นพรัตน์เลือกเก็บงำอนาคตที่ตัวเองเลือกไว้กับตัว ก่อนจะตักข้าวเข้าปากพลางหันไปทางบิดาก็พบสายตาลุ่มลึกมองอยู่ก่อนแล้ว เจ้าตัวเลือกจะยิ้มแทนคำตอบทั้งหมดที่มีอยู่ในใจ และบิดาก็ไม่แสดงท่าทีจะซักไซ้ไล่เรียงจนกระทั่งใบตอบรับการรับเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกาส่งตรงมาถึงหน้าบ้าน
คุณอดิศัยมองบุตรชายคนเล็กซึ่งกำลังนั่งคุยโม้กับพี่ชายเรื่องที่ได้ไปเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการระหว่างประเทศ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเปล่งประกายวิบวับสะท้อนถึงความตั้งใจ อาการแบบนี้นั่นหมายถึงบุตรชายของตนมีเป้าหมายบางอย่างอยู่ในใจ และกำลังจะเดินไปให้ถึงจุดหมายนั้น แต่อะไรล่ะคือจุดหมายที่บุตรชายคนเล็กของตนคนนี้จะไปถึง ในเมื่อที่ผ่านมาก็กล่อมกันแทบเป็นแทบตายก็ไม่ยอมจะเหลียวแลการทำงานด้านการทูต ถึงได้ไปแวะตรงนั้นตรงนี้ทำอะไรตามใจไปเรื่อยจนได้เรื่องต้องระเห็จไปท่องเที่ยวหลบข่าวคาวจนเกือบไม่ได้กลับประเทศตัวเอง
“คุณพ่อดีใจล่ะสิ เห็นเงียบๆแบบนี้แต่ก็ลุ้นให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้เจริญรอยตามตัวเองอยู่ทุกวัน จริงไหมพ่อ?” พี่ชายกระเซ้าบิดา
“อืม ก็ดีใจถ้าเป็นทางที่ลูกเลือกแล้วพ่อก็สนับสนุนทั้งนั้น”
คุณอดิศัยยิ้มหากแวบหนึ่งกลับรู้สึกโหวงเหวงในอกเมื่อได้เห็นอากัปกิริยามุ่งมั่นแปลกต่างไปจากเคยของบุตรคนเล็ก คล้ายเห็นปีกที่เคยอ่อนแอบัดนี้เริ่มสยายกระพือพร้อมจะโผไปสู่โลกกว้าง
โลกที่คนเป็นพ่ออย่างเขาอาจไม่สามารถตามไปปกป้องคุ้มครองลูกชายคนนี้ได้อีก
ข่าวการอำลาวงการของไฮโซหนุ่มรูปหล่อสุดฮอตดังไกลไปถึงปัญจคีรี ภายในห้องบรรทม แสงสว่างจากโทรทัศน์รับสัญญาณผ่านดาวเทียมกำลังฉายภาพข่าวการสัมภาษณ์ดีเจหนุ่มรูปงามกำลังตอบคำถามนักข่าวอย่างฉะฉาน โดยมีพิธีกรชายหญิงสองคนบรรยายเป็นภาคภาษาอังกฤษให้ผู้รับชมรับฟัง
“ทำไมถึงอำลาวงการบันเทิงไปตอนที่กำลังจะดังแบบนี้ล่ะคะ ไม่เสียดายโอกาสนี้หรือค่ะคุณต่าย?” เสียงนักข่าวสาวถามขณะจ่อไมโครโฟนจนแทบติดปาก
“ไม่ได้อำลาวงการอะไรแบบนั้นหรอกครับ” กระต่ายยิ้มให้กับกล้อง “คือตอนนี้ผมอยากกลับไปเรียนต่อในเรื่องที่สนใจจนจบน่ะครับ ทิ้งมานานเดี๋ยวสนิมจับ อย่าเรียกว่าอำลงอำลาอะไรเลยครับ ถ้าจังหวะและเวลาตรงกันผมก็ยังรับงานอยู่ครับ”
“ได้ยินว่าคุณต่ายจะไปเรียนต่อสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แบบนี้จบเป็นด็อกเตอร์กลับมาแล้วจะมาทำงานในกระทรวงการต่างประเทศรึเปล่าค่ะ? เพราะทั้งคุณพ่อและพี่ชายก็ทำงานด้านนี้กันหมด”
“ครับ” แต่ไม่ใช่กระทรวงการต่างประเทศของไทยนะครับ กระต่ายตอบต่อในใจพลางยิ้มให้กล้อง “ก็ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ หวังว่าผมเรียนจบกลับมาแล้วท่านจะให้โอกาสผมได้ทำงานตรงนี้” แววตาที่มองตรงไปยังกล้องเหมือนจะฝากส่งไปถึงคนไกล หากนักข่าวสาวกลับหัวเราะกิ๊กกั๊ก
“คุณต่ายมีคุณพ่อเป็นถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะไม่ได้ได้ยังไงล่ะค่ะ”
“โธ่... ผมก็ต้องทำตามขั้นตอนเหมือนคนอื่นๆล่ะครับ” ที่ประเทศไทยน่ะนะ แต่ที่ๆผมจะไปคงต้องใช้เส้นใหญ่แบบพิเศษจริงๆน่ะครับถึงจะไปได้
“แล้วน้องเฟย์ไม่คิดถึงแย่หรือค่ะ ห่างกันนานๆแบบนี้” นักข่าวสาวถามไปถึงดาราสาวรุ่นน้องหน้าใหม่ที่กำลังมีข่าวกุ๊กกิ๊กอยู่ในขณะนี้
“อ๋อ ไม่หรอกครับ เดี๋ยวนี้มีทั้งโทรศัพท์ทั้งอินเตอร์เน็ต อยู่ที่ไหนก็ติดต่อกันได้ถ้ามีใจคิดถึงกัน” คนพูดคล้ายแดกดันไปถึงใครบางคน ที่เอาแต่เงียบไม่ยอมให้ติดต่อได้เลย หากทำเอานักข่าวสาวแทบจะกรี๊ด
“นี่แสดงว่าคุณต่ายเปิดตัวว่าคบกับน้องเฟย์แล้วใช่ไหมค่ะ?”
“ไม่ใช่ครับ ผมคุยกันเป็นห่วงกันแบบพี่แบบน้อง ไม่อยากให้มีข่าวแบบนี้ให้น้องเขาเสียหาย ผมเป็นผู้ชายไม่ค่อยเท่าไร แต่น้องเขาเป็นผู้หญิงจะลำบาก”
“แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะคะ คุณต่ายคิดยังไง”
“พี่หมายถึงใครครับ?” นพรัตน์ยิ้มใส่หน้านักข่าวสาวซึ่งกำลังถามซอกแซกเหลือกำลัง
“ก็มีข่าววงในว่ามีผู้ชายมาขายขนมจีบคุณต่ายอยู่บ่อยๆ คุณต่ายคิดยังไงคะ รังเกียจหรือเปล่า?”
“อ๋อ ไม่หรอกครับ ไม่ได้รังเกียจถ้าเขาเป็นคนดี”
“แสดงว่าคุณต่ายจะตอบรับความสัมพันธ์นี้!?” นักข่าวสาวแทบกรี๊ดสลบเหมือนได้ข่าวใหญ่ในมือ
“ไม่ได้ตอบรับครับพี่ ผมหมายถึงถ้าเขาเป็นคนดีก็คบเป็นเพื่อนกันได้ ส่วนเขาจะคิดยังไงก็แล้วแต่ ผมห้ามไม่ได้ แต่ผมก็มีทางของผมแล้วน่ะครับ”
นักข่าวสาวทำหน้าผิดหวังไปครู่หนึ่งก่อนยิงคำถามต่ออย่างเมามัน “แล้วถ้าไม่ใช่เขา ไม่ใช่น้องเฟย์ ตอนนี้คุณต่ายมีใครเป็นคนพิเศษอยู่ในใจรึเปล่าค่ะ?” นักข่าวสาวยังคงถามต่อแบบไม่ให้หายใจหายคอ
“คนพิเศษก็ต้องพิเศษอยู่ในใจสิครับ จะบอกได้ยังไง”
นพรัตน์ยิ้มจนตาหยีให้กล้องก่อนจะขอตัวหลบจากการให้สัมภาษณ์ลงไปหลังเวทีโชว์ตัวในห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง แต่เสียงถามไล่หลังก็ยังดังไม่จางจนภาพข่าวตัดกลับไปยังห้องส่งที่สถานี
ผู้ที่ประทับบนพระเก้าอี้ละดวงเนตรจากจอสี่เหลี่ยมก่อนถอนปัสสาสะยาว
จงใจฝากความถึงพระองค์ชัดๆ ร้ายนักนะกระต่ายตัวนี้นี่น่ะ
“เคอแสน”
ราชองครักษ์รีบขยับเข้ามาใกล้เพื่อรับฟังคำสั่งที่ทำเอาผู้ซึ่งรับใช้ใกล้ชิดมายาวนานถึงกับเบิกตากว้างอย่างเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ ก่อนจะน้อมรับคำบัญชาด้วยความสงบแล้วจึงถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
เจ้านรพยัคฆาภูบดินทร์ยกแหวนทองวงน้อยที่พระศอขึ้นมาพิศพลางคลึงเล่นอย่างเคยชิน และบรรเทาความทุรนทุรายในอกโหวง หากแต่ความทรมานนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์หัวใจสองดวง ถ้ายังไม่เปลี่ยนไป พระองค์จะขอเป็นผู้ไปรับดวงใจของพระองค์คืนสู่ปัญจคีรีอีกครั้ง
ก่อนวันเดินทางไปศึกษาต่อเพียงหนึ่งวัน นพรัตน์ก็ได้ต้อนรับแขกอันไม่คาดฝันที่บ้านของตนเอง
“คุณเคอแสน!” นพรัตน์อึ้งไปพักใหญ่เมื่อเห็นท่านมหาดเล็กคนสนิทของเจ้านรพยัคฆาภูบดินทร์นั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกในบ้านตัวเอง
ตอนแรกที่แม่บ้านเข้ามาบอกว่ามีแขกมาขอพบ ชื่อเคอแสน จะอนุญาตให้เข้ามาหรือไม่ เขาก็ตกใจจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งพอมาเห็นตัวจริงเป็นๆยิ่งแปลกใจ ดีใจ กังวลใจ ผสมกันไปหมด
“สวัสดีครับคุณนพรัตน์”
“หวัดดีลุง...เอ๊ย!คุณเคอแสน” ชายหนุ่มรีบเข้าไปนั่งใกล้ๆ ใจนึกอยากจับหูจับตัวอีกฝ่ายให้ชัดๆ “คุณเคอแสนมาหาผมหรือครับ...พระองค์ท่าน...เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”
สีหน้าเป็นกังวลทำให้เคอแสนรีบตอบ “พระองค์ท่านทรงสำราญดีครับ และยังมีพระดำรัสมาถึงคุณด้วยครับ”
“อืม...ท่านฝากว่าอะไรหรือ?” นพรัตน์พยักหน้าโล่งอกนิดๆ
“ดำรัสว่าให้คุณตั้งใจเรียนให้ดีๆ อย่าไปหลงเที่ยวเล่นจนลืมการเรียนครับ”
“แค่เนี๊ย!” นพรัตน์ตาโต
“ครับ แค่นี้”
คนอะไรนี่! ไม่เจอกันตั้งนานฝากมาแค่นี้นี่นะ ใจดำๆ
ว่าที่นักศึกษาปริญญาเอกทำหน้าย่นไม่พอใจ ก่อนเหล่ท่านมหาดเล็กคนสนิทอย่างหมั่นไส้ “ท่านของคุณเคอแสนให้บินข้ามน้ำข้ามเขามาเพื่อจะมาบอกผมแค่นี้หรือครับ ลำบากคนแก่จริงๆเลย” ท้ายประโยคนพรัตน์บ่นอุบอิบกับตัวเองแต่ก็อยากให้อีกฝ่ายได้ยินด้วยเหมือนกัน
“ยังมีอีกครับ” เคอแสนยิ้มเอ็นดูให้ร่างโปร่งทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ได้น่ามองเกินผู้ชายทั่วไป และความแสบสะท้านก็มากกว่าคนทั่วไปเช่นกัน
“อะไรครับ ท่านจะว่าอะไรผมอีก?”
“เปล่าครับ พระองค์ท่านมอบหมายหน้าที่ให้ผมติดตามดูแลคุณจนกว่าจะเรียนจบครับ”
“หือ?” นพรัตน์ร้องครางในคอยาว มองคนพูดด้วยไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “เพื่อ?”
“พระองค์ท่านเป็นห่วงคุณมากนะครับ แต่ท่านมีภารกิจมากเพียงใดคุณก็ทราบดี และท่านก็ไม่สามารถออกนอกประเทศไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจนักหรอกนะครับ โดยเฉพาะสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเช่นนี้”
ตัวมาไม่ได้เลยส่งลูกน้องมาแทนว่างั้นเถอะ คนรับฟังไม่ได้นึกน้อยอกน้อยใจแต่อย่างใด กลับรู้สึกตื้นตันจนแสบโพรงจมูกเสียด้วยซ้ำ
“คุณเคอแสน...ผมดูแลตัวเองได้ อยู่ต่างบ้านต่างเมืองจนเคยชินแล้วล่ะครับ” ขนาดเจอโจรผมยังรอดมาได้เลย กระต่ายนึกต่อท้ายในใจ “ฝากบอกท่านของคุณเคอแสนว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะรีบเรียนรีบจบไม่ไปเหลวไหลที่ไหนหรอกครับ คุณเคอแสนกลับไปทำหน้าที่ที่สำคัญยิ่งเถอะครับ เพราะคงไม่มีใครดูแลพระองค์ท่านได้ดีเท่าคุณสองคนแล้วล่ะ...ครับ”
รอยยิ้มของท่านราชองครักษ์ผู้มากด้วยประสบการณ์ทำให้นพรัตน์หยุดพูดขึ้นมาเสียดื้อๆ
“การดูแลหัวใจของพระองค์คือหน้าที่ที่สำคัญยิ่งเช่นกันครับ ถ้าหัวใจไม่สบายแล้วกายจะสบายไปได้อย่างไรล่ะครับ?”
นพรัตน์หน้าร้อนวูบ อยากจะถลึงตาใส่ผู้สูงวัยตรงหน้าแต่ก็จนด้วยคำพูด มือไม้ยกขึ้นเกาหัวเกาหางเหมือนหาที่วางไม่เจออยู่พักใหญ่ แล้วจึงพยักหน้าตอบตกลงอย่างว่าง่าย เคอแสนค่อยโล่งอกที่ปฏิบัติภารกิจลุล่วงไปอีกเปาะหนึ่ง จากนั้นทั้งสองจึงเหินฟ้าตรงดิ่งสู่ประเทศมหาอำนาจทางกองทัพและเศรษฐกิจ มหานครแห่งหนึ่งของโลกที่จะเป็นที่ร่ำเรียนศึกษาและที่อาศัยนับจากนี้ไปอีกสี่ถึงห้าปี
TBC
สุดท้ายนี้ฝากเเฟนเพจพี่สาเกด้วยนะจ้ะ
https://www.facebook.com/pages/Sakes-Novel/711433915538941?fref=ts