DOUBLE-FACED: เสแสร้งแกล้งรัก
Chapter 31: How can I love when I’m afraid to fallHIM: PRIK
การเริ่มต้นใหม่ดูจะราบรื่นมากกว่าที่คิด แม้จะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ผมคงทำตัวสุขสบายเหมือนตอนที่อยู่กับคุณไวน์ไม่ได้ เงินค่าจ้างที่ได้จากร้านพี่แนนก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก และผมก็ไม่คิดจะไปหางานอื่นเพิ่ม เพราะต้องเรียนต้องทำการบ้าน ถ้าจบออกมาคะแนนดี ก็คงหางานดีๆทำได้
เมื่อวานผมเพิ่งจะโทรคุยกับพ่อ พ่อบอกว่าตอนนี้งานกำลังไปได้รุ่ง พ่อได้เลื่อนเป็นผู้จัดการร้านแทนคนเก่าที่ลาออกไป ส่วนเพื่อนพ่อซึ่งก็คืออาปัน ก็ได้ดีไม่แพ้กัน พ่อเลยขอผมทำงานเก็บเงินอีกสักหน่อย ให้พอมาตั้งตัวที่เมืองไทยได้แล้วพ่อจะกลับมา เห็นว่าพ่อมีความสุขกับชีวิตและงานที่ทำ ผมก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไร แม้ในใจอยากจะให้พ่อกลับมาอยู่บ้านเรามากกว่า
ถึงจะไม่มีเงินทองมากมาย แต่การที่เราอยู่ด้วยกัน มันมีค่ามากกว่าเงินทองเสียอีก
เงินที่ผมเก็บเอาไว้ทำร้านอาหารให้พ่อ ยังคงมีอยู่เต็มจำนวน ไม่ได้ขาดหายไป เพราะผมไม่คิดจะเอาออกมาใช้ ถึงจะไม่ใช้เงินจำนวนที่เยอะแต่ก็พอเปิดร้านอาหารเล็กๆได้ เรื่องนี้ผมคงต้องไปขอศึกษาเอากับพี่แนน แต่ยังไม่ได้ลองคุย ผมว่ามันเร็วไปและไม่รู้พี่แนนจะคิดยังไง จะคิดว่าผมแอบมาทำงานที่ร้านเพื่อสืบข้อมูลหรือเปล่า หรือจะเปิดร้านแข่งหรือเปล่าอะไรแบบนั้น
พี่แนนเป็นคนดี เป็นพี่สาวที่ดี ผมไม่อยากจะเสียงคนดีๆในชีวิตไปอีกแล้ว แค่คนๆเดียวที่เสียไปก็มาพอให้ผมจดจำและเก็บไว้เป็นบทเรียน
ในชีวิตเสียเงินทองเท่าไหร่เสียได้ เพราะยังไงก็หาใหม่ได้ แต่กับคนที่รักเรา ถ้าเสียไปก็ไม่มีวันได้กลับคืนมา
“พริก พี่ฝากดูร้านแปบหนึ่งนะ พอดีของหมดพี่จะออกไปซื้อ” พี่แนนเดินออกมาจากหลังร้าน วันนี้มีผมมาทำงานคนเดียว เพราะเป็นวันศุกร์ คนอื่นๆอีกสองคนติดเรียน จะเข้ามาตอนบ่ายกับตอนเย็น
“ให้ผมออกไปซื้อให้แทนไหมครับ” ผมอาสา ข้างนอกอากาศร้อนมาก
“ไม่เป็นไร เราอยู่ดูร้านเถอะ” พี่แนนยิ้มตอบแล้วก็เดินออกจากร้านไป ผมมองตามด้วยความเป็นห่วง พี่แนนตัวเล็กนิดเดียว จะขนของไหวไหมนั่น ปกติพี่นิว พี่ที่ร้านอีกคนจะออกไปซื้อของกับพี่แนนประจำ แต่วันนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากผมพี่แนนเลยต้องไปซื้อของคนเดียว แต่ก็อย่างว่าแหละนะ ถ้าผมไปซื้อคงไม่ได้เรื่อง เพราะยังมือใหม่และไม่รู้ว่าอะไรต้องซื้อเท่าไหร่ ยี่ห้อไหนถึงจะดี พี่แนนไปซื้อเองคงจะดีกว่าเยอะ
ลูกค้าแวะเข้ามาประปราย แต่ก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ร้านพี่แนนมีขายทั้งเครื่องดื่ม ของหวานอย่างพวกเค้ก คุ๊กกี้ และมีอาหารหลากเมนูที่อร่อยเกือบทุกอย่าง อยู่ที่นี่กินข้าวฟรีด้วยครับ ผมก็เปลี่ยนเมนูไปเรื่อย ถ้าผมคิดจะเปิดร้านแบบนี้ ก็อยากจะทำให้ได้อย่างร้านพี่แนน เพราะอาหารอร่อย ราคาก็ไม่แพง เด็กนักเรียนนักศึกษาก็มานั่งกินกันง่าย บางทีก็มีเด็กมานั่งอ่านหนังสือทำงานที่นี่อยู่ครึ่งค่อนวัน แม้บางทีจะสั่งแค่น้ำแก้วเดียวแต่เราก็ยินดีบริการครับ
