดประตู แต่เมื่อหันมาแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ จึงกลับไปทำงานที่ค้างไว้ทั้งที่ผมยังยืนอยู่ห่างจากเขาไม่เท่าไร ผมจึงไปหยุดอยู่ด้านหลังของร่างโปร่งบางนั่นแล้วถามเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจของผมจนทำให้ผมไม่สามารถกลับไปคอนโดอย่างสบายใจได้

“นายกับผู้หญิงคนนั้น...”

เกริ่นเสียงออกมาแล้วผมก็ต้องสับสนว่าควรจะเรียบเรียงประโยคเพื่อถามเขาอย่างไรกันแน่ แต่เพียงแค่ผมพูดไปเท่านั้น เสียงเรียบๆ ของไนล์ก็ตอบกลับมาก่อน

“สนใจด้วยเหรอ”

คล้ายกับการบิดเบือนคำถามของผมกลายๆ แต่ผมไม่ปล่อยให้เขาชักจูงผมให้หลงทางได้อีก ผมตั้งสติให้แน่วแน่ไม่เขวไปตามคำพูดของไนล์แล้วมุ่งตรงไปยังเรื่องที่ผมต้องการรู้ ไม่สนใจอีกว่าควรจะเริ่มต้นประโยคหรือใช้บริบทแบบไหนในการสอบถาม

“ทำไมนายถึงจูบเขา”

ไม่รู้ว่าเป็นการถามอย่างตรงไปตรงมาเกินไปหรือเปล่า แต่ผมก็หลุดปากออกไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่าคนที่ได้รับฟังจะเข้าใจว่าผมคิดแบบไหนถึงได้ถามเรื่องนี้ ทั้งที่มันไม่จำเป็นเลยสำหรับคนคนหนึ่งที่เพียงแค่รู้จักกัน แต่จะให้แก้ไขความคิดหรือคำพูดในตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ผมจึงทำได้เพียงแค่รอคำตอบ

ไนล์หันกลับมาทางผมช้าๆ และเชยหน้ามองผม มือข้างที่ว่างอยู่คีบบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากออกมาช้าๆ ควันสีขาวลอยขึ้นมาด้านบนตามลมที่พัดเข้ามาเป็นช่วงๆ ให้ผมได้กลิ่นจางๆ ตาเรียวสีดำนั่นทอดมองมาที่ผมไม่หลบเลี่ยง แต่ก็ไม่มีแววอะไรเป็นพิเศษ มันยังเหมือนกับทุกครั้งที่ไม่มีสิ่งใดสะท้อนออกมานอกจากความว่างเปล่าที่มีอิทธิพลกับผม ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกอ่านความคิด ก่อนเรียวปากที่ไร้นิโคตินแท่งจะขยับ

“เป็นข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการยกเลิกนัด นายรู้ไหมว่านายทำให้ฉันต้องลงทุนด้วยส่วนที่แพงที่สุด”

คำตอบของไนล์เหมือนจะชัดเจน แต่ก็ไม่กระจ่างเสียทีเดียวว่าแท้ที่จริงแล้วเขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้นยังไงกันแน่

เป็นแฟนกัน แล้วยกเลิกนัด ถึงต้องจูบชดเชย หรือว่าไม่ได้เป็นอะไรกันเลย แค่ติดต่อกันชั่วครั้งชั่วคราว

แต่ที่แน่ๆ คือ... ไนล์กำลังบอกให้ผมรู้ว่า ‘จูบ เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขา’ ทว่าถึงอย่างนั้น เขาก็ยังมอบให้กับผู้หญิงคนนั้นอย่างง่ายดาย นั่นต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ ทั้งที่เขาไม่มีท่าทีอะไร ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา และยังยกบุหรี่ขึ้นสูบเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้พูดอะไรกับผม

ผมมองริมฝีปากคู่นั้นที่มีแท่งสีขาวกั้นกลางเอาไว้อยู่ครู่สั้นๆ แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นก็ต้องรู้สึกอึดอัดใจจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อระบายสิ่งน่ารำคาญที่รุมเร้าอยู่ในใจออกไป ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิดจนแทบอยากระเบิดออกมา สุดท้ายเสียงที่ผมไม่รู้ว่ามันมาจากส่วนใดในร่างกายของผมกันแน่ก็โพล่งออกมา

“จูบของฉันก็มีค่ามากเหมือนกัน”

จากนั้นสิ่งที่ผมรับรู้ได้ก็คือใบหน้าของไนล์ที่เข้ามาอยู่ใกล้กับผมจนแทบชิด  แต่ไม่ใช่ฝีมือของเขาเหมือนทุกที เป็นผมที่กระชากตัวเขาขึ้นมาและดึงบุหรี่จากปากสีอ่อนๆ นั้นออก ก่อนจะประกบปากของผมลงไปแทน

ผมได้กลิ่นบุหรี่หน่อยๆ จากริมฝีปากของเขาหลังจากแตะปากลงไป มันไม่เหมือนครั้งแรกที่เกิดขึ้นในห้องน้ำของผับวันนั้นที่เป็นกลิ่นของแอลกอฮอล์ และปากของผมไม่ได้เพียงแค่แตะปากของไนล์เฉยๆ เหมือนที่เขาเคยทำ แต่ผมดูดปากของไนล์ไปด้วยนิดนึงตอนที่ปากของเราสัมผัสกัน

