It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]  (อ่าน 96509 ครั้ง)

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
แหม่ๆ พยายามที่จะไม่สนใจ แต่สายตาก็หยุดมองหาไม่ได้นะจ๊ะ

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท??





















เสียงโทรศัพท์ดังปลุกให้ผมตื่นไม่ต่างจากทุกวัน ผมเอื้อมมือไปคว้าเครื่องสี่เหลี่ยมนั้นมากดปิดสัญญาณการปลุกพลางเหลือบตามองตัวเลขที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอ ก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไร


16 กรกฎาคม


เพียงเห็นเท่านั้นความรู้สึกมากมายก็โถมทับเข้ามาในอกของผม โทรศัพท์ที่ถืออยู่เมื่อครู่ถูกวางลงบนเตียงโดยเร็วก่อนที่ผมจะต้องยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดปากเอาไว้ ความรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออกโหมตีขึ้นมาพร้อมกับตาที่ร้อนผ่าวขึ้น

หยดน้ำใสๆ เอ่อขึ้นบนขอบตาของผมราวกับสั่งได้ ทั้งที่ผมไม่อยากรู้สึกแบบนี้ ไม่อยากให้ถึงวันนี้มากที่สุดในรอบปี แต่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ ความรู้สึกแย่ตีรวนอยู่ในอก ทำให้ลำคอของผมแห้งผาก มือที่ว่างอีกข้างได้แต่ขยำผ้าปูที่นอนอย่างทุกข์ทรมาน

ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติเอาไว้ พยายามนึกถึงคำพูดที่เคยได้รับจากเพื่อนรักที่สุดเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น แต่มันเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่ผมจะทำได้ ความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตย้อนกลับมาเป็นฉากๆ จนผมต้องกุมหัวเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ภาพเหล่านั้นย้อนกลับมาทำร้ายผมได้

“มึง”

พยายามฝืนทนต่อความรู้สึกย่ำแย่ที่กำลังรุมเร้าและคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคนที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม หวังให้เสียงของมันทำให้ผมหายจากอาการทุกข์ทรมานนี้

แค่ได้ยินเสียงของไฮยีน ผมจะรู้สึกดีขึ้น

[ว่าไงวะ โทรมาแต่เช้าเชียว กูเพิ่งตื่นเองเนี่ย]

“วันนี้กูไปรับมึงไม่ได้นะ ขอโทษทีว่ะ”

ผมไม่ได้บอกมันว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหน ทรมานยังไง พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกทั้งหมดลงไป และสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ทั้งที่ตาทั้งสองข้างยังเปียกชื้น

[เออๆ ไม่เป็นไร กูนั่งแท็กซี่ไปได้ ว่าแต่มึงเหอะ ไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือเปล่า]

แน่ใจเลยว่าผมไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป แต่เพราะความผิดปกติที่ผมไม่ไปรับมันที่บ้านเสียมากกว่าที่ทำให้มันถาม ทว่าผมก็ไม่ได้บอกมันเพื่อให้มันเป็นห่วงผมไปมากกว่านี้ ผมจะพยายามเพื่อตัวเองบ้าง เพราะผมพึ่งมันมาหลายครั้งแล้ว

วางสายจากไฮยีน ผมก็ขดตัวอยู่บนเตียง พยายามปรับอารมณ์ของตัวเองให้ได้มากที่สุด นึกถึงเสียงของคนที่ผมเพิ่งวางสายไป นึกถึงคำพูดของมันซ้ำๆ เพื่อลบภาพเดิมๆ ที่แล่นเข้ามาในหัวไม่หยุด แต่ยิ่งผมฝืนลบเท่าไร ก็เหมือนภาพนั้นจะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้สึกผิดตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ


ความผิดที่ไม่สามารถลบเลือนได้และไม่สามารถแก้ไขได้

ผม...ฆ่าคนที่ผมรักด้วยมือของผมเอง

ทั้งที่บอกตัวเองไม่ให้คิดอย่างนั้นแบบที่ไฮยีนเคยบอก ไม่ใช่ความผิดของผมที่มิ้นตาย แต่มันยากเหลือเกินที่จะทำใจไม่ให้คิดได้ เพราะเหตุการณ์วันนั้นยังแจ่มชัด โดยเฉพาะในวันนี้... วันครบรอบวันตายของเธอ แม้ว่าจะผ่านมาแล้วสามปี

ผมหลับตาลง กอดตัวเองให้แน่นขึ้น น้ำตายังคงไหลออกมาจากตาของผมเรื่อยๆ เหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด เสียงสะอื้นสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบสนิทจนไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากความเศร้าเสียใจของผม

ถ้าผมไม่ชวนมิ้นไปทะเลด้วยกันในวันนั้น...

รอยยิ้มของคนที่ผมรัก ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เสียงสะอื้นของผมยิ่งดังมากขึ้น มากขึ้นอีกหลายเท่า

“มิ้น! กราฟขอโทษ กราฟผิดเอง กราฟรักมิ้นนะ ทำไมต้องจากกราฟไป!!”

เสียงตะเบ็งของผมกังวานไปทั้งห้อง พร้อมกับความเจ็บปวดในอกที่หนักขึ้น ผมได้แต่ร้องออกมาแบบนั้นเหมือนคนเสียสติ ผมไม่สามารถยอมรับการจากไปของเธอได้ ไม่ว่าจะย้อนคิดกลับไปอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังคงคิดถึงเธอ และรู้สึกผิดอยู่ทุกครั้งที่นึกถึงผู้หญิงที่ผมรัก



‘กราฟจะไม่ชวนยีนออกมาเล่นด้วยกันเหรอ ปล่อยให้อยู่ในบังกะโลคนเดียว เดี๋ยวก็เบื่อแย่ กว่ากัสกับเคจะกลับมาจากซื้อของก็อีกตั้งนาน’

เสียงสดใสของคนรักทำให้ผมยิ้มออกมานิดๆ เธอเป็นคนน่ารัก และห่วงความรู้สึกของคนอื่นอยู่เสมอ คล้ายๆ ผม ทำให้ผมตกหลุมรักเธอไม่ยากเลย

‘ปล่อยมันไปเหอะน่า มันคงไม่อยากมาขัดตอนเราสวีทกันหรอกมั้ง’

ผมดึงผู้หญิงตัวเล็กเท่าคางของผมมากอดเอาไว้จากทางด้านหลังแล้วยังตีเนียนด้วยการหอมแก้มเธอไปหนึ่งฟอดใหญ่ๆ จนคนที่ถูกลักความหอมของแก้มต้องรีบเบี่ยงตัวหนี พยายามดันตัวผมออก แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อย ผมกอดเธอไว้แน่นขณะที่เธอดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของผม

‘ปล่อยสิกราฟ ขี้ฉวยโอกาสสุดๆ’

‘ไม่ให้กราฟฉวยโอกาสกับมิ้น แล้วให้กราฟไปฉวยกับใครล่ะครับ’

แก้ตัวอย่างหน้าด้านๆ แล้วผมยังใช้โอกาสนั้นหอมแก้มเธอไปอีกทีและหัวเราะออกมา เลยโดนมิ้นตีที่แขนเข้าให้ ผมถึงต้องรีบปล่อยตัวเธอออกแล้วเปลี่ยนเป็นสาดน้ำใส่แทน เป็นการป้องกันตัวแบบทีเล่นทีจริง

เสียงหัวเราะของพวกเราดังไปทั่วชายหาดที่แทบจะเป็นส่วนตัว เพราะเป็นหน้าหาดของที่พักของผมและโรงแรมข้างๆ กัน ซึ่งหน้าฝนแบบนี้ไม่ค่อยมีคนนิยมมาเที่ยวทะเลสักเท่าไร ทำให้ชายหาดสงบยิ่งขึ้นไปอีก

ผมกับมิ้นไล่จับกันบ้าง สาดน้ำใส่กันบ้าง หรือไม่เธอก็กระโดดขึ้นหลังของผม ตามประสาคู่รัก ผมมีความสุขมากที่ได้เที่ยวกับเธอแบบนี้ เพราะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมได้พาเธอมาต่างจังหวัด ผมถึงขั้นลงทุนไปขอพ่อกับแม่ของมิ้นเลยด้วยซ้ำ เพื่ออย่างน้อยท่านจะได้วางใจว่าไปกับผมแล้วเธอจะปลอดภัย และผมไม่ได้คบกับเธอเล่นๆ หรือหวังอะไรจากเธอ

แต่ผมไม่รู้ว่านั่นจะเป็นการเที่ยวครั้งสุดท้ายของผมกับเธอ ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วแบบนี้ ผมแกล้งเธอ ผมผลักเธอให้ล้มลงไปในน้ำ เป็นจังหวะเดียวกับคลื่นลูกที่ใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ซัดเข้ามา มันแรงจนแม้แต่ผมยังเซ นับประสาอะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างมิ้น เธอจมหายไปกับคลื่นลูกนั้น

เหมือนโลกหยุดหมุนทันทีที่คลื่นผ่านไป หัวใจของผมกระตุกวูบทันทีที่ไม่เห็นว่ามิ้นผุดขึ้นมาจากน้ำเหมือนก่อนหน้านี้ ก้อนเนื้อในอกเร่งจังหวะขึ้นมาอย่างถี่รัวหลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ความกลัวโถมเข้ามาในใจของผมจนสั่นไปทั้งตัว

ผมกลัวมาก กลัวอย่างไร้สาเหตุ แต่การไม่เห็นมิ้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา

‘มิ้น!! มิ้นอยู่ไหน มิ้นออกมานะ! กราฟกลัว’

ผมตะโกนสุดเสียงพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณที่คิดว่าเธอน่าจะอยู่ เธออาจจะแกล้งผมก็ได้เพราะผมแกล้งเธอก่อน ผมพยายามปลอบใจตัวเองแบบนั้น แต่มันกลับไม่ทำให้ใจของผมสงบลงได้เลย ยิ่งเวลาผ่านไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า ผมก็ยิ่งรู้สึกหายใจติดขัดมากขึ้นกว่าเดิม

‘มิ้น มิ้น!! อย่าล้อเล่นนะ มิ้น ออกมาเถอะ!!!’

น้ำตาของผมไหลออกมาแล้ว ผมพยายามควานหาตัวเธอในน้ำ หรือแม้แต่ดำน้ำลงไปดูเพื่อหาคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะอยู่กับผม ทว่าผมกลับเจอแต่น้ำทะเลที่ว่างเปล่า ไม่มีคนที่ผมหา ผมพยายามฝ่าแรงต้านของน้ำเพื่อมองหาเธอเรื่อยๆ แต่ก็ไม่พบ หาตั้งแต่ตำแหน่งที่ผมยืนอยู่และเดินลงทะเลให้ลึกลงเรื่อยๆ ความกลัวยิ่งสั่นประสาทผมมากกว่าเก่า

‘มิ้น กราฟจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ออกมานะ มิ้น!!!’

ไร้การตอบรับจากคนที่ผมเรียก ผมคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดของผม ณ ตอนนี้คือการตามหาเธอให้พบ น้ำทะเลเปรอะเปื้อนใบหน้าของผมปะปนกับน้ำตาลจนแยกไม่ออก ผมรู้สึกว่าตาร้อนผ่าวไปหมด จมูกแสบจนแทบหายใจไม่ออก

‘มิ้น!!! ฮึก...’

ลำคอของผมแสบจนเสียงแหบพร่า แต่ผมก็ไม่สนใจ ได้แต่มองหาคนที่หายตัวไปและทำให้ใจของผมร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก ผมจะทำยังไงดี ผมควรจะทำยังไง ความรู้สึกเหมือนจะขาดใจกำลังซัดใส่ผมไม่ยั้ง ทั้งมือและตัวของผมสั่นจนไม่สามารถควบคุมได้

ผมกลัว

ผมกลัว

ผมกลัว

เธออยู่ที่ไหน

มีแต่คำพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวของผมเต็มไปหมด ผมรู้สึกเหมือนผมจะเป็นบ้าแล้วจริงๆ ผมควานมือไปทั่วใต้น้ำ ดำน้ำลงไปซ้ำๆ และพยายามมองหาเธอเหมือนคนบ้า ความรู้สึกปวดร้าวในอกเหมือนถูกขยำแรงๆ ที่หัวใจทำให้ผมแทบหมดแรง มันเจ็บและทรมานมาก

‘กราฟ!!’

เหมือนมีเสียงของคนคนหนึ่งเรียกผมจากทางด้านหลัง แต่มันไม่ใช่เสียงของมิ้น ผมจึงไม่คิดจะหันไปมอง ตอนนี้ที่ผมต้องการที่สุดคือการตามหาคนรักของผมให้เจอ สิ่งไหนก็ไม่สำคัญ ไม่สำคัญเลยสักนิด ผมเดินฝ่าน้ำลึกลงไปเรื่อยๆ เพื่อตามหามิ้นอย่างบ้าคลั่ง สติหลุด จนไม่รู้ว่ากลายเป็นผมที่กำลังจมลงยังก้นทะเลด้วยอีกคน




















ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็รู้สึกถึงแรงกอดจากทั้งสองด้าน ไม่ต้องใช้เวลาคาดเดาก็รู้ได้เลยว่าเป็นใคร ไอ้กัสกับไอ้เคลมช่วยกันดึงแขนทั้งสองข้างของผมขึ้นมา พานให้ผมต้องลุกขึ้นจากท่านอนด้วย พวกมันยิ้มทะเล้นเพื่อให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น ผมรู้ถึงความตั้งใจของพวกมันดี

พวกมันคงนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร ถึงได้พร้อมใจกันมาดูแลผมแบบนี้

“แล้วไอ้ยีน...”

“มันออกไปโทรศัพท์หาป๊า”

ไม่ต้องรอให้ผมถามจบ ไอ้เคลมก็รีบแทรกเสียงขึ้นมาก่อนอย่างรู้ทัน ผมจึงพยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบรับมัน ตามด้วยเสียงของไอ้กัสดังขึ้นอีกคน

“กินข้าวต้มดิ พี่ภูทำไว้ให้”

ผมรู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ กับเรื่องนี้ ไม่คิดว่าพี่ภูจะมาที่นี่ด้วย แต่พอคิดถึงไอ้ยีนแล้วก็พอจะเข้าใจได้ สองคนนั้นถึงจะบอกว่าไม่ถูกกัน แต่ก็ชักจะตัวติดกันมากขึ้นทุกที

“ว่าไงวะ ข้าวต้มอร่อยไหม”

กินข้าวต้มฝีมือพี่ภูไปได้สองสามคำ คนที่ออกไปโทรศัพท์นอกห้องก็กลับเข้ามา มันยิ้มทักทายผมและรีบตรงเข้ามาหา ก่อนจะต้องหน้าหงิกลงหน่อยๆ เพราะคำตอบของไอ้เคลมพร้อมหน้าระรื่น ดูภูมิอกภูมิใจกับรสชาติหรือต้องการจะกวนประสาทไอ้ยีน ผมก็ไม่แน่ใจ

“อร่อย ฝีมือพี่ภูแม่งเจ๋งว่ะ”

ถ้าหากว่าเป็นสถานการณ์ปกติ ผมคงยิ้มไปพร้อมกับท่าทางของสองคนนี้ที่ทำตัวเหมือนเด็กทะเลาะอย่างเคย แต่มันไม่ใช่ ผมจึงทำได้แค่นั่งมองทั้งสองคนอย่างไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก ไอ้ยีนที่คงไม่เชื่อทั้งคำพูดของไอ้เคลมและต้องการจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นจึงหันมาหา

“กราฟ ป้อนยีนหน่อย”

คนที่ตัวเล็กกว่าผมอ้าปากรอและบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ทำให้ผมฝืนยิ้มออกมาได้นิดหน่อย ผมจึงค่อยๆ หยิบช้อนและตักข้าวต้มเข้าปากที่กำลังรออยู่ไป ซึ่งพอไอ้ยีนได้ของที่ต้องการแล้ว เสียงไอ้เคลมกับไอ้กัสก็ดังตามมา

“กราฟฟฟฟ ป้อนกูหน่อยครับ ป้อนกูหน่อย”

“ป้อนกูด้วย”

ท่าทางออดอ้อนของพวกมันที่ไม่ได้เห็นได้บ่อยๆ และแทบไม่มีใครเคยเห็นทำให้ผมยิ้มออกมาได้กว้างมากขึ้น ผมรู้สึกขอบใจพวกมันจริงๆ ที่พยายามทำเพื่อให้ผมพ้นจากความทุกข์เศร้ากันแบบนี้ จนอดจะบอกความรู้สึกจากใจไม่ได้

“กูรักพวกมึงจริงๆ”



















ผมป่วยหนักอยู่หนึ่งวันเต็ม และสาเหตุหลักของมันก็มาจากผมกดดันตัวเองมากเกินไป ผมตอกย้ำความผิดของตัวเองจนป่วย เป็นผลที่เกิดขึ้นทางจิตใจมากกว่าจะเป็นการป่วยทางร่างกาย ดังนั้นอาการของผมจึงดีขึ้นค่อนข้างเร็ว แต่กระนั้นสภาวะทางอารมณ์ของผมก็ยังไม่ค่อยปกตินัก

รู้ตัวดีเลยว่าผมตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า คงต้องใช้เวลาอีกสักวันหรือสองวันกว่าผมจะหายเป็นปกติ และกลับเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ดังนั้นไฮยีนที่รู้อาการของผมดีที่สุดจึงคอยอยู่ข้างๆ ผมตลอดเวลา ทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง แต่ถึงจะบอกว่ามันอยู่กับผมตลอด ก็ยังมีช่วงเวลาที่เราต้องแยกกัน

ผมให้ยีนขึ้นตึกเรียนไปก่อนเพื่อจองที่นั่ง เพราะวิชาที่เราจะเรียนต่อไปเป็นวิชาที่เรียนรวมกับคณะอื่นๆ ถ้าไปช้า จะได้ที่นั่งหลังห้อง ซึ่งผมไม่ค่อยชอบ ส่วนผมแวะซื้อลูกอมใต้ตึกก่อน ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานมาก ยีนจึงยอมที่จะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว

“อ้าว กราฟ”

เสียงจากผู้หญิงคนหนึ่งเรียกให้ผมหันไปมองยังต้นทาง และก็เป็นคนที่ผมภาวนาว่าขอไม่เจอเธอในช่วงเวลาแบบนี้ คนที่เรียกผมคือพี่มะเหมี่ยวครับ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างกันนั้นทำให้ผมต้องหลบสายตา

ผมไม่พร้อมจะเจอคนที่หน้าเหมือนมิ้นในตอนนี้จริงๆ

มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนดิ่งลงไปในห้วงเหวสีฟ้าเข้มมากขึ้น เหมือนถูกแรงบางอย่างจากก้นทะเลดูดตัวผมให้จมลึกลงๆ และผมไม่สามารถประคองตัวให้ก้าวพ้นจากความอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกนี้ได้

“สวัสดีครับ ไม่เจอกันหลายวันเลย”

แต่แม้จะรู้สึกย่ำแย่สักแค่ไหน ผมก็ยังกล้ำกลืนความรู้สึกลงไปและพยายามคลี่ยิ้มให้กับผู้หญิงสองคนที่ก้าวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนประจันหน้ากัน ลมหายใจของผมขาดห้วงลงจนรู้สึกได้ และสีหน้าของผมก็คงไม่ดีนักอย่างเห็นได้ชัด พี่ดาหลาถึงได้ถาม

“กราฟเป็นอะไรหรือเปล่า ดูหน้าซีดๆ นะ ไม่สบายเหรอ”

“นิดหน่อยครับ”

ผมเค้นเสียงตอบเธอได้เท่านั้น น้ำเสียงของผมแหบพร่า เพราะยิ่งเธอแสดงความเป็นห่วงผมมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในใจของผมมากยิ่งขึ้น

ผมคิดถึงมิ้น...

ผมทำผิดต่อเธอ

“ท่าทางกราฟแย่ๆ นะ นั่งพักก่อนไหม เดี๋ยวล้มลงไป”

พี่มะเหมี่ยวแนะนำพลางดันตัวผมให้นั่งลงบนม้านั่งที่ชั้นล่างของอาคารซึ่งถูกก่อขึ้นมารอบๆ ตึก ให้นักศึกษาได้ใช้นั่งเล่นหรือนั่งรอเวลาเรียน สภาพของผมคงแย่และน่าเป็นห่วงมากในสายตาของคนที่มองเห็น

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ... พักสักเดี๋ยวก็คงหาย แล้วพวกพี่... มีเรียนที่ตึกนี้เหรอครับ”

“ใช่จ้ะ กราฟก็เรียนตึกนี้เหมือนกันเหรอ”

เพื่อนของพี่ดาหลาถาม ทว่าผมก็ตอบกลับได้เพียงแค่เสียงแผ่วๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ผมตัดสินใจว่าจะจีบ และพยายามหาทางเลี่ยงโดยเร็วที่สุด ต่างจากครั้งก่อนๆ

“ผมว่าพวกพี่ขึ้นไปเรียนกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทัน”

“แล้วกราฟ...”

คราวนี้เป็นเสียงของพี่ดาหลาครับ ถึงเธอจะหน้าคล้ายกับมิ้นมาก แต่ว่าเสียงต่างกันนิดหน่อย ทำให้ผมไม่รู้สึกแย่เท่าไรถ้าได้ยินเสียงของเธออย่างเดียว ผมจึงแทรกเสียงออกไป พร้อมกับเงยหน้าขึ้นนิดๆ แล้วส่งยิ้มให้เธอเท่าที่ทำได้ในตอนนี้

“ไม่เป็นไรครับ นั่งพักอีกแป๊บคงดีขึ้น”

“งั้นเอาอย่างนั้นก็ได้”

เธอยิ้มตอบผมกลับมา ก่อนจะหันไปหาพี่มะเหมี่ยวและชวนกันเดินขึ้นไปยังชั้นบน แต่พี่มะเหมี่ยวก็ยังไม่วายหันมาลาผม

“พี่มะเหมี่ยวไปก่อนนะ”

“ครับ”

ผมส่งยิ้มให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกเหมือนพลังชีวิตถูกสูบหายไปจนเกือบหมด ทั้งเหนื่อย ทั้งรู้สึกแย่จนอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำ เพราะภาพของมิ้นฉายขึ้นมาในห้วงความคิดของผมอีกแล้ว

รอยยิ้มของเธอ เสียงของเธอ... ผมคิดถึงมันมากจริงๆ

ทำไมทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้

นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เพราะผมไม่ได้สนใจดูนาฬิกา รู้แต่เพียงว่าเวลามันเดินผ่านไปช้ามากเหมือนจะเป็นชั่วนิรันดร์ ทว่าอยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาอยู่ข้างตัว เป็นเหมือนอากาศที่มีกลิ่นอายของความมีชีวิตอยู่จางๆ และเมื่อผมหันไปทางนั้น ก็ต้องประหลาดใจ

ไนล์... หมอนี่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

เหมือนจะรู้ว่าผมหันไปมอง ทางฝ่ายนั้นถึงหันกลับมามองผมเช่นกัน เพียงแค่นั้นผมก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวกำลังเปลี่ยนไป เขามองผมช้าๆ เหมือนอย่างเคย ดวงตาที่ว่างเปล่ายังคงมองผมเหมือนเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ได้มีความน่าสนใจ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกว่าผมกำลังถูกตาสีดำคู่นี้จดจ้องอยู่ กระป๋องโค้กที่อยู่ในมือเรียวถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากสีพีช ไนล์กระดกน้ำที่อยู่ภายในขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะดันกระป๋องลงและยื่นมาให้ผม

ไม่เข้าใจการกระทำของผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ

ผมไม่ได้ยื่นมือไปรับ เขาเองก็ไม่ยอมที่จะหดมือกลับไป เหมือนรอคอยให้ผมรับมันให้ได้ และหากผมไม่ทำอย่างที่เขาหวัง เขาก็จะไม่ยอมยกเลิกการกระทำนี้อย่างเด็ดขาด ถึงสายตาของเขาจะเลื่อนลอย เหมือนไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ผม แต่ผมก็รู้สึกว่าเขากำลังคิดแบบนั้น สุดท้ายผมจึงต้องยื่นมือไปรับกระป๋องใบนั้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ข้างในนั้นมีน้ำอยู่เกือบค่อนกระป๋อง บอกให้รู้ว่าเขาซื้อมันมาดื่ม แต่ไม่ได้ตั้งใจจะดื่มมันทั้งหมดด้วยตัวเองเพียงคนเดียว

หรือตั้งใจจะให้ผมดื่มมันด้วย?

ตั้งคำถามในใจตัวเองอย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์และความต้องการของผู้ชายที่ให้ความรู้สึกเหมือนตัวการ์ตูนในเกมที่พลังชีวิตเกือบจะหมดสักเท่าไร ไม่ว่าเมื่อไรที่เจอกัน เขาก็มักจะดูลอยๆ จางๆ จนเหมือนจะเลือนหายไปเมื่อไรก็ได้อยู่ตลอดเวลา

ไนล์ไม่ได้มองผมอีก เขาหันหน้ากลับไปทางเดิมและมองไปด้านหน้าด้วยแววตาที่เหมือนจะไม่สะท้อนภาพอะไรเลย ไม่มีจุดโฟกัสเป็นพิเศษ เหมือนเหม่อมองไปไกล ไม่มีอะไรสำคัญมากพอที่เขาจะมอง รวมทั้งผมที่เขาก็ไม่สนใจเช่นกันว่าจะทำยังไงต่อ

ผมมองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างกันด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งฟุต มีแต่ความไม่เข้าใจ ทว่าในใจผมกลับรู้สึกว่าความรู้สึกแย่ๆ ของผมค่อยๆ เลือนหายไป ราวกับมันถูกดูดซึมออกไปโดยคนข้างๆ เจือจางไปพร้อมกับการมาของคนคนนี้ ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย

สิ่งที่อยู่ในมือผมถูกยกขึ้นช้าๆ ผมจรดปากลงไปตรงขอบกระป๋อง ซ้อนทับตำแหน่งเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ไนล์เคยทำ ก่อนจะค่อยๆ ยกก้นกระป๋องขึ้นช้าๆ เพื่อปล่อยให้น้ำสีน้ำตาลไหลลงคอไป

บรรยากาศรอบตัวระหว่างเรามีแต่ความเงียบ ไม่มีการพูดคุยหรือแม้แต่เริ่มต้นทักทายกันและกัน เสียงของคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันผ่านหูไป ไม่สะท้อนเข้ามาในความคิด คล้ายกับโลกของสุญญากาศที่ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่อากาศ ทว่ามันกลับทำให้ใจของผมสงบขึ้นมาก

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคนที่ผมตั้งคำถามกับตัวเองทุกครั้งที่เจอหน้าเขา

ผมกระดกโค้กเข้าปากอีกสองสามอึกพร้อมกับมองไปทางด้านหน้า มองออกไปให้ไกลเหมือนคนข้างกาย ซึ่งกินเวลาไปนานเท่าไร ผมก็ไม่รู้ เหมือนเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ แต่ผมสบายใจขึ้น ความหนักอึ้งในใจและความเจ็บปวด เสียใจจางหายไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็มากพอที่ผมจะเผชิญหน้ากับคนอื่นๆ โดยที่สามารถยิ้มได้

อีกครั้งที่ไนล์ทำให้ผมประหลาดใจว่าเขารู้ได้ยังไงว่าผมรู้สึกแบบไหน ทั้งที่เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามองผมอีกครั้ง ร่างโปร่งลุกขึ้นจากตำแหน่งที่นั่งอยู่พร้อมกับย่างเท้าออกไป ผมจึงต้องรีบโพล่งเสียงออกมา

“ขอบใจ”

ถึงจะไม่เข้าใจการกระทำของคนคนนี้เลย แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าเขาทำให้ผมสงบขึ้น อาจจะเพราะความเงียบเฉยของเขาที่ทำให้ผมใจเย็นลงก็เป็นได้ ทว่าเมื่อผมบอกออกไปอย่างนั้นแล้ว เขาก็ชะงักเท้าเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้ามาทางผม สบตากับผมเพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนจะเบนหน้ากลับไปเหมือนกับเมื่อครู่เขาแค่หูแว่ว ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแววของความมีชีวิตสะท้อนอยู่บนตาสีดำสนิท ไม่ต่างจากทุกที จากนั้นขาเรียวก็ก้าวออกไปอีกครั้งและไม่หันกลับมาอีก

ผมก้มลงมองกระป๋องโค้กในมือที่ยังเหลือน้ำอัดลมอยู่ภายในครึ่งหนึ่งอย่างงงวยและไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้

“ไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่เข้าใจนายเลยจริงๆ”

กว่าจะได้ขึ้นห้องเรียนก็ผ่านไปเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผมโดนไอ้ยีนถามถึงเหตุผลที่ทำให้ขึ้นห้องช้า แต่ก็ได้แค่ตอบอย่างถูไถด้วยข้ออ้างเดิมว่าเจอคนรู้จัก เลยคุยกันติดลมไปหน่อย ซึ่งก็มันเชื่อผม เพราะปกติผมไม่โกหกมันอยู่แล้ว และสภาพของผมก็ไม่ได้ดูแย่หรือน่าเป็นห่วงจนผิดสังเกต ฉะนั้นผมเลยรอดตัวมาได้อย่างหวุดหวิด







อ่านต่อด้านล่าง

v


v



ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน



v


v








ผ่านมาอีกหลายวัน อาการของผมก็หายสนิท ซึ่งก็เข้าสู่ช่วงสอบพอดี ไฮยีนมาขออยู่ที่คอนโดของผมเพื่ออ่านหนังสือด้วยกัน โดยที่พี่ภูอาสามาติวให้บางครั้ง ส่วนผมก็มีบ้างที่พี่เจ๋งเรียกไปติวที่หอของพี่แก ผมเลยอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเวลาที่ผมไม่อยู่ด้วย ไอ้ยีนกับพี่ภูจะฆ่ากันตายคาคอนโดผมหรือเปล่า แต่ก็นับว่ายังดีครับที่ไม่เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น

ฉะนั้นผมเลยรู้สึกวางใจที่จะปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันได้ เพราะดูเหมือนว่าหลังๆ ทั้งสองคนจะไม่ได้ทะเลาะหรือต่อปากต่อคำกันแบบรุนแรงแล้ว วันนี้ผมจึงตัดสินใจว่าจะไปหากำลังใจของผมบ้าง

ไม่ใช่ใครอื่นครับ พี่ดาหลาที่ผมไม่ได้เจอมาหลายวัน และครั้งล่าสุดผมก็คุยกับเธอได้ไม่ค่อยเต็มที่เท่าไร

ผมไปหาพี่ดาหลาที่คณะ แต่หาไม่ยากครับ เพราะแค่เอ่ยชื่อ ทุกคนก็รู้จักและพร้อมจะบอกทางผม ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพี่ดาหลาเป็นดาวคณะบัญชีฯ แต่คงไม่แปลกหรอก เพราะเธอค่อนข้างน่ารักและก็ดูอัธยาศัยดี

หลังจากยิ้มขอบคุณคนที่บอกทาง ผมก็มุ่งตรงไปยังเป้าหมาย แม้จะรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดยังไงชอบกลเวลามาเหยียบที่คณะนี้ เพราะหลายๆ คนต่างมองมาทางผมกันหมด ซึ่งผมก็เดาว่าคงเพราะสีผมของผมมันเด่นเกินไปสำหรับคนในคณะนี้

คนธรรมดาคงไม่ค่อยกล้าทำสีอ่อนจนเกือบขาวกันแบบนี้มั้งครับ อาจจะกลัวว่าเหมือนผมหงอก

มาถึงม้านั่งด้านข้างของตึกคณะ ผมก็เห็นว่าพี่ดาหลากับพี่มะเหมี่ยวนั่งคุยกันอยู่ รอยยิ้มของเธอทำให้ผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกับเพื่อนรักของเธอ แต่ท่าทางจะเป็นเรื่องตลก เพราะผมเห็นหน้าของเธอเปื้อนยิ้มอยู่ตลอด

ผมเดินเข้าไปหาเธอช้าๆ ไม่เร่งรีบ และพอประชิดโต๊ะได้ก็ส่งคำทักทาย เรียกให้ทั้งสองคนหันมา และเสียงของพี่มะเหมี่ยวก็ดังขึ้นมาก่อน

“อ้าว กราฟ มาได้ยังไงเนี่ย”

“อ่านหนังสือแล้วเบื่อๆ น่ะครับก็เลยแวะมาหา”

ตอบกลับแบบตรงไปตรงมา เพราะผมชอบที่จะแสดงตัวอย่างชัดเจนมากกว่า อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องคิดมากหรือคิดไปเองว่าผมกำลังจะทำอะไร ผมถือว่ามันเป็นการแสดงความจริงใจ และเชื่อว่าถ้าเราเปิดใจ อีกฝ่ายก็จะเปิดใจกลับมา

ยกเว้นก็แต่คนคนเดียวที่ผมเพิ่งรู้จักเมื่อไม่นานมานี้

“นั่งก่อนสิๆ พวกพี่ก็กำลังเบื่ออ่านหนังสืออยู่ เลยเมาท์กันแทน”

“ครับ”

ผมยิ้มให้พี่มะเหมี่ยว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งอีกฟากหนึ่ง เพราะพี่ทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างกันอยู่ก่อนแล้ว จะไปเบียดอีกคนก็ใช่ที่ หนำซ้ำนั่งอยู่ตรงข้ามแบบนี้ก็ทำให้ผมมีโอกาสได้เห็นหน้าของพี่ดาหลาชัดขึ้น

มองกี่ครั้งกี่ครั้ง เธอก็ทำให้ผมนึกถึงมิ้นได้ทุกที

ถ้ามิ้นยังอยู่ ยังยิ้มต่อหน้าผมแบบนี้ ผมคงมีความสุขมาก... แต่มันเป็นไปไม่ได้

“แล้วนี่กราฟหายดีแล้วใช่ไหม”

เสียงเล็กๆ ของคนที่หน้าเหมือนแฟนของผมเรียกให้ผมได้สติอีกครั้ง ผมระบายยิ้มน้อยๆ ให้เธอ ก่อนจะพยักหน้าตอบ

“หายดีแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”

“ก็วันนั้นกราฟหน้าซีดมากเลยนี่นา นึกว่าจะเป็นอะไรหนักไปซะแล้ว”

ไม่ใช่เจ้าของเสียงเดิมที่ตอบกลับมา แต่เป็นเพื่อนของเธอที่แจกจ่ายรอยยิ้มให้ผมเสมอ ผมจึงหันไปยิ้มให้เธอตอบบ้าง ก่อนเราทั้งหมดจะต้องเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงของบุคคลที่สี่ที่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขามาได้ยังไง

“อยู่นี่นี่เอง”

“รู้จักกันเหรอ”

พี่ดาหลาหันมาถามผม เป็นการยืนยันว่าเธอไม่รู้จักคนที่มายืนอยู่ข้างโต๊ะที่เรากำลังนั่งอยู่ ซึ่งก็แน่นอน ผมเชื่อว่าพี่ทั้งสองคนไม่รู้จักเขา เพราะฉะนั้นประโยคที่บอกว่า ‘อยู่นี่นี่เอง’ ต้องหมายถึงผม

“ก็...”

“รู้จักกันสิครับ ผมเป็นเพื่อนสนิทของกราฟ ชื่อไนล์ อยู่คณะวิศวะฯ”

ไม่ทันให้ผมได้ตอบอะไร คนที่เข้ามาแทรกระหว่างบทสนทนาของพวกเราก็ขัดผมขึ้นมาเสียก่อน และการกระทำรวมทั้งคำพูดของไนล์ก็ทำให้ผมต้องตกใจเหมือนกับทุกครั้ง

ผมกับเขาไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร ตอนไหน?

ไม่เพียงแค่คำพูดของเขาเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกใบ้กินไปครู่หนึ่ง แต่ใบหน้าที่เคยเรียบเฉย ซีดขาวเหมือนคนกึ่งเป็นกึ่งตาย และให้ความรู้สึกเย็นๆ เหมือนเป็นแค่วิญญาณล่องลอยที่ผมเห็นอยู่ทุกครั้งกลับกำลังวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม ...รอยยิ้มที่สดใสมากพอที่จะทำให้ผมคิดว่าผมตาฟาดไป

“มาแล้วก็ไม่บอกกันเลยนะเว้ย ฉันก็ตามหาอยู่ตั้งนาน”

เท่านั้นไม่พอ ร่างซีดๆ ที่เหมือนพลังชีวิตหมดไปยังกลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง ผมรู้สึกถึงความมีชีวิตของเขามากขึ้นตอนที่เขาวางมือลงบนบ่าของผมด้วยน้ำหนักที่บ่งบอกให้รู้ว่าผมไม่ได้เข้าใจผิดไป ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างผม

“ขอนั่งด้วยนะครับ”

“เชิญค่ะ ตามสบายเลย”

พี่ดาหลาทำหน้างงๆ นิดหน่อย แต่ก็ยินดีต้อนรับคนที่โผล่เข้ามาอย่างงงๆ เพราะเป็นประเภทต้อนรับขับสู้คนที่เข้าหาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงต้องทำใจกล้าสักหน่อยกว่าจะเดินเข้มาหาเธอแบบนี้

“แล้วนี่คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ ผมคุยด้วยได้หรือเปล่า”

ผิดกันเป็นคนละคนกับตอนที่อยู่กับผม เวลานี้ไนล์กลายเป็นผู้ชายร่าเริง เข้ากับคนง่าย ไม่ใช่ไนล์ที่นิ่งสงบ เงียบขรึม ไร้ชีวิตชีวา ถึงกระนั้นก็มีอย่างหนึ่งที่ยังเหมือนเดิม

ผมยังไม่สามารถอ่านความคิดของเขาออกได้

“ก็คุยเรื่องทั่วไปๆ แหละจ้ะ พี่ชื่อมะเหมี่ยวนะ ส่วนนี่ดาหลา เพื่อนสนิทพี่ เพิ่งรู้จักกับกราฟไม่นาน”

“ครับ ผมก็พอรู้เรื่องของพวกพี่อยู่นิดหน่อย กราฟเล่าให้ฟังน่ะครับ”

คำโกหกยังคงถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากสีพีชอย่างหน้าตาเฉย ขณะที่ผมได้แต่มองทั้งสามคนที่เริ่มต้นบทสนทนาใหม่อย่างรื่นเริง ทั้งที่ผมยังตื้อกับสิ่งที่คนนั่งข้างๆ ทำ ทว่าก็เพียงครู่เดียวที่ผมถูกตัดออกจากการพูดคุย เพราะมือเย็นๆ เลื่อนมาจับบ่าอีกด้านของผมเอาไว้เหมือนจะเรียกให้รู้ตัว

“กราฟ”

“หืม อะไร”

ผมสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ถูกเรียก ไนล์เอาแขนพาดคอผมเไว้จนทำให้หน้าของเราใกล้กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แสดงความสนิทสนมอย่างจงใจ โดยไม่แยแสสักนิดว่าจะถูกผู้หญิงอีกสองคนมองแปลกๆ หรือเปล่า เขาหันมาคุยกับผมด้วยท่าทางที่ปกติสำหรับคนอื่น แต่ผิดปกติสำหรับผม

“เย็นแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า พวกพี่ๆ เขาตอบตกลงแล้ว”

สร้างความประหลาดใจให้ผมหน่อยๆ กับประโยคนี้ ผมหันไปทางพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยว พวกเธอสองคนก็ยิ้มๆ ให้กับผม เหมือนเป็นการยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะไปกินข้าวเย็นกับผม แต่มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียว และคนที่เอ่ยปากชวนก็ไม่ใช่ผม แต่เป็นคนที่ผมคาดไม่ถึง

“ไปร้านไหน ให้กราฟแนะนำเลย เห็นไนล์บอกว่ากราฟรู้จักร้านอร่อยๆ อยู่”

คำอนุญาตที่ชัดเจนกว่าเดิมมาจากคนที่ผมกำลังเล็งเอาไว้ เธอยิ้มให้ผม ทำให้ผมรู้สึกใจสั่นหน่อยๆ แต่นั่นก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมลืมว่าคนที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้คือใคร ผมหันไปมองร่างโปร่งที่ยังไม่ปล่อยแขนออกจากบ่าของผม แต่ไนล์แค่เลิกคิ้วใส่ เหมือนกับไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรที่เขาจะทำแบบนี้ ทั้งที่เขาเป็นคนบอกให้ผมเลิกยุ่งกับพี่ดาหลา

“ไปกันเหอะๆ ฉันไปรถนาย ส่วนสาวๆ จะขับรถไปเองหรือไปรถกราฟกันดีครับ”

เขาพูดกับผมในประโยคแรก ก่อนจะยิ้มแย้มถามคนที่เหลือด้วยท่าทีสนิทสนมทั้งที่เพิ่งทักทายกันได้ไม่ถึงสิบนาที ก่อนพี่มะเหมี่ยวจะตอบกลับมา

“ไปรถดาหลาดีกว่า พี่กลับกับดาหลาอยู่แล้ว ขับรถออกไปเลย กินเสร็จจะได้กลับบ้าน ไม่ต้องแวะเข้ามหา’ลัยอีก”

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ พวกพี่ขับรถตามพวกผมมานะ”

“โอเคจ้ะ”

ได้รับคำตอบตกลงแล้วไนล์ก็ใช้แขนที่ยังพาดคอผมอยู่ดึงผมให้เดินออกมาจากม้านั่ง ไปที่ลานจอดรถ ราวกับรู้ว่าผมจอดรถไว้ที่ไหน และเมื่อเห็นว่าห่างไกลจากสายตาของพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวแล้ว ผมก็จับแขนเรียวที่เล็กเหมือนจะหักได้ถ้าผมเผลอจับมันแรงเกินไปออก

“ทำแบบนี้ต้องการอะไร”

ผมอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้จริงๆ ว่าเขากำลังเล่นตลกอะไรกับผมอยู่ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาหาผม กระทั่งตอนนี้ ผมทั้งมึน ทั้งไม่เข้าใจในการกระทำของผู้ชายชื่อไนล์สักอย่างเดียว

“ฉันบอกนายไปแล้ว”

ทันทีที่มือของเขาหลุดออกจากบ่าของผมไป ก็เหมือนกับการเปิดสวิตช์ ไนล์คนเดิมกลับมาอีกครั้ง สีหน้ายิ้มแย้มที่มีอยู่เมื่อครู่หายไปจนเหมือนกับไม่เคยมีมาก่อน สีหน้าเรียบเฉย ท่าทางนิ่งสงบ ให้ความรู้สึกราวกับคนที่ผมคุยด้วยไม่ได้มีตัวตนกลับคืนมา เสียงของเขาดังในระดับที่พอให้ผมได้ยินเท่านั้น

“บอกอะไร นายตั้งใจทำอะไรกันแน่ โกหกพี่ดาหลากับพี่มะเหมี่ยวทำไม แล้วชวนสองคนนั้นไปกินข้าวเพื่ออะไร”

“นายต้องการแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”

เขายังคงตอบผมกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน หนำซ้ำยังเดินตรงไปยังรถของผมโดยไม่พูดอะไรอีก จนผมต้องก้าวขาเดินตามไปหยุดทางด้านหลัง

“ไนล์!”

ทั้งที่ในบรรดาเพื่อนสี่คน หรือจะรวมถึงคนอื่นๆ ที่เคยพบเจอ ผมถือว่าผมเป็นคนที่มีความอดทนค่อนข้างสูง และใจเย็น แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าในใจมันร้อนรน กระวนกระวายไปหมด คล้ายๆ ผมเป็นคนบ้าที่กำลังวิ่งวนไปวนมาในกรอบสี่เหลี่ยมเพราะหาทางออกไม่เจอ แต่ไนล์ก็ยังคงเป็นไนล์ เขาหันกลับมาหาผม และพูดออกมาด้วยเสียงเนิบๆ เหมือนจะดีใจ แต่มันก็ไม่ใช่

“เรียกได้สักที”

“อะไร”

“ชื่อของฉัน นายเรียกมัน”

ผมอยากจะยกมือขึ้นมาขยี้ผมของตัวเองเพื่อแก้เครียดในตอนนี้ ยิ่งรู้จักผู้ชายคนนี้ผมก็ยิ่งงง ผมต้องพยายามตั้งสติและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ แต่ยังไม่ทันได้คิดได้อย่างที่หวัง เสียงรถยนต์ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ก็ดังพร้อมกับเสียงของผู้หญิงที่ผม หรือจะพูดให้ถูกคือไนล์ นัดเอาไว้ว่าจะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน

“ทำอะไรกันอยู่จ๊ะ ออกรถเร็ว พี่หิวจะแย่แล้ว ถ้าชักช้าพี่มะเหมี่ยวจะหาผู้ชายหล่อๆ แถวนี้กินแทนไปก่อนนะ คิคิ”

ไม่ต้องระบุก็รู้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของคำพูดขำขันเชิงหยอกนั้น ผมหันไปมองพี่ดาหลาที่หัวเราะน้อยๆ เพราะตลกเพื่อนตัวเอง ก่อนจะหยิบรีโมตรถขึ้นมาปลดล็อกและขึ้นประจำที่นั่งโดยเร็วเพราะไม่อยากให้เธอรอนาน ซึ่งไนล์ก็ไม่รอให้เสียเวลา เขาขึ้นรถมานั่งที่เบาะด้านข้างผมเช่นเดียวกัน










================
ไม่ได้อัพมาเกือบเดือนเลย ตกใจอยู่เหมือนกันตอนเห็นวันที่อัพครั้งสุดท้าย
ขอโทษด้วยนะคะ เพิ่งเคลียร์งานเสร็จ

ตอนนี้ไนล์ออกเยอะขึ้นอีกหน่อยแล้ว


Undel2Sky




ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
รอเรื่องนี้ทุกวันเลย
ไนล์คิดอะไรอยู่น่ะ
เป็นผู้ชายที่เข้าใจยากจริงๆ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ไนล์ลึกลับมากก

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
เขาเป็นคนที่... เราไม่เข้าใจเขาเลย

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจไนล์ 5555
รู้ว่านายกำลังทำอะไรอยู่ แต่ไม่เคยรู้ความรู้สึกของไนล์เลย

ออฟไลน์ from_mars

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-0
พ่อหนุ่มลึกลับ เปลี่ยนบทบาทได้ด้วยหรือนี่...
สนุกดี น่าติดตาม รออ่านต่อนะจ๊ะ

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
เกือบพลาดซะแล้ว ดีนะที่ชื่อเรื่องมันคุ้นจนต้องกดเข้ามาดู :laugh:
ไนล์ดูลึกลับดีจัง ชอบ o13

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ยังไม่ได้อ่านเรื่องก่อนเลยครับ... พอดีหลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ชอบภาษา ชอบการบรรยายแบบนี้ก็เลยอ่านเผลอแป๊บเดียวก็จบตอน 3 ซะแล้ว
เนื้อเรื่องสนุกและชวนติดตามมากครับ ไนล์ ลึกลับ น่าค้นหา น่าสัมผัส น่าลิ้มลอง (เอ๊ยย ไม่ใช่ละ ฮ่าๆ)
ส่วนกราฟ ตอนแรกก็งงๆ ว่าอดีตมีอะไรกับมิ้นท์ T^T นึกว่าต้องไปอ่านตามเรื่องเก่าจนจบซะก่อนค่อยรู้เรื่อง
โชคดีที่มีเฉลยให้ ^^...
สนุกมากๆครับ รอตอนต่อไปนะครับ ^^ คนเขียนสู้ๆ o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
ถึงไนล์จะได้ออกมากขึ้นแต่ก็ไม่ทำให้รู้ความคิดของไนล์เลยค่ะ
เพราะเวลาอยู่กันสองคนไนล์ก็จะไม่พูดอะไร อยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ กราฟจะเข้าใจได้ไง
แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่นไนล์กลับเปลี่ยนไปเหมือนคนล่ะคน จนกราฟก็ตามไนล์ไม่ทันอีก
ทุกอย่างที่ไนล์ทำ ยังหาเหตุผลไม่ได้เหมือนเดิม จะแค่ว่าหลงรักกราฟก็ไม่น่าใช่
แต่ตอนนี้ถือว่าไนล์รุกเข้ามาในชีวิตกราฟมากขึ้น แต่ก็นะถ้าไนล์ไม่ทำอะไรเลยมันคงไม่มีอะไรคืบหน้า
เพราะยังไงที่ไนล์ทำทั้งหมดกราฟก็คงคิดว่าเป็นการเล่นตลกมากกว่า ถึงกราฟจะแอบใจสั่นบ้างก็เถอะ
หรือไนล์จะเกี่ยวข้องอะไรกะมิ้น เลยยอมไม่ได้ที่กราฟจะมีคนรักใหม่แล้วอาจจะลืมมิ้นก็ได้
แล้วที่ไนล์ตีสนิทกะสองสาวนี่ไนล์คิดจะทำอะไรต่อไป ชอบจังค่ะแค่กราฟเรียกชื่อไนล์ก็ดีใจล่ะ ซึ้งยังไงไม่รู้
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนมาต่อไว ๆ นะค่ะ  :pig4: :L2:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง



















ระหว่างทางที่ขับรถมาร้านอาหาร ผมไม่ได้คุยกับคนที่มานั่งแทนที่ไฮยีนบนรถของผม เพราะผมกำลังใช้ความคิดว่าจะไปร้านไหนดี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เหลือบมองคนที่นั่งเงียบ ทำตัวให้เหมือนอากาศมากที่สุดโดยไม่จำเป็นและไม่ได้แสร้งทำ เป็นระยะ ในใจหวังว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก็มีเพียงความเงียบที่โอบล้อมพวกเราเอาไว้

กระทั่งมาถึงที่หมาย เราทั้งคู่ลงจากรถ ไนล์เดินเข้าไปหาพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวพลางยิ้มให้เธอทั้งคู่ แตกต่างกับตอนอยู่บนรถโดยสิ้นเชิง และการได้เห็นภาพแบบนั้นก็ทำให้ผมต้องงงอีกครั้งว่าคนคนนี้เป็นยังไงกันแน่ ทำไมถึงต้องทำตัวแตกต่างกันเวลาอยู่กับผมและคนอื่นๆ

เข้ามาในร้าน พนักงานก็เชิญเรามานั่งที่โต๊ะสำหรับลูกค้าสี่ที่ โดยการจัดเรียงที่นั่งก็ยังเหมือนเดิมครับ ผู้หญิงกับผู้ชายนั่งกันคนละฝั่ง และผมเป็นฝ่ายเลือกนั่งตรงข้ามกับพี่ดาหลา ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหรือพูดอะไรกับผม เขาเทคแคร์ผู้หญิงทั้งสองคนด้วยการรับเมนูจากบริกรแล้วส่งให้พวกเธอสั่งอาหาร ก่อนจะหันไปบอกพนักงานที่รอรับออเดอร์โดยไม่ต้องเปิดเมนู

“ขอข้าวหนึ่งโถครับ แล้วก็ยำสามกรอบ ไก่ผัดขิง แกงส้มชะอมไข่”

มือของผมชะงักค้างทั้งที่เพิ่งเปิดเมนูอาหารไปแค่หนึ่งหน้า ผมเงยขึ้นมองคนที่สั่งอาหารเรียบร้อยแล้วด้วยความรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น พี่มะเหมี่ยวก็ถามขึ้นมาเสียก่อน

“สั่งอาหารคล่องจังนะ ชอบกินพวกนี้เหรอ”

“ครับ...”

ไนล์ตอบกลับด้วยใบหน้าที่ติดรอยยิ้ม ทำให้หน้าที่เอนเอียงไปทางสวยอยู่แล้วดูหวานขึ้นอีกนิดหน่อยในความรู้สึกของผม แต่เหตุผลที่ทำให้ผมต้องชะงักและรู้สึกแปลกใจอยู่เมื่อครู่ไม่ใช่สีหน้าของไนล์หรอกครับ เป็นอาหารที่เขาสั่งต่างหาก เพราะทั้งสามอย่างนั้นเป็นเมนูโปรดของผม

ราวกับจงใจ ราวกับเขารู้ว่าผมชอบ ถึงได้ตั้งใจสั่งมัน

ทว่าทั้งที่ผมคิดแบบนั้น แต่ไนล์กลับหันมาถามผมด้วยสีหน้ายิ้มๆ ที่เหมือนกับไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่ในความรู้สึกของผมกลับคิดว่าเขา...น่าจะรู้ มันคงไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้หรอกมั้งครับ

“นายเอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า”

“ไม่ล่ะ ให้พวกพี่เขาสั่งกันมั่งดีกว่า”

ผมตอบทั้งที่ยังไม่ทิ้งความคลางแคลงใจ ก่อนจะหันไปบอกผู้หญิงอีกสองคนที่เหลือ ซึ่งพี่เขาก็ยิ้มตอบกลับแล้วค่อยๆ เปิดดูเมนูก่อนจะสั่งอาหารอีกคนละอย่างเพราะกลัวกินไม่หมด

พวกเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างรออาหาร ส่วนมากเป็นไนล์ชวนคุยเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนคุยเก่งได้ขนาดนี้ เขาดูสนุกสนาน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่ผมคิดว่าเทคแคร์ผู้หญิงเก่งยิ่งกว่าผมเสียด้วยซ้ำ ผมได้แต่นั่งมองและตอบในบางบทสนทนาเท่านั้น

“พอไนล์มา กราฟดูพูดไม่เก่งไปเลยนะ”

พี่ดาหลาแซวผมหน่อยๆ ทำให้พี่มะเหมี่ยวหันมาหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าของผมที่ปั้นไม่ถูก ผมรู้สึกเขินที่ถูกพี่ดาหลาล้อแบบนี้ ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนขี้เขินอะไร ออกจะเรียกได้ว่าหน้าด้านเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างว่าล่ะครับ กับคนที่ตัวเองสนใจ ใครๆ ก็อยากดูดีในสายตาเขา

“เพื่อนผมคุยกับผู้หญิงไม่เก่งหรอกครับ เพราะแค่อยู่เฉยๆ ก็มีผู้หญิงแห่กันมาชอบแล้ว”

“ท่าจะจริงนะเนี่ย”

ไม่ใช่คำตอบที่ออกจากปากของผม แต่เป็นคนที่ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ที่ตอบกลับมา เสริมด้วยพี่มะเหมี่ยวที่ดูเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมแค่คุยไม่ทันไนล์กับพี่มะเหมี่ยวมากกว่า”

ผมแก้ตัวไปนิดๆ พลางหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อยากรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไงตอนที่ผมสวนกลับไปแบบนี้ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือเขาหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ผมรู้ได้ว่ามาจากการเสแสร้ง เพราะเขาไม่ใช่คนที่ยิ้มพร่ำเพรื่อสำหรับผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มนั้นอยู่ดี

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่คิดว่านานพอสมควรที่ผมมองหน้าของคนข้างตัว ผมมองเขาด้วยความอยากรู้ว่าเขาจะสามารถยิ้มต่อหน้าผมได้นานไปกว่านี้ไหม จะแสร้งทำตัวแบบที่ไม่ใช่ตัวเขาเองอย่างนี้ได้อีกนานหรือเปล่า แต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป ประจวบกับอาหารถูกนำมาเสิร์ฟพอดี ผมจึงต้องเป็นฝ่ายละสายตาก่อน

เราทั้งสี่คนลงมือรับประทานอาหาร มีพูดคุยกันบ้างเรื่อยๆ แต่ไม่มากเหมือนก่อนหน้าเพราะถือว่าเป็นมารยาทบนโต๊ะอาหาร จนกินเสร็จเรียบร้อย ผมก็ดื่มน้ำตามอีกเกือบแก้วตามปกติ และตามด้วย...

“เอาสิ”

ไม่ทันที่ผมจะล้วงมือหยิบลูกอมออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่มีติดตัวไว้เสมอ เพราะผมมักจะอมมันหลังจากกินอาหารเสร็จ ลูกอมแผงหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้ราวกับรู้ใจ และมันก็มาจากคนที่ผมเพิ่งจะเจอแค่ห้าครั้ง

ผมมองหน้าไนล์อยู่ครู่หนึ่งด้วยความไม่เข้าใจว่าเขารู้ได้ยังไงว่าผมกำลังจะหยิบลูกอมมาอม หนำซ้ำลูกอมที่เขายื่นมาให้ยังเป็นยี่ห้อที่ผมกินประจำเสียอีก แต่คงเพราะผมไม่ยอมรับไปเสียที เขาถึงได้ดึงมือผมไปแล้วยัดแผงพลาสติกนั้นลงในมือของผม และยังบอก

“อมไปเถอะน่า ไม่ต้องอายพี่ๆ อีกสองคนหรอก ปากเหม็นน่าอายกว่าซะอีก”

เพราะแบบนั้นผมถึงรับมาอย่างช่วยไม่ได้ และแกะลูกอมเม็ดสีขาวมาเข้าปากหนึ่งเม็ด ก่อนจะส่งคืนให้กับเจ้าของ ซึ่งไนล์ก็ส่งให้พี่ดาหลากับพี่มะเหมี่ยวเช่นกัน และพี่ทั้งสองคนก็รับไปอมกันคนละเม็ด

“มื้อนี้กราฟขอเป็นเจ้ามือเองนะครับ”

เห็นว่าพี่มะเหมี่ยวส่งแผงลูกอมที่เหลืออยู่สามเม็ดคืนให้คนที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนสนิทของผมแล้ว ผมก็เปรยขึ้นมา ไนล์และพี่มะเหมี่ยวไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่กลับเป็นพี่ดาหลาที่แย้ง

“ไม่ต้องหรอกกราฟ มากินด้วยกัน ก็แชร์กันสิ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่อุตส่าห์เสียเวลามากินข้าวกับผม จะให้พี่จ่ายได้ยังไงล่ะครับ ให้ผมเลี้ยงเถอะครับ”

“ใช่ๆ มีหนุ่มหล่อเลี้ยงข้าว ฟินจะตาย เธอจะปฏิเสธทำไม ขอบใจนะจ๊ะสุดหล่อ พี่มะเหมี่ยวปลื้มจัง”

ก่อนที่พี่ดาหลาจะได้ปฏิเสธอีกที พี่มะเหมี่ยวก็แทรกขึ้นมาก่อน ผมจึงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยว่าผมเป็นหนุ่มหล่อหรอกครับ แต่เห็นด้วยที่ควรจะให้ผมเลี้ยง ซึ่งคราวนี้ก็ดูเหมือนว่าพี่ดาหลาจะอ้างอะไรไม่ได้อีกเพราะเพื่อนสนิทเห็นดีเห็นงามไปด้วย

“อย่างนั้นก็ได้ ขอบคุณนะกราฟ ไว้คราวหน้าให้พี่เลี้ยงบ้างแล้วกัน”

“ครับ”

รู้ตัวเลยครับว่าผมยิ้มแก้มปริขนาดไหน ไม่ใช่ว่าพี่ดาหลาออกตัวว่าจะเลี้ยงหรอก แต่เพราะคำว่า ‘คราวหน้า’ ของเธอต่างหาก มันทำให้ผมมีความหวังว่าผมพอจะมีโอกาสใกล้ชิดเธอได้มากกว่านี้

“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเลยไหมครับ สองทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวสาวๆ จะลำบาก กลับบ้านดึกมันอันตราย”

ไม่รู้ว่าเพราะผมกำลังแสดงออกว่ามีความสุขมากเกินไปหรือเปล่า แต่อยู่ๆ ไนล์ก็แทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ยังติดด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม พี่ทั้งสองคนจึงไม่มีใครปฏิเสธเพราะมองว่ามันเป็นความหวังดีจากรุ่นน้อง ผมถึงเรียกเช็คบิลและจ่ายเงินให้เรียบร้อย ก่อนพวกเราจะทยอยกันออกมาจากร้านและแยกย้ายกันขึ้นรถ

เสียงประตูรถปิดลงพร้อมกับความเงียบที่มาย่างกราย ผมเหลือบมองคนที่มาประจำที่นั่งข้างกันเหมือนตอนขามา และก็เช่นเดิมที่ราวกับสับสวิตช์ คนที่ยิ้มแย้มโบกมือส่งพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวขึ้นรถไปเมื่อครู่กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยมากกว่า

“นายต้องการอะไรกันแน่”

“ฉันว่าฉันบอกนายไปแล้ว”

ผมไม่แน่ใจว่าผมถามคำถามนี้กับคนคนเดิมกี่ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยจะมีคำตอบที่ชัดเจนออกมาเสียที ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมจึงต้องถามให้มันชัดเจนกว่าเดิม เพราะตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาต้องการให้ผมเลิกยุ่งกับพี่ดาหลาจริงๆ หรือเปล่า แต่ที่มั่นใจคือเจตนาของเขาต้องไม่ใช่เพราะว่าเขาชอบผมอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะคิดอีกสักกี่ครั้ง ผมก็ยังเชื่อว่าความคิดนี้ถูกต้อง

“เพื่ออะไร”

“สักวันนายจะรู้เอง”

เชื่อได้เลยว่าหากเป็นไอ้ยีนที่ได้ยินคำตอบนี้ มันต้องไม่หยุดแค่การสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์อย่างที่ผมกำลังทำอยู่แน่ เพื่อนรักของผมไม่ใช่คนที่ทนฟังคำตอบที่คลุมเครือแบบนี้ได้ หนำซ้ำท่าทางตอนตอบออกมายังเป็นท่าทางที่ผมพูดได้เลยว่าดูยั่วอารมณ์ในสายตาของไอ้ยีนชัดๆ

“นายรู้ใช่ไหมว่าอาหารที่นายสั่งเป็นของที่ฉันชอบ นายรู้มาจากไหน”

ผมเปลี่ยนคำถามใหม่เพราะรู้ว่าต่อให้ถามคำถามเดิมอีก ผมก็ไม่มีทางที่จะได้คำตอบ ซึ่งก็ไม่ต่างกัน เพราะหลังจากผมถาม ไนล์กลับเงียบ คล้ายจะบอกว่าเขาไม่มีคำตอบให้ แต่ผมว่าเขาไม่อยากจะตอบเสียมากกว่า

“เรื่องลูกอมก็ด้วยเหมือนกัน นายรู้ใช่ไหม”

“...”

เหมือนเดิมที่ไนล์ไม่ตอบคำถามของผม เขาพูดแค่ว่า ‘ไปส่งฉันที่มหา’ลัยด้วย’ ก่อนจะค่อยๆ เอนตัวลงกับเบาะและปิดตาลง เหมือนเป็นการปิดกั้นการรับรู้ทุกสิ่ง และบอกให้ผมรู้กลายๆ ว่าเขาไม่ต้องการฟังคำถามอะไรต่อจากนี้อีก ผมจึงทำได้แค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ กับท่าทีเฉยชา ไร้ความสนใจสิ่งใดรอบตัวของคนที่เป็นเหมือนอากาศ ก่อนจะออกรถเพื่อไปยังสถานที่เป้าหมายอย่างที่อีกฝ่ายบอก











สามทุ่มก็มาถึงหน้ามหา’ลัยอย่างที่อีกฝ่ายบอก ผมจอดรถเข้าข้างทางเพื่อปลุกคนที่ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว เพราะระหว่าทางมีหลายครั้งที่ผมหันไปมอง แต่ก็ยังเห็นว่าเขายังหลับตาอยู่ด้วยท่าเดิมไม่ได้ขยับตัวหรือแสดงว่าแค่แกล้งหลับตาเพื่อเลี่ยงจะคุยกับผม

“ไนล์”

เสียงของผมดังระดับหนึ่ง เพราะในรถเงียบสนิท ผมไม่ได้เปิดเพลงและไม่มีเสียงรถจากภายนอกมารบกวนจึงคิดว่ามันน่าจะพอปลุกคนข้างๆ ได้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะหลับลึกกว่านั้น ผมจึงต้องเรียกให้ดังกว่าเดิม

“ไนล์”

“...”

“ไนล์”

ผมเรียกซ้ำอีกเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะลืมตาขึ้นมา เพิ่มระดับเสียงให้มากขึ้น แต่เขาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักอย่าง และต่อให้เรียกดังกว่านี้ผมก็คิดว่าเขาคงไม่ตื่นแน่ๆ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นคนที่นอนหลับลึกแบบนี้อยู่แล้วหรือเปล่า แต่ในใจผมกลับรู้สึกว่าคนที่หลับลึกและเรียกไม่ตื่นได้ขนาดนี้ต้องเป็นคนที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นเวลานานแน่ๆ มันไม่เหมือนกับคนขี้เซาที่ไม่ตื่นเพราะความขี้เกียจ แต่ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่เขาดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น

“ไนล์”


ถึงจะรู้ว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล แต่ผมก็ลองเรียกอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะตัวเขาเบาๆ เพื่อปลุก เพราะคิดว่าวิธีนี้น่าจะได้ผลมากกว่า แต่เขายังคงนอนนิ่งจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาทำตัวเหมือนคนที่มีชีวิตครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างความเป็นกับความตายจนบางครั้งผมก็กลัว

ผมกลัวว่าสักวันหนึ่งสายตาที่เลื่อนลอยจะไม่มีเงาของผม

ผมกลัวว่าร่างกายที่คล้ายกำลังล่องลอยนั่นจะจางหายไป

ผมกลัวว่าอุณหภูมิเย็นๆ ของเขาจะกลายเป็นเย็นชืดในสักวัน

เหมือนร่างของมิ้นที่ผมได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย....ในโลงศพ

“ไนล์ ไนล์ ไนล์ ตื่น!”

เผลอคิดไปแบบนั้นแล้วผมก็เขย่าตัวของคนที่หลับอยู่แรงขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้แค่สะกิดตัวเขาเฉยๆ รู้สึกว่าใจเต้นเร็วขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ และเหมือนว่าความตื่นตระหนกของผมจะทำให้เขารู้สึกตัว ร่างโปร่งนั้นสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นมามองผม แววตาของเขาฉายความตกใจอยู่ครู่หนึ่งที่เห็นว่าสีหน้าของผมซีดเผือด และนั่นก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมกำลังทำตัวแบบไหน

“ฉัน... ฉันแค่เห็นว่านายไม่ยอมตื่นสักที”

ผมพูดออกไปอย่างตะกุกตะกัก แสดงพิรุธอย่างเต็มที่ ทั้งที่ไม่ต้องการให้เขารู้ว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหน ...อ่อนแอแค่ไหนทุกครั้งที่คิดถึงความผิดพลาดในครั้งนั้น ผมละมือออกจากแขนของเขา แต่ไม่ทันพ้น มือที่เล็กกว่าก็คว้ามือของผมแทน

ไนล์จับมือของผมเอาไว้ เขามองตาผม เหมือนมีแววอะไรสักอย่างในนั้น แต่ก็ว่างเปล่าด้วยเช่นกัน เขาไม่พูดอะไร แค่มองตาของผมเฉยๆ เหมือนอย่างทุกครั้ง ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกว่าอาการหัวใจกำลังเต้นแรงด้วยความกลัวเมื่อครู่นี้ค่อยๆ ผ่อนลงทีละน้อยจนมันกลับมาเต้นเป็นปกติ

“เข้าซอยข้างหน้าไป”

เสียงเนิบเรียบมาจากริมฝีปากอิ่มของคนที่จับมือของผมเอาไว้ มือที่ติดเย็นอยู่เล็กน้อยละออกจากมือของผมช้าๆ ก่อนทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหันไปมองทางกระจกด้านหน้าของรถ ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ใกล้ๆ ทำให้ผมมึนตื้อไปชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกแปลกๆ ในการกระทำของเขา

เขารู้เสมอว่าผมรู้สึกยังไง...หรือผมคิดไปเอง?

ตั้งสติกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ขับรถเข้าไปในซอยข้างๆ มหา’ลัยตามคำบอกของคนข้างตัว มันเป็นซอยที่ผมไม่เคยเข้ามาเลยสักครั้ง แม้ว่าจะเห็นบ่อยๆ ตอนที่ขับรถผ่านก็ตาม

“จอดตรงนี้แหละ”

เข้ามาประมาณเกือบหนึ่งกิโลเมตรก็เห็นว่าเป็นตึกสูงห้าชั้น ผมไม่แน่ใจว่าลักษณะภายนอกของมันเป็นยังไง แต่คิดว่าน่าจะค่อนข้างเก่าพอสมควร และมันก็มืดอยู่ไม่น้อย เพราะไฟริมถนนตั้งอยู่ห่างๆ กันเท่านั้น ดูผิดกับถนนด้านหน้าซอยซึ่งค่อยข้างพลุกพล่านด้วยผู้คนจนคิดไม่ถึงว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ใกล้กับมหา’ลัยเอกชนที่ค่าเรียนแต่ละเทอมเป็นแสน

“นายอยู่ที่นี่?”

ผมชะโงกหน้ามองผ่านกระจกหน้ารถเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะมันไม่น่าใช่สถานที่ที่เขาจะอยู่ เพราะลักษณะของเขาไม่เหมือนคนที่บ้านขาดรายได้หรือมีฐานะปานกลางถึงต้องมาเช่าอยู่ในแมนชั่นเก่าๆ แบบนี้ แต่คำตอบของเขากลับกลายเป็นคำถามย้อนคืน

“แปลกหรือไง”

“ฉันแค่ไม่คิดว่านายจะอยู่ที่นี่”

ไม่ว่าจะมองยังไง ไนล์ก็ไม่เหมาะกับที่แบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมจะดูถูกคนที่ฐานะไม่ดีหรือว่าอะไร ผมไม่แคร์กับเรื่องพวกนั้น แต่มันทำให้ผมรู้สึกสะกิดใจกับสิ่งที่คาดไม่ถึงมากกว่า ผมยังคงมองตึกสูงห้าชั้นที่อยู่ด้านหน้าไม่ละสายตา แต่เหมือนว่าเขาจะรำคาญที่ผมไม่เชื่อ จึงดึงมือของผมให้หลุดจากพวงมาลัยรถที่จับอยู่จนผมต้องหันไปมองหน้าเขาแทน

ผมมองเขางงๆ อยู่แค่ครู่เดียว ก็เห็นว่าเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา และวางบนมือของผม ทำให้ผมตกใจนิดหน่อย เพราะสิ่งที่เขาให้ผมมาเป็นกุญแจดอกหนึ่งที่ไม่ต้องเดาว่ามันคือกุญแจอะไร

“ให้ฉันทำไม”

“สักวันหนึ่งนายอาจจะได้ใช้”

เขาบอกผมแค่นั้นก่อนจะละมือออก ไม่มีการดึงกุญแจ ‘ห้องของเขา’ กลับไป จากนั้นก็เปิดประตูรถออก และก้าวลงจากรถของผม ถึงกระนั้นก็ไม่วายโน้มตัวลงมาเล็กน้อยให้ผมเห็นหน้า และพูดกับผมที่ยังถือกุญแจดอกนั้นค้างเอาไว้อย่างไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเขา

“ห้อง 310 เผื่อนายจะอยากจะขึ้นไป”

สิ้นเสียง ประตูรถก็ปิดลง ร่างนั้นเดินผ่านรั้วของแมนชั่นไปและไม่มีการหันกลับมา โดยที่ผมได้แต่มองตามด้วยความรู้สึกมึนๆ เล็กน้อย ก่อนจะก้มลงมามองกุญแจสีเงินในมืออีกครั้ง












สอบเสร็จก็ถึงเวลาปลดปล่อย แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นการปลดปล่อยจริงหรือเปล่า เพราะคืนนี้จะมีงานเฟรชชี่ไนท์ รุ่นพี่บอกว่าให้ปีหนึ่งแต่ละเมเจอร์เตรียมการแสดงที่จะประทับใจรุ่นพี่เอาไว้ งานนี้ไอ้ยีนไม่รอดเพราะมันได้รับเลือกให้เป็นตัวเอกที่จะสร้างเสียงฮาให้กับทุกคน ตั้งแต่รุ่นน้องยันรุ่นพี่ ส่วนผม ก็ได้เป็นตัวเอกเหมือนกันครับ แต่งานไม่หนักเท่าไอ้ยีน

“กราฟ”

ระหว่างที่เรามาเดินลาดตระเวน หรือจะบอกว่ามาสำรวจสถานที่ ก่อนจะต้องไปแต่งตัวเพื่อเตรียมการแสดง ยีนก็เรียกผมพลางพยักพเยิดหน้าไปทางด้านหลังสุดของโถงใต้ตึกคณะที่ใช้จัดงาน พลอยให้ผมต้องหันไปมองตามด้วย ซึ่งพอเห็นว่าคนที่ยีนเรียกให้ผมหันไปมองเป็นใคร ผมก็ต้องทำเป็นไม่เห็น ทั้งที่เมื่อครู่นี้ผมรู้สึกว่าผมกับไนล์สบตากัน แม้จะแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าสายตาของเราประสานกัน

“ไม่ไปหาเขาล่ะมึง ชวนมาใช่หรือเปล่า”

ไอ้ยีนเข้าใจผิดไปใหญ่ ทั้งที่ผมไม่เคยเล่าให้มันฟัง แต่มันก็เคยเห็นว่าผมกับไนล์อยู่ด้วยกันครั้งหนึ่ง ผมจึงต้องแก้ความเข้าใจผิดนั้นซะ ว่าผมกับเขาไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกันถึงขนาดที่ผมจะชวนมาที่งานของคณะด้วย ไม่เหมือนไอ้กัสกับไอ้เคลมที่อยู่ด้วยในตอนนี้

“กูไม่ได้ชวน ทำไมกูต้องชวน”

“ก็มึงรู้จักเขาไม่ใช่เหรอ”

หน้าไอ้ยีนดูเอ๋อๆ งงๆ ไปเลยหลังจากผมตอบแบบนั้น ผมยอมรับครับว่าคำตอบและท่าทีที่ผมแสดงไปเมื่อครู่มันดูไร้เยื่อใยอย่างที่ไม่เคยทำกับใคร แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมกับไนล์ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันที่สามารถระบุได้จริงๆ ผมจึงต้องแสดงออกให้ชัด เพื่อไอ้ยีนจะได้ไม่ต้องถามอีก เพราะผมไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้

“อืม แล้วไง”

“มึงเข้าไปคุยกับเขาหน่อยดิ ไหนๆ ก็มาแล้ว”

“ปล่อยมันไปเหอะ มันอยากทำอะไรมันก็ทำ”

ผมใช้คำเรียกอย่างที่ไม่เคยเรียกไนล์เลยสักครั้ง เพื่อให้ดูเป็นปกติที่สุด แต่ดูเหมือนคำตอบของผมจะทำให้ไอ้ยีนรู้สึกประหลาดใจหนักกว่าเดิม ถึงกระนั้นผมก็ทำเป็นมองไม่เห็นว่าหน้าของมันมีแต่คำถาม รวมทั้งมองข้ามคนต่างคณะที่ยืนหลบมุมอยู่ ทั้งที่รู้สึกว่าถูกสายตาเลื่อนลอยคู่นั้นจับจ้องอยู่ไกลๆ ทว่าผมก็พยายามไม่หันกลับไปมอง

เหมือนว่าพี่ภูและพี่เจ๋งจะมาช่วยให้ผมรอดพ้นจากสถานการณ์ตอนนี้เอาไว้ได้ เพราะพี่ทั้งสองคนเดินเข้ามาหาและชวนคุย แต่จะเรียกว่าชวนคุยคงไม่ได้ล่ะมั้งครับ เพราะพี่ภูดูเหมือนจะเข้ามาเกทับไอ้ยีนเสียมากกว่า ผมจึงหันไปหาพี่เจ๋งแทน เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยเป็นกรรมการมวยของรุ่นพี่และเพื่อนรัก

“สอบเป็นยังไงมั่ง”

“ก็พอถูพอไถแหละพี่ ดีว่าพี่ช่วยเน้นให้ว่าตรงไหนน่าจะออกมั่ง”

“เออ ดีแล้ว กูกลัวเกรดมึงจะเน่า พวกปีหนึ่งเทอมแรกนี่โดนๆ กันทั้งนั้น”

พี่เจ๋งยิ้มให้ผม หัวเราะหน่อยๆ ที่ผมพอจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณพี่เจ๋งเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นการสอบของผมอาจจะแย่กว่านี้ เพราะยังไม่รู้หลัก ไม่รู้ว่าข้อสอบแต่ละวิชาจะออกประมาณไหน

“วันนี้ผมแสดงด้วยนะพี่ ไม่แน่ใจว่าจะฮาหรือเปล่า ตื่นเต้นอยู่”

“โหย มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก รุ่นพี่ไม่ได้เคร่งอะไรขนาดนั้นเว้ย แค่ขำๆ ให้น้องกล้าแสดงออกเฉยๆ ไม่ต้องเกร็ง”

มือที่ใหญ่พอๆ กับผม ทั้งที่ตัวเล็กว่าผมนิดนึงเพราะพี่เจ๋งสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเก้าหรือร้อยแปดสิบตบลงบนบ่าของผมเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจและฮึกเหิมขึ้นนิดหน่อย

“ผมจะพยายาม ไม่ให้เสียหน้าหลานรหัสพี่เจ๋ง”

“ฮ่าๆ มึงมันได้ใจกูจริงๆ”

บ่าของผมถูกตบอีกสองสามทีอย่างพอใจ แถมด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อย ก่อนที่เราจะต้องกลับไปให้ความสนใจกับมวยคู่เอกที่อยู่ข้างๆ กัน เพราะเสียงของพี่ภูดังพอดู

“แต่กูจะรอดูมึง อย่าทำให้กูเสียอารมณ์ล่ะ น้องร้ากกก”

ผมได้ยินแค่นั้นเพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจฟัง แต่พอคาดการณ์ได้ว่าพี่ภูกับไอ้ยีนคงจะลับฝีปากกันพอสมควร ทั้งที่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรหนักหนาแล้วสำหรับคู่นี้ แต่ก็ยังกวนกันได้ตลอดอยู่ดี เพราะฉะนั้นหลังจากถูกตั้งความหวัง หรือจะเรียกว่าเป็นการปรามาสไอ้ยีนจากปากของพี่ภูแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเตรียมตัวแสดงกันสักที

ผมรับบทเป็นคุณเด่นชัย ผู้ชายที่เสงี่ยมศรี ซึ่งรับบทโดยไอ้ยีน หลงรัก เสงี่ยมศรีที่ว่านี้เป็นสาวหน้าตาค่อนข้าง... สวยแบบแปลกๆ จนอกหักมาแล้วหลายสิบครั้ง จึงต้องระหกระเหเร่ร่อนกลับบ้านเกิดอย่างชอกช้ำ พล็อตเรื่องมีเท่านี้ครับ ส่วนนอกเหนือจากนี้ ทุกคนในเมเจอร์ต่างลงความเห็นว่าให้ผมกับไอ้ยีนด้นสดกันเลย คิดได้ก็ใส่ลงไป เรียกได้ว่าให้ผมกับยีนใช้ไหวพริบแก้สถานการณ์ เอาตัวรอดกันเองเต็มที่ จนแม้แต่ผมยังอดเสียวไม่ได้ว่ามันจะล่มหรือเปล่า

ไอ้ยีนถูกจับแต่งตัวจนออกแนวเละเทะมากกว่าสวย เพราะถูกจับใส่คอกระเช้าทับด้วยเสื้อคลุม นุ่งผ้าถุง ทาปากแดงจนเกินขอบมาสองเซนติเมตร แถมยังมีไฝเม็ดเบ้อเริ่มอยู่กลางหน้าผากกับเหนือริมฝีปากที่วาดด้วยลิปสติกสีฉูดฉาด จนผมและเพื่อนๆ ในเมเจอร์ขำแล้วขำอีก เท่านั้นไม่พอ มันยังต้องใส่วิกทรงแอฟโฟ่ด้วย ขณะที่ผมใส่เสื้อเชิ้ตตามปกติ เซ็ตผมให้ดูดี เรียกได้ว่าอยู่ในลุคที่เป็นผู้เป็นคนกว่าไอ้ยีนหลายเท่า








อ่านต่อข้างล่าง

v


v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2013 23:46:37 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน


v


v



เราถูกเรียกให้ลงมาเผชิญหน้าต่อหน้าสาธารณชน ผมกับไอ้ยีนก็ขึ้นไปบนเวทีเตี้ยๆ ที่ถูกทำขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ สูงกว่าพื้นปกติไม่มากหรอกครับ แค่เป็นการต่อไม้กระดานเพื่อให้คนด้านหลังสามารถมองเห็นคนที่อยู่บนเวทีได้ทั่วๆ กันเสียมากกว่า

เรื่องราวเริ่มต้นอย่างที่วางเอาไว้ เสงี่ยมศรีกลับมาบ้านเกิดด้วยความเสียใจที่ไม่เคยได้รับความรักตอบจากผู้ชายที่เธอสนใจ ซึ่งเป็นซีนอารมณ์ที่ควรจะน่าสงสาร แต่ไอ้ยีนก็เล่นเอาฮาได้ เพราะแค่หน้าตาของมันที่ถูกแต่งก็เรียกเสียงฮาแล้ว นี่ยังมีการแสดงที่เรียกได้ว่าเว่อร์เกินจริงไปหลายเท่า เพิ่มความอุบาทว์ได้อย่างไม่มีลิมิตนี่อีก

เสียงโห่หัวเราะดังก้องไปทั้งโถงใต้ตึกจนผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกเหมือนกัน ต้องใช้ความพยายามมากเชียวล่ะครับที่จะไม่ปล่อยเสียงก๊ากออกมาตามคนอื่นๆ ผมข่มอารมณ์สุดๆ แล้วเล่นตามบทบาทของตัวเองไป มุ่งความสนใจไปที่คนที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังพยายามคิดหาทุกวิถีทางที่จะทำให้คนดูหัวเราะ โดยเฉพาะพี่ภู ตามคำท้าทาย

แต่ผมก็เห็นนะครับว่าพี่ภูมองไอ้ยีนตลอดและยิ้มอย่างถูกใจที่มันอย่างเต็มที่ ไม่มีกลัว ไม่มีอาย เหมือนจะภูมิใจด้วยซ้ำที่ไอ้ยีนทำได้ดีขนาดนี้ จนผมอดเผลอคิดกับตัวเองไม่ได้ว่าคราวนี้ พี่ภูกับไอ้ยีนอาจจะเลิกตั้งแง่ใส่กันก็ได้ ทว่าระหว่างที่มองพี่ภู มองพี่เจ๋ง ลุงรหัสของผมว่าเป็นยังไงบ้าง สนุกกับการแสดงของพวกผมหรือเปล่า สายตาของผมก็เผลอกวาดมองไปไกลกว่านั้นอย่างไม่ตั้งใจ

คนที่ยังยืนหลบอยู่ริมกำแพงด้านหลังสุดของบริเวณจัดการมองตรงมาที่ผม มันไกลมากจนผมไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ผมก็รู้สึกได้ เขายังคงมีท่าทีเหมือนเดิมคือการทำเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีผลกระทบต่อใครก็ตามที่อยู่รอบตัว เป็นอากาศที่พร้อมจะระเหยและหายไปได้ตลอดเวลา

“คุณเด่นชัยรักเหงี่ยมไหมคะ”

ไอ้ยีนพยายามปรับเสียงให้ดูกระแดะๆ จนผมเกือบจะหลุดขำออกมา ต้องกลั้นสุดชีวิตแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มอ่อนโยนให้ มองหน้ามันที่ทำตาแป๋วๆ มองผมเหมือนรักผมเหลือเกินตามบทบาท ผมเลยต้องเออออตามไปให้สมกับที่มันใส่ฟิลลิ่งเข้ามา

“รักสิครับ ผมรักเหงี่ยมมากเลยนะ”

ผมใช้หลังมือแตะที่แก้มของยีนเบาๆ ด้วย ซึ่งมันก็ทำท่าเอียงอายจนตัวบิด ซึ่งผมแน่ใจว่าถ้าเป็นปกติ ผมคงหัวเราะก๊ากไปแล้ว และไม่ต้องเดา ไอ้เพื่อนตัวดีอีกสองคนที่นั่งดูอยู่หน้าเวทีคงหัวเราะจนแทบกลิ้ง แต่ไอ้ยีนก็ไม่ปล่อยให้ผมเนียนคนเดียวครับ มับทุบบ่าผมกลับมาเสียแรงจนผมเกือบหลุดเสียงร้องออกมา เล่นเอาคนที่ดูอยู่หัวเราะครืน

ทว่ายังไม่จบแค่นั้น ผมดึงมือมันไปจูบแบบไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า แค่ส่งซิกทางสายตาให้รู้ว่าเล่นต่อไปเลย นึกมุกอะไรได้ก็ใส่ไป ซึ่งไอ้ยีนก็พยายามเพื่อความบันเทิงต่อ ทั้งที่ตอนแรกมันไม่กล้าและไม่อยากจะเล่นละครที่ไม่มีบทตายตัวนี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เหมือนอินเนอร์ของมันจะมาเต็มแล้ว เพราะมันแกล้งทำเป็นกัดปากอาย กระมิดกระเมี้ยนเต็มที่จนน่าสยองเมื่ออยู่ในสภาพนี้ แต่ถ้าเป็นสภาพปกติ ผมคิดว่าน่าจะน่ารักนะครับ

“คุณเด่นชัยทำอะไร เหงี่ยมอายนะคะ เดี๋ยวเกิดมีใครมาเห็น”

ท่าทางตอนนี้ของไอ้ยีนเป็นใจมากครับ ผมเลยแกล้งโน้มหน้าเข้าไปหามันเยอะๆ เพราะคิดว่านอกจากจะเล่นให้ฮาแล้ว ก็น่าจะมีอะไรให้ลุ้นหรือตื่นเต้นๆ กันบ้าง ก่อนจะจูบลงไปที่เหนือปากของไอ้ยีนแล้วเบี่ยงตัวนิดหน่อยเพื่อหลบไม่ให้คนเห็นกันชัดนัก ไม่อย่างนั้นจะมองออกว่าผมไม่ได้จูบตรงปากแบบพอดีเป๊ะๆ ซึ่งตอนปากแตะลงไป ผมรู้สึกเหนอะๆ นิดหน่อยครับ เพราะว่ามันเป็นตรงที่ถูกทาด้วยลิปสติกสีแดงแปร๊ด

แต่แค่นั้นก็เรียกเสียงกรี๊ด เสียงโห่ร้องกันจนกระหน่ำแล้วครับ เสียงดังมากจนผมกลัวว่าตึกจะสะเทือนแล้วถล่มลงมาเลย แล้วพอได้ยินเสียงแบบนี้ก็เหมือนไอ้ยีนจะคึกขึ้นมามากกว่าเดิม มันตอบสนองเสียงพวกนั้นด้วยการยกแขนขึ้นมาคล้องคอผม แถมยังยกขาขึ้นมากอดเอวของผมไว้อีก ถ้าไม่นับว่าปากผมอยู่บนหน้าของมันล่ะก็ สภาพคงเหมือนลูกลิง

แบบนี้ผมจะทำยังไงต่อ?

ผมคิดกับตัวเองเพราะยังหาที่จบไม่ลง ก็เลยแกล้งผลักไอ้ยีนให้หงายหลังตึงลงไปนอนบนม้านั่งที่เรานั่งกันอยู่ แล้วก็แกล้งทำเป็นซุกไซ้มันนิดๆ หน่อยๆ เพราะคิดว่าเดี๋ยวพวกในเมเจอร์ที่เหลือต้องหาทางออกให้ และไอ้การทำแบบนี้ระหว่างผมกับไอ้ยีนก็ไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นหรือว่าน่ากังวลสักเท่าไร เพราะผมกับมันก็ออกแนวชอบกอดฟัดกันบ่อยๆ

อย่างที่บอกล่ะครับว่าไฮยีนไม่ใช่แค่เพื่อนรักของผมเพียงอย่างเดียว มันเป็นเหมือนชีวิตของผม เป็นทุกๆ อย่างในชีวิตของผม และมันก็ยกให้ผมเป็นหนึ่งเหนือคนอื่นๆ ยกเว้นคนในครอบครัวของมันเหมือนกัน การแสดงความรักระหว่างผมกับมันจึงเป็นเรื่องปกติมาก ไม่ว่าจะวิธีไหน

เรานัวเนียกันอยู่แบบนั้นสักพัก ปลายก็เรียกพวกเพื่อนๆ ในเมเจอร์มาวิ่งรอบๆ ตัวผม เหมือนจะเป็นการเซนเซอร์ฉากอื้อฉาวนี้ นับว่าปลายแก้สถานการณ์ได้ดีครับ เพราะผมไม่รู้แล้วว่าจะเล่นฉากนี้ยังไงต่อไป จากนั้นเราเริ่มต้นขึ้นฉากใหม่กัน ซึ่งเข้าสู่ช่วงจบของการแสดงแล้ว เสงี่ยมศรีได้รู้ความจริงว่าผม หรือก็คือคุณเด่นชัยเป็นบ้า แต่ได้กลับมาพักผ่อนที่บ้านก่อนจะถูกส่งกลับไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวต่อ

ผมก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าจุดจบของตัวเองจะกลายเป็นแบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการจบการแสดงโดยสมบูรณ์และได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมครับ เพราะได้รับเสียงตอบมือ โห่ร้องชื่นชมอย่างล้นหลาม เล่นเอาผมกับยีน และคนในเมเจอร์ยิ้มหน้าบานกันเป็นแถบๆ

หลังจากแสดงความดีใจกันในหมู่เพื่อนร่วมเมเจอร์แล้ว พวกผมก็ไปรวมกับกลุ่มลุงรหัสของผมครับ ซึ่งคนเดินทัพก็ไม่พ้นไอ้ยีนที่อยากจะไปเย้ยพี่ภูเต็มแก่จนอกแทบแตก ทว่าผมกลับตรงข้ามกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร แต่สิ่งแรกที่ผมทำคือการหันไปทางด้านหลังสุดเพื่อมองคนที่คล้ายกับมีพลังชีวิตอยู่เสี้ยวเดียว เพราะไม่อยากรบกวนการมีชีวิตของสิ่งอื่นๆ บนโลกใบนี้ แต่ตำแหน่งที่เคยมีใครคนนั้นอยู่กลับว่างเปล่า...













เมื่อคืนหลังจากที่พี่ภูกับไอ้ยีนฉะกันพอเป็นพิธีแล้ว พี่ภูก็ชวนพวกผม ซึ่งก็มีไอ้ยีน ไอ้กัส ไอ้เคลมไปดื่มกันต่อที่คอนโดของพี่ภู เพราะอยู่ใกล้ที่สุด โดยมีพี่ต้นกับพี่ปาล์ม เพื่อนในกลุ่มของพี่เจ๋งและพี่ภูไปด้วย ตอนแรกก็ปฏิเสธ เพราะไอ้ยีนไปไม่ได้ มันรับปากป๊าเอาไว้แล้วว่าจะไม่กลับบ้านดึก แถมก่อนหน้านี้มันก็ไปค้างที่คอนโดของผมมาหลายวันแล้วด้วย แต่เพราะถูกพี่ภูท้าทาย สุดท้ายก็จบลงที่เมา

ผมเมานะครับ เพราะผมพยายามดื่มแทนไอ้ยีนทั้งหมด ตื่นมาอีกทีก็บ่ายแล้ว เห็นคนอื่นๆ นอนกันเกลื่อนห้อง มีพี่เจ๋งที่เหมือนจะสภาพดีที่สุด และน่าจะพอตอบคำถามผมได้หลังจากที่ผมไม่เห็นว่าไอ้ยีนอยู่ในห้องด้วย

“ไอ้ยีนไปไหนอะพี่”

“โดนไอ้ภูหิ้วไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

“เฮ้ยยยยย”

ผมร้องลั่น เหมือนเป็นการปลุกคนที่เหลือให้สะลืมสะลือตื่นขึ้นมาด้วย ไอ้กัสกับไอ้เคลมค่อยๆ ดันตัวขึ้นจากพื้นพลางเอามือขยี้ตา หัวยุ่งจนแทบจะหมดความหล่อ ก่อนเสียงของไอ้เคลมจะดังขึ้น

“ร้องอะไรของมึง ไอ้เหี้ยกราฟ”

“หิ้วไป อะไร ยังไง พี่”

ผมไม่ฟังเสียงเห่าของไอ้เคลม แต่หันไปถามพี่เจ๋งแทน ซึ่งพี่เจ๋งก็กระตุกยิ้มนิดๆ ดูเจ้าเล่ห์อย่างที่ผมไม่เคยได้เห็น ก่อนจะกวักมือเรียกผมกับไอ้กัส มีแต่ไอ้เคลมที่โดนไล่

“มึงไปลากไอ้สองผัวเมียในห้องให้หน่อย”

สองผัวเมียที่ว่าก็คือพี่ต้นกับพี่ปาล์มครับ สองคนนั้นเป็นแฟนกัน แล้วพี่ปาล์มก็เป็นกะเทยที่สวยมากๆ จนผู้หญิงยังอาย ผมเห็นครั้งแรกยังคิดว่าเป็นผู้หญิงเลย ขนาดผู้ชายที่ผ่านผู้หญิงมาเยอะที่สุดในกลุ่มพวกผมอย่างไอ้เคลมยังมองตาค้างตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

“โหย พี่ ทำไมต้องผมด้วยเล่า เกิดเปิดประตูไปเจอเขากำลังร้อยเข็มกันอยู่ ผมไม่ถูกพี่ปาล์มคนสวยเตะออกมาหรือไง”

ครับ คนที่เตะจะไม่ใช่พี่ต้น แต่เป็นพี่ปาล์มอย่างที่ไอ้เคลมว่า เพราะถึงจะบอกว่าสวยยังไง แต่พี่แกก็ห้าวซะจนพวกผมอาจจะสยองได้ พี่เจ๋งแอบเล่าวีรกรรมของพี่ปาล์มให้พวกผมฟังอยู่ตอนดื่มกันเมื่อคืน

“ไม่เจอช็อตเด็ดหรอกน่า มันคงหมดแรงกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไปตามเร็วๆ ถ้ามึงอยากรู้เรื่องเพื่อนของมึง”

พอได้ยินคำว่า ‘เพื่อนของมึง’ ไอ้เคลมก็เบิกตาตี่ๆ ของมันให้โตขึ้นอีกเท่าตัว แล้วหันรีหันขวางมองหาว่าเพื่อนที่พี่เจ๋งพูดถึงคือใคร และพอไม่เห็นว่าไอ้ยีนอยู่ด้วยเท่านั้น มันก็รีบลุกพรวดขึ้นจากพื้นที่นั่งอยู่แล้วรีบตรงไปยังห้องนอนที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งคิดว่าเมื่อคืนคงถูกใช้งาน เพราะเท่าที่ผมจำได้ เมื่อคืนพี่ต้นกับพี่ปาล์มเมาแล้วก็กอดรัดจนแทบจะได้กันต่อหน้าพวกผมอยู่แล้ว

เกือบห้านาทีได้มั้งกว่าพี่ต้นกับพี่ปาล์มจะออกมาจากห้อง แต่ไอ้เคลมไม่ได้เข้าไปปลุกในห้องอย่างที่มันพูดก่อนหน้านี้หรอกครับ แค่เคาะประตูรัวๆ อยู่หน้าห้องจนโดนพี่ปาล์มด่ากลับมา ‘เคาะหาพ่อมึงเหรอ’ บอกได้เลยครับว่าเสียงโหดและโฉดมากจนคิดไม่ถึงว่าจะออกมาจากคนสวยๆ

จนพวกเรามารวมตัวกันได้ ทุกคนก็เอาแต่จ้องหน้าพี่เจ๋งที่ตอนนี้เหมือนกำลังยืนอยู่หน้าปะรำพิธี เพื่อแจ้งเรื่องสำคัญมากที่สุดในชีวิต พี่เจ๋งก็มองหน้าพวกเราไล่ไปทีละคนๆ ก่อนจะยิ้มอีกนิด แล้วจึงค่อยพูดออกมา เพราะถ้าพูดช้ากว่านี้ ผมว่าพี่เจ๋งโดนพี่ต้นกระทืบตามคำสั่งของพี่ปาล์มแน่นอน

“กูคิดว่า...”

“ว่า?”

“ว่าอะไร”

พี่ปาล์มกับไอ้เคลมลุ้นพร้อมกันด้วยความอยากรู้ ผมเองก็อยากรู้ด้วยเหมือนกัน รู้สึกเลยว่าผมจ้องหน้าพี่เจ๋งนานมาก กว่าพี่เจ๋งจะต่อประโยคเดิม

“ไอ้ภูชอบน้องยีนว่ะ”

“เฮ้ย!”

“จริงอะ”

“เป็นไปได้เหรอวะ”

“กูว่าแล้ว!!”

เสียงดังมาจากผม ไอ้เคลม ไอ้กัส แล้วก็พี่ปาล์ม ส่วนพี่ต้นงดออกเสียงครับ คงเห็นด้วยกับพี่ปาล์มมั้ง และพอเราถามแบบนั้นกลับไป พี่เจ๋งก็พยักหน้าหงึกหงักๆ ยืนยัน

“เมื่อคืนตอนพวกมึงเมาเป็นหมากันหมดแล้ว กูเห็น...ไอ้ภูจูบน้องยีน”

“จูบ!!!”

คราวนี้ไม่มีการแบ่งแล้วครับ พวกเราร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันหมด พวกผมสามคนตาเหลือกกันแล้ว แต่พี่ปาล์มกับพี่ต้นยิ้มกรุ้มกริ่มกันอยู่สองคน

“กูว่าแล้วว่าต้องมีซัมติงรอง เพราะไม่งั้นไอ้ภูไม่ไปตอแย คอยหาเรื่องน้องแบบนั้นหรอก ใช่หรือเปล่าต้น”

พี่ปาล์มพูดอย่างคนมีประสบการณ์ มองขาด หนำซ้ำยังหันไปถามพี่ต้นด้วย

“อืม กูก็คิดอยู่ว่าไอ้ภูทำตัวแปลกๆ”

“แต่ไอ้ยีนไม่ได้ชอบผู้ชายนะครับ”

ผมขัดเป็นคนแรก คิดไม่ออกเลยว่าไอ้ยีนชอบพี่ภูจะเป็นยังไง มีแต่มันจะอยากกระทืบพี่ภูเสียมากกว่า แต่พี่เจ๋งส่ายหัวครับ แล้วยังมีถามย้อนผมอีกต่างหาก

“เรื่องนั้นไม่เท่าไรหรอก ที่สำคัญเลยคือ มึงกับเพื่อนของมึงต่างหาก เกี่ยวพันกันยังไง ดูเป็นห่วงเป็นใย รักกันออกหน้าออกตา แถมมึงยังเคยบอกกูว่าน้องยีนสำคัญกับมึงเท่าชีวิต”

เอาล่ะครับ กลายเป็นผมที่ตกเป็นเป้าสายตา ส่วนเพื่อนอีกสองคนของผมก็ไม่ได้ช่วยกันเลย ไอ้เคลมหัวเราะคึๆ อะไรของมันสักอย่างแล้วเอามือปิดปากเอาไว้ ส่วนไอ้กัสก็แค่ยิ้มๆ เหมือนรอดูว่าผมจะตอบอะไร ทั้งที่พวกมันรู้ดีแก่ใจที่สุดว่าระหว่างผมกับไอ้ยีนเป็นยังไง

“รักกันจริงครับ รักแบบที่คนคนหนึ่งจะรักอีกคนได้”

ผมตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำตามความรู้สึกของผมทุกประการ แต่ดูเหมือนว่าจะทำให้พี่เจ๋งอึ้งไม่น้อย เพราะพี่แกเบิกตาโต ผมเลยต่อประโยคให้อีกหน่อย

“แต่รักที่ว่านี่ ไม่ใช่รักแบบคนรักนะครับ”

“ยังไงวะ”

เหมือนลุงรหัสของผมจะโล่งใจนิดหน่อยที่เพื่อนของตัวเองพอจะมีความหวัง แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี แน่ล่ะครับ เพราะความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ยีนค่อนข้างซับซ้อนและคนอื่นคงเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าไม่รู้ถึงสาเหตุที่ผมกับไอ้ยีนกลายมาเป็นแบบนี้

“รักเหมือนพ่อ เหมือนพี่ เหมือนเพื่อน รักเหมือนความรักทุกอย่างที่มีอยู่บนโลกนี้ ยกเว้นรักแบบคนรัก แบบนี้พอจะเข้าใจขึ้นไหมครับ”

“เออๆ เหมือนจะเข้าใจ”

พี่เจ๋งอึ้งไปหน่อยๆ กับคำอธิบายของผม ก่อนจะทำหน้านึกแล้วก็พยักหน้าว่าพอจะเก็ตแล้ว ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงรักไอ้ยีนได้ขนาดนั้นก็ตาม ส่วนพี่ต้นกับพี่ปาล์มก็พยักหน้าตามด้วย แต่ก็ดูไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร อาจจะเพราะไม่รู้ว่าผมกับไอ้ยีนสนิทสนมกันขนาดไหนเหมือนพี่เจ๋งก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นพอกระจ่างเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ยีน พี่เจ๋งจึงถามต่อ

“ถ้าอย่างนั้นพวกมึงสามคนจะว่ายังไง ถ้าเพื่อนกูจะชอบหรือจีบเพื่อนมึง”

“พี่ภูยังไม่เห็นมาขอพวกผมเลย พี่จะรีบออกตัวทำไม”

ไอ้กัสยิงประเด็นก่อนคนแรกครับ ต่อด้วยไอ้เคลม

“เห็นผมชอบตีกับมันบ่อยๆ แต่ผมก็รักก็หวงของผมนะเพื่อนคนนี้”

ส่วนผม...

“พี่แน่ใจแล้วเหรอว่าไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ พี่ภูอาจจะเมา”

“ไม่หรอก”

แต่คนที่ตอบกลับมาแบบทันควันคือพี่ปาล์มเจ้าเดิมครับ ต่อด้วยพี่ต้นที่รู้ใจแฟนของตัวเอง บรรยายถึงเหตุผล

“ไอ้ภูไม่ใช่คนที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตใคร แต่นี่เล่นพยายามทำตัวติด เรียกร้องความสนใจจากเพื่อนของพวกมึง ไม่มีทางที่มันจะไม่รู้สึกอะไร”

“ใช่ ตอนสอบที่ผ่านมาก็ไปติวให้ยีนถึงคอนโดมึงเลยนี่”

พี่ปาล์มย้ำอีก ทำให้พวกผมต้องคิดตาม เพราะจริงๆ แล้วก็ใช่ว่าผมกับเพื่อนๆ จะไม่รู้จักพี่ภูว่าเป็นคนยังไง และเท่าที่รู้จัก ถึงจะหลายปีผ่านมาแล้ว แต่พี่ภูก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะมาคอยป้วนเปี้ยนหาเรื่องใครอย่างที่ทำกับไอ้ยีนจริงๆ อย่างที่พี่ต้นและพี่ปาล์มว่า

“ถ้างั้นก็...”

พวกผมสามคนมองหันมองหน้ากัน เหมือนจะตกลงกันว่าจะตัดสินใจยังไงดี ก่อนไอ้เคลมจะพูดขึ้นมาก่อน

“ผมให้ผ่าน”

“ผ่าน”

“ผมก็ให้ผ่าน”

ตามด้วยไอ้กัส และผมเป็นคนสุดท้าย พลอยให้พี่เจ๋งยิ้มตามไปด้วย อย่างกับพี่แกจะเป็นคนจีบเสียเอง แต่ถึงจะบอกว่าให้ผ่าน ถ้าพี่ภูจะจีบไอ้ยีนจริงๆ สุดท้ายคนที่ตัดสินใจได้ก็คือไอ้ยีนเองว่าจะเอาหรือไม่เอา และที่สำคัญ... ผมพูดต่อด้วยเสียงเย็นๆ ที่ทำให้พี่เจ๋งยิ้มค้างและกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ส่วนไอ้กัสกับไอ้เคลมจ้องหน้าพี่เจ๋งแบบหาเรื่องสุดๆ

“ถ้าเพื่อนพี่ไม่จริงจังกับเพื่อนผมล่ะก็... อย่าหาว่าพวกผมไม่เตือน”







===============
ไนล์นี่น่ากลัวนะ ไม่รู้ว่าคิดอะไร แต่เหมือนจะรู้ว่ากราฟคิดอะไรอยู่ตลอดเลย

ช่วงท้ายของตอนนี้เหมือนเป็นฉากเสริมของภูยีนเลย  :hao5:

ปล. เรื่องนี้เฉลยเรื่องของกราฟเร็ว เพราะว่าปมเรื่องอยู่ที่ไนล์ค่ะ
อีกอย่างถ้าอ่านเรื่องของภูยีนมาก่อน ก็จะรู้เรื่องของกราฟอยู่แล้ว ^^


Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2013 00:21:22 โดย undersky »

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ไนล์บทน้อยไปปป ภูยีนส์แย่งซีนตัลหลอดดดด
แต่แบบ อยากรู้ว่าทำไม??? 
ไนล์ทำเรื่องพวกนี้ไปทำไม ???
ติดตามฮะ รออ่านตลอดนะะะ

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนได้ถึงสอง นอกจากเรื่องของคู่หลักกราฟไนล์ ยังได้รู้เรื่องของพี่ภูกะน้องยีนในมุมที่ยังไม่รู้ด้วย
เพราะตอนนี้พี่ภูเค้าได้ผ่านการอนุมัติจากเพื่อนสนิทสุดรักทั้งสามของน้องยีนไปแบบสบาย ๆ ถึงจะดูงง ๆ
แล้วก็กลัวพี่ภูมาหลอกเพื่อนรักก็เถอะ แต่ทุกคนก็ให้โอกาสพี่ภูเต็มที่ เหลือแต่น้องไนล์นี่แหละ
ถ้าเพื่อน ๆ น้องกราฟรู้จะมีใครรับได้ไหมเนี่ย ถึงน้องยีนจะไม่ว่าอะไรแต่ก็ไม่ได้ชอบไนล์นี่
แล้วตอนนี้อย่าว่าแต่เพื่อนๆ เลย แม้แต่น้องกราฟยังไม่รู้ความรู้สึกตัวเองเลยว่ารู้สึกยังไงกันแน่
เหมือนจะทั้งใจเต้น แอบมองหา แต่บางครั้งก็เหมือนรำคาญเพราะไม่เข้าใจกับพฤติกรรมที่ไนล์แสดงออกมา
แบบคาดเดาไม่ได้ว่าตอนนี้ไนล์รู้สึกและต้องการอะไรกันแน่ แต่ไนล์กลับรู้อะไรเกี่ยวกับกราฟเยอะจัง
แทบจะรู้กระทั่งความคิดของกราฟเลย แล้วทุกอย่างที่ไนล์ทำก็เหมือนมีเหตุผลอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ด้วย
โดยเฉพาะเรื่องกุญแจห้องเนี่ย ทำไมไนล์ถึงคิดว่ากราฟจะได้ใช้ล่ะ ในเมื่อถ้าไนล์ไม่เข้าหากราฟ
กราฟก็ไม่เคยเข้าหาไนล์ก่อนอยู่แล้ว เฮ้อเดายากจัง รอติดตามนะคะ และเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนเหมือนเดิมจ้า  :pig4: :L2:

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
ก็คงต้องรอดูต่อไปกับไนล์
เฮ้อออ

ออฟไลน์ killerofcao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น้องไนล์ ช่างลึกลับได้โล่จริงๆ หรือน้องไนล์จะ จะ จะ จะเป็นผู้มีพลังจิต (ฮา) :hao7:

guguy

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่งอ่าน ยิ่งรู้สึกว่าอยากรู้จักตัวตนจริงๆของไนล์ ทำไมมันดูลึกลับ ซับซ้อนอย่างงี้ :katai1: :katai1:
คนเขียนมาต่อเร็วๆน้าาาาาาาาาาาาา :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
อยากรู้เรื่องของไนล์จัง :hao4:

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
ลึกลับ


ให้กุญแจเพื่ออะไร




พี่ภูจะจีบยีนเหรอ



รออ่านตอนต่อไปค้าบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 5 : ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา

















นับจากคืนเฟรชชี่ไนท์ ผมก็ยังไม่เจอผู้ชายที่ชื่อไนล์อีก และกุญแจห้องของเขาก็ยังคงอยู่ที่ผมเหมือนเดิม ผมไม่มีวิธีติดต่อเขานอกจากการไปหาที่แมนชั่น เพราะเบอร์โทรศัพท์ที่ไนล์เคยให้ผม ผมลบทิ้งไปโดยไม่ได้จดเอาไว้ เพราะไม่คิดว่าสักวันจะต้องใช้มัน ผมเลยจำต้องเก็บกุญแจห้องของเขาเอาไว้ในรถอย่างช่วยไม่ได้

วันนี้หลังเลิกเรียน ผมไม่ต้องไปส่งไอ้ยีนครับ เพราะนับตั้งแต่วันที่ไอ้ยีนถูกพี่ภูพาไปค้างที่ไหนก็ไม่รู้ในวันนั้น มันเลยถูกป๊ายึดเงินยึดบัตรเครดิตเดบิตทั้งหมดไป และมันก็เฉ่งผมให้ผมรับผิดชอบที่ทำให้มันกลายเป็นยาจก แต่ก็มีคนออกตัว ยินดีรับผิดชอบชีวิตของไอ้ยีนแทนผมและอีกสองคนที่เหลือ ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร ผมกับไอ้กัส ไอ้เคลมเลยเปิดโอกาสให้พี่ภูได้ดูแลไอ้ยีนเต็มที่ ส่วนพวกผมก็อิสระ

ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมจะได้มีเวลาเดินหน้าเรื่องพี่ดาหลา

ผมคิดแบบนั้น แต่เมื่อมาถึงรถของตัวเองแล้วผมกลับต้องชะงักไป เพราะที่ประตูรถมีใครบางคนกำลังนั่งพิงอยู่ ไม่ต้องขยับเข้าไปใกล้ๆ ผมก็พอรู้ว่าคนที่ว่านั้นเป็นใคร เพราะคนที่ผมรู้จักและมีตัวตนที่บางเบาแบบนี้มีเพียงคนเดียว คนที่ผมไม่ได้เจอมาร่วมอาทิตย์

ขาของผมก้าวเข้าไปหาคนที่หลับตาเอนตัวพิงประตูรถอย่างช้าๆ ไม่รู้เหตุผลว่าเขามาทำอะไรที่นี่ มาเพื่อพบผม หรือว่ามีเหตุผลอื่นๆ ที่จะทำให้ผมต้องประหลาดใจในสิ่งที่เขาทำอีกหรือไม่ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ผมก็ยอมรับว่าเขาทำสำเร็จ เขาทำให้ผมต้องประหลาดใจกับการกระทำของเขาอีกครั้ง

“เฮ้”

ผมส่งเสียเรียกเบาๆ เพื่อปลุกให้เขาตื่น แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยิน จากที่เรียกอย่างเดียวผมก็ต้องย่อตัวลงให้ใกล้กับไนล์มากขึ้น มองใบหน้าที่หลับพริ้มโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกใครมาทำร้ายหรือเปล่า เพราะผมก็ได้ยินแว่วๆ มาจากไอ้กัสกับไอ้เคลมมาว่าไนล์ไม่ค่อยถูกกับพวกในคณะสักเท่าไร และเหตุผลก็ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่

ความเฉยชา ไม่สนใจใคร เหมือนอย่างที่เขาทำกับผม

แต่ที่ต่างกันก็คือ เขาไม่เข้าหาใครในคณะ แต่กับผม... เหมือนเขาจะพยายามเข้าหา?

“ไนล์”

ผมเรียกอีกครั้งพร้อมกับเอามือวางบนไหล่ เขย่าเรียกคนที่นอนหลับแบบไม่สนใจสถานที่ แต่เขาก็ยิ่งนิ่งเฉย ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาเป็นพวกหลับลึกจนน่ากลัว ผมต้องกล่อมตัวเองเอาไว้ว่าไนล์เป็นแบบนี้ เป็นคนที่ร่างกายต้องการการพักผ่อนมากเกินกว่าคนปกติ ถึงทำให้ปลุกยาก ไม่ใช่เพราะเหตุผลต่างๆ นานาที่สมองผมพานจะคิดไปเอง

“ไนล์ ไนล์”

เขาไม่ตื่น ผมก็พยายามปลุกเท่าที่จะทำได้ เขย่าร่างผอมบางให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะขยับตัวสักนิด จนผมต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะตัดสินใจ เพราะหากให้เขานอนอยู่แบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่

ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบรีโมตของรถมาปลดล็อก ก่อนจะช้อนคนที่นั่งหลับอยู่ขึ้นมา และอ้อมหน้ารถไปที่ประตูฝั่งข้างคนขับ พยายามใช้มือที่ช้อนอยู่ใต้ตัวไนล์เปิดประตูรถออกและอุ้มเขาเข้าไปนั่งบนเบาะจนสำเร็จ แล้วค่อยย้อนกลับไปนั่งประจำที่นั่งของตัวเอง

ประตูรถปิดลงแล้ว แต่ปัญหาใหม่ก็คือจุดหมายต่อไปของผมควรจะเป็นที่ไหน ผมมีกุญแจห้องของไนล์ ผมรู้เบอร์ห้องของไนล์ และผมก็รู้ว่าแมนชั่นของเขาอยู่ที่ไหน แต่...คงไม่ผิดที่ผมจะไม่อยากไปที่นั่น ผมไม่อยากเหยียบย่างเข้าไปในพื้นที่ของเขาด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่เข้าใจ แต่ที่ผมแน่ใจคือหากผมเป็นฝ่ายก้าวเข้าใกล้ไนล์ไปมากกว่านี้ ผมจะต้องเกี่ยวพันกับเขามากขึ้น

เพราะแบบนั้นสุดท้ายผมจึงตัดสินใจเคลื่อนรถออก แต่เป้าหมายคือคอนโดของผมที่อยู่ห่างจากมหา’ลัยมากกว่าแมนชั่นของไนล์หลายเท่า ทว่ามันก็ทำให้ผมสบายใจมากกว่าที่จะไปที่อยู่ของเขา ซึ่งหลังจากมาถึงคอนโด ผมก็วนรถขึ้นไปจอดชั้นบน ก่อนจะช้อนตัวไนล์ขึ้นมาในวงแขนอีกครั้ง ตัวของเขาเบามากเสียจนผมไม่แน่ใจว่าเขาหนักเท่าไรกันแน่ นั่นคงเป็นอีกอย่างที่ทำให้เขาเหมือนคนที่พร้อมจะหายไปได้ตลอดเวลาในสายตาของผมก็เป็นได้

ผมอุ้มไนล์ขึ้นไปบนห้องและเลือกวางเขาไว้บนโซฟามากกว่าจะพาเข้าไปในห้องนอน ผมไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ผมมากเกินกว่าเส้นที่ผมขีดไว้ เพราะแค่นี้มันก็มากเกินกว่าที่ผมคิดไว้แล้ว ทั้งที่ตอนแรกผมไม่คิดที่จะเข้าใกล้เขาเลยด้วยซ้ำ

เกือบห้านาทีที่ผมนั่งมองคนที่นอนหลับอยู่บนโซฟา ผมสังเกตสีหน้าของเขาที่ขาวซีด ท่าทีของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีแววจะตื่น ไม่ขยับตัวไปไหน ไม่ลืมตาหรือเปลือกตาหลุกหลิกให้ผมจับได้แม้แต่น้อยว่าเขากำลังแกล้งผม หรือว่าเขาหลับไปจริงๆ และผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะนอนต่อไปอีกนานแค่ไหน

มันไม่เหมือนครั้งก่อนที่เขาหลับไปบนรถของผม ที่ผมเขย่าตัวเขาจนตื่นด้วยความหวาดกลัว ในเวลานี้ผมรู้แล้วว่ามันไม่ได้น่ากลัวและอันตรายอย่างที่ผมหวาดระแวง ท่าทางของเขาดูเหนื่อยจนผมสังเกตได้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นผมเองหรือเปล่าที่คิดไปแบบนั้น

“นายเป็นคนยังไงกันแน่”

เสียงหลุดออกมาจากปากของผมโดยไร้การควบคุม กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ผมได้ยินเสียงสะท้อนออกมาเสียแล้ว เขาทำให้ผมแปลกใจได้เสมอ และก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าตัวผมชักจะแปลกมากขึ้นไปทุกที ผมก็ลุกขึ้นจากโซฟาอีกตัวที่นั่งอยู่ไปที่ห้องครัวแทน

น้ำดื่มถูกเทใส่แก้วครึ่งหนึ่งก่อนผมจะกรอกเข้าปากพลางสำรวจในตู้เย็นไปด้วยว่ามีอะไรที่พอจะใช้เป็นมื้อเย็นได้บ้าง แต่ก็เกลี้ยงสนิทเพราะเสบียงที่ตุนไว้หมดจากการประทังชีวิตตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมจึงต้องคว้ากุญแจรถอีกครั้งเพื่อไปหาซื้ออะไรง่ายๆ สำหรับเป็นมื้อเย็นแบบชั่วคราว แต่เดินมาหยุดที่หน้าโซฟาแล้วผมก็ต้องเผลอหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่อีกครั้ง

คงจะไม่ตื่นขึ้นมาตอนที่ฉันออกไปซื้อของหรอกนะ

ผมคิดกับตัวเองเช่นนั้นเพราะคาดว่าไนล์น่าจะหลับอีกนานพอดู และผมก็อยากให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ จึงออกจากห้องไป แต่ก็ไม่ได้ออกไปไกลเท่าไรหรอกครับ เพราะขับรถออกมาได้ไม่นาน ผมก็เจอร้านขายบะหมี่เกี๊ยวเลยแวะซื้อบะหมี่หมูแดงกับบะหมี่หมูกรอบแบบพิเศษกลับมาอย่างละถุง

กลับมาถึงห้องอีกครั้ง ไนล์ยังนอนหลับอยู่ในท่าเดิม ผมจึงเอาบะหมี่ที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในตู้เย็นก่อน รอให้เขาตื่นค่อยเอาออกมาอุ่นอีกที เพราะเพิ่งจะห้าโมงกว่า ยังไม่ถึงเวลาอาหารของผมเหมือนกัน ผมเลยเข้าไปอาบน้ำและทำงานอยู่ในห้องอีกพักหนึ่ง กระทั่งหกโมงครึ่งก็ออกมาจากห้องนอนเพื่อมาดูว่าไนล์ตื่นหรือยัง แต่ว่าเขายังหลับอยู่ คราวนี้ผมจึงต้องเปลี่ยนความตั้งใจของตัวเองเสียใหม่

“ไนล์”

เหมือนเคยที่เรียกแล้วเขาไม่ตื่น ผมต้องขยับไปนั่งบนโซฟาที่เขานอนอยู่แล้วเขย่าตัวเขาเหมือนที่เคยปลุกเขาสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง

“ไนล์”

“...”

“ไนล์ ตื่นได้แล้ว”

ออกแรงให้มากกว่าเดิมจนคิดว่าน่าจะทำให้เขาได้สติ ซึ่งก็เป็นดั่งคาดไว้ เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ เขาจ้องหน้าผมขณะที่ผมก็จ้องหน้าเขาเหมือนกัน มือที่เล็กกว่าผมอยู่นิดหน่อยยกขึ้นมาขยี้ตาเหมือนคนเพิ่งตื่นอีกหลายๆ คนพร้อมกับตั้งสติไปด้วย ก่อนเขาจะหันไปมองรอบๆ เพื่อสำรวจให้แน่ใจว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ แล้วจึงค่อยถามออกมาประโยคแรก

“คอนโดของนาย?”

“อือ”

“ทำไมถึงไม่ไปห้องของฉัน”

“ฉันไม่อยากไป”

ผมตอบกลับไปง่ายๆ และตรงตัวที่สุด ซึ่งเขาก็ไม่ได้โต้แย้งหรือว่าสอบถามอะไรเพิ่มเติมนอกจากนั้น กลายเป็นความเงียบที่เข้ามาแทนที่ เราต่างคนต่างไม่พูดอะไร เขามองผมเหมือนอย่างที่ทุกที คือมองเลยไปเหมือนไม่ได้มอง แต่กำลังมอง ขณะที่ผมเริ่มทำหน้าไม่ถูกกับสายตาคู่นั้น จนต้องหยัดตัวขึ้นจากโซฟาแล้วเลี่ยงจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่

“หิวหรือยัง”

“อืม”

คำตอบที่ได้ไม่แปลกจากที่ผมคิดไว้นัก ผมจึงเรียกให้เขามาที่ห้องครัวและนั่งรอที่โต๊ะอาหารสำหรับสี่ที่ เพราะแขกของห้องผมไม่เคยเกินกว่านั้น มียีนเป็นแขกประจำและกัสกับเคลมที่มาบ้างในบางครั้ง

“บะหมี่เกี๊ยว กินได้หรือเปล่า”

ก่อนจะยกชามไปอุ่นในไมโครเวฟ ผมก็นึกขึ้นได้ ลืมถามไปเสียด้วยซ้ำว่าเขากินของที่ผมซื้อมาได้หรือเปล่า แต่คำตอบก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ที่ซื้อมันมา ‘กินได้ทุกอย่าง’ คือคำตอบของไนล์ ผมจึงยกชามที่อุ่นเสร็จเรียบร้อยมาตั้งตรงหน้าของคนที่กำลังนั่งรออยู่

ไนล์ก้มลงมองชามบะหมี่ของผมกับของเขานิดหน่อย ผมไม่รู้ว่าเขาชอบกินหมูแดงหรือหมูกรอบ ผมจึงเลื่อนชามหมูแดงให้เขา และหมูกรอบเป็นของผม ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบซองเครื่องปรุงไปจัดการเทใส่ชามของเขา และเขาก็ทำให้ผมต้องตะลึง

ผมยอมรับว่าผมเป็นคนกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง ผมถึงเทพริกป่นลงไปแค่ครึ่งซอง แต่ไนล์กลับเทพริกป่นลงไปทั้งซอง รวมถึงน้ำส้มสายชูก็เทลงไปทั้งถุง หนำซ้ำยังมีการเงยหน้าขึ้นมาถามผมอีก

“จะใส่อีกไหม”

“ไม่แล้ว”

แค่สิ้นคำที่ผมตอบ เขาก็ยื่นมือมาเหมือนจะขอพริกป่นที่เหลือจากผม ผมจึงต้องยื่นให้เขาอย่างไม่แน่ใจเท่าไร ทว่าเขาก็ดึงมันไปเทใส่ชามตัวเองจนสีของน้ำบะหมี่ที่ควรออกสีเหลืองกลายเป็นสีแดงอย่างน่ากลัว เขาตักพริกที่ผสมในน้ำส้มสายชูที่ถูกตัดเป็นแว่นๆ เข้าปากพร้อมกับเส้นบะหมี่อย่างไม่มีท่าทีว่าจะเผ็ดเลยแม้แต่น้อย เหมือนผมเข้าใจผิดว่าพริกป่นเป็นคนละอย่างกับน้ำตาลมาตั้งแต่เกิดทั้งที่มันเป็นอย่างเดียวกันจนผมอดถามไม่ได้

“ไม่เผ็ดหรือไง”

“ไม่”

เขาตอบเท่านั้นก่อนจะยัดเส้นสีเหลืองเข้าปากอีกครั้งพร้อมกับหมูแดง แล้วก็ตักน้ำซุปเข้าปากไปด้วยเหมือนรสชาติของบะหมี่ชามนั้นอร่อยมากเสียจนหยุดไม่อยู่ ขณะที่ผมได้แต่กินบะหมี่ในชามตัวเองอย่างหวาดเสียวแทน ผมกลัวว่าเขาจะปวดท้องทีหลังที่กินเผ็ดมากจนเกินไป เพราะในกลุ่มผม ไม่มีใครกินเผ็ดขนาดนี้ อย่างมากก็เป็นไอ้เคลมที่ใส่พริกป่นหนึ่งซองเท่านั้น แต่กับไนล์ เขาดูสบายมากกับการกินรสชาติแบบนี้

หลายครั้งที่เขาเหลือบตามาทางผมที่กำลังกินบะหมี่อยู่ ซึ่งผมก็พยายามเฝ้าสังเกตสายตาของเขาว่ามันไปหยุดอยู่ที่ไหน เพราะเขาไม่พูดอะไร และเมื่อผมแน่ใจว่าจุดหมายของเขาคืออะไร ผมก็อดถามไม่ได้

“อยากกินหมูกรอบเหรอ”

“อืม”

เขาไม่เลี่ยงที่จะตอบ ไม่กลัวว่าจะเสียฟอร์มที่ถูกผมถามแบบนั้น แต่กลับตอบกลับมาตรงๆ โดยไม่มีการแสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ แปลกจากคนอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงเขิน หรือถ้าเป็นเพื่อนๆ ในกลุ่มของผมก็คงตอบกลับมาอย่างฉาดฉาน ‘อยากกินสิวะ’ หรือไม่ก็ฉกจากชามผมไปเรียบร้อยก่อนที่ผมจะอ้าปากถาม

ผมจึงใช้ตะเกียบในมือคีบหมูกรอบในชามของผมไปใส่ในชามของเขาสองชิ้น ซึ่งก็เรียกสายตาของไนล์ได้ เขามองผมเหมือนไม่คิดว่าผมจะทำแบบนั้น เพราะผมแสดงออกมากเกินไปล่ะมั้งว่าผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขา แต่ผมกลับยกหมูกรอบที่ผมชอบให้เขาง่ายๆ

แต่มันคงไม่แปลกเท่าไรกับสิ่งที่ผมทำ ผมเป็นประเภทชอบเทคแคร์คนอื่นจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถึงผมจะไม่อยากยุ่งกับไนล์ แต่ผมก็ห้ามนิสัยของตัวเองไม่ได้ มือของผมขยับไปก่อนที่ผมจะคิดได้ว่าไม่ควรทำอะไรที่จะแสดงถึงความสนิทสนมหรือเปิดโอกาสให้ไนล์เข้าใกล้ผมมากกว่าที่เป็นอยู่ ผมจึงต้องเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่ปรับให้ห้วนกว่าปกตินิดหน่อยเพราะเขายังมองผมไม่เลิก

“อยากกินไม่ใช่หรือไง”

“...”

เขาไม่ตอบผม แต่ใช้ช้อนกดหมูกรอบจนจมไปกับน้ำที่มีพริกป่นลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนจะตักมันขึ้นมาเข้าปากและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ผมมองตามปากที่ปกติเป็นสีพีชแต่ตอนนี้มันเข้มสีขึ้นเล็กน้อยเพราะรสชาติเผ็ดร้อนที่เขากินเข้าไป และไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ผมถึงรู้สึกว่าปากของผมขยับไปหน่อยๆ

เหมือนว่าจะยิ้ม?

เผลอคิดได้ว่าตัวเองกำลังทำแบบนั้นอยู่ ผมก็ต้องหุบปากลง แล้วกลับมาสนใจชามบะหมี่อีกครั้ง กระทั่งเรากินอาหารมื้อเย็นจนหมด ผมก็จัดการล้างชามทั้งสองใบ ส่วนไนล์ ผมให้เขาไปรอที่ห้องนั่งเล่น เพราะการล้างชามแค่สองใบไม่ใช่เรื่องลำบากที่ผมจะต้องให้เขามาจัดการให้ และอีกอย่าง ถึงผมจะพาเขามาที่นี่อย่างจำใจ แต่ผมก็ไม่อยากให้คนที่อยู่ในสถานะแขกมาล้างชามให้

เดินออกมาจากครัวอีกครั้ง ผมก็เห็นว่าไนล์หยุดยืนอยู่หน้าชั้นวางโทรทัศน์ เหมือนเขากำลังมองอะไรบางอย่าง ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูว่าเขามองอะไรอยู่ กระทั่งอยู่ในระยะที่พอดี ผมก็ได้คำตอบ... ตรงชั้นนั้นเป็นชั้นที่ผมวางกรอบรูปเอาไว้ กรอบรูปที่มีทั้งรูปผมและเพื่อนคนอื่นๆ แต่ที่สายตาของไนล์หยุดอยู่ เป็นรูปที่มีผมกับไฮยีนแค่สองคน

เป็นรูปถ่ายตอน ม.6 เราสองคนกอดคอและยิ้มให้กัน

“รูปนั้นมีอะไรน่าสนใจหรือไง”

ผมส่งเสียงแบบไม่บอกไม่กล่าว หรือเขาไม่ได้สนใจรอบตัวถึงไม่รู้ว่าผมมายืนอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ไม่รู้ แต่หลังจากได้ยินเสียงของผม เขาก็สะดุ้งนิดๆ ก่อนจะรีบหันหลังให้กับรูปถ่ายใบนั้นทันที สายตาของไนล์ที่ผมสังเกตเห็นในตอนนี้ดูแปลกไปจากทุกครั้ง

เขามักมองผมด้วยสายตาที่คล้ายกับเลื่อนลอย แต่ขณะเดียวกันก็จับจ้องทุกความเคลื่อนไหวและแปรผลว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในตอนนี้มันกลับดูหลุกหลิก เหมือนคนถูกจับผิดได้จนผมต้องจ้องตาของเขามากขึ้นด้วยความอยากรู้ ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ไนล์มากขึ้นโดยที่ยังไม่ละตาจากเขา ซึ่งไนล์ก็พยายามฝืนปรับให้ตัวเองเป็นปกติมากที่สุด ก่อนจะเอื้อนเสียงถามผมเพื่อเลี่ยงจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่

“บะหมี่... ซื้อที่ไหน”

“นายยังไม่ตอบฉัน”

ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงกล เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมกำลังเป็นฝ่ายคุมเกม ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผมไม่สามารถทำอะไรเขาได้ และเป็นผมที่ถูกปั่นหัวเหมือนเป็นของเล่นของเขา แต่ไนล์ก็ไม่ตกหลุมพรางของผมเช่นกัน เขาเบี่ยงตัวหลบผมแล้วเดินผ่านไป ตรงไปยังประตูห้องเสียเฉยๆ จนผมต้องคว้ามือของเขาเอาไว้

เป็นครั้งแรกที่ผมจับมือนี้ก่อน...

เผลอตัวทำไปแล้วผมเพิ่งจะนึกได้ แต่ให้ปล่อยตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ผมจึงกระชับมือให้แน่นขึ้นอีกเพื่อที่เขาจะได้ไม่หนีผมไป ผมมองตาเขา แต่ในเวลานี้เขากลับมาเป็นไนล์คนเดิมที่สงบนิ่งและเลื่อนลอย เรามองตากันอยู่ครู่หนึ่งเพราะเขาไม่พูดอะไร และผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นประโยคยังไง ทว่าสุดท้ายผมก็หลุดเสียงออกมาก่อน

เหมือนเคย...ที่ผมเป็นฝ่ายแพ้

“จะไปไหน”

“ร้านบะหมี่ คงไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร”

“จะเดินไปหรือไง”

ผมอดสงสัยไม่ได้ เพราะเขาไม่มีท่าทีว่าจะขอให้ผมไปส่งหรืออะไรก็ตามที่เขาจะไม่ต้องเดินไปเอง แต่ไนล์ก็ตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ผมไม่คาดคิด

“ชินแล้ว”

เขาทำให้ผมแปลกใจได้เสมอจริงๆ

“ชินแล้วอะไร”

“ขอบคุณสำหรับที่นอน”

เขาตอบผมคนละเรื่องกับที่ผมถามราวกับไม่อยากบอกอะไรที่เป็นเรื่องของเขา ทั้งที่เขารู้เรื่องของผมหลายอย่างจนผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์สักนิด ก่อนจะสะบัดมือผมให้หลุดจากการจับมือเขาเอาไว้เสียอีก แล้วเดินออกจากห้องไป เหมือนไม่แยแสว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือว่าผมจะคิดและรู้สึกยังไง

เขากำลังปั่นหัวของผมให้ต้องวุ่นวายอีกครั้ง และผมก็เต้นไปกับการกระทำของเขาเหมือนคนโง่ๆ คนหนึ่ง

ผมต้องย้อนกลับไปหยิบคีย์การ์ดและกุญแจรถก่อนจะรีบออกจากห้องไป แต่ก็ไม่ทัน ลิฟต์ลงไปแล้ว ผมต้องกดปุ่มย้ำหลายๆ ครั้งเพื่อให้ลิฟต์อีกตัวขึ้นมายังชั้นของผม ก่อนจะลงไปอีกชั้นเพื่อเอารถแล้วขับลงไปดักรอไนล์ที่หน้าทางเข้าของคอนโด ทว่าเหมือนจะไม่ทัน เพราะวิ่งเข้าไปที่ล็อบบี้ ผมก็พบว่าลิฟต์ตัวที่ไนล์ใช้ลงมาชั้นล่างมันขึ้นไปชั้นบนแล้ว

วิ่งกลับมาที่รถเหมือนคนบ้าก็ไม่ปาน แต่ผมกำลังทำแบบนั้น ผมขับรถออกไปจากบริเวณของคอนโดและมองสองข้างทางไปด้วย เพื่อหาว่าคนที่ผมไล่ตามมาอยู่ที่ไหน ก่อนจะเห็นว่าเขาเดินนำอยู่ไกลๆ จึงต้องเร่งความเร็วของรถให้มากขึ้น ก่อนจะกดแตรเพื่อเรียกให้เขาหันกลับมา

เสียงของแตรรถดังไปทั่วซอยทั้งที่เป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนมีเงิน แต่ไม่รู้ทำไมความเกรงใจที่ควรมีมันหายไปหมดแล้วสำหรับผมในตอนนี้ สิ่งเดียวที่ผมคิดคือการเรียกคนที่เดินอย่างไม่ทุกข์ร้อนออกจากซอยที่ถือว่าค่อนข้างเปลี่ยวแม้ว่าจะไม่ใช่ซอยลึกมาก แต่ก็เป็นซอยตัน จึงไม่ค่อยมีคนนอกแวะเวียนเข้ามานอกจากคนที่อาศัยอยู่ที่นี่

ไนล์หันมามองผมนะครับ แต่เขาก็ทำเหมือนมองไม่เห็น ยังเดินต่อไปจนผมต้องขับรถไปดักด้านหน้า และลงมารอคนที่เดินทอดน่องสูดอากาศในช่วงหนึ่งทุ่มกว่าๆ ที่ฟ้ามืดแล้วเสมือนว่าบรรยากาศกำลังดี

“ไนล์”

ผมเรียกคนที่กำลังเดินผ่านหน้าผมไปเหมือนมองไม่เห็นผม ก่อนจะตะเบ็งเสียงเป็นชื่อเขาอีกครั้ง และสาวเท้ายาวๆ เพื่อไปคว้าแขนของเขาไว้อีกรอบ

เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่ผมเรียกชื่อนี้ นับตั้งแต่ที่เราไปกินข้าวด้วยกันพร้อมพี่ดาหลาเมื่อคราวก่อน

“เดินหนีทำไม”

“แล้วนาย ตามมาทำไม”

เขาถามโดยโยนความผิดให้เป็นของผม ทำให้ผมต้องชะงักไปเล็กน้อย แล้วคิดหาคำตอบไม่ได้ เพราะผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

มันเป็นความผิดของผมที่ผมไล่ตามเขามาเอง และผมก็กำลังประสาทเสียเองกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้

“นายกำลังปั่นหัวฉัน”

“ฉันไม่ได้ทำอะไร ฉันแค่จะไปร้านบะหมี่”

“ไนล์!”

เป็นครั้งแรกที่ผมตะคอกเสียงใส่เขาอย่างจริงจัง แต่เขายังมีสีหน้าไม่ต่างจากปกติ มองผมด้วยแววตาเหมือนเดิม ไม่ทุกข์ไม่ร้อนทั้งที่ใจของผมร้อนรนอย่างไร้เหตุผล หนำซ้ำยังย้อนผมกลับมาราวกับท้าทายให้อารมณ์ของผมยิ่งสูงขึ้นอีก

“ฉันชอบเวลานายเรียกชื่อของฉัน”

“นายต้องการอะไรกันแน่”

คำถามเดิมย้อนกลับมาและหลุดออกจากปากของผมอีกครั้ง ทว่าคำตอบในครั้งนี้เปลี่ยนไปจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง เสียงเรียบและเบาหวิวถามผมกลับมา

“แล้วนายล่ะ ตอนนี้ต้องการอะไร”

ผมสะอึกและชะงักทันทีหลังจากได้ยินคำถามนั้น ความร้อนรุ่มในใจมลายหายไปจนหมดสิ้นเหมือนไม่เคยมี มือที่จับแขนของไนล์คลายลงและค่อยๆ หลุดออกอย่างลืมตัว ความเงียบเข้ามาครอบคลุมพื้นที่ระหว่างเราอีกครั้ง ผมกับเขาได้แต่มองหน้ากันโดยไม่ละสายตา ก่อนเสียงของไนล์จะดังขึ้นมาอีกระลอก

“ไว้ได้คำตอบแล้วค่อยบอกก็ได้”

สิ้นเสียงนั้น ขาเรียวในชุดนักศึกษาของคณะวิศวะฯ ก็ก้าวออกไป เรียกสติของผมให้กลับมาทำงาน ผมโพล่งออกไปก่อนจะทันได้รู้ตัว

“เดี๋ยวไปส่ง”

ได้ผล เพราะไนล์หันกลับมาทางผมอีกรอบแล้วถาม

“ไปส่ง? ที่ร้านบะหมี่หรือที่แมนชั่น”

เขาเลิกคิ้วนิดหน่อยเป็นการย้ำให้รู้ว่าเป็นคำถามที่ผมต้องตอบ ซึ่งก็ทำให้ผมอึกอักได้เล็กน้อย เพราะเริ่มทำตัวไม่ถูกอีกแล้ว และผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงมีปฏิกิริยากับผู้ชายคนนี้นัก เหมือนเขาสามารถควบคุมความคิดและการกระทำของผมได้ตลอดเวลาเพียงใช้คำพูดแค่ประโยคเดียว

“นายจะไปที่ไหน”

“จะกลับแล้ว”

“อืม”

ไม่ต้องถามเพิ่มเติม ผมก็ตอบรับเหมือนรู้ว่าจะต้องไปที่ไหน ซึ่งไนล์ก็ไม่ดื้อรั้นที่จะเดินออกไปเองอีก เขายอมมาขึ้นรถของผมที่จอดอยู่ใกล้ๆ แทน ผมจึงตามไปขึ้นรถและขับออกจากซอยไปยังสถานที่ที่ไนล์ต้องการ














ในรถมีแต่ความเงียบเชียบมาตลอดทาง ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย คล้ายกับว่าผมมีหลายอย่างที่จะพูดกับเขา แต่ผมกลับไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร และเขาก็ไม่เริ่มประโยคไหนก่อนทั้งนั้น กระทั่งมาถึงแมนชั่นของเขา ผมหยุดรถลงที่เดิมเหมือนกับครั้งก่อนที่พาเขามา ซึ่งมันก็ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นได้

ผมเปิดช่องใส่ก้นกรองบุหรี่ในรถที่ไม่เคยใช้งานออกมา ไม่ใช่เพราะว่าผมไม่สูบบุหรี่หรืออะไร ก็มีสูบบ้างครับ แต่ไม่บ่อย เพียงแต่ผมไม่อนุญาตให้ใครสูบมันบนรถ ผมเป็นประเภทรักรถ ไม่อยากให้มีกลิ่นติด ช่องสำหรับเก็บก้นกรองบุหรี่จึงไม่เคยได้ใช้สักครั้ง มันจึงกลายเป็นที่เก็บของบางอย่างเอาไว้แทน

โลหะสีเงินถูกหยิบออกมาจากช่องนั้น ก่อนผมจะส่งคืนให้คนที่เป็นเจ้าของ ไนล์มองลูกกุญแจในมือของผมก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมามองหน้าผมโดยที่ไม่ยื่นมือขึ้นมาหยิบของที่ผมส่งให้ เสียงเบาๆ เอื้อนถามโดยที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ไม่มีแววตกใจ ประหลาดใจ ผิดกับคำพูด

“ทำไม”

“ฉันคงไม่ได้ใช้ ฉะนั้นเอาคืนไป”

“รู้ได้ยังไงว่านายจะไม่ได้ใช้”

“ฉันแน่ใจ”

ผมตอบกลับไปอย่างมั่นใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการมองตาของผมจากอีกฝ่ายที่เหมือนจะทะลุทะลวงเข้ามามากขึ้น คล้ายกับจะล่อลวงให้ผมเปลี่ยนใจทั้งที่สายตาคู่นั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง หน่วยตาสีดำยังสะท้อนภาพของผมเหมือนเดิม แม้ว่ามันจะยังคงไม่มีชีวิตชีวาเหมือนคนทั่วๆ ไป ถึงกระนั้นก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึก...ไม่แน่ใจ

ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจเสียเอง ลูกกุญแจในมือของผมก็ถูกดึงออกไปให้ผมรู้สึกโล่งใจและหายใจได้คล่องขึ้น ทว่าก็เพียงแค่เสี้ยววินาที เพราะหลังจากนั้นมันก็ถูกหย่อนลงไปในช่องทิ้งก้นบุหรี่เหมือนเดิม ตามด้วยช่องนั้นถูกปิดอย่างเรียบร้อยราวกับไม่ได้เปิดออกมา ไนล์บอกกับผม

“ฝากเอาไว้ก่อน”

ผมพูดไม่ออกกับการกระทำของเขา จึงเลือกจะไม่พูดคือค้านอะไรอีก และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากรู้

“วันนี้นายมาหาฉันทำไม”

ไนล์เบือนหน้ากลับมาหาผมอีกครั้ง มองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนขยับปากช้าๆ

“เฝ้า”

“เฝ้า?”

“ไม่ให้ไปหาผู้หญิงคนนั้น”

คำตอบคราวนี้ชัดเจนพอให้ผมรู้ความหมายที่แท้จริงของเขา นับเป็นไม่กี่คำตอบที่ผมได้จากผู้ชายคนนี้โดยไม่ต้องสงสัยหรือถามเพิ่มเติม ซึ่งก็นับว่าคราวนี้เขาทำสำเร็จ เพราะความตั้งใจที่จะไปหาพี่ดาหลาในวันนี้ของผมถูกทำลายโดยไนล์จริงๆ

ผมไม่ได้ไปหาพี่ดาหลา หนำซ้ำยังถูกปั่นหัวจนเละอีกต่างหาก

“ฉันถือว่านายทำสำเร็จ”

เขาไม่ได้ยิ้มจากคำตอบของผม แต่เปลี่ยนเป็นคำพูดอีกประโยคแทน

“แต่ฉันจะดีใจกว่า ถ้านายไม่ไปหาเขาและมาหาฉันแทน”

สาบานได้ว่าผมพยายามจะไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ไนล์พูดแล้ว ทว่าทั้งที่ผมพยายามอย่างเต็มกำลัง ผมกลับรู้สึกว่าตอนนี้ใจของผมกำลังสั่น ยิ่งมองสายตาที่ว่างเปล่าของเขา มันก็ยิ่งย้ำว่าผมเป็นแบบนั้นอยู่จริงๆ ไม่ใช่การเข้าใจผิด

เขากำลังทำอะไรกับผม?

“ฉัน... ฉันบอกนายแล้วว่าฉันทำไม่ได้”

“ถ้างั้น...”

ไนล์ยังมีท่าทีเหมือนเดิม แต่ขยับหน้าเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเก่า ตาคู่เรียวจับจ้องที่หน้าผมโดยไม่เลื่อนหนี หรือหลบหลีกไปแม้แต่น้อย มันยังมองตรงมาเหมือนกับจะสะกดผมให้ตกลงไปในการควบคุมของเขา

“คิดถึงฉันให้มากกว่าเขา คิดถึงฉันจนลืมเขา...ได้หรือเปล่า”

หัวใจของผมที่กำลังสั่นอยู่เมื่อครู่ มันสั่นกว่าเดิมเสียอีกจนผมรู้สึกได้ ก้อนน้ำลายถูกกลืนในลำคออย่างยากลำบาก เหมือนมันฝืดไปหมด ผมทำอะไรไม่ถูก และก็ไม่สามารถละสายตาจากคนที่เหมือนจะตรึงประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าของเขาได้เช่นกัน

“ฉัน...”

เสียงที่หลุดออกมาได้มีแค่คำคำนี้เท่านั้น ในหัวของผมตื้อไปหมด อีกทั้งเขาก็ยังมองผมไม่เลิก จนไม่รู้ว่าผมจะทำยังไง ผมต้องรวบรวมสติให้กลับมามากที่สุดก่อนจะโพล่งเสียงออกมา

“ฉันว่านายขึ้นห้องไปได้แล้ว มันดึกแล้ว”

“ดึก?”

ไนล์ทวนคำของผมก่อนจะเหลือบตาไปมองนาฬิกาในรถ ตัวเลขสีเขียวเรืองแสงกำลังบอกว่าเพิ่งจะสองทุ่ม ทำให้ผมรู้สึกหน้าแตกจนไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง แต่ไนล์ก็ไม่ดันทุรังกดดันผมให้ต้องเครียดหนักไปกว่าเก่า เขาเอนตัวออกห่างจากผมให้ผมได้หายใจคล่องขึ้นจนผมเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดแรงกว่าทุกๆ ครั้ง

“เก็บเอาไปคิดดู แล้วก็รู้เอาไว้ว่าฉันจะทำให้นายเลิกสนใจผู้หญิงคนนั้นให้ได้”

ทิ้งระเบิดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนร่างโปร่งจะก้าวลงจากรถไป ให้ผมทำได้แค่มองตามและคัดค้านอยู่ในใจว่าจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น เพราะผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่าผมจะจีบพี่ดาหลา ทว่า... อาการสั่นๆ ในหัวใจที่ยังไม่หายเป็นปกติก็ทำให้ผมต้องด่าตัวเอง

เป็นบ้าอะไรของมึงวะ ไอ้กราฟ!!







==============
ว่าจะมาอัพหลายวันแล้ว แต่ไม่ว่างเลย ขอโทษด้วยนะคะ
เป็นตอนแรกเลยที่มีไนล์ทั้งตอน
แต่น่าสับสนกับไนล์แทนกราฟเนอะ

Undel2Sky



ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ไนล์ประหลาดมากๆ
รู้ทันกราฟไปเสียหมด
รู้ทันจนน่ากลัว

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
ถ้าเราเจอคนอย่างไนล์ เราคง สติแตก...
เค้าเป็นคนที่น่ากลัว... ไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
ชอบบุคลิกไนล์นะ
มันดูลอยๆอ่านไม่ออกดี555555
กราฟเอ้ย  หนีไม่พ้นหรอก

ออฟไลน์ from_mars

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-0
แปลก ถ้ามีคนมาจีบเราแบบนี้คง... งง สับสน รึยังไงดี
มันอยากรู้มากเลยว่า อะไร ยัง รออ่านจ้า

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
อ่านไปด้วยใจจดจ่อจริง ๆ ค่ะ เหมือนคนอ่านกำลังสมมติตัวเองเป็นกราฟเลยอะ 555
แบบพยายามทำความเข้าใจการกระทำ และคำพูดต่าง ๆของไนล์ที่เข้าใจยากจริง ๆ
ทั้ง ๆ ที่ไนล์ก็พูดชัดเจนนะ ว่าต้องการอะไร แต่เหตุผลที่มานี่สิ เหมือนอยู่ดี ๆ ไนล์ก็เดินเข้ามาทำให้ชีวิตของกราฟปั่นป่วน
เพราะงั้นก็ไม่แปลกเลย ถ้าเราจะเจอคนแบบไนล์แล้วรู้สึกว่าเรากำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา
ทุกอย่างที่ไนล์ทำเหมือนมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่ แล้วอย่างการที่ไนล์มาตามเฝ้ากราฟในวันที่กราฟตั้งใจจะไปหาพี่ดาหลาพอดี
เหมือนรู้เลยอะว่ากราฟกำลังคิดจะทำอะไร ถ้าให้เดาแบบฮา ๆคงคิดว่าไนล์มีพรายกระซิบนะเนี่ย แต่มันคงเป็นไปไม่ได้
เพราะงั้นคนอ่านก็คงต้องเดามั่ว ๆต่อไป  555 จนกว่าจะถึงเวลาที่ไนล์เปิดเผยความจริง
อยากบอกผู้เขียนว่าชอบมากเลยค่ะ ผู้เขียนเขียนได้น่าติดตาม สนุกมาก ๆ เลย จนอยากอ่านตอนต่อไปไว ๆจัง
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนนะค่ะ  :pig4:  :L2:
ปล. อยากให้ไนล์ได้ออกเยอะ ๆอย่างงี้ทุกตอนเลยค่ะ ถึงจะดูมืดมนแต่ชอบอะ อยากเห็นกราฟปั่นป่วนอะคะ 555


ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
บุกไปเลยไนล์ ทางนั้นเค้าเริ่มเขวแล้ว //ฮะ  :m20:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 6 : คืนแรก




















ไม่บ่อยนักที่ผมจะมาร่วมกิจกรรมนี้กับไอ้กัสและไอ้เคลมหลังจากที่ไอ้ยีนต้องวางมือไป ทว่าเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างสักเท่าไร เพราะมาดูการแข่งรถและวอร์มเครื่องในสนามแข่งของพี่เคนได้ไม่นานก็ถูกท้าทายทันที

พวกผมได้ข่าวมาสักพักแล้วครับว่าตอนนี้ไอ้เบนซ์กำลังอาละวาดฟาดงวงฟาดงาอยู่ มันเป็นคนประเภทแพ้แล้วพาล เลยท้าแข่งกับคนไปทั่ว ใครไม่ยอมลงแข่งกับมันทั้งที่เอ่ยปากแล้ว มันก็ใช้วิธีการข่มขู่ อย่างเช่นตอนนี้ที่มันให้พวกของมันมายืนรุมรถของพวกผมพร้อมกับมีดพกและทำหน้าเหี้ยม

สงสัยผมต้องบอกพี่เคนแล้วว่าใครจะเข้าสนามต้องตรวจอาวุธก่อน

“ถ้าพวกมึงอยากให้รถเยิน ก็เอาเลย”

เสียงไอ้เบนซ์ตะโกนออกมา เรียกสายตาของคนที่อยู่แถวนี้หันมาทางพวกผมกันหมด ตามจริงแล้วผมไม่ได้กลัวคนที่ใช้วิธีการสกปรกและหมาหมู่อย่างไอ้เหี้ยเบนซ์นี่หรอก แต่พวกผมห่วงรถมากกว่า กลุ่มผมรักรถกันหมด โดยเฉพาะรถที่เอามาวันนี้เป็นรถที่จะใช้เฉพาะเวลาแข่งเท่านั้น ไม่ได้เอาออกมาวิ่งบนถนนทั่วไป เพราะกลัวไปจอดที่ไหนแล้วโดนเสยแบบไม่รู้ตัว พวกผมคงทำใจไม่ได้

“เดี๋ยวกูแข่งเอง”

ผมเสนอตัวเพื่อเป็นการตัดปัญหา ฝีมือระดับไอ้เบนซ์ไม่คณามือผมเท่าไรหรอก ไม่ใช่ว่าผมเก่งกาจหรืออะไรนะครับ พวกผมทุกคนก็ถือว่ามีฝีมือพอตัวระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นว่าแข่งแล้วชนะรวดๆ มีชนะบ้างแพ้บ้าง แข่งสนุกๆ ได้ค่าขนมเป็นของแถมนิดหน่อย ไม่ได้กระหายชัยชนะอย่างไอ้เบนซ์ ทว่าทั้งที่ผมตอบรับมันแล้ว ดูเหมือนมันจะไม่ยอม

“ไม่เว้ย กูไม่แข่งกับมึง กูจะแข่งกับไอ้เหี้ยยีน”

“ไอ้ยีนไม่ได้มา มึงจะแข่งกับมันได้ยังไง”

ไอ้เคลมอารมณ์ขึ้นมาหน่อย มันคงหงุดหงิดที่ถูกยืนล้อมแล้วไอ้พวกนั้นยังเอาเรื่องรถมาขู่อีก แล้วเชื่อได้เลยว่ามันไม่ทำแค่พูดเฉยๆ แน่ คนอย่างไอ้เบนซ์ไม่ไว้หน้าใครอยู่แล้ว

“ก็ไปตามมาสิวะ เพื่อนมึงไม่ใช่หรือไง ถ้าพวกมึงไม่ตามไอ้ยีนมา...”

หยุดเสียงแค่นั้นแล้วเจ้าของคำพูดก็พยักพเยิดหน้าไปทางพวกของมันคนหนึ่ง คนที่ได้รับสัญญาณจึงก้าวเข้ามาทางรถของไอ้เคลมที่อยู่ใกล้ที่สุด ง้างมือทำท่าจะกรีดรถของมันเสียให้ได้ ไอ้เคลมเลยรีบปราดเข้าไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อยไอ้คนนั้นก่อนเลย

ผมว่ามันชักจะไม่ดีแล้ว

“มึงไปตามไอ้ยีนเหอะ”

ไอ้กัสที่ประเมินสถานการณ์อยู่จับบ่าของผมพลางบอก ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ ไอ้เคลมได้อาละวาดแน่ ถึงมันจะเป็นพวกเลือดร้อนไม่ต่างจากไอ้ยีน แต่มันก็ไม่เคยทำใครก่อน ถ้าไม่มีใครมากระตุกหนวดมัน ซึ่งก็ดูเหมือนตอนนี้เครื่องมันจะติดแล้ว

ผมพยักหน้าเบาๆ ตอบไอ้กัส ก่อนจะกดโทรศัพท์หาไอ้ยีน แล้วเล่าเรื่องให้มันฟัง ซึ่งพอมันรับรู้ก็ไม่ลังเลที่จะมาจัดการหมาบ้าที่กัดคนไม่เลือกอย่างไอ้เบนซ์ ผมจึงขับทิกเกอร์ รถที่ผมมักใช้ในการแข่งไปหาไอ้ยีนที่บ้านโดยเร็วที่สุด ให้ไอ้กัสอยู่เฝ้าคนของมันไม่ให้ก่อเรื่องเกินกว่าเหตุ

พาไอ้ยีนมาที่สนามได้ ไอ้เบนซ์ก็กระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจพลางท้าทายไอ้ยีนอย่างเต็มที่ ทว่าไม่ใช่แค่มันหรอกครับ เพราะพวกผมก็กระตุกยิ้มมุมปากพลางมองหน้ากัน เพราะถึงไอ้ยีนจะไม่ได้แข่งรถมาพักหนึ่งแล้วนับตั้งแต่เข้ามหา’ลัย แต่ผมว่าระยะเวลาแค่สองเดือนคงไม่ทำให้มันฝีมือตกจนสู้ไอ้เบนซ์ไม่ได้ พวกผมเชื่อในฝีมือของมันว่าเอาชนะไอ้เบนซ์ได้สบาย ถึงรถที่มันต้องใช้จะเป็นทิกเกอร์ของผมแทนที่จะเป็นเลพเพิร์ดของมันก็ตาม

รถของพวกผมมีชื่อประจำกันหมดครับ พวกเราตั้งใจตั้งให้คล้ายกัน รถของไอ้ยีนสีแดง ชื่อเลพเพิร์ด ส่วนของผมสีเหลือง ชื่อทิกเกอร์ เลโอของไอ้กัส สีน้ำตาลแก่ และของไอ้เคลมสีเงิน ชื่อไลออน

“มึงระวังตัวหน่อยล่ะ ไม่ได้แตะนานแล้วนี่หว่า”

“เออ กูรู้”

“ระวังทิกเกอร์พยศด้วย”

ผมเตือนไอ้ยีนให้ระวังตัวตอนแข่ง เพราะมันไม่เคยลองขับทิกเกอร์ของผม ผมกลัวมันลืมตัวว่าไม่ชินมือกับรถคันนี้แล้วใส่เข้าไปเต็มแรง ซึ่งมันก็รับปากก่อนจะประจำที่แล้วเตรียมออกสตาร์ท ขณะที่พวกผมสามคนได้แต่ให้กำลังใจมันด้วยการมอง

เป็นอย่างที่ผมคิด ไอ้เบนซ์แพ้ไอ้ยีนหลุดลุ่ย ทำเอามันเจ็บใจฉิบหาย ส่วนพวกผมก็ยิ้มอย่างพอใจ เพราะนอกจากจะหยามน้ำหน้ามันได้แล้ว ยังได้เงินจากการแข่งชนะมาอีกแบบไม่เดือดร้อนอะไร หนำซ้ำคราวนี้ไอ้ยีนยังใจดีโยนเงินที่ได้มาทั้งหมดให้ไอ้เคลมเฉย เล่นเอาไอ้ตี๋ยิ้มแฉ่งหน้าบาน

ทว่าไม่เพียงแค่แข่งกับไอ้เบนซ์เท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าฝีมือของไอ้ยีนจะเข้าตาบางคนเข้า พี่เคนเป็นคนเดินมาบอกเองเลยว่าเพื่อนเของขาอยากจะแข่งด้วย ตอนแรกพวกผมก็ไม่รู้ว่าใครหรอกครับ รู้แต่เขาขับเฟอร์รารี่สีน้ำเงินแล้วก็แข่งกับไอ้เบนซ์ตอนผมกับไอ้ยีนมาถึงกันพอดี ฝีมือของเขาเรียกว่าเหนือกว่าพวกผมได้อย่างเต็มปาก

“ไม่เอาหรอก เพื่อนพี่เก่งอะ ผมแพ้แน่”

ไอ้ยีนก็ประมาณตัวเองถูกเหมือนกัน แต่ว่าพี่เคนก็ยังชวน

“เฮ้ย ไม่ลองก็ไม่รู้ มันก็ไม่ได้มืออาชีพอะไร ที่มาวันนี้เพราะพี่ชวน เห็นว่าไอ้เบนซ์มันกร่างมาก เลยชวนมาเล่นด้วยสักหน่อย”

“เอาจริงดิ”

“เออ มันให้กูมาท้ามึงเนี่ย ถ้ามึงไม่เข้าตา มันไม่ให้กูมาท้าให้เสียเวลาหรอก”

โดนพี่เคนตื๊อมาแบบนั้น ทั้งที่ไม่คิดจะทำก็ต้องใจอ่อนแหละครับ ไอ้ยีนยอมแข่งด้วยแบบขำๆ เพราะมันก็เห็นฝีมือของฝ่ายนั้นอยู่แล้วว่าน่าจะเจ๋งกว่ามัน จึงใช้เงินเดิมพันที่ตอนแรกให้ไอ้เคลมมาเป็นของแลกเปลี่ยนแทน ไอ้เคลมทำหน้าเฉาไปหน่อยที่อยู่ๆ เงินจะโดนโฉบไป แต่ก็ต้องยอมเพราะเงินนั้นได้มาจากไอ้ยีน

ผลของการแข่งมีลุ้นนิดหน่อย เพราะไอ้ยีนก็ทำได้ดีไม่น้อย แต่คงไม่ดีมากพอจะสู้กับคนที่เก่งเรื่องเทคนิคแบบเจ้าของเฟอร์รารี่คันนั้น กระทั่งมาถึงเส้นชัย ไอ้ยีนออกมาจากรถด้วยท่าทางเจ็บใจอยู่เหมือนกัน มันคงเสียดายที่ฝีมือมันไม่ถึง ทำให้พลาดท่าไปหลายที

“ฝีมือเจ๋งอยู่เหมือนกันนี่หว่า น้องเกงยีน”

แต่ที่ทำให้ไอ้ยีนเจ็บใจมากที่สุดก็คงเป็นตอนที่เห็นว่าคนที่ขับเฟอร์รารี่คันนั้นเป็นใครนั่นแหละครับ พวกผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นพี่ภู โลกมันกลมอย่างเหลือเชื่อ ผมก็รู้จักพี่เคนมาสองสามปีนะครับ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าพี่แกเป็นเพื่อนกับพี่ภูด้วย หนำซ้ำตอนที่ไอ้ยีนยื่นซองเงินให้ พี่ภูยังสวนกลับมา

“ใครบอกว่ากูจะเอาเงิน”

“แล้วพี่ชมพูจะเอาอะไรล่ะครับ ต้องการอะไรมิทราบ”

“กูจะเอา.........มึง”

พี่ภูพูดอย่างชัดเจน ปฏิเสธของเดิมพันแบบไม่แยแสเลยว่าจำนวนเงินในซองนั้นจะมากน้อยแค่ไหน ไอ้ยีนนี่แทบผงะ แต่พี่ภูกลับหัวเราะแล้วจับแขนมันเอาไว้

“กูไม่เอาอะไรหรอก แต่กูขอนี่ละกัน”

ไฮยีนมองหน้าพวกผมแบบจำใจ เพราะเถียงอะไรไปพี่ภูก็โต้กลับหมด ผมจึงต้องถามมันทางสายตา ให้มันเลือกตัดสินใจเอง ซึ่งมันก็พยักหน้ากลับมา ผมจึงต้องฝากฝังให้พี่ภูไปส่งไอ้ยีนกลับบ้านแทน ซึ่งพี่เขาก็รับปาก พลอยให้ผมเบาใจ แต่ไอ้เคลมนี่สิ เกือบโดนไอ้ยีนกระโดดถีบเพราะความปากหมาของมัน

“พี่ภูอย่าทำอะไรเพื่อนผมรุนแรงนะ ถนอมๆ มันหน่อย”

ดีว่าพี่ภูพาไอ้ยีนไปได้ก่อนเกิดโศกนาฏกรรม ไอ้เคลมเลยแค่โดนถากถางและอาฆาตทางสายตา พลอยให้ผมกับไอ้กัสส่ายหัวเบาๆ

“งั้นแยกกันกลับเลยแล้วกัน”

ไม่จำเป็นจะต้องไปส่งไอ้ยีน เพราะมีคนรับหน้าที่นั้นไปแล้ว แต่ระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านี่ผมก็สุดจะคาดการณ์ได้ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของไอ้ยีนที่จะเอาตัวรอดเอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ค่อนข้างเชื่อใจพี่ภูว่าจะไม่ทำร้ายหรือทำให้เพื่อนของผมเสียใจ ถ้าหากว่ามันไม่เต็มใจ

“เออ ดีเหมือนกัน แม่งจะตีสองแล้ว กูชักง่วง”

สบายใจเรื่องไอ้เบนซ์ว่าคงจะไม่มาหาเรื่องแล้ว หนำซ้ำยังได้เงินไปนอนกอดแบบสบายๆ ไอ้เคลมก็ทำท่าหาวใส่พวกเราทันที ไอ้กัสเลยผลักหัวมันไปหนึ่งที ก่อนจะโบกมือลาผม

“เจอกันพรุ่งนี้เว้ย”

“เออ เจอกันๆ”

ผมโบกมือกลับก่อนจะไปขึ้นรถของตัวบ้าง ทว่ายังเดินไม่ทันถึงรถ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ซึ่งมันก็ทำให้ผมงงไม่น้อยที่มีคนโทรหาผมตอนนี้ จะว่าเป็นไอ้ยีนก็ไม่น่าจะใช่ และพอหยิบเครื่องที่กำลังส่งเสียงร้องออกมาดูหน้าจอ ผมก็ยิ่งต้องแปลกใจ เพราะเป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้บันทึกเอาไว้และไม่รู้จัก

ใครวะ?

คำถามดังในใจผมของเบาๆ ก่อนที่ผมจะกดรับสายและกรอกเสียงลงไป แต่เสียงที่ตอบกลับมากลายเป็นความเงียบ ไร้เสียงของคนที่โทรมา

“สวัสดีครับ ใครครับ”

[กราฟ]

ผมนึกว่าจะไม่ได้ยินเสียงจากปลายสายเสียแล้ว แต่สุดท้ายเสียงที่ผมรอก็ดังขึ้น หนำซ้ำยังเป็นเสียงที่ผมจำได้ทันทีหลังจากได้ยิน น้ำเสียงเรียบเนิบเย็นเหมือนคนไม่มีชีวิตแบบนี้ ไม่มีใครนอกจากคนคนนั้น

“ไนล์”

ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะพูดหรือถามอะไร เพราะหลังจากรู้ว่าเป็นใคร ก็เหมือนว่าผมจะลืมไปหมดว่าควรจะถามอะไรคนปลายสาย ผมรู้สึกมึนๆ งงๆ มากกว่า แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขามีเบอร์โทรศัพท์ของผมทั้งที่ผมไม่เคยให้ ทว่าเป็นเพราะผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโทรหาผมตอนนี้ ...ตีสอง ไม่ใช่บ่ายสอง

[มาหาฉันหน่อย]

“ไปหานาย?”

ดั่งจะเรียกสติของผมให้กลับมาอีกครั้งเมื่อได้รู้เหตุผลที่เขาโทรหาผม ผมเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าผมไม่ได้เข้าใจผิดว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ซึ่งก็เหมือนเดิมที่เหมือนเขาจะอ่านใจอ่านความคิดของผมได้ เสียงเรียบๆ นั้นจึงดังขึ้นอีกครั้ง และมันก็ทำให้ผมต้องตกใจ

[รามอินทรา]

“เฮ้ย ไปทำอะไรที่นั่น”

หากให้นับจากที่ตั้งของมหา’ลัยของผมซึ่งใกล้กับแมนชั่นของไนล์ที่สุดกับจุดที่ไนล์อยู่ในตอนนี้ มันห่างกันคนละโยชน์เลย แล้วนี่ก็ไม่ใช่ตอนกลางวันด้วย

หมอนั่นไปทำบ้าอะไรที่นั่นตอนตีสอง??

[มาหาฉันหน่อย]

เขาไม่ตอบคำถาม แต่ย้ำคำเดิม ทำให้ผมรู้สึกว่าใจเริ่มไม่สงบยังไงชอบกล ร้อนรนอยู่ในอกหน่อยๆ เพราะไม่เข้าใจการกระทำและเหตุผลของเขา อีกทั้งเขายังไม่ยอมทำให้ผมสบายใจด้วยการตอบคำถามเสียอีก

เก่งกาจในการทำให้ฉันสับสนและร้อนรนได้เสมอ

“ทำไมนายไม่นั่งแท็กซี่กลับแมนชั่นของนายซะล่ะ”

ถึงจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ผมก็พยายามบอกตัวเองไม่ให้หลงกลคนที่มักล่อลวงให้ผมต้องตกหลุมพรางและรู้สึกปั่นป่วนกับกระบวนความคิดของเขาเสมอ ทว่าไนล์ก็ยังตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเดิม

[ถ้ากลับได้ ฉันคงไม่โทรหานาย จะรอนะ]

เป็นการตัดบทสนทนาที่ไม่ไว้หน้าและคิดถึงอีกฝ่ายมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ไนล์วางโทรศัพท์ไปแล้ว และเมื่อผมโทรกลับ เขายังไม่ยอมรับสายอีกต่างหาก เหมือนรู้ว่าถ้ารับสาย ผมจะพูดเรื่องอะไร ผมต้องหลับตาแน่นๆ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และทำใจกับตัวเองว่าผมกำลังจะวุ่นวายใจเพราะผู้ชายคนนี้อีกครั้ง

ผ่อนลมหายใจออกมาจนสุดแล้วผมก็ออกรถไปยังเส้นทางที่รู้จุดหมายอย่างกว้างๆ ไนล์ไม่ได้ระบุว่าอยู่แถวไหนแล้วผมจะหาเขาเจอไหม เป็นคำถามที่ดังวนเวียนอยู่ในหัวของผมหลายครั้งขณะที่ผมขับรถเลียบทางพลางมองไปเรื่อยๆ ได้แต่หวังว่าจะเจอเขาโดยเร็ว เพราะแถวนี้ตอนกลางคืนมันไม่ใช่ที่ที่จะมีใครมานั่งสูดอากาศเอาเสียเลย

แสงไฟจากเสาที่ตั้งห่างๆ กันหนำซ้ำยังไม่สว่างนักทำให้ถนนทั้งเส้นค่อนข้างสลัว ผมกวาดตามองให้ทั่วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะเกรงว่าจะตกหล่นแถวไหนไป ในใจรู้สึกกระวนกระวายที่หาเท่าไรก็ไม่เจอคนที่บอกให้ผมมาหา มือข้างหนึ่งพยายามกดโทรศัพท์เพื่อโทรกลับไปยังเบอร์เดิมซ้ำๆ หลายครั้งและรอการรับสาย แต่ก็ยังเหมือนเดิมที่ผมได้ยินแต่เสียงสัญญาณ

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์วะ”

ผมสบถออกมา นึกอยากจะขว้างโทรศัพท์ของตัวเองทิ้งเพราะดูเหมือนมันจะไม่มีประโยชน์สักนิดในเวลานี้ ทว่าก่อนที่ผมจะร้อนรนจนเป็นบ้าเพราะคนที่ชอบทำให้ผมวุ่นวายใจ ผมก็เห็นกรอบเงาของคนคนหนึ่งที่ผมภาวนาขอให้เป็นคนที่ผมกำลังตามหา

ทิกเกอร์เคลื่อนเข้าไปใกล้กับเงาของคนนั้นมากขึ้น ก่อนจะหยุดลงข้างทาง ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นไนล์ไม่ผิดแน่ เขานั่งอยู่กับขอบทางทั้งที่บริเวณนี้ค่อนข้างมืด หนำซ้ำยังเปลี่ยวอีกต่างหากในช่วงเวลาที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า

เสียงของทิกเกอร์ร้องเบาๆ เพราะผมกดลงไปบนปุ่มที่พวงมาลัยของรถ เพื่อเรียกให้คนที่นั่งเอ้อระเหยประหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม ทั้งที่ความจริงแล้วมันตรงข้ามกันทุกอย่าง ทั้งน่ากลัวและอันตราย แต่เจ้าของร่างนั้นกลับไม่ประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด

ไนล์เงยหน้ามามองทางผมนิดหน่อย แต่สายตาของเขาไม่ได้พุ่งตรงเข้ามาในรถ กลับมองผ่านเลยเหมือนไม่สนใจ หรือไม่เห็นทิกเกอร์ด้วยซ้ำ ทั้งที่ผมแน่ใจว่ารถของผมค่อนข้างเด่นแม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแบบนี้ ผมจึงต้องลงจากรถและเดินตรงไปยังคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ลุกขึ้นมา

“มานั่งทำอะไรแถวนี้ ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตรายแค่ไหน”

อดไม่ได้ที่จะโพล่งเสียงออกมาแบบนั้นทันทีที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย แต่สายตาที่ได้รับก็ไม่ต่างจากเดิม เลื่อนลอยเหมือนมองผ่านผมไปทั้งที่ตัวของเขาเองต่างหากที่เป็นเหมือนกับอากาศบางเบา จนผมต้องผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ อีกครั้ง

“ทำไมไม่เรียกแท็กซี่ มาทำอะไรแถวนี้ดึกดื่น แล้วถ้าฉันไม่มา จะว่ายังไง”

“นายมา”

ผมพูดเผื่อเอาไว้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงผมก็คงต้องมา เพราะผมคงปล่อยคนที่โทรหาผมในเวลาแบบนี้ไว้โดยที่ไม่ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งดูเหมือนไนล์จะรู้จักนิสัยของผมดี เขาถึงสวนเสียกลับมาด้วยความมั่นอกมั่นใจ หนำซ้ำยังจ้องตาผมราวกับเป็นการยืนยันเสียอีกว่าเขาเชื่อว่ายังไงผมก็ต้องมา

โอเคครับ เขาถูก เขาอ่านผมออก แต่ผมอ่านเขาไม่ออก

“ฉันมาแล้ว ทีนี้ก็กลับได้แล้วใช่ไหม”

ไม่รู้ว่าควรจะซักไซ้ให้ได้อะไรขึ้นมาอีก ในเมื่อเขาไม่บอกเหตุผลกับผม ผมจึงตัดบท ก่อนจะดึงมือของเขาให้ร่างซีดจางนั่นลุกขึ้นมาและไปขึ้นรถของผม ซึ่งไนล์ก็ยอมลุกและเดินตามผมมาแต่โดยดี คล้ายกับว่ากำลังรอเวลานี้อยู่ แม้ผมจะไม่รู้ว่าเขารอมานานแค่ไหน แต่ก็คงมากกว่าเวลาที่ผมใช้ในการตามหาเขาอย่างแน่นอน

ผมเป็นคนใจอ่อน ชอบช่วยเหลือคน และไม่สามารถทนเห็น.ใครกำลังเดือดร้อนได้

มันทำให้ผมทิ้งไนล์เอาไว้ไม่ได้

บอกกับตัวเองแบบนั้นแล้วผมก็ปล่อยมือของไนล์ออกเมื่อเขามาหยุดที่หน้าประตูของทิกเกอร์ ผมเปิดประตูให้เขาเข้าไป ก่อนจะปิดประตูลง ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าเวลานี้เขาต้องการการดูแล

หรือผมอาจจะคิดไปเอง?

ไม่รู้ว่าคำตอบเป็นแบบไหนกันแน่ แต่ผมก็เลือกที่จะสะบัดความคิดนั้นทิ้งไป และกลับมาสนใจกับเส้นทางที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เวลาเดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับทิกเกอร์ที่มุ่งตรงไปยังแมนชั่นที่ผมเคยไปส่งคนที่นั่งอยู่ด้านข้างถึงสองครั้ง ล่วงเข้าตีสามกว่าแล้ว แต่ผมเพิ่งมาจะมาถึงจุดหมาย

ทิกเกอร์หยุดลงที่หน้าแมนชั่นของไนล์ ตำแหน่งเดียวกับที่ผมเคยใช้รถอีกคันมาจอดเอาไว้ แต่วันนี้คนที่กลายเป็นตุ๊กตาหน้ารถอย่างไม่ตั้งใจกลับไม่หลับเหมือนอย่างทุกที ไนล์นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนเคยจนผมต้องเรียก

“ถึงแล้ว”

ดวงตาเรียวกะพริบเบาๆ ราวกับกลัวว่าจะเสียพลังงาน ก่อนเรียวหน้ารูปไข่ที่ดูสวยมากกว่าหล่อจะเบือนมาทางผม ไนล์มองหน้าผมเหมือนกับมีอะไรบางอย่างอยากจะพูด ผมจึงมองเขากลับไปเพื่อรอคอยประโยคที่จะหลุดออกมาจากกระจับปากสีพีช

แต่ไม่เป็นอย่างที่ผมคิด ไนล์ไม่ได้พูดอะไร แต่เขาโน้มตัวเข้ามาหาผม ใกล้... หน้าของเขาเข้ามาใกล้ผมมากจนแทบจะชิด ผมจึงต้องเอนตัวหลบไปทางประตูฝั่งตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นหน้าของผมคงชนกับเขาแน่ๆ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าในอกของผมเหมือนมีอะไรเต้นตุบๆ อยู่ข้างใน ทว่าแม้จะพยายามหลบแล้ว แต่แววตาที่สะท้อนภาพผมอยู่ก็ทำให้ผมต้องนิ่งค้างไป

เขาจ้องเข้ามาในตาของผมทั้งที่ปกติจะมองแบบผ่านๆ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้มีแววของความรู้สึกใดๆ เป็นพิเศษนอกจากแค่จ้องเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมเริ่มทำอะไรไม่ถูก ไนล์มองผมอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออกไป

ประตูของรถถูกเปิดออกพร้อมกับร่างนั้นที่ก้าวลงจากรถ ทำให้ผมรู้สึกตัวอีกครั้งก่อนจะร้อง ‘เฮ้ย’ ออกมาในใจ เพราะเสียงคำรามของทิกเกอร์เงียบหายไป และพอก้มลงไปดูรูกุญแจก็พบว่าสิ่งที่ควรอยู่ตรงนั้นไม่ได้อยู่แล้ว ครั้นมองออกไปทางไนล์ ก็เห็นว่าร่างขาวซีดมาหยุดอยู่ด้านหน้ารถ และที่สำคัญในมือเรียวยังมีกุญแจรถที่ตั้งใจโชว์ให้ผมดูเสียอีก

“ไนล์! เอากุญแจรถคืนมา”

ผมพรวดพราดออกจากรถทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตกหลุมพรางของคนที่เล่นด้วยยากที่สุดอีกครั้งแล้ว แต่ไนล์กลับทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงของผม เขาเดินตรงไปที่ประตูรั้วของแมนชั่นจนผมต้องรีบไปคว้าแขนเอาไว้ แต่ใช่ว่าทำแบบนั้นแล้วเขาจะคืนกุญแจของทิกเกอร์ให้ผมแต่โดยดี ไนล์กำมันเอาไว้แน่น

“เอาคืนมา”

เสียงของผมเข้มขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับว่าจะข่มขู่คนตัวบางกว่า ทว่ามันก็ไม่ได้ผล ไนล์ไม่สะดุ้งสะเทือนกับเสียงของผมแม้แต่น้อย เขาเชยหน้าขึ้นมองผมเหมือนจะท้าทายทั้งที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป เสียงเนิบเล็ดลอดมาจากปากเรียวช้าๆ

“จะคืนให้ ถ้ายอมขึ้นไปข้างบน”

“ทำไมฉันจะต้องขึ้นไป”

“ตามใจ”

เขาตอบแค่นั้นก่อนจะฝืนแรงของผมและหย่อนกุญแจรถเข้ากระเป๋ากางเกงอย่างไม่ยากเย็นเท่าไร ทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก ทำหน้าไม่ถูก ไนล์จึงฉวยโอกาสนั้นบิดแขนเพื่อให้หลุดจากการจับของผม และก้าวเดินไปทางฝั่งที่เป็นประตูของแมนชั่น

“โอเค ก็ได้ๆ”

สุดท้ายผมก็ต้องยอมทำในสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการ เพราะหากผมไม่ยอมทำแบบนั้น คงยากที่ผมจะได้กุญแจรถคืน คนที่รู้ดีที่สุดว่าการรับมือผู้ชายคนนี้มันยากแค่ไหนคงมีแค่ผม

ผมผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย อยากจะแสดงให้เขารู้บ้างว่ากำลังทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยใจมากแค่ไหน ทว่าไนล์กลับไม่สนใจสักนิด เขายื่นกุญแจรถคืนผมมา

“เอามาจอดข้างใน”

“ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“ไม่กลัวหาย?”

คำถามนี้ทำให้ความคิดของผมหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง พลางมองหน้าคนที่อยู่ตรงหน้า ว่าเขาแฝงความคิดหรือแผนการอะไรเอาไว้ภายใต้สิ่งที่พูดหรือเปล่า ทว่าผมก็มองไม่ออกอยู่ดี ทางเดียวที่เลือกได้คือทำตามที่อีกฝ่ายว่า เพราะผมก็ไม่อยากเสี่ยงเอาทิกเกอร์มาจอดข้างนอกเหมือนกัน

ทั้งที่ขึ้นรถแล้ว ผมจะขับรถชิ่งกลับคอนโดไปเลยก็ได้ ในเมื่อได้กุญแจกลับคืนมาแล้ว ทว่าผมกลับไม่ทำแบบนั้น และไนล์ก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวว่าผมจะทำแบบนั้นแม้แต่น้อย เขาเลื่อนประตูรั้วของแมนชั่นให้ผมขับรถเข้าไปจอดในบริเวณที่สามารถจอดได้ พลอยให้ผมอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้

ทำไมถึงเชื่อใจว่าผมจะทำตามที่พูด

ทว่าแม้จะสงสัย แต่ผมก็ไม่ได้ถามกับเจ้าตัว ผมลงจากรถและล็อกให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินตามเจ้าถิ่นที่ขึ้นบันไดนำผมไปยังชั้นสี่ที่ผมคุ้นๆ ว่าเขาเคยบอกเลขห้องกับผม กระทั่งมาหยุดที่หน้าห้อง 310 ซึ่งอยู่ริมในสุดของทางเดิน

กุญแจห้องถูกหยิบออกมาไขประตู ก่อนบานไม้ที่ดูสภาพกลางเก่ากลางใหม่จะเปิดออก ตามด้วยแสงจากหลอดไฟบนเพดานสว่างขึ้นเพราะมือเรียวที่ยื่นไปกดสวิตช์ เผยให้ผมได้เห็นภายในห้อง ซึ่งมันก็ทำให้คิ้วของผมต้องมุ่นเข้าหากันอย่างอดไม่ได้

บอกทีว่านี่ห้องของคนที่เรียนวิศวะฯ ไม่ใช่จิตรกรรม?







อ่านต่อข้างล่าง


v


v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2013 23:47:04 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน


v


v





ห้องของไนล์เป็นแค่ห้องเช่าเล็กๆ ภายในห้องเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวาดรูป ทั้งขาตั้ง เฟรมภาพ กระดานวาดรูป สีชนิดต่างๆ ทั้งสีน้ำ สีปลาสเตอร์ หรือแม้แต่สีน้ำมัน จานสี พู่กัน วางกองเรียงรายจนกินพื้นที่ในห้องไปครึ่งหนึ่ง

อื่นๆ นอกเหนือจากนั้นมีเพียงเตียงนอนสามฟุตครึ่ง ตู้เสื้อผ้า และพัดลมเพดาน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของที่มีให้ผู้เช่าอยู่แล้ว ที่เพิ่มมาคงมีแค่โต๊ะญี่ปุ่นเตี้ยๆ หนึ่งตัวที่น่าจะไว้ใช้อ่านหนังสือหรือทำรายงาน  หนังสือเรียนถูกกองรวมๆ กันไว้บนพื้น ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกใดๆ

ที่สำคัญ... ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นสีและกลิ่นบุหรี่

ผมไม่คิดว่าไนล์จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้

“เตียงนั่งได้”

เจ้าของห้องบอกผมอย่างนั้นก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับเตียงที่มีเก้าอี้ตัวหนึ่งตั้งอยู่ และให้ผมเดา มุมนั้นน่าจะเป็นมุมหนึ่งที่ไนล์ใช้ในการวาดรูปล่ะมั้ง กับอีกหนึ่งที่ก็คือระเบียงของห้องซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำ มือเรียวผลักประตูออกรับลมยามดึกเพื่อให้อากาศภายในห้องถ่ายเทได้สะดวกยิ่งขึ้น กลิ่นที่ตลบอบอวลอยู่จึงจางลงไปบ้าง

ผมหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงตามคำอนุญาต สายตายังไล่ตามร่างผอมบางไปด้วยความอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรกันแน่ และเขาเรียกผมมาที่ห้องเพื่ออะไร ทว่ากลับไม่ได้คำตอบใดๆ นอกจากไนล์ที่คว้าผ้าเช็ดตัวซึ่งพาดอยู่บนราวตากผ้านอกระเบียงมาแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

เขาทำให้ผมเหวอและไม่เข้าใจอีกครั้ง ไนล์เข้าห้องน้ำไปโดยไม่บอกอะไรกับผมสักคำ สิ่งที่ตอบกลับผมมามีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวที่ดังกระทบพื้นให้ได้ยิน ผมจึงต้องตัดใจที่จะอยากรู้อะไรในเวลานี้และเดินสำรวจห้องของไนล์แทน

ดูจากภาพวาดสองสามภาพที่วางอยู่ในห้องแล้วผมคิดว่าเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการวาดรูปอยู่ไม่น้อย ถ้าไปเอาดีทางนี้น่าจะรุ่ง ทั้งที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนเขาเรียนที่คณะเขาทำมันได้ดีแค่ไหน ถึงกระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเลือกเรียนวิศวะฯ แทนที่จะเป็นคณะที่เกี่ยวกับพวกศิลป์ๆ

อาจจะเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครรู้?

คิดกับตัวเองแบบนั้นแล้วผมก็ต้องหันไปตามเสียงประตูที่เปิดออก ไนล์อาบน้ำเสร็จแล้วซึ่งมันค่อนข้างเร็ว แต่คงไม่แปลกสำหรับผู้ชายที่ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรมากเหมือนผู้หญิง ไนล์นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาทั้งที่ตัวเปียกอยู่หน่อยๆ เหมือนแค่เช็ดตัวแบบลวกๆ

ผิวใต้ร่มผ้าของเขาไม่ต่างจากที่เห็นภายนอกเท่าไร ยืนยันได้ว่ามันขาวจนไม่สามารถซีดไปมากกว่านี้ได้แล้ว แต่ที่ต่างไปคือรูปร่างของเขา มันผอมบางกว่าที่ผมคิดไว้ ไม่เหมือนกับไฮยีนที่ขาวเพราะไม่ค่อยได้ออกมาตากแดด และถึงจะผอม แต่เพื่อนของผมก็ผอมแบบมีกล้ามเนื้อ ไม่ใช่เหมือนคนป่วยแบบนี้

ผมรู้สึกใจหายนิดหน่อยที่ได้เห็นว่าไนล์ดูเหมือนคนที่พร้อมจะบุบสลายและหายไปได้ทุกเมื่อมากแค่ไหน

“รีบใส่เสื้อซะสิ เดี๋ยวก็ไม่สบาย”

อดไมได้ที่จะพูดออกมาเมื่อรู้สึกตัวว่ามองอีกฝ่ายนานเกินไป ซึ่งไนล์ก็มองผมกลับมาเช่นกันเหมือนกับรู้ตัวว่าผมมองเขาอยู่ เขาจึงหยิบเสื้อในตู้เสื้อผ้ามาใส่ เป็นเสื้อกล้ามสีขาวที่ตัวใหญ่กว่าเขาสักสองไซส์กับบ็อกเซอร์ที่สั้นแค่ครึ่งต้นขา พลอยให้สิ่งที่คลุมอยู่บนตัวของไนล์ไม่ได้ช่วยปิดบังร่างกายของเขาสักเท่าไร เพราะแค่ขยับแขนนิดๆ หน่อยๆ แขนเสื้อและคอเสื้อที่เหมือนถูกคว้านกว้างเป็นพิเศษ ทั้งที่จริงแล้วมันแค่ใหญ่เกินขนาดตัว ก็ทำให้ผมเห็นผิวขาวๆ ของเขาอย่างชัดเจน แม้กระทั่งอกแบนๆ ที่จุดเด่นสุดเป็นสีน้ำตาลอ่อนนั้นก็ไม่ถูกปิดบัง

ทั้งที่ผมไม่ควรรู้สึกอะไร และไม่ควรจะสะดุดตากับตรงนั้น แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าผมเหมือนโรคจิตที่เผลอไปเห็นจุดที่ไม่ควรมอง

“พรุ่งนี้...”

เสียงของคนที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ดังขึ้นเหมือนจะเรียกให้ผมหันเหความสนใจไปที่หน้าของเขาแทน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเดินไปนั่งที่เตียงตั้งแต่เมื่อไร เขามองหน้าผมนิดหน่อยแล้วพูดต่อเมื่อเห็นว่าผมกำลังรอฟังว่าเขาจะพูดอะไร

“มีเรียนสายใช่ไหม”

“ใช่” ตอบไปแล้วผมกลับเพิ่งมาเอะใจ ขยับเท้าพาร่างไปนั่งที่เตียงอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม “นายรู้ได้ยังไง”

“...”

เหมือนเดิมที่ผมไม่เคยได้รู้ในสิ่งที่ผมอยากรู้ เขาเงียบ ไม่ตอบ ก่อนจะเอนตัวลงบนเตียงราวกับว่ากำลังจะนอน พลอยให้ผมต้องงงว่าสรุปแล้วเขาเรียกผมมาบนห้องทำไม ซึ่งคนที่เก่งในการอ่านความคิดของผมก็คงรู้อีกตามเคย ถึงได้เปล่งเสียงออกมาเฉลยให้ผมรู้

“นอนที่นี่”

“นอนที่นี่?”

ผมเลิกคิ้วมองหน้าไนล์ที่นอนมองผมโดยที่ในสายตาของเขาไม่บอกอะไรผมสักอย่างนอกจากความว่างเปล่าอีกเช่นเคย ผมยอมรับเลยว่าเขาเป็นคนที่เก่งในการเก็บความรู้สึกมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ เขาเหมือนมีปริศนาอยู่มากมาย ดูลึกลับจนผมรู้สึกว่าอันตรายทุกครั้งที่เข้าใกล้ แม้แต่ตอนนี้ที่ผมเริ่มจะไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ

ความว่างเปล่านั้นเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่

“อืม”

“ไม่จำเป็น ฉันขับรถกลับได้”

สารภาพได้เลยว่าผมเริ่มกลัวที่จะเข้าใกล้ไนล์มากไปกว่านี้ มันเหมือนผมถูกดึงดูดให้เข้าใกล้เขามากขึ้นทุกที เหมือนมีแม่เหล็กใหญ่ๆ กำลังดึงให้ผมเกี่ยวข้องกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงเพราะการกระทำและคำพูดไม่กี่อย่างของเขา แล้วมันก็คือความจงใจของไนล์ที่จะให้มันเป็นแบบนั้น

“เกือบตีสี่ นอนไม่ดีกว่าเหรอ”

มือที่ปกติก็เย็นอยู่แล้ว แต่หลังอาบน้ำเสร็จก็ยิ่งเย็นจับที่แขนของผมเพื่อดูนาฬิกาที่ข้อมือ เป็นหลักฐานว่าเขาไม่ได้โกหก ซึ่งผมก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ จึงต้องรีบฉุดตัวขึ้นจากเตียงโดยเร็วพลางปฏิเสธ

“ขับรถแค่ยี่สิบนาที...”

แต่ไม่ทันได้ลุกขึ้นอย่างที่หวังและพูดได้จบประโยค ผมก็ต้องตัวเซจนหล่นลงไปนั่งบนที่นอน และที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะแขนทั้งสองข้างของคนด้านหลังคว้าเอวของผมเอาไว้ ไนล์กอดเอวผมจากทางด้านหลัง หน้าของเขาซบอยู่บนหลังของผมทำให้ผมวูบชาไปทั้งตัว

“ค้างไม่ได้หรือไง”

น้ำเสียงที่ใช้ยังเป็นโทนเดียวและเรียบสนิท ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนตัดพ้อ ก้อนเนื้อในอกของผมเริ่มไหวแปลกๆ ผมไม่กล้าขยับตัว ได้แต่ปล่อยให้ไนล์กอดผมอยู่แบบนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และเลื่อนมือลงแกะแขนที่โอบอยู่ตรงหน้าท้องของผมออกช้าๆ

ผมหันตัวกลับไปทางด้านหลัง มองคนที่ยอมคลายมือจากเอวของผมแบบไม่ขัดขืน ตาคู่เรียวสีดำสนิทมองผมราวกับกำลังอ้อนวอนทั้งที่ประกายของมันไม่ต่างจากเดิม อาจจะเป็นผมเองที่คิดเองไป แต่ผมกลับสลัดความรู้สึกแบบนั้นทิ้งไปไม่ได้

ปากของผมอ้าค้างไว้นิดๆ พลางกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจลงไป เพราะไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งของผมจะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะใจอ่อน

“ก็ได้ คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่”









==============
ขอบคุณคนอ่านที่ชอบไนล์นะคะ แต่งไปก็งงบ้างเหมือนกัน ว่าสรุปไนล์นี่จะทำอะไร
แต่กราฟก็หัวปั่นไปหมดแล้วจริงๆ

ตอนนี้ไนล์เหมือนอ้อนนิดๆ กราฟเลยยิ่งใจอ่อน ทั้งที่ปกติก็จิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว
แต่เจอคนที่เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร ชอบทำตัวลอยๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไรด้วยมาทำแบบนี้ ไม่ใจอ่อนก็ไม่รู้จะว่ายังไงนะ


Undel2Sky




ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
ไนล์ อ้อนเยอะๆลูก ปริศนามาอีกเพียบ :serius2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด