DOUBLE-FACED: เสแสร้งแกล้งรักChapter 01: I meet you and the game is already started
HIM: PRIK
“นี่ชุดค่ะน้องพริก เข้าไปเปลี่ยนได้เลยจ๊ะ”
“ผมถ่ายคนเดียวหรือครับ”
“เปล่าจ๊ะ วันนี้เป็นคอนซ็ปชุดคู่ เดี๋ยวจะมีน้องผู้หญิงมาถ่ายด้วย เห็นว่ากำลังมาน่ะ”
“อ่อ...ครับ” ผมพยักหน้ารับนิ่งๆให้พี่จีจี้ที่ทำหน้าที่คอสตูม ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนชุดที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมมาทำงานเป็นนายแบบให้กับเสื้อผ้าแบรนด์หนึ่ง ที่จริงรูปร่างอย่างผมไม่น่าจะเป็นนายแบบได้ เพราะนายแบบอะไรจะสูงแค่ 170 อย่างผมกันล่ะ มันต้องสัก 180 ขึ้นไปนู่น แต่พอดีว่าแบรนด์นี้เขาทำเสื้อผ้าผู้ชายทุกไซต์ทุกขนาด คือมีตั้งแต่ผู้ชายที่ตัวเล็กแบบผม แล้วก็เสื้อผ้าไซต์นายแบบตัวโตที่สูง 180 ขึ้นไป
แบรนด์ที่ผมมาทำงานให้ชื่อว่า ‘Jesus Ruiz’ เป็นแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาย แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เป็นเพราะเสื้อผ้าหรือเป็นเพราะนายแบบ ผมไม่ได้ชมว่าตัวเองหน้าตาดีนะ แต่นายแบบรุ่นพี่คนอื่นต่างหากที่หน้าตาดี แบรนด์นี้จะขายเฉพาะเสื้อผ้าผู้ชาย แต่จะมีบ้างที่จะทำเป็นคอนเซ็ปชุดคู่ชายหญิง ก็เลยจะมีชุดผู้หญิงขายบ้างประปราย แต่ไม่มีนางแบบเป็นของแบรนด์ เพราะมีงานไม่คุ้มถ้าจะต้องเซ็นสัญญา
ทุกคนที่จะเป็นนายแบบของที่นี่ต้องเซ็นสัญญา 3 ปี หรือ 5 ปีก็ว่ากันไป แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ได้เซ็นสัญญา ผมมีสิทธิทำงานที่นี่นานได้เท่าที่ต้องการ จะเรียกว่าผมเป็นเด็กเส้นก็ได้ แต่เรื่องนี้ไม่มีใครรู้หรอก มีแค่ผมกับเจ้าของแบรนด์เท่านั้นที่รู้กันสองคน
ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกไปรอแต่งหน้า ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผมโครตจะไม่ชอบมากถึงมากที่สุด ไม่เข้าใจว่าเวลาผู้หญิงแต่งหน้ากันไม่รู้สึกหนักหน้าบ้างหรือไง เพราะผมรู้สึกว่ามันทั้งหนักหน้าแล้วก็เหนอะหน้าสุดๆ
“น้องพริก มานี่เร็ว มาทำความรู้จักกับนางแบบวันนี้ของเราหน่อย” พี่จีจี้โบกมือเรียกผม ข้างๆพี่เขามีเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักมากๆคนหนึ่งยื่นอยู่ด้วย คงจะเป็นนางแบบของวันนี้
“นี่น้องนินิวจ๊ะ ส่วนนี่ก็น้องพริก ทำความคุ้นเคยกันไว้นะจ๊ะ” พี่จี้ๆแนะนำให้เราทั้งสองรู้จักกัน ผมยิ้มให้นินิวและก้มหัวน้อยๆ เธอก็ทำเช่นกัน แต่เธอจะฉีกยิ้มกว้างกว่าผม
“สวัสดีจ๊ะพริก” เธอเริ่มทักผมก่อน หลังจากที่พี่จีจี้บอกให้ผมคุยกันทำความรู้จักกันไว้ แล้วผละไปหยิบชุดให้นินิว
“อืม สวัสดี” ผมก็เลยทักตอบ
“ชุดน่ารักดีอ่ะ พริกใส่แล้วดูดีจัง” เธอชี้มาที่ชุดของผม การพูดการจาของเธอดูไม่เคอะเขินเลย ต่างกับผมลิบลับ
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวนินิวก็ได้ใส่” กับผู้หญิงน่ารักต้องสุภาพหน่อยครับ ^^
พูดไม่ทันขาดคำพี่จีจี้ก็เดินเอาชุดแบบเดียวของผมแต่เป็นของผู้หญิงมาให้ ซึ่งความจริงก็ต่างกันแค่สีและขนาดตัว ของผู้ชายจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนของผู้หญิงจะเป็นสีเขียวเวอรเรเดียน อืม ถ้าใครไม่รู้ว่าสีเขียวเวอร์เรเดียนเป็นยังไงก็ลองไปเซิชหาดูเอาแล้วกัน ผมเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
“ไปเด็กๆ แยกย้ายกันไปแต่งตัวแต่งหน้าก่อนเร็ว จะได้เวลาถ่ายล่ะ” พี่จีจี้ตบมือสองทีก่อนจะลากนินิวไปแต่งตัว ผมเองก็เดินไปหาพี่อีกคนที่ทำหน้าที่เป้นช่างแต่งหน้า
ผมนั่งให้พี่เขาแต่งหน้า สักพักนินิวก็มานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆผมพร้อมกับช่างแต่งหน้าอีกคน นินิวส่งยิ้มให้ผม ผมก็เลยส่งยิ้มตอบกลับ จนได้เวลาถ่ายแบบ
การถ่ายธีมสดใสไม่ใช่งานยาก เรียกได้ว่าเป็นการถ่ายแบบที่ง่ายที่สุดสำหรับผมเลยก็ว่าได้ ก็แค่ยิ้ม หัวเราะ เคลื่อนไหมร่างกายอีกนิดหน่อยก็ใช้ได้
ผมหยิบลูกโป่งที่ใช้ประกอบฉากส่งให้นินิวพร้อมยิ้ม เสียงรัวชัตเตอร์ดังขึ้นต่อเนื่อง นินิวรับลูกโป่งไปก่อนจะยิ้มสดใสเงยหน้ามองลูกโป่งสีสวยนั่น ความสดใสร่าเริงของเธอทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้
มีคนบอกผมมาว่า ถ้าเราแสดงความรู้อะไรออกไป ฝ่ายตรงข้ามจะให้ความรู้สึกแบบเดียวกันกลับมา ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ในบางสถานการณ์ แต่ในตอนนี้ผมเชื่อนะ เพราะนินิวแผ่รังสีความสุขออกมา มันเลยทำให้ผมพลอยมีความสุขไปด้วย และบรรยากาศรอบๆสตูดิโอก็สดใสขึ้นมาทันตา
แค่เพียงสองชั่วโมงงานก็เสร็จ ผมแยกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้ผมมีนัดจะสายไม่ได้เด็กขาด
“อ้าวพริก จะกลับแล้วเหรอ” นินิวเดินเข้ามาหาผมที่กำลังเก็บของ เธอเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิมแล้วเหมือนกัน
“อืม พอดีมีนัดน่ะ” ผมบอกไป
“งั้น...” ผมยกกระเป๋าขึ้นสะพานหลังก่อนจะหันไปหาเธอเต็มตัว สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีที่สบายๆ
“มีอะไรหรือเปล่า” ผมยกพลางยกนาฬิกาข้อมือดู อืม ถ้าผมไม่ออกตอนนี้ผมไปสายแน่
“เปล่าจ๊ะ ไว้เจอกันน่ะ” เธอส่ายหน้ายิ้มๆก่อนจะผละเดินออกไป ผมยักไหล่นิดๆก่อนจะเดินออกจากสตูดิโอ
“น้องพริก อย่าเพิ่งไปจ๊ะ” พี่จีจี้ตะโกนเรียก ผมหยุดเดินก่อนหันไปมองพี่จีจี้ที่วิ่งถือถุงใบใหญ่มาให้ผม
อีกแล้วเหรอเนี่ย -_-
“ถ้าพี่จะเอาไอ้ถุงนั้นมาให้ผมล่ะก็ ผมไม่เอานะ” ผมว่าเตรียมจะเดินออกจากที่นี่
“ไม่ได้นะน้องพริก คุณไวน์สั่งมา” พี่จีจี้ทำหน้างอ และแน่นอนว่าถ้าผมไม่รับพี่จีจี้คงต้องถูกดุแน่ๆ ผมเลยต้องจำใจเอื้อมมือไปรับถุงกระดาษใบใหญ่ที่มีตัวอักษรบอกยี่ห้อตัวบะเร้อ
Jesus Ruiz
“แค่นี้ใช่ไหมครับ” ผมถาม
“แค่นี้แหละจ๊ะ โชคดีนะจ๊ะ” พี่จีจี้โบกมือให้ผมแล้วก็เดินกลับเข้าไปข้างใน
ผมเดินถือถุงเจ้าปัญหาไปที่ลานจอดรถก่อนจะเปิดประตูรถด้านหลังแล้วโยนถุงนั้นเข้าไปข้างใน ของในถุงนั้นเป็นเสื้อผ้า ร้องเท้า นาฬิกา พูดง่ายๆคือสินค้าตัวไหนที่ผมใส่ถ่ายแบบเพื่อนำไปลงเว็ปไซต์หรือลงตามนิตยสาร ของพวกนั้นจะเป็นของผมทุกชิ้น และเป็นแบบนี้ทุกครั้ง เรียกง่ายๆว่าเสื้อผ้าตัวไหนของแบบนี้ออกมาแล้วมีผมเป็นคนสวมใส่ ทุกตัวนั่นได้ไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าผมหมดแล้ว ตัวหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะถูก เสื้อบางตัวเกือบห้าพันก็มี แต่จะไม่รับก็ไม่ได้ เพราะคุณ ‘ไวน์’ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์และยังเป็นเจ้านายผมโดยตรงเป็นคนจัดการ และเป็นเขานี่แหละที่ทำให้ผมกลายเป็นเด็กเส้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ผมขับรถมาที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแฟชั่นโชว์ของห้องเสื้อชื่อดัง งานจะเริ่มตอนทุ่มหนึ่ง แต่นี่หกโมงกว่าเข้าไปแล้วผมเพิ่งจะถึง เปล่า...อย่าคิดว่าผมมาเดินแบบ ผมแค่ถูกเชิญมาเท่านั้น ส่วนสูงผมไม่ถึงให้เป็นนายแบบด้วยซ้ำเอาจริงๆ เอาล่ะ ผมไม่ควรพร่ำเพ้อมาก ผมควรจะลงจากรถแล้วก็เข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุดเป็นชุดสูทที่ดูดีกว่านี้
“ฮัลโหลครับ” ผมมองตัวเองในกระจกอีกครั้งเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะหยิบลิปมันออกมาทาเพื่อไม่ให้ปากแห้งจนเกินไป
“อยู่ไหนแล้วพริก” คุณไวน์นั่นเองที่โทรมา ตอนรับผมก็รีบรับโดยไม่ดู
“อยู่ในห้องน้ำครับ กำลังจะไป คุณไวน์อยู่ตรงไหนเหรอครับ”
โรงแรมนี้ไม่ใช่เล็กๆ แถมตอนนี้คนก็พลุกพล่านเต็มไปหมด คงไม่ง่ายถ้าจะหาตัวคุณไวน์ แต่มันก็ไม่ยากหรอกเพราะเขาเป็นคนที่ดูดีเอามากๆ ทั้งรูปร่างที่สูงราวอย่างนายแบบและหน้าตาที่หล่อเหลาเอาการ แต่ผมขี้เกียจไปเดินหาทั่วงาน มันคงจะง่ายกว่าถ้ารู้ว่าคุณไวน์เขาอยู่ตรงไหน
“อยู่ตรงห้องน้ำชั้นล่างใช่ไหม รออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวไปรับ”
ติ๊ด!
สายถูดตัดไปเหมือนเคย ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะได้เป็นคนตัดสายก่อน บางทีผมยังพูดอยู่เขาก็ตัดสายไปเสียดื้อๆ แต่จะไปว่าอะไรได้ เขาเป็นเจ้านายผมนี่นา
“พริก” ตายยากจริงๆแหะ
“ผมต้องเอาของไปเก็บก่อน” ผมยกถุงเสื้อผ้าให้คุณไวน์ เขาคงไม่คิดจะให้ผมถือมันเข้าไปในงานหรอกนะ
“ไม่ต้องหรอก เอามานี่” คุณไวน์ดึงถุงกระดาษออกจากมือผมก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แล้วก็ส่งถุงนั่นให้พนักงานพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างก่อนจะเดินกลับมาหาผมที่ยืนนิ่งๆ
“ไปเถอะ งานใกล้เริ่มแล้ว”
ผมได้แต่เดินตามหลังคุณไวน์เข้าไปในงาน แขกที่มาต่างจับจองนั่งตามเก้าอี้ที่ได้จัดไว้ คุณไวน์เดินนำไปนั่งที่แถวหน้าสุด หรือที่เรียกได้ว่าเป็นแถวที่มีแต่แขกคนสำคัญ สำหรับคุณไวน์คงไม่แปลกที่จะไปนั่ง แต่สำหรับผมนั่งคงเป็นเรื่องที่แปลกมาก จึงทำให้หลายคนทั้งคุณหญิงคุณนาย ผู้ชาย ผู้หญิง ตุ๊ดเกย์ทั้งหลายแหล่ที่มีหน้ามีตาในสังคมหันมองมาทางผมก่อนจะหันกลับไปซุบซิบนินทา
เฮ้อ ใครว่าพวกผู้ดีมีมารยาทนินทาไม่เป็น ผมว่าบางทีพวกผู้ดียังไร้มารยาทมากกว่าคนทั่วไปเสียอีก
ก็นะ แต่ใครจะแคร์ ผมเชิดหน้าขึ้นนั่งหลังตรง สายตาค่อยๆกวาดมองไปทั่วบริเวณงาน หญิงสาวหลายคนมองมาทางผม ผมยกยิ้มให้พวกเธอ แล้วก็ได้ผลเมื่อเธอทำท่าเขินอาย ผมดึงสายตาตัวเองกลับมามองตรง
แต่แล้วสายตาผมก็สบเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งฝั่งตรงข้าม และ...เขานั่งจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว ผมจ้องตาเขาตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว มองดูก็รู้ว่าเขาสนใจในตัวผม ไม่งั้นก็คงไม่จ้องมองด้วยแววตาของหมาป่าที่รอขย่ำเหยื่อแบบนั้นหรอก
“ไอ้หมอนั่นน่ะชื่อว่ามิล เป็นลูกเจ้าของร้านเพชรในห้างดัง” คุณไวน์กระซิบข้างใบหูผม ผมพยักหน้ารับช้าๆ สายตายังคงจับจ้องไปที่มิล
“เมื่อไหร่งานจะเสร็จ” ผมหันไปมองคุณไวน์แล้วถามเสียงเบา
“ตลกหรือเปล่าพริก งานยังไม่เริ่มเลย” คุณไวน์หัวเราะในลำคอราวกับว่าเรื่องที่ผมถามมันเป็นเรื่องตลกขบขันเสียอย่างนั้น แต่มันไม่ตลกสักนิด ผมไม่ชอบอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆแบบนี้เท่าไหร่ มันอึดอัด
“เฮ้อ ช่างเถอะ” ผมได้แต่ถอนหายใจแบบปรงๆ
ครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้นงานก็เริ่มขึ้น นางแบบและนายแบบหลายคนต่างค่อยๆทยอยกันเดินออกมาบนแคทวอร์ค ดีไซน์การออกแบบเสื้อผ้าที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกและความเป็นไทยสร้างความฮือฮาให้แก่คนที่มาร่วมงานวันนี้เลยไม่น้อย และแน่นอนว่าเสื้อผ้าแต่ละชุดราคาก็ไม่น้อยเช่นกัน
ผมนั่งดูเหล่านางแบบนายแบบไปเรื่อยๆ บอกตามตรงเลยว่าไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจตรงไหน ก็แค่มานั่งดูคนใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม อย่างน้อยมันก็ดีเยี่ยมน่ะนะ แต่ถ้าคนที่สวมใสมัจะแสดงออกทางสีหน้าสักนิดหนึ่งมันคงจะทำให้เสื้อผ้าเหล่านั้นดูมีชีวิตชีวามากกว่านี้
แต่ยังดีที่ยังมีเสียงเพลงที่เปิดบรรเลงช่วยให้บรรยากาศไม่น่าเบื่อมากนักสำหรับผม
“เบื่อหรือไง” เสียงดังแว่วๆของคุณไวน์เสียดแทรกเสียงเพลงเข้าสู่รูหูผม
“นิดหน่อยครับ”
“หึหึ เดี๋ยวชุดต่อไปก็ไม่น่าเบื่อแล้ว จับตาดูให้ดีล่ะ”
“...”
ผมยืดตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจับจ้องไปยังเวทีแคทวอร์คที่มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา มันคงจะน่าเบื่อเหมือนที่ผ่านมาถ้าหากว่าผู้ชายที่เดินออกมาไม่มีเสน่ห์มากจนเหลือล้นแบบนี้ รูปร่างสูงโปร่ง แต่ก็มีมัดกล้ามที่พอสวยงามอย่างคนสุขภาพดีซึ่งสังเกตุได้จากชุดที่ค่อนข้างแนบเนื้อเข้ารูป ท่อนขาเรียวยามเดินตรงมาเรื่อยๆด้วยความมั่งคง ใบหน้าที่ดูดีอย่างรืที่ดิ แม้จะไม่ได้แสดงอารมณ์ผ่านใบหน้าเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เขากลับสื่ออารมณ์ผ่านดวงตาเจ้าเสน่ห์คู่นั้น
ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นระรัวแข่งกับเสียงเพลงประกอบการเดินแบบ มือหนายกขึ้นเสยเรือนผมสีดำสนิทก่อนจะเลื่อนลงมาปลดกระดุมเสื้อสองเม็ดบนและพับแขนเสื้อขึ้นพร้อมยืนโพสท่าอยู่ตรงกลางเพื่อให้ช่างภาพได้รัวชัตเตอร์เก็บภาพที่ของบุคคลที่ดูดีที่สุดในค่ำคืนนี้
เขาจะรู้บ้างไหมว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่กับทำให้ใครหลายคนแทบบ้า บ้าไปกับเสน่ห์ของเขาที่ไม่ต้องปรุงแต่งเลยด้วยซ้ำ สายตาที่กวาดมองไปทั่วบริเวณทำเอาทุกคนแทบหยุดหายใจ ก่อนที่สายตาเรียวรีเข้มจะมาหยุดอยู่ที่ผม จากนั้นริมฝีปากของเขาก็กระตุกยิ้มพร้อมกับหมุนตัวเดินกลับไป
คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ผมกำลังคิดอะไรอยู่
ผมกำลังคิดว่า...หนึ่งในอีกหลายๆคนที่กำลังจะคลั่งตายเพราะเขา หนึ่งในนั้นคือ...ผม!!!
สาบานได้ ถ้าผมย้อนเวลาได้ ผมจะไม่สบตาเขาเด็ดขาด!
HIM: MACO
“นั่นเด็กมึงไม่ใช่เหรอวะมาโค” ไอ้ออกัสยกมือที่ถือแก้วเหล้าไว่ชี้ไปทางเด็กผู้ชายที่หน้าตาดี ตัวเล็กสูงโปร่ง ผิวขาวใสไปทั่วตัว
“ก็แค่ของเก่า” ผมตอบพร้อมกับยกแก้ววิสกี้เพียวๆเข้าปาก รสชาติแอลกอฮอล์มักจะสร้างความรื่นรมณ์ให้ผมเสมอ บางทีผมอาจจะเป็นโลกแอลกอฮอล์รลิซึ่มก็ได้ เพราะมนแต่ละวันผมดื่มมันมากกว่าน้ำเปล่าเสียอีก คิดว่าในร่างกายของผมคงมีแอลลอฮอล์หล่อเลี้ยงประมาณสี่สิบเปอร์เซ็นในร่างกาย พอมันเริ่มขาดก็ต้องรีบทดแทน
“ห๊ะ! นี่มึงกำลังจะบอกว่ากูว่าเลิกกับน้องพอร์ชแล้วเหรอ!” ไอ้ออกัสทำเบิกตากว้าง แม่งจะตกใจอะไรขนาดนั้น ผมแค่เลิกกับเด็กนะเว้ย ไม่ได้เลิกกับเมีย และก็เลิกไม่ได้ด้วยเพราะผมยังไม่มีเมีย
“แปลกหรือไง กูเบื่อกูก็เลิก” ผมยักไหล่ไม่ใส่ใจ ตาก็สอดส่ายหาเด็กหน้าตาดีๆสักคนที่จะให้คืนนี้ของผมเป็นยิ่งกว่าสวรรค์
“มันไม่แปลกหรอก เพียงแต่มึงคบกับพอร์ชนานกว่าคนอื่น เลยคิดว่าบางทีมึงอาจจะจริงจัง” ไอ้ธัน หรือ ธันเดอร์ เพื่อนสนิทอีกคนของพูดเสียงราบเรียบ สายตานิ่งๆของมันมองไปทางพอร์ชที่กำลังคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่การคุยกันดีๆมากกว่า
“กูไม่คิดจะจริงจังกับใคร” บุหรี่มวนที่สามของคืนถูกผมจุดไฟแล้วก็สูบมันเข้าปอด
ผม ธันเดอร์ และออกัส เราเป็นนายแบบด้วยทั้งสามคน แต่ผมกับไอ้ออกัสน่ะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ส่วนไอ้ธัน ผมเพิ่งจะรู้จักกับมันได้แต่ที่เรียนปีสี่ นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้ว แต่เป็นสองปีที่ทำให้ผมกับมันสนิทกันได้ไม่ยาก เราไม่ได้มีนิสัยที่เหมือนกัน แต่ไลฟ์สไตล์ที่ไปทางเดียวกันได้และอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมและพวกมันรู้สึกว่า เราเนี่ยแหละเพื่อนกัน
“เหมือนน้องเขาจะกำลังลำบาก จะไม่ไปช่วยเหรอวะ” ไอ้ออกัสถาม
“ไม่ใช่เรื่องของกูนิ”
“มึงแม่งก็เป็นอย่างนี้ เหี้ยจริงๆ”
“มึงก็ไม่ต่างจากกูหรอกไอ้กัส - -”
สำหรับผมแล้ว ถ้าเลิกคบคือเลิก ผมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าสถานการณ์ใดๆก็แล้วแต่ เพราะถ้าผมใจดีคนพวกนั้นก็จะเกาะไม่ปล่อย เพราะว่าทำดีด้วยแล้วเหลิง ก็ไม่ต้องเอามันหรอกความดีจากผมน่ะ เอาแต่สิ่งเลวๆไปแล้วกัน เขาถึงได้บอกไงว่าตัดบัวอย่าเหลือใย
“นั่น ไอ้ดีนกับไอ้มิล” ไอ้ธันใช้มือที่กำลังถือจินโทนิคชี้ให้ผมดูผู้ชายสองคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในผับ พอเห็นหน้ามันผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที โลกมันกลมผมเข้าใจ แต่ทางทีดีอย่าโคจรให้มันมาเจอผมดีกว่า
ผมเป็นเสือ มันก็เป็นเสือ
และเสือสองตัวก็อยู่ในถ้ำเดียวกันไปไม่ได้!!!
“กูหวังว่าวันนี้มึงคงไม่ตีกับมันนะไอ้มาร์ค” ไอ้ออกัสทำหน้าเหนื่อยหน่ายพลางเรียกชื่อย่อของผม มันก็ไม่พิเศษอะไรเท่าไหร่ แต่จะมีแค่คนสนิทเท่านั้นที่เรียกผมแบบนั้นได้
“ก็ไม่แน่ ถ้ามันกวนตีนกู”
“กูว่ามันกวนตีนมึงแน่ ดูนู่น” ไอ้ธันเรียกให้ผมหันไปมอง สีหน้ามันเรียบเฉย แต่ถ้ามองจากแววตาของมันแล้วก็จะรู้ได้ว่ามันกำลังสนุก แต่ผมไม่สนุก! เห็นหน้ามันแล้วพาลของขึ้น!
“สวัสดี” ไอ้ดีนนั่งลงบนโซฟาที่ว่างโดยไม่ได้ถามความเห็นผมเลยว่ารังเกียจไหมที่จะให้มันร่วมโต๊ะด้วย
“มึงมีอะไร” ผมถามไอ้ดีนเสียงห้วน ไม่มีทางที่มันจะเข้ามาทักทายผมราวกับเป็นเพื่อนรู้คนรู้จักกันแบบนี้ ระหว่างมันเป็นได้แค่ศัตรูกันเท่านั้น อย่าว่าแต่ทักทายเลย แค่มองหน้ายังไม่อยากจะมองเลยด้วยซ้ำ
“จุ๊ๆๆ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไป กูมีอะไรดีๆมาเสนอ” เห็นความกวนประสาทของมันไหมครับ ถ้าไม่ติดว่าวันนี้ผมไม่มีเรื่องหงุดหงิดเป็นทุนเดิมละก็ ผมชกมันไปแล้วโทษฐานทำหน้ากวนประสาทใส่ผม
“กูไม่ต้องการ มึงจะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่งกับกู” ผมจ้องหน้ามันอย่างจริงๆจัง แต่นอกจากมันจะไม่ไปแล้วยังยิ้มกวนประสาทใส่ผมอีก
อะไรของแม่งนักหนาวะ พิศวาสกูมากงั้นสิ!
“มึงอย่าไปกวนมันได้ไหมไอ้ดีน รีบๆทำธุระมึงให้เสร็จได้ไหม กูจะได้ไปทำธุระของตัวเองบ้าง” ไอ้มิลเพื่อนมันพูดบ้าง
“งั้นกูเข้าเรื่องแล้วกัน” ไอ้ดีนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “กูขอท้าให้มึงไปจีบคนๆหนึ่ง ถ้ามึงทำได้อยากได้อะไรก็จะหามาให้ แต่ถ้ามึงแพ้ กูก็จะเรียกร้องเอาจากมึงเหมือนกัน” มันพูดด้วยท่าทีที่สบายอกสบายใจ
มันเป็นเกมส์สินะ
“แล้วทำไมก็ต้องทำตามที่มึงบอก”
ไม่มีความจำเป็นที่ผมต้องเล่นไปตามเกมส์ของมันสักนิด หึ จีบคนๆหนึ่งงั้นเหรอ ถ้าเป็นคนที่มันเตี้ยมมาผมไม่ซวยหรือไงแล้วอีกอย่างคนๆนั้นจะมีค่ามากพอให้ผมลงไปยุ่งด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ สรุปเลยว่า...
“กูไม่เล่น” สั้นๆง่ายๆเลยครับ มันคิดว่าผมเป็นเพื่อนเล่นมันหรือไงวะ!
“แน่ใจเหรอ บางทีถ้ามึงเห็นเด็กคนนั้นมึงอาจจะเปลี่ยนใจ” สีหน้ามั่นใจว่ามันเป็นต่อผม หรือก็มั่นใจว่าเด็กที่มันพูดถึงน่ะดีจริง
“ใคร?” และมันก็ทำให้ผมอดสนใจไม่ได้
“หันไปทางสิบฬิกา ผู้ชายตัวเล็กผิวขาวในเสื้อกล้ามสีดำตัวโคร่ง มีลายสักที่หน้าอก” มันพูดพร้อมบรรยายรูปลักษณ์ของผู้ชายคนหนึ่ง ผมหันไปมองแล้วก็ต้องนิ่งค้าง
นั่งมันเด็กที่ผมเจอในงานแฟชั่นโชว์นี่
ไม่ผิดแน่
“ไอ้ดีน นั่นของกู!!!” ไอ้มิลหันไปหาเรื่องไอ้ดีนเสียงดัง แต่ดีที่เสียงเพลงมันดังกว่าเลยไม่มีคนสนใจพวกผมกับพวกไอ้ดีนมากนัก ผมละเว้นที่จะใช้คำว่าพวกเรา เพราะผมจะไม่รวมญาติกับไอ้ดีนเด็ดขาด!!!
“เขาไม่ใช่ของมึงไอ้มิล มึงก็แค่ชอบเขา และเขาก็ไม่รู้จักมึง” คิดดูเอาว่าขนาดไอ้มิลเป็นเพื่อนมัน มันยังทำแบบนี้ได้ คนอย่างมันจะเลวสักแค่ไหน แต่อย่าคิดว่าผมจะกลัวมันนะ ผมแค่ไม่อยากมีมันมาโคจรในวงจรชีวิตผมก็เท่านั้น
“แต่มึงก็รู้ว่ากูชอบเขา มึงจะให้ไอ้มาโคไปยุ่งกับพริกไม่ได้!!!” ไอ้มิลกระชากขอเสื้อไอ้ดีนเข้าหาตัวอย่างแรง แต่คนโดนกระชากกลับยกยิ้มอย่างยินดีปรีดาเสียอย่างนั้น ถ้าแม่งไม่บ้า ผมว่าแม่งก็โรคจิตแล้วล่ะ =_=
ผมไม่สนใจไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดทั้งสองตัว(?)ที่กำลังทะเลาะกันอยู่ แต่ผมหันไปมองเด็กที่ไอ้บิลเรียกว่า ‘พริก’ อืม ขาดได้อีกป่ะวะ แม่งยังกะจะเรืองแสงได้ ขาวขนาดนี้ ผิวจะนุ่มหรือเปล่า แล้ว...
เฮ้ย! ผมคิดบ้าอะไรวะ!
“มึงจะเล่นเกมส์นี้เหรอ” ไอ้ธันกระซิบถามผมที่ยังคงนั่งจ้องไปยังเป้าหมาย
บางทีการพนันมันก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นดีใช่ไหมล่ะ
“ตกลงไอ้ดีน กูจะเล่นเกมส์ของมึง” ผมละสายตาจากคนที่นั่งอยู่ไกลหันไปมองไอ้ดีน มันทำหน้าพอใจกัคำตอบของผม แต่ไอ้มิลนี่จ้องผมราวกับจะฆ่า
เสียใจด้วยวะ ถ้ามันไม่ใช่ของมึง กูก็มีสิทธิ์!!!
และไอ้เด็กนั่นจะต้องเป็นของผม!!!
“มึงว่ากติกามาได้เลย”
หึ!!! หลังจากนี้ เกมส์ได้เริ่มขึ้นแล้ว!
เตรียมตัวไว้ได้เลยหนูพริกหยวก! มึงเสร็จกูแน่!!!
:angry2:โอ๊ยเครียดดด!!!! เซ็ง!!!! แปลวรรณคดีจีนไม่ได้!!!
เอาตอนแรกที่แต่งไว้เมื่อเริ่มเรื่องใหม่ๆมาลงแก้เครียด หรือจะเคียดกว่าเดิมก็ไม่รู้
อย่าเพิ่งงงในเนื้อความของบทนำและเนื้อหาในบทแรกนะ มันไปด้วยกันไม่ค่อยได้
แต่เดี๋ยวมันจะไปเฉลยเอาทีหลัง ไม่รู้จะชอบกันหรือเปล่า แต่เค้าพยายามมากเลยนะ
แอบชอบเรื่องนี้มากๆเหมือนกัน ^^ ชื่อตอนที่เป็นภาษาอังกฤษคาดว่าเกือบทุกคนคงเข้าใจ
แต่ถ้าน้องๆบางคนหรือใครที่ไม่เข้าใจก็ลองแปลดูนะคะ คิดซะว่าเรียกภาษาอังกฤษตอนละประโยคก็ได้
ตอนนี้ตัวละครโผล่มาหลายตัว พอเดาได้ไหมว่าใครคู่ใคร อยากเห็นอิมเมจตัวละครก็เข้าไปดูในแฟนเพจได้นะคะ
แต่ถ้าใครอยากจินตนาการเอาเองก็ไม่ต้องดู ฮ่าๆๆๆ
ไปแหละ ไปแปลจีนต่อ แปลยังไม่เสร็จแล้วตรูจะทำรายงายยังไงฟะ!!! หอยหลอด!! แปลมาเดือนเหนึ่งแต่ยังไม่พ้นครึ่งเล่ม T^T
ลาตาย
บ๊าบบายนักอ่านที่น่ารักของข้าพเจ้า