ตอนที่10
หลังจากวันนั้นผมตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ เข้าแลป กลับคอนโด นอน เหมือนวัฏจักรหุ่นยนต์ ส่วนพวกไอ้พิชผลัดกันมาหาผมที่คอนโดบ้าง ซื้อข้าวมาให้บ้าง มานอนค้างบ้าง มันบอกไม่อยากปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว ทั้งๆที่ผมบอกมันว่าอยู่ได้จริงๆ แต่มันกลับตอบมา
‘มึงเห็นสภาพตัวเองตลอดสาม-สี่อาทิตย์ที่ผ่านมาปะ เหมือนซากศพเดินได้ โทรมฉิบหาย กินข้าวไม่ถึงห้าคำต่อมื้อ กูเห็นแล้วสุดจะทนว่ะ อีกอย่างไอ้พวกแฟนคลับมึงถามกูทุกเช้าว่าเจ้าชายเป็นอะไร ไปๆมาๆเสือกโทษกูซะงั้นว่าไม่ดูแลมึง เวรกูอีกไง’
ส่วนพี่น้ำก็มาป้วนเปี้ยนในชีวิตผม โทรมาคุยทุกคืน คอยส่งข้าวส่งน้ำให้ถึงคณะ จนข่าวลือออกไปต่างๆนาๆว่าผมมีเจ้าของแล้วบ้าง เปลี่ยนรสนิยมแล้วบ้าง แต่ผมยังคงทำตัวเหมือนเดิม ใครเขาให้ทำอะไรก็ทำ ให้อะไรก็ยิ้มรับ ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะไม่ได้สดใสเหมือนเคยก็ตาม
“แลปกริ๊งหรือแลปกริ๊ดวะ กูอยากอ้วกตั้งแต่เห็นข้อสอบ”ไอ้คลื่นไส้ปาดน้ำตาบ่นงุ้งงิ้งหลังออกจากห้องสอบ
“มึงทำได้ปะ” บอสหันมาถาม
“ไม่รู้ดิ”
“ห่า มึงทำฐานคะแนนสูงลิบขนาดนี้ วิชานี้เสือกตัดเกรดอิงกลุ่ม คนอื่นเลยได้กันต่ำเพราะมึง ถ้ามึงทำไม่ได้ พวกกูคงดิ่งลงเหวละคราวนี้ เบลอสัด”ไอ้คลื่นหันมาแว๊ดใส่ผม
“กูก็เบลอว่ะ”
“มึงก็ทำไม่ได้เหมือนกันใช่ปะ”
“เปล่า อาจารย์คุมสอบแมร่งสวยฉิบหาย ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ถุยย ไอ้เนมมึงไม่รู้เหรอวะว่าอาจารย์คนนั้นเขาเป็นกระเทยโว้ย” พอคลื่นพูดจบ ไอ้เนมหน้าซีดกว่าตอนออกมาจากห้องสอบ
“เฮ้ย กูไม่เชื่ออะ ..ไอ้บอสมึงก็ไม่เชื่อใช่ปะ”
“ตอนแรกไม่เชื่อ แต่เมื่อวานก่อนได้ยินอาจารย์บอกรักไอ้ไอรักในห้องน้ำชายก็เลยเชื่อ”
“เชี่ยยยยยรักกกก!!!” ผมทำหน้ามึนๆไปให้มัน
“เงียบ! แล้วไปกินข้าวได้แล้ว” สิ้นเสียงไอ้บอส ทุกคนก็เดินขึ้นรถไอ้บอสไปอย่างเงียบๆ
…………………………...............................................
“ไอ้บอส มาขี่คอกูดิ” คลื่นพูดหลังจากที่เดินเข้ามาในโรงอาหารรวม ส่วนมากคนที่มากินจะเป็นวิศวะที่ใส่เสื้อช็อปกับมนุษยศาสตร์มากกว่า ทำให้คนเสื้อกาวน์สีขาวอย่างพวกผมเป็นจุดเด่นขึ้นมาทันตา
“อยากคอหัก?”
