เอาเข้าจริงแล้ว ชีวินก็ไม่ได้บังคับให้องค์ชายสนธยาต้องสวมฉลองพระองค์สีขาวล้วนเข้าไปบูชาเทพเจ้าเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยปัดเป่าโรคภัย หากแต่เรื่องที่องค์ชายสนธยามีพระประสงค์จะเสด็จไปเตร่นอกรั้วนอกวัง ชีวินก็ไม่ได้ทำตามแต่ประการใด และดูเหมือนเจ้าตัวเองก็รู้ว่าเมื่อตนเองไม่ยอมทำตามประสงค์แล้ว ก็ไม่ควรมาอยู่ขวางเนตรขวางกรรณให้คนอยากประพาสต้องหงุดหงิดงุ่นง่าน ดังนั้นเมื่อถวายอารักขาจนกระทั่งพระอาทิตย์หลุบลงใต้พื้นดินแล้ว องครักษ์หนุ่มก็น้อมส่งองค์ชายสนธยาที่ห้องบรรทม แล้วจึงก้าวขาออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
คนอยากเที่ยวเลยได้แต่หันรีหันขวาง ด้วยเพราะเวลานี้มาอาศัยในอนันตราช นอกจากชีวินที่คอยดูแลแล้ว ก็ไม่มีบ่าวไพร่คนอื่นใกล้มือให้เรียกใช้อีก
“นี่ถ้าหอยมันฟังภาษาคนรู้เรื่อง เราจะสั่งให้มันพาเราออกจากวังจริงๆ!!” สนธยาได้แต่บ่นกับตนเองขณะเหลือบตาลงมองไปยังสวนหลังวังที่มีบ่อน้ำ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าก้นบ่อต้องมีหอยนอนพะงาบไม่รู้วันรู้คืน
แล้วพอคิดถึงหอยที่วันๆเอาแต่นอนอยู่ก้นบ่อ ก็ทำเอาองค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักสมุทราย้อนมองดูตนเองที่ไม่ได้ต่างจากหอยตัวนั้นเสียเท่าไหร่ เจ้าหอยตัวนั้นไปไหนนอกจากบ่อไม่ได้ ก็เหมือนพระองค์ที่เสด็จไปไหนนอกตำหนักไม่ได้เช่นกัน
องค์ชายหนุ่มได้แต่ถอนปัสสาสะแล้วเหลือบเนตรขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน พระจันทร์สีเหลืองนวลดวงโตสาดแสงไปทั่ว ลมเย็นพัดเป็นระลอกเข้ามาปะทะพักตร์สีน้ำผึ้งเพราะบานหน้าต่างที่เปิดออกกว้าง…กว้าง…เสียจนดวงหทัยของพระองค์แทบจะกระโจนออกไปแทนวรกายอยู่แล้ว
…ทนได้หรือ…ทนอึดอัดอยู่ในตำหนักนี้ต่อไปได้อีกหรือ…แสงสีนอกรั้ววังเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่เคยเห็น หนำซ้ำนี่ก็วันที่เจ็ดแล้วที่ไม่ได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนเลย…จะทนต่อไปได้อีกหรือ…คนอย่างองค์ชายสนธยาถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ที่ใดที่หนึ่งเกิน 3 วันได้อย่างไรกัน…
หัตถ์สีน้ำผึ้งค้ำลงบนบานหน้าต่าง ออกแรงเพียงนิดร่างก็เกือบจะยกขึ้นไปนั่งบนขอบหน้าต่างได้แล้ว ทว่า…
“ท่านสน เราขอคุยด้วยสักครู่ได้ไหม”
เสียงร้องจากหน้าประตูทำเอาคนกำลังยกร่างหวือขึ้นบนขอบหน้าต่างหมายจะปีนออกจากห้องถึงกับรั้งร่างตัวเองลงมายืนกับพื้นแทบไม่ทัน บานประตูห้องถูกผลักให้เปิดออก พอดีกับที่หัตถ์สีน้ำผึ้งรีบดึงบานหน้าต่างปิดทันควันราวกับกลัวว่าถ้าเปิดเอาไว้จะถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าเขาคิดจะหนีเที่ยว และเพราะรีบร้อนดึงหน้าต่างปิด บานพับจึงหนีบเข้าที่นิ้วเสียจนเจ้าของนิ้วยาวถึงกับร้องลั่น
“โอ๊ยๆๆๆ!!!”
“ท่านสน! เป็นอะไรไป!” คนแวะมาเยี่ยมเยียนยามค่ำไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากองค์ชายเตชินทร์เจ้าของตำหนัก และพอเห็นองค์ชายจากสมุทราร้องเสียงหลงเช่นนั้น เจ้าของตำหนักที่แสนใส่ใจอาคันตุกะก็รีบถลาเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“หน้าต่างหนีบ” สนธยาตอบ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจคำตอบของเขา เพราะเจ้าตัวคว้ามือสองข้างไปดูด้วยตาของตัวเอง
“แดงเชียว เจ็บมากไหม” หัตถ์หนาหยาบนั้นอบอุ่นพอๆกับน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนที่ถูกใช้ตั้งคำถาม สนธยานิ่งงันไปเล็กน้อยด้วยเพราะรู้สึกเก้อเขินที่มือของตัวเองถูกกอบกุมด้วยมือของอีกฝ่าย
“เอ้อ ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” สนธยาพยายามดึงมือตัวเองออกมา หากแต่พอออกแรงรั้งเพียงนิดเดียว มือของเตชินทร์ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ก่อนที่องค์ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของตำหนักจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เพราะถ้าท่านเป็นอะไรขึ้นมา เราคงทำใจไม่ได้” วาจาที่แสนอ่อนโยนนั้นแฝงความจริงจังเสียจนคนฟังถึงกับวาบไปทั้งหัวใจด้วยเพราะรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไรชอบกล
ทว่า…องค์ชายจากสมุทราก็ยังอาศัยความตลกเข้าแก้สถานการณ์ชวนหวิว
“แหม ท่านเตชช่างเป็นเจ้าบ้านที่น่านับถือเหลือเกิน รับผิดชอบแขกอย่างเราเสียขนาดนี้”
“เราไม่เคยรับผิดชอบแขกคนใด” คนฟังใจกระตุก ด้วยเพราะความหมายแฝงในประโยคนั้นราวกับจะบอกว่าเพราะเป็นแขกที่มีนามว่า ‘สนธยา’ เตชินทร์จึงรับผิดชอบถึงเพียงนี้! แล้วทำไมต้องเป็นสนธยาที่เตชินทร์รับผิดชอบเล่า?!!
…หรือว่า…หรือว่า…หรือว่าองค์ชายแห่งราชสำนักอนันตราชจะ…
“…เพราะที่ตำหนักอิฐไม่เคยมีแขกมาเยือน” เตชินทร์กล่าวต่อ ทำเอาคนกำลังคิดไกลที่เริ่มหน้าเสียเพราะหวั่นใจกับความนัยของประโยคเมื่อครู่ถึงกับชักสีหน้ากลับมาแทบไม่ทัน จากที่ตอนแรกนั้นตื่นตะลึงกับวาจาแฝงความหมายในเชิงเกี้ยวพาราสี มาบัดนี้ สนธยาเริ่มเคืองเพราะอีกฝ่ายกลับคำกันหน้าตาเฉย!
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” สนธยากล้าสาบานว่าไม่ได้เสียดายที่ตีความหมายของประโยคของอีกฝ่ายผิดพลาด แต่เพราะความเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่งของสมุทรา ที่มีสตรีงามล้อมหน้าล้อมหลังนับร้อย ก็ทำให้พอจะเชื่อมั่นว่า ‘มีดี’ พอจะทำให้คนรอบข้างพูดจาโอ้โลม แม้คนรอบข้างจะเป็นชายก็เถอะ
แต่…ชายที่ชื่อเตชินทร์ซึ่งขยันทำให้เสียวสันหลังบ่อยๆเพราะวาจาชวนให้คิดนี่…มันน่าสักทีเหลือเกิน!! พูดมาได้ว่าไม่เคยรับผิดชอบแขกคนใด แล้วยังมาเติมท้ายประโยคว่าเป็นเพราะไม่เคยมีใครมาเป็นแขก! โธ่เอ้ย!!! ทำเอาคิดเสียไกล!!!!
“เอ่อ…แล้ว…เมื่อครู่นี้เห็นว่ามีเรื่องจะคุย มีอะไรหรือ” เพราะรู้สึกเสียหน้าลึกๆ สนธยาเลยถามไถ่ไปเรื่องอื่น
“อ้อ เราเห็นว่าท่านหายป่วยแล้ว ก็เลย…จะมาชวนออกไปเที่ยวในเมืองด้วยกัน”
“เที่ยว?!” บุรุษร่างสูงโปร่งแห่งราชสำนักสมุทราหูผึ่งหันกลับมาสบตาคนชวนทันที
“ใช่ สนใจไหม”
“สนซี!!! แต่…จะออกไปได้หรือ คุณท้าวเอิบสั่งห้ามไม่ให้เราออกจากตำหนัก” สนธยาถามเผื่อแผ่ไปถึงคุณท้าวเอิบ
“เราขออนุญาตให้แล้ว”
“จริงหรือ?!!!”
“จริง ถ้าท่านสนยังไม่ง่วง และอยากออกไปเที่ยวกับเรา เราก็จะพาท่านไป”
“ท่านเป็นเจ้าของบ้านที่ยอดเยี่ยมมากๆ ท่านเตช ถ้าอย่างนั้นอีกครู่นึงเจอกันข้างล่าง ขอเราเปลี่ยนชุดเสียหน่อย ข้างนอกอากาศเย็นใช่ไหม เราจะได้เอาเสื้อคลุมติดไปด้วย”
“ให้เราเลือกให้ไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังมาจากเจ้าของตำหนัก ทำเอาสนธยานิ่งชะงัก หันขวับกลับไปมองแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายราวกับจะเป็นการถามย้ำว่าที่พูดเมื่อครู่นี้ตั้งใจจริงหรือเพียงแค่หยอกเล่น
“เราล้อเล่นหรอก” ไหมล่ะ!! จะไม่เชื่อคำพูดขององค์ชายบ้าหอยนี่อีกแล้ว!
“…ท่านสนเลือกเสื้อผ้าหนาๆหน่อยแล้วกัน ข้างนอกลมยังแรง ประเดี๋ยวไข้จะกลับ เราจะลงไปรอข้างล่าง” เตชินทร์เห็นอาการลอบพ่นลมหายใจอย่างนึกขุ่นในใจของอีกฝ่ายก็ได้แต่กลั้นยิ้ม แล้วใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยแนะนำ อันที่จริง จะลองยื่นมือเข้าไปช่วยเลือกเสื้อผ้าให้สนธยาก็ได้หรอก แต่คิดอีกที…แกล้งหยอกให้ใบหน้าสีน้ำผึ้งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าองค์ชายแห่งสมุทรานั้นช่างน่ารักน่าใคร่ยิ่งกว่าใคร
…แล้วพระองค์สัญญา…เมื่อวันหนึ่งที่เหมาะสมกับเวลา พระองค์จะไม่หยอกล้อให้องค์ชายสนธยานึกขุ่นนึกเคืองอีก แต่พระองค์…จะหยอกเอินให้องค์ชายสนธยาเก้อเขินเสียจนทำได้เพียงแต่ซุกพักตร์ลงกับอุระของพระองค์เท่านั้น…
………………………………..
คณะออกเที่ยวในเมืองยามค่ำคืนนั้น ไม่มีใครคนอื่นนอกเสียจากองค์ชายเตชินทร์ผู้สถาปนาตัวเป็นคนนำเที่ยว และนักท่องเที่ยวที่แสนมีเกียรติอย่างองค์ชายสนธยา
“แล้ว…เราจะไปกันสองคนเท่านั้นหรือ” สนธยาถาม เมื่อเห็นว่าพอก้าวพ้นประตูวังออกมาแล้ว ก็ยังมีเพียงตนและผู้เป็นเจ้าบ้านอย่างเตชินทร์เพียงสองคน ไม่มีอังกูร ไม่มีสมิต ส่วนชีวิน…สนธยาเลือกที่จะตัดหางปล่อยวัด เหตุเพราะอีกฝ่ายหมายจะให้พระองค์ไปบูชาเทพเจ้ามากกว่าจะออกมาเที่ยว!
“ใช่”
“ไม่มีท่านอังกูร หรือท่านสมิตก็ได้หรือ” ที่สมุทรานั้น แม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่ยามที่พระองค์ต้องเสด็จออกนอกวัง ไม่ว่าจะลับเพียงใด ก็ต้องมีองครักษ์ติดตามไปด้วยหนึ่งคนเสมอ แต่ที่นี่…ที่อนันตราชที่แสนยิ่งใหญ่ องค์ชายรัชทายาทที่แม้จะเป็นลำดับที่ 2 แต่ก็สามารถเสด็จออกนอกวังยามวิกาลได้โดยลำพังอย่างนั้นหรือ?!
“มีแค่เราสองคน หรือท่านสนไม่อยากไปกับเรา”
“เปล่า! เอ่อ…เราแค่แปลกใจ”
“อย่าแปลกใจเลย แล้วก็อย่าได้กังวล ที่อนันตราชปลอดภัย หรือต่อให้มีอันตรายเพียงใด เราก็ไม่มีทางปล่อยให้ใครทำอะไรท่าน” เตชินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเช่นทุกที แสงจันทร์ที่สาดส่องไปทั่วทุกหย่อมหญ้ากอปรกับแสงจากโคมหน้าประตูวังนั้น ทำให้เห็นรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าขาวของอีกฝ่าย และเพราะเห็นรอยยิ้มนั้น สนธยาจึงต้องเบือนสายตาหลบวูบ แม้เสี้ยวใจหนึ่งจะร้องถามว่าหลบทำไม?! อีกประเดี๋ยว เจ้าองค์ชายบ้าหอยนั่นก็จะพูดจาฉีกหน้าไปอีกเรื่อง แต่…แต่ก็ยังไม่กล้าจ้องตรงๆอยู่ดี!!
“ท่านสน หลบตาเราทำไม…มองหน้าเราหน่อยไม่ได้หรือ”
“เราเปล่าหลบ…เราแค่…เราแค่มองซ้ายมองขวา ชีวินสอนไว้ว่าต้องเป็นคนช่างสังเกต” ใบหน้าสีน้ำผึ้งหันไปทางซ้ายที ทางขวาที หากแต่ตรงหน้าที่เป็นองค์ชายร่างสูงใหญ่แห่งอนันตราช สนธยากลับไม่ยอมมองตรงเสียอย่างนั้น สุดท้าย มือใหญ่จึงต้องประคองใบหน้านั้นไม่ให้หันไปทางใดอีก
“เราบอกท่านแล้ว ว่าเราไม่มีทางปล่อยให้ใครทำอะไรท่าน เราจะปกป้องท่านด้วยมือของ…” ไม่เพียงแค่กระแสเสียงที่แสนอ่อนโยน แต่สายตาที่จับจ้องสบกับดวงตาของสนธยาก็ทำเอาคนถูกประคองหน้าชักจะร้อนผ่าว เสียจนไม่อาจปล่อยให้เตชินทร์กล่าวจนจบได้อีก
“เอ่อ! เราอยากเที่ยวแล้ว! อย่าเสียเวลายืนคุยกันตรงนี้เลย! รีบเที่ยวเถอะ!!” สนธยารีบร้องหน้าตื่น ด้วยกลัวใจว่าหากปล่อยให้เตชินทร์พูดจนจบ จะเป็นฝ่ายตนเองที่คิดไกลเสียจนกู่ไม่กลับ! แล้วพอกู่ไม่กลับขึ้นมาจริงๆ ทีนี้จะกลายเป็นเสียท่าให้องค์ชายแห่งราชสำนักอนันตราชหักหน้าน่ะสิ!
