ตัวผมชาวาบ มือไม้ก็สั่นจนต้องกุมกันแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว.....พยายามตั้งสติว่า
ผมได้ยินถูกแล้วใช่ไหมที่คุณย่าบอกว่ารู้เรื่องของผมกับพี่นิว
.....เรื่อง....ที่ไม่ต้องระบุว่าเรื่องอะไร
ผมยิ่งก้มหน้างุดเหมือนจะให้ตัวเองจมหายลงไปในเบาะเก้าอี้ที่นั่งทับอยู่
น้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่บอกอารมณ์ใด ๆ ทำให้ผมประเมินไม่ถูกว่า
ตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไหน
“มาพี่นิว....มานั่งเป็นเพื่อนน้องก่อน ย่าว่าจะคุยกันตามลำพัง
แต่ก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจะไม่คุยกับย่าแล้วนั่น”
ผมปรายตาลงต่ำมองเห็นแค่ปลายขากางเกงพี่นิว เพราะยังไม่กล้าพอที่จะเงยหน้าขึ้นมา
ได้ยินเพียงเสียงวางของลงบนโต๊ะตรงหน้า จากนั้นสองเท้าก็ก้าวเข้ามาใกล้ผม
แล้วทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากคุณย่า
ทำให้ผมแอบเงยหน้าขึ้นมองนิดหนึ่ง
พอสบตากับคุณย่าที่จ้องผมเขม็ง ก็ต้องรีบหลบ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนผิดบาป
ที่ทำให้ผู้ใหญ่อย่างคุณย่าต้องหนักใจ ไม่สบายใจ.......แต่
.......คุณย่าครับ.....ผมรักพี่นิว เรารักกัน อยากใช้ชีวิตร่วมกัน
.........ผมต้องทำยังไง คุณย่าถึงจะเข้าใจ
“ตอนแรกที่รู้ย่าโกรธมาก...รู้ตัวใช่ไหม.........
ย่าแค่ให้นั่งเป็นเพื่อนกันนะพี่นิว ไม่ต้องจับไม้จับมือกันขนาดนั้นก็ได้”
ท้ายประโยค น้ำเสียงคุณย่าเขียวปั้ด ชวนให้สะดุ้ง แทนที่จะเป็นคนที่ถูกดุดึงมือตัวเองกลับไป
กลับเป็นผมที่ค่อย ๆ รูดมือตัวเองออกมา แล้วพี่นิวก็พูดขึ้นมาเสียงอ่อยออกหน้าให้ผม
“ย่าอย่าดุสิครับ กลัวจนตัวสั่นหมดแล้วเห็นไหม”
“ดี...ที่รู้จักกลัวเสียบ้าง ทำอะไรกันเอาไว้ ก็น่าจะรู้ว่ามันไม่ถูกไม่ควร”
ปริ่ม ๆ อยู่ตรงขอบตาแล้วล่ะครับ ผมไม่ได้อยากทำสำออยร้องไห้เป็นแต๋วแตก
แต่เข้าใจผมนะ ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันบีบคั้นหัวใจจริง ๆ
“มันยากนะ ที่จะให้คนแก่อย่างย่ายอมรับเรื่องของเรา เรื่องที่จะอับอายผู้คนนั่นก็ต่างหาก
แต่ที่ย่าเสียใจก็เพราะพี่นิวเป็นหลานคนโตของย่า ย่าก็หวังว่าจะให้สืบสกุล
มีลูกมีหลานให้ย่าอุ้มเล่นบ้าง”
น้ำตาเม็ดเป้งหยดลงบนหลังมือจนได้
“นูเขาก็ลูกคนเดียวเหมือนกันนะครับย่า แบบนี้พ่อเขาก็ไม่ได้อุ้มหลานเหมือนกัน”
ยังมีหน้าไปต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใหญ่อีกพี่นิว รู้ทั้งรู้ว่าทำผิด แทนที่จะสงบปากสงบคำ
เดี๋ยวคุณย่าก็จะยิ่งโกรธ
“แล้วมันดีไหมล่ะ....ยังจะมาทำปากดีนะพี่นิว
อย่าคิดว่าเป็นหลานแล้วจะมาต่อล้อต่อเถียงกับย่าได้นะ
นั่น.....ดูน้องเขายังนั่งสงบเสงี่ยม รู้ตัวว่าทำผิดก็ยอมรับผิด
ยั่วโมโหย่าดีนัก ระวังเหอะ ข้อตกลงอะไรต่ออะไรนั่นย่าจะยกเลิกซะก็ได้”
“อย่าครับย่า ผมขอโทษครับ”
พี่นิวรีบร้องค้านเสียงอ้อน
ท่าทางเอาจริงของคุณย่าปราบความซ่าของพี่นิวได้ชะงัด
ส่วนผมก็นั่งสำนึกผิดอยู่อย่างเดิมด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นมาบ้าง
ทั้งที่ได้ยินคำตำหนิจากคุณย่าเต็มสองหู
แต่ประโยคเหล่านั้นกลับทำให้ผมรู้สึกว่าคุณย่ากำลังตัดพ้อเราสองคนมากกว่า.......
ในความรู้สึกเสียใจ คุณย่าก็ยังให้ความเข้าใจ นั่นยิ่งทำให้น้ำตารินหนักขึ้นไปอีก
ที่สุดแล้ว......หากว่าคุณย่าจะไม่อนุญาตให้เราได้รักกัน
ผมก็รู้ว่าตัวเองได้รับความเมตตาจากท่านไม่น้อยเลย
“เอาเถอะ ไหน ๆ บ้านนั้นเขาก็มาขอถอนหมั้นไปแล้ว ถ้าย่าจะหาผู้หญิงที่ไหนมาให้อีก
เดี๋ยวจะวุ่นวายกันไปไม่รู้จบ เบื่อจริง ๆ มีหลานชายหวังจะได้เหลนสักคน
ก็ไม่มีทางจะสมหวังเสียแล้ว”
“พี่น้ำอะย่า ไหนจะพี่โน้ตอีก นั่นก็กี่คนเข้าไปแล้วล่ะ”
พี่นิวพูดถึงลูกคุณลุงกับลูกคุณอาที่แต่งงานมีลูกกันไปแล้วคนละคนสองคน
“แม่มันหวงจะตาย ปล่อยมาให้เล่นกับย่าประเดี๋ยวประด๋าวมันก็มาเอาคืน
ทีเงินทองข้าวของล่ะจะเอา แต่ลูกมันไม่ให้มาหาทวด
อยากจะเห็นเหลนก็ต้องเอาของเข้าล่อ อนาถใจจริง ๆ”
คุณย่าคงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา ทั้งที่อารมณ์ยังกรุ่น ๆ เรื่องของเราสองคนอยู่แท้ ๆ
ความจริงแล้วพี่น้ำ ลูกชายของคุณลุงที่เป็นลูกบุญธรรมของคุณย่านั่นแหละ
แต่งงานไปแล้ว ได้เหลนให้คุณย่าชื่นชม 2 คน บ้านอยู่ใกล้กัน
แถมยังหมั่นพาเหลนไปหาคุณทวดบ่อย ๆ แต่ยังไงก็คงไม่สนิทใจเท่ากับลูกของพี่โน้ต
ซึ่งเป็นลูกของอาแท้ ๆ ของพี่นิว พี่โน้ตมีลูกสาวน่ารักน่าเอ็นดูหนึ่งคน
แต่หลานสะใภ้ของคุณย่าก็หวงเสียจนใครก็แยกเอาไปอุ้มชูไม่ได้
อย่างที่คุณย่าบ่นคือ พอถึงเทศกาลรวมญาติ ก็พาเหลนมากราบทวด
เพราะรู้ว่าทวดจะเตรียมของรับขวัญหลาน ๆ เหลน ๆ ทุกครั้ง
แต่พอให้พามาเยี่ยมเฉย ๆ ก็ไม่ว่างไปเสียทุกที
“แล้วตกลงจะเอาไงอะครับย่า ผมกับนูอยากอยู่ที่นี่ ไม่ไปอยู่โน่นได้ไหม
นูเขามีงานทำที่นี่ พ่อกับแม่ก็ยังอยู่นี่ ส่วนผมก็จะได้ดูงานของเราต่อ
ที่นู่นก็ให้พี่หนึ่งทำแทนพ่อต่อไปเหมือนเดิม”
พี่นิวตัดสินใจเสร็จสรรพ ทั้งส่วนของตัวเอง และส่วนของผมด้วย
ซึ่งทุกอย่างที่พี่นิวพูดก็ตรงกับความต้องการของผมอยู่แล้ว
แต่คุณย่าก็ยังคงอยากให้ผมยืนยันจากปาก
“ว่าไงล่ะเราน่ะ”
พี่นิวเอาศอกกระทุ้งผมเบา ๆ พอผมหันไปหา เขาก็บอกให้ผมตอบคุณย่า
ผมรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก อยากพูดไปตามที่พี่นิวได้พูดแล้ว
แต่ความเกรงใจทำให้ผมไม่กล้าบอกออกไป
“ย่าถามว่านูจะเอายังไง จะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะไปอยู่ที่โน่น”
พี่นิวพูดซ้ำคำถามของคุณย่าให้ผมฟังอีกครั้ง
“ย่าจะให้เราสองคนไปอยู่บ้านโน้นด้วย พี่เข้าไปทำที่บริษัท
ส่วนนูก็ขอย้ายสาขา หรือไม่งั้นก็ลาออกแล้วไปทำด้วยกัน”
คงถึงเวลาที่ผมจะต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดสินะ
“ผมคงไปอยู่ที่โน่นไม่ได้หรอกครับคุณย่า”
ผมหันไปตอบคุณย่า จะอย่างไรผมก็ทิ้งครอบครัวที่มีแค่พ่อและแม่ไปไม่ได้
ทุกวันนี้ผมแทบจะกลายเป็นลูกบ้านนี้เต็มตัวไปแล้ว
ถ้าต้องย้ายไปรวมกับครอบครัวใหญ่ที่โน่น
ผมคงไม่แคล้วเป็นลูกกตัญญูไปเสียจริง ๆ
“อยู่ที่นี่ถึงจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับพ่อกับแม่ แต่ผมก็ยังไปหาได้ตลอดเวลา”
“เห็นไหม ผมว่าแล้วว่าเขาไม่ไปหรอก”
ผมลงจากโซฟาเข้าไปกราบคุณย่าที่ตัก
“ผมขอโทษครับคุณย่า”
“นั่นสินะ ใครล่ะมันอยากจะอยู่กับคนแก่ ๆอย่างย่า พ่อกับแม่พี่นิวนั่นปะไร ทิ้งบริษัท ทิ้งย่า
จนป่านนี้ก็ไม่กลับมาดูดำดูดี จะไปไหนทำอะไร ก็ไม่ต้องมีย่าคอยบ่นคอยว่า”
“ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับ แต่ผมรู้สึกละอายมากกว่าที่ทำตัวเหมือนกินบนเรือนถ่ายรดหลังคา
ทั้ง ๆที่คุณพ่อคุณแม่ กับคุณย่า เอ็นดูผม เลี้ยงดูผมเป็นอย่างดี
แต่ผมก็ยังทำเรื่องไม่ดีให้ทุกคนอับอาย”
“รู้ว่าจะต้องอับอาย แล้วทำไมถึงได้ทำ”
.....นั่นสิครับ....ทำลับหลังผู้ใหญ่มาเป็นหลายปี
ทั้งที่ปัจจุบันนี้ คุณย่าก็ให้ความเอ็นดูผมอย่างเห็นได้ชัด ผมก็ยังไม่เลิกทำ
ก็ถ้า.....ความรักมันมันเลิกได้ง่ายดายแบบนั้น
เราสองคนคงไม่ต้องใช้ความอดทน และคำว่าให้อภัยกัน ไม่รู้จักกี่ครั้งกี่หน
กว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคมาจนได้อยู่ด้วยกันอย่างทุกวันนี้
เงียบ
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ส่วนผม....น้ำตาที่แห้งไปได้ครู่เดียว ตอนนี้มันปรี่ออกมาอีกแล้ว
มันอาจจะถึงเวลาที่เราสองคนต้องตัดใจจากกันเสียทีกระมัง
พี่นิวกลับไปเป็นหลานรักตามเดิม เข้าไปทำงานที่ออฟฟิศก็ไม่ต้องตรากตรำงานกลางแจ้งอีก
แล้วอีกหน่อยก็จะได้ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งใหญ่ ๆ ได้
สักวันหนึ่งตำแหน่งประธานฯ ที่คุณพ่อเคยนั่ง ก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม
ส่วนผมก็กลับไปอยู่บ้าน......สถานที่เดียวที่เหมาะกับผม
กลับไปนอนหนุนตักแม่ ให้แม่ปลอบขวัญก็ดีเหมือนกัน
.....เผียะ!........
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังอยู่ข้าง ๆ ฟังดูน่าจะเจ็บไม่น้อย
ผมเหลียวไปมองพี่นิวด้วยความสงสัย ทันได้เห็นเขารีบหุบยิ้มอย่างมีพิรุธ.....(?)
โดนคุณย่าตีแล้วยังยิ้มหน้าทะเล้นได้อีก ทำตัวแบบนี้ไม่น่ารักสักนิด
ปกติพี่นิวจะเป็นคนมีมารยาท รู้กาลเทศะ แต่วันนี้กลับดูล้น ๆ เสียอย่างนั้น
“ย่าจะกลายเป็นคนแก่ใจร้ายก็ตอนนี้ล่ะนะ”
“ไม่ใช่นะครับคุณย่า.....ฮึก...”
ผมไม่สามารถพูดต่อได้ เพราะอยู่ ๆ ก้อนสะอื้นก็ดันขึ้นมาจนจุกอก
“ไม่เอา ๆ อย่าขี้แยอย่างนี้ ลูกผู้ชายขี้แมวอะไร น้ำตาเล็ด น้ำตาร่วงง่ายจริง ๆ”
คุณย่าดึงแขนให้ผมขึ้นมานั่งข้าง ๆ บนโซฟา ส่วนพี่นิวก็ขยับเข้ามานั่งใกล้ ๆ
จนดูเหมือนผมจะถูกรุมล้อมจนขยับไปไหนไม่ได้
“ย่าทำใจได้นานแล้วลูก เรื่องของเราสองคนน่ะ”
พี่นิวบีบมือผมเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ
ผมช้อนสายตาไปมองก็เห็นแต่รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอย่างที่คุ้นเคยเสมอ
ผมยังไม่กล้าเหลือบตาขึ้นมองคุณย่า
ทั้งที่รู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ ด้วยประโยคคำพูดนี้
“ที่พูดไปก็ไม่ใช่ว่าย่าจะเกลียด จะโกรธอะไรหรอกนะ แต่ย่าก็อยากจะบอกให้รู้กันตรง ๆ ว่า
มันยากจริง ๆ ที่จะให้คนวัยย่ายอมรับเรื่องผิดจารีตแบบนี้....ย่ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่
ยิ่งเดี๋ยวนี้ก็เห็นกันเกร่อไป แต่พอมันมาเกิดกับคนในบ้านเรา...
เป็นหลานชายคนที่เราทุกคนฝากความหวังที่จะให้สืบทอดวงศ์ตระกูล
คงไม่มีญาติผู้ใหญ่คนไหนจะยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบานได้หรอกลูกเอ๊ย”
“ผมขอโทษครับคุณย่า”
ผมพูดได้เพียงแค่นี้จริง ๆ
“เฮ้อ....เอาเข้าไป......เจ้านี่ก็เอาแต่ขอโทษ ส่วนไอ้เจ้านั่นก็พูดแต่ขอโทษ ๆ
ตอนที่ย่าเรียกไปถามก็ตบท้ายด้วยเงื่อนไขสารพัด ที่จะให้ย่ายอมมันให้ได้”
“ขอบคุณครับย่า”
“อย่าดีแต่พูดก็แล้วกัน”
คุณย่าหันไปกำชับกับพี่นิว
”ถึงยังไงพี่นิวก็ยังมีหน้าที่ดูแลคนในครอบครัวเราเหมือนเดิม
แล้วก็ยิ่งต้องทำให้ดีเป็นสองเท่าแทนพ่อเราด้วย
เพราะพ่อเราก็หนีย่าเอาตัวรอดไปแล้ว”
วันนี้ผมคงทำน้ำตาคงท่วมบ้านเราแน่ ๆ ด้วยคำพูดของคุณย่าทั้งหมด
ราวกับได้ปลดแอกที่ผมแบกรับมันจนหนักอึ้งตลอดมาแทบจะทั้งชีวิต
คนเรานี้หนอ ดีใจก็เสียน้ำตา เสียใจก็บีบน้ำตา แต่ถ้าไม่เกิดกับตัวเองก็คงไม่รู้ว่า
ความปลื้มเปรม ที่ได้รับจากการเป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัว มันอิ่มใจได้มากเพียงไหน
ผมก้มกราบที่ตักคุณย่าอีกครั้ง
คำขอบคุณเพียงคำเดียวคงไม่เพียงพอกับความเมตตาที่ท่านให้
คนที่ผมระลึกถึงไปพร้อม ๆ กันคือพ่อกับแม่
จะดีสักเพียงไหน หากผมสามารถบอกให้ท่านรับรู้ถึงความสุขของผมในขณะนี้ได้
หากว่า......
ปริญญาบัตร คือเครื่องหมายของความสำเร็จทางการศึกษา
ทะเบียนสมรสเป็นประกาศนียบัตรรับรองการมีคู่ครอง
ถ้าเช่นนั้น.....
ผมก็จะขออนุมานว่า คำอนุญาตของคุณย่า
ก็คือประกาศนียบัตรที่รับรองการมีครอบครัวของผมกับพี่นิวจะได้ไหม
น่าเสียดายที่ผมไม่กล้าอวดให้พ่อกับแม่ได้รับรู้ถึงความความเมตตาที่ได้รับในครั้งนี้
......ได้แต่เพียงหวังว่า สักวันผมคงจะมีโอกาสได้บอก
ผมหวังว่าวันนั้นท่านทั้งสองจะไม่รังเกียจลูกชายคนนี้
คนที่ไม่สามารถสืบทอดสายเลือดให้แก่วงศ์ตระกูลของท่านได้
มีต่อครับ .... รอแพ็พ