ตอนที่4
ภาคนิพนธ์ตรงไปโรงพยาบาลทันที่ที่ลงจากเครื่อง โรงพยาบาลขนาดกลางๆซึ่งถ้าเป็นช่วงที่ภาคนิพนธ์ยังอยู่ที่เมืองไทย เขาคงไม่มีทางเห็นแม่เข้าโรงพยาบาลเล็กๆในความคิดของแม่แบบนี้แน่ๆ
เขาไปคุยกับหมอทันที และหมอก็บอกว่ามีโอกาสมากที่แม่เขาจะเดินไม่ได้ ซึ่งแม่เขาเองก็ทราบเรื่องนี้แล้ว ภาคนิพนธ์ไม่อยากจะคิดว่าปฏิกิริยาของแม่เขาจะเป็นยังไงตอนรู้เรื่อง
“ไงมาแล้วเหรอ ถ้าฉันไม่จะเป็นจะตายแกก็คงไม่กลับมาซินะ”
คำพูดเจ็บแสบส่งตรงมาทันทีที่แม่เห็นหน้าเขา ภาคนิพนธ์เลือกที่จะเงียบ ไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับแม่ พูดไปก็มีแต่จะเข้าตัวเท่านั้น
“เพราะแกแท้ๆ ฉันเลยต้องเป็นแบนี้ ต้องตกต่ำขนาดนี้”
พัลลภาตะเบ็งเสียงด่าลูกชายด้วยความโมโห ต่างจากอีกฝ่าย ที่นิ่งเงียบ เดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ อย่างกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดออกไปเลย
“นั่นมันเพราะตัวแม่เองต่างหากล่ะครับ”
อึ้งไปทันที พัลลภานิ่งอึ้งไปกับคำพูดของลูกชาย เธอรู้ดีว่าลูกชายคนนี้ไม่ได้รักเธอนัก ไม่ได้ผูกพัน และก็ไม่ค่อยนับถือเธอ แต่ภาคนิพนธ์เป็นเด็กว่าง่าย สักคำก็ไม่เคยเถียงใครให้ได้ยินมาก่อน แม้ภาคนิพนธ์จะทำตัวเกเร แต่ก็ไม่เคยปริปากเล่าเรื่องใดๆให้เธอรับรู้
“ถ้าคิดว่าผมจะยอมให้แม่เอาทุกอย่างมาลงที่ผมล่ะก็ บอกได้เลยครับว่าไม่อีกแล้ว”
ราวกับรู้ว่าแม่ตัวกำลังคิดเรื่องอะไร ภาคนิพนธ์พูดออกไปทันที นี่คือเจตนาของเขา เขาจะไม่ยอมให้ชีวิตตัวเองต้องเดินไปตามทางที่แม่ขีดให้เด็ดขาด นี่คือความตั้งใจที่คิดไว้หลังจากตัดสินใจกลับมาที่นี้
“แก.... หึ เลี้ยงมาเสียข้าวสุกชะมัด”
เธอว่าก่อนจะหันหน้าหนีไป เป็นการจบบทสนทนา และนั่นเป็นการดีสำหรับภาคนิพนธ์
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้แม่ต้องยุ่งยากใจแค่ไหน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุแห่งความตกต่ำของแม่ แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า ทั้งหมดนั้น เพราะใจของแม่ที่ใฝ่ฝันแต่สิ่งที่สูงเกินเอื้อมไปทุกครั้งไม่ใช่หรือ ถ้าแม่เพียงแค่พอใจกับสิ่งที่ตนมี แม่ก็จะไม่คิดว่าตัวเองตกต่ำ
เขาไม่ถามว่านายมานิชพ่อเลี้ยงของเขาไปไหน จากสภาพของแม่ที่ยังคงความสวยไว้ แต่ก็ไม่ใช่แบบสวยสดอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ข่าวลือเรื่องที่ว่ากำลังจะเลิกกันนั้นคงเป็นความจริง
