▬ " รักคืนรัง " ▬ 「จบบริบูรณ์」
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ▬ " รักคืนรัง " ▬ 「จบบริบูรณ์」  (อ่าน 270308 ครั้ง)

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
คู่นี้คงอึมครึมแบบนี้ไปจนจบ
ขออย่า sad ending นะครับ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
เรื่องมันดูหน่วงๆดีจังเลย
พี่่่่วีร์ไปออกรบทีก็ดูหนวงแล้วนะ
ยังต้องมากังวลเรื่องครอบครัวอีก
เอาใจช่วยชินกับพี่วี

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
คู่นี้พ่อแม่จะยอมรับหรือเปล่านะ น่าหนักใจแทนจัง

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
ดีใจที่กลับมาค่ะ

รอผู้พันและชินดนัยเสมอ

ขอบคุณมากค่ะ +1 ^^

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
หายไปนานจนงง แต่พอมาอ่านใหม่อีกรอบแล้วอยากกรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!

ฟินเป็นระยะๆๆ กับผู้พัน

ออฟไลน์ biw43

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ
ขอบคุณมากนะค่ะ

 o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

มากกว่ารัก

ตอนที่ 2


               หลังจากเข้ารายงานตัวที่กรมตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเรียบร้อยแล้ว ผู้พันชนวีร์ก็เดินทางกลับค่ายเพื่อสะสางงานต่างๆที่ยังคงคั่งค้างอยู่ โดยไม่ลืมโทรศัพท์มาบอกชินดนัยว่าอาจจะกลับมากรุงเทพฯช้ากว่ากำหนด น่าจะกินเวลาอีกราวหนึ่งถึงสองอาทิตย์ คนที่อยู่กรุงเทพฯเอ่ยถามถึงบาดแผลจากการผ่าตัด พอรู้ว่าหายดีแล้วก็สั่งคนแก่อุดมการณ์ให้ดูแลรักษาตัวดีๆ อย่าได้เที่ยวเอาตัวเองไปรับลูกกระสุนหรือคมมีดที่ไหนอีก คนรับคำสั่งก็ได้แต่หัวเราะแผ่วๆก่อนจะวางสายไป

               ด้านคนที่อยู่ทางกรุงเทพฯเองก็เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานที่บริษัทของคุณหญิงชลลดา ผู้เป็นแม่ ชินดนัยเริ่มศึกษาจากงานเล็กๆน้อยๆที่ตรงสายกับที่เขาเรียนจบมา ง่วนอยู่กับการวางแผนการตลาดสำหรับสินค้าของบริษัท คว้าเอาดินสอมาขีดๆเขียนๆสิ่งที่ตัวเองคิดลงบนกระดาษเปล่า ก่อนจะต้องเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกรบกวนด้วยเสียงโทรศัพท์

               “ชินดนัยพูดครับ”

               (นี่แม่เองนะลูก ยุ่งอยู่หรือเปล่า)

               “นิดหน่อยครับ ผมกำลังลองร่างแผนการตลาดของบริษัทเราออกมาคร่าวๆ แม่มีธุระด่วนหรือเปล่า”

               (เปล่าค่ะ แม่แค่จะบอกว่า เดี๋ยวไปกินข้าวกลางวันกับแม่นะ)

               “ครับผม”

               ชินดนัยรับคำก่อนจะวางโทรศัพท์ลง แล้วหันมาก้มหน้าก้มทำงานต่อ คนที่อยู่ที่ค่ายก็เลือกทางเดินของตัวเอง เลือกที่จะเป็นทหารตามพ่อบังเกิดเกล้า ส่วนเขา...ก็เลือกที่จะเข้ามาสืบทอดกิจการของคุณแม่

               ถึงทางเดินของเราจะต่างกัน แต่เขาก็หวังว่า...เราจะได้เดินไปด้วยกัน

               ชินดนัยนั่งทำงานโดยไม่ได้สนใจเวลา กว่าจะรู้ตัวว่าเที่ยงก็ตอนที่ประตูห้องทำงานของเขาเปิดออก แล้วเห็นคุณหญิงชลลดาก้าวฉับๆมายืนอยู่ข้างๆ ให้ต้องส่งรอยยิ้มแหยๆไปให้

               “โทษทีครับแม่ พอดีผมลองเขียนแผนแล้วเพลินไปหน่อย” ชินดนัยเอ่ยก่อนจะรีบรวบเอกสารเก็บไว้มุมหนึ่งของโต๊ะทำงาน

               “ไฟแรงจริงนะเรา เก็บของแล้วไปกินข้าวกับแม่ได้แล้ว”

               ชินดนัยทำตามคำสั่งของผู้เป็นแม่อย่างว่าง่าย เขาเก็บของให้เรียบร้อยแล้วเดินเคียงคุณหญิงชลลดาลงมาที่ลานจอดรถ ก้าวขึ้นไปประจำตำแหน่งคนขับบนรถของตัวเอง มีผู้เป็นแม่นั่งอยู่เคียงข้างคอยบอกทางไปร้านอาหาร พอเห็นระยะทางเริ่มห่างจากออฟฟิศออกมาเรื่อยๆ ชินดนัยเลยอดไม่ได้ ต้องเปรยออกมาด้วยความสงสัย

               “ร้านไหนครับเนี่ย มาซะไกลเชียว”

               “อ้าว...นี่แม่ยังไม่ได้บอกชินอีกเหรอลูก ว่าเดี๋ยวเพื่อนแม่เขาจะมากินข้าวกับเราด้วย”

               ชินดนัยเลิกคิ้วนิดๆ พอชำเลืองมองผู้เป็นแม่ที่นั่งอมยิ้มน้อยๆก็นึกรู้ทันที เขาได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่คงไม่พ้นอีหรอบเดิมอีกแน่ๆ

               “เพื่อนคนที่ว่าก็คือคุณหญิงเพียงแขกับลูกสาวใช่ไหมครับ”

               “ลูกชายแม่ฉลาดมากจัง”

               ชินดนัยได้แต่นั่งนิ่งๆ จดจ่อสายตาไปที่ถนนข้างหน้า เหตุการณ์มันเป็นแบบนี้สองสามครั้งได้แล้ว ที่คุณหญิงพยายามจับคู่เขากับแพรพลอย แต่เขาก็พยายามเลี่ยงมาโดยตลอด รู้ดีว่าคงรักใครไม่ได้อีก เขาเลยไม่อยากให้หรือแม้กระทั่งทำลายความหวังใคร แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เขาก็รู้สึกผิดกับพ่อแม่มากแล้ว อย่าให้ใครต้องมาเสียใจเพราะเขาอีกเลย

               ถ้าอีกคนที่อยู่ห่างกันหลายร้อยกิโลเมตรรู้เขาจะว่าอย่างไรบ้าง ถ้ารู้ว่าเขากำลังถูกจับคู่แบบเนียนๆ คนๆนั้นก็คงไม่วายต้องหงุดหงิดตามเคย เพราะฉะนั้นก็สู้อย่าให้รู้เลยจะดีกว่า ให้เขาเป็นคนเดียวที่ต้องลำบากใจก็เพียงพอแล้ว


====================


               ชินดนัยจอดรถลงหน้าร้านอาหารไทยบรรยากาศสบายๆ ดับเครื่องให้เรียบร้อย แล้วก็เดินเข้าร้านไปพร้อมกับผู้เป็นแม่ เขาเห็นคุณหญิงเพียงแขและลูกสาวนั่งรออยู่มุมหนึ่งแล้ว พอเขากับคุณหญิงชลลดาเดินไปถึง แพรพลอยก็ยกมือไหว้คุณหญิงชลลดา เช่นเดียวกับเขาที่หันไปยกมือไหว้คุณหญิงเพียงแข ก่อนจะยิ้มให้แพรพลอยตามมารยาท

               “พี่มาช้าไปหน่อย ไม่ว่ากันนะคะ”

               “ไม่เป็นไรค่ะคุณพี่ น้องกับยัยแพรก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน เชิญคุณพี่สั่งอาหารเลยค่ะ”

               ชินดนัยกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ ถ้าเพิ่งมาถึงจริงๆ...น้ำแข็งในแก้วคงไม่ละลายจนหมด แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เพียงแค่ชะโงกหน้าไปช่วยผู้เป็นแม่ดูรายการอาหารและเลือกสั่งมาสามสี่อย่าง ที่ดูแล้วน่าจะเพียงพอสำหรับสี่คน รีบกินแล้วจะได้รีบกลับไปทำงานต่อเสียที

               “จริงๆพี่น่ะเคลียร์งานเสร็จเร็ว แต่ชินน่ะสิ เอาแต่นั่งทำงาน...” คุณหญิงชลลดาเอ่ยพร้อมกับปรายตามองลูกชายยิ้มๆ

               ชินดนัยไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ยิ้มน้อยๆเมื่อคุณหญิงเพียงแขมองมาทางเขา ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่กำลังเร่งทำคะแนนให้ ไม่ต่างอะไรจากคุณหญิงเพียงแข ที่พยายามพูดถึงลูกสาวของตัวเองไม่ขาดปาก เลยกลายเป็นว่ามีแค่สองคุณแม่ที่เอาแต่ผูกขาดการสนทนาบนโต๊ะอาหาร

               หลังกลับมาจากนิวยอร์ก ชินดนัยมีโอกาสได้เจอแพรพลอยอยู่สองสามครั้ง ส่วนมากมักจะเป็นเหตุมัดมือชกที่เขาไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อย อย่างเช่นคราวนี้ เขาพอรู้มาจากผู้เป็นแม่ว่าแพรพลอยอายุเท่าเขา เพิ่งเรียนจบกลับมาจากซานฟรานซิสโก ท่าทางเธอก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร แต่เขาไม่ได้นึกชอบเธอ มันก็แค่นั้น

               “น้องให้ยัยแพรไปสมัครงานหลายที่ นี่ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกเลย เห็นยัยแพรอยู่บ้านว่างๆ น้องก็กลัวว่ายัยแพรจะเบื่อเอาเสียก่อน”

               “อ้าว...แล้วทำไมไม่ให้หนูแพรทำงานที่บริษัทของน้องแขล่ะคะ”

               “น้องอยากให้ลูกออกไปหาประสบการณ์จากที่อื่นก่อนค่ะ จริงไหมลูก?”

               “ถ้างั้นพี่ว่าให้หนูแพรมาเป็นเลขาตาชินไหมล่ะ ตาชินเองก็ยังไม่มีเลขาพอดี”

               ชินดนัยที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ถึงกับชะงักค้าง รีบกลืนข้าวแล้วเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ทันที คุณหญิงชลลดาเคยจะหาเลขาให้เขาแล้วหนหนึ่ง แต่เขาก็ปฏิเสธไป เพราะคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นแม้แต่น้อย แต่หนนี้เห็นทีเขาคงปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ ถ้าปฏิเสธออกไป จะต่างอะไรกับการหักหน้ามารดาตัวเอง อีกทั้งยังคุณหญิงเพียงแขและแพรพลอยที่มองมาที่เขาอีก ถึงเขาจะไม่ใช่คนดีล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ชินดนัยก็มั่นใจว่าตัวเองยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง

               “ถ้าเกิดตาชินลำบากใจ...” คุณหญิงเพียงแขแสร้งเอ่ยออกมาเสียงอ่อยคล้ายกับเกรงใจ จนคุณหญิงชลลดาต้องหันมาถามย้ำเอากับลูกชาย

               “ชินลำบากใจหรือลูก?”

               “เปล่าครับแม่...”

               “งั้นก็ให้หนูแพรไปเป็นเลขาชินนะลูก”

               ในเมื่อผู้เป็นแม่พูดออกมาขนาดนี้ เขาจะปฏิเสธอะไรได้เล่า แต่จะให้เขาหักหน้าผู้ใหญ่กลางโต๊ะอาหาร ชินดนัยก็ทำไม่ได้จริงๆ ได้แต่นึกหวังในใจว่ามันจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แต่ใครเลยจะรู้ว่าคำขอร้องของเขาจะไม่เป็นผล

               “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วชินพาหนูแพรไปที่ออฟฟิศเรานะ จะได้ไปดูที่ทางอะไรให้เรียบร้อย”

               “แล้วแม่จะไปไหนครับ”

               “เดี๋ยวแม่ไปประชุมสมาคมกับอาแข แล้วให้อาแขไปส่งแม่ที่บ้าน ค่อยกลับไปเจอกันที่บ้านตอนเย็นเลย”

               ชินดนัยได้แต่พยักหน้ารับอย่างยอมจำนน เขากินข้าวต่ออีกไม่กี่คำก็พาลรู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมา เลยรวบช้อนส้อมเข้าหากัน คว้าแก้วน้ำมาดื่มให้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยขอตัวกับผู้ใหญ่สองคน แล้วเดินนำแพรพลอยไปยังรถที่จอดอยู่ด้านนอก ไม่วายได้ยินเสียงแม่เขาเอ่ยกำชับตามหลังมา

               “ดูน้องดีๆด้วยนะชิน”

               ชินดนัยผงกหัวรับ ก่อนจะหันมายิ้มให้คนข้างตัวเนือยๆ อีกฝ่ายก็เพียงแค่ยิ้มกลับมา เขาเปิดประตูให้เธอตามประสาสุภาพบุรุษที่ดี เสร็จแล้วถึงอ้อมไปฝั่งคนขับ

               “ชิน...อยู่กับแพรแล้วอึดอัดหรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างเกรงใจ หลังเห็นเจ้าของรถมีท่าทีกระอักกระอ่วน

               “เปล่าหรอก ผมแค่ไม่ชินเท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะ ถ้าทำให้แพรไม่สบายใจ”

               “ไม่เป็นไร แพรไม่ใช่คนคิดมากอยู่แล้ว แต่คุณแม่เราสองคนตลกกันจังเลยเนอะ”

               “แล้วแพรลำบากใจหรือเปล่า”

               “ไม่เลย แม่แพรน่ะชอบพูดถึงชินให้ฟังอยู่เรื่อยๆ จนแพรคิดว่าตัวเองต้องรู้จักชินดีมากแน่ๆ ชินเป็นคนเก่งนะ แพรอยากเก่งอย่างชินบ้างจัง ถ้าแพรมาเป็นเลขาชิน แพรต้องได้เรียนรู้อะไรเยอะขึ้นแน่ๆ”

               คงไม่เสียหายอะไร ถ้าเขาคิดจะคบแพรพลอยเป็นเพื่อน เท่าที่ได้รู้จักและพูดคุยกันมาสองสามครั้ง เธอเองก็ดูอัธยาศัยดีไม่ใช่น้อย แต่ก็เพื่อนเท่านั้น ที่เขาจะเป็นให้เธอได้

               เพราะหัวใจ...มันไม่มีที่เหลือไว้ให้ใครอีกแล้ว


====================


               หลังจากได้แพรพลอยมาเป็นเลขา ชินดนัยก็อดยอมรับออกมาไม่ได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงเก่งจริงๆ แพรพลอยทำงานด้วยความคล่องแคล่วและกระฉับกระเฉง การมีเธอเป็นเลขา เรียกได้ว่าทำให้งานของเขาเบาลงไปเยอะ เพราะเธอคอยจัดการทุกอย่างให้เขาเสร็จสรรพ เล่นเอาคุณแม่ของชินดนัยถึงกับปลื้มแพรพลอยมากกว่าเดิมหลายเท่า จนเก็บไปชมเปาะให้ท่านนายพลฟังอยู่บ่อยครั้ง

               “คุณพูดถึงหนูแพรทุกวันเลยนะ” นายพลชานนท์เอ่ยแซวภรรยายิ้มๆ

               “หนูแพรเขาน่ารักจริงๆนี่คะ ช่วยตาชินตั้งหลายอย่าง ว่างๆฉันจะชวนหนูแพรมากินข้าวที่บ้านเราบ้าง ถ้าคุณเห็นคุณต้องเอ็นดูหนูแพรแน่ๆ ชินว่าดีไหมลูก?”

               “อย่าเลยครับ เดี๋ยวใครเขาจะเอาแพรไปพูดในทางที่ไม่ดี”

               “ผมว่าที่เจ้าชินพูดมาก็ถูกนะ คุณจะใจร้อนใจเร็วไปไหน นี่ลูกเราเพิ่งเรียนจบเองนะ คุณทำอย่างกับลูกเราอายุสามสิบ กลัวลูกจะหาเมียไม่ได้เหรอไงกัน”

               “คุณก็...ฉันก็ไม่อยากให้คนดีๆอย่างหนูแพรหลุดมือไปนี่คะ”

               ตอนแรกเขาก็ว่าจะนั่งฟังเงียบๆ ไม่เอ่ยแสดงความคิดเห็นออกไป แต่ในเมื่อพูดมาขนาดนี้ จะให้เขาอยู่นิ่งเฉยต่อไปก็คงไม่ได้

               “แม่หมายความว่ายังไงครับ”

               “ไหนๆชินเองก็ยังไม่มีใคร หนูแพรเองก็เหมือนกัน แม่อยากดองกับทางคุณหญิงเพียงแขเขา เท่าที่ดูหนูแพรเขาก็ไม่มีอะไรเสียหายไม่ใช่หรือไงลูก”

               ชินดนัยแทบจะสำลักแกงจืดออกมา เขายอมรับเลยว่าแพรพลอยดีทุกอย่าง เธอสวย เรียบร้อย และเก่งแบบผู้หญิงยุคใหม่ เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายหลายๆคนต้องนึกชอบเพียงแรกเห็น มันติดอยู่แค่เพียงอย่างเดียว...เขาไม่ได้รักแพรพลอย และคงไม่มีวันที่จะรักเธอได้อย่างแน่นอน

               “คุณก็ไปบังคับลูกมัน ดูอย่างเจ้าวีร์สิ...นี่มันขึ้นเป็นผู้พันแล้วยังไม่เคยพาสาวมาไหว้ผมกับคุณเลย”

               ชินดนัยนึกอยากถอนหายใจที่พ่อเขาเอ่ยเบี่ยงประเด็นให้พ้นตัวไป แต่ก็ถอนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ในเมื่อประเด็นที่ถูกเปลี่ยนก็ไม่ได้ห่างจากตัวเขาซักเท่าไหร่เลย

               “ตาวีร์เอาแต่ออกแนวหน้า แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปหาสาวล่ะ ถ้าว่างๆคุณก็ทำเรื่องย้ายตาวีร์กลับมาหน่อยเถอะ ฉันห่วงลูกจะแย่แล้ว จะได้หาคู่ให้เป็นฝั่งเป็นฝาด้วย”

               สำหรับท่านนายพลแล้ว ในฐานะพ่อ ที่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆ ต้องยอมรับเลยว่าเขาภูมิใจในตัวชนวีร์มาก แล้วยิ่งในฐานะของนายทหารด้วยกัน ความสามารถที่เห็นและเสียงชื่นชมหนาหูที่ได้ยิน ยิ่งทำให้เขานึกรักลูกชายบุญธรรมไม่ต่างจากลูกแท้ๆ บางทีอาจจะถึงเวลาที่เขาต้องทำเรื่องขอย้ายชนวีร์กลับมาประจำที่กรมเป็นการถาวรแล้วก็เป็นได้

               “เดี๋ยวผมจะลองหาโอกาสดูละกัน แต่ไม่รู้ว่าเจ้าวีร์มันจะยอมหรือเปล่านะ คุณก็รู้ว่าอุดมการณ์มันแรงจะตาย”

               “ชินก็ช่วยแม่พูดกับพี่เขาหน่อยนะลูก จะได้กลับมาอยู่บ้านอยู่ช่องพร้อมหน้าพร้อมตากันซะที ตาวีร์ออกแนวหน้าทีไร แม่นอนไม่หลับทุกที ไม่รู้จะเจ็บกลับมาอีกไหม” คุณหญิงเปรยก่อนจะถอนหายใจช้าๆ

               “ครับ”

               ถึงแม้จะรับปากผู้เป็นแม่ออกไป แต่ชินดนัยก็นึกสงสัยว่าอย่างชนวีร์น่ะหรือจะฟังเขา ถ้าฟังเขาซักนิด อีกฝ่ายคงย้ายตัวเองกลับมาอยู่ที่กรมนานแล้ว ไม่เที่ยวลาดตระเวนไปนั่นไปนี่ให้เขาต้องห่วงอยู่บ่อยๆหรอก

               “ชิน...พ่อกับแม่มีลูกอยู่สองคน ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าเห็นลูกชายสองคนเป็นฝั่งเป็นฝา พ่อกับแม่จะได้นอนตายตาหลับ เข้าใจไหมลูก”

               ชินดนัยเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นแม่ พอเห็นสายตาที่มองมา เขาก็ต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีแทน สายตาของคุณหญิงชลลดามันปะปนกันระหว่างความรักและความคาดหวัง จนเขากลัว...กลัวว่าตัวเองจะเป็นคนทำลายความหวังของพ่อแม่ให้ย่อยยับลงไปกับตา เขา...เป็นลูกอกตัญญูหรือเปล่านะ?

               “หึ...เรายังอยู่กับลูกอีกนานน่ะคุณ จะเร่งมันไปไหน เผลอๆคุณกับผมคงได้อยู่จนอุ้มหลานพอดี”

               ถ้าความคาดหวังของแม่เปรียบเสมือนมีดกรีดลงกลางใจ ถ้อยคำถัดมาของพ่อก็ไม่ต่างอะไรจากเปลวไฟที่แผดเผาเขา พระเจ้าเท่านั้นที่รู้...ว่าเขาไม่อาจมีหลานให้พ่อกับแม่ได้จริงๆ หรือถ้าต้องมี มันก็คงเป็นไปด้วยความจำใจ ไม่ใช่ความเต็มใจของเขา

               “แต่ฉันไม่อยากให้หลานเป็นทหารแล้วนะคุณ” คุณหญิงแว้ดออกมาอย่างเคืองๆ เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากท่านนายพลได้เป็นอย่างดี คงมีเพียงชินดนัยเท่านั้นที่หัวเราะไม่ออก

               เขาจิกเล็บเข้ากับฝ่ามือตัวเองจนเจ็บ ถึงความรักจะยังเป็นความลับ แต่ความคาดหวังของพ่อกับแม่ล่ะ...เขากล้าทำลายมันลงหรือ?

               เขาอาจจะทำร้ายคนอื่นได้อย่างเลือดเย็น แต่เขาไม่อาจทำร้ายบุพการีตัวเองได้ อย่าว่าแต่ทางกายเลย แค่ทางใจเขายังไม่เคยคิดที่จะทำ ถ้ามีใครซักคนต้องแบกรับความเจ็บปวดและความอึดอัดเอาไว้...ให้มันเป็นเขา แค่เขาคนเดียวก็พอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันหนักหนาสาหัส เขาจะรับมันเอาไว้ทั้งหมดเอง


====================


               ชินดนัยนอนก่ายหน้าผากอยู่บนโซฟาในเรือนเล็ก เรือนเล็กที่เป็นอาณาจักรส่วนตัวของเขา ในสมองมีแต่คำพูดของพ่อกับแม่วนเวียนราวเข็มนับพันเล่มที่พร้อมจะทิ่มแทงลงมา ก่อนจะต้องสะดุ้งจากภวังค์ เมื่อเสียงโทรศัพท์ดัง เขาคว้ามาก่อนจะกดรับโดยไม่คิดที่จะดูชื่อ

               “ชินดนัยพูดครับ...”

               (ฉันเอง...)

               มีอยู่เพียงคนเดียว เสียงที่เขาจำแม่นกว่าเสียงของตัวเอง แค่ได้ยินเสียง...หัวใจก็เต้นระรัวด้วยความคิดถึง ถึงจะไม่นานที่เราจากกัน แต่ทุกครั้งที่จากไป ใจมันก็คอยแต่จะกระวนกระวายอยู่เสมอ แค่ได้ยินเสียง แค่รู้ว่ายังปลอดภัยดี แค่นี้ก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้

               “สบายดีหรือเปล่า” ความรู้สึกข้างในมันมากมาย แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกไปได้แค่ประโยคง่ายๆ

               (คิดถึงนาย...)

               “ตอบไม่ตรงคำถาม”

               (แล้วตรงใจไหม)

               “ถ้าคิดถึงมากนัก...ก็รีบกลับมาเร็วๆสิ”

               เสียงทุ้มห้าวหัวเราะแผ่วๆมาตามสาย ไม่ว่าได้ยินเมื่อไหร่ก็ทำให้สบายใจได้ทุกครั้ง เขาเล่าเรื่องราวในแต่ละวันให้อีกฝ่ายรับรู้ นานๆทีปลายสายถึงจะออกความเห็น ส่วนมากก็ครางอือเบาๆ แต่เขารู้ดีว่าอีกคนฟังอยู่ตลอด

               (ตั้งใจเรียนรู้งานไว้เยอะๆล่ะ อีกหน่อยนายจะได้ทำแทนแม่ แล้วให้แม่พักบ้าง)

               “ฮื่อ ผมก็พยายามอยู่นี่ไง แต่ผมเพิ่งเรียนจบเองนะ”

               (ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบ ถ้าเหนื่อยก็พักบ้าง)

               “คราวนี้ไม่ต้องลงพื้นที่ใช่ไหม แม่เป็นห่วง จะให้พ่อย้ายพี่กลับมาแล้วนะ”

               (คราวนี้ไม่ต้องลงพื้นที่ บอกแม่ว่าเดี๋ยวก็กลับไปแล้ว กลับไปจะไปกอดแน่นๆเลย)

               ชินดนัยยิ้มตามน้อยๆ ก่อนจะประหวัดคิดถึงบทสนทนากับพ่อแม่เมื่อซักครู่ คิดไม่ตกว่าจะเล่าให้อีกคนฟังดีหรือไม่ สุดท้ายเลยตัดสินใจเรียกออกไป

               “พี่...” เสียงที่เอ่ยออกไป มันสั่นจนแม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกได้ และคนฟังก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน เสียงหัวเราะเลยเงียบหายไป แล้วกลายเป็นความกังวลเข้ามาแทนที่

               แม้จะบอกตัวเองว่าไม่อยากทำให้อีกคนลำบากใจ แต่ในบางเวลา...เขาก็ต้องการกำลังใจจริงๆ

               (เป็นอะไร ไม่สบายใจอะไร บอกฉันมา อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว นายก็รู้...ว่าฉันยืนอยู่ข้างๆนายเสมอ)

               ชินดนัยสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและยาวนาน ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยถามออกไป แม้จะรู้ดีว่าเป็นคำถามที่คนฟังไม่ชอบใจแม้แต่น้อย

               “ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันจะเป็นยังไง”

               (มันจะไม่มีวันนั้น...)

               ถ้อยคำที่เอ่ยออกมา ย้ำหนักแน่นหวังจะให้เขาสบายใจ แต่สาบานได้เลยว่า ชินดนัยไม่ได้รู้สึกสบายใจเลยแม้แต่น้อย

               “แล้วถ้าพ่อกับแม่รู้ล่ะ... พี่คิดว่าพ่อกับแม่จะยอมรับได้เหรอ”

               เป็นระยะเวลานานที่ความเงียบเข้าปกคลุม จนสุดท้าย...เสียงถอนหายใจก็ดังมาตามสายโทรศัพท์ เสียงถอนหายใจที่หนักหน่วงราวกับจงใจจะให้อีกคนได้ยินด้วยเช่นกัน เสียงถอนหายใจที่ดังก้องจนสะเทือนเข้าไปถึงข้างในใจ

               (แต่ฉันก็ไม่ยอมอยู่โดยไม่มีนาย ฉันเคยบอกหรือยัง...ว่านายไม่ใช่คนรัก เราไม่ใช่คนรักกัน แต่นายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน)

               “ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงแล้วทำให้เราได้อยู่ด้วยกัน ผมก็อยากเกิดเป็นผู้หญิงมากกว่า”

               ถึงแม้จะเป็นแค่เพศที่ขวางกั้นเราเอาไว้ แต่มันกระเทือนไปถึงเกียรติยศ ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล และสถานะทางสังคม

               (นายจะเป็นเพศไหนมันไม่สำคัญ เพราะที่สำคัญสำหรับฉัน...ก็มีแค่นาย)

               “แต่บางครั้ง...มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการเสมอไป”

               (อย่าเพิ่งคิดในสิ่งที่มันยังมาไม่ถึงเลย...)

               แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ นั่นคือคำถามที่ชินดนัยได้แต่เฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า

               เขาไม่ใช่คนเข้มแข็ง เขาก็แค่ผู้ชายธรรมดา...เจ็บได้ เสียใจเป็น

               บางครั้งก็เฝ้าถามตัวเองอยู่หลายครั้ง...

               ...ถ้าให้เรารักกันไม่ได้ แล้วจะให้เราเจอกันทำไม...

               โชคชะตามันขีดกำหนดเส้นทางทุกอย่างเอาไว้แล้ว กำหนดให้เราได้มาเจอ กำหนดให้เราได้รักกัน แล้วอยากจะถามต่อเหมือนกันว่า...จะกำหนดให้เรื่องราวของเราลงเอยกันอย่างไร


====================


               ไม่ใช่แค่คนที่อยู่เมืองหลวงเท่านั้นที่นอนก่ายหน้าผากด้วยความกังวล คนที่อยู่ค่ายก็ไม่ได้ต่างกันเลย ตะกอนความอึดอัดมันหนาแน่นเสียจนต้องผุดลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วออกมานั่งอยู่ริมระเบียงบ้านพัก ทอดสายตาเหม่อมองออกไปไกล

               ...มีหลายครั้งเหลือเกินที่ชนวีร์นึกอยากเดินเข้าไปบอกท่านนายพลกับคุณหญิง ว่าเขารักลูกชายคนเดียวของพวกท่าน ขอให้เขาดูแลชินดนัยได้ไหม แต่เขาก็ไม่ได้ทำอย่างที่ใจต้องการ ไม่ใช่ไม่กล้า แต่บุญคุณที่ทั้งสองเลี้ยงดูเขามามันมากมายเสียจนเขาไม่อยากให้พ่อแม่บุญธรรมของเขาต้องเสียใจ

               ไม่ใช่ความผิดของเขาและชินดนัยที่รักกัน และที่สำคัญ...ถ้าเขาสองคนจะรักกันไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ความผิดของท่านนายพลและคุณหญิง แต่เขาก็เพียงอยากขอ...ขอแค่การยอมรับ ให้เขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน เขาไม่ได้ต้องการเปิดเผยอะไรให้ใครในสังคมรับรู้ แค่ได้อยู่ด้วยกันเรื่อยไป มันก็เป็นอะไรที่วิเศษสำหรับเขาแล้ว

               “ยังไม่นอนอีกเหรอครับผู้พัน พรุ่งนี้ต้องเข้าประชุมแต่เช้านะครับ” ผู้กองติสรณ์ที่เดินผ่านมา อดเอ่ยทักคนที่มียศสูงกว่าไม่ได้

               “ผมนอนไม่ค่อยหลับ นั่งคุยกันหน่อยไหมผู้กอง”

               คนถูกชวนยิ้มรับ ก่อนจะเดินขึ้นมาตรงระเบียงบ้านพัก

               “ผู้พันมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ผมเห็นพักนี้ผู้พันดูเครียดๆ ถึงผมจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ผมรับฟังได้นะ”

               ชนวีร์นิ่งไปเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าความตึงเครียดของเขาแสดงออกมาจนแม้แต่คนใต้บังคับบัญชายังรู้สึกได้

               “ผู้กอง...ผู้กองเคยรักใครมากๆ แม้จะรู้ว่ามันอาจจะไม่สมหวังหรือเปล่า”

               ผู้กองติสรณ์ส่ายหน้าช้าๆ หากในใจก็อดสงสัยไม่ได้ หน้าตาดี มียศ มีตระกูลอย่างผู้พัน มีโอกาสที่จะไม่สมหวังกับใครเขาด้วยหรือ

               “ถ้ารู้ว่าไม่สมหวัง ผมก็คงตัดใจตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับผู้พัน”

               “ถ้ามันตัดกันได้ง่ายๆอย่างที่ผู้กองพูดก็คงดีสิ”

               “มันก็มีสองทางแล้วล่ะครับผู้พัน ถ้าไม่ตัดใจแล้วถอยออกมา ก็มีแต่ต้องเดินหน้าท้าชน”

               ที่ผู้กองติสรณ์พูดมาก็ถูก...ในเมื่อเขาเลือกที่จะรักแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาเลือกที่จะเดินหน้า ที่เหลือก็มีเพียงแค่ต้องเดินไปให้จนถึงปลายทาง

               “ว่าแต่ผู้พันมีคนที่ชอบแล้วเหรอครับ ผมไม่ยักรู้เลยแฮะ”

               “ไม่ได้ชอบหรอกผู้กอง แต่ผมรักเขา...รักมากเลยล่ะ”

               “จะแต่งเมื่อไหร่ อย่าลืมแจกการ์ดเชิญผมด้วยนะผู้พัน”

               ถ้อยคำกระเซ้าเย้าแหย่ทีเล่นทีจริงของลูกน้อง ทำเอาชนวีร์ถึงกับนิ่งเงียบ สิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยมา แม้ว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เขาคงทำให้ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ เขากับชินดนัยคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานกัน ขอแค่ให้ได้อยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้ว

               ...ถ้าย้อนเวลากลับไปก่อนจะความรู้สึกผูกพันมันจะเกินเลย ถามว่าเขาจะหยุดตัวเองไหม

               คำตอบคือไม่...ถึงแม้จะรู้ว่ารักไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากจะรัก อยากจะครอบครอง อยากจะเป็นเจ้าของ

               เราต่างรู้ดีว่า...เราไม่ได้ไม่รักกัน เพียงแต่เรารักกันไม่ได้

               สุดท้ายแล้ว...นายทหารหนุ่มก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆให้กับความรู้สึกหนักอึ้งที่กำลังแบกรับเอาไว้ ออกศึกมากมายแค่ไหนไม่เคยหวั่น มีแค่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวที่ทำเขาหวั่นไหว ไม่รู้ว่าจะอยู่กับชินดนัยต่อไปอย่างนี้ได้อีกนานแค่ไหน

               เขารักชินดนัยมาก...เกินกว่าจะยอมปล่อยมือจากจากกัน

               แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เคารพท่านนายพลและคุณหญิงมากเกินกว่าจะทำให้ท่านทั้งสองผิดหวัง

               แม้จะบอกชินดนัยว่าอย่าเพิ่งคิดในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ลึกๆแล้ว ชนวีร์เองก็นึกกังวลอยู่ไม่น้อยเลย แม้จะพยายามหาทางมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมองไม่เห็นทางออกของความรักครั้งนี้อยู่ดี


====================

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

               เวลาผ่านมามาเกือบอาทิตย์ คนที่อยู่จังหวัดตากก็ยังคงติดพันกับภารกิจหน้าที่ที่รัดตัว เช่นเดียวกับคนที่อยู่กรุงเทพฯ ทางบริษัทจะมีงานเปิดตัวสินค้าอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ซึ่งคุณหญิงชลลดาเองก็ต้องการจะเปิดตัวชินดนัยกับวงการธุรกิจไปในคราวเดียวกัน งานทุกอย่างจึงตกเป็นความรับผิดชอบของชินดนัยที่ต้องดูแลทุกอย่างเองเกือบหมด

               “ดื่มกาแฟหน่อยนะคะชิน...” เสียงหวานดังอยู่ด้านข้าง ก่อนถ้วยกาแฟจะถูกวางลงบนโต๊ะ

               “ขอบคุณนะครับแพร”

               แพรพลอยเข้ามาทำงานเป็นเลขาของชินดนัยเกือบครบอาทิตย์แล้ว หญิงสาวทำงานคล่องแคล่วทุกอย่างอย่างที่คุณหญิงชลลดาเฝ้าชมอยู่บ่อยๆ งานหลายๆอย่างของชินดนัยก็ได้แพรพลอยคอยช่วยทำให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี จนเขาเองยังอดชื่นชมเธอไม่น้อย

               นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าแพรพลอยเองก็จะรู้ว่าคุณแม่ของเธอและคุณแม่ของชินดนัยพยายามจับคู่ให้เธอกับชินดนัย หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เมื่ออยู่กันตามลำพังทีไร เธอก็พยายามเว้นระยะความสัมพันธ์เสมอ ไม่ให้ดูน่าเกลียดหรือประเจิดประเจ้อเกินไป เช่นเดียวกับชินดนัยที่ไม่เคยแสดงท่าทีอะไรให้คนอื่นคิดว่าเขามีใจให้เธอ

               “เหนื่อยก็พักบ้างนะคะ”

               ชินดนัยเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้เธอเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะถือโอกาสเอ่ยถึงเรื่องที่แม่ของเขาฝากฝังเอาไว้เมื่อเช้า

               “เย็นนี้มีงานเลี้ยงสังสรรค์ของสมาคม แม่บอกให้ผมพาแพรไปด้วย สะดวกหรือเปล่าครับ”

               “ไปในฐานะอะไรคะ เลขาหรือเปล่า จ่ายโอทีให้แพรไหมคะ” แพรพลอยแกล้งเอ่ยถามทีเล่นทีจริง

               “ไปในฐานะเพื่อนของผมครับ แล้วก็ไม่มีจ่ายโอทีนะ”

               แพรพลอยหัวเราะออกมาเบาๆ แรกเริ่มที่เจอกันครั้งแรก เธอก็ยอมรับว่าชินดนัยเป็นผู้ชายที่ดูท่าทางน่าคบหาคนหนึ่ง และยิ่งได้มาทำงานร่วมกัน เธอก็ยิ่งยอมรับเลยว่าชินดนัยเป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายที่ดีทีเดียว

               “ได้ค่ะ แต่ต้องให้แพรกลับบ้านเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”

               ชินดนัยผงกหัวเป็นเชิงรับคำก่อนจะก้มหน้าลงทำงานต่อ เขาทำงานจนเข็มนาฬิกาเดินไปถึงเวลาห้าโมงเย็น ถึงได้เอ่ยชวนแพรพลอยเดินลงไปที่ลานจอดรถด้วยกัน หลังจากรับปากว่าจะพาเธอกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดแล้วค่อยตรงไปงานพร้อมกัน

               ชินดนัยเองค่อนข้างคุ้นทางมาบ้านของแพรพลอยระดับหนึ่ง เพราะเคยมารับมาส่งเธอที่บ้านอยู่สองหน หนแรกก็วันที่เขาพาเธอไปที่ออฟฟิศ ส่วนอีกหนก็ตอนที่แม่เขาคะยั้นคะยอให้มารับเธอไปเที่ยว แต่คุณหญิงชลลดาคงไม่รู้ว่า การไปเที่ยวของเขากับแพรพลอยคือการที่พอไปถึงห้างสรรพสินค้า ต่างฝ่ายต่างก็แยกกันไป เขาตรงเข้าไปนั่งทำงานในร้านกาแฟ ส่วนแพรพลอยก็ตรงไปร้านหนังสือ พอถึงเวลาที่นัดก็มาเจอกันก่อนจะพากันกลับบ้าน

               ทั้งคุณหญิงชลลดาและคุณหญิงเพียงแขต่างก็คิดว่าความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวคืบหน้า จะบอกว่าคืบหน้าก็คงไม่ผิดนัก เพียงแต่ทั้งคู่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวอย่างที่พวกผู้ใหญ่ต้องการแม้แต่น้อย

               “ชินคะ แพรเรียบร้อยแล้วค่ะ...”

               พอได้ยินเสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง ชินดนัยเลยหันกลับไปมอง หญิงสาวเจ้าของบ้านอยู่ในชุดราตรีสีพาสเทล เกล้าผมเรียบร้อย เขายิ้มให้นิดๆด้วยความชื่นชมก่อนจะเดินนำเธอไปที่รถ ส่วนตัวเขาเองไม่ต้องเปลี่ยนชุดอะไร เพราะมักจะติดสูทเอาไว้ในรถเสมอ เผื่อวันไหนที่ต้องไปงานต่อจะได้ไม่ต้องแวะกลับบ้าน แค่หยิบสูทมาสวมทับก็เรียบร้อย

               “คืนนี้อย่าปล่อยให้ใครมาจีบฉันนะคะ...”

               “คงยากล่ะครับ คุณสวยออกขนาดนี้”

               ชินดนัยไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย เขาต้องยอมรับว่าแพรพลอยสวยจริงๆ แต่สวยแค่ไหน สำหรับเขาก็คงไม่มีความหมายอะไรเท่าคนที่แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ก็ทำให้ใจเขาว้าวุ่นได้ตลอด


====================


               แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปหลายตัวสาดมาจากทั่วสารทิศ ภาพของชินดนัยที่เดินเคียงเข้ามากับแพรพลอยสะกดทุกสายตาของแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน หลายเสียงซุบซิบดังเข้าหูของคนที่ตกเป็นเป้าสายตาตลอดทางที่เดินเข้างาน

               “สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกเลย...”

