● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 29 – บ้านพี่ขาดคนหุงข้าว
พวกเขาพากันกลับมาถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ รถจอดอยู่หน้ารั้วบ้านสีขาวสองชั้นหลังเดิม ดุ๊กดิ๊กลูกรักของพ่อคิมกิมจิดันจมูกตัวเองออกมาผ่านช่องแคบ ๆ ใต้ประตูรั้วเหล็ก ฟาดหางลงกับพื้นตุบ ๆ พร้อมส่ายก้นไปมา จำได้ว่าเป็นเสียงเครื่องยนต์จากรถของสามภพ และเข้าใจผิด(หรืออาจจะถูก?)ว่าเป็นแขกสำคัญคนหนึ่งของเจ้านาย
คิมหันต์เปิดประตูก้าวขาลงจากรถ ไม่ลืมสะพายเป้ของตัวเองลงไปด้วย แต่กลับลืมว่ามือถือและกระเป๋าสตางค์ยังไม่ได้คืน สภาพงัวเงียขี้ตาอยู่บ้างด้วยช่วงท้ายของเส้นทางนั้นหลับปุ๋ยมาเกือบตลอด ส่งเสียงทักทายสัตว์เลี้ยงขนทองด้วยความคิดถึง “ไง..ลูกพ่อ”
หมาอ้วนได้ยินแล้วยิ่งระริกระรี้ ต่างจากคนเรียกที่ยกมือขยี้ตา อีกมือก็เกาหัวสีทองเป็นกระเซิงแกรก ๆ เดินตุปัดตุเป๋เข้าไปหา
ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์ประสาทเสียทั้งหมดกินระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งวันกว่าเท่านั้นเอง เกินจากยี่สิบสี่ชั่วโมงที่สามภพประมูลได้มานิดหน่อย แต่คงต้องปล่อยเลยตามเลย ถือว่าชดใช้ที่เขาก่อเรื่องหนีออกจากโรงแรมเมื่อเช้าให้ต้องตามกันวุ่นวาย (เดี๋ยวสิ...นั่นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้าเองหรือ? เขานึกว่าผ่านมาได้สักสองสามวันแล้วเสียอีก) แม้เด็กหนุ่มไม่เห็นรู้สึกว่าอยากชดใช้ตรงไหน และหากสามภพไม่แจ้นตามมาเรื่องก็คงจบไปแล้ว แต่จะให้เป็นมนุษย์เถรตรง ยึดเวลาบ่ายโมงเป๊ะตามข้อตกลงแล้วหารถกลับบ้านเองก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่านัก
สามภพนั่งลังเลบนอยู่รถครู่ใหญ่ มองตามแผ่นหลังเด็กหนุ่มผมทองซึ่งเดินไปย่อตัวหน้าประตูรั้วบ้านตัวเองโดยไม่ยอมเปิดเข้าไป ยื่นมือทำอะไรสักอย่างกับหมารักซึ่งมุดจมูกออกมา เพ่งดูดี ๆ จึงเห็นว่ากำลังพยายามเอานิ้วอุดจมูกหมา จากนั้นเจ้าตัวก็หัวเราะร่าเมื่อเห็นว่าพ่อโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ออกอาการฟุดฟิดดันมือตัวเองออก หมาอ้วนผู้น่าสงสารไถลตัวไปด้านข้างจากอีกฝั่งรั้วโดยหน้ายังมุดออกมาเท่าที่จะทำได้
"ไอ้เด็กเวร" ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้า ช่างเป็นมนุษย์อะไรที่ขี้แกล้งแม้กระทั่งกับหมาตัวเองที่บอกว่ารักนักหนา เป็นประเภทยิ่งชอบยิ่งแกล้งหรืออย่างไรกัน
เขาตัดสินใจดับเครื่องยนต์ ชะเง้อไปอีกฝั่งเพื่อควานหาอะไรบางอย่างในลิ้นชักด้านซ้าย เคยเก็บไอ้นั่นไว้นานจนเกือบลืมไปแล้ว ไม่แน่ใจนักว่ามันจะยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า
“...อ๊ะ!”
สมุดเล่มเล็กสำหรับชอร์ตโน้ตตอนทบทวนหลังเรียนหล่นออกมาขณะกำลังรื้อของ ตามด้วยทัมป์ไดรฟ์ซึ่งเซฟไฟล์เนื้อหาเลคเชอร์จากอาจารย์และเขายังไม่ได้เปิดอ่านกระเด็นตามออกมา ส่วนสิ่งที่ต้องการนั้นอยู่ลึกสุดของลิ้นชักด้วยถูกยัดเอาไว้นานแล้ว
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ก้มลงเก็บสมุดและทัมป์ไดรฟ์เข้าที่ ใบเสร็จอะไรสักอย่างซึ่งร่วงตามลงมาถูกโยนทิ้งลงถังขยะด้านหลัง ส่วนอีกมือถือห่อขนมบิสกิตยับย่นเอาไว้ จากสภาพห่อเดาว่าข้างในคงโดนทับแหลกไปมากทีเดียว ยืดตัวชะเง้อมองไปยังเด็กหนุ่มเจ้าบ้านซึ่งจนป่านนี้เพิ่งคิดเปิดประตูรั้ว มัวแต่แกล้งหมาอยู่นั่น
ว่าแต่ลืมไปแล้วหรือเปล่า? เรื่องโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ของตัวเองซึ่งยังถูกเขายึดไว้อยู่เลย
“คิม!”
เขาร้องเรียก เปิดประตูรถเดินตามลงไปพร้อมกับห่อขนมในมือ เจ้าของชื่อหันมามองตาขวางขณะที่เบียดตัวเองผ่านประตูรั้ว เปิดทางไว้แคบเพียงนิดเดียวกะว่าไม่ให้ใครนอกจากเจ้าตัวผ่านเข้าออกได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย ถ้าคิดอยากเข้าบ้าน คราวนี้ก็จะปีนรั้วเสียรู้แล้วรู้รอด ไม่ต้องรอคนเรียกตำรวจหรือเอาหมาร็อตไวเลอร์มาไล่ฟัดให้เสียเส้น
“อะไรอีกล่ะ?” คิมหันต์ถามกลับน้ำเสียงเซ็งโลก พอเบียดร่างตัวเองพ้นธรณีประตูเข้าไปได้ก็รีบลากรั้วปิดฉับ ลงกุญแจเอาไว้เสียเรียบร้อยพร้อมกับยักคิ้วกวน ๆ ใส่เขา
“มือถือไม่เอาแล้วหรือ?”
“....”
เด็กหนุ่มทำหน้าเอ๋ออยู่แวบหนึ่งเหมือนคนยังไม่ตื่น หลังจากนั้นก็อ้าปากค้าง นึกขึ้นมาได้อีกว่านอกจากมือถือแล้วยังมีกระเป๋าสตางค์ (ที่ไม่ค่อยมีเงิน) เป็นตัวประกันอยู่ด้วย
“หรือจะฝากพี่ดูแลไว้ก่อน”
ดูทำพูดจาเข้า “เอาของผมคืนมา” เขาว่าพลางยื่นมือลอดซี่เหล็กของประตูรั้ว ตาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น “ทั้งมือถือ แล้วก็กระเป๋า’ตังค์ด้วย”
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านกับสายตาอีกฝ่าย เริ่มตระหนักได้ว่าความใจเย็นคือสิ่งจำเป็นทุกครั้งที่คุยกับคิมหันต์ เพราะถ้าผ่านส่วนน่าหงุดหงิดนี้ไปได้ เขารู้ดีว่ายังมีอะไรสนุก ๆ จากไอ้เปี๊ยกนี่ให้ดูอีกเยอะทีเดียว
“เปิดประตูให้พี่เอาเข้าไปคืนสิ”
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว บ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “คืนให้ผ่านรั้วก็ได้รึเปล่าวะ!?”
“พาเที่ยวตั้งเยอะ ขับรถก็ไกล” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่คิดจะชวนเข้าไปนั่งดื่มน้ำสักหน่อยรึไง?”
“ผมไม่ได้ขอให้พาไปสักหน่อยนี่หว่า”
คิมหันต์ยักไหล่ ทดสอบความอดทนเขาอีกระดับด้วยการกอดอกตบเท้าแปะ ๆ อย่างน่าหมั่นไส้ แต่ระหว่างนั้นก็ต้องคอยเขี่ยดุ๊กดิ๊กที่เข้ามาคลอเคลียเหมือนเป็นลูกแมวยักษ์จนยืนไม่ค่อยอยู่ไปด้วย เล่นเอาคะแนนความเท่ลดฮวบลงอีกหลายระดับ
สามภพหัวเราะหึ ๆ ช่างกล้าพูดว่าไม่ได้ขอ แล้วใครกันเมื่อวานนี้ที่ตะแง้ว ๆ ให้เขาพาแวะซานโตรินี่บ้าง เข้าตลาดซิคาด้าบ้าง แป๊บหนึ่งหิวน้ำ เดี๋ยว ๆ ก็จะกินอาหารทะเลริมหาด ข้อเรียกร้องเยอะตลอดแต่มาทำเป็นลืม ให้ตายเถอะเด็กอะไร
“อืม..ไม่ขอก็ไม่ขอ” เขาตัดบท พูดจบก็เดินเลี่ยงออกไปด้านข้าง ทันเห็นสายตาโล่งใจของคิมหันต์แวบหนึ่ง ก่อนตาชี้ ๆ นั่นจะเปลี่ยนเป็นเบิกกว้างเมื่อเห็นเขาเอามือคว้าขอบกำแพง ออกแรงโหนเพียงนิดหน่อยก็เหวี่ยงตัวเองขึ้นไปนั่งยิ้มกริ่มอยู่บนนนั้น มองลงไปยังเห็นหมารักของคิมหันต์ส่ายก้นดุกดิกสมชื่อ แลบลิ้นแหะ ๆ วนไปเวียนมาใต้ฝ่าเท้าอย่างขี้เล่น กระดี๊กระด๊าผิดกับเจ้าของลิบลับ หน้าตาเด็กหนุ่มบอกชัดเลยว่าคงอยากทำหน้าที่แทนสัตว์เลี้ยงด้วยการกระโจนงับแข้งเขาหลุดจากเข่าเต็มทีแล้ว
“ปีนทำไมอีกเนี่ย!” ไอ้เด็กแสบโวยวายทันควัน ยิ่งดูร้อนรนก็เหมือนลูกชายขนฟูสีทองจะยิ่งคึกคัก คราวนี้เลยพันแข้งพันขายกใหญ่ ทำเจ้าของเดินสะดุดหัวเกือบทิ่ม หากไม่ติดว่าคิมหันต์เอามือยันกำแพงไว้ทัน
“โอ๊ะ!” จังหวะเดียวกับที่เขากระโดดลงมาตรงหน้าในตำแหน่งเหมาะเหม็ง คาดการณ์ไว้แล้วว่าอยู่ในจุดซึ่งคิมหันต์กำลังถลาเข้ามาพอดี เรื่องบังเอิญอะไรไม่มีหรอก ใครจะเชื่อของแบบนั้น โอกาสมันต้องสร้างเองต่างหาก
“.....”
เขายกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงบอกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ตีหน้านิ่งขณะที่อีกฝ่ายเอาจมูกจิ้มมากลางอกเขาเพราะแรงส่งจากการสะดุดเมื่อครู่ มือทั้งสองข้างของคิมหันต์ยังค้ำกำแพง กลายเป็นอยู่ในท่าซึ่งดูคล้ายกับกำลังโอบเขาไว้ทั้งตัว
สามภพกลั้นยิ้ม ..ตำแหน่งไม่เลวเลย “ลวนลามพี่หรือ?” เขาถามเสียงขรึม ไม่เข้ากับความรู้สึกที่เป็นอยู่ขณะนี้สักนิด
“ห..ห๊ะ!?”
คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาเข้าพอดี กะพริบตาปริบ ๆ สองสามครั้ง ก่อนพวงแก้มจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อพร้อมกับนัยน์ตาซึ่งเบิกกว้างขึ้นกว่าเก่า...กว้างขึ้นจนอดขำไม่ได้เมื่อนึกถึงว่าเวลาปกตินั้นตาตี่ขนาดไหน
“บอกห้ามลวนลามนี่เพราะว่าตั้งใจจะทำเองใช่ไหม?”
“เชี่ย!” เขาหัวเราะใส่เด็กหนุ่มซึ่งผงะถอยหลังออกห่างทันทีที่ตั้งตัวติด (ซึ่งก็กินเวลาพอสมควรทีเดียว) แถมแทนที่จะถอยไปดี ๆ ยังผลักเขาไปชนกำแพงเสียอีกแน่ะ กรรมติดจรวดเลยทีเดียวเพราะถอยไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็สะดุดหมาอ้วนซึ่งยืนแลบลิ้นแหะ ๆ รออยู่ข้างหลัง เสียท่าลงไปนั่งแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ผมสีอ่อนซึ่งล้อมกรอบใบหน้าอยู่ยิ่งขับให้เห็นชัดว่าสีผิวแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“ลุกเร็วเด็กน้อย” สามภพเดินตามเข้าไปเจตนาจะช่วยเหลือ ยื่นมือตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายจับ แต่คิมหันต์กลับมองค้อนมายกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ทำฟอร์มปัดฝุ่นออกจากกางเกงแบบหล่อ ๆ จากนั้นจึงหันไปชี้หน้าคาดโทษกับลูกชายสุดรักพร้อมกับส่งเสียงบ่น
“ไอ้หมาเวร!”
คนมองส่ายหน้าขำ ๆ ถอยไปสะดุดมันเองยังมีหน้ามาโทษหมาอีก
“ดุ๊กดิ๊ก...มานี่มา” ชายหนุ่มดีดนิ้วเรียกโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ซึ่งจะทำหน้าจ๋อยตอนโดนเจ้านายดุสักหน่อยก็ไม่มี พอเห็นสิ่งที่เขาล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วถึงกับระริกระรี้เข้าหา น้ำลายหยดแหมะลงพื้นอย่างไม่เก็บอาการสักนิด ไม่รู้เลี้ยงกันอย่างไรกลายเป็นหมาเอ๋อน้ำลายยืดใครเรียกก็ส่ายก้นเข้าใส่แบบนี้ “มา ๆ กินดี ๆ หนุ่มน้อย”
คิมหันต์จ้องทั้งคนทั้งหมาทรยศตรงหน้าอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แสนปวดหัวกับไอ้ลูกชายของตัวเอง ถ้ามีโจรจะขึ้นบ้านแล้วเอาขนมปังกรอบมาล่อมันคงรีบคาบกุญแจมาให้ไขเข้าง่าย ๆ ไหนจะยังแขกไม่ได้รับเชิญหน้าโหดนี่อีก ทีกับเขาเรียกไอ้เด็กเปรตบ้างละ ไอ้ตี๋เกรียนบ้างละ ไอ้เปี๊ยกไอ้แสบอย่างนั้นอย่างนี้ พอเห็นลูกชายสุดหล่อ(น้อยกว่าตัวเองนิดหน่อย)ของเขา มาทำเรียก
‘หนุ่มน้อย’ น่าขนลุกสุด ๆ
“แหวะ! หนุ่มน้อย” เขาดัดเสียงล้อเลียนแล้วบ่นต่องุบงิบ “ไอ้หมาตะกละต่างหาก!”
“เจ้าของเป็นไง สัตว์เลี้ยงก็อย่างนั้น” สามภพเปรยขึ้นลอย ๆ ย่อตัวลงเกาหูสิ่งมีชีวิตอ้วนใหญ่ขนทองที่ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าถูกยกมาเป็นประเด็น สนแต่เรื่องกินตรงหน้า ไม่ถึงอึดใจก็ฟาดขนมที่เขาเอามาเสียเกลี้ยงแถมยังทึ้งห่อพลาสติกไปนั่งเลียท่าทางเปี่ยมสุข
“งั้นสัตว์เลี้ยงพี่คงสติไม่ดี”
ชายหนุ่มเหลือบมองเจ้าของปากมอมซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า จริงเลย...ห้ามลวนลามแต่ไม่ได้ห้ามต่อยหน้าแหกใช่ไหม หากเป็นคนอื่นมาพูดจาอย่างนี้คงได้มีเรื่องกันไปแล้ว
“เรานี่มัน...”
เขาโคลงศีรษะอ่อนใจ ต่อให้กวนประสาทขนาดไหนก็ต่อยไม่ลงแล้วตอนนี้ ทำเมินหันไปคุยกับก้อนขนสีซึ่งหมอบอยู่ข้าง ๆ “ดุ๊กดิ๊ก เจ้านายแกปากหมาว่ะ อยากเปลี่ยนพ่อไหม?”
หมาร่างอ้วนไม่ตอบ แต่เลียไม้เลียมือเขาแทน ดูเป็นสัญญาณอันดี ร้อนถึงเจ้าของตัวจริงต้องรีบเข้ามาดึงปลอกคอพาจูงไปทางเข้าบ้านตัวเองพร้อมกับประกาศอ้างสิทธิไปด้วย
“นี่ลูกชายผม!”
เขาลุกขึ้นเดินตาม ขณะที่เด็กหนุ่มก็รีบตบสะโพกดุ๊กดิ๊กให้รีบไปสะบัดก้นวิ่งตามไปถึงประตูบ้าน อดขำกับท่าทีขี้หวงไม่ได้ “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
“พี่บอกจะเป็นพ่อมันอยู่นั่นไม่ใช่รึไง!?”
“งั้นเราก็เป็นแม่แทนสิ”
คนฟังถึงกับสะดุดขาตัวเองอีกรอบ “...อ...ไอ้พี่เพี้ยน! แม่งพูดเชี่ยอะไร!”
สามภพหัวเราะในลำคอพลางยักคิ้วล้อเลียน “จีบไง ไม่เข้าใจหรือ? ทำไมหัวช้านัก”
คิมหันต์เหวอไปอีกครู่หนึ่ง แต่อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าเขาก็เสียพลังชีวิตไปกับคำพูดตัวเองไม่น้อย เอ่ยถึงตรงนี้แล้วรู้ตัวเลยว่าหน้าร้อนนิดหน่อยแต่ยังเก็บอาการได้ดีอยู่ เผลอเกร็งนิ้วเท้าเสียแน่นในรองเท้าผ้าใบ พูดเองใช่ว่าไม่อาย เกิดมาไม่เห็นเคยต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้เพื่อจีบใครหน้าไหน แต่มาไกลถึงนี่คงต้องบอกว่าช่างหัว อายกว่านี้กับเรื่องไอ้แสบตรงหน้าก็เจอมาแล้วไม่รู้เท่าไร
หลังจากเสียเวลาตั้งหลักอยู่อีกอึดใจ เด็กหนุ่มจึงส่ายหน้าเพลีย ๆ พยายามควบคุมอาการให้เป็นปกติพร้อมกับโบกมือไล่ “เอาของผมคืนมาแล้วพี่กลับบ้านไป”
“เดี๋ยวก็กลับแล้ว” เขาตอบอย่างขอไปทีแล้วเดินมายืนรออยู่ข้างอีกฝ่าย จ้องมองมือซึ่งกำลังไขกุญแจประตูบ้าน ถูกล็อคเอาไว้จากข้างนอกเช่นนี้บอกให้รู้ว่าตอนนี้คงไม่มีคนอยู่ “แล้วพี่สาล่ะ?”
“อยู่ร้าน มืด ๆ ก็กลับ”
“ปกติเราอยู่คนเดียวประจำหรือ?”
คิมหันต์เงียบไป ผลักประตูบ้านเปิดออกแล้วหันมาจ้องเขาอย่างหวาดระแวง “ทำไม? คิดอะไรไม่ดีอยู่รึไง”
“นี่เห็นพี่เป็นคนยังไงเนี่ย”
“พี่ไม่อยากรู้หรอกเชื่อดิ”
“เลวร้ายขนาดนั้นเชียว?”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ ทำเพียงแต่แสดงสีหน้าหงุดหงิดก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน สั่งห้ามดุ๊กดิ๊กที่เนื้อตัวยังมอมแมมให้รอข้างนอกพร้อมสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าเดี๋ยวมาเลี้ยงมื้อเย็น จากนั้นจึงหันมาเอ่ยทวงกับเขาอีกรอบ “มือถือกับกระเป๋าสตางค์ผมล่ะ?”
“เดี๋ยวคืน” เขาผัดผ่อนไปเรื่อยแบบเสียมิได้ เรียกเสียงจิ๊ขัดใจจากคนฟัง ระหว่างที่เขาถอดรองเท้าเดินตามเข้าไปในบ้านอย่างถือวิสาสะ
คิมหันต์เปิดไฟจนสว่างโร่ทั้งห้องโถง ดึงม่านหน้าต่างทุกบานในห้องนั้นเปิดจนสุด ชี้แจงเจื้อยแจ้วไปด้วยว่าเผื่อมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นคนข้างนอกจะได้เห็นและอาจบุกเข้ามาช่วยได้บ้าง หรืออย่างน้อยโทรแจ้งตำรวจให้หน่อยก็ยังดี ซึ่งเขาว่าความคิดคิมหันต์บางทีก็เพี้ยนยิ่งกว่าที่เจ้าตัวชอบว่าเขาเสียอีก
“นี่..” สามภาพร้องเรียก แต่โดนอีกฝ่ายตัดหน้าขึ้นก่อน
“นั่งตรงนี้ อย่าเพ่นพ่าน” เด็กหนุ่มชี้ไปยังโซฟาซึ่งเหมือนจะเป็นตำแหน่งโปรดของเจ้าตัว (สามภพยังนึกไม่ออกว่าแล้วคิมหันต์ไม่โปรดโซฟาตัวไหนบ้าง) ใช้รูปประโยคเหมือนสั่งสัตว์เลี้ยงได้น่าเตะเป็นที่สุด โดยเฉพาะเมื่อรวมเข้ากับสีหน้าเบื่อโลกแต่ยังไว้ลายเรื่องกวนโมโหขณะเอ่ยปากถามต่อ “หิวยัง จะกินอะไร?”
เมื่อกี้ฟังผิดไปหรือเปล่า “หืม?”
“ถามว่าจะกินอะไร?” ถ้อยคำอีกฝ่ายเริ่มขยับเป็นโทนเสียงสูงประหลาดหู ยกมือขึ้นเท้าเอวอย่างเหลืออด จ้องดี ๆ จึงเห็นสีแดงจางแต้มบนใบหน้ามู่ทู่ “ไม่กินก็เอาของผมวางไว้บนโต๊ะแล้วกลับบ้านซะ!”
“ทำอาหารเป็นหรือ?”
“อุ่นเป็น” คิมหันต์ยักไหล่ เสมองไปทางอื่น “แล้วก็ทอดไข่เป็น.. ต้มไข่ได้ ต้มมาม่าอร่อย..แฮ่ม..! ประมาณนั้น”
สามภพกลอกตา อดหัวเราะละเหี่ยใจออกมาไม่ได้ "ได้แค่นี้ยังกล้าถามว่าจะกินอะไร ถ้าบอกอยากกินหูฉลามน้ำแดงจะมีปัญญาทำให้ไหม?”
“เรื่องมากแม่งก็ทำเองไปเลยปะ!?”
“ก็ได้” เขาพยักหน้าเออออ ถือโอกาสวางโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ที่เจ้าของเรียกร้องขอคืนไว้ที่มุมโต๊ะกระจกใกล้ตัว ก่อนจะลุกเดินตามไปที่ทางเข้าห้องครัว มองสำรวจเห็นตู้เย็นยังอยู่ที่เดิมจึงปรี่เข้าไปหา “มีอะไรอยู่บ้างล่ะ?”
“เฮ่ย ๆ ๆ เดี๋ยวก่อน” คิมหันต์รีบพุ่งเข้าขวาง ไม่รู้ว่าตัวเองขัดแข้งขัดขาอีกฝ่ายทำไมนักหนาเหมือนกัน แต่เห็นแล้วมันอดค้านไม่ไหวอยู่เรื่อยไม่ว่าสามภพจะทำอะไร “ผมหมายถึงให้ไปทำกินเองที่บ้านพี่”
“อะไรเนี่ย” ชายหนุ่มปราศจากทีท่าจะฟังเขาพูดแม้สักนิด ก้มหน้ามุดหายไปในช่องเก็บของในตู้เย็น น่ายันโครมเข้าไปแล้วปิดฝาตู้นักเชียว “...มีกะหล่ำปลี..แล้วก็..ถุงเปล่า? หืม...หมดแล้วหรือ”
“ตาหรือตูด! ต้องมีอีกดิ” ปากไวรีบค้านไปแล้วเรียบร้อย พูดอะไรมาก็ค้านหมดนั่นแหละ หมั่นไส้
สามภพขุดวัตถุทรงเหลี่ยมออกมาได้อีกหนึ่ง “อีซี่โก”
“กินไอ้นั่นแหละง่ายดี” เขาพยักพเยิดให้อีกฝ่ายส่งข้าวกล่องมา “ผมเอาข้าวผัดปู”
“ไม่เอาละ กินจนเบื่อ” สามภพบอกปัดแล้วจับมันยัดเข้าที่เดิม
“แล้วมันใช่ธุระผมต้องหาอะไรที่พี่ชอบให้กินไหมเนี่ย!”
“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มหันไปยิ้มชอบใจ ลูบผมทองสว่างของอีกฝ่ายแปะ ๆ “เดี๋ยวหาเอง ไปนั่งรอดี ๆ”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว..เริ่มข้องใจว่าตกลงนี่บ้านใครกันแน่!? มัวแต่ยืนบ่นหงุงหงิงอยู่ที่เดิมจนสามภพคงเห็นว่าเขาเกะกะ จะเปิดประตูตู้เย็นก็ทำได้ไม่สุด จึงได้ลุกขึ้นหาเก้าอี้แถวนั้นตัวหนึ่ง ลากมาไว้ใกล้ ๆ แล้วกดไหล่เขาให้นั่งลงพร้อมคำสั่งชวนเจ็บจี๊ด
“นั่งนี่ อย่าเพ่นพ่าน”
“อะไรวะเนี่ย!?”
“ไม่งั้นก็ไปหุงข้าว”
“ห๊ะ!?”
“หุงข้าว ทำเป็นไหม?”
คิมหันต์ส่ายหัวดิก ลุกขึ้นมาเบียดเขาหน้าตู้เย็น “ผมไม่ทำเรื่องยุ่งยากอย่างนั้นหรอก เอาข้าวกล่องมาอันนึง”
“กินแต่ของอย่างนี้ไงถึงได้เตี้ย”
“เชี่ย!”
“แถมปากหมาด้วย”
“ไอ้เฮียเพี้ยน!”
“เอ้า ไปหุงข้าว”
ชายหนุ่มว่าพลางคว้าไหล่คิมหันต์ไว้แล้วแงะเจ้าตัวออกจากตรงนั้น ที่ต้องเรียกแงะเพราะอีกฝ่ายเกาะประตูตู้เย็นแน่นเป็นตุ๊กแกเลยเดียว กว่าจะแกะออกมาได้ก็ตอนตู้เริ่มเขยื้อนจนน่ากลัวว่าจะล้มนั่นเองเด็กหนุ่มจึงยอมปล่อยมือ
“ด..เดี๋ยวก่อนเด้!”
“เร็ว ๆ หิวแล้ว” เขาเร่ง แม้ความจริงมื้อเที่ยงสนนราคาสามพันกว่ายังไม่น่าย่อยหมดเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่รู้สึกอยากแกล้งเล่นเท่านั้นเอง ออกแรงจับเด็กหนุ่มพลิกตัวแล้วผลักเบา ๆ ไปทางหม้อหุงข้าว กำชับปิดท้ายให้กับสีหน้างงโลกเหมือนลูกหมาหลงในดงเพนกวินของคิมหันต์
“ใส่น้ำไม่ต้องเยอะล่ะ พี่ไม่ชอบข้าวแฉะ”
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
ยังมีต่อค่ะ
v
v
v
v