ที่แม่ต้องมาอยู่โรงพยาบาลขนาดกลางแบบนี้ก็พอยืนยันได้แล้ว และก็สามารถยืนยันได้อีกอย่างว่าตอนนี้แม่เขามีเงินไม่มากพอจะพาตัวเองไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ภาคนิพนธ์แปลกใจเลย
แม่เขาได้เงินจากนายมานิชมากก็จริง แต่ว่าแม่ก็ใช้เงินมากไม่แพ้กันเลย ทั้งดื่ม กิน เที่ยว เลี้ยงผู้ชาย การพนัน ซื้อของแพงๆ แม่เขาเอาหมด แม่ทำตัวหรูหรา ฟุ้งเฟ้อตลอดเวลา
แล้วเห็นว่าอุบัติเหตุคราวนี้เป็นเพราะเมาแล้วขับรถไปชนรถที่จอดไว้ข้างถนน หลายคันซะด้วย ดีว่าไม่มีใครคนอื่นได้รับบาดเจ็บอีก แต่ค่าซ่อมรถพวกนั้นก็มากพอให้เงินแม่ลดลงจนเหลือไม่ถึงครึ่งของบัญชีเลยล่ะแถมยังมีค่ารักษาที่ไม่รู้ว่าเท่าไหร่นี่อีก
ภาคนิพนธ์ทำโน้นทำนี้ในห้องพักแม่ไม่นานก็ขอตัวออกมาก่อน เมื่อเพื่อนแจ้งว่าได้มาถึงที่โรงพยาบาลแล้ว เขาไม่อยากให้แม่รู้จักเพื่อนเขา ไม่ต้องการให้เพื่อนเขาต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องเน่าเฟะในบ้านของตน
“ชา”
“ภาค”
สองร่างกอดกันโดยไม่อายสายตาใครต่อใครต่อใครที่มองอยู่สักนิด
เรือชาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาตั้งแต่สมัยประถม คบกันมาตั้งแต่พ่อของภาคนิพนธ์ยังไม่เสีย เป็นคนเดียวที่คอยตักเตือนเมื่อตอนเขาทำตัวเป็นเด็กเกเร เป็นคนเดียวที่เขากล้าเล่าเรื่องน่าอายอย่างการโดนพ่อเลี้ยงลวนลามให้ฟัง
“คิดถึงจัง”
“คิดถึงแต่ไม่เคยกลับมาหาเนี่ยนะ”
คำต่อว่าที่เหมือนเป็นคำหยอกทำเอาภาคนิพนธ์อดหัวเราะไม่ได้ ก็รู้อยู่แล้วแท้ๆว่าเขากลับมาไม่ได้
“แล้วนายพักที่ไหน คงไม่ใช่บ้านนั้นหรอกนะ”
“อืน นั่นสิ แต่ไม่อยากรบกวนนาย”
“ถ้าพูดว่ารบกวนอีกครั้งจะชกให้คว่ำเลย ไปนอนที่คอนโดฉันนี่ล่ะ ดีแล้ว”
ภาคนิพนธ์อยากจะปฏิเสธ แต่เอาเข้าจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้นเลย ก็ตอนนี้เขาอยากประหยัดได้ให้มากที่สุด ไม่รู้ว่าจากนี้จะต้องเจออะไรอีกบ้าง ถ้าทำได้ก็อยากเก็บเงินไว้ก่อนเพื่อความสบายใจ
“ก็คงต้องยอมไปล่ะนะ ขอรบกวนด้วยแล้วกัน”
ระหว่างที่เดินกลับไปเอากระเปาเดินทางบนห้องของแม่และออกมาหาเรือชาที่หน้าโรงพยาบาลนั้น ภาคนิพนธ์ไม่รู้เลยว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนสองคน จากคนล่ะที่ ถึงแม้ทั้งสองคนจะมองภาคนิพนธ์ด้วยสายตาที่แตกต่างกัน แต่ว่าทั้งสองฝ่ายก็มองด้วยสายตามุ่งร้ายพอกัน
.............................................
วันถัดมาภาคนิพนธ์แทบลมจับ ก็เมื่อเขามาหาแม่ที่โรงพยาบาล แต่ภายในห้องกลับไม่ได้มีแต่แม่เขาเพียงคนเดียว
ชายผู้มาเยือนแนะนำว่าตนเป็นทนายความจากพ่อเลี้ยง มาเพื่อจัดการเรื่องหย่า ทั้งๆที่มันไม่น่าจะมีอะไร แต่ฝ่ายนั้นกลับพูดออกมาง่ายดายว่า แม่ของตนนั้นเป็นฝ่ายโดนฟ้อง รูปมากมายของแม่กับผู้ชายอื่นถูกยื่นมาตรงหน้า ตั้งแต่รูปตามห้างสรรพสินค้า ไปยันรูปกอดจูบหน้าห้องในโรงแรมที่ไม่บอกยังรู้เลยว่าคนทั้งคู่ตั้งใจจะเข้าไปทำอะไรกัน ภาคนิพนธ์มองรูปเหล่านั้น อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงเขาจะมาไม้นี้ เขารู้ว่าแม่นอกใจพ่อเลี้ยง แต่แน่นอน พ่อเลี้ยงเขาเองก็มีบ้านเล็กบ้านน้อยมากมาย แล้วทำไมถึงยังกล้ามาฟ้อง พอมานึกดูๆ ก็เพราะอีกฝ่ายมีหลักฐาน และเงินหนากว่า เรื่องที่จะหาหลักฐานและหาทนายดีๆไม่ใช่เรื่องยากเลย
“ทำไมเขาต้องทำแบบนี้”
พัลลภาครวญครางออกมาทันทีที่ทนายความกลับไป ต่อหน้าคนอื่น เธอจะยังทำตัวราวกับเป็นนางพญาด้วยการตีหน้านิ่ง ทั้งๆที่ในความเป็นจริง เธอกำลังจะคลั่งตาย
ฝ่ายภาคนิพนธ์ไม่พูดอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าทำไม พ่อเลี้ยงของเขาคงรู้ตัวแล้วว่าเขากลับมา ที่ยื่นเรื่องฟ้องหย่าเรียกเงินมากมายทั้งที่รู้ว่าแม่เขาไม่มีให้เพราะอะไรเขาก็รู้ ภาคนิพนธ์ไม่ใช่คนเจนโลก แต่ไม่ได้โง่ แค่เรื่องที่ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำ ทำไปเพื่อต้องการบีบเขาให้จนมุมและให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการนั้น เขาเองรู้ดี แต่เขาจะต้องยอมอย่างนั้นหรือท่าทางนิ่งเงียบต่อหน้ามารดาช่างแตกต่างจากในใจที่รุ่มร้อนนัก นอกจากใบหน้าก็นี่ล่ะมั้งที่เขาเหมือนแม่ การที่สามารถตีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ไม่ร้อนทั้งที่ใจแตกต่างนี่ล่ะมั้ง
ในขณะที่ผู้เป็นแม่ยังโวยวายไม่เลิก ภาคนิพนธ์ต้องพยายามคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไงต่อไป
...................................
เรื่องการฟ้องหย่าของพ่อเลี้ยงกับแม่ภาคนิพนธ์เป็นข่าวดังพอดู ด้วยฝ่ายพ่อเลี้ยงต้องการขอความเห็นใจจากคนอื่นๆ
ผู้ชายที่ถูกเมียสวมเขาคงดูน่าสงสาร และมานิชคงหวังให้มันน่าสงสารมากพอจะกลบข่าวไม่ดีเกี่ยวกับตัวเขาและบริษัทได้ แต่ที่ไม่เป็นข่าวคือจำนวนเงินที่ฝ่ายพ่อเลี้ยงเรียกจากแม่เขา ....20 ล้าน....เงินจำนวนมากนี้พ่อเลี้ยงเขาอ้างว่าเป็นเงินที่แม่และเขาใช้ตลอดเวลาที่แต่งงานกับแม่เขามา ภาคนิพนธ์ไม่รู้ว่าแม่ใช้เงินไปมากขนาดนี้จริงไหม แต่เขามั่นใจว่าตัวเขาไม่ได้ใช้เงินของผู้ชายคนนั้นขนาดนั้นแน่ เงินที่พ่อเขาทิ้งไว้ให้ หากตีเป็นค่าเรียนแล้ว พ่อเลี้ยงเขาแทบไม่ต้องจ่ายอะไรเลย
“มันจะไม่มากไปหน่อยหรือครับ”
“อันนี้คงต้องคุยกันในศาลนะครับ”
ให้ตายเหอะ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าทนายต้องว่ามาแบบนั้น แต่ยังอดเอ่ยปากไปไม่ได้
“แต่หากคุณภาคนิพนธ์อยากคุยกับคุณมานิชล่ะก็ คุณมานิชแจ้งว่ายินดีคุยด้วยเป็นการส่วนตัวนะครับ”
ทนายความทิ้งข้อความไว้แค่นั้นก่อนจากไป
แค่คิดถึง เป็นการส่วนตัว ที่อีกฝ่ายพูดทิ้งไว้เมื่อครู่เขาก็แทบจะอาเจียน ดีที่เขาไม่ได้คุยในห้อง ไม่งั้นแม่เขาต้องไล่ให้เขาไปคุยกับพ่อเลี้ยงแน่ๆ ทั้งๆที่แม่เองก็คงรู้ไม่ต่างกันว่ามันจะเกิดอะไร ภาคนิพนธ์ไม่อยากกลับห้องเลยเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ข้างล่างเป็นนานกว่าจะกลับขึ้นไป ออกแปลกใจเมื่อขึ้นมาแล้วเห็นใบหน้าของผู้เป็นแม่ยิ้มแย้มอย่างสบายใจ
“อ้าวมาแล้วเหรอภาค มานี่สิ มานั่งใกล้ๆแม่”
ภาคนิพนธ์ระวังตัวขึ้นมาทันทีเมื่อแม่มาพูดดีด้วยแบบนี้ ไม่ธรรมดาแล้ว เขาคิดในใจแต่ก็ยังตีหน้านิ่งเดินไปนั่งลงข้างแม่
“แหม ลูกนี่มีอะไรไม่บอกแม่เลยนะ”
เงียบ....สิ่งที่เขาทำมีเพียงความเงียบเท่านั้น หรือว่าเมื่อกี้ หลังจากที่แยกกับตน ทนายความคนนั้นขึ้นมาหาแม่ แล้วบอกว่าความต้องการของพ่อเลี้ยงไปแล้ว ไม่จริงน่า
“ถ้าเป็นแบบนี้ แม่ค่อยสบายใจหน่อย”
นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ก่อนที่ภาคนิพนธ์จะได้ร้องออกไปแบบนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ร่างที่ปรากฏตรงหน้าทำเอามาดนิ่งของภาคนิพนธ์หลุดไปทันที ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่ตั้งใจทำเอาคนเข้ามาใหม่อดขำเบาๆไม่ได้
“นี่ครับ ที่คุณแม่อยากทาน”
“.................”
“ขอบใจมากนะจ๊ะ”
“..................”
บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วแหงๆ นี่มันต้องบ้าเท่านั้นแหละทำไมคนๆนี้ถึงมาอยู่ที่นี้ ทำไมคนๆนี้ถึงมาทำดีกับแม่เขา
“อะไรกันเล่าภาค ไปรับของที่คุณปาฏิหาริย์สิลูก”
อ่า ชื่อที่แม่เขาเรียกเป็นชื่อของคนๆนั้นจริงๆ แปลว่าไม่ผิดตัวแน่
“ไปสิ เอ๊ะ ลูกคนนี้นิ่”
ภาคนิพนธ์ขยับลุกไปรับสาลี่ถุงใหญ่ในมืออีกฝ่าย งงที่บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวก็จะย้ายคุณแม่ไปที่โรงพยาบาลในเครือของที่บ้านผมแล้วนะครับ ติดต่อหมอเรียบร้อยแล้วด้วย”
“หา?.....โอ๊ย”
ภาคนิพนธ์ที่กำลังปอกสาลี่นั้นร้องขึ้นมาด้วยความสงสัย พร้อมกับความไม่ทันระวังทำให้มีดผลไม้โดนมือเข้าอย่างจัง
“บ้าจริง ทำอะไรน่ะ”
ปาฏิหาริย์ที่หันมาตามเสียงร้องพอมองเห็นลางๆว่าเกิดอะไรรีบเดินเข้าไปกุมมือภาคนิพนธ์ไว้ ล้างและกดปากแผลจากมีดเมื่อกี้ไว้เป็นการห้ามเลือด
“ระวังหน่อยสิ”
พูดแล้วยิ้มให้ ราวกับขำ ราวกับเอ็นดูภาคนิพนธ์เสียเต็มประดา
“คุณมาที่นี้ทำไม”
ถามห้วนๆไปพยายามชักมือกลับ ถึงแม้จะไม่เป็นผลนักก็ตาม
“ภาค!”
ผู้เป็นแม่รีบปรามเมื่อเห็นว่าลูกชายพูดไม่ดี แต่ไม่ได้ทำให้ภาคนิพนธ์สนใจสักนิด เขาไม่เคยคิดจะฟังแม่ของเขาอยู่แล้ว
“แม่ไม่เกี่ยว”
โต้แม่ทันควันก่อนจะหันมาจ้องผู้มาเยือนอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วว่าเขากำลังงอน”
ภาคนิพนธ์ถลึงตาใส่ เขาเคยไปงอนนายนี่เมื่อไหร่กัน จำไม่เห็นได้
“เอาเถอะ แม่ก็ไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องของวัยรุ่นหรอก ตามสบายเลยนะคุณ”
“ครับ”
เมื่อแม่เขาเปิดไฟเขียว ปาฏิหาริย์ก็จูงกึ่งลากอีกคนออกจากห้องมาทันที
“ปล่อยนะนี่จะทำอะไร”
คนโดนลากโวยวายไปตลอดทางแบบไม่สนใจใครจะมอง ปาฏิหาริย์ลากมาไกลจนกระทั่งไม่มีใครแล้วจึงเริ่มพูด
“นายนี่มันลูกอกตัญญูจริงนะ พูดแบบนั้นกับแม่ได้”
ภาคนิพนธ์อ้าปากพะงาบๆ อยากจะพูดอยากจะเถียง แต่ทำไมเขาต้องมาชี้แจงเรื่องการกระทำของตัวเองให้คนตรงหน้าฟังด้วยเล่า
“คุณไม่เกี่ยว”
“คงไม่เกี่ยวมั้ง เอ๊ะ หรือเกี่ยวกันนะ”
สายตายียวนที่ส่งมา ทำเอาภาคนิพนธ์เริ่มรู้สึกว่า น่าสงสัย
“คุณมาทำอะไร”
“มาเยี่ยมแม่นาย”
“มาทำไม ไม่ใช่คนรู้จักกันสักหน่อย”
“หึ”
เสียงเยาะขึ้นจมูกอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก
“นั่นสิ แต่พอดีฉันเป็นคนรักของนายก็เลยต้องมาเยี่ยม”
“.............”
“............”
“............”
“จะ....จะ....บ้าเหรอ!”
หลังจากอึ้งไปสามวิ คำพูดที่พอๆจะนึกได้ก็มีเท่านี้ คนรัก ปาฏิหาริย์นึกบ้าอะไร อย่าบอกว่าเกิดพิศวาสเขาขึ้นมากะทันหัน เป็น-ไป-ไม่-ได้-
“ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นทำหน้าแบบนั้น”
คนถูกถามกลับตีสีหน้าไม่พอใจราวกับเด็กๆกำลังงอน ภาคนิพนธ์มองใบหน้าแบบนั้นเหมือนไม่เคยเห็น....ที่จริง.....ก็ไม่เคยเห็นจริงๆนั่นล่ะ
“คุณต้องการอะไรกันแน่ จะมาย้ายแม่ผมไปที่ไหน ผมไม่มีเงินจ่ายให้โรงพยาบาลของคุณหรอก ยกเลิกซะ”
เขาทำเป็นมองข้ามในหน้าแบบเด็กงอนนั้นไป แล้วพูดเรื่องโรงพยาบาลแทน ใช่แล้ว แค่ค่าทนายยังไม่รู้จะไปหาที่ไหน ถ้าโดนฟ้องแล้วแพ้คดีขึ้นมาอีกคงยิ่งแย่
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรน่า”
“แล้วฉันยังจะหาทนายให้นายด้วย คดีก็จะดูให้”
ภาคนิพนธ์มองอีกฝ่ายอย่างประเมิน พูดตรงๆเขาไม่ไว้ใจคนๆนี้สักนิด
“คุณต้องการอะไร”
“ฉัน....ก็แค่ชอบนาย”
คำตอบที่ได้รับทำเอาเงียบไปอีกครั้ง ภาคนิพนธ์ได้คิดว่าผู้ชายคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อเลี้ยงของเขาสักนิดต้องการตัวเขาสินะ คิดจะใช้เงินซื้อเขาล่ะสิ
“ฉันแค่อยากได้นายมาเป็นคนรัก จะไม่ล่วงเกินนายเด็ดขาด ถ้านายไม่อนุญาต หรือไม่เต็มใจ...แค่อยากให้นายรัก”
“.............”
ภาคนิพนธ์เงยหน้ามองตาคนที่บอกว่าชอบเขาและกำลังขอเขาไปเป็นคนรัก เขาไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่หลบตาไปเลยสักนิด ก็แปลว่าไม่ได้โกหก....ใช่ไหม
“แล้วทำไมต้องบอกแม่ไปแบบนั้น ไม่จำเป็นสักหน่อย”
“ฉันคิดว่าแม่นายอาจจะทำให้นายยอมรับฉันง่ายขึ้น”
คำพูดพร้อมสีหน้าเด็กๆจากปาฏิหาริย์ที่ส่งมาให้ ทำเอาภาคนิพนธ์อดยกโทษให้ในคำโกหกที่บอกแม่เค้าไปนั้นไม่ได้
“แม่ไม่มีอิทธิพลกับผมขนาดนั้นหรอกนะ”
แต่ถึงแม้จะคิดยังไง หวั่นไหวแค่ไหน สิ่งที่ตอบกลับไปก็เป็นเพียงคำพูดเย็นชาเท่านั้น
“อย่าพูดจาถึงแม่แบบนี้สิ ไม่น่ารักเลยน้า”
“เอ๊ะ”
อยากจะเถียงอยู่หรอกว่า ไอ้ไม่น่ารักเนี่ยไม่เหมาะที่จะใช้กับคนอายุมากกว่าอย่างตน แต่พอหันไปเจอสายตาหวานๆที่ส่งมา ก็เลยต้องรีบเบี่ยงหน้าหนีแทบไม่ทัน ภาคนิพนธ์ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่เห็นความหวั่นไหวในดวงตา และใบหน้าที่พยายามซ่อนนี้คงไม่เผลอแดงออกไป แม้จะรู้สึกได้ว่ามันร้อนๆอยู่ก็ตามที
“เอาล่ะไปย้ายแม่ของนายออกมาได้รึยังทีนี้”
“แต่ที่นี้ก็ดีอยู่แล้ว”
“ไม่หรอก ฉันอยากดูแลแม่นายให้ดี ให้นายได้รู้ว่าฉันน่ะชอบนายจริงๆ”
“แต่ว่า...”
“นายอาจยังไม่รู้ แต่แม่นายน่ะมีอาการแทรกซ้อนนะ ฉันถึงได้รีบย้ายไปไง”
“ว่าไงนะ!”
ปาฏิหาริย์ที่เห็นว่าภาคนิพนธ์ไม่ยอมสักทีงัดไม่สุดท้ายมาใช้ พร้อมเล่าให้ฟังว่าหมอมาบอกถึงอาการแทรกซ้อนที่ว่า ภาคนิพนธ์ถอนใจยาว แบบนี้ ภาคนิพนธ์ก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ทั้งที่ความจริง หากตรองดูดีๆก็จะสามารถหาเหตุผลมาปฏิเสธได้ร้อยแปด แต่ด้วยความเป็นห่วงแม่ที่มากเกินไป ถึงแม้จะทำเป็นเย็นชาใส่แต่อีกฝ่ายก็จับความรู้สึกนี้ได้จึงใช้มาต่อรอง
“ก็ได้”
“ดีจัง”
ปาฏิหาริย์พูดอย่างยินดี พูดไม่พูดเปล่า ยังมากระโดดกอดภาคนิพนธ์แบบไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวอีกด้วย
“ปะ....ปล่อย”
รีบดันตัวเองออกแล้วเดินหนีไป ทิ้งให้คนตัวโตกว่ายืนอยู่คนเดียวเบื้องหลัง ภาคนิพนธ์ไม่ได้เห็นเลยว่าสีหน้า ยิ้มแย้มราวกับเด็กๆดีใจอย่างที่ตัวเองเห็นนั้น ได้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหมาดหมายอย่างมีชัย แทบจะทันที
...............................................
หลังจากส่งแม่ภาคนิพนธ์เข้าโรงพยาบาลจอมไตรเรียบร้อย สิ่งต่อมาที่ปาฏิหาริย์ต้องการคือจะให้เขาย้ายออกจากคอนโดเรือชาและย้ายไปอยู่ที่คอนโดของปาฏิหาริย์แทน
“ไม่เอาหรอก”
ถึงเขาจะยืนยันหนักแน่นแบบนั้น แต่พออีกฝ่ายตีหน้าเศร้า และพูดว่า
“แค่อยากอยู่ใกล้ๆ ได้เห็นหน้าทุกวัน”
น้ำเสียงสลดปนออดอ้อนนิดๆ ภาคนิพนธ์ก็ใจอ่อนยวบ แต่ไม่ได้ๆ ภาคนิพนธ์ไม่ยอมไปง่ายๆหรอก
“และอีกอย่างเราก็เป็นคนรักกัน”
ถึงจะจำไม่ได้ว่าไปตกลงตอนไหน แต่อีกฝ่ายก็ยืนยันว่าเขาตอบตกลง ที่ตกลงมีแค่ให้แม่ย้ายโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ปาฏิหาริย์กลับเหมาเอาว่าเขาตกลงเป็นคนรักไปด้วยได้ยังไง
“ผมไม่ไปอยู่หรอก”
“อย่าให้ต้องบังคับนะ”
พอใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล ปาฏิหาริย์ก็เลยเริ่มงัดไม้แข็งมาใช้
“ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ฉันจะลากไปอยู่ด้วยให้ได้เลย”
ตามฉบับจอมไตร ไม่เคยมีใครทนใช้ลูกอ้อนได้นานสักคน มีอันต้องบังคับกันไปเสียทุกที
“ไม่กลัวเพื่อนเดือดร้อนรึไง”
และยังไม่ลืมตบท้ายด้วยการขู่กลายๆอีก
แล้วอย่างภาคนิพนธ์จะไปสู้รบปรบมืออะไรได้เล่า ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามไปก็เท่านั้น แม้เรือชาออกจะแปลกใจกับการตัดสินใจของเพื่อน แต่ก็ไม่ได้ทัดทาน ภาคนิพนธ์รู้จักคิดเรือชาคิดแบบนั้น แต่ว่าเรือชาจะลืมสังเกตไปนิด ว่าเพื่อนตนตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความหวั่นไหว กำลังหวั่นใจ และที่สำคัญความเกลียดและกลัวพ่อเลี้ยงมันฝั่งลึกลงไปจนทำให้คิดหรือทำอะไรโดยไม่รอบคอบเท่าที่ควร สำหรับภาคนิพนธ์ อะไรก็ได้ขอให้รอดพ้นมือพ่อเลี้ยงให้ได้ก่อน แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าภายในใจตัวเองกำลังคิดแบบนี้ แล้วเรือชาจะรู้หรือ
..................................
............................................
..............................................
TBC