▬ " รักคืนรัง " ▬ 「จบบริบูรณ์」
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ▬ " รักคืนรัง " ▬ 「จบบริบูรณ์」  (อ่าน 270194 ครั้ง)

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
หน่วงมากๆ
สงสารทั้งคู่เลยย

ออฟไลน์ booboos

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
เศร้าจัง  :mew6:

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
ว่าแล้ว...ทำใจให้ตื่นขึ้นมาลาไม่ได้...........

รอยจูบที่ฝากไว้ ยังตรึงในความทรงจำ

แต่ทำไมมันต้องดราม่า??? ไม่เข้าใจๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กรี๊ด!! น้ำตาร่วงอ่ะ ไม่ชอบเลย

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ตอนนี้รู้สึกหน่วงและเศร้ามากมาย

ออฟไลน์ didi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1000
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-8
เศร้าจัง  :monkeysad:งสารทั้งคู่
 :pig4:

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
แงๆๆๆๆๆๆ T^T

เดี๋ยวไปตามผู้พันกลับมาให้ค่ะน้องชิน !!!

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
พี่วีร์ไปไหนอ่ะ

เศร้าใจจริงๆ ที่พ่อแม่ไม่ยอมรับความรักของทั้งคู่

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
เศร้าอ่ะ :z3:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
มากกว่ารัก

ตอนที่ 4



          นายทหารหนุ่มยืนมองจนรถของชินดนัยแล่นพ้นเขตกรมทหารแล้ว จึงเดินออกมาจากมุมหลังบ้านที่ยืนซ่อนตัวอยู่นาน ดวงตาคมปรากฏแววเคร่งเครียดผิดวิสัย เขาเห็นทุกอย่าง เห็นทุกเหตุการณ์ เห็นแม้กระทั่งว่าชินดนัยต้องเจ็บปวดจากการกระทำของเขา แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เพื่อเราสองคน

          ทุกบทสนทนา ทุกถ้อยคำระหว่างเขากับท่านนายพลที่ห้องหนังสือยังคงแจ่มชัด ข้อเสนอของท่านนายพลที่หยิบยื่นมาและข้อต่อรองของเขาที่ตอบกลับไป

          ‘ผมอยากรู้เพียงอย่างเดียว...’

          ‘ว่ามา...’

          ‘ระหว่างชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลกับชิน...พ่อรักอะไรมากกว่า?’

          ท่านนายพลหวิดจะเดือดดาลด้วยคำถามที่หลุดออกมาจากปากของลูกชายบุญธรรม แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์ คิดทบทวนคำถามของชนวีร์ก่อนจะไตร่ตรองคำถามช้าๆ แล้วเอ่ยตอบกลับไปอย่างหนักแน่น

          ‘พ่อก็ต้องรักชินมากกว่าน่ะสิ’

          ชนวีร์เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มร้ายกาจ อย่างที่ท่านนายพลนึกเอาเองว่าเหมือนกับเพื่อนสนิทของเขาที่ล่วงลับไปแล้วราวกับถอดแบบกันมา รอยยิ้มอย่างคนที่มีแผนการสมกับที่มันเป็นตัวเต็งตำแหน่งด้านเสนาธิการของกรมทหาร แต่คงจะดีกว่านี้ ถ้าคนที่มันกำลังยิ้มให้ไม่ใช่เขา

          ‘ถ้าพ่อรักชิน พ่อก็ต้องอยากเห็นชินมีความสุข’

          ‘แกจะบอกพ่อว่า...ความสุขของชินคือแก?’

          ‘นั่นเป็นคำถามที่พ่อต้องถามชินเอง แต่ถ้าพ่อถามผม ผมก็จะตอบพ่อว่า...ความสุขของชินไม่ใช่ผม แต่ผม...จะทำให้ชินมีความสุข’

          ท่านนายพลนึกชื่นชมความสุขุมของลูกชายบุญธรรม ท่าทางแบบนี้เหมือนกับเวลาที่มันรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา สุขุมรอบคอบและเด็ดเดี่ยว ถ้าหากชินดนัยเป็นลูกสาวของเขา...ทุกอย่างคงง่ายกว่านี้ เขาคงพร้อมจะยกชินดนัยให้ชนวีร์ดูแลอย่างไม่ลังเล แต่ในเมื่อต่างคนต่างเป็นผู้ชายเหมือนกัน เรื่องมันจึงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด

          ‘แกมีหลักประกันอะไร?’

          ‘ผมรู้ว่าพ่ออยากจะจับผมแยกจากชิน ผมยอม นานเท่าที่พ่อต้องการ หนึ่ง สอง หรือสามปี สุดแท้แต่พ่อเลย แต่ถ้าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ถ้าความรู้สึกของผมกับชินยังมั่นคงต่อกัน พ่อต้องยอมรับและเลิกขัดขวางเรา พ่อยอมหรือเปล่า?’

          ท่านนายพลไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ระยะเวลาที่ห่างกันคงจะเป็นบทพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องดูกันว่าใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน ถ้าจะยอมให้ชินดนัยกับชนวีร์ได้รักกัน มันก็ต้องมีบทพิสูจน์ให้ได้ตระหนักว่าความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ารับไหวก็ไปต่อ แต่ถ้าไม่...เขาก็จะขัดขวางให้สุดกำลัง

          ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่อยากเห็นลูกมีความสุข แต่พ่อแม่ทุกคนล้วนอยากจะแน่ใจเสียก่อนว่า...ลูกจะมีความสุขจริงๆ

          ‘ได้ พ่อยอม’

          ‘ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำนะครับ’

          ‘สามปี ห้ามติดต่อ ห้ามเจอกัน ห้ามให้ชินรู้ว่าแกอยู่ไหน ถ้าผิดจากนี้เมื่อไหร่ ถือว่าข้อตกลงระหว่างเรายกเลิกทันที’

          เป็นข้อตกลงที่ทำเอาคนฟังถึงกับชะงัก เขาครุ่นคิดอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าออกมาช้าๆ สามปีเพื่อแลกกับการยอมรับตลอดไป

          ‘ระหว่างสามปี ห้ามชินรู้ข้อตกลงนี้เด็ดขาด’

          ชนวีร์แค่นยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงข้อตกลงระหว่างเขากับท่านนายพล เขามั่นใจว่าตัวเองจะเหมือนเดิม เขาเดิมพันความเชื่อใจทั้งหมดลงไป

          ...สามปีไม่นานเลย เพื่อแลกกับการที่เราจะมีกันตลอดไป...

          “พร้อมออกเดินทางหรือยังครับผู้พัน” เสียงของผู้กองติสรณ์ดังมาจากข้างๆ

          ชนวีร์หันหน้ากลับไปหาคนที่มารับเขา ผู้กองติสรณ์ยืนอยู่ข้างรถจี๊ปที่เตรียมพาเขาไปส่งที่จุดหมายปลายทาง เขากระตุกยิ้มนิดๆก่อนจะแบมือออกไปตรงหน้าอีกฝ่าย

          “ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิผู้กอง”

          “ของผู้พันล่ะครับ”

          “ผู้บังคับบัญชาเขาสั่งระงับสัญญาณของผมไปแล้ว”

          ผู้กองติสรณ์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เอาเข้าจริงๆแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ท่านนายพลถึงได้มีแต่คำสั่งลงมาสายฟ้าแล่บให้เขามารับผู้พัน แต่ในเมื่อเขาเป็นผู้น้อย ก็มีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์ถามเรื่องของเจ้านาย แม้ว่าจะสงสัยมากเพียงใดก็ตาม

          ชนวีร์รับโทรศัพท์มาจากผู้กองติสรณ์แล้วก็กดหมายเลขสิบตัว ก่อนจะเดินเลี่ยงไปมุมหนึ่ง แต่ไม่ไกลจากสายตาของผู้กองติสรณ์เท่าไหร่นัก เขารอสายอยู่ซักพัก ปลายทางก็กดรับสาย

          “ธรณ์ นี่ฉันเองนะ...”


====================


          ธรณ์นั่งหน้าเคร่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ตรงหน้าคือเอกสารกองใหญ่ เขากวาดสายตาผ่านหนังสืองบประมาณ มือไล่ผ่านทีละบรรทัดช้าๆ ข้างๆกันคือเขตแดนที่กำลังนั่งทำงานอยู่ เมื่อไหร่กัน...ที่เขาย้ายมาทำงานอยู่ห้องเดียวกับเขตแดน น่าจะเป็นหลังกลับจากนิวยอร์กซักสองอาทิตย์ แล้วเจ้าของห้องก็ถือวิสาสะสั่งย้ายข้าวของเขามาล่ะมั้ง ธรณ์คิดเพลินๆก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวสั่นครืดคราดจนต้องรีบคว้าโทรศัพท์มาดู พอเห็นว่าเป็นหมายเลขไม่คุ้นก็ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วกดรับสายไป

          (ธรณ์ นี่ฉันเองนะ...)

          เขายังไม่ทันได้ขานรับ ปลายสายก็ชิงเอ่ยมาก่อน ธรณ์ค่อยๆนึกว่า ‘ฉัน’ น่ะคือใคร ก่อนจะยิ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

          “ผู้พัน...”

          (ฉันคงไม่ได้อยู่ดูแลชินแล้ว ฝากดูแลชินด้วยนะ...)

          “ดะ...เดี๋ยวก่อน ผู้พัน...” ธรณ์ร้องออกมาเสียงหลง เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยออกมาแค่สองประโยคแล้วก็ชิงวางสายไป

          ชายหนุ่มพยายามโทรกลับไปยังเบอร์ที่โชว์เมื่อครู่ แต่ก็ต้องสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด เมื่อพบว่าอีกฝ่ายปิดเครื่องเรียบร้อยแล้ว เขาลองโทรเข้าเบอร์ชินดนัย ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกัน

          ...ไม่ได้ปิดเครื่อง แต่ไม่ยอมรับจนสายตัดไปเอง...

          ธรณ์นิ่วหน้าออกมา เมื่อรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ไม่เคยมีซักครั้งที่เขาจะติดต่อชินดนัยไม่ได้ และไม่เคยมีซักครั้งที่ผู้พันจะเอ่ยฝากฝังชินดนัยกับเขา มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ

          “จะไปไหนธรณ์” เขตแดนเอ่ยถามทันทีที่เห็นธรณ์ลุกพรวดขึ้นมา

          “ผมจะไปหาชิน ผมว่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ”

          “พี่ไปด้วย รอพี่เคลียร์งานเดี๋ยวนะ”

          ธรณ์เม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปฏิเสธไป

          “ไม่ต้องหรอกพี่เขตต์ ผมไปคนเดียวดีกว่า ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไปหาชินที่บ้านมันนั่นแหล่ะ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมโทรหา” เอ่ยจบธรณ์ก็ไม่คิดจะอยู่ฟังคำทักท้วงของเขตแดน เขาคว้าของได้แล้วก็เดินออกจากห้องทำงานทันที

          เหตุผลที่ธรณ์ปฏิเสธเขตแดนไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า เขารู้ว่าชินดนัยคงไม่อยากให้ใครมาเห็นตอนที่ตัวเองกำลังอ่อนแอ เขาเลยเลือกที่จะไปหาเพื่อนรักตามลำพังแทนที่จะพาเขตแดนไปด้วย

          ระยะทางจากบริษัทไปบ้านของชินดนัยไม่ไกล แต่ก็ทำเอาคนใจร้อนอย่างธรณ์ถึงกับหลุดเสียงสบถออกมาเป็นระยะ ใช้เวลาไม่นาน รถยนต์คันหรูก็มาจอดหน้าเรือนเล็กของชินดนัย ธรณ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่ารถของชินดนัยจอดอยู่ แปลว่าเจ้าตัวคงไม่ได้หนีหายไปไหนอย่างที่เขานึกกลัว

          พอลงมาจากรถ ธรณ์ก็ตรงเข้าไปที่เรือนเล็กด้วยความคุ้นเคย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ต้องรู้สึกแปลกๆ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดตากับร่างที่นอนแผ่อยู่ตรงโซฟา แค่ก้าวขาพรวดเดียว ธรณ์ก็ไปหยุดอยู่ข้างๆคนที่กำลังนอนเหม่อลอย พอเห็นเพื่อนรักนอนหมดสภาพ ดวงตาแดงก่ำ ท่าทางอิดโรยเหมือนอดหลับอดนอน ธรณ์ก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ

          “ชิน...เกิดอะไรขึ้นกับมึง”

          ชินดนัยเหลือบสายตามามองเพื่อนรักช้าๆ เขาพยายามจะฝืนยิ้มออกมา แต่สำหรับธรณ์แล้ว...มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ธรณ์คุกเข่าลงนั่งข้างๆโซฟา สองมือประคองใบหน้าเพื่อนรักเอาไว้ก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

          “มึงไหวหรือเปล่า...”

          “กูยังไหว...”

          ถึงแม้ชินดนัยจะตอบว่ายังไหว แต่ธรณ์ดูสภาพเพื่อนแล้วก็ต้องบอกเลยว่า...ชินดนัยไม่ไหวจริงๆ ชินดนัยที่อยู่ตรงหน้าเขา ราวกับเป็นคนละคนกับชินดนัยที่เขาเคยรู้จัก

          “เกิดอะไรขึ้น เล่าให้กูฟังหน่อยได้ไหม”

          ชินดนัยค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาจากโซฟาช้าๆ พอเห็นเพื่อนรักลุกขึ้นมานั่งแล้ว ธรณ์เลยลุกไปนั่งข้างๆชินดนัย ดวงตาคมที่มองตรงมามีแต่ร่องรอยของความเจ็บช้ำ ก่อนที่ชินดนัยจะค่อยๆเบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากให้ธรณ์เห็นความอ่อนแอของตัวเอง

          “ชิน ตอนนี้มีแค่กูกับมึง กูรู้ว่ามึงเป็นแค่คนธรรมดา มึงไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ถึงกูจะไม่สามารถทำให้มึงหายเจ็บได้ แต่กูอยากให้มึงดีขึ้น...แค่ซักนิดก็ยังดี”

          ทันทีที่ธรณ์พูดจบ ชินดนัยก็คว้าเอาร่างเพื่อนรักเข้าไปกอดแน่น แม้จะอึดอัดจนรู้สึกเจ็บ แต่ธรณ์ก็ยอมนั่งนิ่งๆอยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนรัก เขาลูบหลังลูบไหล่อีกฝ่ายไปมาเป็นเชิงปลอบ แม้จะไม่ได้ยินเสียงสะอื้นดังออกมา แต่อาการตัวสั่นสะท้าน และความเปียกชื้นที่หัวไหล่ก็เป็นหลักฐานที่แสดงความเสียใจของชินดนัยได้เป็นอย่างดี

          “เขา...ไปแล้ว...” เสียงแหบระโหยเอ่ยออกมาเป็นห้วงๆ

          “เขาอาจจะแค่ไปออกพื้นที่เหมือนทุกที มึงอย่าเพิ่งด่วนตัดสินไปก่อน”

          ชินดนัยแค่นยิ้มออกมา เพราะรู้จักกันมาเกือบตลอดชีวิต เขาถึงกล้าพูดว่ารู้ใจอีกฝ่ายมากกว่าใคร และรู้ดีว่าอีกคนตั้งใจไปจากเขา ไม่ว่าเหตุผลที่จากไปคืออะไร แต่ชนวีร์ก็ได้จากเขาไปแล้ว

          “ถ้าไม่ได้จะหนีกูไปจริงๆ คงไม่โทรบอกให้มึงมาดูกูหรอก”

          “มึงรู้”

          ชินดนัยไม่ตอบ แต่เบือนสายตาไปทางอื่น

          “แล้วทำไมผู้พันถึงไป”

          สำหรับธรณ์แล้ว เขารู้จักผู้พันมานานเกือบเท่าระยะเวลาที่รู้จักชินดนัย สายตาที่อีกคนมองชินดนัย ไม่ต้องอธิบายออกมาเป็นคำพูดก็รู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ทำไม...ทำไมผู้พันถึงได้ทิ้งชินดนัยไปโดยไม่บอกสาเหตุ

          “พ่อกับแม่กูรู้เรื่องแล้ว”

          แค่ประโยคเดียวที่หลุดออกจากปากชินดนัย ธรณ์ก็สามารถเดาเรื่องทั้งหมดได้ทันที ธรณ์เคยสงสัยและนึกกลัวแทนชินดนัย ถ้าวันหนึ่งที่บ้านของชินดนัยเกิดรู้ถึงความสัมพันธ์ของชินดนัยกับผู้พันเข้า เรื่องราวมันจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่คิด

          ไม่แปลกที่ท่านนายพลกับคุณหญิงจะยอมรับความสัมพันธ์ของชินดนัยกับผู้พันไม่ได้ ตระกูลจิรวงศ์เองก็เป็นตระกูลใหญ่ ยิ่งท่านนายพลกับคุณหญิงต่างก็มีหน้ามีหน้าตาในวงสังคม หนำซ้ำชินดนัยยังเป็นลูกชายคนเดียวอีก มันคงไม่ใช่เรื่องที่สามารถยอมรับกันได้ง่ายๆอย่างแน่นอน

          “ที่กูเข้มแข็งอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะเขา พอไม่มีเขา กูก็เป็นแค่คนธรรมดา...”

          “ชิน มึงต้องเข้มแข็งสิ กูเชื่อว่าผู้พันจะต้องกลับมา”

          “กูรู้ว่าเขาจะกลับมา แต่เมื่อไหร่ จะให้กูอยู่อย่างไร้จุดหมายแบบนี้เหรอ กูเคยคิดว่า...เราจะพยายามไปด้วยกัน แล้วทำไม...ทำไมถึงได้ทิ้งกูไปง่ายๆแบบนี้วะ”

          ถ้อยคำอัดอั้นหลุดออกมา พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ นานแค่ไหนกัน ที่ไม่เคยมีน้ำตา ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอแบบนี้ คงเป็นตอนที่รู้ว่ามีอีกคนอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่มีแล้ว น้ำตามันถึงได้ไหลออกมาง่ายๆ นับประสาอะไรกับเรื่องที่จะให้ทำตัวเข้มแข็ง มันยากเกินไปจริงๆ...

          “ถึงไม่มีผู้พัน แต่มึงก็ต้องเข้มแข็งนะชิน มึงต้องพยายามให้พ่อแม่มึงยอมรับให้ได้”

          “กูจะพยายามไปเพื่ออะไรในเมื่อเขาไม่อยู่”

          ธรณ์ประคองใบหน้าชินดนัยเอาไว้ จ้องลึกลงไปในดวงตาของเพื่อนรัก

          “ตอนนี้มึงอ่อนแอได้ แต่ชินดนัยที่กูรู้จักไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆแบบนี้ กูจะช่วยมึงสืบหาผู้พันอีกแรง สัญญากับกู...ว่ามึงจะอ่อนแอแค่ตอนนี้ แล้วกลับมาเป็นชินดนัยคนเดิม ชีวิตมึงยังมีวันพรุ่งนี้ อย่าเอาแต่จมปลักอยู่กับวันนี้...สัญญากับกู”

          ชินดนัยพยักหน้าช้าๆ ถึงจะอยากจมอยู่กับความเจ็บปวดให้นานแค่ไหน แต่มันก็ไม่ใช่วิสัยของเขา กมือปาดคราบน้ำตาออกช้าๆ ได้แต่ยิ้มหยันให้กับสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่

          ...ตอนอยู่ด้วยกันไม่เคยมีน้ำตา แต่พออีกคนจากลาแค่เพียงวันเดียว น้ำตาก็รินไหลอย่างห้ามไม่ได้ จะมีใครที่น่าสมเพชไปกว่าเขาอีกไหม...

          ก็ได้แต่หวัง...ว่าเขาจะกลับมาเป็นชินดนัยคนเดิมเร็วๆ

          เขาเชื่อว่าชนวีร์จะกลับมา แต่เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่?...

          ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ถ้าคำตอบของคำถามคือคำว่า ‘ตลอดไป’ เขาก็ยังยินดีที่จะรอ เพราะหัวใจ...มันให้ไปหมดทั้งดวงแล้ว

          “ถ้ามึงเข้มแข็งเมื่อไหร่ก็ไปคุยกับพ่อแม่มึงดีๆซะ คุยกันให้รู้เรื่องไปเลย”

          พอได้ยินที่ธรณ์เอ่ย ชินดนัยก็ฉุกคิดทันที ถ้ามีสติอยู่กับตัวซักนิด เขาน่าจะฉุกคิด...ถ้าจะมีใครซักคนรับรู้ว่าชนวีร์หายไปไหน คนๆนั้นก็คงจะเป็นท่านนายพลอย่างไม่ต้องสงสัย


====================


          “เข้ามา...”

          ทันทีที่ได้ยินเสียงอนุญาต ชินดนัยก็เปิดประตูห้องหนังสือเข้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เอ่ยถามถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาตลอดหลายวันทันที

          “พ่อส่งพี่วีร์ไปไหน?”

          ท่านนายพลเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร กวาดสายตาดูลูกชายคนเดียวอย่างพิจารณา ยอมรับเลยว่าสภาพชินดนัยดีกว่าวันแรกที่กลับมา ส่วนหนึ่งคงต้องขอบคุณธรณ์ที่พาตัวเองมาอยู่กับชินดนัยเกือบทุกวัน

          วันแรกที่เห็นชินดนัยพาตัวเองกลับมา ท่านนายพลแทบไม่อยากเชื่อสายตา ว่าเขาจะเลี้ยงชินดนัยให้กลายเป็นคนที่อ่อนแอเพราะความรักได้ถึงเพียงนี้ นับว่ายังดีที่ความอ่อนแอเหล่านั้นมีให้เห็นเพียงแค่ไม่กี่วัน ก่อนที่ชินดนัยจะกลับมาเป็นคนเดิมอย่างที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

          “ทำไมชินถึงคิดว่าพ่อจะรู้” ท่านนายพลเอ่ยถามพลางเอนหลังพิงพนัก ทอดสายตามองลูกชายนิ่งๆ

          “เวลาพี่วีร์มีภารกิจที่ไหน พ่อต้องรู้ทุกครั้งไม่ใช่เหรอไง”

          “แต่ครั้งนี้พ่อไม่รู้”

          ชินดนัยมองสบตาผู้ให้กำเนิดด้วยความไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของเขา ทำไมไม่ลองให้โอกาสเขาได้พยายามดูบ้าง ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการกีดกันเขากับชนวีร์ออกจากกันเลย

          “ผมจะให้คนไปสืบ”

          “ก็เอาสิ ถ้าคิดว่าอำนาจที่แกมีจะเหนือกว่าอำนาจของจิรวงศ์”

          “แล้วพ่อก็ยอมรับว่าพ่อรู้ พ่อส่งพี่วีร์ไปไหน”

          ท่านนายพลลุกขึ้นมาจากโต๊ะช้าๆ ก่อนจะค่อยๆเดินตรงมาหาชินดนัย

          “พ่อจะบอกอะไรแกให้นะชิน เลิกไร้สาระแล้วก็ฝันถึงสิ่งที่มันไม่มีทางเป็นจริงได้แล้ว แกคงไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะปล่อยให้ลูกชายคนเดียวเป็นเกย์หรอกนะ...”

          “พ่อ...”

          “เลิกถามได้แล้วว่าเจ้าวีร์มันไปไหน เพราะยังไงพ่อก็ไม่มีทางบอกแกแน่ๆ และที่สำคัญ...เตรียมตัวหมั้นกับหนูแพรพลอยได้เลย”

          การที่ต้องมารับรู้ว่าชนวีร์จากไป มันทำให้ชินดนัยเจ็บปวดมากแค่ไหน การที่ต้องหมั้นกับแพรพลอย ก็ไม่ต่างอะไรกับข่าวร้ายดีๆนี่เอง

          “พ่อไม่มีสิทธิ์บังคับผม ผมไม่หมั้นกับแพรแน่ๆ”

          สาบานเถอะ...ต่อให้ฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย ยังไงชินดนัยก็ไม่มีวันยอมหมั้นหรือแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาไม่รักเด็ดขาด อย่าให้เขาต้องเป็นคนใจร้ายด้วยการทำร้ายจิตใจผู้หญิงดีๆอย่างแพรพลอยเลย ผู้หญิงเพียบพร้อยอย่างแพรพลอย ไม่สมควรที่จะมาจมปลักอยู่กับผู้ชายที่ไม่มีวันรักเธอได้อย่างเขา

          “พ่อไม่ได้ถามความเห็นแกนะชิน เรื่องนี้พวกผู้ใหญ่เขาคุยกันแล้ว เตรียมตัวไว้เลย แต่งงานกับแพรพลอยแล้วมีหลานให้พ่อกับแม่อุ้มซะ เลิกคิดเลิกฝันถึงอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ซะที”

          “พ่อไม่สงสารผมก็ไม่เป็นไร แต่สงสารแพรหน่อยเถอะ อย่าดึงเธอมาเกี่ยวด้วยเลย เธออยู่ของเธอดีอยู่แล้ว อย่าให้เธอต้องมาทนทุกข์เพราะการแต่งงานกับคนอย่างผมได้ไหม”

          ถ้าจะมีคนต้องเจ็บปวด ก็ให้เป็นเขาแค่คนเดียวได้ไหม ชินดนัยไม่อยากเห็นแก่ตัว ไม่อยากทำร้ายใคร โดยเฉพาะผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อมอย่างแพรพลอย ท่านนายพลอาจจะบังคับให้เขาแต่งงานกับเธอได้ แต่ก็ไม่อาจบังคับให้เขารักเธอ และถ้าต้องแต่งงานกันไปโดยที่ไม่ได้รักกัน สุดท้ายคนที่ทุกข์และเสียใจจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่แพรพลอย

          “ถ้าไม่แต่งกับแพรพลอย แล้วแกจะแต่งกับใคร” ท่านนายพลเอ่ยถามเสียงห้วน

          ชินดนัยมองสบตาผู้เป็นพ่อนิ่ง แววตาเขาจริงจังกว่าที่เคยก่อนจะเอ่ยออกไปช้าๆ ทว่าชัดเจน

          “ผมไม่คิดที่จะแต่งงานกับใครอยู่แล้ว”

          “ชินดนัย!!”

          “พ่อสั่งได้แค่ร่างกายของผม ถึงยังไงพ่อก็สั่งใจผมไม่ได้ ถ้าพ่อไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว...”

          ท่านนายพลมองตามแผ่นหลังของชินดนัยที่เดินหันหลังจากไป แววตาแข็งกร้าวเมื่อครู่ของลูกชาย...นานแค่ไหนกันที่ไม่ได้เห็น ก็ได้แต่หวังว่า...

          “มั่นคงให้ได้ตลอดรอดฝั่งละกัน”


====================

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
          ชินดนัยนึกงงไม่น้อย เมื่อจู่ๆแพรพลอยก็นัดเจอเขาที่ร้านอาหาร แต่เขาก็ยอมไปตามที่หญิงสาวนัด พอมาถึงก็เห็นแพรพลอยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอนั่งรอให้เขาสั่งอาหารและเครื่องดื่มอย่างใจเย็น พอเห็นว่าเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

          “ขอบคุณนะคะ...”

          ชินดนัยเงยหน้ามองแพรพลอยที่เอ่ยขอบคุณเขาอย่างงงๆ หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนๆมาให้เขา พอเห็นว่าชินดนัยทำหน้างง เธอเลยขยายความออกมา

          “ที่คุณปฏิเสธเรื่องหมั้นไงคะ...”

          ชินดนัยชะงักไปนิดหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าแพรพลอยจะรู้เรื่องหมั้นหมายเหมือนกัน แต่เขาก็เลือกที่จะตอบออกไปตามตรง

          “ผมไม่อยากทำร้ายคุณ”

          แพรพลอยคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ชินดนัยยังคงดีกับเธอเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าเพียงแต่เธอกับเขารักกัน ทุกอย่างก็คงง่ายดาย แต่เธอกับชินดนัยไม่ได้รักกัน ชินดนัยมีคนรักอยู่แล้ว เธอเองก็ไม่ต่างกัน...

          “แพรรู้ว่าคุณมีคนรักอยู่แล้ว แพรเองก็ไม่ต่างกัน”

          คราวนี้ชินดนัยเป็นฝ่ายเบิกตานิดๆ เมื่อได้ยินที่แพรพลอยเอ่ยออกมา

          “หมายความว่าคุณเองก็มีคนรักเหมือนกัน ผมไม่เห็นทราบเลย”

          ริมฝีปากแดงที่ทาทับด้วยลิปสติกสีอ่อนขยับเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนแพรพลอยจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องของตัวเอง

          “คุณบอกว่าครอบครัวคุณไม่ยอมรับเรื่องของคุณ ของแพรเองก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ คนรักของแพรเขาเป็นลูกของคุณแม่บ้านในบ้าน เป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของแพร แต่อย่างเดียวที่เขาเป็นไม่ได้คือ...คนรักของแพร คุณแม่ไม่ยอมรับเรื่องที่แพรกับเขารักกัน แค่เพียงเพราะว่าเขาเป็นลูกของแม่บ้าน”

          ชินดนัยอดสงสารหญิงสาวไม่ได้ ไม่ใช่มีแค่เขาที่ต้องทนทุกข์เพราะความรักที่ไม่สมหวัง แพรพลอยเองก็ไม่ต่างกัน

          “เขาพยายามอย่างหนักเพื่อให้คุณแม่แพรยอมรับให้ได้ จนกระทั่งเขาสอบชิงทุนไปต่างประเทศได้สำเร็จ ตอนนี้เขากำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่อเมริกาค่ะ อีกไม่นานเขาก็จะกลับมาแล้ว แพรก็ได้แต่หวังว่าคุณแม่จะยอมรับเขาเสียที”

          “ผมเอาใจช่วยนะครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลย”

          “แพรเล่าเรื่องของแพรแล้ว ชินเล่าเรื่องของตัวเองบ้างสิคะ แพรอยากรู้...”

          ชินดนัยนิ่งเงียบไป ไตร่ตรองว่าควรเล่าให้แพรพลอยฟังดีหรือไม่ เธอจะรังเกียจไหม เขายังคงเชื่อว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่คนอื่นที่รับฟังเรื่องราวของเขาจะมองว่ามันสวยงามเหมือนกันหรือเปล่า สำหรับชินดนัยแล้ว ความรักระหว่างเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าป่าวประกาศเท่าไหร่

          “เรื่องมันก็ไม่มีอะไรหรอก พ่อแม่ผมไม่ยอมรับเรื่องของเรา ไม่ต่างอะไรจากคุณ”...แต่ของคุณยังโชคดีที่พอมีโอกาส ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ประโยคหลังชินดนัยได้แต่เอ่ยกับตนเองในใจ ก่อนจะฝืนยิ้มออกไป

          “แล้วคุณจะยอมให้เป็นแบบนี้เหรอคะชิน”

          “มันอาจจะต้องใช้เวลากว่าพ่อกับแม่จะยอมรับ แต่ผมจะพยายาม คุณเองก็เหมือนกัน”

          “ฉันพยายามแน่นอนอยู่แล้วค่ะ”

          ชินดนัยคลี่ยิ้มให้แพรพลอยบางๆ ยิ่งได้รู้ว่าเธอมีคนรักอยู่แล้ว เขายิ่งไม่อยากเห็นแก่ตัวโดยการหมั้นกับเธอตามคำสั่งของผู้ใหญ่

          “ผมสัญญา...ว่าจะไม่มีงานหมั้นหรืองานแต่งงานเกิดขึ้น”

          “ขอบคุณนะคะชิน ขอบคุณจริงๆ”


====================


          ชินดนัยมองพ่อแม่ของเขาและแม่ของแพรพลอยที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ถึงแม้สิ่งที่เขากำลังจะทำจะเป็นการหักหน้าผู้ใหญ่ แต่เขาก็จำเป็นต้องทำ ไม่ใช่เพื่อเขาเพียงคนเดียว แต่เพื่อแพรพลอย...คนที่มีความรักเหมือนกันกับเขา

          “ไม่ว่ายังไงผมก็หมั้นกับแพรไม่ได้”

          “ชินพูดเหมือนรังเกียจลูกสาวอา” คุณหญิงเพียงแขเอ่ยเสียงแข็งเหมือนกับไม่พอใจ

          “ผมไม่ได้รังเกียจลูกสาวคุณอาเลยครับ คุณแพรเธอเป็นคนดีมากๆ แต่ผมไม่ได้รักลูกสาวคุณอา และผมเองก็มั่นใจว่าคุณอาย่อมรู้เช่นกัน...ว่าคุณแพรไม่มีทางที่จะรักผม”

          “หมายความว่ายังไงชิน...” คุณหญิงชลลดาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

          ชินดนัยขยับจะอ้าปากเอ่ยอธิบาย แต่แพรพลอยที่นั่งอยู่ข้างๆก็สะกิดเขาเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนๆ

          “เรื่องนี้เป็นเรื่องของแพร ให้แพรเป็นคนพูดเองเถอะค่ะ...” แพรพลอยเอ่ยกับชินดนัยก่อนจะหันไปทางผู้ใหญ่ทั้งสาม “แพรต้องขอบคุณคุณลุงคุณป้าที่เอ็นดูแพร แต่แพรคงแต่งงานหรือหมั้นกับชินไม่ได้จริงๆ เพราะแพรมีคนที่แพรรักอยู่แล้ว”

          “ยัยแพร พูดอะไรออกมา”

          “แม่คะ อย่าขัดขวางความรักของแพรอีกเลยนะคะ แพรรักเขาจริงๆ ให้โอกาสเราสองคนได้พิสูจน์ตัวเองนะคะ”

          คุณหญิงกับท่านนายพลมองหน้ากันเป็นเชิงหารือ ก่อนที่คุณหญิงชลลดาจะหันไปเอ่ยกับคุณหญิงเพียงแข

          “จริงอย่างที่หนูแพรพูดเหรอคะคุณน้อง”

          คุณหญิงเพียงแขถึงกับชะงักไปก่อนจะหน้าเสีย

          “เดี๋ยวน้องขอกลับไปคุยกับลูกแพรให้รู้เรื่องก่อนนะคะ ไป...ยัยแพร ตามแม่กลับบ้าน”

          แพรพลอยถูกคุณหญิงเพียงแขพากลับบ้านไปแล้ว เลยเหลือเพียงชินดนัยที่นั่งอยู่กลางโถงรับแขกกับพ่อแม่ของตัวเอง

          “ผมหวังว่าพ่อคงจะไม่บังคับให้ผมหมั้นหรือแต่งงานกับคุณแพรอีกนะครับ” ชินดนัยเอ่ยกับผู้เป็นพ่อเสียงหนักๆ

          ท่านนายพลมองหน้าลูกชายคนเดียวช้าๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำ

          “อย่าเพิ่งดีใจไปชินดนัย ถึงจะไม่ต้องหมั้นกับแพรพลอย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อกับแม่จะยอมรับเรื่องแกกับชนวีร์”

          “ผมจะทำให้พ่อยอมรับให้ได้ ไม่ว่ามันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน”

          “พยายาม...ทั้งที่ไม่รู้ว่าเจ้าวีร์จะกลับมาหรือเปล่าน่ะหรือ”

          ดวงตาสองคู่มองสบกัน ชินดนัยไม่คิดจะหลบตาผู้เป็นพ่อแม้แต่น้อย เขาเสียใจมามากพอแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำหลังจากนี้คือพยายามพิสูจน์ตัวเอง ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน...หรืออาจจะตลอดไป

          “ผมจะพยายาม ต่อให้ต้องใช้เวลาที่เหลือเพื่อให้พ่อยอมรับ”

          “ทำให้ได้อย่างที่ปากพูดก็แล้วกัน”

          อาจจะเป็นการรอคอยที่ไม่มีจุดหมาย อาจจะเป็นการพยายามทำอะไรที่คนอื่นเห็นว่าไร้สาระ แต่สำหรับชินดนัย...

          ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำลงไปมีค่ามากกว่านั้น เพราะความรู้สึกที่มอบให้ไปและไม่คิดอยากเอากลับคืน มันเป็น... ‘มากกว่ารัก’


TO BE CONTINUE



# มาช้าเล็กน้อย ปรับลดความดราม่าลงมาเยอะเลย เริ่มจะซอฟต์ๆ
# ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกเหมือนละครหลังข่าวช่องเจ็ด >"<
# ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
3ปีจะว่านานก็นาน แต่เพื่อนเวลาที่เหลือที่จะได้อยู่ด้วยกันมันก็แปปเดียว

แต่คนที่ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหนเนี่ยสิ TT TT

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
มันดราม่าอ่ะ
ทำใจไม่ได้ ==

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เจ็บปวดกันทั้งสองคน แต่อย่างน้อยฝั่งผู้พันยังดีกว่าที่รู้จุดหมายปลายทาง แต่ทางชินต้องอดทนรออย่างไม่รู้อะไรเลย ฮืออออออออ

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
สามปีแน่ะ ผู้พันกับชินสู้ ๆ น๊าาา

+1 ค่ะ ขอบคุณมาก~^^

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
สามปี

พิสูตรรัก โอ้ว พี่วีร์วางแผนไว้แล้วใช่ม่ะเนี่ย

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
วีร์ชินพยายามเข้านะ

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
3 ปีพิสูจน์รักแท้..... 3ปี เพื่อที่จะได้รักกัน........

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
ชินกับพี่วีร์สู้ๆ นะ T T

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
สงสารทั้งชินกับผู้พันแต่เอนไปทางชินเพราะไม่รู้อะไรกับการแยกกันครั้งนี้
เจ็บปวดน่าดู ได้แต่ภาวนาให้ชินมั่นคงเพราะหลังสามปีจะได้เป็นไทยอย่าง
ที่ผู้พันหวังไว้

รอลุ้นค่ะ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
น้ำตาพรากเลย สงสารผู้พันกับชินฮือออออออ
3ปีจิ๊บๆเนอะ อดทนนะคู่นี้
สู้เค้านะ อย่าพึ่งหวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง เดี๋ยวก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

มากกว่ารัก

ตอนที่ 5



          “ผ่านมาเกือบสามปีแล้วสินะ...”

          ชายหนุ่มร่างสูงพึมพำออกมาเบาๆ ขณะทอดสายตามองดูสายฝนที่กำลังโปรยปรายผ่านกระจกหน้าต่าง บรรยากาศข้างนอกเริ่มขมุกขมัวและรถราก็เริ่มหนาแน่น สมกับเป็นวันศุกร์ปลายเดือนที่ฝนตก

          หน้าปฏิทินถูกพลิกเปลี่ยนวันแล้ววันเล่า วันเวลาเดินผ่านอย่างช้าๆ เมื่อเทียบกับความรู้สึกของคนที่ต้องรอคอย แม้ว่าจะผ่านมานานเกือบสามปี เขาก็ยังคงรอ...รอด้วยความเชื่อมั่นว่าซักวันอีกคนจะกลับมา ถึงแม้ว่าจะเป็นการรอคอยที่ไร้จุดหมาย

          หลายครั้งที่ชินดนัยนึกท้อ แต่ที่เขายังรออยู่ก็เพราะความเชื่อล้วนๆ แม้ธรณ์กับอเล็กซ์จะช่วยกันสืบข่าวมาตลอด ก็ล้วนแต่ความน้ำเหลวเสียทุกครั้ง ท่านนายพลเองก็เอาแต่ปิดปากเงียบ ไม่ยอมแย้มพรายให้เขารู้ซักนิด พอนานวันเข้า ชินดนัยเลยเหนื่อยที่จะซักไซ้เอาจากผู้เป็นพ่อ ได้แต่พยายามด้วยกำลังและความสามารถของตัวเอง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า...

          ...ในเมื่อโชคชะตาพาเรามาพบกัน ได้โปรด...ให้เราพบกันอีกครั้งได้ไหม...

          ช่วงแรกๆ ธรณ์กับอเล็กซ์ผลัดกันมาคอยอยู่เป็นเพื่อนเขา พอเห็นว่าเขาเริ่มดีขึ้นแล้ว เพื่อนรักสองคนเลยเริ่มหายห่วง มีบ้างนานๆทีที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียน แต่ต่างคนก็ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่การงานที่ต้องทำ ตัวเขาเองก็เอาแต่ทำงานหนักเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน แต่ทุกครั้งที่ว่างเว้นจากการทำงาน แม้เพียงแค่เสี้ยววินาที เขาก็ต้องคิดถึงชนวีร์อยู่เสมอ

          ...เกือบสามปีที่ไม่ได้พบ ไม่มีข่าวคราวส่งมา ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร
          คิดถึงกันจนแทบขาดใจเหมือนเขาหรือเปล่า...


          อย่างน้อย...เขาก็เชื่อว่าชนวีร์ยังมีชีวิตอยู่ แม้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้ เพราะผู้เป็นพ่อเคยกล่าวเอาไว้ว่า...

          ‘ถึงพ่อจะไม่ให้แกกับเจ้าวีร์เจอกัน แต่พ่อไม่มีทางยอมให้มันเป็นอะไรไปเด็ดขาด!’

          แม้เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาจะแสร้งทำเป็นว่าเข้มแข็ง แต่พออยู่คนเดียว ชินดนัยก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาที่อ่อนแอคนหนึ่ง หลายครั้งที่ตื่นมากลางดึกเพราะฝันร้าย ควานมือหาข้างกายก่อนจะพบแต่เพียงความว่างเปล่า ความว่างเปล่าที่ตอกย้ำให้เขาได้ตระหนักว่า...อีกคนได้จากไปแล้ว

          ชินดนัยยังคงแวะเวียนไปบ้านพักที่กรมอยู่บ่อยๆ หวังเสมอว่าเห็นผู้ชายตัวสูง เจ้าของผิวคร้ามแดดที่ชอบทำหน้านิ่งยืนอยู่ตรงชานบ้าน แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้งๆ สิ่งที่รอเขาอยู่ทุกครั้งที่ไปก็มีเพียงบ้านพักที่ปิดตาย

          “จะให้ผมรอถึงเมื่อไหร่กัน...”

          ชินดนัยหลับตาลงช้าๆ ซ่อนประกายปวดร้าวในดวงตา ทั้งรอและพยายามตามหา แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาก็มีแต่เพียงความว่างเปล่า เหมือนกับเดินอยู่ในอุโมงค์มืดๆ ที่ไม่รู้ว่าทางออกของมันอยู่ตรงไหน และต้องเดินไปถึงเมื่อไหร่กว่าจะได้พบกับแสงสว่าง

          จากกัน...มันไม่ทำให้ตาย แต่ความสุขของเขาก็หายไปตั้งแต่วันที่อีกคนจากไป

          ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูดึงชินดนัยออกจากความคิดของตัวเอง เขาพยายามปรับท่าทางให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยปากอนุญาต

          “เชิญครับ...”

          “รถเตรียมพร้อมแล้วนะคะท่านรอง”

          ชินดนัยหันมาคลี่ยิ้มบางๆให้กับแพรพลอย ผ่านมาเกือบสามปี แพรพลอยก็ยังคงทำงานเป็นเลขาให้เขา และเป็นเลขาที่รู้ใจเขามากเสียด้วย

          “บอกกี่หนแล้วว่าไม่ต้องเรียกผมว่าท่านรอง เรียกว่าชินเหมือนเดิมเถอะ”

          “ได้ยังไงคะ เดี๋ยวนี้คุณกลายเป็นรองประธานแล้วนี่นา”

          ชินดนัยส่ายหัวเบาๆ คร้านจะเถียงกับเธอ ถ้าแพรพลอยเรียกเขาว่าท่านรองแล้วสบายใจก็ปล่อยเธอไปเถอะ

          “ผมเคลียร์งานเรียบร้อยแล้วนะ ถ้ามีเหตุด่วนก็โทรศัพท์เข้ามือถือผมได้เลย”

          “เที่ยวให้สนุกนะคะ”

          “ผมไปทำงานครับแพร ไม่ได้ไปเที่ยว”

          “ถ้าไม่ติดงานแต่ง แพรก็อยากตามคุณไปหาลูกค้าที่ฝรั่งเศสเหมือนกันนะคะ ประเทศในฝันของแพรเลย”

          “อยู่เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเถอะ ยังไงเดี๋ยวผมจะดูของขวัญแต่งงานให้ด้วยเลยละกัน”

          ฟังผู้เป็นเจ้านายพูด แพรพลอยเลยเพิ่งนึกออก เธอขอตัวเดี๋ยวเดียวก่อนจะกลับมาพร้อมการ์ดแต่งงานสีทองในมือ

          “แพรลืมให้คุณทุกทีเลยค่ะ ถ้าไม่มางานแต่งของแพร แพรโกรธจริงๆด้วยนะคะ”

          ชินดนัยรับการ์ดแต่งงานมาถือเอาไว้ ก่อนจะพลิกไปมา เขารู้มาระยะหนึ่งแล้วว่าแพรพลอยกำลังจะแต่งงาน แต่เพิ่งจะมีโอกาสได้รับการ์ดเชิญจากเธอ เห็นแล้วก็อดยินดีกับเธอไม่ได้ที่คุณหญิงเพียงแขใจอ่อน ยอมให้แพรพลอยแต่งงานกับคนรักของเธอในที่สุด

          “งานแต่งของเลขาคนโปรดผมทั้งที ไม่ไปร่วมงานได้ยังไงล่ะ”

          “พูดเหมือนมีเลขาหลายคนเลยนะคะ”

          “มีคนเดียวก็พอแล้วครับ เก่งขนาดนี้”

          แพรพลอยหัวเราะออกมาทันที เธอทำท่าจะผละไป แต่สุดท้าย...อะไรบางอย่างก็ดลใจให้เธอหันกลับมาหาชินดนัยอีกรอบ

          “ชินคะ...แพรถามอะไรหน่อยได้ไหม”

          “ครับ?”

          “คุณรอมาเกือบสามปีแล้ว เคยคิดจะเลิกรอเขาบ้างหรือเปล่าคะ”

          ถ้าถามตามตรง ชินดนัยตอบได้เลยว่าเคย เขาเคยสงสัยว่าตัวเองจะรอไปทำไม แต่แล้วก็ได้คำตอบ...ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เผลอไผลหรือจงใจ เขาก็มักจะคิดถึงชนวีร์อยู่เสมอ แม้ไม่ได้เห็นหน้า แม้ไม่ได้อยู่ใกล้...แต่อีกฝ่ายก็ยังคงอยู่ในใจ อยู่ในความทรงจำไม่มีวันลางเลือน

          ไม่ว่าเมื่อไหร่...หัวใจก็จดจำทุกเรื่องราวเอาไว้เสมอ

          “เคยสิ บางทีผมก็รอจนเหนื่อย แต่ผมก็ยังจะรออยู่ดี เพราะผมเชื่อ...ว่าเขาจะกลับมา”

          “ขอให้เขากลับมาไวๆนะคะ แพรอยากเห็นคุณมีความสุขเสียที”

          “ขอบคุณครับ...”

          ชินดนัยเองก็ภาวนาให้การรอคอยของเขาสิ้นสุดลงเสียที สัญญาเลยว่าถ้าชนวีร์กลับมา เขาจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นๆในอ้อมแขน บอกซ้ำๆว่าเขาคิดถึงมากแค่ไหน และจะไม่ยอมให้อีกคนได้มีโอกาสไปไหนอีกแล้ว

          ...กลับมาเสียทีเถอะ...


====================


          ตามกำหนดการแล้ว แพรพลอยจะต้องเดินทางมาพบลูกค้าที่ฝรั่งเศสกับชินดนัย แต่เนื่องจากหญิงสาวต้องเตรียมตัวเข้าคอร์สเจ้าสาวสำหรับงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่อาทิตย์ คุณหญิงชลลดาเลยเป็นฝ่ายอาสามากับลูกชายเสียเอง

          “ความจริงผมมาเองก็ได้นะ แม่จะได้อยู่เป็นเพื่อนพ่อ” ชินดนัยเปรยขึ้นมา หลังจากรับกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว

          “แม่มากับชินดีแล้ว ยังไงพ่อเราเขาก็มีคนคอยอยู่ด้วย”

          “หมายถึงแม่บ้านกับพลทหารน่ะเหรอครับ เขากลัวพ่อกันจะแย่ ใครเขาจะอยากอยู่กับพ่อกัน”

          “ก็มีแล้วกันน่า” คุณหญิงตอบปัดๆ ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงคนที่จะมารับ “ว่าแต่เดี๋ยวลูกค้าเขาจะมารับเราใช่ไหมชิน”

          “ครับ ผมแจ้งไฟลท์ที่จะมาถึงกับเขาเรียบร้อยแล้ว เขาน่าจะรอเราอยู่ข้างนอก”

          “เดี๋ยวแม่ขอแวะเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”

          “ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ”

          “ไม่เป็นไรหรอก ออกไปรอแม่ข้างนอกเลยก็ได้ จะได้ดูว่าคนที่มารับเรา เขามาถึงหรือยัง”

          ชินดนัยพยักหน้ารับ แต่ไม่วายมองดูจนเห็นว่าผู้เป็นแม่เดินไปถึงทางเข้าห้องน้ำแล้ว ถึงเข็นรถเข็นเดินไปออกไป ทอดสายตามองอะไรไปเรื่อยเปื่อย สายตาก็กวาดหาคนที่มารอรับเขาไปด้วย ก่อนจะตัวแข็งทื่อ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่...

          ...แม้จะไม่ได้เจอกันสามปี แต่สาบานได้เลยว่า แค่เห็นแผ่นหลัง เขาก็ยังจดจำได้เสมอ...

          ผู้ชายเอเชียรูปร่างสูงใหญ่ที่โดดเด่นออกมาจากคนท้องถิ่นดึงดูดสายตาของชินดนัยเอาไว้ เสี้ยวหน้าด้านข้างที่เห็นยิ่งตอกย้ำความมั่นใจของเขา


          “พี่วีร์...”


          ชินดนัยครางชื่ออีกฝ่ายออกมาเบาๆ เผลอปล่อยมือออกจากรถเข็นอย่างไม่รู้ตัว สองขาก้าวเร็วๆเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่ความพลุ่กพล่านและคนมากมายที่สนามบินก็เป็นอุปสรรคอยู่ไม่น้อย ยิ่งเขาเข้าใกล้ เหมือนอีกฝ่ายยิ่งหนีห่าง เขาวิ่งตามไปเรื่อยๆ เอื้อมมือจะฉวยคว้าอีกคนเอาไว้ แต่กลับถูกดึงกลับมาด้วยแรงข้างหลัง

          “จะไปไหนน่ะชิน” คุณหญิงชลลดาเอ่ยถามลูกชายเสียงดุๆ

          “แม่!! ผมเจอพี่วีร์ ผมเจอพี่วีร์ที่นี่” ชินดนัยเอ่ยออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น แต่พอหันหลังกลับไป สิ่งที่เหลือไว้กลับมีเพียงความว่างเปล่า

          “ตาฝาดหรือเปล่าชิน”

          “ไม่ฝาดหรอกแม่ ผมจำได้ ผมจำพี่วีร์ได้จริงๆ ขอผมไปเดินหาอีกรอบได้ไหม”

          “อย่าไร้สาระน่าชิน ลูกค้าเขามารอเราแล้วไม่ใช่เหรอ รีบๆเดินไปหาเขาได้แล้ว” คุณหญิงชลลดาเอ่ยพลางชี้ไปทางคนฝรั่งเศสที่ถือป้ายชื่อยืนรอรับอยู่

          “แม่ แต่ว่า...”

          “ไม่มีแต่น่าชิน แม่บอกว่าตาฝาดก็ตาฝาดสิ ตาวีร์จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คุณหญิงเอ็ดลูกชายเสียงดุๆ

          “แล้วแม่รู้ได้ยังไงว่าพี่วีร์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แม่รู้เหรอว่าพี่วีร์อยู่ที่ไหน”

          “แม่ไม่รู้ เราอย่ามาเซ้าซี้แม่นะชิน”

          สุดท้ายชินดนัยก็ต้องยอมแพ้ เข็นรถเข็นตรงไปหาคนที่มารับ เขาเหลียวมองรอบตัวอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงเขาก็เชื่อหัวใจตัวเอง เชื่อว่าผู้ชายคนนั้นคือชนวีร์แน่ๆ

          ...จะถือว่าเป็นเบาะแสอย่างหนึ่งได้ไหม นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามปีเลย ที่ชินดนัยเจอผู้ชายที่เขากล้าปักใจว่าใช่ชนวีร์แน่ๆ...

          “ชิน เดินเร็วๆลูก” คุณหญิงชลลดาหันมาเรียกลูกชายที่ยังยืนชะเง้อชะแง้ไม่เลิก เธอได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ หวังว่าเรื่องบ้าๆนี่จะจบลงเสียที

          อันที่จริงแล้วเธออาจจะพลาดตั้งแต่ยอมให้ชินดนัยมาฝรั่งเศส เธอควรจะรู้ว่าสัญชาติญาณของชินดนัยเกี่ยวกับชนวีร์มันดีแค่ไหน แต่จะเรียกว่าพลาดก็ไม่ถูกนัก เพราะเธอเองก็คิดว่า...มันอาจจะสมควรแก่เวลาแล้ว

          ถึงชินดนัยจะทำตัวเป็นปกติมาตลอด แต่คนเป็นแม่ย่อมรู้ดีว่า...เกือบสามปีที่ผ่านมา ชินดนัยไม่ได้มีความสุขแม้แต่น้อยเลย อีกไม่นาน...คงได้เวลาคืนความสุขให้ลูกชายของเธอเสียที


====================

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

          ตลอดเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่อยู่ฝรั่งเศส ชินดนัยพยายามสืบเสาะหาข่าวของชนวีร์ทุกช่องทาง แต่ก็คว้าน้ำเหลวตลอด จนสุดท้ายเขาก็ต้องยอมแพ้ แล้วบินกลับประเทศไทยโดยที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมแม้แต่น้อย

          เอาเถอะ...หลังจบจากงานแต่งงานของแพรพลอย เขาอาจจะกลับไปอีกครั้ง เพราะเขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ

          “ไง แม่เขาบอกว่าแกตาฝาดจนเห็นเจ้าวีร์ที่สนามบินเหรอ” ท่านนายพลเดินมาทักชินดนัยที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

          “ผมไม่ได้ตาฝาด ผมเห็นพี่วีร์จริงๆ”

          ท่านนายพลทำทีเป็นเลิกคิ้วน้อยๆ ทั้งที่ในใจกำลังยิ้มกริ่ม เอากับเจ้าลูกชายคนเดียวของเขาสิ พอเป็นเรื่องของชนวีร์ทีไร สัญชาติญาณของมันดีทุกทีเลย

          “เหรอ แล้วแกจะทำยังไงล่ะ”

          “พอจบงานแต่งงานของแพร ผมจะบินไปฝรั่งเศสอีกรอบ”

          “อยากไปก็ไปสิ” ท่านนายพลเอ่ยอย่างไม่ยี่หระเท่าไหร่

          “เมื่อไหร่พ่อจะยอมบอกผมเสียทีว่าพี่วีร์อยู่ไหน นี่มันจะสามปีแล้วนะ”

          “แล้วถึงสามปีหรือยัง”

          “ยัง...”

          “ถ้ายังไม่ถึงก็รอไปก่อน รอสามปีแล้วแกค่อยมาถามพ่อใหม่ละกัน”

          แปลก...ทุกทีเวลาชินดนัยเอ่ยถามทีไร ท่านนายพลมักจะตอบปฏิเสธให้เด็ดขาดไปเลย แต่คราวนี้มาแปลก กลับบอกให้เขามาถามใหม่อีกที ชินดนัยหรี่ตามองผู้เป็นพ่อที่ทำหน้านิ่งด้วยความสงสัย

          “พ่อไม่ได้วางแผนอะไรไว้ใช่ไหม”

          “ชิน นอกจากแกจะตาฝาดแล้วแกยังเพ้อเจ้ออีกเหรอไง ไม่มีอะไรทำก็ไปได้แล้ว พ่อจะดูโทรทัศน์” เอ่ยจบ ท่านนายพลก็โบกมือเป็นเชิงไล่ทันที

          ชินดนัยส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินกลับเรือนเล็กของตัวเอง ปล่อยให้ท่านนายพลนั่งหัวเราะกับรายการโทรทัศน์ตามลำพัง

          มะรืนเป็นวันแต่งงานของแพรพลอยแล้ว เลขาคนเก่งของเขาคงเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในงานแน่ๆ เห็นคนอื่นเขามีความสุขกัน ชินดนัยก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ หรือเขา...จะเพ้อเจ้อไปเองอย่างที่ท่านนายพลพูด

          ชินดนัยฝืนยิ้มให้กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง ก่อนจะเปิดประตูเรือนเล็กเข้าไปช้าๆ อยู่คนเดียวมาเกือบสามปี แต่ก็ยังไม่ชินซะที ไม่สิ...ไม่ว่ายังไงเขาก็คงไม่มีทางชินแน่ๆ

          ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรือนเล็กยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับตัวเขา...ที่ยังยึดติดอยู่กับอะไรเดิมๆ และรอคอยคนๆเดิมอยู่เสมอ ตั้งแต่วันที่อีกคนจากไป เขาก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย อยากให้ทุกอย่างคงเอาไว้เหมือนตอนที่อีกคนยังอยู่ เพื่อว่าเวลาที่เขากลับมาบ้าน จะได้เฝ้าหลอกตัวเองไปวันๆว่า...ชนวีร์ยังอยู่ ชนวีร์ยังไม่ได้ไปไหน แค่ไปออกพื้นที่ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็กลับมา

          หลายครั้งหลายคราที่ฝันถึง ถ้าเลือกได้ ชินดนัยก็ไม่อยากตื่นจากความฝันเลย ในฝันยังได้เจอกัน แต่พอตื่นมาทุกอย่างก็พลันสลายหายไป

          ชินดนัยทิ้งตัวลงนอนบนเตียง สอดแขนเข้ารองศีรษะตัวเองก่อนจะต้องชะงัก เมื่อสัมผัสถึงวัตถุบางอย่างที่สอดอยู่ใต้หมอน...


          โคลท์ ดีเฟนเดอร์ .45 !!


          แม้จะไม่ใช่ทหาร แต่ลูกทหารอย่างเขามีหรือจะไม่คุ้นเคยกับปืนผาหน้าไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ปืนที่เขาเป็นคนเลือกซื้อเองกับมือ ปืนที่สลักชื่อของเขาเอาไว้ แล้วให้เป็นของขวัญวันเกิดอีกคน ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่หยิบมาใช้จะได้เตือนใจให้นึกถึงคนที่รออยู่ข้างหลังอย่างเขา

          ที่ผ่านมาชนวีร์ไม่เคยปล่อยให้ปืนกระบอกนี้อยู่ห่างตัวเลยซักครั้ง เหมือนกับเจ้าของปืน...ที่ไม่เคยอยู่ห่างจากเขาเลย ในวันที่ชนวีร์จากไป เขาก็อุ่นใจว่าอีกคนยังมีปืนกระบอกนี้ไว้ดูต่างหน้า บัดนี้...เมื่อปืนกระบอกนี้มาปรากฏแก่สายตา เหตุใดชินดนัยจะไม่เข้าใจความนัยที่อีกคนต้องการสื่อ


          “...กลับมาแล้วใช่ไหม...?”


          ถึงแม้จะไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็น แต่การส่งสัญญาณให้รู้แบบนี้ราวกับคนส่งสาสน์ต้องการจะบอกเขาว่า...การรอคอยที่ยาวนานมันจวนจะสิ้นสุดลงแล้ว

          คฤหาสน์หลังใหญ่รายล้อมด้วยผู้คนมากมาย การที่อีกคนอุกอาจขนาดเอาปืนเข้ามาวางใต้หมอนเขาได้ แสดงว่าต้องมีคนรู้เห็นเป็นใจแน่ๆ

          ชินดนัยยกปืนขึ้นมาพิศดูไปมา ถึงแม้ไม่ได้เห็นและไม่ได้จับมานาน แต่ปืนกระบอกนี้คือกระบอกเดียวกับที่เขาซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้ชนวีร์ไม่ผิดแน่ๆ เขาค่อยๆจรดริมฝีปากลงกับด้ามปืน ย้ำรอยประทับหนักๆ...ราวกับจะฝากไปถึงเจ้าของปืน

          ปืนกลับมาหาเขาแล้ว ชินดนัยก็ได้แต่หวังว่า...เจ้าของของมันคงจะตามมาในไม่ช้า


====================


          “แต่งตัวดีๆหน่อยชิน”

          คุณหญิงชลลดาที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย พร้อมสำหรับออกงานเดินมาจับหูกระต่ายของลูกชายเป็นการใหญ่ ท่านนายพลเองก็เอาแต่ยืนยิ้มๆ ปล่อยให้แม่เขาจัดการลูกชายตามสบาย

          “แม่ครับ ผมไม่ใช่เจ้าบ่าวนะ” ชินดนัยประท้วงเสียงอ่อย

          แรกเริ่มเดิมที ชินดนัยก็ว่าจะสวมสูทธรรมดาไปงานแต่งงานของแพรพลอย เพราะงานจัดแบบเรียบง่ายเป็นกันเอง แต่คุณหญิงชลลดาก็เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการพาเขาไปตัดสูท เลือกชุด เลือกรองเท้าให้เขาเสร็จสรรพ เขาเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ทั้งที่เห็นว่ามันไม่จำเป็นเลยซักนิด

          “ได้ยังไงล่ะชิน งานนี้สาวๆมากันเยอะแยะ เผื่อจะมีใครมาตกหลุมรักลูกชายแม่บ้าง”

          ชินดนัยทำหน้าเบ้ทันที ถึงช่วงหลังมานี้ คุณหญิงชลลดากับท่านนายพลจะไม่บังคับให้เขาแต่งงานหรือไปดูตัวกับลูกสาวคนนั้นคนนี้ แต่พอมีผู้หญิงทำท่าสนใจเขาเมื่อไหร่ คุณหญิงชลลดาก็ทำหน้าปลาบปลื้มทุกครั้งไป และอดมาเลียบๆเคียงๆถามเขาไม่ได้ ซึ่งชินดนัยก็ย้ำกลับไปให้คนเป็นแม่ชื่นใจทุกครั้งว่า

          ‘ผมไม่ชอบผู้หญิงคนไหนหรอก’

          เห็นลูกชายทำท่าเหมือนไม่แยแส ไม่สนใจอะไรไยดีผู้หญิงนับสิบที่ดาหน้าเข้ามาให้เลือก คุณหญิงเลยได้แต่ยอมแพ้ ทำใจแล้วว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้มีลูกสะใภ้กับใครเขาแน่ๆ

          “ไปได้แล้วมั้งแม่ ไปสายเดี๋ยวรถก็ติดหรอกครับ”

          ลงท้ายชินดนัยก็ต้องเป็นฝ่ายตัดบท คว้าเอาผู้เป็นแม่ไปควงแขน แล้วเดินนำไปที่รถ ปล่อยให้ท่านนายพลเดินตามหลังมา ตรวจตราความเรียบร้อยอะไรเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน

          งานแต่งงานของแพรพลอยจัดที่โรงแรม แต่เชิญแขกไม่มากนัก ส่วนมากก็เชิญเฉพาะแขกเหรื่อที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน ซึ่งทางครอบครัวของชินดนัยก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น เพราะนอกจากจะสนิทสนมกันเป็นอย่างดีแล้ว แพรพลอยยังถือเป็นเลขาคนสนิทของชินดนัยอีก งานนี้เจ้านายที่แสนดีอย่างชินดนัยเลยมาร่วมงานด้วยความเต็มใจ

          ถึงแม้จะออกตัวว่าเป็นงานแต่งงานเล็กๆ เชิญเฉพาะแขกเหรื่อที่สนิทสนมกันจริงๆ แต่พอมาถึงงาน ชินดนัยก็ต้องยอมรับเลยว่าแขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็มีไม่น้อย เขาเดินตรงเข้าไปยื่นกล่องของขวัญให้กับเพื่อนเจ้าสาวที่นั่งรับแขกอยู่ ก่อนจะก้มลงเขียนข้อความอวยพรแล้วรับของชำร่วยมาถือเอาไว้

          “ท่านรองคะ มาถ่ายรูปกับแพรหน่อยเร็ว” เจ้าสาวคนสวยร้องบอกก่อนจะโบกไม้โบกมือให้ชินดนัย

          ชินดนัยได้แต่ส่ายศีรษะอย่างระอา ตั้งแต่คนรักของแพรพลอยกลับมา แพรพลอยก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แม้แต่เขาเองยังสัมผัสได้ถึงความสดใสและความสุขที่ตลบอบอวลอยู่รอบตัวเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันสำคัญอย่างวันแต่งงานวันนี้ ดวงหน้าของเธอกระจ่างไปด้วยรอยยิ้มจนเขาอดนึกอิจฉาไม่ได้ งานแต่งงานทำให้ผู้หญิงทุกคนกลายเป็นคนที่สวยที่สุดจริงๆ

          “ขอกอดแพรหน่อยนะครับ” ชินดนัยหันไปบอกเจ้าบ่าวยิ้มๆ พออีกฝ่ายพยักหน้าให้ เขาก็รั้งแพรพลอยเข้ามากอดเอาไว้ ลูบหลังเธอเบาๆ กระซิบอวยพรข้างหู “ยินดีด้วยนะแพร ในที่สุดวันที่คุณรอคอยก็มาถึงเสียที ขอให้มีความสุขในชีวิตคู่มากๆ ขอบคุณที่เป็นทั้งเลขา เป็นทั้งเพื่อน และเป็นน้องสาวของผม”

          “ชินก็เหมือนกันนะคะ แพรขอให้ชินมีความสุขเสียที...”

          แพรพลอยกอดตอบชินดนัยเบาๆ ก่อนจะค่อยๆผละออกจากกัน แล้วหันไปหาตากล้องที่ยืนรอถ่ายรูปบ่าวสาว ชินดนัยถ่ายรูปกับบ่าวสาวไปหลายรูป กว่าแพรพลอยจะยอมให้เขาเดินไปสมทบกับท่านนายพลและคุณหญิงชลลดาที่ยืนรออยู่กับบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่

          บรรยากาศของงานแต่งเป็นไปอย่างเรียบง่ายและสบายๆ ชินดนัยถึงกับหลุดยิ้มออกมา เมื่อเจ้าสาวคนสวยที่ร่าเริงถึงกับน้ำตาซึม เมื่อสไลด์งานแต่งฉายอยู่บนจอโปรเจคเตอร์ เดือดร้อนถึงเจ้าบ่าวต้องรีบรั้งเจ้าสาวเข้ามาใกล้ก่อนจะซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

          แล้วช่วงเวลาที่สาวๆรอคอยก็มาถึง เมื่อแพรพลอยถือช่อดอกไม้เอาไว้ ก่อนจะยืนหันหลังให้กับบรรดาแขกเหรื่อ

          “ชิน ไม่ออกไปรอรับช่อดอกไม้เหรอลูก”

          “ผมจะรับไปทำไมครับแม่ เขามีแต่ให้ผู้หญิงรับ แล้วผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้แต่งงานด้วย”

          แต่ใครจะรู้ ช่อดอกไม้ในมือแพรพลอยกลับลอยละลิ่วจนมาหยุดอยู่หน้าชินดนัย แล้วสุดท้าย คนที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้แต่งงานก็ต้องยื่นมือไปคว้าเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้

          “ถ้าได้ช่อดอกไม้จากเจ้าสาว เขาว่าจะได้แต่งงานเป็นรายต่อไปนะ”

          ชินดนัยยิ้มหยันออกมาเมื่อได้ฟังความเชื่อที่คนอื่นกล่าว เขาไม่หวังจะได้แต่งงานเป็นรายต่อไป ขอเพียงแค่อีกคนกลับมา...และเราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ต้องมีอะไรมากมาย เขาขอแค่นี้จริงๆ

          หลังจบพิธีต่างๆ ก็เป็นงานเลี้ยงในหมู่เพื่อนๆของเจ้าบ่าวเจ้าสาว พวกผู้ใหญ่พากันกลับไปก่อนแล้ว แม้แต่ท่านนายพลกับคุณหญิงเองก็เช่นกัน ชินดนัยหยิบแก้วไวน์มาเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆเดินเลี่ยงออกจากห้องบอลลูมไปยังเทอเรซของโรงแรม บรรยากาศดีๆแบบนี้ เขาเองก็ยังไม่อยากรีบกลับไปนั่งเหงาคนเดียวที่บ้านเหมือนกัน วงดนตรีข้างในกำลังบรรเลงเพลงอย่างครื้นเครง คงมีแต่เขา...ที่ต้องเหงาอยู่คนเดียว

          อยากจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาธรณ์ แต่ก็เกรงใจเขตแดน ส่วนเรื่องที่จะให้โทรหาอเล็กซ์ หมอนั่นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ คงไม่ว่างมารับสายเขาแน่ๆ

          “มีแขกผู้มีเกียรติท่านหนึ่งขอเพลงนี้ไว้นะคะ มอบให้กับคุณชินดนัย...”

          เสียงพิธีกรที่ดังแว่วมาทำเอาชินดนัยนึกขำ คงจะเป็นคนชื่อซ้ำกับเขาแน่ๆ ใครที่ไหนกันจะมาขอเพลงให้เขา แต่พอบทเพลงบรรเลงขึ้นมา กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับถูกสาป


...แสงของพระจันทร์สะท้อนคืนวันมืดหม่น
จะลืมใครซักคน ยากจะลบเลือนความผูกพัน
รักเพียงครั้งหนึ่ง...ติดตรึงไปจนนิรันดร์
ที่เราเคยรักกัน นานแค่ไหนใจยังจดจำ...
...ความรักไม่จางหาย
ไม่มีใครที่จะพรากมันไปจากฉัน...ได้ทั้งนั้น
หัวใจมันเก็บไว้ รักเธอเสมอ จะรอเธอ
ต่อให้กาลเวลาผ่านไป...ซักแค่ไหน
หัวใจ...ไม่เคยหยุดรักเธอ


          ชินดนัยแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงลงมา คนเลือกเพลงก็ช่างเลือกได้ตรงใจเขาเหลือเกิน แต่บางที...อะไรที่มันตรงใจเราเกินไปก็ทำให้เราเจ็บได้ง่ายๆเหมือนกัน ชายหนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นจิบช้าๆ หวังจะดับความฟุ้งซ่านที่กำลังก่อตัว

          คืนนี้บรรยากาศดี มีแต่กลิ่นไอของความรัก ขนาดพระจันทร์ยังเป็นใจทอแสงสีนวลลงมา คงมีแต่เขาที่ยืนเหงาอยู่ตรงนี้ ได้แต่ฮัมเพลงที่เพิ่งจบไปเบาๆ

          “ต่อให้กาลเวลาผ่านไป...ซักแค่ไหน หัวใจ...ไม่เคยหยุดรักเธอ”

          ทันทีที่เสียงเพลงจบลง วงแขนแข็งแรงก็ยื่นมาโอบรอบตัวเขาอย่างถือวิสาสะราวกับรอโอกาสนี้อยู่ ริมฝีปากร้อนผ่าวยื่นมากระซิบชิดใบหูจนได้กลิ่นที่คุ้นเคย กลิ่นอ่อนๆที่โชยมายังไม่อาจทำให้หัวใจกระตุกได้เท่าประโยคที่เอ่ยออกมา


          “Veux-tu m'épouser?”


          ร่างกายของชินดนัยพลันแข็งทื่อ หน้าร้อนผ่าวเอาดื้อๆ ไม่รู้ด้วยฤทธิ์ไวน์หรือประโยคสื่อความนัยจากใครบางคน ทั้งที่มีคำพูดที่อยากจะพูดมากมาย แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว สิ่งที่หลุดออกมาจากปากกลับมีเพียงแค่...

          “กลับมาแล้วเหรอ”

          “กลับมาแล้ว...”

          “ขอบคุณที่กลับมา...”
       
          “ขอบคุณที่รอกัน...”


จบ









          เดี๋ยว...ยังมีต่ออีกนิด...


          วงแขนแข็งแรงกระชับแน่นเข้ากว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยถามคำถามเดิมซ้ำข้างหู...

          “Veux-tu m'épouser?”

          คำถามที่ดังซ้ำมาอีกครั้งให้ได้กระดากอาย พาลทำให้นึกถึงช่อดอกไม้เจ้าสาวที่เพิ่งฝากผู้เป็นแม่เอากลับไป บ้าน่า...เขาจะต้องแต่งงานเป็นคนต่อไปจริงๆน่ะหรือ

          “ตอบเร็ว นายได้ช่อดอกไม้จากเจ้าสาวไม่ใช่เหรอไง ก็ต้องแต่งงานเป็นคนต่อไปสิ...”

          “พี่รู้?...”

          “Veux-tu m'épouser?”

          ท้ายที่สุดแล้ว...ก็มีเพียงแค่คำตอบแผ่วๆที่ดังออกจากปาก

          “Oui...”

          ส่วนคนที่เอ่ยขอก็คลี่ยิ้มบางๆในความมืด ฮึมฮัมเพลงที่ทำเอาคนฟังหน้าแดงหนักกว่าเดิม


...และเรามีเพียง...งานวิวาห์เดียวดายภายใต้แสงจันทร์
สุขสกาวดวงดาวแพรวพราวนับหมื่นร้อยพัน
ร่วมกันเป็นพยานแห่งรัก ที่ไม่มีพิธีใดจักสำคัญ...เหนือใจ


          ดวงดาวและดวงจันทร์เป็นพยาน ไม่ต้องเป็นพยานในงานวิวาห์ แค่เป็นพยานว่า...เราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ว่าจะต้องเจออะไรก็ตาม เราจะผ่านพ้นมันไปด้วยกัน...


จบบริบูรณ์


* Veux-tu m'épouser? = Will you marry me?


# จบแล้วววว ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากๆเลยนะคะ /กราบ/
# สงสัยค่าตัวผู้พันจะน้อย ออกมากระจึ๋งนึง หวานสุดแค่นี้ ฮาาาาาา
# ตอนแรกกะจะจบแค่ตอนที่ชินดนัยถามว่ากลับมาแล้วเหรอด้วย แถมอีกนิด
# ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกคนที่ติดตามนะคะ หวังว่าจะมีความสุขกับเรื่องนี้  :กอด1:

ออฟไลน์ kuichai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณค่ะ

ชอบมากกกกกกกกกกก ทั้ง เขตแดน ธรณ์ ชินดนัย ชนวีร์ อเล็กซ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
สิ้นสุดการรอคอยพี่วี&ชิน
มีการขอแต่งงานด้วย หวานส่งท้าย

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ขอฉากหวานๆของชินกับพี่วีร์อีกสักตอนเถอะนะ

ได้โปรด  :man1:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ยังไม่ฟินเลยค่ะ มาต่อตอนพิเศษอีกนิดนะ :mew2:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ชื่นใจครับ
ขอบคุณ
 :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
มีความสุขค่ะ รู้สึกเหมือนแต่งลูกสาวออกเรือนเลยล่ะ ^^
แต่หมั่นไส้ท่านนายพลนิดๆ ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด