♣Maybe...รักนี้อาจเป็นนาย♣บทที่ 3
I just wanna know you better, But all I know is your simple name
ก๊อกๆ
“ต้นหอม ตื่นหรือยัง”
ผมพลิกตัวลงจากเตียง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้แมท แล้วเดินหันหลังกลับมานั่งที่เตียง นี่เพิ่งจะหกโมงเช้า ยังพอมีเวลาให้เอ้อระเหย ผมเลยไม่รีบร้อนอะไรเท่าไหร่นัก
“เป็นไรไป เมื่อกี้แม่บ้านเอาอาหารเช้ามาให้ ไม่ต้องทำเองนะ”
“อืม”
“ต้นหอม หันหน้ามาสิ”
ผมนั่งนิ่งไม่ทำตามที่แมทสั่ง จนเวลาผ่านไปสักครู่เดียว ตรงหน้าของผมก็ปรากฏคนร่างสูงที่มานั่งยองๆอยู่ตรงหน้าผม มือของแมทเอื้อมมาสัมผัสที่ตาของผมเบาๆก่อนจะถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ผมทำให้คนตรงหน้าต้องเป็นห่วงอีกแล้วสินะ สัญญาเลยว่าคราวหลังผมจะเก็บซ่อนความอ่อนแอให้มิดกว่านี้
“ร้องไห้จนตาบวมอีกแล้วนะต้นหอม”
“...”
“เมื่อไหร่จะลืมมันซะที”
“พยายามอยู่ แต่...”
“ถ้ายังเป็นอย่างนี้ก็ต้องเจ็บไปเรื่อยๆ ชอบหรือไง”
“เปล่าชอบสักหน่อย มันร้องเองนิ ใช่ว่าอยากเสียหน่อย” ผมขึ้นเสียงใส่แมทนิดๆ อย่างไม่สบอารมณ์
ผมดื้อ ผมรู้ตัว เพราะแมทก็พูดกรอกหูผมอยู่บ่อยๆ แต่จะโทษใคร โทษเจ้าตัวเขาเถอะที่ตามใจผมแต่เล็กจนผมนิสัยเสียอย่างทุกวันนี้ อยากปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น แต่ความเคยชินกลับกลืนกินความพยายามของผมไปเสียหมด เวลาผมอยู่คนเดียวผมจะคิดฟุ้งซ่าน ต่างจากเวลาที่อยู่กับคนอื่นๆ ผมจะเป็นคนที่ร่าเริง ยิ้มง่าย แบบนี้ใครหลายๆคนก็เป็นไม่ใช่เหรอ แสร้งยิ้มบอกคนอื่นว่าไม่เป็นไร...ใครๆก็เป็น ผมก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
เรื่องบางเรื่อง มันก็ยากที่จะลืม...
“เป็นแบบนี้แล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น เจ็บก็จำไว้เป็นบทเรียน ยิ่งจมปรักอยู่กับมัน คนที่เจ็บก็มีแต่นายเอง ที่พูดเนี่ยเข้าใจไหม”
“...”ผมไม่ตอบแต่พยักหน้า แมทพูดกรอกหูผมมาหลายรอบแล้ว ทุกครั้งที่ผมล้ม แมทก็พูดอย่างนี้ตลอด แต่ทุกอย่างก็ต้องใช้เวลา
เรานั่งกันเงียบอยู่สักพักก่อนจะแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปมหาวิทยาลัย พอได้อาบน้ำผมก็รู้สึกสดชื่นขึ้น สายน้ำเย็นฉ่ำช่วยชะล้างความเศร้าให้หลุดออกไปจากหัวใจผมได้ แต่ก็ไม่หมดเสียทีเดียว ผมต้องเตือนตัวเองว่า ผมต้องก้าวต่อไป จะมาจมอยู่กับความทุกข์อย่างนี้ไม่ได้
“แมท วันนี้น้องจะกลับไปนอนที่บ้านนะ” ผมบอกกับแมทตอนที่นั่งทานอาหารเช้าก่อนไปเรียนด้วยกัน
อย่างที่รู้ๆกันว่าผมอายุน้อยกว่าเพื่อนที่เรียนด้วยกันอยู่สองปี แต่ผมอายุน้อยกว่าแมทสามปี ตอนนี้ผมอายุสิบเจ็ดส่วนแมทก็ยี่สิบผมเข้าเรียนเร็วเพราะสอบเลื่อนชั้นได้ในตอนเด็กๆ ส่วนแมทขาดเรียนไปปีหนึ่งเพราะอะไรผมไม่รู้ แมทไม่เคยบอก แม้ว่าผมจะถามหลายต่อหลายครั้งก็ตาม ด้วยเหตุนี้ผมและแมทจึงเรียนอยู่ชั้นเดียวกันมาตลอด
ตอนเด็กๆผมเรียกแมทว่าพี่ตลอด และเรียกแทนตัวเองว่าน้อง เพราะกับที่บ้านผมแทนตัวเองแบบนี้ แต่ตอนนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไป ผมกับแมทพูดคุยกันเหมือนเพื่อน จะมีบ้างที่ผมเรียกแมทว่าพี่และแทนตัวเองว่าน้อง อย่าไปบอกแมทนะ ผมน่ะ ทำแบบนี้ตอนที่จะอ้อนแมทเท่านั้นแหละ แค่พูดว่าน้องอย่างนั้นน้องอย่างนี้ หึหึ แมทก็แมทเถอะ เสร็จผมทุกครั้งไป ^^
“ทำไม”
มือที่เปิดหนังสือพิมพ์อยู่ชะงัก ก่อนจะละสายตามามองผมอย่างจับผิด เห็นผมเป็นผู้ร้ายหรือยังไงกัน ถึงได้หรี่ตามองมาอย่างนั้น หาเรื่องกันจริงๆ
“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากกลับไปนอนที่บ้าน แล้วจะได้ไปเก็บทำความสะอาดบ้านด้วย”
“แม่บ้านก็มีจะกลับไปทำเองทำไม ไม่เข้าเรื่อง”
ผมเบ้หน้าใส่แมทที่เอาแต่ดุ บ้านของผม ผมก็อยากเก็บกวาดเอง พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเช้าด้วย จะได้นอนตื่นสายได้ อีกอย่างก็แค่กลับไปเก็บกวาดนิดหน่อย แค่อยากกลับไปนอนที่บ้านบ้างก็เท่านั้น
“นะแมท เย็นนี้ไปส่งด้วย”
“ตามใจ แต่วันนี้ตอนเย็นต้องไปเลือกชมรมก่อนนะ จะลงชมรมอะไร”
แมทหยิบกระเป๋าสะพายของผมไปถือก่อนจะเดินนำไปขึ้นรถ
“ลงชมรมเดียวกับแมทนั่นแหละ แล้วแมทจะลงอะไรล่ะ ชมรมบาสเกตบอลหรือเปล่า” ผมถาม ถ้าแมทลงชมรมบาสเกตบอลผมต้องแย่แน่ๆ ถึงผมจะดูเป็นคนอัจฉริยะนะ แต่เรื่องกีฬานี่ผมบอดเอามากๆ ทำได้อย่างเดียวก็แค่เต้นนั่นแหละ
“ชมรมถ่ายภาพ”
“งั้นเหรอ”
ชมรมถ่ายภาพก็ไม่เลวนะ
“ลงชมรมอาสาฯดีไหม หรือว่าชมรมพระพุทธดี”
“ฉันว่าชมรมดนตรีสากลน่าสนใจนะ หนุ่มๆนักดนตรีน่าคลั่งจะตายไป”
“พวกผู้หญิงเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าเนี่ย”
“ทำไมยะไอ้อาร์ม แกจะว่าอะไรฉัน”
“ก็จะว่าว่า...บ้าผู้ชายไง”
“ไอ้อาร์ม!”
ผมนั่งมองไข่ดาว ปลา แล้วก็อาร์มกัดกันไปมา ส่วนแชมป์กับก้านเดินไปซื้อขนมที่เซเว่นในมหาวิทยาลัย บ่ายนี้ผมว่างเพราะอาจารย์ไปประชุม เราเลยมานั่งตกลงกันว่าจะลงชมรมอะไรดี เพราะคณะผมบังคับให้เลือกชมรมด้วย ไม่ทราบว่าทำไม แต่พี่รหัสผมบอกมาว่าเด็กคณะอักษรฯไม่ค่อยทำกิจกรรมวันๆเอาแต่เรียน อยู่แต่กับตำรา เพราะการแข่งขันสูง ดังนั้นเลยมีกฎว่านักศึกษาทุกคนต้องมีชมรมอย่างน้อยหนึ่งชมรม และมีรายงานว่าได้เข้าร่วมชมรมที่ลงไว้อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้พวกผมถึงได้มานั่งเถียงกันเรื่องชมรม เพราะอยากจะลงชมรมเดียวกัน
“อย่างพวกเธอฉันว่าไปลงชมรมหมอผีดีกว่า ถ้าจะรุ่ง” อาร์มยังคงไม่เลิกแหย่เพื่อนสาวทั้งสอง
“มันมีที่ไหนล่ะไอ้บ้า ลงไปคนเดียวเถอะ!” ไข่ดาวแหวใส่ แต่อาร์มกลับหัวเราะร่าเหมือนถูกใจอะไรสักอย่าง
เพื่อนแต่ละคนนี่เรียกว่าเปลี่ยนไปจากวันแรกที่เจอกันมากๆ ผมคิดว่าอาร์มจะดูสุขุมมากกว่านี้เสียอีกถ้าหากมองจากรูปลักษณ์ภายนอก และดูจากการที่ได้เจอกันในวันแรก ส่วนเพื่อนสาวไข่ดาวและปลาก็แก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่ากว่าที่คิด อย่างนี้สินะที่เขาเรียกว่า ดูคนแต่ภายนอกไม่ได้
“มาแล้วจ๊ะหนุ่มๆสาวๆของฉัน” แชมป์เดินถือถุงขนมมานั่งลงข้างๆผม หยิบชาเขียวส่งให้ผมขวดหนึ่งก่อนจะแจกจ่ายคนอื่น
“ใครเป็นหนุ่มๆของแกไอ้แชมป์” อาร์มดึงถุงขนมไปจากมือแชมป์ก่อนจะลงมือคุ้ยหาอะไรกิน
“ไม่ใช้แกแล้วกันไอ้อาร์ม ฉันหมายถึงต้นหอมของฉันต่างหากล่ะ แกอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย” แชมป์สวนกลับ ทำเอาอาร์มอึ้ง หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มตบตีกัน(?)
“อ่ะ ซาลาเปาไส้ครีม” ก้านส่งซาลาเปาที่ผมฝากซื้อให้ ผมรับมาก่อนจะลงมือกิน รู้สึกหิวข้าวเพราะเมื่อตอนกลางวันได้กินข้าวไปนิดเดียว ตอนบ่ายนี้เลยหิว แต่จะไปกินข้าวอีกรอบก็คงไม่ดีเพราะอีกสองสามชั่วโมงก็จะเย็นแล้ว ไว้กินข้าวเย็นทีเดียวเลยดีกว่า
“ไอ้ราม!” อาร์มตะโกนเสียงดัง ผมเงยหน้ามองตามก็เจอกับรามที่เดินตรงมาโต๊ะผมด้วยท่าทีหงุดหงิด ก่อนจะทิ้งตัวนั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่
“เรียกเบาๆไม่เป็นหรือไง” รามมองอาร์มเขม่น ผมเพิ่งรู้มาไม่นานมานี่ว่านายรามคนนี้ไม่ชอบคนพูดเสียงดัง ยิ่งตะโกนด้วยแล้วยิ่งไม่ชอบ
“ก็มึงอยู่ไกลนี่หว่า แล้วตกลงว่าไงวะ”
“ไม่ว่าไง มึงอยากได้ก็ไปขอเอง กูไม่ช่วย”
“ทำงี้ได้ไงวะ”
“อย่ามาทำให้กูเดือดร้อน กูไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
“แหม ทำตัวเป็นคนดีนะมึง”
ผมนั่งฟังอาร์มและรามคุยกันในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไร เพราะผมไม่ได้อยากรู้หรอก เพราะมันไม่เกี่ยวกับผม ไว้เขานินทาผมก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
“ไอ้ต้น” รามเรียกผม เขาเรียกผมแบบนี้มาได้สักพักแล้ว แต่คนอื่นนี่ไม่กล้านะ
“อะไร” ผมถามกลับ
“ปากเลอะ เป็นเด็กหรือไงมึงเนี่ย”
ผมล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากให้เรียบร้อย แอบอายนิดๆเหมือนกันแหะ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจกับความโก๊ะของผมเท่าไหร่ ดีแล้วๆ >_<
“ต้นหอม เลือกชมรมหรือยัง” ก้านถามผมพลางเคี้ยวแซนวิชในมือไปด้วย
“เราคงลงชมรมเดียวกับแมทน่ะ” ผมตอบแล้วลงมือกินซาลาเปาของตัวเองบ้าง อืมม ซาลาเปาใส้ครีมนี่ของโปรดผมเลย อร่อยๆสุด ยิ่งกินร้อนๆนะ ยิ่งสุดยอด
“ชมรมอะไรเหรอ” ไข่ดาวยื่นหน้ามาถามผม สายตาแพรวพราวเป็นประกายด้วยความอยากรู้ แต่เป็นอยากรู้เรื่องของแมทมากกว่านะผมว่า ก็ไข่ดาวน่ะ บอกผมว่าชอบแมทมาก ก็สมควรล่ะ เพื่อนผมหล่อจะตายไป การที่มีสาวๆมาชอบแมทนี่ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
“ชมรมถ่ายภาพ” ผมตอบ
“ชมรมถ่ายภาพงั้นเหรอ แบบนี้ก็ต้องใช้กล้องอ่ะดิ ดูวุ่นวายจัง” ปลาทำหน้าคิดหนัก
“นั่นดิ กูไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยีอะไรเถือกนี้ด้วยแม่ง ไปลงชมรมดนตรีสากลดีกว่า”
“เออ กูลงด้วย”
ก้านและอาร์มดูท่าจะได้ชมรมที่ตัวเองต้องการ ส่วนแชมป์เห็นว่าจะไปเข้าชมรมภาษาอังกฤษ เหลือแต่สองสาวที่ยังคงตกลงกันไม่ได้ว่าจะเข้าชมรมอะไรดี จนได้เวลาที่ต้องไปเลือกชมรม แมทโทรหาผมก่อนจะบอกว่ารออยู่ที่หน้าคณะแล้ว วางสายเสร็จผมก็เก็บข้าวของใส่กระเป๋าก่อนจะเอ่ยลาเพื่อน
“เราไปก่อนนะ ไว้เจอกัน”
“อืม บาย”
ผมโบกมือลาน้อยๆก่อนจะรีบเดินไปที่หน้าคณะ แดดร้อนๆอย่างนี้ผมไม่อยากให้แมทรอนาน ยิ่งเป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่ด้วย
“รอนานไหม”
“ไม่ ไปกันเถอะ”
แมทเดินนำผมไปที่รถยนต์คันเก่งของเขาก่อนจะขับไปที่ตึกคณะนิเทศศาสตร์ เพราะชมรมถ่ายภาพเป็นของเด็กคณะนิเทศศาสตร์เอกภาพถ่าย เพราะฉะนั้นเราถึงต้องมาลงทะเบียนกันที่ห้องชมรมซึ่งอยู่ภายในคณะนิเทศศาสตร์แห่งนี้
“รู้เหรอว่าห้องชมรมอยู่ที่ไหน” ผมถามแมท
พอเดินเข้ามาในคณะนิเทศฯผมก็ต้องอุทานด้วยความอึ้งเบาๆ มีแต่คนดูดีทั้งนั้นเลย แอบเห็นแวบๆว่ามีดาราหลายคนเรียนคณะนี้ด้วย ไม่เหมือนคณะผมเลย คณะผมขึ้นชื่อว่าผู้หญิงเยอะมาก แต่ไม่ค่อยมีใครใส่ใจจะแต่งตัวเท่าไหร่ ทั้งๆที่หน้าตาดีก็เถอะ พอถามก็ได้คำตอบมาว่า
‘ในคณะมีผู้หญิงกับเก้งกวาง จะให้แต่งไปอวดใคร แค่ตื่นให้ทันมาเรียนก็บุญแล้ว’ นี่คือคำบอกเล่าจากพี่รหัสผมที่เรียนเอกภาษาอังกฤษ โทภาษาเยอรมัน วันๆเอาแต่นั่งอ่านโนเวลสองภาษาซะหัวแทบฟู
แต่พอมาเจอคณะนี้เข้า คนละอย่างเลยครับ แต่ละคนจัดเต็ม หน้าเป๊ะ ผมเป๊ะ ผู้ชายก็เนี๊ยบสุดๆ ผู้ชายแท้คณะผมที่มีไม่ถึงร้อยชีวิตรวมทุกชั้นปีนะครับไม่มีใครดูดีอย่างนี้สักคนเท่าที่ผมเห็น มีแต่ติสท์แตก ทำเหมือนกับว่าตัวเองอยู่คณะจิตรกรรมก็ไม่ปาน นึกทีไรก็ขำทุกที
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าห้องชมรมถ่ายภาพอยู่ที่ไหนครับ” แมทถามผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนจะเป็นอาจารย์และดูทรงคุณวุฒิในระดับหนึ่ง
“อยู่ตึกเพรชสามชั้นสอง เดินตรงไปทางนี้ เลี้ยวซ้ายก็จะเจอตึกเพชรสามแล้วจ้ะ”
“ขอบคุณครับ” แมทเอ่ยขอบคุณ ผมเองก็ก้มหัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณเช่นเดียวกันก่อนจะเดินไปตามทางที่อาจารย์บอก
ก๊อกๆๆ
แมทเคาะประตูห้องชมรมก่อนจะเปิดเข้าไป ผมเดินตามเข้าไปทีหลังพลางกวาดสายตาไปรอบๆห้องชมรมที่มีรูปติดเต็มฝาผนังไปหมด ก่อนที่สายตาจะมาหยุดลงที่ผู้ชายตัวสูงในเสื้อเชิ้ตสีดำสนิท นั่งอยู่บนโต๊ะชิดติดกำแพง เขาเงยหน้ามามองผมและแมทเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าสนใจกล้องในมือของตัวเอง
กึก!…
เท้าของผมชะงัก ก้าวไม่ออกไปชั่วขณะเพราะสายตาคู่นั้น...
เขา...คือคนที่ผมเจอในโรงอาหารวันนั้น
ผมคิดว่าเขาเรียนคณะวิศวะฯเสียอีก แต่ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย ไม่คิดว่าจะเรียนอยู่คณะนิเทศศาตร์ ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกที่ได้มาเจอเขาอีกครั้ง หลังจากที่คอยชะเง้อหามาหลายวันราวกับคนบ้า หลายครั้งที่แมทถามว่าผมมองหาใคร แต่จะบอกได้ไงเล่าว่ามองหาผู้ชายอยู่ >_<!
ใจของผมสั่นระรัวอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ได้แต่ยื่นบีบมือตัวเอง ก้าวเดินไปยืนข้างๆแมท มองเขาสลับกับมองที่อื่น ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่กล้าจ้องเขานานๆ ดูลึกลับ แต่ก็ดูน่ากลัวมากเช่นกัน
“ผมมาลงทะเบียนเข้าชมรมครับ” แมทเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่ในห้องทั้งหมดสี่คนลอยๆ ไม่ได้เอ่ยกับใครเป็นพิเศษ
“ไอ้เวฟ” คนหน้านิ่งตรงหน้าเรียกเพื่อนตัวเองด้วยท่าทีและน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนจะชี้นิ้วมาทางพวกผม พี่เขาไม่ได้พูดอะไร แต่พี่อีกคนก็สามารถรับรู้ได้ พวกเขาอาจจะเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนผมกับแมทก็เป็นได้
“มาลงชื่อในแฟ้มนี้” ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟากลางห้องเอ่ยขึ้น คนเดียวกับที่พี่คนหน้านิ่งที่ผมแอบมองเรียก ก่อนจะเลื่อนแฟ้มสีดำมาให้พวกผม
แมทเดินไปนั่งที่โซฟาตัวยาวที่ว่างอยู่ ผมเห็นดังนั้นเลยเดินไปนั่งข้างๆด้วย
“ชื่ออะไร” ผู้ชายคนเดิมเอ่ยถาม
“ชื่อแมท”
“แล้วเอ่อ...นายล่ะ” เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะทำสีหน้างงๆแล้วจึงถาม
“ต้นหอมครับ” ผมตอบ ก่อนจะค่อยๆช้อนสายตามองคนที่ยังคงง่วนอยู่กับกล้องตัวใหญ่ไม่ได้สนใจโลกอะไรเลย
“พี่ชื่อเวฟ ไอ้หัวแดงนั่นชื่อ ก้อง คนที่นอนหลับอยู่มันชื่อ เหนือ แล้วคนชุดดำหน้านิ่งนั่นเป็นประธานชมรมชื่อปืน ส่วนพี่เป็นรองประธาน อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รู้จักกันเอง คนในชมรมมีไม่เยอะเท่าไหร่หรอก” พี่เวฟเอ่ยแนะทำให้ผมรู้จัก คนที่ชื่อพี่ก้องหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะหันไปคัดเลือกรูปในกองต่อ
“แมท เขียนให้ด้วย” ผมกระซิบบอกแมท แมทก็พยักหน้ารับ ก่อนจะลงมือเขียนชื่อของผมลงไป
แมทชอบเล่นกล้องมากๆ แต่ดันเลือกเรียนวิศวะฯ ทั้งๆที่ทีแรกผมคิดว่าแมทจะเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์สาขาวิชาศิลปภาพถ่ายนี่เสียอีก
“ไอ้ปืน พรุ่งนี้ตกลงจะไปกี่โมง” พี่เวฟถามพี่ปืนที่ค่อยๆเงยหน้าจากกล้องขึ้นมามองพี่เวฟ
“ตอนเย็นๆ”
ใบหน้านิ่งๆกับคำพูดที่ติดจะแข็ง กลับมีเสน่ห์ดึงดูดผมได้อย่างดี ชื่อ “ปืน” ช่างเข้ากับบุคลิกแล้วก็หน้าตาอะไรได้อย่างนี้ ทั้งดุดัน ทั้งน่ากลัว จนไม่กล้าที่จะมองนานๆ
“เสร็จแล้วใช่ไหม ค่าเข้าชมรมก็หนึ่งร้อยบาท”
แมทควักเงินส่งให้พี่เวฟไปสองร้อย ผมที่เอาแต่มองพี่ปืนเลยหยิบไม่ทัน ไว้ค่อยให้ทีหลังแล้วกัน แต่เชื่อเถอะว่าแมทไม่มีทางเอาเงินของผมหรอก เป็นอยู่บ่อยๆไป ทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ก็หลายครั้ง ผมไม่อยากเอาเปรียบแมท แต่ก็ไม่เคยเถียงชนะเขาเลยสักครั้ง ผมก็เลยรู้สึกเหมือนตัวเองรวยตลอดเพราะวันๆแทบไม่เสียเงิน เมื่อมีโอกาสผมมักจะซื้อของมาทำขนมให้เขากินเสมอ ถือเป็นการตอบแทนไปในตัว
“วันที่ 22 นี้จะมีมีตติ้งชมรมที่ศาลากลางน้ำของคณะนิเทศฯตอนห้าโมงเย็น ถ้ายังไงก็มาร่วมกิจกรรมด้วยล่ะ”
“อืม/ครับ” ผมและแมทรับคำพร้อมกัน
“รายละเอียดเกี่ยวกับชมรมก็คงจะบอกในวันนั้น อย่าพลาดซะล่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็โทรมาที่เบอร์พี่หรือไม่ก็เบอร์ไอ้ปืนแล้วกัน” พี่เวฟชี้นิ้วไปที่กำแพงที่มีเบอร์มือถือสองเบอร์เขียนไว้อย่างเป็นศิลปะติดอยู่ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเซฟเบอร์ไว้ทันที
“เอ่อ ผมต้องการใบที่เข้าร่วมชมรมไปให้ทางคณะอ่ะครับ” ผมเอ่ย เพราะต้องมีหลักฐานไปให้ทางคณะเพื่อเป็นการยืนยันว่าผมมีชมรมอยู่จริงๆ ไม่ได้หลอกเล่นนะ
“อ่อ แปบนะ ไอ้ปืนหยิบใบคำร้องมาใบดิ” พี่เวฟหันไปสั่งพี่ปืน ที่ปรายมามองเพื่อนตัวเองแวบหนึ่งก่อนจะปรายตามามองผม ผมนี่ก้มหน้าหลบแทบไม่ทัน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลัวผู้ชายคนนี้นัก
ถึงแม้ว่าผมจะกลัว แต่ผมก็รู้สึกดีกับเขามาก ไม่งั้นใจผมไม่เต้นแรงแบบนี้หรอก ผมนี่ท่าจะเป็นเอามาก
“เดี๋ยวจะทำมาให้แล้วกัน อยู่อักษรฯสินะ ไว้มาเอาวันที่ 22 ได้ไหม”
“ได้ครับ”
ก็อีกแค่สามสี่วันเท่านั้น ยังไม่หมดกำหนดส่งใบเลือกชมรม
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ” แมทถาม
“อืม ไม่มีอะไรแล้ว”
“งั้นผมขอตัว” แมทลุกขึ้นเดินนำออกจากห้อง ผมมองไปยังพี่ปืนแวบหนึ่งก่อนจะเดินตามแมทออกไป แต่ด้วยความที่ผมเดินช้า เลยได้ยินเรื่องดีๆเข้า
“กูอยากกินราสเบอร์รี่พายวะ”
“ร้านนั้นอะนะ มันย้ายไปแล้วนี่ไอ้ปืน”
“เออ น่าเสียดาย”
“เสือกลิ้นทองไงมึง ร้านอื่นก็ไม่แดกด้วยนะ
“ไม่อร่อย กูไม่ชอบ”
“เป็นอะไรไป”
“...”
“ต้นหอม!”
“อ๊ะ! อะ..อะไรเหรอ” ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ความคิด หันไปมองแมทที่กำลังขับรถไปส่งผมที่บ้าน
“นั่งใจลอยนึกถึงใครอยู่”
“ปะ...เปล่าสักหน่อย” นั่งทางในหรือยังไงกัน ถึงได้พูดราวกับมานั่งอยู่ในใจผมอย่างไงอย่างงั้น ประมาทไม่ได้เลยกับคนๆนี้ จับไต๋ผมได้ตลอด แถมไม่เคยโกหกแมทได้สักที แบบนี้มันขัดใจนะว่าไหม
แมทเงียบไป แต่ก็คอยมองผมสลับกับถนนตรงหน้า
“ชอบเหรอ” อยู่ดีๆแมทก็โพล่งขึ้นมา ไม่มีประธานและกรรม มีแต่คำกริยาคำเดียวเท่านั้น แต่เชื่อไหมว่าผมรู้ว่าแมทถามใครและเอ่ยถึงใครอยู่
ผมบอกแล้วว่าแมทน่ะร้ายกาจ หรือว่าผมร้อนตัวเองกันแน่นะ...>_<
“ใคร ชอบอะไร เปล่าสักหน่อย”
แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมจำนนนะ ถ้ายังไม่มีหลักฐานมัดตัวเราก็ต้องตีหน้ามึนเล่าความเท็จไปก่อน เพราะเอาเข้าจริง ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าความจริงมันคืออะไร ผมชอบหรือไม่ชอบ ผมรู้สึกแค่ว่า...ผมรู้สึกดีที่ได้เห็นหน้าเขา มันก็เท่านั้นเอง