DOUBLE-FACED: เสแสร้งแกล้งรัก
Chapter 31: How can I love when I’m afraid to fall100%
จนกระทั่งตอนเช้าวันเสาร์ที่ผมต้องไปทำงาน เป็นเช้าที่ผมตื่นมาโดยที่ไม่รู้สึกปวดหัวเพราะนอนไม่พอ จากอาการนอนไม่หลับ ผมยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะมองไปรอบๆห้อง แต่แล้วก็มีบางอย่างที่ทำให้ผมแปลกใจ
ใครปิดทีวีให้ผม...
........................
หรือผมจะเป็นคนปิด แต่ผมจำได้ว่าผมไม่ได้ปิดนะ แล้วใครปิด หรือผมจะละเมอ...
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ช่างหัวมัน ใครจะปิดก็ช่าง ตอนนี้ผมควรจะลุกออกจากเตียงแล้วรีบอาบน้ำซะ ไม่งั้นผมได้ไปทำงานสายแน่ๆ ถ้ายังมัวแต่เอ้อระเหยลอยชาย
ผมอาบน้ำอย่างสดชื่น คงเพราะได้นอนเต็มอิ่มอย่างที่ไม่เคยเป็น เช้านี้ผมถึงได้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากกว่าทุกวัน ลอบยิ้มอยู่คนเดียวหลายครั้งเมื่อนึกถึงความฝัน ผมเป็นคนไม่ค่อยฝันเท่าไหร่ แต่พอฝันทีก็ฝันดีจนอยากจะจมอยู่กับมันอยู่ตลอดเวลา ผมเหมือนคนบ้า แต่ผมมีความสุขจริงๆที่ได้นึกถึงกอดที่แสนอบอุ่นและคำพูดที่เอ่ยบอกว่ารักผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แม้มันจะเป็นเพียงแค่ความฝันก็ตาม
ผมมาถึงร้านก่อนใครเพื่อน ยกเว้นพี่แนน เพราะพี่แนนอาศัยอยู่บ้านที่อยู่ห่างจากร้านแค่สองหลังเท่านั้น อยู่ในซอยข้างร้านเข้าไปนิดเดียว พี่แนนจะมาก่อนเพราะต้องมาเปิดร้านและเช็คดูความเรียบร้อยพร้อมกับทำเบเกอรี่ก่อนที่จะเปิดร้านในแต่ละวัน
“พี่แนนสวัสดีครับ”
“มาเช้าอีกแล้ว สงสัยต้องเพิ่มเงินเดือนให้แล้วมั้ง” พี่แนนพูดขำๆ ผมยิ้มตาม เข้าไปช่วยพี่แนนจัดร้าน จนกระทั่งศรมา
“สวัสดีครับพี่แนน ไอ้พริก มาเช้าตลอดเลยนะมึง” มันทักผมกวนๆ
“มึงก็มาสายตลอด” ผมว่ามันกลับ แต่ไม่ได้จริงจัง มันเองก็รู้ถึงได้หัวเราะร่าเอากระเป๋าไปเก็บหลังร้าน
‘’เย็นนี้เลิกงานว่างเปล่าวะ”
“ทำไม” ผมถาม มือก็วุ่นอยู่กับการเช็ดเคาน์เตอร์ ของเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีอะไรให้จัดมากเท่าไหร่ แต่พอมาทำงานที่นี่ ผมก็ไม่อยากอยู่เฉย กลัวว่าจะเอาแต่คิดถึงมาโค ไม่ว่าอะไรอยู่ใกล้มือก็หยิบจับทำหมด
“จะชวนไปเตะบอล ไปปล่าว” ไอ้ศรมันเป็นนักกีฬามหาลัยครับ หุ่นมาดแมนแบบชาดไทยแถมยังหล่อเข้มอีกต่างหาก
“เอาดิ” ออกไปเตะบอลบ้างก็คงดี ขี้เกียจกลับบ้านเหมือนกัน
“ดีๆ มึงผอมเกินไป ไปออกกำลังกายซะบ้างจะได้แข็งแรง” ไอ้ศรมันยักคิ้วข้างหนึ่งพลางมองสำรวจร่างกายผม ผมเลยปาผ้าขี้ริ้วในมือใส่หน้ามัน มันโวยวายทำท่าจะเข้ามาเตะผมใหญ่
“มันสกปรกนะมึง ถ้าหน้ากูเป็นสิวแล้วสาวๆหายกูจะเอาผ้าขี้ริ้วป้ายหน้ามึงบ้าง”
“เหรออ” ผมไม่กลัวมันหรอก มันก็พูดไปอย่างนั้นนั่นแหละ ผมรู้
ร้านยังคงมีลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องเหมือนทุกวัน พี่แนนกับศรอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ผมส่วนผมคอยรับแขก เสิร์ฟอาหารและเก็บโต๊ะ ไม่ต้องไปชงกาแฟเพราะศรมันทำอร่อยกว่าผมและเร็วกว่าผมอีก
“พริก เข้าไปทานข้าวเที่ยงก่อนไป จะได้ผลัดกัน” พี่แนนเดินมาบอกผมตอนสิบเอ็ดโมงกว่าๆ
“ได้ครับ” ผมเดินเข้าไปในครัว ป้าติ๊กกำลังทำอาหารให้ลูกค้าอยู่ ผมเลยไม่อยากกวนป้าแก เดินไปที่หน้าเตาอีกเตา แล้วก็ลงมือทำมื้อเที่ยงเองโดยไม่รบกวนป้าติ๊ก สักพักไอ้ศรก็ตามเข้ามาพัก
“น่ากินวะ ป้าติ๊กทำให้เหรอ” มันเดินมาก้มมองดูจานข้าวผมตาวาว
“เปล่า กูทำเอง”
“จริงดิ ทำให้กูบ้าง อยากได้แบบนี้”
“ไม่ กูขี้เกียจ”
“โหย ไรวะ”
“อยากกินก็ทำเองดิ” ผมตักข้าวเข้าปากคำสุดท้ายก่อนจะเอาจานไปล้างในอ่างล้างจาน ไอ้ศรยังตามมาพูดไม่หยุด
“มึงนิ! ไม่ทำโว้ย!” ผมทำเองผมกินได้ เกิดทำให้มันกินแล้วท้องเสียขึ้นมาทำยังไง
“ใจร้ายวะ หน้าตาก็น่ารัก ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”
ดูมันนะครับ ทำหน้าทำตาน่าสงสารคล้ายกับว่าผมรังแกมัน แค่ผมไม่ทำอาหารให้มัน ปกติมันก็ไม่เคยกินฝีมือผมที่ไหน ทำมาเป็นพูดดี ผมเตะก้นมันไปทีโทษฐานกวนประสาทผมก่อนจะรีบวิ่งออกไปหน้าร้าน ไอ้ศรด่าไล่หลังผมมา
ปึก!
“ขอโทษครับ” ผมรีบขอโทษ ไม่รู้ว่าชนใคร แต่ขอโทษไว้ก่อน เกิดเรื่องจนได้ ผมได้โดนพี่แนนดุแน่ๆ แต่พอผมได้เห็นหน้าคนที่ผมเดินชนเท่านั้น ผมคิดว่าคงฝันกลางวันอยู่หรือไม่ก็ผมคงจะคิดถึงเขามาจนเห็นภาพลวงตา
“ระวังหน่อยสิ” เขาพูด ใบหน้านิ่งๆไม่สื่ออารมณ์ ดวงตาคมดุจเยี่ยมจ้องผมตาไม่กระพริบ แต่เป็นผมเองที่กระพริบตาถี่ให้แน่ใจว่าไม่ใช่ภาพลวงตา
“มาโค...”
