● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 30 - ยืดอก พกถุง
“โทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์วางไว้บนโต๊ะ”
“อือ”
“แล้วจะโทรหา”
สามภพพูดไว้อย่างนั้นก่อนจะโดนเขาดันหลังออกนอกอาณาเขตของรั้วบ้าน
“ไม่ต้องโทรมาแล้วก็ได้ ผมไม่ใจอ่อนหรอก” เด็กหนุ่มยักคิ้วให้แขกไม่ได้รับเชิญ “ไม่งั้นมีแฟนไปนานละ”
สามภพมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง นึกประหลาดใจขึ้นมานิดหน่อย คิมหันต์ยังลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่รู้ว่าเพิ่งพูดอะไร หลุดปากอย่างนั้นหรือ? แต่สรุปว่ายังไม่มีจริง ๆ ก่อนหน้านี้แค่คุยโวเท่านั้นสินะ ทำปากแข็งไม่เข้าเรื่อง
“ดี” ชายหนุ่มลอบยิ้ม เอื้อมมือไปลูบผมอีกฝ่ายอ่อนโยน จังหวะเดียวกับที่คิมหันต์คล้ายเพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไปเสียแล้ว อยากเก็บถ้อยคำตัวเองกลับเข้าปากก็ไม่ทัน ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ทำไม่รู้ไม่ชี้ปล่อยสามภพพูดต่อแม้ตอนฟังนี่ถึงกับหน้าร้อนไปไหนต่อไหนแล้ว
“เพราะต่อไปนี้มีพี่ได้คนเดียว” “เพ้อเหอะ!”
เขาพ่นออกมาได้เท่านั้น บอกตัวเองว่าเย็นไว้ จากนั้นก็รีบดึงรั้วบ้านปิด ไม่ใส่ใจจะล็อคให้แน่นหนาอะไรอีกแล้วเพราะทำไปก็ไร้ประโยชน์ กันอะไรสามภพไม่ได้เลย นึกอยากเข้าเจ้าตัวก็ปีนรั้วเอาตลอด ปล่อยมันไว้อย่างนี้รอจนเจ้ใหญ่ของเขากลับบ้านดีกว่าจะได้ไม่ต้องหากุญแจไขบ่อย ๆ
“กลับแล้วนะ”
สามภพยังอิดออด บอกจะกลับ ๆ หลายรอบก็ยังยืนวนอยู่หน้ารั้ว วนไปวนมาจนละอองน้ำจับตามเส้นผมเสียเปียกชื้นไปหมดแม้ฝนจะหยุดตกได้ครู่ใหญ่แล้ว
คิมหันต์กอดอกมองออกไปจากด้านในอย่างเหลืออด หากไม่พูดอะไรสักอย่างเฮียหมาบ้าอาจเฝ้าอยู่ตรงนี้ทั้งคืนก็เป็นได้
“กลับดิ” เขากระตุ้น “ค่ำแล้ว”
“อือ”
อือเสร็จก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมนั่นเอง
“จะอยู่ถึงเมื่อไหร่เนี่ย!?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “ผมมีไอ้ดุ๊กดิ๊กเฝ้าบ้านแล้ว”
“แต่เราก็ยืนอยู่ตรงนี้เหมือนกันนี่?”
คิมหันต์อึกอัก เออเนอะ...แล้วเขามายืนทำซากอ้อยอะไรอยู่ตรงนี้ด้วย หนีเข้าในบ้านก็จบแล้ว สามภพจะเฝ้าจนกลายเป็นหินอยู่จุดเดิมก็ช่างหัวปะไร ตราบใดที่ไม่ปีนรั้วบุกรุกเข้ามาอีกรอบ
“..แฮ่ม..” เขาส่งเสียงกระแอมแก้เก้อ “แค่ให้มั่นใจว่าพี่จะไม่ดอดเข้าบ้านผมเท่านั้นแหละ”
“สนุกหรือเปล่า?”
คิมหันต์ชะงัก อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็พาเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย ไม่รู้หมายถึงสนุกเรื่องอะไรเลยตอบไม่ถูก ได้แต่ยืนเงียบจนสามภพพึมพำต่อ
“..เมื่อวานกับวันนี้”
“หือ?”
