ตอนที่ 33 สวนทาง 100%
ผลพวงจากการที่ผมหนีเด็ก ทำให้เด็กยิ่งตัวติดผมมากกว่าเดิม
ผมขยับตัวเล็กน้อย สายตายังคงไม่ละจากเอกสารในมือตรงหน้า รู้ครับว่าตอนนี้กำลังมีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมองผมทุกอิริยาบถ
โดยปกติแล้ว หากถึงเวลาทำงาน ไอ้ต้าจะออกไปนั่งเล่นกับพวกด้านนอก จนกว่าจะถึงเวลาเลิกงานหรือเวลาพักกลางวันนั่นล่ะ ถึงจะยอมเดินเข้ามาหาผมในห้อง แต่วันนี้มันมาแปลก ทำตัวติดผมตั้งแต่อาบน้ำเสร็จ
เหมือนมันรู้ว่าผมพยายามออกห่างมัน มันถึงได้เข้าใกล้มากกว่าเดิม ดูได้จากตอนเช้าที่เพิ่งมาถึงบริษัท ปกติแล้วหลังจากลงรถ ผมจะเป็นฝ่ายกุมมือมัน ทว่าวันนี้มันกลับเข้ามาจับมือผมไว้เอง บอกเลยครับ ว่า ‘หนักใจ’
ไม่ได้ลำบากใจที่มันเข้าใกล้ แต่... ผมว่า สภาพจิตใจผมยังไม่ค่อยปกติ
กลิ่นกายหอมกรุ่นอยู่ใกล้จมูกมากเกินไป อีกทั้งเนื้อตัวนุ่มนิ่มก็ขยันเบียดกันเหลือเกิน..
ผมเหลือบตาขึ้นจากเอกสารเล็กน้อยเมื่อเห็นวัตถุไหววูบที่หางตาจากฝั่งตรงข้าม
เคยเห็นมั้ยล่ะครับ วิธีเรียกร้องความสนใจของเด็ก
และยิ่งเป็นเด็กที่ได้รับความสนใจจากคนรอบข้างมากๆ พอไม่ได้รับความสนใจขึ้นมา มันก็จะมีสภาพไม่ต่างจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมตอนนี้
มันเปลี่ยนมานั่งตัวตรง ก่อนจะฉีกยิ้มยิงฟันเมื่อพบว่าผมมองอยู่ รีบหดไม้หดมือลงใต้โต๊ะทำเหมือนกับว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเลิกสนใจ ใช้งานเป็นข้ออ้างในการสร้างระยะห่าง
รวนครับ ยิ่งอยู่ใกล้มัน เครื่องยิ่งรวน
ปั่ก!
อีกครั้งกับเสียงปริศนา ทว่าครั้งนี้ต้นเหตุของการเกิดเสียงไม่ได้มาจากบนโต๊ะที่สามารถมองเห็นได้ หากแต่มาจากใต้โต๊ะที่สั่นไหวเบาๆตามแรงกระแทก
ปั่ก ปั่ก!!
เมื่อไม่ได้รับความสนใจ มันก็เรียกความสนใจหนักขึ้นเป็นสองเท่า เริ่มรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ปรับระดับเป็นรุนแรงขึ้นของไอ้เด็กตรงหน้า ไม่ได้เงยหน้าไปมอง แต่สัมผัสได้จากความรู้สึก
ผมยังคงนิ่ง และแน่นอนว่าเครื่องผมยิ่งรวนมากกว่าเดิม เพราะผมไม่ได้ขุ่นเคืองจากการกระทำเอาแต่ใจนี้ ทุกอย่างตรงข้ามไปหมด เหมือนหัวสมองของผมกลับด้าน ไม่ได้รำคาญ ไม่ได้โกรธเคือง แต่กลับเริ่มสนุกในการเห็นมันเป็นอย่างนี้ ยิ่งมันเรียกร้องความสนใจ ผมก็ยิ่งอยากเย้าแหย่
“จิมมม” เสียงเรียกชื่อจากน้ำเสียงที่คุ้นเคยทำลายบรรยากาศเงียบๆที่ผมสร้างไว้ตั้งแต่เข้าห้องมา ไม่รู้ว่าตอนนี้มันกำลังแสดงสีหน้าอย่างไรอยู่ บางทีอาจจะกำลังตาขวาง? อมลมจนแก้มป่อง? หรือจะตีหน้ายุ่งเหยิงกันแน่
“จิม” เสียงเรียกชื่อครั้งนี้ห้วนกว่าครั้งแรก ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มหมดความอดทนกับการเรียกความสนใจที่ไม่ได้รับการสนองตอบ
แว่วหูได้ยินเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าและเสียงกุกกักบอกให้รู้ถึงการเคลื่อนไหว
หืม?
