♣Maybe...รักนี้อาจเป็นนาย♣
บทที่ 6
ความบังเอิญในวันคืนเหงา
“คิดว่าตัดใจไปแล้วเสียอีก” แมทถามขึ้นเมื่อเห็นผมทำขนมอยู่ในครัวในตอนเช้า เมื่อคืนแมทมาค้างที่บ้านเป็นเพื่อนผม ผมบอกว่าอยู่คนเดียวได้แมทก็ไม่เชื่อ
ส่วนพ่อแม่ผมน่ะเหรอ ท่านทั้งสองไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศทั้งคู่ นานจะได้คุยกันทีถ้าท่านโทรมา หรือไม่บางทีผมก็โทรไป แต่ไม่ค่อยอยากจะรบกวน ครอบครัวผมทำธุรกิจค้าเพชร มีสาขาที่เมืองไทยแต่คุณน้าเป็นผู้ดูและอยู่ในตอนนี้และสาขาที่เมืองนอกที่พ่อกับแม่เพิ่งจะไปลงทุนได้ไม่กี่ปี แต่มันก็นานพอที่จะทำให้ผมตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ‘กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน’ มันให้ความรู้สึกดียังไง
เพราะผมเป็นคนขี้เหงา อยู่คนเดียวแล้วชอบฟุ้งซ่าน แมทเลยไม่ค่อยชอบปล่อยให้ผมอยู่ตัวคนเดียว ถ้าไม่ไปนอนกับแมทที่บ้าน เขาก็จะมานอนที่บ้านผมเป็นเพื่อน
“อะไรทำให้คิดแบบนั้นล่ะ” ปากถามกลับ มือก็ทำคัฟเค้กไปด้วย
“ก็เห็นไม่ได้ทำขนมไปให้ไอ้หมอนั่นหลายวันไม่ใช่เหรอไง”
กึก!
มือที่กำลังคนครีมให้เข้ากันหยุดชะงักก่อนจะทำต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใจผมนี่แกว่งไปแล้ว
“ก็หยุดบ้าง เดี๋ยวพี่เขาจะเบื่อ” ผมแก้ต่าง แต่ความจริงคือผมกลัวต่างหาก กว่าจะมีความกล้าอีกก็วันนี้เนี่ยแหละ ตั้งแต่วันมีตติ้งชมรม
“ไม่ใช่ความมีอะไรปิดบังหรอกนะ” แมทถามเสียงเรียบ ไม่มีน้ำเสียงล้อเล่นเลยสักนิด
“ก็...ไม่มีอะไรหรอก”
“มีอะไรหรือไง...ใช่ไหม?”
“แมท” ผมเรียกแมทเสียงอ่อย
“ว่าไง”
“ก็...เฮ้อ...ก็เหมือนว่าพี่เขาจะรู้แล้วว่าต้นหอมเป็นคนส่งขนมไปให้” ผมหยุดมือแล้วหันไปคุยกับแมทอย่างจริงจัง
วันนั้น...ตอนนั้น...ที่พี่เขาถามว่าเป็นผมใช่ไหมที่ส่งขนมไปให้ กล่องใส่ขนมที่พี่เขาหยิบออกมาจากถุงกระดาษ กล่องที่ผมเป็นคนทำเองพี่เขาเอาออกมายื่นให้ผมดู พอเห็นเท่านั้นผมก็ตัวแข็งค้าง เป็นใบ้ไปชั่วขณะ รู้สึกร่างกายชาไปทุกสัดส่วน ผมไม่ได้ตอบอะไร เป็นแมทที่มาลากผมออกไปจากสถาณการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนั่นทันท่วงที ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าออกมาจากตรงนั้นได้ยังไง รู้อีกทีก็อยู่ในรถของแมทแล้ว
ผมกลัวจริงๆ...ผมกลัวว่าจะเผลอทำอะไรออกไป หรือมีอาการให้พี่เขาจับได้ว่าผมชอบ แค่เจอกันใจผมก็สั่นหวั่นไหวไปหมดแล้ว ทำได้แค่หลบตาอย่างคนขี้ขลาดเท่านั้น ตอนนี้พี่ปืนต้องรู้แล้วแน่ๆ ถ้ารู้แล้วพี่เขาจะยังรับขนมของผมอยู่หรือเปล่านะ แล้วพี่เขาจะรังเกียจไหม แล้วต่อไปผมจะสู้หน้าพี่เขายังไงกัน โอ๊ย! คิดแล้วเครียด
บอกผมทีว่าผมพลาดที่ตรงไหน!
ทำไมพี่ปืนถึงรู้ล่ะว่าผมเป็นคนเอาขนมไปให้ ผมว่าผมเนียนแล้วนะ T_T
แต่จะให้ไปถามพี่เขาเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก ถึงผมจะถูกสายตาเรียวคมนั่นสะกด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าดวงตาคู่นั้นมันน่ากลัวไปด้วยในเวลาเดียวกัน
“แล้วยังไง เขาว่ามาเหรอไง หรือมันทำอะไร” แมทพุ่งเข้ามาถึงตัวผม จับตัวผมพลิกไปมาเหมือนหาร่องรอยบางอย่างบนร่างกายผม
“เปล่า พี่ปืนเขาไม่ได้ทำอะไร ต้นหอมแค่กังวล”
“แค่นั้น?” ผมหยุดมือที่สำรวจตัวผม
“อืม ไม่รู้ว่าคราวนี้พี่เขาจะยอมรับขนมที่จะเอาไปให้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าถ้าเจอหน้ากันอีกครั้งจะต้องทำยังไงดี”
“ทำเหมือนเดิม เคยเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร เขาใจไหม”
“พูดง่ายนะ”
“ทำก็ง่าย”
ป็อก!
แมทดีดหน้าผากผมเบาๆก่อนจะเดินออกไปจากห้องครัว ผมกลับมาสนใจขนมตรงหน้าต่อก่อนจะลงมือทำให้เสร็จ เช้าวันนี้ผมไม่ต้องทำอาหารเช้าเพราะแม่บ้านที่บ้านใหญ่ของแมททำมาให้เรียบร้อยแล้ว ดีเหมือนกัน เพราะวันนี้ผมเองก็รู้สึกขี้เกียจเล็กน้อยถึงปานกลาง >,<
-----------
-----------
“In my opinion, all jobs are equally important. You may not earn a lot of money but you may be worth a lot as a person.”
“Great! Please sit down Mr. Kirakorn”
“Thank you miss Linda”
ผมนั่งลงหลังจากที่ตอบคำถามในคาบเสร็จ และแน่นอนว่าวันนี้ผมได้สองคะแนนมาเชยชม ทุกครั้งที่มีการถามคำถามและถ้าเราตอบ เราก็จะได้สองคะแนนมาฟรีๆ
“อิจฉาจัง ต้นหอมเก่งอ่ะ” แชมป์กระซิบบอกผม
“ไม่หรอก เราแค่เตรียมตัวมาก่อนเท่านั้น”
จริงๆนะ ผมแค่อ่านหนังสือมาก่อนเข้าเรียนและลองทำแบบฝึกหัดในเล่ม ลองคิดคำตอบที่ให้มาก่อนก็แค่นั้น ไม่ต้องอาศัยความเก่งหรอก แค่ขยันและกล้าที่จะตอบก็เพียงพอแล้วสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ
“โอ๊ย ทำไมการบ้านมันเยอะอย่างนี้เนี่ย” แชมป์บ่นเสียงดังเมื่อเรียนวิชาภาษาอังกฤษเสร็จ
“เอาน่า ถือเป็นการฝึกฝนตัวเอง” ผมตบบ่าแชมป์เป็นการปลอบ ผมเรียนเซคเดียวกับแชมป์และอาร์ม แต่วันนี้อาร์มโดด ไม่ยอมเข้าเรียน ดีนะที่วันนี้ไม่มีควิซ เพราะอาจารย์เซคผมนี่โหดมากๆ สั่งงานเยอะ แถมยังมีควิซบ่อยๆ ถ้าขาดแล้วไม่มีใบลา ใบแพทย์มายื่น ไม่ต้องหวังสอบย้อนหลังเลย ไม่มีทางได้รับโอกาสแบบนั้นแน่นอน
“ฝึกจนเบลอ นี่เราไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษวิชาเดียวนะ อาจารย์แกเข้าใจบ้างไหมเนี่ย”
“ฮะๆ” ผมขำกับคำเหน็บแนมของแชมป์
“นี่ต้นหอม อ่านโนเวลเรื่อง The Wonderful Wizard of Oz จบหรือยัง”
“ใกล้แล้ว เหลืออีกประมาณสี่บทอ่ะ”
“โหยยย ทำไมอ่านไวจัง”
“ไม่มีอะไรทำน่ะ เลยอ่านไปเลยๆ หลังๆสนุกมากเลยนะ กลั้นใจหน่อย แรกๆมันน่าเบื่อไปนิด แต่เดี๋ยวอ่านไปแล้วจะติด เชื่อเราเถอะ”
“ไม่มีทาง” แชมป์บ่นเบาๆแล้วทำหน้าแหยๆ
โนเวลหรือนิยายภาษาอังกฤษที่ผมต้องอ่านสอบนั้น เป็นอะไรที่ดูจะนรกแตกมาสำหรับนักศึกษาคนอื่นๆ แต่ผมเป็นคนที่ชอบอ่านนิยายอยู่แล้ว เลยไม่รู้สึกว่ามันหนักหนาอะไร จะมีบ้างที่ต้องเปิดดิกหาศัพท์ทำให้อ่านแล้วไม่ลื่นไหล แต่ต้องบอกเลยว่านอกจากจะได้รับความบันเทิงจากเรื่องที่อ่านแล้ว ผมยังได้ศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะเลย อย่างศัพท์บางคำนี่เจอเกือบยี่สิบครั้ง เจอจนจำได้และไม่ต้องเปิดดิกอีก กลายเป็นว่าผมจำศัพท์หลายคำในโนเวลได้อย่างขึ้นใจ จำง่ายกว่าการท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองเสียอีก
“ต้นหอม แชม์ป ทางนี้” ปลาลุกขึ้นยื่นและโบกมือเรียกผมให้เดินไปหา
ไข่ดาว ปลาและก้านนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้คณะ ตอนนี้เพิ่งจะสิบโมงหน่อยๆ จะมีเรียนอีกทีก็วิชารวมในตอนบ่าย ช่วงเวลานี้เลยว่าง
“ก้าน วิชาต่อไปอาร์มจะมาเรียนหรือเปล่า” ผมถาม
“มามั้ง มันน่าจะมาแหละ เพราะเป็นตัวที่ไม่ต้องเรียนเช้า” ก้านสันนิฐานความน่าจะเป็นที่อาร์มจะมาเรียนคาบต่อไปหรือไม่ ก่อนจะยิ้มให้ผม
น่าแปลกนะ ตอนเรียนมัธยมทุกคนต้องไปให้ถึงโรงเรียนก่อนเจ็ดโมงสี่สิบเพื่อเข้าแถมเคารพธงชาติ แต่พอมาเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว การมาเรียนตอนแปดโมงครึ่งดูจะเป็นอะไรที่เช้าเกินไป จนหลายคนขาดเรียน แม้แต่ผมเองก็เถอะ บางวันยังขี้เกียจตื่นเลย
“อ่อ เกือบลืมเลย” ผมร้องเสียงหลงเบาๆเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทำขนมมาให้พี่ปืน แต่เมื่อเช้าผมมาสาย มาทันเข้าเรียนพอดีเลยไม่มีโอกาสเอาไปให้พี่เขา
“มีอะไรเหรอต้นหอม” ไข่ดาวถามผม
“อ่ะนี่ ขนม” ผมวางกล่องคัฟเค้กในส่วนของเพื่อนๆลงบนโต๊ะ ทุกคนตาวาวทันทีเมื่อเปิดกล่อง
“ต้นหอมนี่เก่งจริงๆ ทำเอาผู้หญิงอย่างเราอายอ่ะ ทำไม่เป็นหรอกอะไรแบบนี้” ปลาพูดก่อนจะหยิบคัฟเค้กขึ้นมากิน หน้าตอนกินนี้เหมือนกับกำลังขึ้นสวรรค์ มองแล้วตลกดี
“อ้าวแล้วนั่นจะไปไหนล่ะ” แชมป์ถามเมื่อเห็นผมลุกขึ้นจากเก้าอี้
“อ่อ เอ่อ...ไปทำธุระน่ะ เดี๋ยวมานะ”
ผมคว้าถุงขนมอีกถุงได้ก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกมาทันที ทิ้งให้เพื่อนที่เหลืองงกับท่าทีของผม เอาเถอะ ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะบอกใครทั้งนั้น และไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่จะพร้อมบอกเพื่อน เอาเป็นว่า ถ้าไม่เข้าตาจนก็ปล่อยให้เป็นไปแบบนี้ดีกว่า
ผมเดินมาเรื่อยๆจนรถของทางมหาวิทยาลัยมาถึง ผมขึ้นไปนั่งที่สุดท้ายพอดี ตอนเกือบเที่ยงแบบนี้คนเริ่มเยอะ ทำให้รถของทางมหาวิทยาลัยถูกใช้บริการอย่างหนาแน่น
“นั่งได้ไหมครับ” ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆผมถามขึ้น ตามมาด้วยเสียงแซวของเพื่อนเขา
“นั่งได้ครับ” ผมตอบไปตามมารยาทก่อนจะมองอออกไปด้านนอก ไม่ได้หยิ่งนะ แต่ปล่อยผมไว้คนเดียวดีกว่า ไม่ต้องมาคุยกับผมหรอก
“เรียนอักษรเหรอครับ” ผู้ชายข้างๆยังคงพยายามจะชวนผมคุย
“ครับ” ผมตอบไปตามมารยาท
เมื่อรถมาจอดถึงที่ที่ผมต้องลง ผมก็รีบลงจากรถและเดินหนีอย่างรวดเร็ว ถึงปัจจุบันนี้ผมจะไม่มีใคร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดใจคุยกับใครก็ได้ แต่ถ้าเข้ามาเป็นเพื่อนก็โอเค แต่ผมว่าเท่าที่มีอยู่ก็พอแล้วนะ ถ้ามีเพิ่มโดยที่แมทไม่รู้ เดี๋ยวองค์จะลงท่านได้ =-=
“เอ๋ ไปไหนนะ” ผมกวาดสายตามองหาตัวช่วยของผม คนที่จะเอาขนมนี่ไปให้พี่ปืน
เดี๋ยวนะ!
หรือว่าที่พี่ปืนจะรู้ว่านี่เป็นขนมของผมก็เพราะเด็กน้อยนั่น แต่ผมก็ไม่เคยบอกชื่อตัวเองให้น้องรู้ แค่บอกให้ไปแขวนไว้ที่หน้าประตูเฉยๆ ไม่เคยบอกว่าให้ใครด้วย งั้นขอสันนิฐานนี้ก็อาจจะไม่ถูกต้อง
แล้วตกลงพี่ปืนเข้ารู้ได้ยังไงกันว่าเป็นผม
เฮ้อ...ช่างเถอะ
ไหนๆตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว สู้เอาไปให้เองคงจะดีกว่า
ผมเดินขึ้นตึกของคณะนิเทศศาสตร์ไปที่ห้องชมรม เพราะมันเป็นสถานที่เดียวที่ผมรู้ว่าพี่เขาจะมา พี่เขาจะอยู่ที่นั่น เรื่องอื่นผมไม่รู้หรอก ไอ้พวกที่ว่าพี่เขาเรียนวิชาอะไร ตึกไหนห้องไหน ผมไม่พยายามขนาดนั้นและไม่ได้มีเวลาว่างตามติดชีวิตพี่ปืนขนาดนั้นด้วย
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง ผมก็ยืนทำใจอยู่สักพักก่อนจะแขวนถุงใส่ขนมไว้ที่ประตูห้องชมรม หวังว่าพี่เขาจะชอบเหมือนครั้งก่อนนะ เมื่อไม่มีอะไรแล้วผมก็หมุนตัวเตรียมจะกลับ ผมคิดว่าไม่มีคนอยู่แถวนี้เพราะส่องอย่างดี แต่ผมคิดผิด คนที่อยู่ข้างหลังผมซึ่งตอนนี้เขากลายมาอยู่ข้างหน้าผมแล้ว
“พี่ปืน” ผมเรียกชื่อพี่เขาด้วยเสียงอันเบา ถ้าไม่ตั้งใจผมก็แทบจะไม่ได้ยิน
“ทีหลังถ้าจะเอามาให้ก็ให้กับตัว”
“...”
“เพราะถ้าบางวันฉันไม่อยู่ มันจะเสียของ”
พี่ปืนเอี้ยวตัวผ่านตัวผมเพื่อหยิบถุงขนมที่ผมเพิ่งแขวน จังหวะนั้นทำให้ผมใกล้ชิดพี่เขามาขึ้น กลิ่นหอมเย็นของอาฟเตอร์เชพของพี่ปืนทำผมเผลอสูดลมหายใจเข้าอย่างไม่รู้ตัว
“มันคืออะไร”
“ห๊า อะ..อะไรนะครับ” ผมตั้งตัวไม่ติดเมื่ออยู่ๆพี่ปืนก็ถามผม ผมเงยหน้ามองหน้านิ่งๆของพี่เขาแล้วก็ต้องรีบก้มหน้าเพราะทนต่อสายตาของพี่เขาไม่ได้
“ฉันถามว่ามันคืออะไร”
“คัพ...คัพเค้กครับ”
“งั้นเหรอ ขอบใจ แต่คราวหลังไม่ต้องลำบากก็ได้”
“ไม่ลำบากเลยครับ!” ผมรีบตอบอย่างรวดเร็ว กลัวพี่ปืนจะเข้าใจผิดในสิ่งที่ผมพยายามจะทำให้
“หึ”
“ผมเต็มใจทำมาให้ ไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทน ผมแค่อยากทำมาให้..ก็แค่นั้น”
“ขอบใจ”
ผมค่อยช้อนสายตาขึ้นมองคนตรงหน้า แต่สายตาคมๆที่มองผมอยู่นั้น ราวกับว่าพี่เขาจะอ่านผมออกจนทะลุปรุโปร่ง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเกร็งและใจเต้นแรง และเหมือนเสียงสวรรค์มาโปรดเมื่อเสียงโทรศัพท์ของพี่ปืนดังขึ้น
“ฮัลโหล เออ ทำไม จริงๆเลย เออๆ เดี๋ยวไปหา แค่นี้แหละ”
ผมยืนฟังพี่ปืนคุยโทรศัพท์จนจบ ยืนนิ่งๆเพราะไม่รู้จะทำอะไร เวลาอยู่ต่อหน้าพี่ปืนผมมันจะทำตัวไม่ถูกเสมอ เหมือนสองตายชั่วคราว คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะต้องหันซ้ายหรือหันขวาดี บ้าชะมัดเลย ความอัจฉริยะของผมสูญหายเมื่ออยู่กับพี่เขา เพราะผมหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ในสถาณการณ์แบบนี้
“ฉันขอตัวก่อน” พี่ปืนพูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป ผมยืนมองแผ่นหลังกว้างของพี่ปืนจนหายไปลับตา
“ฟู้วววว ทำไมใจเต็นแรงแบบนี้เนี่ย ตายๆๆ เกือบหัวใจวายตายแล้วไงต้นหอม”
ผมยกมือนวดที่อกข้างซ้ายของตัวเองเพื่อลดอาการใจเต้น ก่อนจะเดินออกจากคณะพี่ปืน เพื่อกลับไปยังคณะของตัวเองด้วยใจที่ยังคงเต้นแรงไม่หยุด
ดวงตาคู่นั้น...
------------
------------
“แมท” ผมเรียกชื่อเพื่อนตัวดีที่มานั่งอยู่กับเพื่อนๆของผมที่ม้าหินอ่อนตัวเดิม
“ไปไหนมา” แมทถามก่อนจะลุกขึ้นและดึงให้ผมเดินตาม สงสัยจะพาออกไปหาอะไรกินข้างนอก แต่แบบนี้ผมก็ไม่ได้กินกับเพื่อนๆนะสิ แต่พอมองไปทางด้านหลัง ผมก็เห็นปลา ไข่ดาว แชมป์ ก้านและอาร์มเดินตามมา
“เอาขนมไปให้พี่ปืนมา”
ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกแล้วระหว่างผมกับแมท บอกให้รู้ๆไปเลย จะได้ไม่โดนดุทีหลังอีก
“อืม” แมทรับคำแค่นั้น และเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนกระทั่งเดินมาถึงรถ
สรุปว่าเราเที่ยงวันนี้เราออกไปหาอะไรกินข้างนอก ดีที่อาร์มเอารถมา ถึงได้ไปกันหมด ผมเพิ่งรู้ว่าแมทนัดเพื่อนของแมทเองไว้ที่ร้านที่เราไปกินด้วย ทำให้ผมได้เพื่อนใหม่มาอีกหลายคน แต่ละคนดูหน้าคบหา แน่นอนว่าถ้าแมทคบได้ ผมก็ต้องคบได้เหมือนกัน
“คืนนี้อยู่บ้านคนเดียวนะ”
“ทำไมล่ะ”
ผมและแมทกำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน บ้านแมทไม่ใช่บ้านผม เพราะผมไม่ค่อยชอบอยู่คนเดียว เลยมักจะนอนบ้านแมทบ่อยๆ ยกเว้นบางวันที่อารมณ์ไม่คงที่ แล้วเกิดความรู้สึกว่าอยากอยู่คนเดียว ผมถึงจะกลับไปนอนที่บ้านตัวเอง
บ้านผมไม่มีคนอยู่ เพราะพ่อแม่ไปทำงานที่ต่างประเทศ ส่วนบ้านหลังใหญ่ที่คุณย่าอยู่ผมก็ไม่ค่อยได้กลับไปเท่าไหร่ เพราะไม่สนิทผมเลยเลือกที่จะมาอยู่กลับแมทเมื่อพ่อแม่ต้องไปอยู่ต่างประเทศมากกว่ากลับไปอยู่ที่บ้านใหญ่อย่างที่พ่อแม่ผมฝากฝังไว้ แต่คุณย่าเองก็ไม่ได้คัดค้านสิ่งที่ผมตัดสินใจ ไม่แปลก อาจจะเป็นเพราะผมไม่ใช่หลานรักก็ได้ หลานที่เป็นเกย์ คงไม่มีย่าคนไหนรับได้หรอก ท่านรู้เพราะพ่อแม่ผมเคยบอก แต่ท่านไม่ได้พูดอะไร และหลังจากวันนั้นผมพูดกับย่านับคำได้ในทุกครั้งที่เจอกัน
“คืนนี้รุ่นพี่นัดไปกินเหล้า...”
“แต่ต้นหอมไม่อยากอยู่คนเดียว” ผมรีบพูดแทรก
“ร้านเหล้าไม่ใช่ที่ที่เด็กจะเข้าไปวิ่งเล่นนะต้นหอม” แมทหรี่ตามองผมแวบหนึ่งเหมือนจะดุ
“พูดงี้ต่อยกันเลยดีกว่า” ผมขึ้นเสียงหน่อยๆ
“สู้ไหวเหรอ” แมทกระตุกยิ้มที่มุมปาก ผมเลยจัดการต่อยเข้าที่แขนแมททีหนึ่ง แต่ดูเหมือนแมทจะไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด กลับหัวเราะซะงั้น
“จิ๊” ผมจิ๊ปากด้วยความขัดใจ
“อยู่บ้านนั่นแหละดีแล้ว เราน่ะอายุไม่ถึง เข้าไปไม่ได้ คราวนี้ไม่ได้ไปร้านเหล้า แต่ไปผับ”
“แล้วไปที่ไหน” ผมถามไปอย่างนั้นแหละ ใช่ว่าจะรู้จักสถานที่แบบนี้ซะเมื่อไหร่
“อยากรู้ไปทำไม” แมทถามโดยไม่มองหน้าผม เพราะมองถนนอยู่
“ถามไม่ได้ไง” ผมย้อนอย่างหาเรื่อง พาลเฉยๆ ไม่มีอะไร ><
“ไปที่ The Blue”
“อืม”
“อืมนี่รู้จักเหรอไง”
“ไม่อ่ะ อยากไปไหนก็ไปเถอะ”
ผมหันหน้าออก มองวิวนอกกระจกรถ ทำเป็นไม่เป็นอะไรถ้าแมทจะออกไปเที่ยว แต่จริงๆผมไม่อยากให้แมทไปเลย เพราะถ้าแมทไปผมก็ต้องอยู่คนเดียว แล้วถ้าแมทเมาใครจะพากลับบ้าน ทำไมจะต้องพาไปเลี้ยงกันที่ร้านเหล้าที่ผับด้วยนะ แค่พาไปกินข้าวไม่ได้เหรอไง ผมจะได้ไปด้วยได้ ผมงี่เง่าใช่ไหม ไม่ต้องว่าผมหรอก ผมรู้ตัวดี
“งอนเหรอ”
“ปล่าว เข้าใจหรอกน่า ต้นหอมโตแล้ว”
“หึหึ”
“หัวเราะอะไร” ผมขึ้นเสียงถาม
“หัวเราะคนโตแล้ว แต่เสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ไง” แมทขยี้หัวผมจนฟูไปหมด ผมเลยปัดมือแมทออกก่อนจะหันไปชักสีหน้าใส่แบบงอน
“ไปแล้วรีบกลับนะ ห้ามเมาด้วย” ผมบอกเสียงเบา ใจหนึ่งก็ไม่อยากอยู่คนเดียว ใจหนึ่งก็เป็นห่วง
“พี่รู้แล้ว” ผมหันมายิ้มรับคำให้ผม ผมเลยยิ้มตอบ
------------
------------
(ต่อ)