ไนล์กะพริบตาอยู่สองสามครั้งหลังจากผมละจูบออกมา แววตาของเขาที่เคยว่างเปล่ากลับมามีประกายของชีวิตอีกครั้ง คล้ายกับว่าเขากำลังอึ้งกับสิ่งที่ผมทำลงไป อย่าว่าแต่ไนล์เลยครับ เพราะผมเองก็อึ้งเหมือนกันที่ทำแบบนั้น ทว่าเขาก็ตั้งสติได้เร็วกว่าที่ผมคิดไว้ เพราะเพียงครู่เดียว ไนล์ก็ปรับสีหน้าและแววตาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

“งั้นฉันคงต้องภูมิใจที่ตัวเองได้ของมีค่ามากๆ ของนายมาล่ะสิ”

เขาเรียบเรียงเสียงออกมาเป็นคำพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรนักกับสิ่งที่ผมทำ ต่างจากปฏิกิริยาตอบรับเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ไนล์มองผมไม่ละสายตาด้วยแววตาที่ไม่สั่นไหวและยังไร้ชีวิต พลางดึงบุหรี่จากมือผมกลับคืนไป ซึ่งมันก็ทำให้ผมยิ่งรู้สึกงุ่นง่านมากไปกว่าเดิมจากการตอบสนองของเขา

ผมขยับปากอยู่หลายครั้ง แต่เสียงก็ไม่หลุดออกมาเพราะค้นหาคำพูดไม่เจอ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในเวลานี้ ผมเหมือนถูกไนล์ปั่นหัวให้ต้องกลายเป็นคนที่สมองตื้อตันทำอะไรไม่ถูก เหมือนหนูตัวเล็กๆ ที่วิ่งวนไปมาอยู่ในกล่องแล้วไนล์กำลังนั่งหัวเราะมองความโง่เง่าของผม จนสุดท้ายผมก็ต้องระเบิดเสียงออกมา

“เมื่อไรนายจะเลิกทำให้ฉันเหมือนคนบ้าสักที!”

“...”

ไม่มีคำตอบจากคนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นเมื่อเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงก้มลงจ้องมองตาของไนล์เผื่อว่าผมจะได้คำตอบอะไรกลับมาบ้าง ผมอยากเห็นแววตาที่มีชีวิตของเขาอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปอย่างที่ผมคาดหวัง

“นายจะมองฉันหรือทำตัวตามปกติกับฉันไม่ได้หรือไง ทำไมต้องทำเหมือนคนไร้ชีวิต ไหนบอกว่าให้ฉันสนใจนาย แต่นายกลับไม่สนใจฉันเลย ฉันว่าแบบนี้มันไม่แฟร์”

แต่แม้ว่าผมจะเรียกร้องสิทธิ์ที่ไม่รู้ว่ามันควรจะมีอยู่หรือเปล่า คนที่ผมจ้องตาอยู่ก็ยังไม่มีท่าทีใดๆ ไนล์ยังคงเงียบ จนผมอดจะผ่อนลมหายใจออกมาไม่ได้ และบอกเขาอย่างจำนน ไม่มีหนทางไหนแล้วที่จะทำให้ผมค้นพบว่าเขาเข้ามาปั่นป่วนความคิดและชีวิตของผมเพื่ออะไร

“ฉันอยากรู้จริงๆ ว่านายเป็นคนยังไงกันแน่”

ทว่าคราวนี้ดูท่าว่าไนล์จะยอมเห็นใจผมบ้างที่ต้องวุ่นวายใจเพราะเขามานับครั้งไม่ถ้วน ถึงได้ยอมปริปากสักที แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นคำตอบที่ดี

“ถ้าอย่างนั้นก็คอยมองดูฉันสิ ไล่ตามจับฉันให้ได้”

ข้อเสนอนี้ถูกยื่นมา ผมจึงต้องพยายามตรึกตรองให้ดี ซึ่งผมก็ได้คำตอบและรับรู้แล้วว่าไนล์ทำอะไรได้บ้าง ทำให้ผมร้อนรนและวุ่นวายใจได้มากแค่ไหน ผมก็ปฏิเสธมันไม่ได้ เพราะหากทำแบบนั้นผมคงได้เจอความลำบากมากกว่าเดิม

“ก็ได้ ฉันจะลองทำดู”












การทำรายงานกลุ่มและพรีเซนต์ในชั่วโมงเรียนถือว่าเป็นเรื่องปกติมากสำหรับชีวิตของนักเรียนหรือนักศึกษา ในตอนนี้ผมถึงต้องมานั่งทำรายงานที่จะต้องพรีเซนต์วันมะรืนให้เสร็จเรียบร้อย ซึ่งไฮยีนที่รับหน้าที่ทำเพาเวอร์พอยท์ก็ก้มหน้าก้มตาทำมันอยู่ข้างๆ ผม

ผมนั่งสรุปรายงานอยู่กับมันที่ม้านั่งใต้ตึกคณะซึ่งเป็นโต๊ะประจำของเรามาได้พักหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ที่ทำรายงานกลุ่มเดียวกันไปหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ห้องสมุด จึงมีเพียงแค่ผมกับไอ้ยีนเท่านั้นที่ยังนั่งพิมพ์กรอกแกรกกับแล็ปท็อปของตัวเอง

“มึง กูทำกราฟไม่ได้ว่ะแม่ง”

เสียงของไอ้ยีนเรียกให้ผมต้องหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มันคงงมหาฟังก์ชั่นสำหรับการทำกราฟมาพักหนึ่งแล้ว แต่ไม่เจอ ถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากผม และเมื่อผมเห็นสิ่งที่มันทำอยู่ ผมก็ถึงบางอ้อ