“งะ ก็มึงดูดิคนเยอะจนจะขี่กันได้ละ มึงชวนพวกกูมากินที่นี่ทำกึ๋นหมูอะไรวะ” มันหันไปถามไอ้เนม
“เดี๋ยวไอ้พวกพิชมากินด้วย มันคิดถึงลูกมัน” ว่าแล้วมันก็ปรายตาใส่ผม ชวนให้หมันไส้นะมึงนี่
“เออๆ ว่าจะไปเยาะเย้ยไอ้คิมถึงคณะเสียหน่อย หึหึ..เดี๋ยวกูกับไอ้เนมไปซื้อข้าวให้แล้วกัน มึงหาโต๊ะไปก่อน จะได้ไม่เสียเวลา”เมื่อวานไอ้คิมมันท้าไอ้คลื่นแข่งรถ หนึ่งต่อหนึ่งครับ แต่ดันแพ้เสียเอง ของเดิมพันก็คงไม่พ้นเรื่องผู้หญิง ผมก็นั่งดูอยู่ด้วยนั่นละ แต่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเหมือนคนอื่นที่ยืนเชียร์โหวกเหวกโวยวายข้างสนาม
“นั่งไหนดีวะคนเยอะสัด” บอสพูดแล้วขมวดคิ้วมองหาที่นั่ง อีกสิบนาทีถ้าไม่มีโต๊ะนั่ง เสี่ยบอสคงระเบิดลงชุดใหญ่แน่ๆ แต่คนก็เยอะอย่างที่พวกมันบ่นนั่นละ ปกติผมยิ้มจริงใจให้ใครคนไหนก็ตกหลุมพราง ลุกให้นั่งตลอด แต่ตอนนี้ยิ้มไม่ออกยังไงไม่รู้ เพราะเสียงไอ้พัตมันเข้ามาในโสตประสาท...
“อ้าวเจ้าชาย ไปอยู่ไหนมาวะ ไม่ได้เจอนานเลยนะโว้ย” ผมหันไปยิ้มฝืนๆให้มัน ใจกระตุกไปเล็กน้อย ถึงผมจะพยายามมองหน้าพัตอย่างดียว แต่หางตาดันเห็นว่ามันมองมาทางนี้ มันคงถอดเฝือกอ่อนแล้วสินะ ..ดีแล้วล่ะ
“เดี๋ยวนี้ติดหญิง เอ้ย หรือว่าติดชายวะ ได้ข่าวว่าชื่อน้ำอะไรนั่นปะ ฮิ้ววว” ไอ้แว่นแซวขึ้น ผมยิ้มรับให้กับข่าวลวง
“ไม่มีโต๊ะนั่งกันเหรอคะ มานั่งกับสาก็ได้มา อิอิ”
คนน่ารังเกียจอย่างผม คงไม่อยู่ให้ใครรำคาญใจหรอก อยากจะตอบไปอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
แต่ทุกคำพูดที่อยากจะพูดออกมามันจุกอยู่ที่คอ
“โถอีสา ทีกับกูละตบเอาตีเอา แรดจริงๆมึงนิ”
“พวกมึงหุบตูดไปเลยไอ้มัด ไอ้สา นั่งเลยเจ้าชาย”
“อ่อไม่ดีกว่าครับ..ไปกินหน้ามอแล้วกันบอส” ผมตอบโฟ่ก่อนหันไปบอกบอสที่ทำหน้าโหดจ้องเกียร์เขม็ง ผมรู้ว่าพวกมันห่วงผมทุกคน ผมกระตุกข้อมือบอสเบาๆก่อนมองมันด้วยสายตาอ้อนวอน ไม่อยากให้มีเรื่องกัน เพราะผมก็..ยังห่วง..มันเหมือนกัน
“ไปเถอะ” ก่อนที่ใจผมจะเจ็บไปมากกว่านี้ ผมบอกมันต่อในใจ ไอ้บอสโทรบอกเนมว่าเปลี่ยนไปกินหน้ามอจากนั้นก็เดินไปรอมันแถวลานจอดรถ
หมับ!!
“เดี๋ยว” เสียงทุ้มที่..เคย..คุ้นเคยดังขึ้นให้รู้สึกเจ็บแปลบๆที่อกพร้อมมือใหญ่รั้งแขนผมเอาไว้จากข้างหลัง
อย่า
อย่าทำให้ผมคิดไกลไปมากกว่านี้
ได้โปรด
อย่าทำร้ายใจกันไปมากกว่านี้เลย
ผั๊วะ!!
“ไสหัวของมึงไปซะ!” เสียงหมัดไอ้บอสกระทบเข้าหน้า มันเซถอยจนเกือบล้ม เลือดติดอยู่มุมปาก ทำเอาใจผมแทบขาด มันสวนหมัดเข้าหน้าบอสอย่างไม่ยอมกัน ผมยืนนิ่งไร้เรี่ยวแรงที่จะก้าวเมื่อเห็นหน้าแสนคิดถึงมาตลอดหลายอาทิตย์ จนพวกไอ้เนมไอ้พิชวิ่งเข้ามาห้ามก่อนที่จะแย่ไปมากกว่านี้
“เฮ้ย หยุด ไอ้บอสหยุดโว้ยย” ไอ้คิมดึงไอ้บอสมายืนข้างตัว ส่วนไอ้คลื่นดันตัวมันให้ห่างจากกัน แววตาดุดันของมันตอนนี้ที่ผมเคยเห็นเป็นครั้งแรกจ้องไปที่ไอ้บอสอย่างไม่ละสายตา
“เกียร์ มึงมีอะไร” ไอ้ไทป์ถาม เจ้าตัวไม่ตอบแต่กลับหันมาพูดกับผม
“ไอรัก เกียร์อยากคุยด้วย ..แปบเดียว”
“โหไอ้สัด ล่าสุดใครไล่เพื่อนกูอย่างกับหมูกับหมาวะ แล้วเสือกขอเวลาเพื่อนกูแปบเดียว ค-ย!!” ไอ้เนมทำท่าจะวิ่งไปต่อยมัน แต่ไทป์ห้ามเอาไว้
“เพื่อนกูเคยให้โอกาสนั้นแล้ว โอกาสที่จะให้มึงตัดสินใจ แล้วตอนนี้เพื่อนกูก็รู้แล้ว ว่าคำตอบมึงคืออะไร ดังนั้นมึงจะขอมันอีก พวกกูคงให้ไม่ได้ ไม่ใช่แค่ตอนนี้..แต่มันคือหลังจากนี้ด้วยต่างหาก”หลังจากนี้หมายความว่าอะไร ไทป์กับมันสบตากันนิ่งปล่อยให้คนอื่นมองกันงุนงง
“นี่มันเรื่องกูกับไอรัก มึงอย่ามายุ่ง!”
“ใช่ มันเรื่องของไอ้รัก แต่ไอ้ไอรักมันคือเพื่อนกู แล้วกูก็รู้ด้วยว่าตอนนี้มันอยากจะไปไกลๆจากตรงนี้ ใช่ไหมไอ้รัก” ผมสะดุ้งเพราะพวกมันเล่นหันมามองผมทุกคน ผมมองหน้ามันที่รอคำตอบด้วยความหวังก่อนหยักหน้า รีบหันหลังให้กับสีหน้าตัดพ้อไม่ต่างอะไรกับตอนที่ผมมองมันจากไปคราวนั้น..ผมกลัว ผมไม่อยากเจ็บเหมือนครั้งก่อน
“เมื่อกี้ที่มึงบอกหลังจากนี้หมายความว่าไงวะ” ตอนนี้พวกผมไม่มีอารมณ์จะไปไหนแล้ว พวกมันจึงยกโขยงมาคอนโดผมกัน ผมนั่งนิ่งหลับตาให้อารมณ์สงบอยู่บนโซฟาตัวใหญ่หน้าทีวีที่ไอ้เนมเปิดช่องการ์ตูน ส่วนอาหารมื้อนี้คงต้องพึ่งคลื่นกับบอส ไอ้คลื่นมันทำอาหารเก่ง ส่วนไอ้บอสทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแต่เสือกโดนอ้อนให้ไปช่วยในครัว มันก็ต้องไป เพราะเดี๋ยวมันจะโดนไอ้คลื่นงอนจนไม่ได้กินอีก ไอ้พิชกับคิมลงไปซื้อเหล้าบุหรี่ข้างล่างสักพักก็ขึ้นมาตั้งวงเหล้า พอดีกับคลื่นทำอาหารเสร็จ
“หึ หลังจากนี้ชีวิตไอ้รักคงต้องโดนรังควานจนกว่าใครสักคนจะหมดความอดทนไงละ” ไทป์พูดขึ้น พลางกระดกเหล้าเพียว
“ยังไงวะ” ผมถามมันไปงั้น ทั้งที่ในใจไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้นแล้ว ขณะที่คนอื่นทำหน้าเหมือนถึงบางอ้อกันแล้ว
“ช่างแมร่งเหอะ เอาเป็นว่ากูดูมันออก”
“มึงอะเฉยๆไปเลยเถอะไอ้รัก” อ่าว อ๋อ นี่มันคือเรื่องของมึงสินะ ไม่ใช่เรื่องของกูหรอก ไอ้เชี่ยยย กูยิ่งนอยอยู่
“แต่กูไม่อยากได้ไอ้เหี้ยเกียร์มาควบตำแหน่งนี้วะ แมร่งจะใครก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้ห่านี่อะ” ไอ้คิมทิ้งหัวแรงๆก่อนทำหน้ามุ่ย
“ถ้ามันใจตรงกันจริงๆ มึงก็หยุดพวกมันไม่ได้ อะไรที่ควรสนับสนุนก็ควรทำ..เอาเป็นว่าตอนนี้เราเล่นเป็นตัวร้ายคอยกีดกันพวกมันก็แล้วกัน หึหึ” ไทป์พูดกับไอ้คิมแล้วกันไปพูดกับทุกคน ทิ้งให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียว
-Let the skyfall, when it crumbles, we will stand tall Face it all together…-
“ครับพี่น้ำ” พวกมันหันมามองผมก่อนยิ้มกรุ้มกริ่มชั่วๆให้กัน ผมเห็นแล้วขนลุกยังไงไม่รู้สิ
‘อยู่ไหนครับน้องไอรัก พี่ไปหาไม่เจอเลย คิดถึ๊งคิดถึงงะ’ เสียงเล็กๆสดใสลอยมาตามสาย อดถามตัวเองไม่ได้ว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่นะ
“อยู่วงเหล้าครับ”
'โห กินแต่วันเลยเหรอ ไม่ดีมั้ง ระวังคุณหมอจะต้องมารักษาตัวเองนะ คริคริ'
“โหพี่ครับ ผมยังไม่เป็นหมอนะ เป็นแค่นิสิตแพทย์ต๊อกต๋อยเอง”
'น้องไอรักเก่งอยู่แล้ว พี่เชื่อนะว่าน้องไอรักต้องเป็นหมอที่ดีได้แน่ๆ' เสียงเล็กจริงจังขึงขังขึ้นมาทันที ผมอดยิ้มตามไม่ได้ คุยไปสักพักรู้สึกเหมือนคุยกันหลายคนยังไงไม่รู้ ก็เพื่อนผมแทบจะเอาหูแนบโทรศัพท์อยู่แล้ว ผมจึงตัดบทวางสายไป
“ห่า เสียงน่ารักฉิบหาย หน้าตาก็จิ้มลิ้ม” เสียงไก่กายุยงเสียงดัง
“เออ บอบบาง น่าทะนุถนอมเป็นที่สุด หึหึ” พิชพูด
“ตะเอง เค้าคิดถึ๊งคิดถึงงะ กร๊ากก” ไอ้เนมตาม
“ว่าแต่พี่น้ำนี่เขาก็ดีนะไอ้รัก ถามจริงเหอะ มึงไม่สนใจเขาเลยเหรอวะ”
“...พวกมึงก็รู้คำตอบนั้นดี” ผมตอบคิมแล้วทิ้งตัวหลับตาลงนอนโซฟาตัวเดิม
......................................................................................
“อนาโตมี่ร้ายกาจจจมาก” ไอ้คลื่นบ่นหลังออกจากห้องสอบเหมือนเคย มึงกะบ่นทุกวิชาที่สอบใช่ไหม
“เออแมร่ง ตอนบ่ายก็มีเรียนอีกตัว หัวกูจะแตกอยู่แล้วโอยย” เมื่อมีไอ้คลื่นบ่น ตัวสนับสนุนอย่างไอ้เนมก็ต้องบ่นตาม
“ฮืออแดกข้าวเหอะ หิวว่ะ”
“มึงควรหยุดบ่น แล้วไปกินข้าวได้ตั้งนานละ มัวแต่บ่นอยู่แบบนี้โรคกระเพราถึงได้ถามหา” ไอ้บอสหันไปดุคลื่น
“งือ ...แต่เมื่อกี้กูจะบ้าจริงนะโว้ย ออกมาฆ่านิสิตหรือไงวะ บลา บลา บลา..”มันบ่นงุ้งงิ้งให้ไอ้บอสที่ปิดรับทุกประสาทฟัง
“ไอ้รัก แล้วไอ้เชี่ยเกียร์ได้มาหามึงบ้างหรือเปล่าวะ” จู่ๆไอ้เนมหันมาถาม เท้าผมชะงักก่อนหลบตากลืนน้ำลายตอบมัน
“..มันจะมาสนใจคนอย่างกูได้ไง” หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสี่วันแล้ว แต่มันเหมือนพึ่งเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเมื่อวาน ชัดเจนไม่เคยเลือนลาง
“เฮ้ย กูขอโทษ อย่าหงอยดิวะ แมร่งไม่ใช่มึงเลยอะ ใครไม่สนใจมึงไม่เป็นไร มีพวกกูอยู่ก็ไม่ต้องเหงาแล้วสาด มาๆเดี๋ยวมื้อนี้กูเลี้ยงมึงเอง แถมนมช็อคด้วยเลยอะ เอ้า ยิ้มหน่อยยย”
“หึ”ผมยิ้มแสยะไปให้มันก่อนที่มันจะเบ้หน้าอย่างบิดเบี้ยว
“...แต่กูว่ากูไม่ได้เลี้ยงมึงแล้วว่ะ ไอ้เหี้ยโย่งนั่นยืนหัวโด่แต่ไกล”
“อะไร” ผมมองตามมือที่ไอ้เนมที่ชี้ผู้ชายร่างสูงชุดช็อปใส่แว่นกันแดดสีชายืนกอดอกพิงต้นไม้อยู่ไกลๆเป็นที่สนใจของเด็กแพทย์ที่เดินผ่านไปมา พอดีที่มันหันมาแล้วสาวเท้ามาทางนี้
“กูไปก่อนนะ” ผมเดินเดินเร็วหนีไปอีกทาง หันหลังไปมองมันที่จะวิ่งตามมาแต่โดนไอ้พวกเนมกระชากตัวเอาไว้ก่อนที่จะเดินอ้อมไปยังลานจอดรถข้างตึกด้วยใจเต้นไม่เป็นจังหวะเท้า เท้าวิ่งหนี แต่หัวใจหนีมันไม่เคยพ้นเลยสักที
.............................................................................
หลังจากวันนั้นมันก็ตามมาหาผมทุกวัน ทุกที่ไม่ว่าผมจะกระดิกตัวไปไหน แต่แปลกที่มันคลาดกับพี่น้ำเสมอ ไม่เคยมาตรงกันเลยสักที พวกไอ้เนมก็คอยกันท่าไม่ให้มันเข้าใกล้ผม มันจึงไม่เคยถึงผมเลยสักครั้ง วันนี้พี่น้ำนัดทานข้าวเย็นกับผมที่ห้างดังแถวพระรามเก้า
“พี่น้ำอยากทานอะไรครับ” ผมถามตามมารยาทเหมือนถามคนอื่นๆที่เคยมาทานข้าวด้วยกัน แต่สายตาคนอื่นคงมองว่า เทคแคร์เอาใส่ใจดีเกินจนเป็นมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แล้วผมรู้ว่าคนอื่นคิดแบบนี้ได้อย่างไรน่ะเหรอ ก็พวกเดอะแกงค์ผมไงล่ะ
“เค้าอยากกินอาหารญี่ปุ่นอะน้องไอรัก นะนะ” พี่น้ำส่งสายตาวิ้งๆ ท่าจะอยากกินจริงๆ ผมรู้สึกเอ็นดูจึงเผลอยกมือลูบหัวพี่เขา แต่ก็ต้องชะงักดึงมือออก ขอโทษขอโพยใหญ่ เพราะยังไงเขาก็มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่
“ขอโทษครับพี่น้ำ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร เอ่อ มันก็อบอุ่นดี .. ถ้าเป็นคนอื่นพี่คงถีบไปแล้วนะนี่ คริคริ” ประโยคหลังทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ เกาแก้มยิ้มแหยะๆ แต่ทำให้คนตรงหน้าแก้มแดงเป็นตูดลิงเสียอย่างนั้น
“อ้ะ เอ่อ ..ปะ..ไปทานข้าวกันดีกว่าเนอะ” พี่น้ำว่าแล้วก็จูงมือผมเข้าไปร้านอาหารญี่ปุ่น
“โห อยากกินทั้งชุดแซลมอน ทั้งเซ็ทซูชิเลยอะ เลือกไม่ถูกทำไงดี” พี่น้ำคิ้วขมวดให้เมนูจนพนักงานยิ้มขำให้พี่น้ำก่อนทำตาประกายแพรวพราวให้ผม
“ก็สั่งทั้งสองอย่างสิ ป๋าอยู่ตรงนี้แล้วจะกลัวอะไรครับพี่”ผมพูดหยอกเล่น เพราะกี่ทีๆผมก็จ่ายทุกครั้ง จะกังวลไปทำไมวะ
“โหป๋าจะพุงยุบก่อนน่ะสิ เดี๋ยวจะสั่งให้ขนหน้าแข้งร่วงเสียเลย กินสองอย่างแล้วมันกินไม่หมดอะ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง”
‘เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง’งั้นเหรอ
แล้วถ้าสิ่งที่เลือก ไม่ได้เลือกเราล่ะ
“..ไอ...ไอรัก ไอรัก! เป็นอะไรอะ” ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ เพราะเสียงเรียกและมือเรียวสัมผัสแถวแก้มด้วยคนตรงหน้า
“เปล่าครับๆ สั่งมาสองอย่างแล้วกัน เดี๋ยวผมช่วยทา....” ยังพูดไม่จบประโยคก็มีมือตบโต๊ะดังปึง! พร้อมเสียงหอบเหมือนวิ่งมา
“ไม่ต้องสั่งอะไรทั้งนั้น มานี่เดี๋ยวนี้!” มันกระชากแขนผมออกจากร้าน
มะ..มาได้ยังไง?!
“เดี๋ยว! นายจะพาน้องไอรักไปไหน เขามากับพี่นะ!!”
“นี่แฟนกู! จะพาไปไหนก็เรื่องของกู มึงกลับไปหาแฟนเก่ามึงเลยไป!” มันตะคอกหยาบคายใส่พี่น้ำเสียงดัง ไม่สนใจใครจะมองไม่ดี
แฟน?????????
อะไรวะเฮ้ยย
“หยาบคาย!นายอย่ามามั่ว น้องไอรักไม่เอานายหรอก คะ..คิดว่าร่างใหญ่กว่าแล้วคนอื่นจะกลัวหรือไง” พี่น้ำตะกุกตะกักตอนที่เกียร์ง้างมือขึ้นเหมือนจะต่อย แต่ผมดึงแขนอีกข้างที่ไม่ได้จับผมไว้ มันมองคิ้วขมวดน่ากลัวก่อนหันไปบอกพี่น้ำด้วยน้ำเสียงเย็น
“ทำไม! ถ้ามาขวางกู จะเป็นผู้หญิงหรือเกย์ ผู้ชายห่าเหวอะไร กูก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น กูขอเตือนไว้ตรงนี้ อย่า-มา-ยุ่ง-กับ-แฟน-กู-อีก” มันว่าแล้วฉุดแขนผมแรงให้หยุดอยู่ในซอกเล็กหน้าประตูสำหรับพนักงาน มันดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นอย่างถวิลหา
“ปะ ปล่อย.. ปล่อยได้แล้ว” ผมเริ่มได้สติ พยายามดันตัวให้ห่างจากวงแขนแกร่ง ก่อนที่ตัวเองจะคิดไกลไปกว่านี้
“ไม่! ขอเถอะไอรัก คุยกันก่อน อย่าหนีกันแบบนี้ ตอนนี้กูเหมือนจะบ้าตายอยู่แล้ว” มันซุกหน้าเข้ากับซอกคอพร้อมพูดเสียงสั่นออกมาให้ใจผมสั่นคลอน
“หึ แต่คุณคงรู้สึกไม่ถึงครึ่งที่ผมรู้สึก” เกียร์สะอึก ผมจึงพูดต่อ
“คุณต้องการอะไรอีก แค่นี้ยังทำร้ายกันไม่พออีกใช่ไหม หรือต้องให้ผมกลับไปจมปลักอยู่กับคนที่ผลักไสตัวเองต่อไป ผมผิดเอง ผิดที่ไปตื้อคนที่เขาไม่ได้รัก ผม...”
“ไม่! ไอรัก ไม่ใช่ เกียร์ขอโทษ ..กูผิดเอง ที่พูดทำร้ายจิตใจมึงวันนั้นเพราะกูน้อยใจ กูไม่คู่ควรกับมึงเลยสักนิด ยิ่งเห็นมึงอยู่กับไอ้พี่หน้าอ่อนแล้วกูรู้สึกว่ามันเหมาะสมกว่าที่จะมาเดิน มาอยู่ใกล้ๆกับคนอย่างกู กูกลัว กูไม่กล้ายอมรับความจริงว่าต้องโดนคนอื่นมองเพราะเพียงแค่คำนิยามว่าเป็นเกย์”
“...ผมเข้าใจว่ามันยากที่จะยอมรับ ยากที่จะเปลี่ยนแปลง เกียร์ไม่จำเป็นต้องยอมรับมันหรอกครับ ถ้าคิดว่าทำเพราะความสงสาร” ความรู้สึกนั้นผมเคยรู้สึกมาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันง่ายๆ ผมเคยคิดว่าต้องแปลกแยกในสังคม แต่ความรักมันเป็นสิ่งสวยงาม ไม่ได้จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพียงแค่สังคมเป็นตัวกำหนด แต่จะมีอีกสักกี่คนที่คิดแบบนี้ได้ หนึ่งในนั้นคงไม่ใช่มัน.. ไม่ใช่เกียร์
“ไม่ กูเคย กูเคยแล้ว มันไม่มีความสุข กินไม่ได้นอนไม่หลับ มันเป็นอะไรไม่รู้ ยิ่งไม่เจอหน้าไอรัก เกียร์กระวนกระวายเหมือนจะเป็นบ้า แค่คิดว่าในสายตาไอรักไม่มีเกียร์ เกียร์ก็ทนไม่ไหวแล้วไอรัก ไม่เอาแล้ว เกียร์ทนไม่ได้จริงๆ ไอรักเข้าใจเกียร์ไหม”
“…”
“ตอนนี้เกียร์เลือกแล้ว ต่อให้ใครจะมองยังไง แต่ถ้ามีไอรักอยู่ข้างๆ เกียร์ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น” เกียร์ผละตัวออกมาเล็กน้อย มือทั้งสองประคองต้นแขนผมอย่างทะนุถนอม สายตาอ้อนวอนและจริงจังจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของเขา ไอรักละสายตาไปจากดวงตาสีเข้มคนนี้ไปไม่ได้เช่นกัน ...อย่าไขว่เขวนะใจ ตอนนี้มันกำลังจะใจอ่อนให้ผู้ชายน้ำแข็งคนนี้
“เกียร์ขอโทษ”
“…”
“ให้โอกาสเกียร์อีกครั้งได้ไหม”
“…”
“นะครับ... นะ ไอรัก” เกียร์แหว่งทั้งสองมือของผมอย่างเอาใจ น้ำเสียงออดอ้อนและทำหน้าเหมือนลูกหมา(ตัวโคตรใหญ่)หูตก ผมเกือบหลุดยิ้มออกมา แต่ต้องพยายามตีหน้านิ่ง
“...แต่เกียร์จะไม่มีอัลบั้มรูปแต่งงานให้ดูตอนแก่” ผมเม้มปากแน่นหลบสายตาคู่นั้นก่อนพูดน้ำเสียงแสร้งแข็งกร้าว แต่ความหมายของคำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเริ่มใจอ่อนแล้ว คนฟังยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกที่เห็นมันยิ้มทั้งตาและปาก ดูเหมือนใจมันคงพองโตขึ้นมากว่าเมื่อกี้หลายเท่าตัว
“ถ้าไอรักอยากถ่ายรูป เอาไว้ไปสตูดิโอบ้านไอ้สามันก็ได้” ฟวยย กูพูดเฉยๆอะ เข้าใจหรือเปล่า มึงต้องอยู่กับกูไปอีกนาน เราแต่งงานกันไม่ได้นะโว้ย
“จะไม่มีลูกให้เลี้ยง”
“เกียร์เกลียดเด็ก” เกียร์สวนขึ้นทันควัน
“ไม่มีหลานให้วิ่งบนสนามหญ้าหน้าบ้านนะ”
“แต่มีตาแมวแก่กับไอ้เฒ่าน้ำแข็งนอนกอดกันกลิ้งอยู่บนสนามหญ้าสองคนไง”อ้าวไอ้เชี่ยนี่ มึงคิดไปไกลลลลลเนอะ อย่างนี้ผมก็คงมีหน้าที่เดียว
ก็เขินน่ะสิครับ!!!!!!!
“เกียร์..เอ่อ คิดดีแล้วเหรอ ว่าจะมาจมปลักอยู่กับผมที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง”
“หึหึ ตัวเองเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอย่าดูถูกตัวเอง ทำไมคราวนี้ทำไมถึงเป็นเองละ..แล้วที่เกียร์เป็นไม่ได้เรียกว่าจมปลัก เขาเรียกว่าตกหลุมที่ไอรักเป็นคนขุดไว้เข้าไปเต็มๆเลยต่างหาก” มันกระซิบก่อนจูบใบหูผมเบาๆชวนให้สยิว
“หละ..หลุมอะไร ผมไม่เคยขุดเหอะมั่วแล้ว ผมคนนะไม่ใช่ตัวตุ่น” ผมเอียงคอหลบมัน ปากพูดแว๊ดๆกลบแก้เขินอย่านะมึง ถ้าตัวตุ่นตัวนี้เกิดอารมณ์ขึ้นมา แล้วมึงจะหนาว
“หึหึ ไอ้แมวน้อยเอ้ย ..ให้โอกาสเกียร์นะครับ หลังจากนี้เกียร์จะทำให้ไอรักมีความสุขที่สุด ถึงแม้ว่าเกียร์จะไม่สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เพราะอนาคตมันไม่เคยแน่นอน แต่เกียร์จะอยู่ดูแลไอรักให้นานที่สุด” ผมจ้องนัยน์ตาสีเข้มนิ่ง สายตามันแสดงถึงความจริงใจออกมา มีคนเคยบอกว่าตาคนไม่เคยโกหกใคร มันคงจะจริง และผมก็เชื่อสายตาที่มันพยายามสื่อ ผมยิ้มให้มันแทนคำตอบ มันยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนก่อนโน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้น ผมหลับตารอสัมผัสจากริมฝีปากที่แสนรักใคร่และคิดถึง..
กริ๊ก!!
“อุ้ย ขะ..ขอโทษค่ะ” แม่บ้านเปิดประตูออกมาเห็นผมกับเกียร์ก็ตาโต มือปิดปากแน่น ก่อนหันหลังปิดประตูดังเดิมเดี๋ยวป้า!! อย่าพึ่งไป ผมไม่ได้(ตั้งใจ)ทำอนาจารในห้างนะ!!ตายห่า กูจะโดนจับไหมวะนี่ ฮือออ ไอร๊ากกก ชีวิตเอ็งนี่มันน่าสงสารเสียจริงเอย ขณะที่ผมกำลังสติแตก มีมือใหญ่สัมผัสบนกระหม่อมอย่างนุ่มนวล ผมเงยหน้ามองหน้าเกียร์ที่มองมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เราอมยิ้มให้แก่กันก่อนที่ผมจะเบี่ยงประเด็นแก้เขิน
“หิวงะ”
“เหมือนกัน ...มัวแต่มองไอรักกับไอ้รุ่นพี่บ้านั่น” มันบ่นงึมงำๆหน้ามุ่ย
“หืม? อะไรนะครับ”
“เปล่า อยากกินอาหารไทย ไม่เอาญี่ปุ่น” มันง้องแง้งใส่ผม เอ่อ.. ให้ตายเหอะ ยิ่งรู้จัก มึงยิ่งแอ๊บแบ๊วขึ้นเรื่อยๆนะหอกหัก สงสัยคงฝังใจกับร้านญี่ปุ่นแล้วมั้งนี่ ก็ดีแล้วล่ะ หน้าโคตรไทยแต่เข้าร้านอาหารต่างชาติก็ไม่เข้ากันหรอก เหอะๆ นี่ถ้ามันได้ยินความในใจผม ก็เตรียมข้าวต้มและจองศาลาให้ไอรักคนนี้ด้วยนะครับทุกคน....
..............................................................................
“ไปมอเตอร์ไซค์เกียร์นะ”
“อ้าวแล้วรถผมอะ”
“เดี๋ยวให้ไอ้เนมาเอาให้ก็ได้ มันอยู่คอนโดเดียวกับเกียร์” ไอ้เนก็คือไอ้แว่นนั่นล่ะ
“?????” ผมทำหน้างงใส่มัน มันเกี่ยวอะไรครับนี่ท่านผู้ชม
“วันนี้ไปนอนด้วยกัน...นะ” มันทำเสียงอ้อนใส่ผม เล่นเอาผมอ้าปากค้าง ตัวมึงไม่ใช่เล็กๆนะเฮ้ย!! นี่เกียร์วิศวะไฟฟ้าที่เคยรู้จักเหรอวะ ทำไม.........ทำไม.........น่ารักจังวะ แอร้ยยยยยยย อิ_อิ
“ทำไมอะครับ”
“..ก็มันคิดถึงอะ” ตอนนี้ไม่ใช่แค่อ้าปากค้างแล้วครับ ตาโตเหมือนเห็นผี ตายห่า ใจผมกระเด็นไปอยู่ที่ทางช้างเผือกหรือยังวะ คุณเล่นพูดแบบนี้ผมใจสั่นนะโว้ย ตอนนี้แก้มเป็นลูกมะเขือเทศแล้วแน่ๆ ผมกัดริมฝีปากไว้ไม่ให้มันคลี่ยิ้มออกมา แต่ไม่วายทำให้คนตรงหน้าเห็น หัวเราะหึหึอย่างหมั่นไส้ ก่อนหันมากัดขบแก้มนุ่มเบาๆอย่างหมันเขี้ยวแล้วบอกกับคนตรงหน้าให้ยิ้มกว้าง
“ชอบอะ ไอ้แมวน้อยแก้มแดง”
อนาคตไอรักจะเป็นโรคหัวใจไหมครับทุกคนนนน
TBC-------->>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>