มุ่นคิ้วชนกันก่อนจะตวัดสายตามองต้นเหตุที่ฉกแฟ้มเอกสารไปจากมือผม นิ่งค้างเล็กน้อยเมื่อพบว่า ไอ้ตัวป่วนที่เคยนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่มีโต๊ะคั่นกลาง ตอนนี้กลับปีนขึ้นมาบนโต๊ะ นั่งทับกระดาษเอสี่ไว้ด้วยนัยน์ตาเป็นประกายวาววาบ แฟ้มเอกสารที่แย่งผมไปยังคงอยู่ในมือเรียว
“ขึ้นมานั่งบนโต๊ะได้ยังไง ลงไปนั่งที่เดิมเดี๋ยวนี้” ดุเสียงเข้ม มองอีกคนที่นั่งนิ่งไม่ขยับราวกับไม่ได้ยินคำพูดของผม ก่อนมันจะซ่อนแฟ้มไว้ด้านหลัง
“ไม่ลง!”
ได้ยินเสียงหล่นตุ้บของวัตถุที่คาดว่าน่าจะเป็นแฟ้มเจ้าปัญหาอันนั้น มันหันไปมองเล็กน้อยด้วยหน้าเผือดสี คงกลัวว่าผมจะดุ ก่อนจะหันกลับมาแสร้งยกมือกอดอก กลบเกลื่อนความผิดด้วยการแสดงท่าดื้อดึง
“ต้า” ทันทีที่เรียกชื่อมันด้วยด้วยน้ำเสียงดุๆ เจ้าของชื่อก็สะดุ้งเฮือก
“อย่ามาดุนะ!” พูดเสียงดังขณะที่นัยน์ตาสั่นไหว
“ลงจากโต๊ะเดี๋ยวนี้”
“ไม่ลง!” ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
ผมเริ่มปวดหัวจี๊ด ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับเด็กดื้อตรงหน้าอย่างไรดี ยิ่งอยากอยู่ไกลๆ ก็ดูเหมือนระยะห่างที่พยายามสร้างจะหดสั้นเข้าทุกที ผมรู้สภาพตัวเองดี เด็กคนนี้เริ่มมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผม ยิ่งเข้าใกล้มัน ยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ความรู้สึกของผมก็พุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกนี้ เป็นอันตรายต่อตัวผมเอง.. มันค่อนข้างยากในการบังคับตัวเอง อย่างตอนนี้ที่นัยน์ตาคู่นั้นเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใส ผมก็อยากปลอบประโลม
ความเงียบที่ผมสร้างขึ้นเพื่อยับยั้งและรักษาระยะห่างไม่เข้าไปใกล้มันเกินควรดูเหมือนจะทำให้อีกคนเข้าใจผิด บางทีมันอาจคิดว่าผมกำลังโกรธที่มันดื้อ น้ำใสถึงได้ค่อยๆไหลเปรอะแก้มนวล
“ร้องทำไม” เอ่ยถามเพราะอยากรู้สาเหตุของรอยน้ำตาว่าตรงกับที่ผมคิดไว้หรือเปล่า
มันกัดปากแน่นก้มหน้าไม่ตอบคำถาม ไหล่เล็กสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น
“ลงจากโต๊ะซะ”
มันเงยหน้าขึ้นมองสบตา ริมฝีปากเม้มแน่นกว่าเดิม ถึงแม้อายุของผมจะเลยช่วงวัยเด็กมานานแล้ว และไม่ค่อยได้คลุกคลีกับเด็กมากนัก แต่ก็ยังพอจดจำความรู้สึกตอนยังเป็นเด็กได้ลางๆ
เด็กอยากเป็นที่หนึ่ง เด็กอยากสำคัญ เด็กอยากถูกตามใจ และไม่ชอบการถูกดุ
“ต้า” เรียกชื่อมันสั้นๆเป็นการกดดันอีกฝ่ายกลายๆ มันยกมือขึ้นขยี้ตา แต่น้ำใสก็ยังไหลไม่หยุด ผมยังคงนิ่ง ไม่มีการเอ่ยปลอบ จวบจนร่างนั้นค่อยๆย้ายตัวเองลงมายืนบนพื้นด้วยเท้าเปลือยเปล่า กระดาษเอสี่บนโต๊ะยับไม่เรียบเหมือนเดิม อีกทั้งของบางอย่างที่เคยตั้งดีๆก็กระจัดกระจายล้มระเนระนาดรกไปหมด
มันยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆเก้าอี้ที่ผมนั่ง ก่อนผมจะหมุนเก้าอี้หันไปหามัน
“ร้องไห้ทำไม” ถามย้ำอีกครั้งด้วยคำถามเดิม
“ดุทำไม” ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ นัยน์ตาคู่นั้นบอกว่าเจ้าตัวกำลังน้อยใจ
บางทีผมอาจจะโรคจิต เมื่อได้ยินคำตอบ หัวใจก็พาลลิงโลด มองนัยน์ตาแดงก่ำและปลายจมูกแดงเรื่อ ก็ให้รู้สึกหมั่นเขี้ยวจนอยากจะจับมันมาฟัดเสียเดี๋ยวนั้น
ความรู้สึกของผมตอนนี้ ก็เหมือนกับแม่เหล็กต่างขั้ว ยิ่งอยากอยู่ห่างจากมันมากเท่าไหร่ ความรู้สึกที่อยากจะเข้าใกล้ก็ยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น ..บวกกับลบ เป็นขั้วที่แตกต่าง แต่หากลองนำแม่เหล็กสองขั้วนี้มาวางใกล้กัน มันกลับดึงดูดซึ่งกันและกันจนยากจะแยกออก
ผมกับมันก็แตกต่าง.. ผมอายุ 27 ขณะที่มันเป็นเด็กอายุไม่น่าเกิน 18 ไม่สิ ตอนนี้มันเป็นเด็กที่มีอายุเพียง 9 ขวบ.. ทุกอย่างยิ่งไปกันใหญ่ ..ทางด้านนิสัยใจคอ ผมกับมันก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด มันงอแงก็ที่หนึ่ง ดื้อก็ไม่เป็นรองใคร แถมยังเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมกำแพงที่ผมอุตส่าห์สร้างถึงได้พังลงง่ายๆอย่างนี้
ยิ่งมองหาเหตุผลมารองรับความรู้สึกและการกระทำหลายๆอย่างที่ผมยอมตามใจมัน ผมก็ไม่ได้รับคำตอบใดใด ..รู้เพียงแต่ หากมัวแต่หาเหตุผล ผมคงอัดอั้น จึงได้แต่ทำตามความรู้สึกของตัวเองโดยไร้ซึ่งเหตุผล
เหมือนอย่างตอนนี้.. ยิ่งมองใบหน้างอง้ำน้อยอกน้อยใจของมัน ความรู้สึกอยากกอดก็แล่นพล่านจนระงับแทบไม่อยู่
“มานั่งนี่มา” เรียกอีกฝ่ายพร้อมกับมือที่ตบหน้าขาของตัวเอง มันมองด้วยความสงสัยเล็กน้อยก่อนจะยอมเดินมานั่งแต่โดยดี ..ร่างเล็กนั่งคล่อมตักของผมโดยหันหน้าเข้าหากัน แขนเรียวสองข้างยกขึ้นกอดรอบคอของผมก่อนจะขยับหน้าเข้าซุกซอกคอโดยอัตโนมัติ
คลายยิ้มบนริมฝีปากกับท่าทางออดอ้อน มือหนึ่งโอบประคองแผ่นหลังบาง อีกมือยกขึ้นลูบเส้นผมนุ่มลื่นเป็นจังหวะช้าๆ
“ดุทำไม” เสียงอู้อี้ดังอยู่ใกล้ใบหู สองแขนกอดรอบคอผมแน่นมากกว่าเดิม
“ดื้อทำไม” ย้อยถามกลับขณะที่กดใบหน้า แนบริมฝีปากจูบซับลาดไหล่เล็ก
ไม่ได้เจตนาจะล่วงล้ำมันมากไปกว่านี้ เพียงแค่ห้ามความต้องการที่อยากจะสัมผัสร่างบนตักไม่ได้
“ไม่ได้ดื้อ” ตอบกลับมาด้วยเสียงขุ่นๆ พลันรู้สึกเจ็บบริเวณไหล่เมื่ออีกคนขบกัดลงมา
กัดซะบ้างดีมั้ย?
“มึงดื้อ”
มันกัดแรงมากกว่าเดิมจนผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ก่อนร่างบนตักจะผละออกเพื่อมองสบตา
“ไม่ได้ดื้อ! ก็ไม่สนใจกันทำไม!”
...ผู้ใหญ่อย่างผมกำลังจะใจแตกเพราะเด็กอย่างมัน
“อย่าพูดแบบนี้กับใคร” ผมพูดในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับบทสนทนาข้างต้น พลางไล่สายตาลงต่ำมองลำตัวช่วงล่างของมันที่กำลังนั่งทับหน้าขาของผม ก่อนจะมองหน้ามันอย่างจริงจัง
“และห้ามไปนั่งตักใครแบบนี้เด็ดขาด เข้าใจที่พูดไหม?”
ริมฝีปากอิ่มยู่ลงทันควัน คิ้วขมวดชนกัน และไม่ตอบรับคำพูดของผม ทำให้ผู้ใหญ่อย่างผมเริ่มร้อนรน
ไม่มีเหตุผลในการเอ่ยห้ามมันในครั้งนี้ เพียงแค่ลองจินตนาการถึงภาพที่มันเที่ยวไปนักตักใครต่อใคร ในใจก็เริ่มร้อนราวกับถูกไฟสุม
“เข้าใจหรือเปล่า” ถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งรอบนี้มันพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
“กับเตอร์ก็ห้ามนั่งเหรอ?” มันเอ่ยถามด้วยสีหน้าติดจะยุ่งเหยิง และลำบากใจ
‘เตอร์?’ ชื่อนี้คุ้นหูเหมือนเคยได้ยินมันพูดถึงมาก่อน
กำลังจะไล่เบี้ยถาม ทว่าเสียงเคาะประตูกลับดังขัดขึ้น ก่อนประตูบานหนาจะค่อยๆเปิดออกกว้าง
“เอ่อ.. ขอโทษครับ” สีหน้ากระอักกระอ่วนของคุณอนุชิตคนเปิดประตู ก่อนเขาจะก้มหน้าต่ำ ทำท่าหันหลังจะเดินจากไปทั้งที่ยังไม่ได้พูดธุระของตัวเอง
“เดี๋ยวครับ คุณไม่ต้องออกไปไหน” ออกแรงดันคนบนตักให้ออกห่างเล็กน้อยซึ่งมันก็ยอมลุกอย่างว่าง่าย แต่ไม่ได้เดินไปไกล ยังคงยืนอยู่ข้างๆผม
คุณอนุชิตหมุนกายกลับมา มองหน้าของผมกับมันสลับไปมา พลันกระแอมไอแล้วย่างสามขุมมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะอีกฝั่ง
“ผมเอาข้อมูลที่คุณต้องการมาให้ครับ” เขาเหลือบมองคนที่ยืนข้างกายผมอีกครั้ง ก่อนจะวางแฟ้มลงบนโต๊ะ “ต้องขอโทษอีกครั้งจริงๆครับ ที่ผมทำงานช้า”
เหลือบตามองหน้าแฟ้มเอกสารที่ไม่ได้ระบุข้อความใดๆจ่าหน้าก่อนจะพยักหน้ารับ
“คุณออกไปทำงานต่อเถอะ ขอบคุณคุณมากสำหรับข้อมูล”
เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะหมุนกายเดินออกจากห้องโดยไม่ลืมปิดประตูให้ ผมมองเอกสารฉบับนั้นโดยไม่คิดจะเปิดดูเนื้อหาภายใน ..อย่างน้อยก็ต่อหน้ามัน
แรงกระตุกแขนเสื้อจากด้านข้างทำให้ผมหันไปมอง
“จิม เมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน”
ถึงแม้ผมจะแสร้งทำเป็นลืมถึงสัญญาที่ครั้งหนึ่งเคยรับปากมันไว้ว่าจะพาไปส่งบ้าน แต่มัน ไม่เคยลืม..
“มึงนึกออกหรือยังล่ะ ว่าบ้านอยู่ที่ไหน”
กลั้นใจถามออกไป พลางเอื้อมหยิบแฟ้มเอกสารอันอื่นมาวางทับแฟ้มที่คุณอนุชิตเพิ่งให้มา ปกปิดแฟ้มนั้นให้รอดพ้นจากสายตาของอีกคนในห้อง
“จิมรับปากแล้วว่าจะไปส่ง”
ครับ ผมรับปาก.. และครั้งนึงผมเคยคิดจะพามันกลับบ้านจริงๆ ไม่ได้สักแต่ว่าพูด ...แต่ พอมาวันนี้ วันที่ผมสามารถพามันไปส่งบ้านได้ ...ผมกลับไม่อยากปล่อยมันไป
“จะกลับบ้าน จิม ..อยากกลับบ้าน พาต้าไปส่งบ้านนะ” เสียงสั่นๆของมันทำให้ผมปวดหนึบที่อกด้านซ้าย
ทั้งที่เลยเวลาที่เคยรับปากมันไว้มาสองวันแล้ว..
ทั้งที่มันไม่มีวี่แววว่าจะร้องกลับบ้าน แล้วทำไมอยู่ๆ ถึง..
“จิม ..ฮึก อยากกลับบ้าน” เสียงสะอื้นหลุดรอดจากปากอิ่มพลันมือบางบีบแขนของผมอย่างแรง ผมหมุนเก้าอี้หันหน้าไปเผชิญกับมัน ลอบกลืนน้ำลายหนืดคอก่อนจะโป้ปดคำโตด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
“กูไม่มีที่อยู่บ้านของมึง ..เลยไปส่งไม่ได้ เข้าใจมั้ย”
นึกละอายใจกับพฤติกรรมของตัวเอง
ผมกำลังโกหก..
ขบฟันแน่น พลางจับข้อมือขาวของคนที่น้ำตานองหน้าแล้วดึงให้มันทรุดนั่งลงที่หน้าขาของตัวเอง
“อย่าร้องไห้” พูดพลางใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาที่เปรอะแก้มนวลอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ..แต่ไม่ว่าผมจะเช็ดน้ำตาให้มันเท่าไหร่ นัยน์ตาแดงก่ำก็ไม่หยุดผลิตน้ำใสๆเสียที
“อยู่กับกู มึงมีความสุขหรือเปล่า”
แทบจะกลั้นใจสำหรับการรอคำตอบ แต่พอเห็นมันพยักหน้าเบาๆก็พาลให้ชุ่มชื่นหัวใจ
“อยู่กับกูต่อไปได้มั้ย”
...
เกิดความเงียบสำหรับคำถามนี้ ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูลำบากใจและสับสน ริมฝีปากอิ่มคู่นั้นเม้มแน่น นัยน์ตาฉ่ำน้ำมองหน้าผมก่อนจะเปล่งเสียงพูดออกมาเบาๆคล้ายคนไม่มั่นใจ
“อยากกลับบ้าน.. จิมโกรธต้ามั้ย” มือเล็กกำแขนเสื้อของผมแน่นขึ้นจนเนื้อผ้ารัดตึงไปกับลำแขน
ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ มีคำถามค้างคาในใจที่ไม่กล้าถามมัน
ถ้ามึงรู้ว่ากูกำลังโกหก ..มึงล่ะ จะโกรธกูหรือเปล่า
"เตอร์คนที่มึงพูดถึงเมื่อกี้คือใคร" เปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา วกกลับเข้าเรื่องที่ยังคุยกันค้างอยู่
มันนิ่งไปนิด ก่อนนัยน์ตาคู่นั้นจะแปรเปลี่ยนจากประกายหม่นเศร้าเป็นคล้ายกำลังยิ้มได้
"เตอร์เป็นพี่ชายต้า ชื่อวิคเตอร์" ริมฝีปากปากอิ่มขยับยิ้มน้อยๆ
พี่ชาย?
หวังจะเปลี่ยนประเด็นให้ออกห่างจากเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านของมัน เพื่อที่มันจะได้ไม่คิดถึงและไม่อยากกลับบ้าน
แต่เรื่องที่ผมกำลังถามมัน กลับยิ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว
นั่น จะยิ่งทำให้มันอยากกลับบ้านมากกว่าเดิมหรือเปล่า
"เตอร์ตอนนี้ตัวใหญ่เกือบเท่าจิมเลย" ใบหน้าอ่อนเยาว์มุ่ยลงเล็กน้อย ทว่านัยน์ตากลับทอประกายเป็นสุข
อยู่ๆก็รู้สึกหวงแหนสายตาแบบนั้น ถึงแม้คนชื่อวิคเตอร์จะเป็นคนในครอบครัว เป็นพี่ชายของมัน แต่ผมไม่อยากให้มันพูดถึงใครอื่นด้วยสายตาแบบนี้
มือเล็กสองข้างจับมือข้างหนึ่งของผมขึ้นมาก่อนจะบีบคลึงเล่น ริมฝีปากอิ่มยังเจื้อยแจ้วไม่หยุด
"ต้ามีเตอร์คนเดียว เตอร์เป็นพี่ชายที่ดีมากๆๆๆๆนะ เวลาต้าไปโรงเรียนถูกเพื่อนแกล้ง เตอร์ก็ไปเอาคืนให้จนไม่มีใครกล้าแกล้งอีก"
ผมขมวดคิ้ว มืออีกข้างที่ไม่ได้ถูกร่างเล็กยึดไปจับโอบกระชับรอบเอวบางให้แน่นยิ่งกว่าเดิม พลางเลื่อนหน้าเข้าใกล้แล้ววางคางเกยไหล่มน
กลิ่นหอมอ่อนๆจากร่างบนตักทำให้ผมอุ่นใจ ทว่าน้ำเสียงมีความสุขของมันตอนที่พูดถึงพี่ชายทำให้ผมร้อนลุ่ม
ผมเองก็มีพี่ชายคนเดียว ตอนเป็นเด็ก ผมเองก็ติดมัน แต่ไอ้คนบนตักของผมแลจะติดมากกว่า
มือเล็กที่คลึงมือผมเล่นเปลี่ยนเป็นวางฝ่ามือทาบลงไป
"มือจิมใหญ่จัง" พูดพลางขยับกายยุกยิกพลิกตัวหันมาแล้วชูมือให้ดู ผมมองมือเล็กที่วางทาบก่อนจะกุมมือบางข้างนั้นไว้
มือของมันต่างหากที่เล็กเกินไป ..ข้อมือนี้ก็เล็ก ดูบอบบางจนไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งผมจะเคยกระทำรุนแรงกับมันได้ลงคอ
“ขอโทษ”
ยังไม่คลายมือที่กุมกันไว้ ขณะที่ค่อยๆเลื่อนสายตาเพื่อมองสบกับดวงตาที่ฉายประกายงุนงง
...คนอย่างผม ไม่เคยอยากได้รับการอภัยให้จากใครมาก่อน ไม่เคยสนใจความรู้สึกของใคร หากความสัมพันธ์จะขาดกันก็ไม่เคยแคร์ แต่กับคนตัวเล็กคนนี้..
หากทุกอยากกลับเป็นเหมือนเดิม..
ผมอยากได้รับโอกาสจากมัน อยากได้รับการให้อภัยจากมัน
“จิมขอโทษทำไม”
เป็นคำตอบที่ตอบยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดถึงเรื่องที่เคยทำผิด
ใบหน้าขาวมุ่ยลง มันดึงมือกลับ ก่อนจะขยับกายเพื่อหันมาเผชิญหน้ากัน ..หัวใจผมกระตุกเมื่อมันนั่งคล่อมตัก แล้วจับมือผมสองข้างให้ไปกอดรอบเอวมัน
“จิมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เตอร์เคยสอนว่า ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
สิ้นเสียง ก็เผลอรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ตัวยิ่งกว่าเดิม รู้สึกจุกจนพูดไม่ออก
"ถ้าต้ากลับบ้านแล้ว จะได้เจอจิมอีกมั้ย" มันวางมือทาบลงเหนือหน้าอกของผม แววตาสับสนไม่น้อย
"ไม่รู้"
“ทำไมไม่รู้” สีหน้าบึ้งตึงบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ค่อยพอใจกับคำตอบ
“ถ้ามึงอยากเจอ กูจะไปหา แต่ถ้ามึงไม่อยากเจอ...”
“อยากเจอ!” พูดโพล่งเสียงดังคล้ายไม่ได้คิด ผมนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนมือเล็กจะยกขึ้นประคองสองข้างแก้ม “อยากเจอ จิมต้องไปหาต้าบ่อยๆนะ”
“อยู่กับกู”
“...”
“อยู่กับกูได้หรือเปล่า อยู่กับกูตลอดไป”
คำตอบ เป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังดึงดันถาม ริมฝีปากอิ่มกัดปากตัวเองนิ่ง ไม่มีการพยักหน้า จวบจนเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่งมันถึงได้ยอมเปล่งเสียงออกมา
"คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงเตอร์..."
"แต่ถ้ามึงกลับไป.. กูเองก็จะคิดถึงมึง"
มาถึงตรงนี้ผมคงยอมรับกับตัวเองได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้วว่า 'ผมตกหลุมรักเด็กคนนี้เข้าเต็มเปา'
สีหน้าคนฟังหม่นหมอง มือเหนืออกกำเสื้อผมแน่นจนผมแน่ใจว่าถ้าหากมันปล่อย เสื้อตรงนั้นคงจะยับแน่ๆ
“ถ้าต้าได้กลับบ้าน จะโทรหาจิมบ่อยๆ จะขอพ่อกับแม่มาหาจิม” ฟันขาวกัดปากล่างแน่น ขมวดคิ้วชนกันจนเป็นรอยตรงกลาง
“มึงอยากกลับบ้านมากเลยเหรอ”
เป็นคำถามโง่เขลาที่ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าแรงๆ
ไม่รู้ว่าจะรั้งไว้ยังไง
...เหลือบสายตามองไปยังทิศทางแฟ้มเอกสารที่มีข้อมูลที่ผมไม่อยากรับรู้อยู่ในนั้น ขณะที่กำลังชั่งใจ เสียงใสก็เอ่ยขึ้น
“ถ้าต้าจำทางกลับบ้านได้ จิมต้องไปส่งนะ”
จำได้เหรอ..?
คงไม่ใช่แค่ทางกลับบ้าน...
น้ำลายหนืดคอจนไม่สามารถเปล่งเสียงเป็นคำพูดใดใดได้ ทำได้เพียงตอบรับสั้นๆในลำคอ
__________________________________________
TALK:: มาแล้ววววว พรุ่งนี้วันลอยกระทง รีบชิงตัดหน้าลงก่อน เผื่อคนไปลอยกระทงแล้วไม่ได้แวะเข้ามาอ่าน 5555
ขอให้สนุกสนานนะจ๊ะ ลอยเผื่อเด็กๆด้วย อยากให้เด็กๆได้ไปลอยเหมือนกัน แต่แบบ.. ดูจากสถานการณ์ วัน เดือนในเรื่องแล้ว ไม่สามารถพาไปได้ 5555
เจอกันใหม่กับตอนที่ 34 ค่ะ
มีหลายคอมเม้นท์เลยที่ไม่อยากให้น้องจำได้ เดี๋ยวเรามาลุ้นกัน จุ้บ
ขอบคุณทุกกำลังใจมากค่า ถ้ามาต่อได้ จะรีบต่อเร็วๆ แต่พออยู่หอ มันไม่เหมือนอยู่บ้าน แต่งไม่ค่อยได้ T_T
PS. REVENGE กับ SIN นอนเล่นในไหไป 2 เดือนแล้ว ..คือ ถ้า 3 เดือนแล้วไม่ได้แต่ง เด็กๆจะถูกย้ายไปในหัวข้อไม่มาต่อให้จบใช่มั้ยอะ T^T