เป็นเขาจริงๆที่อยู่ตรงนี้ ผมไม่ได้ฝันไป
“ห้องน้ำอยู่ไหน” เขาถาม ผมเผลอจ้องเขานานจนเขาเรียกผม ผมสะดุ้งขยับปากเงอะๆงะๆ
“ขะ ข้างใน” ผมชี้นิ้วไปทางด้านหลัง แล้วเขาก็เดินผ่านผมไป ผมยังยืนอยู่ที่เดิมราวกับคนเหม่อลอย คนเมื่อกี่ที่เดินผ่านหน้าผมไปเป็นคนจริงๆสินะ ไม่ไช่ผีหรือภาพลวงตา
มาได้ยังไง หรือแค่แวะผ่านมา แค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น หรือว่าเขารู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่เลยมาหา แต่...เขาจะมาหาผมทำไม เขาคงไม่อยากจะมาหาคนที่ทำร้ายเขาหรอก
คิดเช่นนั้นผมก็ได้แต่เดินคอตกกลับไปประจำตำแหน่งที่เคาน์เตอร์ พี่แนนหันมาเห็นผมก็ทำหน้างงๆ พอดีกับพี่ต่อ คนที่มาทานข้าวที่ร้านทุกวันเดินเข้ามาในร้าน ผมยิ้มให้พี่เขาบางๆ เพราะอารมณ์กำลังฝืด
ผมดีใจมากที่ได้เจอมาโค แต่ก็เสียใจมากเช่นกันที่ทำกับเขาไว้แบบนั้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าพริก หน้าซีดๆ” พี่แนนถามด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหน้าเบาๆ
“เปล่าครับ”
“พริก วันนี้พี่ขอเป็นลาเต้แทนนะ” พี่ต่อเดินมาสั่งที่เคาน์เตอร์ มือก็หยิบเมนูกับข้าวไปนั่งดูที่โต๊ะเอง ผมลงมือทำลาเต้ให้พี่เขา ทำเสร็จก็เดินเอาไปเสิร์ฟ แต่มันจะประจวบเหมาะอะไรขนาดนั้น ก็โต๊ะที่พี่ต่อนั่งอยู่ติดกับโต๊ะที่มาโคนั่งพอดี ผมมองมาโคก่อน เขาเองก็มองผมเช่นกัน ผมรีบหลบตาทัน ไม่กล้าจ้องนานกลัวว่าจะเห็นความเปลี่ยนไปในแววตาคู่นั้น
แววตาที่เคยที่แต่ความรักความอบอุ่น ผมกลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป
“นี่ครับกาแฟ” ผมข่มใจตัวเองไม่ให้มองมาโค แม้ว่าความจริงอยากจะเดินไปกอดเขาก็ตาม
ก็ผมน่ะ คิดถึงเขาจะตายอยู่แล้ว ยิ่งได้เจอหน้ายิ่งคิดถึง
“อืม อร่อย ฝีมือดีนะเรา” เสียงพี่ต่อดึงผมออกจากอาการเหม่อลอย
“ครับ พี่สั่งข้าวแล้วใช่ไหม” ผมถาม พี่เขาพยักหน้า
“สั่งแล้วล่ะ”
“อ่อ ครับ” ผมยิ้มตอบแล้วก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ พอเที่ยงปุ๊บก็มีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ ไอ้ศรที่กินข้าวเที่ยงเสร็จก็ออกมาทำงานแทนพี่แนน ลูกค้าเริ่มเยอะจนผมไม่มีเวลาให้สนใจกับผู้ชายหน้าตาดี สวมแว่นตาดำเหมือนต้องการปกปิดใบหน้า แต่เขาจะรู้บ้างไหมว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยังไงความหล่อของเขาก็ยังแผ่กระจายไปทั่วร้านอยู่ดี จนสาวน้อยสาวใหญ่ที่เข้ามาพักทานข้าวเที่ยงที่นี่เหล่กันแบบไม่เกรงใจจนผมชักจะหงุดหงิด
จะมองอะไรกันหนักหนา มองกันขนาดนั้นไม่เอากลับบ้านไปเลยล่ะ!
“เป็นอะไรวะพริก ทำหน้าหงิกนะมึง” ไอ้ศรพูดกระซิบใกล้ๆหูผม ผมหันไปทำหน้าเหวี่ยงใส่มัน
“ยุ่ง!” คนยิ่งอารณ์ไม่ดีอยู่ แล้วรายนั้นจะนั่งให้คนอื่นมองอีกนานไหม ไม่รู้จักกลับไปสักที
“ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยไอ้ตัวเล็ก เดี๋ยวจะให้พี่แนนตัดเงินเดือน”
“พี่แนนไม่ใจร้ายแบบมึงหรอกไอ้ศร” ผมทำงานต่อด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะคงที่เท่าไหร่ ไอ้ศรมันเห็นผมอารมณ์ไม่ดีก็เลยเลิกแหย่ผม
“เอาข้าวผัดสับปะรด”
ผมเงยหน้าตามเสียง มาโคยืนอยู่ตรงหน้าผม ผมจ้องตาผ่านแว่นกันแดดสีดำ ก่อนจะรู้สึกหน้าร้อนผ่าว
“ครับ” ผมรับออเดอร์เสร็จก็เดินเข้าไปในครัว
“มาพอดีเลยพริก มาช่วยป้าทำอาหารหน่อยสิ ทำไมวันนี้คนเยอะกว่าปกติอย่างนี้ มือเป็นระวิงแล้ว” ป้าติ๊กแกบ่น ผมยิ้มขำๆ ถึงป้าแกจะบ่นแบบนี้มาหลายครั้ง แต่พอพี่แนนจะจ้างแม่ครัวมาเพิ่มแกก็ไม่เอา แกกลัวว่คนอื่นจะไม่ใส่ใจทำอาหารเท่าแก อีกอย่างแกบอกว่าทำคนเดียวมันสบายใจและสะดวกกว่า ถ้าทำไม่ทันป้าแกก็จะเรียกให้ผมมาช่วย
“ได้ครับ” ผมบอกแล้วก็เดินไปที่หน้าเตาอีกเตา
‘ข้าวผัดสับปะรด’
“ผมจะลองทำให้พี่กินนะ ผมจะทำให้สุดฝีมือเลย” ถึงเขาอาจจะไม่รู้ว่าผมทำก็ไม่เป็นไร แค่ผมได้ทำก็พอ
ผมเสิร์ฟข้าวผัดสับปะรดตรงหน้ามาโค เขาเอาแต่มองหน้าผมนิ่งๆ ไม่ก้มมองอาหารเลยด้วยซ้ำ ผมก็ทำตัวไม่ถูก เห็นว่าน้ำเปล่าบนโต๊ะหมดเลยหยิบไปเติมให้ กลับมาเขาก็ลงมือกินแล้ว อยากถามว่าอร่อยไหม กินได้หรือเปล่า แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะพูดออกไป เผื่อว่าเขารู้ว่าผมทำแล้วเกิดไปอยากกินขึ้นมา ผมคงได้ร้องไห้แน่ๆ
เกือบสามชั่วโมงได้ที่มาโคนั่งอยู่ในร้าน ผมก็ได้แต่แอบมองอยู่ในมุมของตัวเอง จนกระทั่งเขาลุกขึ้นมาเพื่อจ่ายตังค์ ผมยังไม่อยากให้เขากลับเลย ถ้าเขากลับไปผมก็จะไม่ได้เจอเขาอีก
“พริก...” มาโคเรียกชื่อผม พี่แนนและไอ้ศรมองผมงงๆ ว่าผมรู้จักกับมาโคได้ยังไง “เย็นนี้ว่างไหม” เขาถาม
“เอ่อคือ...ไม่ว่างครับ” ผมตอบตามจริง เพราะผมนัดกับไอ้ศรไว้แล้วว่าจะไปเตะบอลกับมัน มาโคไม่พูดอะไร หยิบเงินออกมาจ่าย เลยไม่รู้ว่าเขาถามไปทำไม ผมคิดเงินแล้วก็ทอนเงินให้มาโค จังหวะที่มาโคกำลังจะหมุนตัวเดินออกจากร้าน เสียงที่แผ่วเบาก็ลอยมาตามลม แต่ผมกลับได้ยินมันชัดแจ๋ว
“คิดถึงนะ”
เขาเดินจากไป แต่ทิ้งบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ให้ผมต้องขบคิด ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไปดี
เส้นบางๆที่คั่นระหว่างความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้คือการตัดสินใจของเรา
ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างมันขึ้นเอง แต่ก็ไม่ง่ายที่จะขจัดความกลัวทิ้งไป มันยากที่จะทำแบบนั้น ผมไม่รู้ว่ามาโคกลับมาหาผมเพราะอะไร ถึงได้พูดว่าคิดถึงผม
ชีวิตไม่มีอะไรที่แน่นอน สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น ผมเลยไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี
ว่ากันว่าเม่นในฤดูหนาวมักจะอยู่ใกล้กันเพื่อให้ความอบอุ่นแก่กัน แต่ต่างก็ถูกหนามแหลมทิ่มแทง....ถ้าอยู่ห่างกันก็เหน็บหนาว....แต่ก็ไม่เจ็บ....ความรักของมนุษย์ใยมิใช่เช่นนี้ เพราะผมทั้งเหน็บหนาวและทั้งเจ็บที่ต้องอยู่ห่างจากเขาขนาดนี้
................................
หมอกและควันแห่งความเศร้ากำลังจะค่อยๆจางหายไปในไม่ช้า ^_^