               “อีกไม่นานคงได้มีข่าวดีแน่ๆ”

               สองหนุ่มสาวเดินตรงเข้ามาทักทายคุณหญิงชลลดาที่มาถึงงานก่อนแล้ว พอเห็นลูกชายและลูกสาวเพื่อนรักเดินตรงเข้ามาหา คุณหญิงก็รีบขอตัวจากคู่สนทนาทันที

               “หนูแพรสวยมากเลยลูก ชินช่วยดูแลน้องด้วยนะ”

               ถึงผู้เป็นแม่ไม่บอก ชินดนัยก็ต้องคอยดูแลแพรพลอยอยู่แล้ว เขาพาหญิงสาวเดินไปตักอาหาร ก่อนจะเลี่ยงออกมายืนหลบอยู่มุมหนึ่งของงาน

               “ผมไม่ชอบงานแบบนี้เลย” ชินดนัยเปรยเบาๆ

               “แพรก็เหมือนกันค่ะ ถ้าชินไม่มา แพรคงไม่มีทางยอมมาเด็ดขาด ดูสายตาแต่ละคนสิคะ” หญิงสาวพูดแล้วก็ทำหน้าแหยนิดๆ

               ชินดนัยกวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็เห็นจริงอย่างที่เธอเอ่ย ผู้ชายหลายคนพากันมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเขาเป็นตาเดียว มองด้วยสายตาชื่นชมก็ดี แต่ที่มองด้วยสายตาโลมเลียนี่สิ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ แต่ก็อดขึงตาดุๆกลับไปไม่ได้

               “ถ้าคุณเบื่อ เดี๋ยวเราขอตัวกลับกันก่อนก็ได้”

               “ไม่กลัวคุณแม่คุณโกรธเหรอคะ”

               “คุณช่วยผมหน่อยละกัน บอกว่าคุณปวดหัวแล้วเราก็ขอตัวกลับกันก่อน”

               พอฟังข้ออ้างที่ชินดนัยเอ่ยออกมาหน้าตาเฉย แพรพลอยก็หัวเราะออกมาเบาๆทันที อดยอมรับไม่ได้ว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลวเลย ถ้าชินดนัยเป็นคนไปพูดเอง เธอเชื่อว่าคุณหญิงชลลดาอาจจะไม่ยอมแน่ๆ เขาก็ช่างคิด ถึงได้ให้เธอเป็นคนช่วยพูดแทน

               ถึงแม้ว่าจะมายืนหลบอยู่มุมหนึ่งของงาน แต่ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงชลลดากับท่านนายพลก็มีคนเดินเข้ามาทักอยู่เรื่อยๆ หลายต่อหลายคนมองมาที่เขากับแพรพลอยแล้วก็ลอบยิ้ม แม้ว่าชินดนัยจะย้ำเสียงหนักๆอยู่หลายหน ว่าคนข้างกายที่เขาควงมาด้วยเป็นเพียงเพื่อน และมีตำแหน่งเป็นเลขาของเขา แต่ดูราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นจะไม่ได้เข้าหูคนฟังแม้แต่น้อย เขายืนทักทายกับผู้หลักผู้ใหญ่จนเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้ว เลยแตะข้อศอกคนข้างๆให้เดินตรงไปหาคุณหญิงชลลดา

               “แม่ครับ เดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

               “อ้าว...ทำไมล่ะชิน แม่ยังไม่ได้แนะนำลูกให้รู้จักกับคนอื่นเลยนะ”

               “พอดีแพรเขาปวดหัว ผมเลยว่าจะพาเขาไปส่งที่บ้านเลย” ชินดนัยพูดปดออกไปคำโต ก่อนจะหันไปขยิบตาให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกาย

               “จริงหรือหนูแพร ให้ชินพาไปหาหมอไหมลูก”

               แพรพลอยรีบส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธทันที ก่อนจะเอ่ยสำทับให้คุณหญิงสบายใจ

               “ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า เดี๋ยวหนูกลับบ้านทานยาแล้วนอนพักผ่อนก็คงดีขึ้น”

               “จ้ะ งั้นกลับกันดีๆนะลูก เดี๋ยวแม่คุยกับพวกผู้ใหญ่อีกนิดก็จะตรงกลับบ้านเลยเหมือนกัน”

               พอได้ยินคำอนุญาตของมารดา ชินดนัยก็เดินนำแพรพลอยออกจากงานทันที เขาเอารถส่วนตัวของเขามา ส่วนคุณหญิงชลลดาเองก็ให้คนขับรถขับมาอีกคัน เลยไม่ต้องห่วงว่าผู้เป็นแม่จะกลับบ้านยังไง

               เดินมาถึงรถ ชินดนัยก็เปิดประตูฝั่งคนนั่งให้หญิงสาว รอจนเธอก้าวขึ้นไปบนรถเรียบร้อยแล้ว เขาถึงปิดประตูให้แล้วเดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง ค่อยๆเคลื่อนรถออกจากโรงแรมช้าๆ

               “แพรว่านะ ถ้าใครได้คุณเป็นแฟนต้องโชคดีมากแน่ๆเลย”

               ชินดนัยเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไป

               “ทำไมล่ะ”

               “คุณเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วเลยนี่ค่ะ ขนาดจะโดนตัวแพรแต่ละที คุณยังคอยระวังตัวตลอดเลย”

               ชินดนัยหัวเราะเบาๆให้กับความช่างสังเกตของเธอ ถึงแม้เขาจะมีเพื่อนสนิทเป็นเพลย์บอย ไม่สิ...อดีตเพลย์บอยที่ถูกถอดเขี้ยวเล็บแล้วต่างหาก แต่เขาก็ต่างจากธรณ์ สำหรับชินดนัยแล้ว ต่อให้มีผู้หญิงเสนอมากี่ร้อยพันคน เขาก็ไม่เคยสนองกลับไป และเช่นเดียวกัน เขาเองไม่เคยแม้แต่คิดที่เอาเปรียบผู้หญิงคนไหน เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ชายหนุ่มเลยตัดสินใจที่จะพูดเรื่องที่คิดอยู่ในใจออกไปตรงๆ

               “คุณรู้ใช่ไหม ว่าแม่ผมกับแม่คุณอยากให้เราลงเอยกัน”

               “รู้สิคะ...” แพรพลอยตอบเสียงเบา ก่อนจะเสมองออกนอกหน้าต่างรถ

               “ผมว่ามันคงเป็นไปไม่ได้”

               “คุณมีคนรักอยู่แล้วใช่ไหมคะชิน?...”

               “คุณรู้?...”

               เธอจะเรียกมันว่าอะไรดีนะ ‘สัญชาติญาณของผู้หญิง’ ดีไหม? เท่าที่เธอสังเกตมาตลอดอาทิตย์ เวลามีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาหา แม้จะเป็นเวลาแค่สั้นๆ แต่มันก็ทำให้ผู้ชายที่เธอคิดว่าเย็นชาอย่างชินดนัยมีรอยยิ้มขึ้นมาได้ง่ายๆ จนเธอนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่พอคิดไปคิดมา คำถามมันก็ลงเอยที่คำตอบเดียวว่า...คงจะเป็นคนรักของชินดนัยแน่ๆ

               “แพรเห็นว่าเวลาคุณรับโทรศัพท์เธอคนนั้นทีไร คุณจะต้องอารมณ์ดีจนน่าอิจฉาทุกทีเลย”

               ‘เธอ’...ถ้าเป็นเธออย่างที่แพรพลอยพูดก็ดีน่ะสิ ไม่ใช่เธอหรอก แต่เป็นเขาต่างหาก

               “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะชิน แพรเองก็ไม่ได้อยากเป็นแฟนคุณหรอก ถึงแม่เราสองคนจะสนับสนุนกันออกนอกหน้า แต่แพรอยากเป็นเพื่อนคุณมากกว่า คงไม่รังเกียจใช่ไหมคะ”

               “ยินดีเสียอีกที่ได้เป็นเพื่อนกับคุณ”

               “รู้ไหมคะ ที่แพรยอมไปไหนมาไหนกับคุณเวลาที่แม่สั่งนั่นก็เป็นเพราะว่า...แพรอยากมีพี่ชายค่ะ แพรเป็นลูกคนเดียวตลอด อยู่กับชินแล้วแพรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้องสาวเลย”

               “แต่เราสองคนอายุเท่ากันนะ”

               “แต่ชินดูโตกว่าแพรอีกนะคะ ไม่เป็นพี่ก็ได้ค่ะ เป็นเพื่อนแพรนะคะ”

               “ครับ...”

               “ถ้ามีอะไรปรึกษาแพรได้เลยนะคะ คิดว่าแพรเป็นน้องสาวหรอืเป็นเพื่อนก็ได้”

               ชินดนัยตอบแทนรอยยิ้มหวานของหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น อย่างน้อย ทั้งเธอและเขาต่างก็คิดเหมือนกัน ต่อให้พ่อแม่สนับสนุนมากแค่ไหน เรื่องของเขาและเธอคงไม่มีทางเป็นไปได้

               “ไว้พาคนรักของคุณมาเจอแพรบ้างสิคะ”

               “ถ้ามีโอกาสนะ...” ชินดนัยพึมพำออกมาเบาๆ

               โอกาส...เขาขอแค่โอกาสจากสังคม จากคนรอบข้าง จากครอบครัว ถ้ามีโอกาสทุกคนคงได้รู้จักคนรักของเขาแล้ว แต่เพราะเขาไม่มีและไม่ได้รับโอกาส มันถึงได้ยังคงเป็นความลับต่อไป

               “คุณป้าไม่รู้เรื่องคนรักของคุณใช่ไหมคะ”

               “ไม่...ไม่รู้ แม่ผมคงไม่ยอมรับ”

               “ฉันเข้าใจค่ะ...”

               แวบหนึ่ง...ที่ชินดนัยเห็นแววตาของแพรพลอยดูเศร้า แต่มันก็เป็นเพียงแวบเดียวก่อนที่เธอจะเบนสายตาออกนอกรถ ถ้าเขาไม่ได้คิดไปเอง เขารู้สึกว่า...เธอเองก็มีอะไรอยู่ในใจไม่ต่างกัน


====================


               หลังจากส่งแพรพลอยกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ชินดนัยก็ขับรถตรงกลับบ้านตัวเองทันที บ้านของเขาและแพรพลอยอยู่ห่างกันคนละมุมเมือง กว่าเขาจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืดพอดี ชายหนุ่มเห็นแสงลอดออกมาจากทางเรือนใหญ่ คิดเอาเองว่าคงจะเป็นแม่บ้าน เลยขับรถตรงไปที่เรือนเล็กโดยไม่ได้แวะเรือนใหญ่

               ชินดนัยจอดรถลงหน้าเรือนหลังเล็กของตัวเอง ตัวบ้านยังคงมืดสนิท เพราะไม่ค่อยมีใครเข้ามายุ่มย่ามที่เรือนเล็กมากนัก แต่บางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่า...จะดีแค่ไหนกัน ถ้ามีบางคนมายืนรอรับเขากลับบ้าน ชายหนุ่มสั่นหัวให้กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง เอื้อมมือจะเปิดประตูเข้าเรือนเล็ก ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายชะงัก เมื่อถูกสวมกอดจากเบื้องหลัง

               ...ถ้าถามว่าความอบอุ่นเป็นอย่างไร ชินดนัยคงตอบได้เลยว่า...ความอบอุ่นคือสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่...

               อ้อมกอดที่รัดรึง กลิ่นกายที่คุ้นเคย แค่หลับตา ชินดนัยก็รู้ทันทีว่าคนที่สวมกอดเขาอย่างอุกอาจเป็นใคร คนที่เขาหลงคิดเอาเองว่ายังอยู่ที่ค่าย กล้าดียังไงถึงได้กลับมาโดยไม่บอกไม่กล่าวกัน

               “กลับมาเมื่อไหร่...”

               “ตั้งแต่บ่ายแล้ว”

               “แล้วทำไมไม่บอกกัน ผมจะได้รีบกลับมา”

               “อยากทำให้นายประหลาดใจ ฉันเลยต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง”

               สุ้มเสียงของนายทหารหนุ่มดูติดจะขุ่นเคืองนิดๆ ชินดนัยเลยขืนตัวออกมาจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย หันมาสบดวงตานิ่งเฉยที่มองตรงมา

               “เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า อยู่ข้างนอกเดี๋ยวมีคนมาเห็น”

               แม้จะรู้ว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว คงไม่มีใครเดินมาแถวบริเวณเรือนเล็ก แต่ชินดนัยก็พยายามป้องกันเอาไว้ก่อน เขาไม่อยากเสียใจภายหลัง

               ชินดนัยเดินนำผู้พันชนวีร์เข้ามาในบ้าน กำลังจะเดินไปเปิดไฟให้สว่าง ก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยวงแขนแข็งแรงให้ล้มลงมานั่งอยู่ที่โซฟาด้วยกัน จนต้องเผลอเอ็ดออกมาเสียงดุๆ

               “เล่นอะไร”

               “ไม่ต้องเปิดไฟ ฉันก็เห็นหน้านาย” เสียงห้าวเอ่ยออกมาเรียบๆ ก่อนฝ่ามือที่คร้ามแดดและหยาบกร้านเพราะจับอาวุธมานักต่อนักจะเอื้อมมาลูบแก้มชินดนัยเบาๆ

               “ไปส่งคุณแพรพลอยกลับมาดึกนะ...”

               “พี่รู้...” ชินดนัยเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ

               เขามั่นใจว่าตัวเองไม่เคยเล่าหรือหลุดปากเรื่องแพรพลอยออกไปแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่บริสุทธิ์ใจ เพียงแต่เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ จะมีใครรู้จักชนวีร์ดีเท่าเขา เห็นท่าทางนิ่งๆเหมือนยอมรับอะไรได้ง่ายๆ แต่นายทหารหนุ่มก็เคยไม่พอใจเรื่องธรณ์กับอเล็กซ์อยู่หลายครั้งเหมือนกัน

               ผู้พันชนวีร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผมลวกๆ ส่วนอีกข้างรั้งไหล่ชินดนัยเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยออกไปเสียงเรียบๆ

               “ฉันกลับมาตั้งแต่บ่ายแล้ว เมื่อตอนเย็นเลยนั่งกินข้าวกับพ่อ เพิ่งรู้ว่านายไปงานกับแม่...แล้วก็คุณแพรพลอยด้วย”

               “งานสังสรรค์ของแม่นั่นแหล่ะ”

               “แต่แม่กลับมาก่อน ส่วนนายไปส่งคุณแพรพลอย”

               “ก็ไม่ได้มีอะไร ผมเป็นคนพาเธอไป ก็ต้องไปส่งเธอตามมารยาท”

               “ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอมาเป็นเลขานายด้วย นานแค่ไหนกัน”

               “พี่กำลังระแวงอะไรอยู่หรือเปล่า”

               “ฉันไม่ได้ระแวง แต่ฉันกลัว ฉันรู้ว่านายไม่ได้ชอบคุณแพรพลอย แต่...” นายทหารหนุ่มเว้นวรรคไปชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยออกมา “ฉันเพิ่งรู้ว่าแม่อยากให้พ่อไปเอ่ยทาบทามคุณแพรพลอยจากครอบครัวเขา”

               สิ่งที่ชนวีร์พูดออกมา คือสิ่งที่ชินดนัยเองก็เพิ่งรู้ แม้จะพอเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เป็นแม่ แต่เข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องรีบร้อนขนาดนี้

               “แล้วพ่อว่ายังไง” ชินดนัยเอ่ยถาม ก่อนจะกลั้นใจฟังคำตอบ

               “พ่อไม่เห็นด้วยกับแม่เท่าไหร่ เพราะนายเพิ่งเรียนจบกลับมาเอง แต่ถ้าเป็นความต้องการของนาย พ่ออาจจะลองคิดดูอีกที”

               สัมผัสที่วางลงบนไหล่ของชินดนัยสั่นสะท้านจนเขาเองยังรู้สึกได้ ความรัก...ถ้าไม่ทำให้เราเป็นตัวของตัวเอง ก็ทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเองไปเลย

               ผู้พันชนวีร์ยามอยู่ในสนามรบอาจจะเป็นวีรบุรุษที่แกร่งกล้า แต่กับเรื่องของชินดนัย…เขาก็อ่อนแอได้อย่างที่สุดเหมือนกัน

               รัก...แม้จะมองไม่เห็นอนาคต
               แม้จะรู้ว่ารักกันไม่ได้ แต่ก็หยุดรักไม่ได้เช่นกัน


               ชินดนัยโน้มใบหน้ามากดจูบลงบนริมฝีปากหยักเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลมอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่มีใครเข้มแข็งไปกว่าใคร และไม่มีใครอ่อนแอไปกว่ากัน

               “ผมยังอยู่ตรงนี้ เรายังอยู่ด้วยกัน...”

               ไม่ใช่คำสัตย์ ไม่ใช่คำสาบาน แค่ย้ำให้เขาและชนวีร์ได้มั่นใจ ว่า ณ ตอนนี้เรายังอยู่ด้วยกัน เรายังมีกันและกันอยู่

               นายทหารหนุ่มไม่ได้ตอบรับเป็นคำพูดกลับไป ได้แต่กดจูบลงบนริมฝีปากชินดนัยซ้ำๆ ตอกย้ำลงไปในใจว่าหัวใจดวงนี้เป็นของเขา ร่างกายของอีกฝ่ายเป็นของเขา เราต่างเป็นของกันและกัน

               “รู้ไหม สำหรับฉันแล้ว...จากเป็นยังเจ็บปวดมากกว่าจากตายเสียอีก”

               ถึงความตายจะทำให้เจ็บปวดน้อยกว่า แต่ถ้าเลือกได้...อย่าให้เราต้องจากกันได้ไหม ถ้าหยุดวันเวลา หยุดเข็มนาฬิกาที่เดินได้ หยุดมันไว้ตลอดไปได้ไหม

               ไม่มีคำรักดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก มีแต่คำรักที่บอกกันผ่านจูบที่อ่อนหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่ชนวีร์จะค่อยๆผ่อนร่างชินดนัยลงนอนกับโซฟา ริมฝีปากร้อนผ่าวตามไปประทับรอยจูบซ้ำๆ แสดงความรักและความเป็นเจ้าของอย่างหวงแหน

               “ฉันรักนาย...รัก...รักมาก...” เสียงทุ้มห้าวกระซิบซ้ำไปซ้ำมา ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้ไปตามลำตัวคนที่อยู่ใต้ร่าง อารมณ์ปรารถนาถูกปลุกขึ้นมาอย่างไม่ยาก

               “ผมก็รักพี่...รักมากเหมือนกัน...”

               สองแขนโอบคล้องคอคนที่อยู่ข้างบน ริมฝีปากเฝ้าสัมผัสกันและกันอย่างไม่รู้เบื่อ สิ่งเดียวที่เห็นชัดในความมืดมิดคือใบหน้าของกันและกัน ก่อนที่ทุกอย่างจะจางหายไปราวกับเป็นความฝัน เมื่อแสงไฟพลันสว่างวาบขึ้นมา พร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจของแขกผู้มาเยือนยามวิกาล


               “ลูกสองคนทำอะไรกันอยู่!?!”


               หมดสิ้นแล้ว หมดทุกอย่าง ทุกสิ่งที่เฝ้าใฝ่ฝัน ความรักที่มีให้กัน ความลับที่เก็บงำมานาน...
               ถึงเวลาตื่นขึ้นมาพบและยอมรับกับความเป็นจริง...
               ความจริงที่โหดร้าย...


TO BE CONTINUE




# รีบเอาตอนสองมาเสิร์ฟโดยด่วน ขอบคุณทุกคนที่ยังตามอ่านกันอยู่นะคะ ขอบคุณมากๆจริงๆ
# อาจจะป่วงๆไปนิด จะพยายามมาลงให้ไวๆ ไม่ให้ขาดตอนนะคะ
# ตอนนี้เขียนแล้วยาวมาก อ่านกันจนตาแฉะแน่ๆ
# มีใครอยากอ่านเรื่องของอเล็กซ์บ้างไหมคะ คิดพล็อตได้แหม็บๆ ลองถามดูก่อน ฮ่าๆ
# สุดท้าย ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ  :กอด1:


ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
คู่นี้ถ้าจะหน่วง ดราม่าทั้งเรื่องเลยนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
อยากจะช๊อคตายยยย  o22 o22 :a5:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ไม่ใช่แค่ผู้พันกับชิน ช็อคนะ คนอ่านก็ช็อคด้วย หัวใจจะวายตาย  :heaven

ทำไงล่ะทีนี้  ทิชชู่กีห่อถึงจะพอเนี่ย  :sad4:  :monkeysad:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
แม่มาเห็นหรือเปล่านะนั่น แล้วจะเป็นยังไงกันนะเนี่ย

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
นายจะเป็นเพศไหนมันไม่สำคัญ เพราะที่สำคัญสำหรับฉัน...ก็มีแค่นาย


อยากจะร้องไห้  :o12:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
 :sad4:คุณแม่ใช่มั้ย ขอให้ยอมรับเถอะ หน่วงชะมัดดด

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
กรี๊ด!!!!!!!!!!! รู้แล้วอ่ะ ทำไงดี หุ๋ยๆๆๆๆๆ เจ็บ ปวด หน่วง ลุ้น.....

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
เพิ่งได้มาอ่านรวดเดียว สนุกดีนะ
ภาษาที่ใช้ลื่นมากอย่างกับอ่านนิยายเลย
อิอิ แอบหลงน้องแทนพี่เขตต์
ชอบความหวานที่คู่นี้มีให้กัน

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
น้ำตาซึมอ่ะ
สงสารทั้ง 2 คน คงไม่มีใครอยากมีความรักที่ผิดแปลกจากคนอื่น
อินมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่รู้จะอธิบายว่าไง รู้แต่หดหู่
ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

มากกว่ารัก

ตอนที่ 3



               คุณหญิงชลลดานั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงห้องรับแขกระหว่างรอชินดนัยกลับมา เพราะอยากจะถามเรื่องของแพรพลอย รออยู่นานจนเวลาล่วงเลยมาดึกดื่น กำลังจะถอดใจกลับเข้าห้องนอนก็เห็นแสงจากไฟหน้ารถของชินดนัยส่องผ่านความมืดเข้ามา พอดูจนแน่ใจว่าชินดนัยขับรถไปจอดอยู่หน้าเรือนเล็ก ไม่ได้แวะเรือนใหญ่ คุณหญิงเลยเดินกลับเข้าห้องไปคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับก่อนจะเดินตรงไปยังเรือนเล็ก

               ตัวเรือนเล็ก แม้จะอยู่ในอาณาเขตรั้วเดียวกันกับเรือนใหญ่ แต่ก็มีแนวพุ่มไม้บดบัง ทำให้ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวพอสมควร พอเดินมาถึงหน้าเรือนเล็ก คุณหญิงชลลดาก็อดบ่นออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นรถของลูกชายจอดเรียบร้อยแล้ว แต่ไฟยังคงปิดสนิท

               “ตายจริง ตาชินไม่คิดจะเปิดไฟเลยหรือไงนะ”

               คุณหญิงเปิดประตูเข้าไปด้วยความเงียบเชียบ แว่วเสียงสนทนาดังมาเบาๆ จนไม่อาจจับใจความได้ มือค่อยๆเอื้อมควานหาสวิตช์ไฟก่อนจะกดเปิด ทันทีที่แสงไฟสว่างวาบ ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ทำเอาหัวใจของคนเป็นแม่แทบหยุดเต้น

               “ลูกสองคนทำอะไรกันอยู่!?!”

               เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบแม้แต่น้อย ภาพของชนวีร์ที่คร่อมทับอยู่บนตัวชินดนัยก็บอกอะไรได้ชัดเจนอยู่แล้ว

               “แม่...” สองเสียงของลูกในไส้และลูกบุญธรรมครางออกมาพร้อมกัน

               ทั้งชินดนัยและชนวีร์ต่างผละออกห่างจากกันแทบจะในทันที ชินดนัยจัดเสื้อแสงที่หลุดลุ่ยของตนเองให้เรียบร้อย มันเป็นเวลาดึกดื่น แถมยังอยู่ในเรือนเล็กของเขาเอง ใครเลยจะคิดว่าผู้เป็นแม่จะมาเยือนกลางดึก

               “มันหมายความว่ายังไงกัน...” คุณหญิงพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นระริก มือเกาะเคานเตอร์บาร์ข้างๆเพื่อประคองตัวเองไว้

               “แม่...” ชินดนัยอ้าปากจะพูด แต่ก็ถูกคนที่อยู่ข้างกายยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน

               “ผมอธิบายได้ครับแม่” เสียงห้าวเอ่ยออกมาเรียบๆ

               ในเมื่อหลักฐานมันคาตาอยู่ทนโท่ เขาก็คงต้องยอมรับเสียทีว่าถึงเวลายอมรับความจริงแล้ว ชนวีร์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะลุกไปประคองผู้เป็นแม่ให้มานั่งตรงกลางระหว่างเขากับชินดนัย ตอนแรกคุณหญิงก็ขืนมือเหมือนจะสะบัดออก แต่พอสบเข้ากับสายตาเว้าวอนของลูกชายทั้งสองคน เธอก็สะกดกลั้นอารมณ์ทั้งหมด แล้วเดินตามแรงจูงมานั่งที่โซฟา

               “หวังว่าคำอธิบายของลูกสองคนคงจะฟังขึ้น”

               ชนวีร์จับมือข้างขวาของคุณหญิงเอาไว้ ไม่ต่างจากชินดนัยที่ยึดมือข้างซ้ายของผู้เป็นแม่เอาไว้แน่น

               เขาเป็นชายชาติทหาร เมื่อกล้าทำ ก็ต้องกล้ารับ...นี่คือสิ่งที่ผู้พันชนวีร์บอกตัวเองตลอดมา

               “ผมกับชิน...เรารักกันครับแม่”

               คุณหญิงชลลดาถึงกับชะงัก ตัวแข็งทื่อก่อนจะเปลี่ยนเป็นสั่นสะท้าน รู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก ภาพที่เห็นตำตาก็แทนคำพูดนับพันชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งมาฟังลูกชายสารภาพเองกับหู เธอก็ยิ่งช็อกจนหวิดจะเป็นลม แต่ก็ยังฝืนยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามออกไป หวังให้ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด เป็นแค่ความเข้าใจผิดไปเองเท่านั้น

               “ลูกสองคนเป็นพี่น้องกันก็ต้องรักกันอยู่แล้ว”

               “ไม่ใช่ครับแม่ เราไม่ได้รักกันอย่างพี่น้อง เรารักกัน...รักกันจริงๆ”

               คุณหญิงชลลดาดึงมือออกจากการเกาะกุมของลูกชายทั้งสอง ยกมือขึ้นปิดหูราวกับไม่อยากฟังคำสารภาพ พยายามฝืนโกหกตัวเองต่อไป ว่าลูกชายอาจจะล้อเล่น แม้ในใจจะเจ็บปวดจนแทบพูดไม่ออก

               “ตาวีร์อย่ามาล้อแม่เล่นนะ แม่ไม่สนุกด้วยนะลูก”

               “แม่...ฟังผมนะครับ ผมไม่ได้ล้อเล่น ผมรักชิน ผมรักชินจริงๆ”

               “วีร์จะรักน้องได้ไง วีร์กับชินเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายเหมือนกันนะลูก”

               คุณหญิงชลลดาเอ่ยย้ำความเป็นเพศเดียวกันให้ลูกชายสองคนตระหนัก จนชินดนัยต้องเบือนหน้าหนีไป ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เขารู้เสียยิ่งกว่ารู้อีกว่าทั้งเขาและชนวีร์ต่างเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ความรักมันไม่เคยเลือกเพศ เขาและชนวีร์รักกันไปแล้ว มันถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว รัก...ทั้งที่รู้ว่าเป็นเพศเดียวกัน ไม่ได้อยากจะทำตัวผิดแปลกจากคนอื่นให้ผู้เป็นแม่ต้องลำบากใจ แต่ความรักมันไม่มีเหตุผลและไม่สนกฎเกณฑ์ใดใด

               “นานแค่ไหนกัน...” คุณหญิงเอ่ยถามเสียงเครือ

               “ตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่โรงเรียนประจำที่อังกฤษ”

               ชนวีร์ไม่ได้เป็นคนตอบ แต่เป็นชินดนัยที่เป็นฝ่ายตอบแทน เขาไม่รู้ว่าสำหรับชนวีร์แล้ว ความรู้สึกของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปตอนไหน แต่สำหรับเขา...คงเป็นตอนที่เห็นพี่ชายมาปรากฏตัวอยู่หน้าโรงเรียนประจำ ความทรงจำวันนั้น แม้จะผ่านมาเนิ่นนาน แต่ทุกอย่างยังคงแจ่มชัด เขาโผกอดพี่ชายแน่น ไม่ใช่ด้วยความคิดถึงคนึงหาตามประสาพี่น้อง แต่การที่ต้องห่างกัน มันทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าอยู่ได้ยาก ถ้าหากไม่มีอีกคนคอยอยู่ข้างๆ

               คุณหญิงชลลดามองลูกชายสองคนสลับกัน หนึ่งคือลูกบังเกิดเกล้า อีกหนึ่งคือลูกบุญธรรม ถึงสถานะจะแตกต่างกัน แต่เธอก็รักลูกทั้งสองไม่ต่างกัน ความจริงที่ได้รับรู้ทำเอาหัวใจคนเป็นแม่รวดร้าว นี่ลูกชายของเธอมีความสัมพันธ์แบบนี้กันมานานหลายปีโดยที่เธอไม่เคยเอะใจเลยแม้แต่น้อย เฝ้าแต่คิดว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องที่รักกัน แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่

               “แม่...ชินสำคัญสำหรับผมจริงๆนะครับ”

               นับตั้งแต่เล็กมาจนโต คุณหญิงมักจะหยิบยื่นสิ่งที่ดีให้ลูกชายเสมอ สิ่งไหนไม่เหลือบ่ากว่าแรง เธอก็จะหามาให้ตลอด แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งเดียวที่เธอไม่อาจตามใจลูกชายของเธอได้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้จริงๆ

               “แล้วชินไม่สำคัญกับแม่หรือ แม่ขอเถอะ...ให้ทุกอย่างมันจบลงแค่นี้ได้ไหม”

               ชินดนัยจิกเล็บลงกับฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่กายราวกับจะตอกย้ำว่าสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริงที่เขาต้องยอมรับมัน เจ็บปวดแค่เพียงรอยเล็บจิกที่กาย ไหนเลยจะเท่าเจ็บปวดที่ใจ

               “ที่แล้วมาก็ขอให้มันผ่านไป ต่อจากนี้ลูกสองคนก็กลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม ถือว่าแม่ขอนะ...ชนวีร์ ชินดนัย...”

               ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นแม่จะเรียกเขาสองคนด้วยชื่อจริง ซึ่งคงหมายความได้ว่า คุณหญิงชลลดาคงไม่ยอมรับกับความสัมพันธ์พิลึกพิลั่นนี่แน่ๆ แต่ถ้าการกลับไปเป็นพี่น้องกันมันง่ายดายอย่างที่ผู้เป็นแม่เอ่ย พวกเขาสองคนคงทำไปนานแล้ว

               “แม่อย่าบังคับเราเลย ผมไม่ได้เห็นชินเป็นน้องชายอีกแล้ว ผมรักชิน ผมรักชินครับแม่...”

               “ตาวีร์ แม่บอกให้หยุด หยุดพูด แม่ไม่อยากจะฟังอีกต่อไปแล้ว” คุณหญิงเอ่ยเสียงดัง แล้วพรวดพราดลุกขึ้นก่อนจะซวนเซจนชินดนัยต้องรีบเข้ามาประคอง

               “แม่...”

               “ต่อให้พวกลูกสองคนรักกันมากแค่ไหน แต่ลูกก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ถ้าวีร์ไม่รักตัวเอง ก็ถือว่าเห็นแก่น้อง เห็นแก่พ่อกับแม่ ปล่อยน้องไปนะลูก...”

               “แม่ แต่ผม...”

               “พ่อกับแม่มีชินเป็นสายเลือดเพียงคนเดียว ทั้งพ่อและแม่ต่างก็หวังว่าชินจะแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ และมีครอบครัวที่น่ารัก มีหลานให้พ่อกับแม่อุ้ม ไม่ใช่รักกับผู้ชายด้วยกัน ถือว่าแม่ขอร้องนะ...”

               ทั้งที่อยากจะดึงดันยึดชินดนัยเอาไว้กับตัว แต่พอมองสบตากับผู้มีศักดิ์เป็นแม่บุญธรรม ชนวีร์ก็ได้แต่ทิ้งมือลงข้างตัวอย่างหมดแรง อยากจะรั้ง อยากจะยื้อไว้มากแค่ไหน แต่หยาดน้ำใสๆที่เอ่อคลอรอบดวงตาของคุณหญิงก็ทำให้ความตั้งใจของเขามลายหายไปเสียสิ้น

               เขาไม่ได้แพ้น้ำตาของผู้หญิง แต่เพราะผู้หญิงตรงหน้า...คือคนที่ชุบชีวิตใหม่ให้เขาในวันที่เสียพ่อกับแม่ไป ถ้าไม่มีคุณหญิงกับท่านนายพล ก็คงไม่มีชนวีร์ จิรวงศ์ในวันนี้

               นายทหารหนุ่มได้แต่นั่งนิ่งๆอยู่ที่โซฟา ซบหน้าลงกับฝ่ามือ ทุกความกล้าหาญของเขาพลันมาลายหายไปหมด ได้แต่มองคุณหญิงพาชินดนัยกลับไปที่เรือนใหญ่ โดยที่เขาไม่รู้ว่าจะทัดทานอย่างไร ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

               เขา...ไม่เคยคิดที่จะปล่อยให้ชินดนัยเดินจากไป
               แต่มันจะพอมีทางไหนที่ทำให้เราได้อยู่ด้วยกันบ้าง...


               ผู้พันชนวีร์ได้แต่แค่นยิ้มให้กับตัวเองด้วยความสมเพช เขาลืมไปได้อย่างไร ว่าชินดนัยเป็นความหวังของท่านนายพลและคุณหญิง แต่เขาก็ยังกล้า...กล้าที่จะดึงอีกฝ่ายลงมา

               “ฉัน...จะทำอย่างไรต่อไปดี”


====================



               “จริงอย่างที่แม่แกเขาพูดหรือชนวีร์?” ท่านนายพลเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่ไม่อาจซ่อนความเคร่งเครียดที่ปรากฏบนใบหน้าได้ ดวงตาฉายแววผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

               “ครับ ผมกับชินเรารักกัน”

               “แกกล้าพูดคำว่ารักออกมาได้ยังไง ในเมื่อแกเป็นผู้ชายเหมือนกับน้อง”

               “ทำไมครับพ่อ ทำไมผมกับน้องจะรักกันไม่ได้ ผมไม่ได้เห็นว่าชินเป็นผู้ชาย สำหรับผม...ชินคือคนสำคัญ คือคนที่ผมรัก”

               เพียะ!! ฝ่ามือหนาตวัดตบใบหน้าคร้ามให้หันไปตามแรง ถ้าถามว่าโกรธไหม ชนวีร์ตอบได้เลยว่าไม่ เขารู้ดีว่าเจ็บแค่นี้ ยังเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดใจของท่านนายพล

               “ฉันไม่ยอมรับเรื่องบ้าๆนี่เด็ดขาด แกหยุดไร้สาระได้แล้วชนวีร์”

               “ผมกับชินแค่รักกัน เราไม่ได้ทำอะไรผิด”

               “มันผิดตรงที่แกสองคนเป็นผู้ชายเหมือนกันยังไงล่ะ”

               “ถ้าเลือกได้ พ่อคิดว่าผมอยากให้ชินเกิดมาเป็นผู้ชายเหมือนกันกับผมเหรอ แต่ผมเลือกไม่ได้”

               ใครกัน...เคยบอกว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ถ้าสวยงามจริง ทำไมความรักของเขาถึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกรังเกียจ

               สำหรับชายชาติทหารแล้ว ท่านนายพลย่อมรู้ดีถึงความตั้งใจแน่วแน่ของชนวีร์ ถึงแม้จะสงสาร แต่ก็ไม่อาจทำใจปล่อยให้มันเป็นเหมือนเปลวไฟที่ลุกลามได้ ต้องรีบจัดการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ใช่ว่าหัวอกคนเป็นพ่อแม่จะไม่เจ็บปวด ยามต้องเป็นคนทำร้ายลูกตัวเอง แต่ทั้งคู่ยังต้องมีสังคมต่อไป ถ้าห่างกันไป อะไรๆอาจจะดีขึ้น

               เจ็บ...เวลาที่เห็นลูกไม่มีความสุข แต่ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนใจแข็ง

               ฝ่ามือที่ทำร้ายออกไป คนโดนอาจจะเจ็บกาย แต่คนทำ...เจ็บปวดไปทั้งใจ

               “ให้มันจบลงแค่นี้เถอะชนวีร์ หลังจากรู้เรื่อง แม่แกก็นอนซมไม่เป็นอันทำอะไรเลย อย่าให้ความรักของแกทำร้ายใครไปมากกว่านี้เลยนะ”

               ผู้พันชนวีร์เองก็รับรู้ นับแต่วันที่รู้เรื่องของเขากับชินดนัย คุณหญิงชลลดาก็ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อมาสองวันแล้ว เวลาที่เขาเข้าไปหาทีไร คุณหญิงก็เอาแต่พร่ำบอกเขาว่า...อย่าเห็นแก่ตัว ให้ปล่อยชินดนัยไป จนตัวเขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย

               แม้จะรู้ว่าซักวันมันต้องเดินทางมาถึงจุดนี้ แต่พอเวลาจริงๆมาถึง เขากลับทำใจยอมรับมันไม่ได้ เคยคิดว่าจะดึงดันรั้งชินดนัยเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายไป แต่แค่ได้รู้ว่าผู้เป็นแม่ล้มหมอนนอนเสื่อเพราะเรื่องของเขา ชนวีร์เองก็ได้แต่รู้สึกผิด จนต้องมาเฝ้าคิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่ทำอยู่

               ถ้าถามว่าเขารักชินดนัยมากแค่ไหน เขาตอบเลยว่ามาก เรียกว่าเป็นอีกครึ่งของกันและกัน

               ถ้าถามว่าไม่มีชินดนัยเขาจะอยู่ได้ไหม ตอบเลยว่าได้ แต่มันก็คงลำบากและทุกอย่างก็คงไม่เหมือนเดิม

               เขามองสบตาท่านนายพล ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าผู้มีศักดิ์เป็นพ่อบุญธรรมกำลังคิดอะไรอยู่ นายทหารหนุ่มถอนหายใจออกมาช้าๆ สุดท้ายแล้ว...ความรักก็ไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง

               “ผมจะทำตามที่พ่อต้องการ แต่มีข้อแม้...”

               นายพลชานนท์มองหน้าชนวีร์ ลูกชายของเพื่อนรักคนนี้ ถอดแบบเพื่อนรักของเขามาทุกอย่าง กล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง กล้าตัดสินใจกับทุกอย่าง เขาอยากจะรู้เหมือนกันว่าชนวีร์จะต่อรองอะไรกับเขา

               “ว่ามา...”

               “ผมรักพ่อและแม่มาก ถ้าไม่มีพ่อกับแม่ คงไม่มีผมในวันนี้ พ่อและแม่เหมือนคนที่ให้ชีวิตผมอีกครั้ง ส่วนชิน...เหมือนคนที่เข้ามาเติมเต็มทุกอย่างสำหรับผม และการตัดสินใจครั้งนี้ ผมทำเพื่อพ่อแม่...และเพื่อชิน ผมขอแค่...”


====================


               หลังจากที่คุณหญิงล้มป่วยลง เรือนเล็กก็ถูกปิดตาย ชินดนัยย้ายกลับมาพักอยู่ที่เรือนใหญ่ เขารู้ว่าท่านนายพลเรียกชนวีร์เขาไปคุยด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน จนกระทั่งชนวีร์เดินออกมาจากห้องหนังสือ เขาถึงได้เดินตรงเข้าไปหา

               “พ่อว่ายังไงบ้าง?”

               คนถูกถามฝืนยิ้มออกมาเนือยๆ ก่อนจะไพล่ถามไปอีกเรื่องแทน

               “อาการของแม่เป็นยังไงบ้าง”

               “ก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่ค่อยยอมกินข้าวเหมือนเดิม”

               อาการของคุณหญิงชลลดาก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ชินดนัยหนักใจไม่น้อย ทุกครั้งที่ได้ยินผู้เป็นแม่พร่ำโทษว่าเป็นความผิดของเธอที่ให้ความอบอุ่นชินดนัยกับชนวีร์ไม่พอ เขาก็พาลพูดอะไรไม่ออก

               ถ้าจะมีซักคนที่ผิด บางทีมันอาจจะเป็นเขา...

               “พรุ่งนี้เช้าฉันต้องเข้าไปรายงานตัวที่กรม ก่อนจะเลยไปที่ค่าย ไปค้างที่กรมด้วยกันไหม” ผู้พันเอ่ยถามเสียงเรียบๆ มองตรงมาอย่างรอคอยคำตอบ

               ถ้าเป็นเมื่อก่อน ชินดนัยคงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล ยามที่อีกฝ่ายต้องไปประจำที่ไกลๆทีไร เขาก็มักจะไปค้างกับชนวีร์ที่บ้านพักกรมทหารเสมอ แต่ตอนนี้ สถานการณ์ต่างๆมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาไม่อาจจะเห็นแก่ตัว แล้วเลือกสิ่งที่หัวใจต้องการได้

               “แต่ว่าแม่...”

               “เข้าไปขออนุญาตแม่ด้วยกัน”

               ไม่รอฟังคำตอบรับจากชินดนัย คนที่อายุมากกว่าก็คว้าข้อมือเขาตรงไปที่ห้องนอนของผู้เป็นแม่ เคาะประตูสามทีเป็นจังหวะก่อนจะเปิดเข้าไปช้าๆ คนที่นอนเอนหลังอยู่บนเตียงหันมามองแขกผู้มาเยือน ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เธอไม่ได้นึกโกรธลูกชายสองคนแม้แต่น้อย แต่ยอมรับไม่ได้ ยังไงก็ยอมรับไม่ได้จริงๆ

               ชินดนัยกับชนวีร์ค่อยๆคุกเข่าลงข้างเตียง นายทหารหนุ่มก้มลงกราบผู้เป็นแม่ช้าๆ คงมีแค่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร คุณหญิงขยับจะชักมือออก แต่ก็เปลี่ยนใจ เอื้อมไปลูบหัวชนวีร์เบาๆ เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก แม้ไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด แม้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ความผูกพันที่มากมายก็ทำให้โกรธไม่ลง ถึงได้แต่เฝ้าขอร้องลูกชายให้เห็นใจแม่บ้าง...ซักนิดก็ยังดี

               “ผมมาขออนุญาตแม่พาน้องไปค้างที่บ้านพักด้วยกันนะครับ”

               พอได้ยินความต้องการของชนวีร์ คุณหญิงก็ขยับจะอ้าปากคัดค้านทันควัน แต่ช้ากว่าชนวีร์ที่โน้มตัวไปกระซิบข้างหูผู้เป็นแม่ คนฟังเบิกตาน้อยๆก่อนจะค่อยๆหลับตาลงช้าๆ แล้วเอ่ยถามลูกชายเสียงแผ่ว

               “ตาวีร์...โกรธแม่หรือเปล่าลูก”

               “ไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยครับ”

               “แม่ก็ไม่ได้โกรธลูกทั้งสองคน แต่จะให้ยอมรับก็คงไม่ได้ หวังว่าลูกคงเข้าใจแม่”

               “ครับ...ให้ชินไปค้างกับผมนะครับแม่”

               คุณหญิงมองหน้าชินดนัยก่อนจะเบนสายตามาที่ชนวีร์ แล้วพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เจือด้วยความทุกข์ แต่ก็นับว่าเป็นรอยยิ้มแรกนับตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้น

               “ดูแลตัวเองดีๆนะตาวีร์ แม่...รักลูกนะ...” ท้ายประโยคเหมือนจะเจือเสียงสะอื้น ก่อนผู้พูดจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

               ชนวีร์ยิ้มรับ เขาคว้าเอามือแม่มาจับเอาไว้ ก่อนจะกดจูบลงเบาๆ แล้วค่อยๆก้มกราบซ้ำอีกครั้ง มีเพียงชินดนัยที่นั่งคุกเข่าดูอยู่ข้างๆโดยไม่เข้าใจอะไร

               “ผมก็รักแม่เหมือนกันครับ...”


====================

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

               หลังจากที่ผู้เป็นแม่เอ่ยปากอนุญาตแล้ว ชนวีร์ก็พาชินดนัยเดินออกมาที่รถ ชินดนัยมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป จนกระทั่งเคลื่อนรถออกมาจากรั้วบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาถึงได้เอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป

               “พี่กระซิบบอกแม่ว่าอะไร ทำไมแม่ถึงได้ยอม”

               “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่บอกว่า...ยังไงก็จะพานายมาคืนแน่ๆ”

               ชินดนัยไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากบอก เขาก็คร้านที่จะเซ้าซี้ เดี๋ยวค่อยหาจังหวะเหมาะๆถามเอาก็คงไม่เสียหาย เขาทอดสายตามองสองข้างทาง ก่อนจะชะงักนิดๆ เมื่อคนข้างตัวถือโอกาสเอื้อมมือมากุมมือเขาเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรือชักมือออก

               ฝ่ามือหยาบกร้านที่กำลังกุมมือของเขาอยู่ บอกให้รู้ว่ามือคู่นี้ที่จับอาวุธเพื่อประเทศชาติมานักต่อนัก และมือคู่เดียวกันนี้เอง ที่คอยให้ความอบอุ่นกับเขาเสมอมา

               “พี่ไม่ตรงกลับบ้านเลยหรือไง” ชินดนัยหันมาเอ่ยถามคนขับรถอย่างสงสัย เมื่ออีกฝ่ายเลี้ยวรถเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างทางไปที่กรม

               คนถูกถามหันหน้ามายิ้มให้ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่คุ้นเคย แต่วันนี้มันกลับให้ความรู้สึกไม่เหมือนเคย

               “แวะซื้อของไปทำกินกัน”

               ชินดนัยพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะเดินตามเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต นายทหารหนุ่มที่วันนี้แต่งกายด้วยชุดลำลองสบายๆเป็นฝ่ายไปเข็นรถมา ปล่อยให้ชินดนัยยืนรออยู่ตรงทางเข้า

               “พี่อยากกินอะไร”

               “แล้วแต่นายเลย วันนี้ฉันตามใจนาย”

               “พูดอย่างกับว่าปกติไม่ได้ตามใจผมเลย”

               “ก็ตามใจไง แต่วันนี้จะตามใจมากกว่าปกติ”

               ชินดนัยส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปตรงโซนของสด นึกอะไรออกก็คว้าหยิบลงมาใส่รถเข็น คนข้างตัวเข็นรถให้อยู่ไม่นานก็เอ่ยขอตัวเดินแยกไป ทิ้งให้ชินดนัยเข็นรถเข็นตามลำพัง

               ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งกาจอะไรเท่าไหร่ แต่เพราะความที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนเป็นเวลาเกือบสิบปี สถานการณ์รอบข้างมันบีบบังคับให้ต้องหัดทำอะไรทุกอย่าง ถ้าไม่ฝึก ไม่เรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้ก็คงอดตาย

               แรกๆที่ไปอยู่ต่างแดนก็เรียกว่าลำบากพอตัวเลย ต่างบ้าน ต่างภาษา ทุกสิ่งทุกอย่างต่างจากที่เมืองไทยหมด ต้องปรับตัวและเรียนรู้กันใหม่ แรกๆมันอาจจะยากลำบาก แต่นานๆไปก็ค่อยๆชิน จนสุดท้ายก็ปรับตัวและยอมรับได้ในที่สุด

               จำได้เลยว่าช่วงแรกที่ต้องไปอยู่ที่อังกฤษใหม่ๆ เขาต้องปรับเปลี่ยนตัวเองขนานใหญ่ เพราะไม่มีพี่ชายที่คอยตามดูแลอยู่เรื่อยๆแล้ว ต้องหัดทำอะไรเองทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งเข้าที่เข้าทางและนึกภาคภูมิใจว่าถึงไม่มีพี่ชาย เขาก็ทำอะไรเป็นได้เหมือนกัน ก่อนจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น ก็วันที่นายทหารหนุ่มผู้เป็นพี่ชายซึ่งมาราชการที่ต่างประเทศมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

               ที่เคยคิดว่าอยู่คนเดียวได้ ความรู้สึกทุกอย่างมันพังทลายเพียงแค่ได้เห็นหน้าอีกคน เขาจำได้ว่าท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา เขากลับรู้สึกอบอุ่นทันทีที่ได้โผเข้าสู่อ้อมกอดของอีกฝ่าย เรียกชื่ออีกคนซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะตระหนักแก่ใจตัวเองว่า...ความรู้สึกเมื่อถูกเติมเต็มมันเป็นเช่นไร ก็ในตอนที่อีกคนกอดเขาเอาไว้แน่นๆ

               “เหม่ออะไร?...” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก่อนมือจะวางลงบนไหล่อย่างเป็นห่วง

               ชินดนัยเอี้ยวตัวไปมองคนที่เดินกลับมา ส่ายหน้าช้า ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้า เมื่อได้เห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ในมืออีกคน

               “นึกครึ้มอะไรถึงอยากดื่มไวน์ขึ้นมา”

               “นานๆทีน่า คืนนี้ดื่มด้วยกันหน่อยนะ”

               ชินดนัยสั่นหัวเบาๆ ก่อนคว้าเอาขวดไวน์มาใส่ในรถเข็น แล้วผลักรถกลับไปให้อีกคนเข็นแทน ส่วนตัวเขาก็เดินไปเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารคืนนี้


====================


               ทันทีที่รถจอดลงหน้าบ้านพักหลังเล็ก ชินดนัยกับชนวีร์ก็ช่วยกันลำเลียงของที่ซื้อมาลงจากรถ พอเรียบร้อยแล้วก็เตรียมเข้าครัวทำอาหารสำหรับมื้อเย็น

               “เดี๋ยวผมทำเองดีกว่า พี่ไปเตรียมของให้เรียบร้อยเถอะ พรุ่งนี้ต้องเข้าไปรายงานตัวไม่ใช่เหรอ”

               “โอเค เดี๋ยวฉันจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วจะรีบมาช่วย”

               ชินดนัยมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหายออกไป เขารู้สึกว่าชนวีร์เหมือนมีอะไรอยู่ในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยถามออกไป เพราะรู้ดีว่าเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังกังวลคงไม่พ้นเรื่องของเขา เขายังไม่รู้เลยว่า หลังจากพ่อกับแม่ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมรับแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อไป ชินดนัยได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปก้มหน้าก้มตาทำอาหาร

               เขาเลือกที่จะเตรียมอาหารเพียงบางส่วนที่ต้องใช้เวลาทำนาน ส่วนอาหารที่ใช้เวลาทำไม่ยุ่งยากก็แค่เตรียมเครื่องปรุงเอาไว้ เสร็จแล้วก็เดินออกมานั่งข้างๆคนที่กำลังทำความสะอาดปืนอยู่

               “พี่รู้ว่าตัวเองชอบผมตั้งแต่เมื่อไหร่?”

               คำถามที่ดังจากคนข้างตัวทำเอาคนที่กำลังง่วนอยู่กับปืนชะงักเล็กน้อย เขาปรายตามองชินดนัย แวบหนึ่งที่ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเอ็นดูขึ้นมาจางๆ ฝ่ามือเอื้อมไปโอบรั้งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้

               ขอแค่ตอนนี้ แค่เวลานี้...เวลาที่มีแค่เรา เวลาที่เป็นของเราแค่นั้น

               “วันที่ฉันกลับมาบ้านเพื่อจะบอกนายว่าฉันได้เลื่อนยศแล้ว แต่ฉันกลับต้องเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่า ตอนที่แม่บอกว่าส่งนายไปอยู่โรงเรียนประจำที่อังกฤษ คงเป็นตอนนั้นล่ะมั้ง ที่ฉันรู้สึกว่าอะไรหลายอย่างมันขาดหายไป แล้วฉันก็ได้รู้ว่า...นายสำคัญสำหรับฉันมากแค่ไหน”

               เวลาที่อยู่ด้วยกันมันเนิ่นนานจนรู้สึกผูกพัน แม้จะไม่ใช่พี่น้องโดยสายเลือด แต่คุณหญิงกับท่านนายพลก็ไม่เคยทำให้ชนวีร์รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอื่น และเพราะความรักที่คุณหญิงกับท่านนายพลมีให้ เขาถึงได้เลือกทางออกที่ท่านทั้งสองจะได้ไม่ต้องเสียใจ ถ้าจะห่วง...เขาก็ห่วงแต่ชินดนัย

               “ผมรู้ว่าไม่ได้อยากมีพี่ชาย ก็ตอนที่พี่มาหาผมที่ทันบริดจ์”

               คำสารภาพที่หลุดออกจากปากกันและกัน ทำเอาต่างคนได้แต่สะท้อนอยู่ในอก ในเมื่อเราต่างใจตรงกันและรู้สึกเหมือนกันมาตลอด ทำไมเราถึงรักกันไม่ได้

               “ตลอดเวลาที่นายอยู่ต่างประเทศ ฉันเองก็ต้องพยายามหาโอกาสไปราชการต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เพียงเพื่อให้เราได้มีโอกาสพบกัน อยู่ด้วยกัน แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่วัน”

               “ผมรู้...”

               ชนวีร์วางปืนกระบอกเล็กลงกับโต๊ะ ก่อนจะรั้งชินดนัยเข้ามาในอ้อมกอด โอบกอดอีกคนเอาไว้หลวมๆ แค่ตอนนี้ที่มีเพียงเรา ขอให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ทำอย่างใจต้องการ นึกอยากจะเอ่ยอะไรออกไป แต่ก็ต้องหักห้ามใจ เพื่อไม่ให้เสียความตั้งใจเดิม

               “ไปเตรียมอาหารต่อเถอะ เดี๋ยวฉันเก็บของเรียบร้อยแล้วจะไปช่วย”

               ชินดนัยพยักหน้ารับช้าๆ มองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บปืนนิ่งนาน ก่อนจะค่อยๆหันหลังจากมา แม้จะเป็นอ้อมกอดเดิมที่โอบกอดเขา แต่เขากลับรู้สึกถึงความตึงเครียดของเจ้าของอ้อมกอด

               ...ชนวีร์...พี่กำลังคิดอะไรอยู่?


====================


               อาหารที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วถูกลำเลียงมาวางที่โต๊ะกินข้าวทีละอย่างจนครบ ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหาร นายทหารหนุ่มหยิบเอาบรูสเก็ตต้าหน้าลาบหมูมาวางใส่จานตนเอง นึกชื่นชมความช่างคิดของคนทำอาหาร บรูสเก็ตต้าเป็นอาหารจานโปรดของชินดนัย แต่คนทำคงรู้ดีว่าเขาไม่ชอบอาหารฝรั่งเท่าไหร่ ถึงได้ประยุกต์ออกมา แทนที่จะเป็นหน้ามะเขือเทศแบบอิตาเลียน ก็ทำเป็นหน้าลาบหมูแบบไทยๆ ออกมากลายเป็นอะไรที่ลงตัว ถูกปากทั้งเขาและชินดนัยไม่ต่างกัน

               “ชิน...กินผักเข้าไปบ้าง เลิกเขี่ยทิ้งซะที” นายทหารหนุ่มเอ็ดน้องชายที่โตแล้ว แต่ยังเขี่ยผักในจานไปมาเหมือนเด็กๆ

               “ก็ผมไม่ชอบนี่นา...”

               “นายนี่นะ...ไม่เคยเปลี่ยนเลย ตอนเด็กๆไม่ยอมกินผักยังไง โตมาก็ยังเป็นอย่างนั้น” ชนวีร์บ่น ก่อนจะโกยผักที่ชินดนัยเขี่ยไว้ตรงขอบจานมาไว้ที่จานตัวเองจนหมด

               “ผมรู้ว่าพี่ชอบกิน ผมเลยใส่”

               ชินดนัยไม่ได้พูดแก้ตัวเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกิน แต่เขารู้ว่าชนวีร์ชอบจริงๆ ถ้าทำอาหารแล้วมีแต่เนื้อสัตว์ รับรองเลยว่าชนวีร์จะต้องบ่นเขาอีกเหมือนกันแน่ๆ เขาเลยแก้ปัญหาด้วยการใส่ผัก แล้วปัดให้อีกคนรับผิดชอบไปซะ...เหมือนที่เคยเป็นมาตลอด

               “นายก็เป็นซะแบบนี้ ฉันถึงเลิกห่วงนายไม่ได้ซะที”

               คนได้ยินถึงกับชะงัก ค่อยๆวางช้อนส้อมลงกับจาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดเต็มตา

               “อย่า...อย่าพูดเหมือนกับว่าจะไม่ห่วงผมอีกแล้วได้ไหม”

               ไม่ได้อยู่ด้วยกันยังพอทนไหว แต่พูดเหมือนจะไม่สนใจกัน...มันเจ็บที่หัวใจจริงๆ

               “ฉันไม่มีวันที่จะเลิกห่วงนายได้หรอก”

               ผู้พันใช้มือข้างซ้ายกุมมือชินดนัยเอาไว้ ส่วนมือข้างขวาค่อยๆยื่นไปเกลี่ยหยดน้ำใสที่ไหลออกมาโดยเจ้าของไม่ทันรู้ตัว

               “กินข้าวต่อเถอะ”

               ชินดนัยพยักหน้ารับ ก่อนจะก้มหน้าลงกินข้าวต่อ แม้จะรู้สึกฝืดคอ กินอะไรไม่ค่อยลงแล้วก็ตาม เขาเขี่ยกับข้าวในจานไปมา ตักข้าวปากได้อีกแค่สองสามคำก็ต้องยอมแพ้ ทำท่าจะรวบช้อนส้อมเข้าหากัน ถ้าไม่มีเสียงดุๆดังขึ้นมาเสียก่อน

               “อิ่มแล้วเหรอ”

               “ผมกินไม่ลงแล้ว”

               “กินเข้าไปอีกหน่อย นายกินไปแค่นิดเดียวเองนะ”

               “แต่ผม...”

               “ฉันเป็นห่วง”

               แค่ประโยคง่ายๆที่หลุดออกจากปากมา ก็ทำให้ชินดนัยยอมตักข้าวใส่ปากอย่างว่าง่าย ชนวีร์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ แต่ในแววตายังคงมีความกังวลฉายอยู่ เขาตัดสินใจไปแล้ว และหันหลังกลับไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป

               “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รู้ไว้ว่าฉันเป็นห่วงนายเสมอ”


====================


               ชินดนัยจัดการเก็บโต๊ะอาหารจนเรียบร้อย ก่อนจะหยิบผ้ามาทำความสะอาด ส่วนเจ้าของบ้านคว้าเอาขวดไวน์พร้อมกับแก้วสองใบเดินลิ่วไปที่โซฟา พอเห็นชินดนัยเก็บของเสร็จแล้ว นายทหารหนุ่มก็ตบที่นั่งข้างตัวปุๆ

               “พี่ทำตัวเหมือนป๋าเลยนะ” คนถูกเรียกอดค่อนไม่ได้ แต่ก็ยอมเดินมานั่งแต่โดยดี

               ผู้พันหนุ่มหัวเราะเสียงแผ่วๆ ก่อนจะเลื่อนแก้วไวน์อีกแก้วส่งให้ชินดนัยที่รับไปถือเอาไว้ แต่ยังไม่ยอมยกขึ้นจิบ

               “นึกครึ้มอะไรถึงได้ชวนผมดื่มไวน์”

               “เปล่า ฉันกับนายไม่ได้ดื่มด้วยกันมานานแล้วนี่นา”

               ชินดนัยหมุนแก้วไวน์ในมือไปมา เขาค่อยๆเอนหัวลงพิงบ่าอีกฝ่าย ไม่รู้อะไรดลใจทำให้เขาเอ่ยบางสิ่งบางอย่างออกมา

               “พี่ว่า...ถ้าเราหนีไปด้วยกัน ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นมาไหม”

               ฝ่ามือหนาเอื้อมมาประคองใบหน้าชินดนัยเอาไว้ ดวงตาสองคู่มองสบกันนิ่งนาน

               “ชินดนัยที่ฉันรักไม่ใช่คนแบบนั้น...”

               สุดท้ายก็เป็นชินดนัยที่เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี เขายกแก้วไวน์ขึ้นจรดริมฝีปาก ค่อยๆจิบไวน์แดงในแก้วช้าๆ รสฝาดเฝื่อนของไวน์ราคาแพงยังไม่อาจสู้ความรู้สึกฝาดในใจ

               “ถ้าผมเป็นแค่ชินดนัย และพี่เป็นแค่พี่...ทุกอย่างจะดีแค่ไหนกัน”

               มันจะดีแค่ไหนกัน ถ้าเราไม่ต้องแบกรับความหวังของบุพการี ไม่ต้องแบกรับชื่อเสียงวงศ์ตระกูล และฐานะทางสังคม ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่หัวโขน แต่ถึงอย่างไร...เขาก็ไม่อาจสลัดหรือวิ่งหนีหัวโขนเหล่านี้ได้เลย

               “อย่าพูดถึงมันเลย คืนนี้มีแค่ฉันกับนาย ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังเถอะ”

               ชินดนัยอยากจะเอ่ยถามกลับไปว่า...แล้วพรุ่งนี้ล่ะ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ช่างมันเถอะ ในเมื่อตอนนี้มีแค่เขากับชนวีร์ ก็คงจะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว พรุ่งนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ ขอแค่วินาทีนี้ที่เรายังมีกันและกัน

               “ผมไม่อยากอยู่กับพี่แค่คืนนี้ ผมอยากอยู่กับพี่ตลอดไป...” ชินดนัยพึมพำเบาๆ ก่อนทุกคำพูดจะถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่อริมฝีปากหยักทาบทับลงมา

               รสของไวน์ยังหวานซ่านอยู่ที่ปลายลิ้น เคยได้ยินคนบอกว่า ไวน์จะอร่อยที่สุด ยามเมื่อจิบจากปาก เขาไม่เคยเชื่อเลย จนกระทั่งตอนนี้...ที่อีกคนกำลังเพียรป้อนไวน์เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่รู้ว่าเขากำลังมัวเมาไปกับรสไวน์หรือรสจูบกันแน่

               แก้วไวน์ที่ว่างเปล่ากลิ้งอยู่ที่พื้นโดยไม่ได้รับความสนใจไยดี มีเพียงเสียงหอบหายใจหนักๆ กับสัมผัสที่เฝ้าปรนเปรอกันและกัน อ้อมกอดที่กระชับแน่น เมื่อทุกอย่างทำท่าจะเลยเถิดไปไกล ผู้พันชนวีร์ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้แล้วผละออกมาช้าๆ เรียกเสียงครางอย่างขัดใจให้ดังมาจากคนใต้ร่าง เขายิ้มน้อยๆเป็นเชิงปลอบประโลมก่อนจะดึงอีกคนให้ลุกตามขึ้นมา

               “ไปที่ห้องกันเถอะ...”

               ไม่ต้องให้บอกซ้ำ ชินดนัยก็ลุกตามไปแต่โดยดี ก้าวขาเข้ามาในห้องนอนไม่ทันไร พันธนาการทุกอย่างก็ถูกปลดเปลื้องทิ้งไปด้วยความรวดเร็ว จนชนวีร์ต้องปรามคนใจร้อนเสียงกลั้วหัวเราะ

               “ใจเย็นหน่อย...”

               แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากข้างนอก สาดกระทบร่างสองร่าง ตอกย้ำให้ตระหนักถึงความจริงว่าเราเหมือนกันมากแค่ไหน เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน และเราต่างก็มีหัวใจรักเหมือนกัน...

               สองมือไขว่คว้าหาอ้อมกอด อยากหยุดเวลานี้ไว้นานเท่านาน ได้ยินเสียงห้าวกระซิบเข้าหูเป็นพักๆ แต่ชินดนัยไม่คิดที่สนใจอะไร ในเมื่อเวลานี้มีกันและกัน เขาก็อยากจะเก็บเกี่ยวมันไว้ให้นานเท่านาน

               “...จะไม่มีใครมาแทนที่นาย”

               ร่างกายที่เปลือยเปล่าเบียดเข้าหากันแนบชิด ทุกสัมผัสทำให้วาบหวามและสั่นไหว ปลุกเร้าอารมณ์จนแทบจะโหมกระพือเป็นไฟ พร่ำกระซิบบอกคำรักซ้ำไปซ้ำมา กอดตระกองกันไว้ราวกับจะไม่ยอมให้มีอะไรมาพรากเราจากกัน

               ...ในเมื่อเรารักกันมากขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ยอมให้เรารักกัน...

               ความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ภายใน ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทรักที่เร่าร้อน โหมกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปล่อยตัวปล่อยใจให้ร่างกายเราคุยกัน บอกรักซ้ำๆ ให้คำรักมันดังก้องกังวานไปมา กว่าจะได้ผ่อนกายลงนอนเคียงข้างกันและกันก็ย่างเข้าเช้าวันใหม่ ริมฝีปากร้อนผ่าวกดจูบลงเบาๆที่ขมับชื้นเหงื่อ กระชับอ้อมกอดแน่น โอบรั้งอีกร่างเข้ามาชิดใกล้ ก่อนจะค่อยๆผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน


====================


               แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ปลุกคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงให้ค่อยๆขยับหนี ก่อนจะต้องกระตุกไปทั้งร่าง เมื่อควานมือไปแล้วพบเพียงความว่างเปล่าข้างกาย ชินดนัยถลันตัวลุกพรวดขึ้นมา หยีตาสู้แสงแดด แล้วค่อยๆเปิดเปลือกตาช้าๆ เพียงเพื่อจะพบกับความว่างเปล่ารอบกาย

               ลางสังหรณ์บางอย่างแล่นวาบเข้ามาในใจ ก่อนจะค่อยๆสะบัดผ้าห่มที่คลุมตัวออก คว้ากางเกงมาสวม แล้วเดินลงมาจากห้องนอน บ้านทั้งหลังเงียบกริบ ราวกับว่ามีเขาเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่อาศัยอยู่

               ไม่ว่ากี่ครั้งที่เขามานอนค้างด้วยกัน กี่หนที่อีกคนต้องจากไปไกล ชนวีร์จะรอให้เขาตื่นไปส่ง แล้วออกไปพร้อมกันเสมอ ไม่เคยเลยที่จะปล่อยให้เขาตื่นมาตามลำพัง นี่มันเป็นเรื่องผิดปกติชัดๆ ทันทีที่ท้าวแตะบันไดขั้นสุดท้าย สายตาก็ตวัดไปเห็นกระดาษแผ่นเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะ เขากวาดสายตาอ่านทวนซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะปล่อยให้น้ำใสๆค่อยรินไหลออกมาจากดวงตา เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา...

               “ทำไม...ทำไมกัน?...”

               ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนราวกับฝันดีที่จางหายไป สิ่งเดียวที่ตอกย้ำว่ามันคือเรื่องจริง คงมีเพียงร่องรอยบนตัวของเขา แต่อีกไม่นานรอยราวนี้ก็คงจะจางหายไป แต่ความเจ็บปวดในใจของเขาล่ะ...เมื่อไหร่กันมันถึงจะจางหาย

               “ทำไมถึงไปโดยไม่ลา...”

               แค่ประโยคเดียวที่เขียนบนกระดาษ ประโยคสั้นๆง่ายๆที่ไม่ต้องตีความอะไรให้ยาก ลายมืดหวัดๆที่ถึงแม้จะเห็นไม่บ่อย แต่ก็จำได้ขึ้นใจ



               ...ไม่มีฉันแล้ว ดูแลตัวเองให้ดีนะ...



               “ถึงแม้ผมจะดูแลตัวเองได้ แต่พี่ก็ไม่มีสิทธิ์ทิ้งผมไปแบบนี้...กลับมาได้ไหม...”

               คำอ้อนวอนที่ต่อให้ดังแค่ไหน คงไม่มีทางไปถึงอีกคน


TO BE CONTINUE




# เป็นตอนที่เขียนแล้วอึดอัดแบบแปลกๆ ตอนหน้าก็น่าจะยังคงหน่วงต่อไป
# เขียนเอง น้ำตาจะไหลเอง รีบเอามาลง เลยยังไม่ได้เกลาเท่าไหร่
# บางทีแค่รักกันมันก็ไม่พอเนอะ ไม่มีอะไรที่ง่ายไปหมด...
# ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
ไปไหนนน กลับมาหาชินน่ะะะ  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เฮ้อออออออออ ตูว่าแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด อยากบอกว่า เกลียดดราม่า จริงๆๆ ให้ตายเถอะ  :m15:  :sad4:  :o12:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
แค่คำว่ารักไม่พอหรอ แค่คำว่ากันและกันไม่พอหรอ ต้องมีคำว่าความเหมาะสมด้วยใช่มั้ย :katai1: :hao5:

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
ชลวีร์ไปไหน  สงสารวีร์กับชิน แล้วชินจะเป็นยังไงกันนะเนี่ย

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆค่ะสำหรับตอนนี้
เข้าใจทุกฝ่าย  แต่ยังไงก็ทนไม่ไหวอยู่ดี

ออฟไลน์ Windyne

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-1
    • Windyne Page on Facebook
สงสารผู้พันกะชิน

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ทำเอาน้ำตาซึมอีกแล้ว
ขออย่าให้พี่วีเลือกเอาชีวิตไปเสี่ยง วันนึงพ่อกับแม่อาจจะใจอ่อน พี่วีร์ต้องรอวันนั้นแล้วกลับมานะ
อย่าทำร้ายตัวเองนะพี่วีร์

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด