"จิ้นดีนัก เดี๋ยวจัดให้"
Hour#25 - give me a reason-
"ไง ตาแดงมาเชียว ร้องไห้หรอ" ทันทีที่ผมเข้ามานั่งในรถยนต์คันใหญ่ของวา สัมผัสเย็นของเครื่องปรับอากาศในรถก็ตีเข้าใส่หน้าพร้อมๆกับคำถามที่เจื่อด้วยกระแสอ่อนโยนอันเป็นลักษณะนิสัยของวาเวลาพูดกับผม
"อืม"
"แล้วคืนดีกันหรือยัง"
"คืนแล้ว" ผมตอบวาไปสั้นๆก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับคำพูดสุดท้ายของฟากัส ผมหันหน้าไปมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆผม เจ้าของมือใหญ่กำลังลูบศรีษะผมเบาๆ ปลอบใจผมโดยไร้ซึ่งคำพูด ดวงตาของวามองตรงไปยังท้องถนนด้านหน้า มุมปากที่เจือรอยยิ้มอุ่นเอาไว้หันมามอบให้ผม
"คืนดีกันก็ดีแล้ว ทำไมยังถอนหายใจอยู่ละ หืม"
"วา กูถามอะไรหน่อยดิ่"
"เรื่องอะไร"
"ทำไมพวกมึงต้องไม่ชอบกายขนาดนั้นวะ และทำไมภูมิกับฟากัสรู้เหตุผลได้แต่กับกู ทำไมกูรู้ไม่ได้วะ"
"เอ คือ" วาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างที่ผมแน่ใจว่ามันคือคำปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่ปล่อยให้วาได้บอกปัดผมเหมือนเพื่อนสองคนนั้นได้อีก
"กูขอแค่เหตุผลวา ทุกครั้งที่พวกฟากัสเตือนกูไม่ให้ยุ่งกับกาย ไม่ใช่กูไม่เชื่อนะ แต่คนเรามันต้องมีเหตุผลเปล่าว่ะ จะให้กูเกลียดหรือไม่ยุ่งกับใครคนหนึ่งเพียงแค่เพราะคำบอกห้ามงั้นหรอ"
"แต่ที่ห้ามก็เพราะเป็นห่วงนะ"
"งั้นวาก็บอกเหตุผลมาซิ ว่าเพราะอะไรเอจะได้เข้าใจไง"
"เอ เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่มีสิทธิที่จะไปบอกแทนเขาได้หรอกนะ ยิ่งเป็นเรื่องกายด้วยแล้ว" วาเอ่ยเสียงจริงจังอย่างลำบากใจซึ่งทำให้ผมยิ่งคิดมากกว่าเดิมว่าทำไม และเพราะอะไร
"แม้แต่กับกู มึงก็บอกไม่ได้หรอ"
"ไม่ใช่แบบนั้น" วาอาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงหันมามองผมก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นว่าดวงตาของผมนั้นเต็มไปด้วยการตัดพ้อต่อว่า แต่พอถึงจุดนี้ผมก็ไม่สามารถที่จะทำเป็นเมินเฉยต่อเหตุการณ์นี้ได้อีก ความสงสัยที่ก่ออยู่เต็มหัวใจและคำพูดของเพื่อนผมทั้งสองคนยิ่งทำให้ผมอยากจะเข้าใจในความเป็นห่วงของทุกคนยิ่งกว่าเดิม
"ขอร้องละวา ครั้งเดียวขอครั้งนี้ครั้งเดียว บอกหน่อยได้มั้ยว่าเพราะอะไร"
วาถอนสายตาออกจากผมก่อนจะขับรถต่อและเริ่มต้นพูดเสียงเบาออกมา "กายมันเคยจะข่มขืนโปรด"
"อะไรนะ น้องโปรดหรอ" ผมอุทานอย่างตกใจเมื่อนึกถึงน้องสาวคนสุดท้องของวา วามีพี่น้องอีกสองคนชื่อ ปลื้ม และ โปรด ลูกชายลูกสาวที่คุณปัดรักและตามใจเอาใจใส่มากจนบางครั้งผมก็รู้สึกว่าคุณปัดไม่เคยมอบความรักให้วาเลยด้วยซ้ำ
"อืม ความจริงตอนที่กูกลับบ้านมันไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่องเรียนหรือเรื่องทำงานของกู แต่มันมีเรื่องโปรดเข้ามาด้วย ความจริงตอนที่กูไปอยู่บ้านเซย์เราไปเที่ยวผับกัน และไม่รู้ว่ากายมาที่นั้นได้ยังไงตอนแรกกูก็ไม่ได้ใส่ใจแต่เห็นอีกทีมันกำลังอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งออกจากร้านไป แต่ผู้หญิงคนที่มันเอาไปคือโปรด" มือของวากำเข้ากับพวกมาลัยแน่นขึ้นจนผมอดเครียดตามไม่ได้ อยากจะโวยวายเหมือนกันว่าทำไมไม่บอกผมเรื่องนี้แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าน้องสาววาคงไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้
"แล้วโปรดไปอยู่ที่นั้นได้ยังไง น้องเขาอายุยังไม่ถึงเลยไม่ใช่หรอ" น้องสาวคนนี้ของวาผมจำได้ว่าอายุแค่ 17 เอง ถือว่ายังเด็กมากเมื่อเทียบกับวาและต้องมาเจออะไรแบบนี้
"โปรดบอกว่าเขาถูกเพื่อนชวนมางานวันเกิดแล้วไม่รู้ว่าจะพามาที่แบบนี้กำลังหนีกลับแต่ก็มาเจอไอ้กายมันซะก่อน โชคดีที่กูเอะใจตามมันออกไปหลังร้านและเห็นมันกำลังพยายามขืนใจโปรดอยู่ พอกูช่วยโปรดออกมาเขาก็ขอให้กูเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามบอกใครทั้งนั้น น้องบอกเขาไม่อยากให้พ่อกับแม่เสียใจและเป็นห่วงกูเลยไม่ได้บอกใคร แต่กูกลัวว่ามันจะเข้ามายุ่งกับมึงเพราะมันเองก็ถูกใจมึงอยู่ กูเลยขอให้ฟากัสและภูมิช่วยดูแลมึงให้หน่อยเพราะกูไม่สามารถไว้ใจคนที่เคยคิดที่จะข่มขืนผู้หญิงแบบนั้นให้อยู่ใกล้มึงโดยที่ไม่มีกูอยู่ด้วยได้"
"แล้วภูมิกับฟากัสรู้เรื่องนี้มั้ย"ถึงวาจะเข้าไม่ค่อยได้กับคุณปัดและดูจะถูกน้องๆทำตัวห่างเหินใจจากการที่เห็นคุณปัดแสดงต่อวา แต่ผมก็รู้ว่าลึกๆวาเป็นห่วงน้องชายและน้องสาวสองคนนี้อยู่เช่นกัน
"พวกมันรู้แค่ว่ากายเคยจะข่มขืนผู้หญิงแต่ไม่รู้ว่าเป็นโปรด แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรที่จะเอามาพูดให้สนุกปาก กูเลยไม่อยากจะบอกมึง"
"อืม"
"ทีนี้เข้าใจกูหรือยัง"
"เข้าใจแล้ว....ต่อไปกูจะระวังตัวไว้ละกันนะ"
"ตอบแบบนี้แสดงว่ายังจะไม่เลิกติดต่อกับกายสินะ" วาหันมามองแบบรู้ทัน
ผมหลบตาวาอย่างกดดันก่อนจะสะดุ้งอย่างตกใจเมื่อสัมผัสอุ่นจัดประทับลงบนมือของผม หันไปมองเจ้าของอุ้งมือใหญ่ที่กอบกุมผมอยู่เจ้าตัวก็ทำแค่มองตรงไปยังท้องถนนไม่ขึ้นเสีย โวยวายหรือออกคำสั่งอะไรเหมือนเคยยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดในการตัดสินใจของผม
บางทีผมก็คิดไม่ออกว่าผมกับวาจะทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบไหน เพราะทุกครั้งที่มันเกือบจะเป็นการทะเลาะกัน วาเลือกที่จะเงียบใจเย็นแบบนี้จนเป็นผมเองที่รู้สึกว่าความเงียบนั้นกำลังบอกความรู้สึกของวาแก่ผมอยู่
"คือ"
"ไม่เป็นไร วาเข้าใจ แต่ก็นะเออย่ามองโลกในแง่ดีนักเลย ถึงนั้นจะเป็นสิ่งที่วาชอบในตัวเอ แต่บางทีมันก็กลัว"
"กลัวอะไร"
"กลัวว่าบางทีคนดีๆแบบนี้จะเอาตัวรอดในสังคมไม่ได้นะสิ"
"ที่กูไม่ได้คิดจะเลิกติดต่อกับกายไม่ใช่ว่ากูมองโลกในแง่ดี หรือ วางใจเกินไป แต่กูแค่คิดว่าถ้าหากว่าจู่ๆกูทำเป็นเมินเฉยต่อกาย หลบหน้า หรืออะไรที่มันโจ่งแจ้งไปมันไม่ยิ่งทำให้กายรู้สึกผิดปกติและทำอะไรที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าเดิมหรอ ถ้าหากว่ากูยังทำตัวเหมือนเดิม อยู่กับฟากัสและภูมิตลอดเหมือนปกติที่เป็นมา กายก็จะไม่รู้สึกผิดปกติอะไร และอีกไม่นานกูก็เรียนจบแล้วมันไม่ดีกว่าหรอที่จะไม่ผูกใจเจ็บ หรือ สร้างศัตรูกับใคร"
"เอ" ผมหันไปมองหน้าวาที่เรียกชื่อผมเสียงเบาพร้อมกับแรงบีบรัดที่มือของเราที่แน่นขึ้น
"อะไร ดูมึงทำหน้า" เลิกคิ้วสงสัย
"ฉลาดขึ้นนะบี2 ฮาๆๆๆๆ" วาหัวเราะเสียงร่วนเมื่อผมเบะปากกรอกตาไปมาเมื่อได้ยิมคำชมที่ผมว่าด่าของวา ตกลงกูดูโง่มากสินะ แมร่ง จะกลับไปฟ้องม๊า แต่ก่อนที่จะได้โวยวายอะไรออกไปผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้วาก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้วามากขึ้นอีกนิดและพูดประโยคที่อยู่ในใจออกไป
"ถ้ากูไม่ฉลาด กูคงไม่รักมึงหรอก" พูดจบก็รีบมองปฏิกิริยาของวาที่อาจจะยิ้มหรือหัวเราะหรือพูดอะไรกลับมาอย่างเขินอายแต่กลับกลายเป็นความเงียบเข้ามาแทนที่จนผมอดสงสัยไม่ได้
"เป็นอะไรมึงเงียบ อุ๊บ!!" โอเค ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมวามันเงียบลง ถ้ามึงจะจูบกูกลางถนนแบบนี้รู้งี้ไม่น่าพูดเลยแมร่ง
"โชคดีที่รถติด" วาถอนริมฝีปากออกมาพูดเจือรอยยิ้มที่มุมปาก ทิ้งให้ผมตัวอ่อนมองวาตาปริบๆอยู่ตรงเบาะนุ่ม หันไปมองตัวเลขไฟแดงเห็นว่าเหลืออีกกว่าสี่สิบวินาทีแล้วยิ่งหน้าแดง เกินมาเพิ่งเคยโดยจูบกลางสี่แยก
"ไอ้วาโย!! ไอ้เชี้ยเห็นมั้ยเนี้ยว่ารถข้างๆก็จอดอยู่"
"เขาไม่เห็นหรอกหน่า"
"ไม่เห็นอะไรแมร่ง นิสัย"
"ก็อยากพูดจาน่ารักทำไมละ"
"เออ งั้นวันหลังไม่พูดล่ะ"
"ไม่พูดกูก็จูบอยู่ดี"
"เอ้าอะไรของมึง"
"ก็มึงมันน่ารัก"
"กูผู้ชายครับ ชมว่าน่ารักบ่อยๆกูไม่เคลิ้มไปกับมึงหรอกนะ" เอาศอกเท้ากับประตูปิดปากกลั้นยิ้มตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่อยากให้วาเป็นว่าผมดีใจไปกับคำหวานเล็กๆน้อยๆของมัน เพราะความมืดของกรุงเทพยามค่ำคืนทำให้กระจกรถไม่ได้ฉายเพียงแค่วิวของตึกสูงด้านนอกแต่กลับสะท้อนภาพของผู้ชายที่ทำให้ผมใจเต้นแรงด้วยเช่นกันและคงไม่ต้องบอกว่าผมจะมองวิวด้านนอกหรือปรับโฟกัสเป็นภาพสะท้อนของชายคนนั้น
ดวงตาคมดุของวาสบเข้ากับสายตาของผมผ่านกระจกหนา รอยยิ้มอุ่นยังคงประทับอยู่บนใบหน้าของวาดวงตาที่ติดดุนั้นอ่อนแสงลงยามมองมาที่ผม เสียงเพลงรักหวานคลอเบาๆอย่างนุ่นนวลก่อนที่วาจะละสายตาออกจากกระจกและเคลื่อนตัวรถออกไปยังปลายทางที่อยู่ไม่ไกลจากนี้มาก ปล่อยให้ผมใจเต้นแรงอยู่ในอก และริมฝีปากที่กลั้นยิ้มจนแก้มแทบแตกภายใต้ฝ่ามือตัวเองที่พยายามบดบังมันเอาไว้ ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจนางเอกในละครทีวีแล้วละครับ ว่าทำไมถึงชอบแอบอมยิ้มอยู่คนเดียวเวลาคุยกับพระเอก
"ไม่ใช่คำชม แต่เป็นความรู้สึกของวา ว่าเอ 'น่า' 'รัก'"
ก็ถ้าพระเอกจะพูดประโยคแบบนี้ใส่ ผมก็อายเกินกว่าที่จะยิ้มเขินให้วาเห็นนะซิ
"น้องเอ" แรงโน้มจากด้านหลังพร้อมเสียงเรียกชื่อผมอย่างอ่อนระโหยที่ผมไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใครและก็เดาเหตุผลได้ไม่ยากจากกรุ๊ปไลน์ที่มันกระหน่ำด่าและแซวหลังจากสิบนาทีที่ผมอัพรูปลงไอจีและผมก็อ่านอยู่ได้สามประโยคเพราะโดนเจ้าของแผ่นหลังเจ้าปัญหาคว้าตัวไปเอ็นดู
"อะไรมึง"
"ไอจีมึงเมื่อคืนทำกูไม่ได้นอน"
"หึ"
"แมร่งมากระตุกยิ้มมุมปากเดี๋ยวกูดีดแหม่งแตก พรีมก็นะมาเคาะประตูและกรี้ดใส่หูกูกับเฟซและไอจีมึง ห่า ใครสั่งใครสอนให้แรดอัพรูปหลังผู้ชายลงไอจีว่ะ!!" ภูมิอ้อมตัวมานั่งตรงข้ามผม ขอบตาคำคล้ำขมวดคิ้วบ่นงุบงิบ
"ฮาๆๆๆ แล้วจะทำไมล่ะ"
"และไอ้คำบรรยายของมึงมันอะไร แมร่ง กูละเชื่อเขาเลย"
"แล้วนี้ไอ้กัสอยู่ไหน" ผมเสเปลี่ยนเรื่องเหลือบไปมองด้านหลังหวังว่าจะเห็นเพื่อนฝรั่งตาน้ำข้าวที่เพิ่งจะคืนดีกันเดินตามมา
"มันวนหาที่จอดรถอยู่ กูจะรีบลงมาด่ามึงเลยทิ้งมันไว้คนเดียวป่านนี้ด่ากูไปถึงดาวอังคารละมั้ง ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยนะ 'Lucky' คำเดียวของมึงทำพรีมมันลากกูมาสัมภาษณ์และให้กูนั่งอ่านฟิคมึงกับวาที่แต่งออกมารวดเร็วอิงจากไอจีและฟซมึงเป็นเพื่อนมันเนี้ย แมร่ง จิกกูแทนหมอนจนแจนกูช้ำหมดแล้ว"
"เวอร์"
"เวอร์ห่าไร อย่านะน้องเอ ทำตัวแรดขึ้นทุกวันนะ ไหนจะเฟซมึงอีก หลังจากอัพรูปผู้ชายก็มาอัพเพลง 'ทราย' อีก แฟนคลับมึงกับวาไม่ฟินตะกุยฝาพนังแบบพรีมไปแล้วหรอไง"
"เพลงมันเพราะ" ผมอมยิ้มมุมปากพูดเอื่อยๆกับภูมิ ความจริงเพลงมันก็เพราะจริงๆนะ
'ทุกๆคำรำพันเอ่ยผ่านใจ'ก็เป็นเนื้อหาที่ดี
"เพราะเหี้ยไร ร้อยวันพันปีไม่เคยอัพเพลงไทย อัพแต่เพลงอนิเมะ และไง อาฟเตอร์ชอคอีกระลอกตอนตีสอง ไอจีวา ไม่ต้องถามก็กูรู้เลยว่าหัวใครโผล่มาจากผ้าห่ม เหม่งเด่นเป็นสง่าขนาดนั้น 'น่า''รัก' คำนี้อีก พวกมึงกลัวโลกไม่รู้หรือไงว่าพึ่งได้เสียกันเสร็จเนี้ย"
"โว้ว โว้ว เบาๆครับเพื่อนครับ ด่าแรงมากครับเพื่อน....เข้าใจหน่อยนะเอเมื่อคืนมันไม่ได้นอน" ฟากัสส่งเสียงมาก่อนจะอ้อมไปนั่งข้างๆภูมิที่หน้ามุ่ยมองมาที่ผมอยู่ก่อนจะส่งแก้วกาแฟร้อนไปให้เจ้าตัวที่รับมาจิบหน้ามึนๆ
"ไม่เป็นไร ชิน ฮาๆๆๆ"
"หื้ม อะไรของมึง อารมณ์ดีและหน้าด้านขึ้นนะ" ฟากัสถามอย่างสงสัย ผมได้แต่เลิกคิ้วใส่เพื่อนทั้งคู่และเกาท้ายทอยตัวเองอย่างอายๆกับประโยคที่จะพูด
"ทำไม ก็อารมณ์ดีอะ เพิ่งคืนดีกับเพื่อน เพื่อนว่าอะไร เอรัณไม่ขัดครับ วันนี้เอาใจเต็มที่เลยครับ" จริงๆนะครับ หลังจากหลายอาทิตย์ผ่านมาที่ผมเรียกได้ว่าผิดใจกับพวกมัน ถึงจะนั่งเรียนด้วยกัน กินข้าวกันแต่มันเหมือนมีอะไรมากั้นเอาไว้ พอมาตอนนี้ วันนี้ที่ได้เจอพวกมันและไม่มีความรู้สึกแปลกๆนั้นเข้ามาอีก ผมก็อดที่จะดีใจไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับประโยคหวายเลี่ยนกลางสี่แยกไฟแดงจริงๆนะ
"เฮอะ อีหรอบนี้ไปถามเหตุผลมจากวาแล้วละสิ" ภูมิวางแก้วลงและพูดออกมาอย่างรู้ทันโดยมีฟากัสรับประโยคอย่างรู้ใจ
"และเหตุผลคงเป็นที่น่าพอใจที่จะเข้าใจความเป็นห่วงของพวกกู"
"และก็คงกำลังซาบซึ้งกับความรักราวกับเป็นแม่ไก่กกไข่ของวา"
"แล้วระเบิดตู้มกลายเป็นไอ้น้องเอที่ทำตัวเป็นหมาชิวาว่ากระดิกหางใส่เจ้าของแบบนี้สินะ"
"พอเลยพวกมึง ยิ่งพูดทำไมสภาพกูยิ่งดูไม่ใช่คน"
"อ้าว นี้คนหรอ นึกว่าควายมาตั้งนาน" ฟากัสเหยียดยิ้มที่มุมปากก่อนจะเหลือบสายตามองผมแบบเหยียดๆซึ่งผมรู้ว่ามันแกล้งเล่นเพราะเห็นจากดวงตาของมันที่เจื่อประกายขบขันอย่างสนุกสนาน
"ฟากัสปากมึงนี้ อีกนิดกูจะคิดว่าเป็นร่างทรงของเปรี้ยวแล้วนะ"
"เออ คือ ขอโทษนะคะ" ยังไม่ทันจะได้ต่อปากต่อคำกับเพื่อนตัวดีต่อก็มีเสียงเรียกจากด้านข้าง หันไปก็เห็นน้องผู้หญิงสามคนที่ยืนกันอยู่แบบเขินๆ
"ครับ อ้าวน้องคุ้กกี้" แฟนคลับเอรัณคนนี้มาบ่อยแต่ผมก็จำชื่อเขาไม่ได้ซักที จำได้แค่คุ้กกี้ ขอโทษนะน้องพี่มัวแต่จำชื่อตัวการ์ตูน
"แหะๆ พอดีหนูเอาคุ้กกี้มาให้คะ และก็ เมื่อคืนหนูฟินมากๆเลยคะ"
"อา" หน้าเห่อร้อนอย่างบอกไม่ถูก ผมเป็นพวกหน้าด้านหน้ามึนกับเพื่อนได้ แต่พอเจอคนอื่นมาพูดเรื่องนี้ตรงๆแล้วอดที่จะไปไม่เป็นไม่ได้ทุกที
"อัพรูปคู่ลงไอจีบ้างนะคะ หนูรอเม้น อิอิ" เออน้องครับ พี่ขอซื้อเสียงหัวเราะประหลาดๆชวนขนลุกของน้องได้มั้ยครับ ฟังแล้วดูน่ากลัวยังไงชอบกล น้องคุ๊กกี้ส่งขนมมาให้ก่อนจะรีบจูงมือเพื่อนที่เพิ่งคุยกับภูมิและฟากัสเสร็จออกไป
"เออ เดี๋ยวครับ"
"คะ"
"ขอบคุณสำหรับขนมนะ"
"คะ ค่ะ"
"แมร่ง เสียดายผู้หญิงดีๆว่ะ ไม่น่ามาเป็นสาววายเลย"ฟากัสบ่นอย่างเสียดายมองตามน้องผู้หญิงอีกสองคนที่เพิ่งคุยกับเจ้าตัวเมื่อครู่ โดยมีภูมิแกะขนมปังที่น่าจะมาจากน้องอีกคนเข้าปากและจิบกาแฟ
"เป็นสาววายแล้วยังไงวะ" ผมถามอย่างสงสัยเพราะผมก็ไม่เห็นเขาจะเสียหายอะไร แต่มีรสนิยมที่อาจจะเข้าใจยากไปนิดหนึ่ง
"ก็พอกูจะเข้าไปจีบน้องเขาก็บอกกูว่า อย่าทำแบบนี้สิคะ เดี๋ยวพี่ภูมิเสียใจ นี้ตกลงคิดกันไปแล้วใช่มั้ยว่ากูกับภูมิได้กัน"
"พวกมึงก็ลองได้กันจริงๆสิ"
"สัดน้องเอ" ภูมิสำลักขนมปัง ไอ ค่อกแค๊กก่อนจะด่าผมออกมาเสียงเข้มโดยมีฟากัสกอดอกมองภูมิอย่างเจ้าเล่ห์
ผมหยุดสำลักและมองตาฟากัสอย่างระแวง "อะไรของมึง"
"อยากได้กูก็บอกนะ ไว้กูจัดคิวให้"
"ไอ้คุณฟากัส!!"
"ฮาๆๆๆๆ"
To be con
-Blue Talk-
สวัสดีเทศกาลอีสเตอร์ ซาบซึ่งปาดน้ำตาที่มีวันหยุดนี้ ถึงแม้เราจะต้องนั่งปั่นงานที่ส่งหลังอีสเตอร์ก็ตาม ฮาๆๆ เอาตอนเบาๆ สบายๆมาส่ง และโปรดกลับไปอ่านตอนก่อนหน้าใหม่อีกครั้งเพราะรู้สึกว่ามันจะลางเลือนราวกับภาพเนื้อคู่ในฝันที่ตื่นมาพบว่าเชขายังไม่เกิน -*- และเนื้อเรื่องก็จะเบาๆ สบายๆ ใสๆไปซักสองตอน และหลังจากนั้นจะเข้าสู่เมนหลักแล้ว ฮาๆๆ มีคนอ้อนวอนมาว่าขอมาม่าเบาๆ เราจะพยายามนะ แต่ดูจะพลอตเรื่องแล้ว ขอถอนหายใจแป๊บได้ป่ะ เฮ้ออออ

เจอกันตอนหน้าค่า