เตชินทร์มองท่าทางตื่นตระหนกของคนตรงหน้าแล้วได้แต่ยิ้มบาง สองมือที่ประคองใบหน้าเรียวสีน้ำผึ้งอยู่นั้นลูบผิวแก้มแผ่วเบาอย่างเอ็นดู ก่อนจะยอมปลดมือตนเองลงเพราะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเริ่มไหวระริกและตื่นตระหนก
“เชิญทางนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม แล้วจึงหมุนกายออกเดินนำ สนธยามองตามอย่างไม่วางใจ แต่อีกเสี้ยวของใจกลับขัดแย้งประหลาด แม้จะเพิ่งพบหน้ากันเพียงไม่กี่วัน แต่ความรู้สึกบางอย่างหยั่งรากลึกเสียจนไม่กล้าก้มลงมองเรื่องราวภายในหัวใจของตนเอง
…หัวใจ…ที่ไม่รู้ว่าบัดนี้เป็นอะไร จึงไว้ใจกับคนที่ไม่สมควรวางใจ…เตชินทร์เป็นองค์ชายจากราชสำนักอื่น พวกเขาไม่สมควรสนิทสนม ไม่ควรพบปะพูดคุยหยอกล้อ แม้สถานะ ‘คนเลี้ยงหอย’ จะค้ำคอให้สนธยาต้องอยู่ที่อนันตราชต่อไป แต่ก็ไม่จำเป็นที่เตชินทร์ต้องเข้ามาข้องแวะข้องเกี่ยว เยี่ยมไข้ หรือพาเที่ยว
‘…เพราะที่ตำหนักอิฐไม่เคยมีแขกมาเยือน’
หรือเพราะเตชินทร์ไม่เคยมีแขกมาเยี่ยมเยียน จึงทำตัวไม่ถูกว่าควรจะต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างไรให้อยู่ในความพอดี ถ้าเช่นนั้น ที่สนธยาไว้ใจกับคนไม่น่าวางใจอย่างเตชินทร์ก็คงเป็นเพราะไม่เคยไปเป็นแขกบ้านแขกเมืองของอาณาจักรใดกระมัง ทุกอย่างจึงได้อิหลักอิเหลื่อไปหมดแบบนี้
…เห็นที…เขาคงต้องเริ่มทำความคุ้นเคยกับการเป็น ‘แขก’ ให้มากกว่านี้ บางที อาจจะทำให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจคลายลงก็เป็นได้
………………………………
เมืองหลวงของอนันตราชนั้นสมกับเป็นเมืองที่ถูกกล่าวขานว่า ‘ควรจะมาสักครั้งในชีวิต’ จัตุรัสกลางเมืองพลุ่กพล่านไปด้วยผู้คนมากมาย ส่วนหนึ่งคือนักท่องเที่ยว อีกส่วนคือชาวเมือง และที่ขาดไม่ได้ คือเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่มาเปิดแผงขายของกันแน่นขนัดสองฝั่งของทางเดินเท้ากว้างขวางที่ถูกปูด้วยแผ่นหินไสจนเนื้อเรียบเป็นระนาบเดียวกัน
“ที่นี่คือจัตุรัสกลางเมือง ทุกๆเจ็ดวัน จะมีข้าวของมาขาย แต่ถ้าเป็นวันอื่น ที่นี่คือที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นที่พบปะพูดคุย” ผู้นำเที่ยวกิตติมศักดิ์นามว่าเตชินทร์เอ่ยปากแนะนำ
“ท่านเห็นบ่อน้ำพุที่กลางจัตุรัสนั่นไหม ตรงนั้นเป็นหนึ่งในสามตำนานรักของอนันตราชเชียวล่ะ”
“ตำนานรัก?”
คนเป็นเจ้าบ้านเจ้าเมืองพานำไปยังบ่อน้ำพุกลางจัตุรัส แม้ผู้คนจะพลุ่กพล่านไปเสียหน่อย แต่ก็เข้าไปใกล้บ่อน้ำได้อย่างไม่ยากไม่เย็น
บ่อน้ำพุขนาดใหญ่เป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กลางบ่อคือรูปปั้นสิงโตคู่ ตัวหนึ่งยืนองอาจ อีกตัวนั่งสงบเคียงข้าง เจ้าสิงโตตัวที่ยืนเป็นสง่ากำลังอ้าปากคล้ายจะคำราม สนธยาชะเง้อคอมองเข้าไปในปากสิงโต หากเป็นที่สมุทราซึ่งนิยมชมชอบการพนันขันต่อนั้น ชาวเมืองค่อนเกาะจะต้องมาต่อแถวเพื่อโยนอะไรสักอย่างไปที่ปากสิงโต โดยมีเดิมพันว่ามันจะเข้าหรือไม่ หากแต่ที่นี่…ที่อนันตราช…ในปากสิงโตว่างเปล่าไร้ของแสลง
“มองอะไรหรือ? ท่านสน” เมื่อเห็นว่าคนข้างกายกำลังสนอกสนใจสภาพภายในปากรูปปั้นสิงโตเสียจนไม่ได้สนใจจะรับฟังสิ่งใด
“เอ่อ…ก็…นึกว่าคนที่นี่จะชอบเสี่ยงดวงโยนอะไรเข้าปากสิงโตน่ะ” คนฟังถึงกับหัวเราะร่วน เตชินทร์ตั้งใจพาอีกฝ่ายมาที่จตุรัสกลางเมืองเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความรักอันเป็นตำนาน แต่ดูเหมือนสนธยาผู้มาจากเกาะแดนใต้จะสนใจเรื่องที่เห็นแล้วจับต้องได้มากกว่ามานั่งฟังเรื่องเก่าเรื่องแก่ที่ไม่รู้ว่าถูกใส่สีตีไข่มามากมายเพียงใดแล้ว
“แล้วนั่น…นั่นขายอะไรน่ะ ทำไมคนรุมกันเพียบเลย” แล้วเจ้าตัวก็หันไปสนใจแผงแม่ค้าใกล้ๆที่กำลังมีลูกค้ารุมล้อม แทนที่จะสนใจรูปปั้นสิงโตเสียแล้ว เตชินทร์ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาน้อยๆ ที่ดูเหมือนแผนการพาสนธยาเข้าสู่ห้วงอารมณ์ลึกซึ้งจะไปไม่ถึงฝั่ง
“ท่าทางจะขายอาหาร เหมือนได้กลิ่นหอมๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปดูกันเถอะ” รูปปั้นสิงโตคู่ถูกเมินแน่นอนแล้ว และเตชินทร์ก็อยากตามใจอาคันตุกะคนพิเศษมากกว่าจะเหนี่ยวรั้งให้สนธยาต้องมาฟังเรื่องพร่ำเพ้อ นั่นประไร...พอชวนเข้าไปดู เจ้าตัวก็ยิ้มกว้างลิงโลดเชียว แบบนี้ล่ะ…ถึงได้ไม่อยากขัดใจ
มือหนาหยาบรั้งแขนสนธยาเบาๆให้เดินเข้าไปดูแผงขายของที่กำลังถูกรุมล้อม กลิ่นหอมหวานของขนมจากเตาถ่านบนแผงค้าลอยเข้าจมูกเมื่อยิ่งขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น จนสนธยาต้องทำจมูกฟุดฟิดไปมา
“หอมล่ะสิ”
“อืม! ท่าทางจะน่าอร่อย” นอกจากจะสูดกลิ่นหอมเสียเพลินแล้ว เจ้าตัวยังชะเง้อคอข้ามไหล่ลูกค้าคนอื่นๆที่รุมล้อมเข้าไปยังแผง เห็นเป็นขนมสีเหลืองนวลรูปร่างแปลกตากำลังถูกแคะลงมาจากแป้นพิมพ์เหล็ก ในขณะที่สนธยากำลังมองแม่ค้าทำขนมเสียเพลิน ฝ่ายคนพาเที่ยวอย่างเตชินทร์ก็ขยับเข้าไปเจรจาซื้อขนมจากแม่ค้าสาวแล้วเรียบร้อย นางแย้มยิ้มรับคำ ก่อนจะห่อขนมสีเหลืองนวลด้วยกระดาษแล้วจึงส่งให้ในขณะที่ร่างสูงส่งเหรียญเงินเป็นการแลกเปลี่ยน
“ลองชิมสิ” เขาว่าอย่างนั้น เมื่อจูงสนธยาพาออกมาจากแผงแล้วจึงยื่นขนมในมือไปตรงหน้า สนธยาบิขนมออกมาเล็กน้อย มันเป็นเนื้อแป้งนุ่มที่กำลังร้อนกรุ่นเพราะเพิ่งถูกแคะออกจากแป้นพิมพ์มาหมาดๆ สนธยาส่งมันเข้าปากอย่างรวดเร็วโดยไม่กลัวร้อน เพราะตอนนี้อากาศเย็นๆรอบกายทำให้เขาเริ่มโหยหาของร้อนๆมาให้ความอบอุ่น
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“อร่อย” คนถูกถามตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างที่ทำเอาเตชินทร์มองเพลินจนคนถูกมองชักจะเริ่มร้อนวูบเสียววาบ ทั้งๆที่อากาศรอบกายเย็นจัด
“เอ่อ…คือ…เรา…เรา…”
“เห็นท่านชอบ เราก็ดีใจ” นอกจากสายตาแฝงแววหวานอย่างน่าประหลาดแล้ว คำพูดคำจาของเตชินทร์ก็ชักจะทำให้สนธยาคิดมากเข้าไปทุกที ร่างสูงโปร่งพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรักษาสติทั้งมวลให้อยู่กับตัวเอง
…เตชินทร์เพียงแค่ทำหน้าที่เจ้าบ้านเท่านั้น ส่วนเขาก็เป็นแขกบ้านแขกเมือง…ฝ่ายนั้นมีนิสัยชอบหยอกล้อรักสนุก ไม่ได้คิดอกุศลมีจิตปฏิพัทธ์อะไรต่อกัน…ใช่ การกระทำของเตชินทร์ไม่ได้ต้องการสื่อความหมายใดมากไปกว่านี้…
ท่าทางสูดลมหายใจเข้าออกราวกับเรียกสตินั้น ทำเอาเตชินทร์ได้แต่อมยิ้มบาง เขาไม่รู้ว่าสนธยากำลังทำอะไร แต่ดูเหมือนเจ้าตัวกำลังมุ่งมั่นมากทีเดียว
“ไปดูที่อื่นต่อกันเถอะ แล้วประเดี๋ยวจะพาไปทานข้าวต้มเจ้าอร่อย รับรองว่าท่านต้องติดใจ” เขาเอ่ยชวน แล้วจับจูงแขนของอีกฝ่ายเดินฝ่าฝูงชนไปยังลานกว้างซึ่งไม่ไกลจากจตุรัสน้ำพุเสียเท่าไหร่
ในลานกว้างที่มีแผงขายอาหารมากมาย ราวกับเป็นตลาดย่อมๆ ส่วนหนึ่งของลานถูกใช้จัดเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้ซึ่งคนซื้อสามารถเลือกซื้ออาหารจากแผงค้ามานั่งรับประทานตรงโต๊ะใดก็ได้แล้วแต่อัธยาศัย
“ที่นี่คือตลาดโต้รุ่ง ขายแต่อาหาร ตั้งแต่ดึกไปจนถึงรุ่งสาง”
“แล้วมีคนซื้อหรือ?!” ตอนนี้เพิ่งจะหัวค่ำ ผู้คนก็ยังขวักไขว่กันหนาตาหรอก แต่ลองค่อนคืนไปแล้ว สนธยาก็คิดว่ามันน่าจะเปลี่ยวเหงาและวังเวงเพราะใครๆต่างก็ต้องกลับเข้าเรือนเพื่อพักผ่อนกันทั้งนั้น
“ที่นี่ใกล้ท่าเรือ แล้วเรือก็เข้าตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ยิ่งดึกๆยิ่งคึกคัก เพราะพวกลูกเรือที่มากับเรือเที่ยวกลางคืนจะมาเดินกันให้พรึบ”
“อย่างนี้นี่เอง นี่ถ้าเราเอากลับไปทำที่สมุทราบ้าง ก็น่าจะดี ที่สมุทราก็มีเรือเข้าทั้งกลางวันกลางคืนเช่นกัน” สนธยาเปรยด้วยเพราะนึกชอบในเรื่องตลาดโต้รุ่งเช่นนี้ ทว่าคนฟังกลับนิ่งงัน
“ท่าน…จะกลับสมุทราหรือ?”
“กลับสิ ท่านนี่ถามประหลาด แล้วไหนร้านข้าวต้มเจ้าอร่อยที่ท่านว่าล่ะ เราเริ่มหิวแล้ว” สนธยามองซ้ายขวาหาร้านข้าวต้มเจ้าอร่อยอย่างที่อีกฝ่ายแนะนำเอาไว้ ทว่ากวาดตาได้แค่สองสามครั้ง แรงรั้งที่ต้นแขนก็ทำเอาต้องหันกลับมามอง
“ท่านอยากกลับสมุทราหรือ” เตชินทร์ถาม ดวงตาคมที่มักจะทอดแววหวานกลับกลายเป็นแฝงรอยเศร้าเอาไว้เสียจนสนธยานิ่งไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังทำเป็นยิ้มกว้างตอบกลับไป
“ก็สมุทราเป็นบ้านของเรา…”
“แล้วอนันตราชเป็นบ้านอีกหลังของท่านไม่ได้หรือ อนันตราชขาดเหลืออะไรที่ท่านต้องการบ้าง บอกเราได้ไหม เราจะได้ปรับปรุงให้ที่นี่มีเทียบเท่าที่สมุทรามี”
“ท่านเตช…”
“เราแค่อยากให้ท่านเปิดใจยอมรับอนันตราชบ้าง สมุทราอาจเป็นบ้านเกิด แต่ให้อนันตราชเป็นบ้านอีกหลังของท่านได้ไหม ไม่ต้องรักอนันตราชเท่ากับที่รักสมุทรา แต่…แค่คิดถึงอนันตราชบ้างก็เท่านั้น” สนธยานิ่งไป เขาอยากค้านสุดใจว่าจะให้คิดถึงอนันตราชทำไม ในเมื่อเขาไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับอนันตราชเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่า…ไม่ทันจะได้พูดอะไร บุรุษผู้หนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาพวกเขาสองคน
…สมิตนั่นเอง…
“องค์ชาย! เกิดเรื่องใหญ่แล้วพระเจ้าค่ะ!!” สมิตรายงานเสียงเบาจนแทบกระซิบ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้พระกรรณองค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชแล้วกระซิบทูลความ และเพียงรายงานสั้นๆจากปากของนายทหารคนสนิท ก็ทำเอาดวงเนตรขององค์ชายเตชินทร์ถึงกับเบิกโพลง ก่อนที่โอษฐ์หนาสีแดงสดจะเปล่งเสียงออกมาให้สนธยาที่ยืนเคียงข้างนิ่งงันไม่ต่างกัน
“อะไรนะ! หอยป่วย!!”
ติดตามตอนต่อไป (จันทร์หน้าค่ะ)
ขอโทษที่ผิดนัดนะคะ
เมื่อวันเสาร์ไปงานซ้อมรับปริญญาเพื่อนมา เหนื่อยสายตัวแทบขาด วันอาทิตย์ก็ติดธุระ แถมคอมก็เกเรมากมาย จะชัทดาวน์ตัวเองอย่างเดียว วันนี้มันไม่เกเรแล้ว เลยรีบวิ่งมาลงโดยไว
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตามและพื้นที่บอร์ดมากๆนะคะ วันนี้เหนื่อยมากเลยยยยย อาชีพพนักงานกินเดือนนี่มันปวดร้าวแสนสาหัสจริงๆ
แล้วเจอกันใหม่ วันจันทร์หน้านะคะ