มากกว่ารัก
ตอนพิเศษ
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านผืนบางกระทบสองร่างที่นอนกอดกันอยู่ ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของผิวคร้ามแดดค่อยๆขยับตัว หยีตาสู้แสงแดดที่ส่องเข้ามา มือคว้าเอานาฬิกาที่วางอยู่ข้างหัวเตียงมาดูก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“หือ?...สิบโมงกว่าแล้วเหรอ”
นายทหารหนุ่มค่อยๆคลายวงแขนที่โอบกอดอีกคนออก ชินดนัยขยับตัวนิดๆก่อนจะนอนหลับต่อด้วยความอ่อนเพลีย เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนมองจนอดใจไม่ไหว ต้องโน้มหน้าเข้าไปกดจูบที่หน้าผากคนหลับเบาๆ แล้วถึงค่อยก้าวขาลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้เผลอปลุกคนที่นอนหลับอยู่
ผู้พันชนวีร์คว้าเอาชุดนอนของตัวเองที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นมาสวม ก่อนจะก้มลงเก็บของชินดนัยไปวางพาดไว้กับเก้าอี้ กำลังจะเข้าห้องน้ำ เดินผ่านกระจกเห็นรอยเล็บกระจายอยู่ทั่วหลังก็เผลอยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี
หลังจากจัดการกับตัวเองจนเรียบร้อยแล้ว ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นชินดนัยยังคงหลับอยู่ แต่นายทหารหนุ่มก็ไม่คิดที่จะปลุกอีกฝ่าย ไหนๆก็เป็นวันเสาร์ แถมเมื่อคืนยังถูกเขาเอาเปรียบไปเสียเยอะ กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้า ปล่อยให้นอนตื่นสายหน่อยคงไม่เป็นไร
ชนวีร์เดินเอื่อยๆจนมาถึงเรือนใหญ่ ก้าวขาเข้าไปไม่ทันไรก็เห็นท่านนายพลกับคุณหญิงกำลังนั่งอยู่ตรงโซฟารับแขก พอเห็นลูกชายบุญธรรมเดินมาตามลำพัง ท่านนายพลก็ละสายตาจากหนังสือพิมพ์ เงยหน้าขึ้นมาถามทันที
“เพิ่งจะตื่นเหรอไง แล้วเจ้าชินล่ะ”
“ชินยังหลับอยู่เลยครับ”
“นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ ทำไมไม่ปลุกให้มากินข้าวด้วยกันละ เดี๋ยวแม่เดินไปปลุกให้เอาไหม” คุณหญิงเอ่ยพลางกระวีกระวาดจะรีบเดินไปที่เรือนเล็ก เดือดร้อนถึงชนวีร์ต้องรั้งแขนผู้เป็นแม่เอาไว้
“ไม่ต้องหรอกครับแม่ ชินเพิ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงเอง”
“อ้าว ทำอะไรกันดึกดื่น ไม่หลับไม่นอนล่ะลูก”
“อะแฮ่ม...” ท่านนายพลกระแอมเบาๆ พอเห็นคุณหญิงหันมามองเลยรีบเอ่ยขัด “คุณไปเรียกแม่บ้านเตรียมข้าวเช้าให้เจ้าวีร์ไป เดี๋ยวมันก็หิวซะก่อนหรอก”
พอได้ยินที่ท่านนายพลเอ่ยท้วง คุณหญิงเลยพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปในครัว ส่วนชนวีร์ก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่เห็นสายตาท่านนายพลก็นึกรู้ทันทีว่าผู้เป็นพ่อคงรู้แน่ๆ ว่าทำไมชินดนัยถึงยังไม่ตื่น ให้ทำยังไงได้ล่ะ อยากจับเขาแยกจากชินดนัยถึงสามปีเองนะ เขาก็ต้องคิดถึงมากเป็นธรรมดา
“วันจันทร์อย่าลืมเข้าไปรายงานตัวด้วยล่ะ” ท่านนายพลเอ่ยเตือนลูกชายขึ้นมา
นายทหารหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงรับคำ แท้จริงแล้วคนที่จับเขากับชินดนัยแยกกันอย่างท่านนายพล กลับเตรียมการทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาถูกส่งตัวไปเป็นผู้ช่วยทูตทหารบกประจำกรุงปารีส กินระยะเวลาดำรงตำแหน่งถึงสามปีเต็ม ตลอดระยะเวลาสามปีก็มีท่านนายพลที่คอยติดต่อและแจ้งข่าวกับเขาอยู่ตลอด พอครบกำหนดพ้นวาระ เขาก็เดินทางกลับมาประเทศไทยทันที
“แล้วบอกเจ้าชินหรือยัง”
“ยังเลยครับ ยังมีเวลาอีกเยอะ”
พอฟังที่ชนวีร์พูด ท่านนายพลเลยหัวเราะหึๆออกมาทันที ถ้าหลังจากนี้เขายังปล่อยชนวีร์ไปประจำที่อื่นอีก มีหวังเขาคงต้องรบกับลูกชายคนเดียวอย่างแน่ๆ เพราะดูท่าว่าชินดนัยคงไม่ยอมปล่อยชนวีร์ไปไหนไกลๆอีกแล้ว เห็นเงียบๆก็เถอะ เจ้าลูกชายของเขามันหวงของๆมันจะตาย
คุณหญิงชลลดาเดินออกมาจากห้องครัว เห็นพ่อลูกนั่งคุยกันอยู่ก็คลี่ยิ้มออกมา อันที่จริงเธอเองก็รู้เรื่องที่ท่านนายพลส่งชนวีร์ไปต่างประเทศมาซักพักแล้ว แม้จะสงสารชินดนัย แต่ก็ต้องยอมรับตามที่ท่านนายพลบอก...เพื่อพิสูจน์ตัวเองและเพื่อความก้าวหน้าของชนวีร์
“หยุดคุยกันก่อน มากินข้าวเร็วตาวีร์”
ชนวีร์หันมาตามเสียงเรียกก่อนจะยิ้มรับน้อยๆ กำลังจะเดินไปที่โต๊ะอาหารก็ต้องชะงักเสียก่อน เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยทักลูกชายอีกคนที่เดินงัวเงียเข้ามานั่งแปะที่โซฟา
“พี่วีร์ ทำไมไม่ปลุกผม”
“ตื่นแล้วเหรอลูก มากินข้าวพร้อมพี่เขาเลยมา”
ชนวีร์ขยี้หัวชินดนัยด้วยความเอ็นดูก่อนจะดึงคนที่เพิ่งตื่นให้ลุกเดินตามมา เห็นท่านนายพลมองมาแล้วทำหน้าแปลกๆก็ชะงักเล็กน้อย เขามองตามสายตาท่านนายพลที่มองชินดนัย พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรเลยยิ้มกริ่ม ก่อนจะค่อยๆหันไปกระซิบข้างหูชินดนัยเบาๆ
“รอยเต็มคอนายเลย”
ชินดนัยหันขวับไปมองกระจกก่อนจะหน้าแดงก่ำทันที ได้แต่ชี้นิ้วใส่คนที่รีบเดินหนีไปเป็นเชิงคาดโทษ พอสบตาเข้ากับผู้เป็นพ่อก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ
ให้ตายเถอะ พอเขาตื่นมาไม่เจอชนวีร์ก็รีบตรงมาที่เรือนใหญ่ กลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหนอีก ไม่ทันได้สำรวจตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน ร่องรอยความรักที่แสดงต่อกันเมื่อคืนมันถึงได้เที่ยวออกมาอวดสายตาผู้เป็นพ่อแม่อยู่แบบนี้
====================
“ถ้าจะออกไปข้างนอกก็แต่งตัวให้มิดชิดหน่อยนะชิน”
นั่นคือประโยคที่ท่านนายพลเอ่ยกับชินดนัย หลังจากที่เขารีบกินข้าวเช้าแล้วขอตัวกลับมาเรือนเล็กด้วยความอับอาย ระหว่างทางก็เอาแต่พร่ำโทษตัวต้นเหตุที่เดินฮัมเพลงตามหลังมาอย่างอารมณ์ดี นึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน
พอเปิดประตูเรือนเล็กเข้ามา ชินดนัยก็ทำท่าจะชิ่งเดินหนีเข้าห้องทันที แต่ก็ยังช้ากว่าอีกคนที่รั้งตัวเขาเข้ามากอดเอาไว้หลวมๆ เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามเบาๆอยู่ข้างหู
“อารมณ์เสียอะไรหืม?...”
“พี่ไม่ต้องมาทำไขสือเลยนะ”
“ถ้านายไม่บอก แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะ”
“คราวหลังผมไม่ให้พี่ทำรอยแล้วนะ พ่อกับแม่เห็นหมด”
“อายทำไม ยังไงพ่อกับแม่ก็รู้ว่าเรารักกัน”
“ผมไม่ได้อาย แต่ผมเกรงใจพ่อกับแม่ ไม่อยากให้พวกท่านไม่สบายใจ”
นายทหารหนุ่มกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องกดจูบลงข้างแก้มคนที่ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขาเบาๆ
“ฮื้อ...พี่ทำอะไรน่ะ...”
“ฉันรับรองว่าจะไม่ทำให้นายกับพ่อแม่ลำบากใจ ถ้าอยู่ข้างนอกเราจะเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนเดิม แต่...”
“แต่อะไร?...” ชินดนัยถามด้วยความระแวงทันที
“แต่ถ้าอยู่ด้วยกันสองคน ฉันจะทำตามใจตัวเอง”
“ไม่รู้ล่ะ แต่คราวหลังห้ามทำรอยประเจิดประเจ้ออีกนะ ถ้าเกิดคนอื่นถาม ผมจะตอบว่ายังไง”
“ทีนายยังทำเหมือนกันเลย”
พูดเปล่าก็กลัวชินดนัยจะไม่เชื่อ ผู้พันเลยถอดเสื้อนอนออก สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของชินดนัยไม่ใช่แผงอกและมัดกล้าม แต่เป็นรอยเล็บเต็มแผ่นหลังที่ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือเขาแน่ๆ ได้แต่ยืนหน้าแดงก่ำก่อนจะเอ็ดอีกคนเสียงดุ
“พี่จะถอดเสื้อออกมาทำไม”
“ไปอาบน้ำด้วยกัน”
นอกจากจะตอบไม่ตรงคำถามแล้ว ยังลากเขาเดินหลุนๆไปที่ห้องน้ำอีก เขาไม่ใช่ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของผู้พันชนวีร์นะ
“หา...”
“ไม่ต้องหาแล้ว เดี๋ยวฉันจะพานายไปข้างนอก อาบด้วยกันนี่แหล่ะ จะได้เสร็จไวๆ”
ฟังที่อีกคนเอ่ยอ้างออกมาหน้าตาเฉย ชินดนัยก็คันปากยิบๆ อยากจะถามเหลือเกินว่าที่จะเสร็จไวๆน่ะ หมายถึงการอาบน้ำหรืออย่างอื่นกันแน่ แค่เมื่อคืนยังไม่พออีกหรือไง อะไรจะคิดถึงเขารุนแรงขนาดนี้ เล่นเอาเขาตื่นมาเสียเกือบเที่ยง
====================
“ผมว่าผมจะทำห้องน้ำที่เรือนเล็กเพิ่มอีกห้องดีกว่า”
ชินดนัยเอ่ยพลางกัดฟันแน่น เหลือบตามองนาฬิกาบนรถก็เห็นว่าเป็นเวลาบ่ายสองแล้ว นี่พวกเขาสองคนใช้เวลาอาบน้ำกันถึงหนึ่งชั่วโมง เสร็จไวอย่างที่พูดไหมล่ะ
“หืม? ของเดิมก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง” นายทหารหนุ่มที่รับหน้าที่สารถีเอ่ยถามเสียงนิ่งๆ แต่ดวงตาพราวระยับ ดูก็รู้ว่าเข้าใจความหมายที่ชินดนัยต้องการสื่อ
“มีสองห้องจะได้อาบกันคนละห้องไง พี่จะได้ไม่ต้องมาแย่งห้องน้ำกับผมให้ลำบาก”
“ฉันไม่ได้ลำบากเสียหน่อย อาบน้ำกับนายน่ะ...ดีจะตาย”
“ฮึ้ย...”
สุดท้ายชินดนัยเลยได้แต่ครางออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะเสเบือนหน้าออกนอกรถ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าคนขับจะพาเขาไปไหนกันแน่ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ลากเขาออกจากบ้าน บอกแค่ว่าจะไปข้างนอก กำลังจะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย ทิวทัศน์สองข้างทางก็ทำให้เขาต้องร้องอ๋อออกมาทันที
“ทำไมถึงมาที่กรมล่ะ”
“มาเก็บของ” คนถูกถามตอบสั้นๆ ไม่ได้ขยายความอะไรอีก
ชินดนัยถึงกับนิ่งเงียบไป เขายังไม่รู้เลยว่าตลอดระยะเวลาสามปีที่หายไป ชนวีร์หายไปไหน และกลับมาคราวนี้จะมาอยู่กับเขานานแค่ไหนกัน หรือจะมาอยู่แค่ประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็จากเขาไปอีก
รถยนต์จอดลงหน้าบ้านพักหลังเดิมที่ชนวีร์เคยอยู่มาตลอด นายทหารหนุ่มล้วงกุญแจออกมาไข แล้วเดินเข้าไปช้าๆ กวาดตาดูรอบๆด้วยความคิดถึง ฝุ่นไม่ได้จับอย่างที่คิด คงต้องขอบคุณผู้กองติสรณ์ที่ส่งคนมาคอยทำความสะอาดอยู่เสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิม เหมือนเมื่อสามปีที่แล้ว
“นายนั่งรออยู่ข้างล่างก็ได้ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเก็บของแป๊บเดียว” ชนวีร์เอ่ยบอกชินดนัยที่เดินตามหลังเข้ามา ก่อนจะเดินขึ้นไปที่ห้องนอน
นายทหารหนุ่มหยิบเอากระเป๋าเดินทางออกมาจากข้างเตียง เปิดตู้เสื้อแล้วหยิบเสื้อผ้าที่เหลืออยู่ไม่กี่ชุดออกมา ข้าวของที่บ้านพักไม่ค่อยเหลืออะไรมากแล้ว เพราะเขาให้ผู้กองติสรณ์มาช่วยเก็บบางส่วนไปก่อนที่เขาจะกลับมา กำลังจะรูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางก็ต้องชะงักน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงวงแขนที่กอดรัดเขาจากข้างหลังพร้อมกับอาการตัวสั่นน้อยๆของเจ้าของวงแขน
“พี่จะหนีผมไปไหนอีก...” เสียงกระซิบตัดพ้อดังอู้อี้อยู่กับแผ่นหลังของเขา
“ฉันไม่ได้จะหนีไปไหน”
“แล้วจะเก็บของทำไม แค่จากผมไปสามปียังไม่พออีกเหรอไง ผมไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่พี่คิดนะ”
ชนวีร์ถึงกับนิ่งไป ดูท่าทางชินดนัยคงจะเข้าใจเขาผิดไปกันใหญ่แน่ๆ ชายหนุ่มปลดแขนชินดนัยออกจากตัวท่ามกลางอาการขัดขืนเล็กๆของเจ้าตัว ก่อนจะนั่งลงที่ปลายเตียงแล้วดึงชินดนัยลงมานั่งข้างๆ โอบรั้งอีกคนเข้ามาใกล้ ลูบแผ่นหลังไปมาช้าๆอย่างปลอบประโลม
“ฟังนะชิน...ฉันไม่ได้จะหนีนายไปไหน ที่กลับมาเก็บของที่นี่ก็เพื่อจะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านกับนายไง”
“แล้วทำไมไม่บอกผม” คนที่หลงเสียใจไปก่อนอดถามเสียงขุ่นแก้เก้อไม่ได้
“ก็นายไม่ถามฉันเอง”
ปลายนิ้วแข็งแรงเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากรอบดวงตาชินดนัยเบาๆ ชินดนัยเสเบือนหน้าหนีไปอีกทางด้วยความกระดากที่เผลอแสดงความอ่อนแอออกมาง่ายๆอีกแล้ว เป็นความผิดเของขาเองเหมือนกันที่ไม่ยอมถามให้ดีๆก็รีบชิงตีตนไปก่อนไข้
“จะไม่อยู่ที่นี่แล้วเหรอ” ถามพลางชินดนัยก็กวาดตามองไปรอบๆ
หลังจากรับราชการทหารมาระยะหนึ่ง ชนวีร์ก็ย้ายมาอยู่บ้านพักที่กรม เนื่องจากเขาต้องเดินทางไปๆมาๆระหว่างที่กรมกับที่ค่ายบ่อยๆ เกรงว่าถ้าอยู่ที่บ้านอาจจะไม่สะดวก แต่ในเมื่อตอนนี้เขากลับมาประจำอยู่ที่กรมเป็นการถาวรแล้ว บ้านพักที่นี่ก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
“ทำไม...?” ชินดนัยเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันจะกลับไปอยู่กับนายที่บ้านไง”
“อ้าว...แล้วงาน?...”
“รู้ไหม...ช่วงสามปีฉันหายไปไหน”
ชินดนัยส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ ถ้าเขารู้ว่าชนวีร์หายไปไหน สามปีที่ผ่านมาเขาคงไม่ต้องกังวลจนแทบบ้า แต่เพราะไม่รู้ เพราะได้แต่รอ ทุกวินาทีที่ผ่านไปจึงมีแต่ความกระวนกระวายเสมอ และเมื่อวานตอนที่อีกฝ่ายกลับมา เขาเองก็มัวแต่ดีใจจนไม่ได้คิดจะเอ่ยถามอะไรออกไป
“ฉันอยู่ฝรั่งเศส...”
แค่ประโยคแรกที่ผู้พันเกริ่นออกมา ชินดนัยก็ถึงกับครางออกมาเบาๆ แสดงว่าที่เขาเห็นชนวีร์ที่สนามบินวันนั้น เขาก็ไม่ได้ตาฝาดและเพ้อเจ้อไปเอง แต่เป็นชนวีร์จริงๆ
“พ่อทำเรื่องส่งฉันไปเป็นรองผู้ช่วยทูตทหารที่ปารีส เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ แม้กระทั่งทำเรื่องย้ายฉันกลับมาประจำที่กรมหลังกลับมา ขอให้ฉันแยกจากนายสามปี เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเองของฉันและนาย ฉันยอมรับข้อเสนอของพ่อ เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป พอครบสามปีฉันก็กลับมาทันที”
“กลับมาคราวนี้ จะไม่ทิ้งผมไปไหนแล้วใช่ไหม”
ผู้พันคว้ามือชินดนัยมาวางแนบแก้ม ก่อนจะค่อยกดริมฝีปากลงกลางฝ่ามือ...แทนคำสัญญา แทนคำสาบาน แทนทุกถ้อยคำที่อยากพูดออกไป
“สัญญา...จะอยู่กับนายตลอดไป”====================
หลังจากลูกชายสองคนกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา คุณหญิงชลลดาเลยถือโอกาสเข้าครัวทำกับข้าวด้วยตัวเอง ท่านนายพลที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวมองแม่ครัวใหญ่ยืนบัญชาการ โดยมีชินดนัยกับชนวีร์คอยช่วยเป็นลูกมืออย่างขำๆ
“เดี๋ยวแม่บ้านเขาก็ตกงานกันหรอกคุณ มานั่งนี่มา”
คุณหญิงค้อนผู้เป็นสามีตาคว่ำก่อนจะบ่นกระปอดกระแปด
“ไม่ช่วยก็อย่าขัดค่ะคุณ ลูกไม่ได้อยู่บ้านหลายปี ฉันก็ต้องฉลองที่ลูกกลับมาหน่อยสิ”
“ผมก็อยู่บ้านมาตลอดนะแม่” ชินดนัยเอ่ยค้านอย่างงงๆ
“แม่ไม่ได้หมายถึงชิน แม่หมายถึงตาวีร์ต่างหาก” คุณหญิงตอบก่อนจะยิ้มหวาน เล่นเอาลูกแท้ๆถึงกับหน้าแตก ส่วนผู้เป็นพ่อกับลูกชายบุญธรรมก็พากันหัวเราะเสียงดัง
“เดี๋ยวผมก็ไม่ช่วย แล้วให้ลูกชายอีกคนของแม่ช่วยคนเดียวหรอก”
“โอ๋...แม่รักลูกสองคนเท่ากันน่า”
ชนวีร์หัวเราะออกมาเบาๆ รู้ว่าชินดนัยก็แกล้งบ่นไปอย่างนั้นเอง เวลานี้คนที่มีความสุขมากกว่าใครคงหนีไม่พ้นชินดนัย เหมือนได้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาไว้ในกำมือ แม้กระทั่งความสุขที่เคยหลุดลอยหายไป เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังไม่หยุดตลอดมื้ออาหาร จนแม้แต่เด็กในบ้านยังพากันอมยิ้มไปด้วย
หลังเสร็จมื้ออาหาร สี่คนพ่อแม่ลูกก็ชวนกันมานั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟา ชินดนัยเลยได้ทีหันไปท้าวความแต่หันหลังเอากับผู้เป็นพ่อ
“ผมรู้แล้วนะว่าพ่อเป็นคนส่งพี่วีร์ไปฝรั่งเศส”
“ก็เออน่ะสิ เพิ่งรู้หรือไง”
“แล้วพ่อก็ไม่เคยคิดจะบอกผมเลยนี่นะ”
“ถ้าบอกแล้วจะมีความหมายอะไร ฉันไม่คิดด้วยซ้ำว่าแกจะยอมรอเจ้าวีร์ถึงสามปีเต็มๆ ต่อจากนี้ก็ดูแลกันให้ดีๆล่ะ”
“พ่อกับแม่ยอมรับเรื่องของเราแล้วใช่ไหม”
ท่านนายพลกับคุณหญิงหันมาสบตากัน ก่อนที่ท่านนายพลจะพยักเพยิดให้คุณหญิงเป็นคนพูดแทน
“จะเรียกว่ายอมรับก็คงไม่ถูกนักหรอก แต่ความสุขของพ่อแม่ก็คือความสุขของลูก พ่อกับแม่อยากเห็นลูกสองคนมีความสุข อะไรที่เป็นความสุขของลูก พ่อกับแม่ก็จะพยายามเข้าใจและยอมรับมันให้ได้”
ชินดนัยกับชนวีร์ค่อยๆคุกเข่ามากราบแทบเท้าผู้เป็นพ่อแม่ ก่อนจะถูกรั้งเข้าไปกอดเอาไว้ทั้งคู่ ถึงแม้คนอื่นในสังคมจะไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่พ่อกับแม่เข้าใจ พวกเขาสองคนก็พอใจแล้ว
“ขอบคุณครับ ขอบคุณที่เข้าใจเราสองคน”
“ผมสัญญา...ว่าจะไม่ทำให้เสื่อมเสียมาถึงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลแน่ๆ”
คุณหญิงกอดลูกชายสองคนไว้แน่นๆในอ้อมแขน ตอนที่ชนวีร์จากไป ไม่ใช่แค่ชินดนัยที่เสียใจ แม้แต่เธอเองก็ยังอดใจหายไม่ได้ มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับในความรักของลูกชายสองคน แต่ความรักที่มีให้ลูกมันก็มากมายจนเธอทำใจยอมรับได้ในที่สุด
“แม่รักลูกสองคนนะ...”
พอเห็นแม่กับลูกๆเขาทำท่าจะซึ้งกันอยู่สามคน ท่านนายพลเลยกระแอมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากไล่ลูกชายหน้าตาเฉย
“ไปๆ พากันกลับเรือนเล็กไปได้แล้ว พ่อจะอยู่กับแม่แกสองคนบ้าง”
ชินดนัยกับชนวีร์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพากันเดินออกไป คุณหญิงมองตามหลัง เห็นภาพลูกชายสองคนที่เดินเคียงกัน ริมฝีปากก็ขยับเป็นรอยยิ้มบางๆ แค่เห็นลูกมีความสุข เธอเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย
“คุณหญิง ผมมีเรื่องจะสารภาพ...” ท่านนายพลเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เรียกความสงสัยจากคู่ชีวิตได้เป็นอย่างดี
“ทำไมคะ? อย่าบอกนะว่าคุณมีอีหนูซุกเอาไว้”
“เปล่าจ้ะ อย่าเพิ่งตาเขียวสิ ผมแค่จะสารภาพว่า...”
“ว่า?...”
“สมัยหนุ่มๆผมเคยสัญญากับพ่อเจ้าวีร์เอาไว้ ว่าถ้ามีลูกจะให้ลูกผมกับมันแต่งงานกัน ใครจะไปรู้ว่าจะมีลูกเป็นผู้ชายเหมือนกัน...”
“เพราะคุณไปสัญญาเอาไว้แบบนี้นี่เอง แต่ช่างมันเถอะ ถึงลูกเราจะแต่งงานไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอให้ลูกเรามีความสุขก็พอแล้ว”
สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว ความสุขของลูกย่อมมาก่อนเสมอ และท่านนายพลกับคุณหญิงเองต่างก็เชื่อมั่นว่า...ชินดนัยกับชนวีร์จะช่วยประคับประคองและดูแลกันตลอดไปอย่างแน่นอน ในเมื่อความห่างไกลกับการรอคอยยังไม่อาจทำให้ทั้งคู่เปลี่ยนใจจากกัน ก็คงไม่มีอะไรที่ต้องหวั่นอีกแล้ว
====================
“หือ?...”
ผู้พันขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อเห็นโคลท์ ดีเฟนเดอร์ .45ถูกส่งคืนกลับมา เขาเป็นคนเอามาวางไว้ใต้หมอนของชินดนัยที่เรือนเล็กเอง และตอนนี้ชินดนัยก็กำลังคืนกลับมาให้เขา
“ของพี่ไง เอาคืนไปสิ”
“นายเก็บไว้เถอะ มันไม่จำเป็นแล้วล่ะ” ชนวีร์ตอบพลางผลักปืนกระบอกเล็กคืนกลับไปให้ชินดนัย
“ทำไม? ไม่อยากได้แล้วเหรอ”
นี่ชินดนัยคงคิดว่าเขาไม่อยากได้ของขวัญที่เจ้าตัวเป็นคนซื้อให้แน่ๆ เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว
“ไม่ใช่ไม่อยากได้ ปืนกระบอกนี้ก็เหมือนของดูต่างหน้านาย แต่ตอนนี้มันไม่จำเป็นแล้ว เพราะฉันจะไม่จากนายไปไหนอีก เลยไม่จำเป็นต้องมีของดูต่างหน้ายังไงล่ะ”
พอฟังคำตอบที่อีกคนอธิบาย ชินดนัยก็คลี่ยิ้มออกมา แต่ก็ยังยัดปืนใส่มืออีกฝ่ายอยู่ดี
“ผมให้เป็นของขวัญพี่ พี่ก็ต้องเก็บเอาไว้สิ คืนผมได้ยังไง”
“แค่ฉันมีนาย ก็ไม่มีอะไรสำคัญแล้ว” ถึงปากจะพูดอย่างนั้น แต่ผู้พันชนวีร์ก็ยอมรับปืนมาแต่โดยดี
“ขอบคุณที่กลับมานะ...”
“ขอบคุณที่รอฉันเหมือนกัน”
ชินดนัยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่คิดจะหวั่นอีกต่อไป แค่มีอีกคนกุมมือเขาไว้ แล้วก้าวเดินไปด้วยกัน แต่...
“พี่จะทำอะไร” ถามออกไป แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ
เขาแค่หวังจะให้อีกคนกุมมือเขาไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สอดมือเข้ามาใต้เสื้อเขาแบบนี้
“คิดถึง...”
“เมื่อคืนยังไม่พออีกเหรอไง” เขาเองก็ทำเป็นถามเสียงแข็ง ทั้งที่ร่างกายและหัวใจโอนอ่อนผ่อนตามไปนานแล้ว แต่แค่ไม่อยากให้อีกคนได้ใจ
“ไม่พอ เท่าไหร่ก็ไม่พอ...”
โอเค...ถ้าไม่พอก็...ปิดไฟเถอะ!!
จบตอนพิเศษ
# ฟิตมาก ลงติดๆกันหลายวันเลย มาลงตอนพิเศษตามคำเรียกร้องแล้วนะคะ
# เฉลยเรียบร้อยว่าผู้พันไปอยู่ไหนมา ไปเป็นรองผู้ช่วยทูตทหารนี่เอง วาระสามปีพอดี
# เรื่องราวของผู้พันกับชินดนัยก็จบลงเรียบร้อย ตั้งใจว่าจะเขียนสั้นๆ รายละเอียดเลยไม่เยอะมาก
# รักคืนรังก็จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วนะคะ ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามค่ะ ขอบคุณมากๆเลย 