“ช่างเถอะ”
ชายหนุ่มยักไหล่ พูดอะไรอีกอย่างซึ่งเขาได้ยินไม่ถนัด แต่คล้ายว่าเป็น “กลับละ” ก่อนจะหันหลังพลางโบกมือให้เขาโดยไม่ได้มองมาสักนิด กดรีโมทที่กุญแจรถแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างในเหมือนแถวนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก
อึดใจต่อมาไฟหน้ารถก็สว่างวาบ เสียงหึ่ง ๆ ของเครื่องยนต์ทำงานกลางความเงียบงัน ทิ้งเขายืนงงอยู่หลังประตูรั้ว
บทจะกลับก็กลับกันดื้อ ๆ อย่างนี้เอง หน้ารถเบี่ยงออกไปด้านข้างเล็กน้อยเตรียมออกสู่ถนนในหมู่บ้าน ด้วยระยะห่างระหว่างพวกเขา ฟิล์มติดกระจกสีเข้มและแสงริบหรี่ยามวิกาลเช่นนี้ ยิ่งทำให้มองไม่เห็นว่าคนข้างในกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่
และให้ตายเถอะ...คิมหันต์ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย
“นี่..เฮียเพี้ยน!” เขาร้องเรียกเสียงดัง ไม่ถึงกับตะโกน และคิดว่าเจ้าตัวไม่น่าได้ยิน แต่ก็ยังอุตส่าห์พูดต่อไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน
“ที่หัวหินสนุกดี” รถเคลื่อนตัวช้า ๆ ออกจากริมรั้วบ้านเขา เนิบนาบไร้วี่แววว่าคนขับจะสะดุดอะไรแม้แต่น้อย สามภพอาจไม่ได้ยินเขาจริง ๆ ซึ่งนั่นก็ดี...แต่คิดอีกทีก็ไม่ดี ตกลงดีหรือเปล่ายังไม่แน่ใจตัวเองนัก
“แล้วก็นะ..ผมมีแผ่นชายนี่ครบแล้ว” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นตะโกนจนได้เมื่อล้อหมุนพาตัวรถออกห่าง เลื่อนรั้วเหล็กให้เปิดออกเล็กน้อยแล้วแทรกตัวมายืนหน้าบ้าน เดินตามออกไปเพียงสองสามก้าวก่อนจะหยุดอยู่ที่ตรงนั้นเมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ “ไม่ต้องซื้ออีกล่ะ!”
มีเพียงเสียงครางต่ำจากตัวรถดังตอบเขา แต่เพียงครู่เดียวก็ค่อย ๆ เบาลงจนไม่ได้ยินอะไรอีกนอกจากเสียงร้องหงิงของดุ๊กดิ๊กที่เดินตามออกมายืนเฝ้าเจ้านาย
เขาชะเง้อตาม จากตรงนี้มองเห็นแค่ท้ายรถเท่านั้น แสงไฟท้ายลดขนาดกลายเป็นดวงเล็กลงเรื่อย ๆ และในที่สุดก็หายลับไปจากสายตา จากไปเช่นเดียวกับเสียงเครื่องยนต์เมื่อพาหนะคันเดิมเคลื่อนที่ลับหัวมุม
“..เอาไว้จะให้ยืม” คิมหันต์บ่นพึมพำ ก้มลงเกาหูโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ซึ่งเอียงหน้ารับพร้อมกับหาวออกมาอย่างเกียจคร้าน “...ลินคินพาร์คก็ด้วย..”
เด็กหนุ่มกระซิบเบาหวิวท่ามกลางความเงียบ อยู่คนเดียวก็ยังทำวางมาดยักไหล่ไม่แคร์สื่อ
“เผื่อไม่ชอบเพลงเกาหลี”
ซึ่งเหลือแค่เขากับหมารักที่ได้ยิน-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
วีออสสีบรอนซ์ทองของสามภพเพิ่งจากไปครู่เดียวเท่านั้นเอง ยังไม่ทันได้เดินกลับเข้าบ้าน แสงไฟสีส้มสว่างโร่ก็สาดเข้าเต็มสองลูกตา เงยหน้าสู้จนตาหยีจึงเห็นว่าเป็นรถของบ้านเขาเอง เจ้ใหญ่กลับมาแล้ว
คิมหันต์กุลีกุจอผลักประตูรั้วเปิด น่าสงสัยว่าวัน ๆ หนึ่งต้องลากมันเปิดปิดสักกี่รอบกัน ทุบทิ้งเสียเลยดีไหม ไหน ๆ ก็กันอะไรแทบไม่เคยได้อยู่แล้ว
วัสสานะเห็นน้องชายตัวเองท่าทางกระตือรื้อร้นจะบริการผิดปกติถึงกับเปิดกระจกรถ ส่งเสียงร้องทักด้วยความประหลาดใจ
“นี่ออกมายืนรอเจ้เลยหรือ?”
คิมหันต์ก้มหน้าก้มตา ดึงปลอกคอหมารักลากเข้าบ้านแล้ววิ่งตามไปปิดประตูรั้ว ทำเบลอปล่อยผ่านเหมือนไม่ได้ยินคำถามของพี่สาว รอจนเธอจอดรถเรียบร้อยในโรงรถข้างบ้าน แล้วจึงเดินไปควงแขนเธอท่าทางเริงร่ากว่าระดับปกตินิดหน่อย อย่างน้อยที่สุดก็รู้สึกว่าชีวิตประจำวันของเขาเริ่มกลับมาแล้ว
“เป็นไงบ้าง ติวหนังสือกับเพื่อน?”
คิมหันต์สวมรอยพยักหน้ารับหงึกหงัก “ก็ดี” ก่อนจะเอ่ยทวงอย่างที่เคยโทรบอกเธอไว้ก่อนเขาออกจากบ้านไปเมื่อวาน “แล้วนี่หายไปเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงทำไมเจ้ไม่เห็นตามผม”
พูดได้เท่านั้นก็โดนส่งมะเหงกส่งลงกลางศีรษะทันที “ไม่ตามอะไรล่ะ! โทรไปตั้งหลายรอบไม่เห็นรับสาย พอตอนหลังโทรไม่ติดเหมือนแบตฯหมดอีก กลับบ้านมานี่กะว่าถ้าไม่เจอเจ้จะไปตามที่ร้านเค้กอยู่แล้วเนี่ย”
เด็กหนุ่มหัวเราะแหะ ๆ แม้ใจหล่นตุบไปอยู่ตาตุ่มเรียบร้อย นึกได้ว่าจะให้รับโทรศัพท์อย่างไรในเมื่อเขาเป็นคนปิดเสียงเองกับมือ แล้วจากนั้นมันก็อยู่กับสามภพมาตลอด วัสสานะพูดเหมือนคิดว่าเขาไปขลุกอยู่ร้านเค้กกับปิ่นหยกอย่างทุกที เถียงอะไรมากกว่านี้คงมีแต่จะเข้าตัวจึงรีบชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
“เจ้ได้กินอะไรมายัง”
หญิงสาวส่ายหน้า มื้อเย็นนั้นเธอกินบ้างไม่กินบ้างอยู่แล้ว (โดยเฉพาะช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มอ้วน) “แล้วนี่นายกลับมาเมื่อไหร่ กินอะไรรึยัง” เธอถามกลับ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตอบ
วัสสานะเพียงแต่โคลงศีรษะเบา ๆ เอาเถอะ..เปล่าประโยชน์จะไปบังคับเจ้าเด็กดื้อ ได้แต่ยิ้มเอ็นดูแล้วยกมือโอบรอบคอน้องชายเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน ทุกอย่างดูจะดำเนินไปด้วยดี จนเมื่อพวกเขาสองคนเดินถึงห้องโถง เจอแสงไฟสว่างชัดเจน พี่สาวคนโตจึงได้เห็นอะไรบางอย่างบนลำคอน้องชาย
“....ครีม..”
“หืม”
“...ที่คอนั่น...”
"!!" คิมหันต์สะดุ้ง หน้าร้อนวูบ ใจแป้วอย่างถึงที่สุด รีบเอื้อมมือไปตะครุบลำคอตัวเองไว้ทันที เขาพลาดแล้ว ไม่น่าเลย ทั้งที่คิดว่าควรเปลี่ยนเสื้อก่อน แต่วัสสานะก็กลับมาตั้งแต่เขายังไม่ทันมีโอกาสได้คุ้ยหาชุดเปลี่ยนหลังแยกกับสามภพที่หน้าบ้าน (ความจริงก็ลืมเองด้วย) ได้แต่หัวเราะออกมาแห้งเหือด “อ้อ...เนี่ยเหรอ..”
หญิงสาวมุ่นคิ้ว พยายามก้มลงมาดูใกล้ ๆ ท่าทางเป็นกังวลพลางดึงมือเขาออก ใช้อำนาจความเป็นเจ้ใหญ่ดุด้วยสายตาจนต้องยอมผ่อนแรงตามให้เธอมองชัด ๆ จนได้ “นี่รอยจูบ? ใช่ไหม? ไปทำอะไรมา?”
เขาตบหน้าผากตัวเอง รูดฝ่ามือลงมาปิดใบหน้า จบสิ้นกันคิมหันต์ ตายน้ำตื้นแท้ ๆ
“..ก็...นั่นแหละ” ป่วยการจะปฏิเสธ ที่ควรทำคือภาวนาอย่าให้เธอเอาไปฟ้องป๊าตอนเจอกันครั้งหน้ามากกว่า “..ผมก็...อืม....โตแล้ว”
วัสสานะอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด เริ่มต้นเทศนาทั้งที่พวงแก้มคนพูดเปลี่ยนเป็นสีแดงเสียเอง คิมหันต์หายออกไปจากบ้านหนึ่งวันกว่า บอกว่าไปติวหนังสือกับเพื่อน แต่แล้วเจอกันอีกทีก็มีรอยจูบเต็มคอขนาดนี้ เห็นแล้วเล่นเอาคนเป็นผู้ปกครองอย่างเธอจะบ้าตาย
“เราน่ะเป็นวัยรุ่น เรื่องผู้หญิงเจ้ไม่ว่าอะไร มีแฟนก็ได้แต่อย่าให้เกินเลยนักเข้าใจไหม? เป็นผู้ชายต้องเป็นสุภาพบุรุษ ลูกสาวเขามีพ่อมีแม่”
เขาพยักหน้าหงึกหงัก แสดงอาการสำนึกผิดเต็มที่ด้วยการก้มหน้าก้มตา ร้อนวูบทั้งหน้าลามถึงใบหู ถ้าเจ้ใหญ่จะรู้ว่าคนทำไม่ใช่ผู้หญิง แถมไอ้ที่ว่า
‘ลูกเขามีพ่อมีแม่’ ยังน่าจะเอามาใช้กับเขามากกว่าด้วยซ้ำ ในเมื่อเขาเองเป็นฝ่ายถูกกระทำแท้ ๆ ทำไมต้องมาฟังเธออบรมเรื่องความผิดที่ไม่ได้ก่อด้วย โลกไม่ยุติธรรมเลย
คิมหันต์ปรับตัวเองให้อยู่ในโหมดหน้าสลด แม้ในใจร่ำร้องหาความเป็นธรรมแย่แล้ว ขณะที่หูก็ต้องฟังวัสสานะพร่ำบ่นเรื่องปัญหาสังคมอย่างการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ชิงสุกก่อนห่าม บ้านแตกสาแหรกขาด ร่ายยาวไปจนถึงปัญหาพ่อตาลูกเขยยิงกันตายขึ้นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ (มันมาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร?) พลางปลอบใจตัวเองด้วยความคิดแง่ดีสุดขอบโลกว่าสมควรดีใจแล้วที่พี่สาวเขาเข้าใจเช่นนั้น เพราะหากเธอรู้ความจริงว่ารอยนี้ได้จากหนุ่มหน้าโฉดร่างถึกที่สารภาพแล้วว่าเป็นเกย์รุก แทนที่จะเป็นสาวน้อยขบเผาะวัยละอ่อนอย่างเธอคิดไปเอง ท่าทางคงได้ช็อคหนักกว่าเก่าเป็นแน่
“ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยรับจ๋อย ๆ และหวังให้เธอจบการบรรยายพฤติกรรมเหลวแหลกของวัยรุ่นสมัยนี้ลงเสียที เอ่ยยืนยันเสียงอ่อนอย่างน่าสงสารว่า “ไม่ทำอีกแล้ว”
วัสสานะถอนหายใจเฮือกอีกครั้งอย่างพยายามตั้งสติ ท่าทางเธอคงเริ่มเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของโอวาทในฐานะพี่สาวคนโตแล้ว
“ไม่ได้มีอะไรกับเขาใช่หรือเปล่า”
คิมหันต์ทำหน้าเหวอ
‘เขา’ ในความหมายของวัสสานะคงเป็นสาวน้อยจิ้มลิ้มสักคน แต่
'เขา' ที่ปรากฏในหัวเด็กหนุ่มกลับเป็นเฮียหมาบ้าสติหลุดไปเสียนี่ และความคิดเช่นนั้นก็เล่นเอาท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด
“...จ..จะไปมีได้ไง...เจ้ก็”
“ดีแล้ว” เธอยิ้มเนือย ๆ “มีอะไรให้บอกเจ้โอเคไหม? อย่าเก็บปัญหาไว้คนเดียว”
“อือ”
“แล้วนี่มีถุงยางหรือเปล่า?”
“ห๊ะ!?”
วัสสานะทำสีหน้าจริงจังใส่น้องชาย หากมีใครมาเห็นสภาพสองพี่น้องคงอดขำไม่ได้เพราะทำหน้าแดงแข่งกันจนคล้ายจะระเบิดออกได้อยู่แล้ว
“ไม่ได้ส่งเสริมให้ไปทำอะไรอย่างนั้น..เลี่ยงได้ให้เลี่ยง แต่เป็นผู้ชาย ต้องรู้จักวิธีป้องกันไว้ด้วยเข้าใจไหม”
เขาพยักหน้าเออออห่อหมก พี่สาวเขาจะจริงจังเกินไปแล้วหรือเปล่า นี่เหมือนกับมาเรียนวิชาสุขศึกษากันอีกรอบเลยทีเดียว
“ไหนจะโรคติดต่ออีก คนเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ”
“อ่า..นั่นสิ”
“เดี๋ยวไว้เจ้ไปเอาถุงยางจากที่ร้านให้พกติดตัว”
..มีพี่สาวบ้านไหนพูดจริงจังเปิดเผยอย่างนี้บ้างหนอ คิมหันต์เริ่มรู้สึกว่าทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว มันจะไม่ใช่ปัญหาเลยหากคู่กรณีเขาเป็นเด็กสาวอย่างที่วัสสานะคิด แต่นี่ผู้ชาย..ผู้ชายแบบโคตรจะผู้ชายเลย พอเธอพูดถึงเรื่องพวกนั้นแต่ละทีก็มีหน้ามนุษย์หมาบ้าลอยขึ้นมาประกอบฉากเล่นเอาขนลุกซู่ไปหมด ควรแก่เวลาที่จะได้เปลี่ยนเรื่องกันเสียที
“นี่ ๆ เจ้ยังไม่ได้กินอะไรใช่ปะ” เขาพยายามทำหน้าหมาน้อยเลียนแบบดุ๊กดิ๊ก ใสซื่อสุด ๆ แม้เรียกความเชื่อถือจากพี่สาวตัวเองแทบไม่ได้เพราะเธอรู้แกวหมดแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์ใจดีฟังเขาอ้อนต่อ “หิวยัง..มาพักกินอะไรทางนี้ก่อน”
วัสสานะเลิกคิ้ว เดินตามเขาตัดพื้นที่ว่างไปยังโต๊ะอาหารอีกฝั่ง
"เห?"
แล้วก็พบสิ่งที่ต้องเรียกว่าค่อนข้างแปลกประหลาดทีเดียว สำหรับกรณีที่คิมหันต์อยู่บ้านคนเดียวเช่นนี้แล้วจะมีจานกับข้าววางไว้บนโต๊ะ ไม่ใช่แค่กล่องพลาสติกของอาหารสำเร็จรูป หรืออย่างดีก็ข้าวโปะไข่เจียวไหม้ ๆ
“นี่...ทำกับข้าว?” วัสสานะแสดงสีหน้าประหลาดใจ “อะไรน่ะ? ไส้กรอก..กะหล่ำปลี....”
“กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา” เด็กหนุ่มช่วยต่อ ภูมิใจนำเสนอประหนึ่งว่าเป็นฝีมือตัวเอง “เจ้ชิมดิ...อร่อยดี คล้าย ๆ แบบ...จำร้านนั้นที่เราเคยไปสั่งกินเมื่อปีก่อนได้เปล่า”
“หืม?” หญิงสาวรับช้อนมาตักเข้าปาก เคี้ยวไปได้หน่อยเดียวก็มั่นใจแล้วว่าไม่ใช่ฝีมือน้องชายตัวเองแน่นอน คิมหันต์ปกติทำได้แค่ไข่เจียวไหม้เกรียมเท่านั้นแหละ “อร่อยนี่”
“ไข่ตุ๋นอร่อยกว่านี้อีก” เด็กหนุ่มยิ้มร่า “แต่กินหมดไปละ”
“ใครทำ...ไม่ใช่นายหรอกใช่ไหม? คนที่ใช้ไมโครเวฟได้แค่อุ่นอาหารกับระเบิดไข่น่ะ”
“ผมเลิกระเบิดไข่แล้วน่า” เขาบ่นหงุงหงิง เคยทำแค่ครั้ง(หรือสองครั้ง?)เท่านั้นเอง พี่สาวเขายังเอามาล้อจนทุกวันนี้ “ดูถูกฝีมือผมขนาดนั้นเชียว”
วัสสานะส่ายหน้าเอ็นดู ลูบผมเด็กหนุ่มป้อย ๆ “น้องชายคนเดียวทำไมเจ้จะไม่รู้ ตกลงนี่ใครทำให้? หรือว่าไปซื้อมา”
“เจ้กินข้าวก่อนดิ หิวปะ?”
“นอกเรื่องอีกละ”
“น่า ๆ”
คิมหันต์ดันหลังพี่สาวลงนั่งบนเก้าอี้ วิ่งหายเข้าไปในครัวแล้วกลับมาพร้อมกับจานข้าวเพื่อวางลงตรงหน้าเธอ เหตุการณ์นี้ทำหญิงสาวประหลาดใจขึ้นมา วันนี้ดูเป็นเด็กดีเชียว แม้ความจริงคิมหันต์ก็เป็นเด็กดีของบ้านอยู่แล้ว เว้นแต่เรื่องปากเสียและกวนประสาทไปหน่อย
ทว่าพอเธอก้มหน้าลง หยิบช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมจะตักข้าว ก็ถึงกับต้องทำคิ้วผูกเป็นปมด้วยความสงสัย
“ครีม ทำไมข้าวแฉะอย่างนี้?”
“เลิกเรียกครีมเถอะ” เด็กหนุ่มบ่นอย่างไร้ผล “ผมชอบกินข้าวแฉะเจ้ก็รู้”
“ไม่ใช่ละคุณน้องรัก” เธอส่ายนิ้วไปมาอย่างรู้ทัน “ปกติไม่หุงแฉะอย่างนี้สักหน่อย นายแค่ชอบกินนิ่ม ๆ ไม่ใช่หรือ เปียกฉ่ำแบบนี้มันข้าวต้มชัด ๆ”
คิมหันต์เลิกคิ้ว ทำปากจู๋น้อย ๆ พร้อมกับเสมองไปทางอื่น ไม่เถียงสักคำเพราะนั่นถูกต้องดังเธอว่าทุกประการ “ความจริงวันนี้ผมอยากกินข้าวผัดปู”
วัสสานะถอนหายใจ น้องชายเธอถนัดนักเรื่องเฉไฉไปเรื่อยเปื่อย ถามอะไรก็ตอบอีกอย่างตามอารมณ์เจ้าตัว “แล้วไหงมาจบที่ข้าวชุ่มน้ำอย่างนี้ได้ล่ะ”
เด็กหนุ่มยักไหล่ ขโมยเอาส้อมจิ้มไส้กรอกเข้าปากอีกชิ้น ย่อตัวนั่งลงตรงข้ามกับเธอแต่หันหน้าไปทางโทรทัศน์ซึ่งกำลังเสนอข่าวภาคค่ำ พึมพำขึ้นมาลอย ๆ แทรกกับเสียงผู้ประกาศข่าว “นี่..เจ้รู้ไหม...”
“หือ?”
“..หมาบ้าไม่ชอบกินข้าวแฉะละ”
“อะไร?” เธอเลิกคิ้ว “ดุ๊กดิ๊กหรือ? ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าแล้วนี่”
“แต่ก็กินหมดเลย” เขายังคงพึมพำต่อ ซึ่งมีแต่จะทำให้คนฟังยิ่งงงหนัก “น่ารักปะ?”
“...?”
เพราะเด็กหนุ่มหันหลังอยู่เธอจึงไม่เห็นว่าเขากำลังอมยิ้ม และถึงเห็นวัสสานะก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพ่อน้องชายตัวแสบพูดถึงเรื่องอะไร
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
ยังมีต่อค่ะ
v
v
v