กริ๊ง
“ขอคาปูชิโน่ร้อนแก้วหนึ่งครับ” ลูกค้าผู้ชายเดินเข้ามาสั่งที่หน้าเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ เขามากินกาแฟที่ร้านทุกวันแล้วก็เวลาเดิม แรกๆผมก็ไม่ได้สนใจ แต่พอได้เห็นทุกวันก็เลยสังเกตุได้ ผมลงมือชงกาแฟตามที่ลูกค้าสั่ง แต่ก่อนผมก็ชงกาแฟพวกนี้ไม่เป็นหรอกครับ แต่พี่แนนก็สอนให้ผมหมดทุกอย่าง
“ได้แล้วครับ” ผมวางแก้วกาแฟตรงหน้าลูกค้า เขาเงยหน้ามองผมก่อนจะยิ้มให้ผมบางๆ ผมก็ยิ้มตอบตามหน้าที่ของผู้ให้บริการที่ดี
“วันนี้ลงมือชงเองหรือครับ” เขาถามผมเหมือนเป็นการชวนคุย
“อ่อ ครับ พอดีไม่มีคนอยู่ ลองชิมดูนะครับว่าโอเคไหม ผมก็เพิ่งทำได้ไม่กี่ครั้ง ไม่รู้ว่ารสชาติจะออกมาดีหรือเปล่า” ผมบอก ผมได้ชงกาแฟแค่ไม่กี่ครั้งหรอกครับ เพราะพนักงานคนอื่นจะมีประสบการณ์และเวลาการทำงานมากกว่าผม ถึงจะทำเป็นแต่ก็ยังไม่มั่นใจในฝีมือ ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่า
“แค่ได้กลิ่มผมก็รู้แล้วว่าอร่อย” เขาพูดเหมือนจะชมแล้วก็ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ผมลุ้นจนตัวเกร็ง ถ้าเป็นเมนูอื่นอย่างพวกโกโก้ ชาเชียวนมสดหรือพวกชาเย็น ผมมั่นใจนะครับ แต่กาแฟนี่มันยากจริงๆ ถ้าชงไม่ได้สัดส่วนไม่ถูกสูตร รสชาติก็จะเสียไปเลย เหมือนจะเป็นงานง่ายแต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย
“เป็นไงบ้างครับ” ผมถาม เขานิ่งไปก่อนจะยิ้มกว้าง เป็นผู้ชายที่หล่อดีจริงๆ เวลาที่เขามานั่งที่ร้าน ก็จะเป็นช่วงที่สาวๆพากันเข้ามาในร้านด้วย ช่วยเพิ่มยอดขายและเพิ่มจำนวนลูกค้าไปในตัว
“อร่อยมากครับน้อง เอ่อ...น้องชื่ออะไรเหรอ พี่ถามได้ไหม” เขาถาม
“ชื่อพริกครับ” ไม่ใช่เขาคนแรกหรอกครับที่ถามชื่อผม ส่วนมากลูกค้าคนไหนที่เป็นลูกค้าประจำก็จะรู้จักคนอื่นในร้าน พอเห็นว่าผมเป็นพนักงานใหม่ก็มันจะถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามผมเป็นธรรมดา
“น้องพริก พี่ชื่อต่อนะครับ ทำงานอยู่ที่บริษัทใกล้ๆนี้” พี่เขาชี้ออกไปนอกร้านให้ผมเห็นบริษัทใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านผม
“อ่อครับ ผมขอตัวไปดูลูกค้าคนอื่นก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรก็เรียกได้” ผมเอ่ยขอตัวเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน ผมเดินไปหยิบเมนูไปให้ลูกค้าผู้หญิงทั้งสองคน ตอนนี้ยังไม่เที่ยงคนเลยยังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ถ้าพอเที่ยงปุ๊บคนจะแน่นร้านมาก
ผมรับออเดอร์จากลูกค้าสาวทั้งสองท่านเสร็จก็เอารายการอาหารไปให้แม่ครัวที่หลังร้าน ก่อนจะออกไปผมก็ช่วยป้าเขาหยิบจับเตรียมของบางอย่างเอาไว้ เพราะอีกไม่นานลูกค้าก็จะเยอะ ก็จะไม่มีคนช่วย ผมก็ต้องออกไปอยู่หน้าร้านจนกว่าพี่แนนจะกลับมา
“ออกไปข้างนอกเถอะลูก ป้าทำได้”
“ครับป้า” ผมเดินออกมาดูร้านที่หน้าร้านตามเดิม พอดีกับที่ลูกค้าสาวสองคนสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม ผมก็ลงมือทำให้ด้วยความรวดเร็ว ไม่อยากให้ลูกค้ารอนาน
จนกระทั่งช่วงเที่ยงที่มีคนเข้ามากินข้าวเยอะมาก ผมก็วิ่งวุ่นไปทั่วร้าน บางทีต้องไปช่วยป้าแม่ครัวทอดพวกไข่เจียวไข่ดาวหรือไม่ก็ตัดข้าวใส่จานและตกแต่ง แล้วก็วิ่งออกมาดูร้านและทำเครื่องดื่ม แต่ดีที่ว่าลูกค้ามักเป็นคนที่คุ้นหน้า บางอย่างเขาก็จะช่วยตัวเองอย่างเช่นน้ำเปล่าที่ทางร้านเสิร์ฟฟรีก็จะตักน้ำแข็งและเทน้ำดื่มกันเอง ผมชอบบรรยากาศแบบนี้นะครับ เพราะเราได้เขาถึงลูกค้าและลูกค้าก็ได้เข้าถึงเรา เป็นกันเองกันไม่เกร็งมาเหมือนร้านอาหารหรูๆที่พนักงานมันไม่ค่อยได้พูดคุยกับลูกค้าเท่าไหร่
“พี่กลับมาแล้วพริก โทษทีที่ไปนาน พอดีรถติดนิดหน่อย” พี่แนนกลับมาแล้วครับ ผมเลยให้พี่แนนดูหน้าร้านแล้วผมก็เข้าไปช่วยในครัว เพราะงานในครัวจะยุ่งมากกว่าเพราป้าแกทำคนเดียว
ไม่อยากจะบอกว่าผมทำอาหารได้หลายอย่างเลยนะครับได้ป้าแกสอน ป้าแกชื่อป้าติ๊ก ทำอาหารอร่อยมาก ได้ทั้งไทยและเทศ เวลาผมเข้ามาช่วยป้าแกก็จะสอนผมไปด้วย บางครั้งก็ให้ผมลองทำโดยที่ป้าแกยืนกำกับอย่างใกล้ชิด
หลังจากที่ข้าวจานสุดท้ายของช่วงเที่ยงถูกเสิร์ฟออกไป ผมก็ได้เวลาพักเพราะนิวเข้ามาทำงานในช่วงบ่าย มื้อเที่ยงนี้ป้าติ๊กสอนผมทำข้าวผัดน้ำพริกทรงเครื่อง ก็เป็นข้าวผัดน้ำพริกกะปิ มีเครื่องเคียงเป็นปลาทูทอดตัวอวบอ้วน ไข่ชะอมที่ทั้งหนาและนุ่ม มีผักสดอีกนิดหน่อย
“อืม...อร่อยจังครับป้า” ถึงผมจะเป็นคนลงมือทำจานนี้เอง แต่มันอร่อยเพราะป้าแกเป็นคนตำน้ำพริก ป้าติ๊กเคยสอนผมแล้ว ป้าบอกอร่อยแต่ผมว่ามันยังไม่เท่ากับฝีมือของป้า
เห็นอาหารตรงหน้าแล้สนึกไปถึงมาโค...ผมอยากให้เขาได้ลองชิม เพราะเขาชอบมาอ้อนให้ผมทำอะไรให้กิน ตอนนั้นผมก็ทำได้ไม่กี่อย่าง ทำเป็นแต่ของง่ายๆ แต่ตอนนี้ผมทำเป็นหลายอย่าง อยากทำให้เขากิน แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ทำงานเสร็จผมก็เตรียมตัวกลับบ้าน วันศุกร์ผมจะทำตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนถึงหกโมงเย็น ผมเดินไปตามทางเรื่อยๆจนถึงหน้าปากซอย แวะซื้อของใช้บางอย่างที่ร้านขายของชำแถวๆนั้นแล้วก็เดินเข้าซอยบ้าน ที่นี่ไม่มีใครรู้จัก มีแค่ข้าวตังที่เคยมาและคุณไวน์ นอกนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าบ้านผมอยู่ที่ไหน เพราะผมไม่อยากให้ใครรู้ และคนๆนั้นก็คือมาโค
วันที่ผมกลับมาทำความสะอาดที่บ้านแล้วโกหกเข้ามาออกมาทำงาน ผมอยากจะให้ที่นี่เป็นเสมือนหลุมหลบภัยที่ผมจะซ่อนตัวจากภัยอันตรายทั้งปวง มันทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยแม้จะต้องอยู่อย่างเดียวดายก็ตาม
จากที่เดินอยู่คนเดียว ผมก็รู้สึกเหมือนว่ามีคนเดินตาม ผมค่อยๆผ่อนเท้าลง ก้มหน้ากรอกตาไปมา พยายามฟังเสียงเท้าแต่อยู่ๆก็เงียบหายไป ผมเลยหันไปมองแต่ก็ไม่มีใคร หรือว่าผมจะคิดไปเอง
“สงสัยจะทำงานหนัก” ผมส่ายหัวให้กับตัวเองแล้วก็เดินต่อจนถึงบ้าน
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่บ้านผมก็เงียบเหงาเหมือนเดิม แวบหนึ่งในความรู้สึก ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าอยู่ แต่ไม่รู้จะทำยังไง มันเงียบเกินไป เพราะแบบนี้ผมถึงไม่ค่อยอยากจะอยู่บ้าน อยากทำงานอยู่ที่ร้านต่อ แต่พี่แนนสั่งให้ผมพักผ่อนบ้าง แต่การที่ต้องกลับมาอยู่คนเดียวมันทรมานเกินกว่าใครจะเข้าใจผม
ผมเดินขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะลงมาปิดบ้านเปิดไฟด้านล่างเพราะผมคงไม่ลงมาข้างล่างแล้ว เวลาอยู่บ้านผมมันจะอยู่ในห้องนอนตัวเองมากกว่าจะลงมาอยู่ข้างล่าง
ขึ้นห้องมาผมก็หานู่นหานี่ทำไม่ให้ตัวเองว่างจนเกินไป แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีการบ้านที่ต้องทำส่งวันจันทร์ ผมก็เลยเอาออกมาทำ บอกได้เลยว่าก่อนหน้านี้ผมคงจะทำคืนวันอาทิตย์ ไม่ได้ทำตัวขยันแบบนี้หรอกครับ เหอะๆ
ทำการบ้านไปไม่นานข้าวตังก็โทรเข้ามาหาผมถามเรื่องการบ้าน ผมเปลี่ยนเบอร์ใหม่มีแค่เพื่อนในมหาลัยไม่กี่คนและพ่อผมเท่านั้นที่รู้ แม้แต่โอชินผมยังไม่ติดต่อมันเลย ผมยังไม่พร้อมที่จะเจอใครตอนนี้ กลัวที่จะตอบคำถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นถ้าหากว่ามันถาม ผมยังไม่พร้อมจริงๆ
หลังจากที่อธิบายเรื่องการบ้านให้ข้าวตังฟังจนเข้าใจ ผมก็วางสายแล้วผมก็ลงมือทำการบ้านจนเสร็จ เพิ่งจะสามทุ่มเอง ไม่มีอะไรให้ผมทำเลย หนังที่มีอยู่ผมก็ดูจนหมดแล้ว ได้แต่เปิดทีวีดูไปเรื่อยๆ จนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าผมฝัน และเป็นฝันที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ผมกลับมาอยู่ที่บ้าน
ผมฝันว่ามาโคมาหาผม เขากอดผมเอาไว้ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูผม คำกระซิบที่ทำให้ผมนอนหลับฝันดี
“พี่คิดถึงพริกนะ รักมากนะรู้ไหม”
เป็นฝันที่ผมไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบกับความจริง อยากจะล่องลอยอยู่ในความฝัน
ถ้าความฝันมันจะกลายเป็นความจริง ผมก็ไม่อยากจะตื่นเลย
จนกระทั่งตอนเช้าวันเสาร์ที่ผมต้องไปทำงาน เป็นเช้าที่ผมตื่นมาโดยที่ไม่รู้สึกปวดหัวเพราะนอนไม่พอ จากอาการนอนไม่หลับ ผมยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะมองไปรอบๆห้อง แต่แล้วก็มีบางอย่างที่ทำให้ผมแปลกใจ
ใครปิดทีวีให้ผม...
………………………………………….
ช่วงนี้ขอทยอยมาทีละครึ่งนะคะ ไม่งั้นจะทิ้งช่วงห่างแต่ละตอนนาน ไม่ว่ากันเนอะ ^_^