“มึงทำในเพาเวอร์พอยท์แล้วกราฟจะงอกออกมาให้มึงไหม”

“ก็กูทำไม่เป็น มึงมาทำให้กูหน่อย”

เพื่อนรักของผมขอร้องโดยไม่แสดงอาการอะไรเป็นพิเศษ เพราะตอนนี้เราอยู่ที่ตึกใต้คณะ มันถึงต้องระวังตัว ไม่แสดงท่าทีห่ามๆ เหมือนเวลาอยู่กันตามลำพัง ซึ่งมันก็ทำให้ผมเป็นต่อ ผมจึงสั่งสอนมันไป

“มึงไม่ทำเองมึงก็ทำไม่เป็นอยู่แบบนี้แหละ กูทำให้มึงมากี่รอบแล้ว”

แต่ใช่ว่าบอกแบบนั้นแล้วมันจะสำนึกได้ ยังมีหน้ามาอ้อนผมอีก

“กราฟครับ กราฟทำให้ยีนหน่อยนะครับ ยีนทำไม่เป็นจริงๆ นะ”

ผมแพ้เสียงและท่าทางของมันแบบนี้จริงๆ สุดท้ายผมก็ต้องส่ายหัวเบาๆ ที่ก่อกบฏไม่สำเร็จ ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้มันมากกว่าเดิม พลางยืนมืออกไปจับเมาส์และเปิดเอ็กเซลขึ้นมาแทน ส่วนมันน่ะเหรอ ก็นั่งอมยิ้มสบายใจที่มีคนคอยเอาใจ แต่ก็ไม่นานหรอกครับ เพราะอยู่ๆ ก็มีแขนของใครสักคนแทรกเข้ามาระหว่างผมกับไฮยีน ตามด้วยเสียงของเจ้าของแขนนั้น

“ทำอะไรอยู่”

“เพาเวอร์พอยท์ดิ พี่ไม่เห็นเหรอ”

ไอ้ยีนเป็นคนตอบคำถาม ส่วนผมก็หันไปมองตามที่มาของเสียง ซึ่งก็เห็นว่าไอ้ยีนกำลังสะบัดหัวของมันไปมาเพื่อให้คางของพี่ภูที่วางอยู่บนหัวของมันหลุดออกไป เป็นภาพที่น่ารักดีนะครับ จนผมอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ รู้สึกว่าเคมีของสองคนนี้เข้ากันดี ถึงจะชอบเถียงกันเป็นประจำก็ตาม

“อืม แต่ที่เห็นอยู่เป็นเอ็กเซลนะ”   

เพราะสะบัดหัวแล้วพี่ภูก็ยังไม่ยอมปล่อยมันสักที ไอ้ยีนเลยยกมือขึ้นไปจับหน้าพี่ภูแล้วเหวี่ยงจนแทบขว้างออกไปทางไหนก็ได้ที่ว่างๆ พี่ภูเลยยอมผละออกจากตัวมันและลงมานั่งแทรกระหว่างผมกับไอ้ยีนแทน และก็เหมือนจะรู้ทันไอ้ยีนด้วย เขาถึงได้โพล่งออกมาก่อนที่เพื่อนของผมจะปล่อยคำพูดอีกระลอก หนำซ้ำยังมีการเอามือปิดปากไอ้ยีนไว้อีก

รู้จักสันดานเพื่อนของผมดีเชียวล่ะ เพื่อนลุงรหัสของผมคนนี้

“อย่าเพิ่งด่าๆ”

“แล้วพี่มีอะไร อยากมากวนประสาทกันเฉยๆ หรือไง”

“เปล่าสักหน่อย ที่มาเพราะว่ามีเรื่องต่างหาก มึงด้วยกราฟ”

“มีอะไรอะพี่”

ผมโดนพี่ภูดันให้ห่างออกมาหน่อย คงเพราะเขานั่งไม่ถนัด ซึ่งมันก็ทำให้ผมเพิ่งเห็นว่าพี่เจ๋งมายืนอยู่ตรงนี้ด้วย ผมไม่ได้สังเกตเลยว่าลุงรหัสของผมก็อยู่ด้วย คงเพราะมัวแต่มองคู่นี้อยู่

“พอดีว่าพวกกูต้องทำหนังสั้น เลยว่าจะชวนพวกมึงมาร่วมโปรเจกต์”

“จะดีเหรอพี่ ให้แสดงอะนะ”

ข่าวที่ได้รับมาทำให้ผมประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าพวกพี่เขาจะไว้ใจให้ผมกับไอ้ยีนมาช่วยงาน

“ใช่ พวกกูเห็นว่าพวกมึงแสดงดีก็เลยอยากชวนพวกมึง กูเขียนบท ส่วนไอ้ภูเป็นผู้กำกับ”

แต่พี่เจ๋งก็ยังยืนยัน แถมยังมีอะไรเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าจากคำพูดต่อมาของพี่ภูอีก

“นอกจากพวกมึงแล้วไอ้กัสกับไอ้เคก็ด้วย เมื่อกี้กูโทรไปชวนแล้ว มันโอเค”

“แล้วเรื่องเป็นยังไงอะพี่”

ในเมื่อดูจะเลี่ยงไม่ได้ และได้รับความไว้วางใจกันแบบนี้ ก็คงปฏิเสธยากครับ เพราะผมก็ไม่อยากทำให้พวกพี่เขาผิดหวังเหมือนกัน ในเมื่อตั้งใจให้พวกผมช่วยงานแล้ว อีกอย่างตอนสอบพี่เจ๋งก็ช่วยติวให้ผมด้วย พี่ภูก็ช่วยไอ้ยีนเหมือนกัน แต่พี่ภูกลับตอบเอาฮาแล้วหัวเราะ ก่อนจะไปกระซิบข้างหูไอ้ยีน

“สี่ยอดกุมาร ไม่อยากเล่นเหรอ”

“ไม่อะ”

“ไม่คิดจะช่วยกันหน่อยหรือไง”

“ทำไมต้องช่วย?”

“ไม่ต้องช่วยเล่นก็ได้ แต่ช่วยทำให้กูเลิกคิดถึงมึงหน่อย”

ถึงพี่ภูจะกระซิบเบาหวิวข้างหูเพื่อนของผม แต่ผมที่นั่งอยู่โคตรใกล้ก็ได้ยินครับ เห็นไอ้ยีนทำหน้าไม่ถูก แต่ดูหน้าแดงๆ หน่อย พลางก้มหน้างุดๆ ที่ไม่รู้ว่าเพราะอายผม หรืออยากตั๊นหน้าพี่ภูแบบสุดทนกันแน่ ผมก็แอบยิ้มขำๆ แถมพี่ภูยังถือโอกาสตอนที่ไอ้ยีนตอบโต้ไม่ได้มาสรุปกับผมอีก

“สรุปว่าตกลงนะ”

“ถ้ายีนโอเคก็ตามนั้น ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

ผมเหลือบไปมองไอ้เพื่อนรักหน่อยๆ ท่าทางตอนนี้มันน่ารักดีครับ เพราะปกติแล้วผมไม่เคยจะได้เห็นหรอกตอนที่มันหน้าแดงแบบนี้ สงสัยมันคงแพ้ทางพี่ภูไปเต็มๆ

“โอเค ไว้สรุปรายละเอียดอะไรแล้วจะบอกอีกทีแล้วกัน” คงเห็นว่าทุกคนเอาแต่เงียบ ลุงรหัสของผมเลยเป็นคนออกปากขึ้นมาบ้าง เรียกให้ไอ้ยีนเงยหน้าขึ้นมาด้วย ก่อนเขาจะหันไปพูดกับเพื่อนที่มาด้วยกัน แต่อาจจะไม่ได้กลับด้วยกันจากการคาดเดาของผม “งั้นกูไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะไปเตรียมเรื่องบทเพิ่ม แล้วมึงจะไปกับกูเลยหรือเปล่า”

“มึงกลับไปก่อนเหอะ”

เป็นอย่างที่ผมว่าพี่ภูตัดเยื่อใยกับเพื่อนเลยครับ แต่ก็คงจะไม่แปลก ผมเลยขอทำตัวเสียสละบ้าง เสียสละเพื่อนให้กับว่าที่แฟนของมันน่ะครับ แต่แค่ผมลุกจากม้านั่งที่นั่งอยู่ เสียงไอ้ยีนก็รั้งผมไว้ทันที

“มึงจะไปไหนวะ”

ผมยังไม่ตอบอะไรมัน แค่ยิ้มให้ ให้มันเข้าใจไปเองว่าผมจะทำอะไรหรือไปไหน ซึ่งผมคิดว่ามันคงพอจะคิดได้ล่ะมั้งว่าตอนนี้ผมกำลังตามจีบพี่ดาหลาอยู่ เพราะฉะนั้นผมก็น่าจะไปหาพี่ดาหลาเหมือนอย่างทุกที แต่ไม่ใช่หรอกครับ

“ผมฝากพี่ช่วยมันทำกราฟต่อด้วยนะ ไปก่อนครับ”














วันนี้ผมมาโผล่ที่คณะของไอ้กัสกับไอ้เคลม แต่ไม่ได้มาหาไอ้สองตัวนั้นหรอก เพราะเมื่อคืนผมรับปากไนล์ไว้แบบนั้น ผมจึงต้องมาทำตามคำพูดของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่ผมก้าวย่างเข้ามาในคณะวิศวะฯ บรรยากาศภายในคณะแตกต่างจากคณะผมหรือคณะของพี่ดาหลาโดยสิ้นเชิง

คนภายในคณะนี้ส่วนมากจะใส่เสื้อช็อปสีต่างๆ แยกไปตามเมเจอร์ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเมเจอร์ไหนใส่สีอะไร แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ใส่ชุดนักศึกษาตามปกติ เพราะไม่มีเรียนแล็บและนักศึกษาปีหนึ่งจะใส่เสื้อช็อปก็เมื่อเข้าเทอมสองแล้วเท่านั้น

ผมก้าวเข้าไปในคณะของไนล์ด้วยความมึนงงเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นหาตัวคนที่ผมมาหาจากตรงไหน เพราะคณะนี้คนค่อนข้างเยอะ และไนล์ก็คงไม่ใช่คนที่จะเป็นที่รู้จักเหมือนพี่ดาหลา ไม่ใช่เพราะว่าหน้าตาของเขาไม่ดีหรอกนะครับ ผมว่าหน้าตาของไนล์ออกจะโดดเด่น แต่เพราะลักษณะที่เหมือนคนไม่มีชีวิต ไม่สนใจรอบข้างนั่นต่างหากที่ทำให้ผมค่อนข้างแน่ใจว่าน้อยคนที่จะรู้จักไนล์

เนคไทของมหาวิทยาลัยที่มีเข็มกลัดเป็นรูปเกียร์ติดอยู่ถูกใช้เป็นข้อสังเกตของผม เพราะจะมีแค่ปีหนึ่งเท่านั้นที่ยังใส่เนคไทอยู่ ผมเดินไปยังโต๊ะหนึ่งที่มีกลุ่มคนที่ว่านั่งรวมกันอยู่ประมาณห้าหกคน และลองถามดู เผื่อว่าจะมีใครที่รู้จักไนล์บ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีที่มีคนหนึ่งทักขึ้นมา ไม่เหมือนคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่ผมไปถามมาแล้วได้รับคำตอบว่าไม่รู้จัก

“ไนล์ก็ไอ้คนนั้นไง ที่อยู่เอ็มอี ดูหยิ่งๆ ไม่คุยกับใคร”

“อ้อๆ ที่ชอบทำหน้านิ่งๆ ตัวขาวๆ หน้าซีดๆ ใช่ป่ะ ”

“เออๆ กูนึกออกแล้ว แม่งชอบทำตัวเหมือนผี แล้วยังทำเหมือนมองไม่เห็นคนอื่นอีก เห็นแล้วโคตรหมั่นไส้เลยวะ”

“ไม่ใช่แค่หมั่นไส้นะมึง เหี้ยเลยว่ะ เสือกเอาพี่ติ๊กที่กูเล็งไว้ไปแดกอีก สัตว์แม่ง”

“ไม่ใช่แค่พี่ติ๊กเว้ย กูเห็นแม่งควงคนนั้นที คนนี้ที เห็นแล้วคันตีนฉิบหาย”

ได้ยินสิ่งที่คนในโต๊ะคุยกันแล้ว ผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่มาถามกับพวกนี้ เพราะดูแต่ละคนไม่ค่อยพอใจไนล์นัก อีกทั้งสิ่งที่แต่ละคนพูดมายังทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เข้าหูสักเท่าไร ถึงผมจะได้เห็นมากับตาและได้ยินกับหูว่าไนล์เป็นยังไงเวลาอยู่ต่อหน้าพี่ดาหลาหรือผู้หญิงคนอื่น แต่ผมก็คิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนอย่างที่กำลังถูกพูดถึง

ลึกๆ ผมเชื่อว่าไนล์ไม่ใช่คนเจ้าชู้แบบนั้น

แต่เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ภาพของไนล์กับผู้หญิงที่ผมเคยได้เห็นก็ย้อนกลับเข้ามาให้ผมต้องย้ำความคิดของตัวเองอีกครั้งว่าแน่ใจแล้วเหรอ เพราะแต่ละครั้งที่ผมได้เจอ ไม่มีใครซ้ำหน้ากันสักคน

ผู้หญิงในผับ

ผู้หญิงที่ร้านพิซซ่า

หรือแม้แต่เมื่อวาน... คนที่ไนล์จูบ

“ว่าแต่นายมาถามหามันทำไม”

ผมถูกดึงให้กลับมาสนใจกลุ่มคนที่โต๊ะอีกครั้ง จึงต้องยิ้มให้จางๆ แล้วตอบคำถาม

“ฉันมีธุระด้วยนิดหน่อย”

“อย่าบอกนะว่าจะมาเอาเรื่องมันที่มันแย่งแฟนนาย”

“ไม่ใช่ๆ”

รีบปฏิเสธทันทีเพราะเกรงว่าคนอื่นๆ จะเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะถึงผมจะตอบแบบนั้น แต่อีกคนในกลุ่มก็โพล่งขึ้นมา

“มันไม่อยู่คณะหรอก เลิกเรียนเสร็จมันก็เปิดตูดไปทุกวัน ถ้าไม่มีผู้หญิงมารับ ก็คงไปหาผู้หญิงที่คณะอื่นเองล่ะมั้ง”

รู้สึกว่ามีเสียงครืนๆ เหมือนมีอะไรขูดอยู่ในอกจนก้องออกมาอยู่ชั่วครู่ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าผมจะดึงสติกลับมาแล้วกล่าวขอบคุณคนที่ให้คำตอบกับผม ก่อนจะเดินกลับมาที่รถ ผมทิ้งตัวลงกับเบาะในรถ รู้สึกหัวตื้อขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงคำพูดต่างๆ ที่ได้ยินมาจากคนในคณะของไนล์ สิ่งที่ผมไม่เคยรู้และไม่เคยคิด

ถ้าหากว่าผมอยากรู้ว่าตัวตนของไนล์เป็นยังไง ผมจะต้องเจอเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจมากกว่านี้อีกใช่ไหม

ผมจมอยู่กับความคิดนั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ในรถซึ่งจอดอยู่ในลานจอดรถของคณะวิศวะฯ อยู่พักใหญ่ ยังคิดไม่ออกและไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหนหรือทำอย่างไร ที่ผ่านมา ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ไนล์ก็มักจะหาผมเจอและรู้เสมอ แต่เพียงแค่ผมคิดว่าต่อไปผมต้องเป็นคนฝ่ายมาหาเขาบ้าง ก็กลายเป็นว่าผมต้องผิดหวังตั้งแต่ครั้งแรก ทำให้ผมเสียศูนย์ไปพอสมควร ทุกอย่างดูไม่เป็นใจ

ตามจริงแล้วผมจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเขาเพื่อถามก็ได้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ผมก็เก็บโทรศัพท์กลับไปแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ความคิดก็ตาม เพราะหากทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าผมยอมแพ้ตั้งแต่แรก ผมจึงเปลี่ยนจากการโทรหาไนล์เป็นการไปรอเขาที่แมนชั่นแทน

ทว่ายังไม่ทันขับไปถึงที่หมาย ผมก็ต้องชะลอรถและหยุดลงข้างทางก่อนจะออกจากมหา’ลัยเสียอีก เพราะคนที่ผมไปหาถึงคณะกำลังลงจากรถคันเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อวาน ผมมองดูไนล์ที่ก้มลงคุยกับผู้หญิงในรถซึ่งจอดอยู่หน้าประตูมหา’ลัย เขาระบายยิ้มกว้างให้ พลางโบกมือลาก่อนรถคันนั้นจะแล่นออกไป

เห็นภาพนั้นแล้วผม เสียงกึกๆ ก็ดังในอกของผม คำพูดของคนในคณะของไนล์ที่ผมเพิ่งได้ยินมาย้อนกลับมาในโสตสัมผัสของผมอีกระลอก







อ่านต่อด้านล่าง

v

v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥


ต่อจากด้านบน


v


v






ไนล์ออกไปกับผู้หญิงจริงๆ อย่างที่คนพวกนั้นว่า แต่คงไม่แปลก ในเมื่อนัดเมื่อวานถูกยกเลิก ยังไงก็ต้องมีสักวันที่ไนล์ออกไปกับผู้หญิงคนนั้นเพื่อเป็นการชดเชย ทั้งที่เข้าใจเหตุผลหมดทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ได้เห็นกับตา

ร่างผอมเพรียวที่อยู่ปลายสายตาของผมเดินจากหน้ามหา’ลัยไป เขาไม่ได้ต่อรถ แต่ข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง ซึ่งไม่ต้องคาดเดาผมก็พอรู้ได้ว่าคงจะกลับแมนชั่นของตัวเอง ผมจึงค่อยๆ ขับรถตามไป แทนที่จะเลื่อนรถไปเทียบข้างตัวและเรียกเขาขึ้นรถ ผมอยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างที่ผมคิดจริงหรือว่าเป็นการคิดไปเองของผมกันแน่ว่าเขาจะเป็นแบบไหน

คราวนี้ผมไม่ต้องผิดหวังหรือเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะไนล์กลับแมนชั่นอย่างที่ผมคาดการณ์เอาไว้ เขาเดินเข้าซอยไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนกับระยะทาง ทั้งที่ถ้าเป็นเพื่อนผม อย่าง ไอ้ยีนหรือไอ้เคลม คงบ่นด้วยความหงุดหงิดไปแล้วกับการเดินไกลๆ และต้องเรียกแท็กซี่ให้เข้าไปส่งถึงแมนชั่น ไม่มาเดินให้เสียเวลาหรือเปลืองแรง แม้แต่ไอ้กัสที่มีความอดทนมากกว่าก็คงทำอย่างเดียวกัน แต่อาจจะไม่บ่นเหมือนสองคนนั้น

ผมรอให้ไนล์เข้าแมนชั่นแล้วจึงค่อยเลื่อนรถเข้าไปจอด ก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องที่ผมจะเหยียบเป็นรอบที่สาม วันนี้ผมไม่ไขกุญแจเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่เลือกจะเคาะประตู ทว่าเคาะอยู่พักหนึ่งกลับไม่มีเสียงตอบรับหรือการเปิดประตูต้อนรับจากเจ้าของห้อง ผมจึงต้องหยิบกุญแจดอกเดิมที่หยิบมาเผื่อไว้ด้วยขึ้นมาเปิดประตูบานเก่า

เจ้าของห้องอยู่ในห้อง นั่งอยู่ที่เดียวกับเมื่อวาน ที่มือของไนล์ข้างหนึ่งมีพู่กันส่วนอีกข้างมีบุหรี่อยู่เหมือนเดิม ผมข้างหน้าถูกมัดเป็นจุกไม่ต่างจากที่ผมได้เห็น แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้หันมาหาผมก็ตาม ไนล์คร่ำเคร่งอยู่กับผลงานของตัวเองจนไม่สนใจคนที่ก้าวรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขต ไม่ระวังตัวสักนิดว่าจะเป็นคนร้ายที่เข้ามาขโมยของซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าภายในห้องนี้มีของมีค่าอะไรพอให้ขโมยหรือเปล่า จนผมอดพูดออกมาไม่ได้

“ไม่ยอมหันมาดูว่าใครเข้ามาในห้องแบบนี้ ถ้าคนที่เข้ามาไม่ใช่ฉัน นายจะทำยังไง”

“ห้องนี้ไม่มีของให้ขโมย และไม่มีใครรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่นอกจากนาย”

คำตอบแรกทำให้ผมรู้สึกโมโหนิดๆ ที่เขาไม่ห่วงตัวเองเลย แต่คำตอบที่ตามมาทีหลังกลับทำให้ความรู้สึกแรกของผมถูกลบล้างออกไปจนหมดเกลี้ยง

ผมกำลังดีใจหรือไง?

ตั้งคำตอบกับตัวเองในใจแล้วก็เลี่ยงคำตอบจากคำถามนั้นไม่ได้ว่ามันคือความจริง

ผมกำลังถูกดึงดูดด้วยความลึกลับและปริศนามากมายจากผู้ชายคนนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าคำท้าทายของไนล์กำลังเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาทำให้ผมสนใจเขามากจนผมแทบละความคิดจากเขาไม่ได้ แต่ถึงจะรู้สึกแบบนั้น ผมก็ไม่คิดจะแสดงออกให้มากกว่าที่เป็นอยู่

“แล้วทำไมนายไม่มาเปิดประตูตอนที่ฉันเคาะเรียก ถึงยังไงนายก็สมควรทำแบบนั้นมากกว่า”

มันปลอดภัยกว่า...

เป็นคำที่ผมต่อในใจ ไม่ได้พูดออกมา แต่ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป ไนล์ก็ยังไม่หันมา เขาเพียงปล่อยควันสีขาวออกจากปากและตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ให้ความรู้สึกบางเบาเหมือนร่างของเขาที่ได้เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา

“ฉันรู้ว่านายเอากุญแจมา”

“แล้วถ้าฉันไม่ได้เอากุญแจมาด้วย”

เขารู้ทันผมเสมอจนผมต้องหาทางเลี่ยง ให้เขาเข้าใจว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเสมอไป แต่ถึงกระนั้นไนล์ก็ยังคงยืนยันราวกับรู้จักผมดีและเขาไม่เคยอ่านความคิดของผมพลาด

“นายต้องเอามา”

“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น”

“เพราะเป็นนาย”

ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน แต่ความหนักแน่นของไนล์ทำให้ผมต้องยอมแพ้ในการซักไซ้ต่อ และเดินไปนั่งที่เตียงของเขาแทน เลิกรบกวนคนทำงานที่ยังไม่มองกลับมาหาผมแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่ผมเปิดประตูและก้าวเข้ามาในห้อง

ผมกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ไม่ต่างจากวันอื่นที่ผมมา ไม่มีอุปกรณ์หรือสื่อบันเทิงใดๆ ที่จะให้ผมใช้ฆ่าเวลาในการอยู่ที่นี่ ไม่มีคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ หรือแม้แต่วิทยุ ผมจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเกมเพื่อรอเวลาที่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารอเพื่ออะไร ขณะที่ไนล์ก็ยังคงทำงานต่อไปโดยไม่สนใจผม

เสียงเครื่องยนต์ในเกมดังเบาๆ ภายในห้องที่มีแต่ความเงียบ ผมเหลือบมองไปทางคนที่นั่งอยู่ตรงระเบียงหลังห้องเป็นระยะ ไนล์นั่งหันหลังให้ผมและยังเอาแต่จับจ้องเฟรมภาพขนาดใหญ่ที่ลงสีไปครึ่งหนึ่ง มือที่เล็กกว่าผมพอสมควรขยับไปเรื่อยๆ เพื่อป้ายสีสันไปตามผืนผ้าใบไม่หยุดพัก ให้รู้ว่าเขาตั้งใจทำผลงานชิ้นนี้มากแค่ไหน ผมจึงกลับมาเล่นเกมเหมือนเดิม










ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ผมเผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา โทรศัพท์ยังคาอยู่ในมือของผม แต่ว่ามันดับไปแล้ว ผมต้องรำลึกความทรงจำขึ้นมาก่อนจะนึกได้ว่าผมเล่นเกมในโทรศัพท์จนแบตหมด จึงคิดจะพักสายตาสักครู่และกะว่าจะออกไปหาซื้ออะไรเข้ามากิน

คิดได้ดังนั้นผมก็ยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ ทว่าหลังจากเห็นว่าเข็มสั้นและเข็มยาวพาดอยู่ตรงตัวเลขไหน ผมก็ต้องเบิกตาขึ้นกว้าง เพราะว่ามันตีหนึ่งกว่าแล้ว ผมกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วก่อนจะต้องเบิกตากว้างกว่าเดิมที่เห็นว่าไนล์นั่งอยู่ที่โต๊ะเตี้ยๆ ซึ่งนำมากางไว้ข้างเตียง

เจ้าของร่างผอมๆ นั่นกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างอยู่กับหนังสือที่อยู่บนโต๊ะนั้น ผมจึงค่อยๆ ชะโงกตัวไปดูก็เห็นว่าไนล์กำลังใช้ดินสอขีดดอกจันเอาไว้ในหนังสือก่อนจะเอาโพสต์อิทสีสะท้อนแสงติดที่กระดาษหน้านั้น ซึ่งมันไม่ใช่เพียงแค่หน้าเดียว แต่ในหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ อีกประมาณสามเล่มก็มีโพสต์อิทติดอยู่เล่มละเกือบสิบหน้า

“ทำอะไร”

“รายงาน”

ไม่ต่างจากเดิม แม้ว่าจะผ่านมามากกว่าแปดชั่วโมง ไนล์ก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม แต่ผมก็ไม่เรียกร้องที่จะให้เขาเงยขึ้นมามองหน้าผม ผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายมองการกระทำของเขาแทน เพราะตอนนี้เป็นผมต่างหากที่ต้องทำความรู้จักกับเขา ไม่ใช่เขาที่รู้จักผมดี

“นี่มันเกือบจะตีสองแล้ว ไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้”

ผมบอกด้วยความหวังดี พลางหันไปมองภาพที่ไนล์ลงสีไว้เมื่อตอนหัวค่ำ ตอนนี้มันกลับมาตั้งอยู่ข้างหน้าต่างของห้องแทนระเบียง ซึ่งภาพวาดที่เว้าแหว่งด้วยสีตอนนี้มันถูกทำให้สมบูรณ์แล้ว ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้ชื่นชมภาพวาดนั้น ผมก็ต้องเบือนหน้ากลับมาทางไนล์อย่างรวดเร็วเพราะคำตอบของเขา

“ต้องส่งพรุ่งนี้”

“ส่งพรุ่งนี้” ผมตกใจจนหลุดเสียงออกมา เพราะดูจากเวลาแล้วมันไม่น่าจะเสร็จง่ายๆ จึงอดจะถามเรื่องภาพวาดไม่ได้ “แล้วทำไมนายไม่ทำก่อน ค่อยวาดรูปทีหลัง”

“นั่นก็ส่งพรุ่งนี้”

คำตอบของไนล์ทำให้ผมไปต่อไม่ถูก ต้องหยุดเสียงของตัวเองเอาไว้เท่านั้น ก่อนจะเหล่กลับไปมองรูปวาดที่ตั้งอยู่และพลันคิดถึงวันที่ผมตื่นขึ้นมาในห้องนี้ ไนล์ลุกขึ้นมาวาดรูปตั้งแต่ผมยังไม่ตื่น และภาพนั้นก็น่าจะเป็นภาพเดียวกับที่ผมกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ ถ้าอย่างนั้น...

เขาต้องเสียเวลาเปล่ามาสองวันก็เพราะผม

รู้ถึงเหตุผลที่ไนล์ต้องมาไล่บี้ทำงานแบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ หากผมไปหาไนล์ที่คอนโดของผมให้เร็วกว่านี้แทนที่จะปล่อยให้เขารอตั้งสี่ชั่วโมง ถ้าผมไม่ไปซื้อของและดูหนังกับพี่ดาหลาเมื่อวาน ไนล์ก็ไม่ต้องตามผมไปและรอจนกว่าผมจะกลับทั้งที่เขาควรเอาเวลานั้นไปทำงาน ถึงจะนัดกับพี่มายด์ไว้ก็ตาม แต่อย่างน้อยการไปกับผู้หญิงคนนั้น เขาก็สามารถกำหนดได้ว่าจะกลับเมื่อไร ไม่เหมือนการไปกับผม

“แล้วนายจะทำเสร็จเมื่อไร จะได้นอนกี่ชั่วโมง”

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด และยิ่งถามผมก็ยิ่งสะท้อนใจให้ความรู้สึกนั้นทับถมมากขึ้นหลังจากได้ฟังคำตอบ

“นอนกี่ชั่วโมงไม่สำคัญ แค่งานเสร็จก็พอ ฉันชินแล้ว”

“แล้วนายจะพิมพ์ยังไง”

เพราะไม่มีอุปกรณ์สำหรับทำงานอย่างครบถ้วน และคิดว่าไนล์คงไม่เขียนมันแน่ๆ เพราะยังมีหนังสืออีกตั้งหนึ่งที่เขายังไม่ได้เปิดหาข้อมูลด้วยซ้ำ เพราะไม่มีโพสต์อิทติดอยู่เหมือนอีกตั้งหนึ่ง

“ค่อยเอาไปพิมพ์ที่ห้องคอมคณะ”

เพียงฟังคำตอบของไนล์ ผมก็ไม่คิดจะสอบถามอะไรต่ออีกแล้ว ผมลุกขึ้นจากเตียงทันทีก่อนจะตรงไปยังโต๊ะที่ไนล์เปิดหนังสืออยู่ และดึงหนังสือนั้นขึ้นมาปิดพร้อมกับรวบหนังสืออื่นๆ ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วสั่งทันควัน

“ไปกับฉัน”

“ไปไหน”

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ผมได้เห็นหน้าของไนล์ชัดๆ เขายอมเงยหน้าขึ้นมาประจันกับผมเมื่อถูกแย่งหนังสือไป ซึ่งหลังจากเห็นสีหน้าของเขาแล้วผมก็เผลอขบกรามเข้าหากันแน่น หน้าที่ขาวซีดของไนล์ซีดลงอีกจากเมื่อคืนนี้ ใต้ตามีรอยคล้ำและก็ดูอ่อนเพลียจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อคืนเขาได้นอนหรือเปล่า

แบบนี้ใช่ไหม เขาถึงหลับเป็นตาย ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่นจนผมนึกกลัวเสมอ







==============
ดีใจค่ะที่มีคนรอ
ไม่ได้หายไปไหน แต่ไม่ว่างเลย เพิ่งจะมีโอกาสได้แต่งต่อ

ตอนนี้กราฟเหมือนถลำลงไปทั้งตัวแล้ว
ในที่สุดก็ได้จูบแล้วเนอะ

Undel2Sky
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2013 23:41:29 โดย undersky »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ผู้หญิงพวกนั้นเป็นอะไรกับไนล์กกันแน่
เริ่มติดบ่วงตามกราฟไปแล้ว 555

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
แง ถึงได้จูบกันแล้วแต่ดูไม่หวานเท่าไหร่ เพราะยังไงไนล์ก็ยังเป็นไนล์ คงมีแต่กราฟล่ะมั่งที่เปลี่ยนไปกว่าเดิม
แล้วการเลือกไล่ตามไนล์ก็ทำให้กราฟได้รู้แต่เรื่องไนล์ที่มาจากปากคนอื่นทั้งนั้น  ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องดีซักเรื่อง
ไหนจะเหล่าผู้หญิงที่มาเกี่ยวพันกะไนล์อีก ความจริงมันเป็นยังไง ตัวตนของไนล์คือใคร ต้องการอะไรกันแน่
เฮ้อ เหนื่อยแทนกราฟจัง แต่ความลับไม่มีในโลก(นอกจากผู้เขียนไม่เขียนต่อ 555)เราจะค่อย ๆ รู้จักไนล์ไปด้วยกันนะกราฟสู้ ๆ
แล้วตอนนี้ก็ใกล้ถึงตอนกราฟคลั่งที่เจอทะเลแล้ว เบื้องหลังตอนหลักของพี่ภูกะน้องยีน
กราฟกะไนล์จะทำความเข้าใจกันมากขึ้นไหมน๊า รอติดตาม และบวก บวก เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปจ้า  :pig4:  :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด