Hour#25 -BFF-
"กูจะเอาไงดีว่ะมึง" ผมพูดคำถามเดิมมาเป็บรอบที่สามแล้วครับ เหลือบมองไอ้ผู้ชายตาโตที่นั่งอยู่ตรงข้ามพลางเบ้ปากใส่เมื่อเห็นมันกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่าย ผมถอนหายใจพลางเอาช้อนตักไอศครีมขึ้นมากินแก้เครียด
"ไม่รู้...คิดเอง"
"โหยยย นี้กูไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครแล้ว"
"ทีตอนพูดละไม่คิด มาคิดเอาตอนพูดไปแล้ว เดี๋ยวเหอะมึง เพื่อนมึงเมิน โดนทิ้งเป็นหมาหัวเน่ากูจะหัวเราะให้"
"โหย ไอ้คุณเหนือครับ เพื่อนมึงเครียดจนจะเอาหัวโขกเสาตายอยู่แล้ว ช่วยกูคิดดิ๊ นี้มันงอนไม่คุยกับกูมาจะอาทิตย์แล้วนะ กูอึดอัด"
ผมบ่นกับเหนือเพื่อนมัธยมของผมที่ไม่รู้ว่าดาวหางพุ่งชนโลกหรือยังไงผมกำลังนั่งซึมอยู่ตรงม้านั่งหน้าคณะที่ปราศจากเพื่อนสองคนของผมคอยอยู่ใกล้ๆอย่างหดหู่จิตใจ วันนี้ผมมาคุยงานกับอาจารย์คนเดียวพอดีที่เหนือโทรเข้ามาบอกว่าอยู่ร้านไอศครีมตรงห้างแถวมหาลัยผมให้ออกมาหามันหน่อย ผมจึงต้องแบกร่างตัวเองไปหาตามที่คุณชายท่านบรรชา
"ก็ให้เวลาเพื่อนมึงหน่อย จากที่กูฟังมึงเล่ามาโดนมึงพูดแบบนั้นใส่ เป็นกูก็อดคิดไม่ได้ว่ามึงดูถูกความเป็นเพื่อนของกูขนาดนี้เลยหรอ แล้วจะมีเรื่องอื่นอีกมั้ยที่มึงคิดว่ากูแสแสร้งทำดีกับมึง สรุปคือ คำพูดของมึงทำกูผิดหวังมาก ไรงี้ ในกรณีที่กูเป็นฟากัสนะ"
คำพูดของเหนือมึงมีคนเอามีดที่ชื่อว่าความรู้สึกผิดมาแทงลงตรงอกผมอย่างแรง ผมก็พอจะเดาออกแหละว่าฟากัสมันคงน้อยใจกับคำพูดของผม วาเองก็บอกเช่นกันว่าครั้งนี้ผมพูดแรงไปจริงๆ และพอมาวันจันทร์ผมกะจะไปง้อฟากัส แต่ดันเจอกายซะก่อนก็เลยเอาหนังสือที่ผมซื้อมาให้กายเอาไปให้น้องแทนและบอกขอโทษเขาอีกครั้ง และพอดีกับที่ฟากัสมันมาเห็นผมคุยกับกายเข้าพอดีมันเลยถอนหายใจและเดินหนีไปซะอย่างนั้น นี้ผมยังสงสัยอยู่ว่านี้มันคือเหตุการณ์เพื่อนงอนเพื่อน หรือ แฟนจับได้ว่าผมนอกใจไปหาคนอื่นกันแน่ งงวุ้ย
"แมร่ง กูมาหาเพื่อให้มึงปลอบใจกู ไม่ได้ให้มึงซ้ำเติ่ม ถึงตอนเรียนกันจะนั่งด้วยกันสามคนแต่มันไม่ใช่อะมึง โดนเมินอะมึงเข้าใจคำว่าโดนเมินป่ะ ยังดีนะที่ภูมิยังคุยกับกูบ้าง"
"นี้กูว่ายังดีนะ เป็นกูกูจะไล่มึงไปไกลๆด้วยซ้ำ จะลุกไปนั่งที่อื่นเลยด้วยไม่ให้มึงมาอยู่แม้ในการมองเห็นของกู" เหนือพูดด้วยน้ำเสียรายเรียบที่ทำเอาผมอดขนลุกไม่ได้เพราะมันเคยทำแบบนั้นมาแล้วกับเพื่อนคนนึงตอนเรียนมัธยมด้วยกัน ถึงจะคนละกรณีกับผมแต่เหนือเป็นคนที่ผมไม่อยากจะทำอะไรให้มันโกรธเลยให้ตาย
"ไอ้เหี้ยเหนือ"
"อย่า อย่ามาทำน้ำตาคลอ มิตรภาพ 10 ปีของเรามำให้กูชินชากันความสำอยของมึงละไอ้น้องเอ"
"แมร่ง....แล้วไงมึงอะ ตกลงที่ลงมากรุงเทพนี้มาทำไร"
"มาหามึงไง" เหนือวางแก้วกาแฟลงก่อนจะยิ้มกว้างใส่ซะจนผมเห็นผู้หญิงโต๊ะข้างๆมองค้างอยู่ที่มันเป็นตาเดียว
"เอาดีๆ" ไม่อยากจะบอกเช่นกันว่ามิตรภาพ 10ปีของพวกเราสอนให้ผมรู้ว่าการมาของมันไม่ได้มาเพระมันคิดถึงผมแต่อย่างใดแน่ๆ
"มาทำวีซ่า ที่กูบอกจะไปเที่ยวเยอรมันอะ"
"จำเป็นต้องลงมากรุงเทพเลยหรอ"
"โว๊ะ มาเอาหญิงโอเคมั้ย ถามมากจริงแม่กูหรือก็เปล่า"
"ก็แค่นี้ บอกมาแต่แรกก็หมดเรื่อง"
"ก็เวลามึงทำหน้าสงสัยมันดูโง่ดี กูชอบ" หัวเราะเบาๆในลำคอพลางกระตุกยิ้มที่มุมปาก มีใครเคยบอกมึงมั้ยวะ ว่ามึงแมร่งโคตรนิสัยเสียเลยเหนือ
"ไอ้เชี้ยเหนือ"
"พอๆ เลิกบ่นครับกูนั่งฟังมึงพร่ำพรรณาปัญหาชีวิตมึงมานานละ กูเบื่อ"
"ก็กูเครียดนิ่"
"เครียดมากก็ไปหาเพื่อนมึงที่บ้านเลย ห่าปล่อยไว้ได้ไงตั้งอาทิตย์ จับมานั่งเครียกันเลยเหมือนพวกเราตอน ม.3 อ่ะ แมร่งกูจำไม่ได้ละว่าทะเลาะกันเรื่องอะไรแต่เปรี้ยวแมร่งโหดชิบ ตบหัวเรียงคนจับมานั่งเครียกันหน้าตึก 3 นั่งกันอยู่ตรงบันไดข้างบ่อปลา พอมานึกดูก็โคตรขำเลย"
"ฮาๆๆ เออว่ะ จำได้เลยว่าตอนนั้นแก้วร้องไห้ใหญ่เลย"
"มึงก็ร้องเหอะ เอาจริงๆก็ร้องกันทุกคนแหละวะ แต่คงเพราะเรื่องนั้นมั้งที่ทำให้พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานขนาดนี้"
"อืม นั้นสินะ"
"เอาละ พอเลิกเครียด ไหนบอกกูมาบ้านฟากัสอยู่ไหนเดี๋ยวไปส่ง" เหนือลุกขึ้นเต็มความสูงพลางคว้ามือผมให้ออกมาจากเก้าอี้ตัวนุ่ม
"เฮ้อ มึงก็ไม่กล้าอะ" ผมขืนตัวเอาไว้พลางส่ายหน้าอย่างกังวล เอาจริงๆตอนนี้ผมกลัวการที่จะต้องเผชิญหน้ากับฟากัสมากๆ ไม่ชอบที่จะอยู่ภายใต้ความอึดอัดและกดดันเลยจริงๆ
"กล้าพูดใส่เพื่อนมึงขนาดนั้นก็ต้องกล้าไปเครีย หรือยังไงกูก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะว่าเลือกเอาระหว่างความกลัวของมึงหรือมิตรภาพ" และผมก็ยอมเดินก้มหน้ากัดปากให้เหนือมันจูงมือผมขึ้นรถมันจนได้
หลังจากคำพูดสุดท้ายของเหนือคำนั้น ผมก็มานั่งอยู่ตรงโซฟาขนแคชเมียร์สีขาวในห้องรับแขกบ้านฟากัส ผมนั่งก้มหน้าตัวหลีบทำตัวไม่ถูกได้แต่ภาวานาให้ภูมิมันกลับมาจากข้างนอกเร็วๆ คือตอนผมมาผมได้บอกภูมิไว้แล้วว่าให้มาเป็นเพื่อนหน่อยแต่มันดันติดไปรับน้องพรีมจากเรียนพิเศษก่อนเดี๋ยวตามมาเลยกลายเป็นผมลุยเดี่ยวอย่างไม่ต้องการ ใจจริงจะนั่งรอภูมิมาในรถเหนือซักพัก แต่เพราะคุณเหนือตัวดีลากผมออกมาจากรถแล้วเอาผมมาปล่อยหน้าบ้านฟากัสพร้อมบริการกดออดเรียกเรียบร้อยเมื่อเห็นว่ารถยนต์ของเพื่อนผมจอดอยู่ก่อนจะส่งยิ้มโบกมือลากลับโรงแรมไปแต่งตัวออกล่าเหยื่อคืนนี้ทันทีที่เห็นฟากัสเดินออกมาจากบ้าน
"มีอะไรว่ามา"
"คือ" ฮือ อยากกลับห้องไปหาวามาก ถ้าเสียงฟากัสจะแข็งขนาดนี้ "กูขอโทษ"
"อืม" ห่ะ นี้มึงจะตอบกูแค่นี้เองหรอ กูเครียดนะเว้ย
"คือตอนนั้นที่กูพูดไปก็ไม่ได้คิด มึงก็รู้ว่ากูมันปากพล่อย" เงยหน้ามองฟากัสที่นั่งกอดอกไขว่ห้างมองผมอยู่โดยที่ไม่ได้พูดอะไร "แต่ตอนนั้นมันก็ไม่ควรจริงๆนี้หว่า นัดน้องเขาไว้แล้วและไปผิดนัดแบบนั้น มันไม่ดีมึงก็รู้ คนรอเขาจะลำบาก"
"นี้ตกลงเรากลับมาที่เรื่องมันอีกแล้วใช่มั้ย"
"เฮ้ย ไม่ใช่ กูแค่พูดเฉยๆ"
"กูจะบอกอะไรให้นะเอ ที่กูพูดกูเตือนเพราะกูหวังดี กายมันไม่ใช่คนดีอะไรอย่างที่มึงเห็น"
"มึงก็บอกกูมาสิว่ากายมันไม่ดียังไง มึงก็รู้ว่ากูมันพวกไว้ใจคนง่าย ถ้ามึงไม่บอกกูแล้วกูจะรู้มั้ย"
"ก็ใช่ไงมึงมันเป็นคนไว้ใจคนง่าย แต่ทำไมกับกูที่เป็นเพื่อนมึง มึงจะไว้ใจสิ่งที่กูเตือนมันบ้างไม่ได้เลยหรือไง"
"ฟากัส มันไม่ใช่แบบนั้นนะเว้ย"
"แล้วมันแบบไหนว่ะ บางครั้งนะเอ กูก็ชอบไอ้นิสัยของมึงแบบนี้แต่หลายครั้งที่มันทำให้กูอยากจะชกหน้ามึงซะทีให้หายซื่อบ้าง" ฟากัสกระชากเสียงขึ้นอย่างหงุดหงิดก่อนจะพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองเมื่อเห็นผมเริ่มหน้าเสีย "เอาเป็นว่าคำขอโทษของมึงกูรับไว้แล้ว มึงกลับไปได้ละเอ"
"อย่าทำแบบนี้ดิ่ ชกหน้ากูมาเลยกูได้แต่ไม่เอาแบบนี้ เราเป็นเพื่อนกันนะเว้ย" ผมพูดเสียงสั่นเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของฟากัส มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากสำหรับการที่ผมต้องมาทะเลาะกับเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนที่ผูกพันกันมาเกือบ 5 ปี
ตลอดระยะเวลาในรั้วมหาลัยของผม ถ้าไม่นับวาที่รู้จักกันมามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตก็มีภูมิและฟากัสที่ผมยอมรับว่าเป็นเพื่อนที่ผมรักไม่ได้น้อยไปกว่าพวกเหนือเลย 5ปีที่ผ่านมาถามว่าเคยมีทะเลาะกันมั้ย ก็มีบ้างตามประสาผู้ชาย โดยเฉพาะเวลาทำงานกลุ่มแต่ไม่เคยจะมีครั้งไหนที่รุนแรงขนาดนี้ แต่จะโทษใครได้ ถ้าไม่ใช่การพูดอะไรไม่คิดจนคำพูดนั้นไปทำร้ายจิตใจเพื่อนผมเขาแบบนี้
"กูว่าเพื่อนแบบกู มึงไม่จำเป็นต้องมีก็ได้นะ" ประโยคนี้ของฟากัสเหมือนคำพูดที่ทำลายกำแพงของผมให้ล้มลง ทำนบน้ำตาที่ผมพยายามกลั้นเอาไว้ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กัดปากมองเพื่อนตัวสูงตรงหน้าที่ยืนหันหลังให้ผมอย่างเสียใจ ไม่เคยคิดว่าประโยคตัดรอนความเป็นเพื่อนมันจะเจ็บขนาดนี้ ณ ตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของฟากัสและภูมิวันนั้นแล้วว่าที่ผมพูดว่าสิ่งที่พวกมันทำให้ผมคือหน้ากากของการแสแสร้ง เพราะประโยคที่ว่านั้นมันไม่ต่างอะไรกับการดูถูกและตัดรอนมิตรภาพของพวกเราเลย
"อึก ฟากัส อย่าพูดแบบนี้ กูขอโทษ" หลุดสะอื้นออกมาเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของฟากัสดังขึ้นมาในความเงียบ บรรยากาศมันชวนอึดอัดและกดดันจนผมกลัวที่จะเสียเพื่อนไป
"พูดแรงไปมั้ยมึง ไอ้กัส" ผมหันไปตามเสียงของคนที่มาใหม่ก็เห็นภูมิเดินหน้านิ่งเข้ามาก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆผมและลูบหัวผมเบาๆ
"ฮือออ ภูมิ" จะว่าออเซาะก็ได้แต่ผมทนไม่ไหวกับความกดดันในครั้งนี้จริงๆ ตั้งแต่เกิดมาด้วยความเป็นน้องเล็กที่จะถูกพี่ๆเอาใจและพะเน้าพะนอให้ทุกอย่าง จนผมแทบจะไม่ค่อยได้แบกรับความกดดันเท่าไร เพราะเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น พอผมบอกพี่เฟิร์สกับเฮียเอก เขาสองคนจะเป็นคนช่วยผมแก้ไขเสมอจนกลายเป็นความเคยตัวที่ตอนนี้กลายเป็นความกลุ้มใจของคนในบ้านและวา ว่าเมื่อผมเรียนจบไปจะทนทำงานในสังคมนี้ได้มั้ย
"พอแล้วร้องไห้ทำไม" ภูมิถามเสียงนุ่มก่อนจะส่งกระดาษทิชชู่ให้ผมเช็ดน้ำตา ผมหันไปมองฟากัสที่ลงมานั่งตรงโซฟาเหมือนเดิมเมื่อภูมิเอ่ยเรียกชื่อฟากัสเสียงเรียบ
"ฟากัส ฮึก บอกว่าจะไม่เป็นเพื่อนกับกูแล้ว"
"แล้วร้องไห้ทำไม" ภูมิถามซ้ำประโยคเดิมพลางมองหน้าผมที่ก้มลงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน
"กูไม่อยากเลิกเป็นเพื่อนกับมัน"
"แต่มึงก็บอกเองนิ่ว่า พวกเราอาจจะแสแสร้งเวลาอยู่กันมึง เพราะฉะนั้นเลิกเป็นเพื่อนกัน มันน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรอ"
"ไม่ใช่...ไม่ดี...พวกมึงไม่ได้แสแสร้ง พวกมึงเป็นเพื่อนที่จริงใจกับกูจริงๆ พวกมึงไม่ใช่แค่เพื่อนมหาลัยแต่เป็นเพื่อนกูจริงๆเหมือนที่พวกเปรี้ยวเป็น"
"แล้ววันนั้นที่พูดแบบนั้นไป คิดจริงๆหรือพูดเพราะอารมณ์" ภูมิยังคงเอ่ยถามผมอย่างใจเย็นผิดกับฟากัสที่ส่งเสียงหึในลำคออกมาเมื่อประโยคของภูมิชวนให้คิดถึงสิ่งที่ผมพูดไปอีกรอบ
"กูก็โมโหอะ พวกมึงไม่มีเหตุผล แต่กูผิดเองที่พูดแรงแบบนั้นออกไป กูขอโทษนะภูมิ ขอโทษนะฟากัส หายโกรธกูนะ"
"โอเคยังมึง พอแล้วมั้ย ร้องไห้หนักแล้วเนี้ย" ภูมิหันไปถามฟากัสพลางพยักหน้ามาทางผมที่นั่งตัวลีบตาบวมจมูกแดงมองฟากัสอย่างเกรงใจคำตอบอยู่
"จะเข็ดมั้ยเอ วันหลังจะพูดอะไรไม่คิดอีกมั้ย" นับเป็นประโยคแรกที่ของฟากัสที่พูดกับผมโดยไม่ติดน้ำเสียเย็นชาเหมือนเมื่อกี้จนผมรีบพยักหน้าอย่างรับคำแทบไม่ทัน
"ไม่แล้ว สัญญาเลยต่อไปจะถนอมน้ำใจคนฟังมากกว่านี้"
"โอเค งั้นเลิกร้องไห้ได้แล้ว" ฟากัสยิ้มให้ผมเหมือนเคยก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากภูมิที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
"ฮึก มึงไม่โกรธกูแล้วจริงๆนะ"
"จริงๆก็ไม่ได้โกรธนะ แค่อยากดัดนิสัยมึงแค่นั้นเอง"
"ห่ะ" ผมตาค้างทันทีที่ได้ยิดคำว่าดัดนิสัยออกมาจากปากฟากัสก่อนจะหันไปทำตาปริบๆใส่ภูมิอย่างขอคำอธิบายเพิ่มเติ่ม
"จะบอกเอาไว้ให้รู้นะว่าพวกกูเข้าใจนิสัยของมึง แต่คนอื่นเขาไม่เข้าใจกับมึงด้วย พวกกูรู้ว่าที่มึงพูดมา มึงไม่ได้คิดแบบนั้น หรือเจตนาร้ายกับใคร แต่ต่อไปพอมึงโตขึ้น ไม่มีใครเขามาคอยนั่งเข้าใจมึงแบบพวกกูหรอกนะ เขาก็จะตัดสินมึงจากคำพูดของมึง" ภูมิพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างใจเย็นจนในตอนแรกที่ผมคิดจะโวยวายกับการดัดนิสัยของพวกมันเป็นยอมรับฟังเงียบๆอย่างตั้งใจ เพราะถึงภูมิกับฟากัสจะอายุเท่าผมแต่ผมกล้าพูดได้วั่นสองคนที่วุฒิภาวะที่สูงกว่าผมมาก อาจจะเพราะภูมิเป็นลูกชายคนเดียวพ่วงตำแหน่งพี่ชายคนโต และ ฟากัสก็เป็นลูกชายคนเดียวที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงแบบให้อยู่ด้วยตัวเองมาตลอดทำให้ผมไม่รู้สึกตะขิดตะขวงอะไรเวลาที่มันสองคนจะเข้าโหมดซีเรียสและเอ่ยตักเตือนผมแบบนี้
"คำพูดของคำเรามันมีอำนาจนะเอ ทุกคำที่เราพูดออกไปมันเอากลับคืนมาไม่ได้ และตัวคนพูดเองอาจจะไม่รับรู้ถึงพลังของคำพูด แต่คนฟังที่เป็นคนรับสารนั้นเต็มๆเขาคือคนที่รู้สึก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ดีหรือไม่ดี แต่คนฟังคือคนที่รู้สึกเข้าใจมั้ย"
"อืม เข้าใจแล้ว"
"โอเค งั้นก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว ไปล้างหน้าไป วารอนานแล้ว" ฟากัสบอกก่อนจะฉุดตัวผมขึ้นจากโซฟามากอดหลวมๆไว้โดยมีภูมิกอดอกมองยิ้มๆอยู่ นี้ไม่ได้จะสำออยนะแต่หลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาพอโดนฟากัสมันกอด และเห็นภูมิส่งยิ้มมาให้พาเอาน้ำตาผมจะไหลอีกรอบ
"ฮือออ"
"อ้าว ไหงร้องไห้หนักกว่าเดิมวะ หึหึ" ฟากัสเอ่ยเสียงทุ้มอยู่ข้างหูก่อนจะผละตัวผมออกมา
"ก็กูโล่งใจอะ ฮึก กูคิดว่ากูจะเสียเพื่อนแบบมึงไปซะแล้ว"
"ไม่มีทางอะ กูจะมีเพื่อนที่เหมือนสัตว์เลี้ยงประจำบ้านแบบนี้ได้ที่ไหน เนี้ยดูสิหน้าผากเถิกๆแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว"
"ไอ้ฟากัส!!"
"พอๆ ไปๆล้างหน้าวามันคงกังวลตายแล้วว่าพวกเราฆ่าเมียมันไปยัง"
"แล้ววาอยู่ไหนอะ"
"จะอยู่ไหนละ ก็อยู่หน้าบ้านเนี้ย มันมาจอดรถรถรับมึงตั้งนานละ กูโทรไปบอกมันเอง ในกรณีที่พวกกุรับมือมึงไม่อยู่จะได้ให้พ่อมึงมาจัดการแทน" นี้ผมควรจะดีใจใช่มั้ยที่พวกมันอุสาห์คิดแผนการรองรับมือผมเอาไว้ แต่ไม่อยากจะบอกว่าเอาจริงๆ วาแมร่งโหดกว่าพวกมึงอีก เห็นโอ๋ๆผมแบบนี้นะอย่าได้ลองให้มันเข้าโหมดโหดเวลาผมดื้อ ขี้คล้านฉากโดนโยนเข้าไปในห้องน้ำแล้วสาดน้ำใส่จะกลับมาให้เห็นอีกเป็นบุญตา
"อ้อ นี้ตกลงคือรู้กันหมดทุกคนเลยใช่มั้ย"
"อย่ามาทำเป็นเคือง ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะมึงทั้งนั้นอะ" โดนภูมิเหวี่ยงมาหนึ่งดอกเต็มๆ นี้สงสัยคนที่เคืองที่สุดอาจจะเป็นภูมิก็ได้นะจะว่าไป
"เออ กูยอมก็ได้ว่ะ แต่เอาจริงๆนะ พวกมึงจะไม่บอกกูจริงๆหรอว่าตกลงพวกมึงมีเรื่องอะไรกับกายกันแน่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูด้วยใช่มั้ย และวารู้เรื่องหรือเปล่า"
"ขอโทษวะเอ แต่กูสัญญากับวาไว้แล้วว่าจะไม่บอกมึง ถ้ามึงอยากรู้ก็ถามวาเอาเองนะ" หลังจากที่คำถามผมทำให้เพื่อนสองคนเงียบไปซักพักก็เป็นฟากัสเองที่ตอบออกมา
"แล้วถ้าวามันไม่ยอมบอกกูละ"
"อันนี้มันก็อยู่ที่ตัวมึงว่าจะลองเชื่อคำเตือนของพวกกูและคำพูดของวาโดยไม่มีเงื่อนไขได้มั้ย หรือ จะอยากลองพิสูจน์ความเป็นห่วงของพวกกูด้วยตัวเองก็ลองดู"
To Be Con
-Blue Talk-
ใกล้ละ ใกล้จุดพีคในปมที่ชื่อว่า กาย ละ ไหนจะเหลือปมที่ชื่อว่า ครอบครัวอีก โอ้ยย แต่งฉากเครียดๆแล้วพาเอาพลังงานลดลงจริงๆ...ธีทในตอนนี้ขอมอบให้แก่คนที่เคยทะเลาะกับเพื่อนคะ ฮาๆๆ ฟีลนี้เลยอะ มันกดดันจริงๆนะยูว์