“แล้วถ้าผมไม่ทำ...”
“ฉันจะทำให้เธออยู่ในรั้วมหาลัยอย่างสงบสุขไม่ได้อีก ครอบครัวเธอจะต้องได้รับความเดือนร้อนไปด้วย เธอก็รู้ว่าฉันสามารถทำได้ทุกอย่าง” น่ากลัว...รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวตอนที่เผลอสบสายตาแสนเย็นชานั่น คนตรงหน้าช่างราวกับปีศาจร้าย ผมรู้ดีว่าคนระดับเขาย่อมทำได้ทุกอย่างตามที่พูด
“ผม...”
“จากที่ฉันตรวจดูห้องนี้ก็ไม่มีข้าวของอะไรของเธอเพิ่มขึ้นมามากนัก นับว่าเธอไม่เหมือนกับคนอื่นที่เข้ามาในชีวิตลูกชายฉันเพื่อหวังเพียงแค่เงิน คงไม่ยากเกินไปใช่ไหม...ถ้าฉันจะให้เวลาเธอครึ่งชั่วโมงในการเก็บเสื้อผ้าแล้วย้ายออกไปจากที่นี่ซะ กลับไปอยู่ในที่ของเธอได้แล้ว หมดเวลาเล่นสนุกของลูกชายฉันซักที อีกหน่อยเขาต้องมีหน้าที่รับผิดชอบธุรกิจมากมายที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อเขา ถ้าจะมาจมปลักอยู่กับคนอย่างเธอเขาก็จะไม่เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และแน่นอนว่าคนเป็นพ่ออย่างฉันทนเห็นลูกชายของตัวเองเป็นแบบนั้นไม่ได้...เธอคงเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?”
“ครับ...ผมเข้าใจ...ผมจะออกไปจากชีวิตของลูกคุณ...ตอนนี้......และผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกขอให้คุณวางใจและอย่าทำอะไรครอบครัวของผม ผมมีแค่พวกเขา...ได้โปรด” ไม่รู้ว่าผมจะทนอดกลั้นน้ำตาไว้ได้นานแค่ไหน รู้แค่ตอนนี้ผมเหมือนร่างไร้วิญญาณที่เดินหายเข้าไปในห้องนอนที่กำลังจะ “เคย” เป็นของเรา คว้ากระเป๋าเป้ใบเก่าขาดๆที่พี่เหนืออยากจะโยนของผมทิ้งวันละหลายรอบขึ้นมาวางไว้ที่ปลายเตียง สองมือลูบหน้าที่ชื้นเหงื่อ สมองรับรู้ทุกสิ่งอย่างหากแต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงที่จะสั่งการให้เป็นอย่างใจ มือสองข้างสั่นท้าวพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวเร็ว เจ็บไปหมด ปวดไปแล้วทั้งใจ สายตาพร่ามัวจากม่านน้ำตาเริ่มมองหาข้าวของที่เป็นของตัวเอง เสื้อผ้า หนังสือ อุปกรณ์เขียนแบบ ไล่มาจนสิ่งของเล็กน้อยๆที่พี่เหนือมันซื้อให้ ส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นผมจึงไม่คิดจะหยิบมาด้วยเพราะมันไม่ใช่ของผมมาตั้งแต่แรกเหมือนกับคนที่ให้ก็อาจจะไม่ใช่ของผมมาตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกัน ผมวางโทรศัพท์เครื่องแพงที่พี่เหนือซื้อให้ทั้งที่ผมบอกว่าไม่จำเป็น ภาพหน้าจอเป็นภาพที่ผมแอบถ่ายมันตอนนั่งเฝ้าผมต่อโมเดลจนหลับไป ทั้งที่ไล่ให้ไปนอนเท่าไหร่ก็ไม่ยอม ปากบอกว่าจะรอดูฟุตบอลแต่จริงๆผมรู้ว่ามันรอผม เกือบสิบนาทีที่ผมนั่งอยู่บนเตียงแบบนั้น ไฟหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมวางทิ้งไว้บนหัวเตียงดับไปนานแล้ว ผมคว้ากระเป๋าเป้ใส่หลัง สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ รวบรวมความกล้าก่อนจะก้าวขาเดินออกมาจากประตูห้อง ยกมือไหว้และโค้งลาคนที่นั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิมด้วยท่าทางสบายๆ สายตาเย็นชาคู่เดิมที่มองตรงมาบ่งบอกถึงความพึงพอใจ
“ลูกชายฉันไม่ชอบคนโกหก ฉันพูดแค่นี้หวังว่าเธอคงรู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป” ผมชะงักไปหลังจากที่กำลังจะก้าวพ้นประตูห้องที่มีอีกคนยืนเปิดกว้างรอให้ผมเดินออกไปตามคำสั่งผู้เป็นนาย เรื่องราวต่างๆไหลเข้ามาในหัวราวกับฉายภาพสไลด์ที่เหมือนกับจะไม่มีวันหยุดถ้าตัวผมไม่ตายลง มือขวายกขึ้นกำแหวนที่พี่เหนือให้ไว้พร้อมกับสร้อยคล้องอยู่ที่คอ ขอแค่สิ่งนี้ แค่สิ่งนี้เท่านั้นที่ผมจะไม่มีวันคืนให้
“กูรู้ว่าถ้าให้มึงใส่ไว้ที่นิ้วมึงคงทำหาย” “แหวนวงนี้ก็เหมือนใจกู กูไม่มีวันรับคืนหวังว่ามึงจะรักษาไว้ให้ดี” ตอนนี้ผมไม่รู้เลย ไม่รู้เลยว่าผมจะเป็นคนรักษาหัวใจพี่...หรือเป็นคนที่ต้องผลักไสออกไปกันแน่...
...............................................
...............................
..............
...
“แล้วมึงจะทำยังไงต่อไปวะ?” ตอนนี้ฝนหยุดตกไปแล้ว เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงที่ผมนั่งบอกเล่าเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ให้ไอ้ธามที่นั่งกอดผมอยู่ตลอดได้ฟัง จนผมต้องบอกมันไปว่าผมไม่เป็นอะไรแล้วหลังจากสติเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางมันถึงยอมปล่อยให้ผมได้อยู่กับตัวเองซักพัก รู้ตัวอีกทีก็มีขวดโค้ก2.5ลิตรจำนวนครึ่งโหลตั้งอยู่ตรงหน้าพร้อมกับน้ำแข็งถุงใหญ่สองถุง มันยื่นแก้วที่เทโค้กจนเต็มส่งให้ผม ผมรับมาถือไว้อย่างงงๆ ก่อนที่มันจะยกแก้วของมันมาชนกับแก้วในมือผมพร้อมกับ...
“แด่ความเจ็บช้ำของลูกสะใภ้ที่พ่อตาไม่รัก” จบประโยคก็กระดกโค้กเข้าปากตัวเองรวดเดียวจนหมด ก่อนจะหยิบเลย์ห่อสีเหลืองรสเค็มแบบอริจินอลเสมอต้นเสมอปลายปริมาณติดก้นถุงกรอกเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“มึงจะปล่อยให้กูเศร้าบ้างไม่ได้หรอวะ?! ในชีวิตมึงกะจะให้กูเฮฮาตลอดเวลาให้ได้เลยใช่ไหม?!” พูดไปแบบนั้นแต่ก็ยกโค้กซดโฮกให้ชื่นใจแล้วเรอออกมาชุดใหญ่ใส่ไม่ยั้งอย่างที่ชอบทำ
“เรอขนาดนั้นมึงอ้วกใส่หน้ากูเลยดีกว่าไอ้ปอนด์”
“ได้หรอวะ?”
“สัด! มึงหยุดเลย!” กำลังจะยื่นหน้าเข้าไปมันดันผลักหัวผมออกมาซะก่อน จากที่เครียดๆอยู่ก็เริ่มที่จะกลับมายิ้มได้บ้าง
“มึงอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับไอ้นนท์ ไอ้ไนท์นะ สองคนนั้นยิ่งชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไว้กูจะหาโอกาสบอกพวกมันเอง”
“ปังๆๆๆๆๆๆๆ” พูดไม่ทันจบประโยคเสียงทุบประตูรัวเป็นจังหวะดังขึ้น และเมื่อไอ้ธามเดินไปเปิดเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเป็นใครร่างควายๆของเพื่อนรักที่พูดยังไม่ถึงสองวินาทีเศษก็วิ่งถลาเข้ามาโอบกอดผมทำเหมือนผมกำลังจะตาย
“ปอนด์ลูกพ่อ โดนพ่อตาใจร้ายมันทำอะไรบ้างไหนบอกพ่อมาสิลูก ตาบวมเชียว ไม่เอาไม่ร้องนะคนดีของปะป๊า” พูดจบก็จูบกระหม่อมผมสามที อื้อหืออออออ กลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์ฟิลหอมขึ้นตา
“ไอ้ธาม! มึงใช่ไหม” ผมหันไปคาดโทษไอ้ตัวดีที่เอาแต่ฉีกซองเลย์แล้วเลียเหมือนหมา ในครัวมีเกลือปรุงทิพย์อยู่ถุงใหญ่กูว่ามึงไปยกมาเทกรอกปากเลยดีกว่าเห็นแล้วทุเรศลูกตา
“มึงไม่ต้องไปโทษมันเลยไอ้ปอนด์ ถ้ามีปัญหาแล้วไม่พึ่งพาเพื่อน ไม่ช่วยกันหาทางแก้ไข มึงเก็บไว้คนเดียวแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้นวะ มีแต่ทุกอย่างจะแย่ลงกว่าเดิม” ประโยคดีมีสาระต้องของหล่อโคตรพ่อเท่านั้นละครับ ที่มันพูดก็ถูกแต่ผมแค่ไม่อยากให้พวกมันต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องบ้าๆของผมไปด้วย
“แล้วนี่ไอ้พี่เหนือมันจะยอมหรอ มันหลงมึงจะตาย”
“กูไม่รู้ พ่อมันบอกว่าถ้ากูไม่เลิกกับมัน กูจะไม่มีที่เรียน แถมยายกับลุงกูก็จะโดนลูกหลงไปด้วย”
“นี่มันมาเฟียชัดๆ ตกลงไอ้พี่เหนือมันมีพ่อเป็นมาเฟียรึเปล่าวะ?!” กูก็คิดแบบมึงแหละไอ้นนท์ ยิ่งถ้ามึงได้เจอกับตัวนะ แค่เผลอไปสบตาก็ยังขนลุกไม่หาย
“ระหว่างนี้มึงจะหลบหน้าไอ้พี่เหนือมันได้ยังไง เรียนก็อยู่ที่เดียวกันคณะก็อยู่ติดกัน แล้วมึงก็น่าจะรู้ดีที่สุดว่าไอ้พี่เหนือของมึงมันนิสัยยังไง” นั่นแหละที่กูยังคิดไม่ตก กูไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน ถ้าแค่เดินไปบอกมันว่าเลิกกันเถอะ มีหรือที่มันจะยอมง่ายๆ ผมรู้จักมันดีว่ามันร้ายกาจแค่ไหน ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นอย่างที่โบราณเขาว่าไว้จริงๆ
“แค่กูลองคิดตอนที่มันกลับห้องแล้วรู้ว่ามึงหอบเสื้อผ้าหนีมันมา กูก็สยองแล้วไอ้ปอนด์” ไอ้ธามพูดไปทำท่าขนลุกขนพองไปด้วย ส่วนผมในหัวมีเรื่องให้คิดเยอะแยะเต็มไปหมดจนผมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี ในชีวิตไม่เคยเจอเรื่องอะไรให้หนักใจเท่านี้มาก่อน ยกเว้นตอนที่เจอกับพี่เหนือครั้งแรก นั่นผมเรียกว่ามหาวิบากกรรมเลยก็ว่าได้
“มึงพูดเดี๋ยวแม่งก็โผล่มาตอนนี้หรอก มันยิ่ง...”
“ปัง! ตู๊มมมมม! เปรี้ยงงงงงงงงง! ไอ้ปอนด์!”
“เหี้ย!!!!” พร้อมใจแจกสัตว์เลื้อยคลานครึ่งบกครึ่งน้ำกันโดยไม่ได้นัดหมาย หลังจากที่ประตูหอพักซอมซ่อที่ด้านหน้ามีสติ๊กเกอร์ตราสโมสรฟุตบอลดังแห่งอังกฤษสองสโมสรเด่นหราติดอยู่พร้อมกับหมายเลขห้อง555ที่มักโดนจดบัญชีหนังหมาไว้บ่อยๆว่าชอบทำเสียงดัง เป็นแหล่งมั่วสุม และสารพัดความเหี้ยต่างๆนาๆที่ถูกพูดถึงอยู่เป็นประจำ ตกตะลึงตาค้างไปตามๆกันเมื่อเห็นประตูไม้บานใหญ่หักขาดสองท่อนปลิวว่อนผ่านไปกระทบผนังห้องด้านหลังต่อหน้าต่อตา ไอ้ธามที่กำลังยกโค้กกรอกปากอยู่ถึงกับเผลออ้าปากค้างจนโค้กไหลกลับออกมาจากปากหกเรี่ยราดเลอะเทอะหน้าขาตัวเองเต็มไปหมด แต่ดูท่ามันจะช็อคไปจนไม่รับรู้อะไรแล้ว
“พะ พี่เหนือ” ผมพูดเสียงเบา ยังตกใจไม่หายที่เห็นพวกพี่มันพังประตูห้องเข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ให้ตายเถอะวันนี้มันวันซวยอะไรของผมวะ ถึงได้มีแต่เรื่องเข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้
“โทษทีว่ะ กูกะแรงพลาดไปหน่อย” อ้าว มึงเองหรอไอ้พี่แทนที่ทำประตูห้องกูหักครึ่ง เคาะก็ได้ไหม แล้วจะรีบอะไรกันขนาดนั้น กูดูจากเศษซากประตูขอยืมตีนมึงไปตอกเสาเข็มยังไหว นี่ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเหนือตีนบรรลัยลงมือเองคงไม่มีแม้เศษซากประตูไว้ให้ดูต่างหน้า
“เดี๋ยวมึงกับกูมีเรื่องต้องเคลียร์กัน” ไอ้ไนท์พูดพร้อมกับชี้หน้าไอ้พี่แทนที่ใช้มือเกาท้ายทอยแบบเก้อๆ แล้วประตูห้องกูมีสภาพแบบนี้ใครจะรับผิดชอบวะ?
“ไปกับกู มึงไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ถึงบ้านไอ้แทนแล้วมึงอยากรู้อะไรค่อยถาม” ไม่ปล่อยให้ผมได้เอ่ยอะไรออกไปมันก็ตรงเข้ามาคว้าข้อมือผมก่อนจะจับลากให้ออกเดิน อีกมือมันก็คว้ากระเป๋าเป้ที่ผมยังไม่ทันได้รื้อข้าวของออกมาเก็บขึ้นมาพาดบ่าแล้วลากผมออกไป ตามด้วยไอ้พี่แทน ไอ้ไนท์ ไอ้นนท์ที่เดินตามออกมาแบบงงๆ ส่วนไอ้ธามยังคงช็อคไม่หายแต่ผมเห็นไอ้พี่มินเดินเข้าไปดูอาการมันแล้วจึงไม่ห่วงอะไรมาก อย่างน้อยวันนี้มันก็คงนอนที่หอไม่ได้ แต่จะได้ไปนอนที่ไหนนั้น คงต้องปล่อยให้พี่มินจัดการไปก่อน ดูท่าพี่มินก็ดูจะเต็มใจเอามากๆซะด้วย
“พี่เหนือ นี่มันอะไรกันวะพี่ ผมงงไปหมดแล้วนะ” มันเปิดประตูBMWสีขาวมุกรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งได้มาเมื่อสองวันก่อนแล้วบังคับให้ผมลงไปนั่งที่ข้างคนขับพร้อมปิดประตู ผมเห็นมันหันไปพูดอะไรกับไอ้พี่แทนสองสามประโยคด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะอ้อมมาที่นั่งด้านคนขับแล้วขับรถออกจากหอพักผมอย่างรวดเร็ว ผมรู้แค่ว่ามันกำลังพาผมไปบ้านไอ้พี่แทน จากนั้นตลอดทั้งการเดินทางมันก็ไม่ปริปากบอกหรือพูดอะไรกับผมอีกเลย ส่วนผมก็ไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรมันตอนนี้ เพราะทั้งผมทั้งมันต่างก็มีเรื่องให้ต้องขบคิดไม่ต่างกัน เราทั้งคู่ต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศกับเส้นทางถนนสายหลักที่ทอดยาวไปพร้อมกับไฟสองข้างทาง รู้ตัวอีกทีผมก็มาหยุดอยู่ประตูรั้วบ้านขนาดใหญ่ที่มีชายชุดดำกว่ายี่สิบคนออกมาต้อนรับ มันจอดรถไว้ก่อนจะโยนกุญแจรถส่งให้หัวหน้าชายชุดดำคนหนึ่งรับไป แล้วเดินมากระชากแขนผมที่ยังยืนงงตะลึงในความใหญ่โตของบ้านไม่สิเรียกว่าคฤหาสน์จะถูกกว่า คิดว่าบ้านไอ้พี่เหนือมันหลังใหญ่มากแล้วนะแต่บ้านไอ้พี่แทนก็ไม่ต่างกันเลย ชาติที่แล้วพวกมึงทำบุญด้วยการกู้ชาติกันหรอครับชาตินี้ถึงได้เกิดมาบนกองเงินกองทองกันแบบนี้ มันพาผมเดินเข้ามาในบ้านเสมือนตัวเองเป็นเจ้าของ ก่อนจะส่งกระเป๋าเสื้อผ้าของผมให้แม่บ้านที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วรับไป จากนั้นไม่นานเจ้าของบ้านตัวจริง รวมถึงไอ้ไนท์ ไอ้นนท์ก็เดินตามเข้ามาสมทบ
“พี่เหนือนี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกันวะ! ผมโคตรจะตามไม่ทันเลย?” ผมถามมันขึ้นมาทันทีหลังจากที่ไอ้พี่แทนพาพวกเราเข้ามาในห้องรับแขก ผมเห็นไอ้ไนท์หันไปสั่งให้แม่บ้านยกน้ำกับของว่างมาให้พวกเรา ทำเหมือนกับว่าตัวมันเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง ยิ่งเห็นมันคุ้นเคยกับทุกอย่างในบ้านเป็นอย่างดีจากการที่เดินไปห้องครัว ห้องน้ำ หรือทั่วทั้งบ้านได้อย่างถูกต้องโดยไม่ต้องเอ่ยถามเจ้าของบ้านที่นั่งหัวโด่อยู่ข้างไอ้พี่เหนือตอนนี้เลยด้วยซ้ำนั่นยิ่งทำให้ผมแปลกใจ ส่วนไอ้พี่แทนที่นอกจากจะไม่ว่าอะไรมันแล้วผมยังเห็นมันตะโกนสั่งให้ไอ้ไนท์ไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นออกมาให้ด้วย อีกคนตอบกลับมาแค่ สัด! แต่สุดท้ายมันก็เดินกลับมาพร้อมกระป๋องเบียร์ในมือ
“กูไม่คิดว่าเขาจะกลับมาวันนี้ ถ้ารู้กูคงให้มึงรีบออกมาจากที่นั่น” พี่เหนือพูดขึ้นทำลายความเงียบ มีคำถามมากมายในหัวที่ผมอยากถามออกไป
“พี่รู้ว่าพ่อพี่จะมา?”
“พ่ออยากให้มันไปเรียนต่อ และวิธีเดียวที่จะทำให้มันยอมคือมาเล่นงานมึงที่เป็นจุดอ่อนเดียวในชีวิตมันไงไอ้ปอนด์”
“เดี๋ยวนะพี่แทน ผม...ผมไม่เข้าใจว่ะพี่”
“ผั๊วะ! ทำไมลูกกูโง่แบบนี้วะ โง่ไม่ดูเวล่ำเวลาโง่ไม่ถูกสถานการณ์เลยนะมึงอ่ะ” ไอ้นนท์ไม่พูดเปล่า แต่มันแถมฝ่ามือลงบนหัวผมไปหนึ่งทีเน้นๆ
“เพราะมึงเป็นแบบนี้ กูถึงปล่อยให้ห่างตัวไม่ได้ กูไม่มีวันยอมให้มึงหายไปจากชีวิตกูหรอกนะไอ้ปอนด์” แววตาติดเย็นชาที่ผมคุ้นเคยดูหนักแน่นแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง...พี่เหนือก็ยังคงเป็นพี่เหนือ...ที่สามารถเข้ามาฉุดผมให้เข้าไปอยู่ในโลกของมันได้ตลอดเวลา...รู้ตัวอีกทีผมก็เข้าไปวิ่งวนอยู่ในโลกทั้งใบของอีกคนจนหาทางออกไม่เจอไปซะแล้ว
“พ่อพี่ขู่ว่าจะทำให้ครอบครัวผมเดือดร้อน ผมกลัวว่ะพี่” ผมบอกมันไปตามตรง ผมกลัว เพราะผมไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรในวันข้างหน้า ลำพังแค่ตัวผม ผมไม่ห่วงอะไร แต่กับครอบครัวของผม ผมมีแค่พวกเขา ทั้งชีวิตผมมีแค่พวกเขาที่ยังเหลืออยู่...ผมไม่อยากให้ชีวิตนี้ต้องสูญเสียคนสำคัญไปอีก
“กูถึงต้องตามใครบางคนกลับมา”
“ไอ้เหนือ นี่มึงอย่าบอกนะว่า!...” ไอ้พี่แทนทำสีหน้าตกใจเหมือนกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายร้ายแรงที่สุดในชีวิต จะว่าไปผมเห็นมันกับพี่เหนือสบตากันพร้อมสายตาหนักใจจนอดสงสัยไม่ได้ว่า “ใครบางคน” ที่ว่าทำไมถึงได้มีอิทธิพลกับมันสองคนขนาดนั้น ในโลกนี้ผมคิดว่าจะไม่มีสิ่งใดที่ทำให้คนพวกนี้กลัวได้ แต่ผมคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ก็คราวนี้
“จากนี้ให้มึงพักอยู่กับกูที่บ้านไอ้แทนไปก่อน ช่วงนี้อย่าอยู่ห่างกู ห้ามไปไกลจากสายตากู ห้ามดื้อ ห้ามซน ห้ามโง่ ห้ามสงสัย ห้ามถาม...ห้าม...................................ห้ามมึงหนีกูไปอีก” วูบหนึ่งผมเห็นสายตาของมันสั่นไหว มันยื่นมือออกมาสัมผัสแก้มผมแผ่วเบาไล้นิ้วชี้ขึ้นสัมผัสดวงตาบวมช้ำที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักของผมราวกลับปลอบโยน ผมปล่อยให้มันได้ทำตามใจ เอนใบหน้าซบกับฝ่ามือใหญ่...แม้เป็นสัมผัสที่เย็นชืด...แต่กลับเป็นสิ่งที่ผมเสพติดและโหยหา
“พี่เหนือ...” จะซึ้งอยู่แล้วครับ ถ้าผมไม่ฉุกใจคิดได้ในเรื่องที่มันสั่งให้ผมห้ามโง่ด้วย
“ไปๆแยกย้ายกันไปนอนเอาแรง พรุ่งนี้ค่อยมาคิดกันว่าจะเอายังไงต่อ ส่วนมึงไอ้ไนท์ มึงมีเรื่องต้องคุยกับกูยาว” ไอ้พี่แทนสั่งให้พวกเราแยกย้าย ไอ้นนท์เข้ามายีหัวผมแรงๆจนหน้าสะบัดพร้อมบอกให้ผมอย่าคิดมากก่อนมันจะขอตัวกลับบ้านไปแล้วบอกจะมาใหม่ในตอนเช้า ไอ้พี่เหนือจับมือผมให้เดินขึ้นไปชั้นสองของตัวบ้านฝั่งซีกซ้าย ระหว่างนั้นต่อมเสือกผมก็ทำงานไปด้วย แม้ตอนนี้สมองผมจะทำงานหนักหลังจากพบเจอเรื่องราวมากมายให้มึนงงสับสนคงมีแค่ต่อมเสือกของผมเท่านั้นที่ยังทำหน้าที่ได้ดีอยู่ตลอดเวลา
“มึงแกล้งกูใช่ไหม?” เหมือนเขารู้กันอยู่สองคน ผมนี่หูผึ่งหางกระดิกเลยทีเดียว
“แกล้งเชี่ยไร กูกำลังคุยโทรศัพท์กับไอ้เหนืออยู่ หันไปอีกทีมึงก็ขับรถออกไปหาไอ้ปอนด์แล้ว กูห้ามมึงทันซะที่ไหน”
“สัด! แล้วทำไมมึงไม่โทรมาบอกกู ไลน์ก็มีไหมไอ้ห่า กูจะได้ไม่รีบร้อนออกไปแบบนั้นถ้ารู้ว่าเดี๋ยวพี่เหนือจะไปพามันมาที่นี่” เอาละเว้ยเฮ้ยแค่มันโทรหากันกูก็อึ้งแล้ว นี่มันไลน์หากันกูนี่คิดภาพไม่ออกเลยว่ามันจะส่งสติ๊กเกอร์แบบไหนคุยกัน อาจจะเป็นหมีบราวน์กับน้องกระต่ายโคนี่ ขอกูวิ่งไปอ้วกก่อน
“มึงดูโทรศัพท์มึงหรือยัง กูโทรไปจนไม่รู้จะโทรยังไงแล้ว ไม่กวนตีนกูซักวันมึงจะขาดใจตายไหมไอ้ไนท์”
“หุบปากไปเลยไอ้แทน มึงยังมีอีกคดีติดตัวนะ ไปพังหอเพื่อนกูแล้วยังมาด่ากูว่ากวนตีนอีก”
“เจ้าคิดเจ้าแค้นนะมึง แล้ววันนี้จะนอนนี่หรือกลับบ้าน เสื้อผ้ามึงกูให้แม่บ้านซักไว้หมดแล้ว”
“กลับ! ป๊ากูเพิ่งกลับจากฝรั่งเศส แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้กูเข้ามาตอนสายๆ”
“โอเคครับ ให้กูไปส่งไหมดึกแล้วอันตราย”
“ห่วงตัวมึงเองเถอะ”
“ทำไมมึงถึงดื้อแบบนี้วะ ไม่น่ารักเลย”
“เชี่ย! งั้นก็ไม่ต้องมารัก ไปไกลๆตีนกูเลย”
“ไม่ดื้อกับกูบ้างได้ไหมไอ้หล่อ” พูดเสร็จพี่มันก็ผลักหัวไอ้ไนท์ไปหนึ่งทีแต่ไม่ได้แรงมาก ก่อนจะล็อคคอทำท่าจะหอมแก้ม ทำไมผมถึงเห็นออร่าสีชมพูอมม่วงฟุ้งกระจายออกมารอบตัวพวกมันก็ไม่รู้ ทั้งที่มันกำลังกัดกันแถมตอนนี้ก็เริ่มใช้กำลังจะต่อยกันอยู่รอมร่อแล้ว ในสายตากูทำไมพวกมึงถึงศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้เขาเรียกว่าอะไรนะมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งกิงก่องแก้วอะไรซักอย่างนั่นอ่ะ นี่มึงเป็นคู่กัดกันจริงหรอวะ? หรือในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จากคู่กัดมันจะกลายเป็นอย่างอื่นไปแล้ว? กูจะต้องหาโอกาสเค้นคอถามมึงให้ได้เลยไอ้ไนท์
“มึงจะเสือกเรื่องคนอื่นอีกนานไหม?” โอเครู้เรื่อง เดินเข้าห้องอย่างว่าง่ายทันทีทันใด จากนั้นมันก็สั่งให้ผมเข้าไปอาบน้ำ ผมอาบเสร็จก็มานอนรอมันที่เตียง ซักพักมันก็เข้าไปอาบบ้าง เกือบครึ่งชั่วโมงมันก็เดินออกมา ใส่ชุดนอนเหมือนกับของผม...
“ให้ผมช่วยเช็ดนะ”
“...............” ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ผมค่อยๆขยับเข้าไปหามันที่นั่งอยู่กลางเตียง แย่งผ้าขนหนูในมือของมันมาแล้วค่อยๆเช็ดไปตามเส้นผมสีดำที่เริ่มยาวขึ้นกว่าเดิมมาก ใบหน้ายามเมื่อเส้นผมเปียกน้ำช่างงดงามราวกับภาพวาด คำว่าสมบูรณ์แบบคงเหมาะสมกับมันที่สุดแล้ว...แค่คิดว่าทั้งเส้นผม...ใบหน้า...เรียวปาก...คิ้วเข้ม...ดวงตา...สันจมูก...ร่างกาย....รวมถึงหัวใจของคนคนนี้เป็นของผม...เลือดในกายก็พลันสูบฉีดขึ้นบนใบหน้าอย่างห้ามไม่ได้ ผมขยับมือสางผมที่เริ่มหมาดเบาๆ กลิ่นแชมพูแบบเดียวกับผมหอมขึ้นแตะจมูก...รู้ตัวอีกทีผมก็ก้มลงไปสูดความหอมฟอดใหญ่ๆเข้าเต็มปอด
“พี่เหนือ...พี่...ผมรักพี่ว่ะ...รู้ตัวอีกทีผมก็รักพี่ไปแล้ว...แม่งโคตรรักพี่เลย” รู้แค่ผมอยากพูด...พอคิดว่าจะพูด ปากดันเอ่ยออกมาทันที ไม่รู้จักสรรหาถ้อยคำหวานๆเหมือนอย่างในละคร ผมรู้แค่...ถ้าวันนี้ผมไม่พูดคำนี้ออกไป...วันข้างหน้าผมอาจไม่มีโอกาสได้พูดอีก
“มึงมันโคตรไม่โรแมนติก” มันจับมือผมไว้ทั้งสองข้างพร้อมหันมาจ้องหน้าผมแบบไม่พอใจ ยิ่งผมเห็นหน้ามันหงุดหงิดแล้วผมก็เผลอขำออกมา
“อื้อออออ....” มันประกบจูบผมอย่างรวดเร็ว...สอดแทรกลิ้นเข้ามาควานหาความหวานคล้ายกับกระหาย...เราทั้งคู่เสพติด...ต้องการ...ปรารถนาที่จะสัมผัสกันและกัน ผมถูกผลักให้นอนราบลงกับเตียง...ที่มีอีกคนตามมาทาบทับ...ปล่อยไปตามอารมณ์...จนเหมือนกับจะขาดอากาศหายใจ...ริมฝีปากผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง...ผมยกหัวขึ้นไปจูบปากมันเบาๆเป็นการเย้าแหย่...ดวงตาแสนเย็นชาคู่เดิมจ้องมองผม...รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่อีกคนส่งผ่านมา
“ผมเป็นแบบนี้พี่ยังจะรักอยู่ไหม...ผมมันโง่ ซื่อบื้อ แถมไม่โรแมนติก...พี่ยัง...”
“ รัก ” ไม่ปล่อยให้ผมได้พูดจบประโยคมันก็พูดแทรกผมขึ้นมา ก่อนจะก้มลงไล้ริมฝีปากลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง
“...................”
“มึงร้องไห้” กดจูบลงแผ่วเบา
“...................”
“กูปกป้องมึงไม่ได้”
“ก็ตอนนั้นพี่ไม่อยู่”
“มึงทิ้งกู”
“ผมไม่มีทางเลือก” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มมันเบาๆทั้งสองข้าง
“ห้ามทิ้งกู”
“...........”
“อย่าบอกว่าจะยอมแพ้...อย่าเหนื่อยกับความรักของเราแม้วันข้างหน้ามึงต้องเจอกับปัญหามากมาย...อย่าปล่อยมือ...อย่าเอ่ยคำลา...อย่าพูดว่าจะไป...อย่าหายไปจากกู...และอย่าให้กูหายไปจากใจมึง” พูดจบมันก็โถมตัวลงมากอดผมไว้แน่น ร่างกายส่งผ่านความอบอุ่นและความรู้สึกมากมายให้กัน ไม่มีคำพูดใดต่อจากนี้...มีเพียงสัมผัส...ลมหายใจ...กับใจสองดวงที่เต้นไปพร้อมกัน...มือสองข้างที่สอดกระชับยามประสานร่างกาย...ส่งผ่านแรงปรารถนาทุกห้วงอารมณ์ หยาดเหงื่อ...จังหวะร่างกายที่ตอบรับกันด้วยความโหยหา...เสพติดกันจนยากจะถอดตัว...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...ตกหลุมรักกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนี้...ผมคงไม่มีวันถอนตัวได้อีก
.............................................
...........................
.............
...
08.00น. สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย
“จะกลับไปบ้านใหญ่เลยไหมครับคุณน้ำ”
“แล้วไอ้สามแสบมันไปไหน ถึงไม่มารับฉัน” ผมดำยาวตรง...ริมฝีปากสีแดงสด...มือเรียวที่เล็บฉาบด้วยสีทาเล็บสีแดงเลือดนกยกขึ้นถอดแว่นตาแบรนด์ดังออกเผยให้เห็นดวงตากลมโตทรงเสน่ห์ชวนให้หลงไหล...ใบหน้างดงาม...พร้อมกับหุ่นและการแต่งตัวเน้นทรวดทรงให้เด่นชัดเรียกสายตาใครต่อใครได้เป็นอย่างดี...หากแต่เพราะมีชายชุดดำนับสิบคนรายล้อมอยู่รอบกาย...นั่นก็ทำให้ผู้คนรอบข้างไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้หรือสบสายตาโดยตรง
“คุณเหนือรอคุณน้ำอยู่ที่บ้านคุณแทนครับ”
“ไม่เจอกันหลายปี หึ มีเรื่องให้จัดการเต็มไปหมด...คุณพ่อสุดที่รักกับไอ้น้องตัวดียังสร้างเรื่องให้ปวดหัวอีกตามเคย คราวนี้ฉันคงต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวร” ยกยิ้มราวกับเป็นเรื่องสนุก หากแต่คำพูดที่ออกมาจากปากของ “น้ำฟ้า” หรือ ธารธารา นวพงษ์พันกูลแล้ว...ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามนั้น
การกลับมาคราวนี้...เธอคงต้องจัดการอะไรหลายๆอย่างหลังจากที่ปล่อยปะละเลยมานาน
และแน่นอนสำหรับเธอ “น้องชาย” เปรียบเสมือนหัวใจอีกดวง
หากจะมีอะไรมาทำให้หัวใจของเธอเป็นแผล
เธอไม่มีวันยอมเด็ดขาด...แม้อีกคนจะได้ชื่อว่าเป็น “พ่อ” ก็ตาม...
................................................................
ก่อนอื่นเลยขอสวัสดีปีใหม่ ปี2015กับนักอ่านทุกคนนะคะ ขอให้เป็นปีที่ดี ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่มีให้กับนิยายเรื่องนี้ตลอดปีที่ผ่านมา ปีนี้ทั้งอเลนและI-AMก็ขอฝากตัวด้วยอีกปี ช่วยรัก สนับสนุน และเป็นกำลังใจให้ทั้งนิยาย นักเขียน และคนอัพนิยายกันไปเรื่อยๆนะคะ มีความสุข ร่ำรวยๆกันตลอดปีตลอดไปค่ะ

ปล.จะพยายามให้I-AMแต่งเรื่องนี้ให้จบภายในปีนี้แน่นนอนค่ะ ช่วยเม้นเป็นกำลังให้กันและกันด้วยนะ ทุกคอมเม้นมีความหมายเสมอค่ะ
ปล.2 หากเจอคำผิดต้องขอโทษด้วยนะคะ อาจมีเล็ดลอดสายตาไปบ้าง I-AMกำลังแต่งตอนพิเศษ จะเป็นคู่ไหนนั้นต้องลุ้นกันนะ ช่วงนี้ทั้งอเลนและI-AMต่างก็ยุ่งหากมาอัพช้าไปก็อย่าว่ากันเลยนะคะ จะพยายามให้I-AMแต่งให้เร็วที่สุดค่ะ

สำหรับคนที่รอมาตลอดก็ขอบคุณมากนะคะ อย่างที่บอกและย้ำเสมอว่าทุกคอมเม้นมีความหมายและเป็นกำลังใจอย่างดี I-AMมันเข้ามาส่องทุกคอมเม้นนะคะ แล้วก็ขอบคุณทุกคนเสมอ

ปล.3 อเลนขอให้ดอกไม้กับนักอ่านทุกคนเหมือนเดิมค่ะ

เจอกันตอนหน้านะ เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว
