มากกว่ารัก
ตอนที่ 1
ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามค่ำคืน แม้แต่ห้องนอนของบ้านพักทหารหลังเล็กก็มีเพียงเสียงหริ่งหรีดเรไรจากภายนอก ทุกอย่างคงจะสงบสุขเหมือนอย่างที่เป็นมาค่อนคืน และคนสองคนที่นอนกอดกันก็คงจะหลับฝันดี ถ้าเพียงแต่ปราศจาก...
ครืด...ครืด...
ชายหนุ่มร่างสูงขยับตัวออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นราวกับจะกดเขาจมลงสู่อ้อมอกอุ่น ควานมือหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่กำลังสั่นครืดคราด พอหาเจอก็ต้องหยีตาสู้แสงไฟจากโทรศัพท์ จนเผลอนิ่วหน้าออกมาเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสายด้วยความงัวเงีย
(ชิน...ไม่ได้อยู่ที่เรือนเล็กหรือลูก?)
เสียงของคุณหญิงผู้เป็นแม่ ที่โทรทางไกลมาจากต่างประเทศดังมาตามสาย ชินดนัยขยับจะก้าวขาลงจากเตียง เพราะเกรงว่าเสียงสนทนาของตัวเองจะปลุกอีกคนที่กำลังนอนหลับสนิทให้ตื่น แต่แค่ขยับตัวเพียงนิดเดียว อ้อมแขนแข็งแรงคนที่นอนอยู่เคียงข้างก็ยื่นมาโอบรัดเขาอย่างหวงแหน จนต้องยอมจำนนอยู่ที่เดิม
“ผม...มาค้างที่บ้านพักของพี่ครับ”
แม้จะรู้ดีว่าผู้เป็นพ่อแม่ไม่ได้ระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ที่พิลึกพิลั่นผิดธรรมชาติ แต่ชินดนัยก็ยังเกรงและกลัว กลัวว่าซักวันหากพ่อแม่รู้เข้า ทุกสิ่งทุกอย่างคงพังทลาย ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านนายพลรักกับผู้ชายด้วยกัน แถมยังเป็นคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายตามกฎหมายเสียอีก เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าน้อยเสียเมื่อไหร่กัน ยามเอ่ยถึงอีกคนจึงต้องเอ่ยด้วยความระมัดระวังเหมือนคนที่มีชนักปักหลัง
(อ้อ...อยู่กับตาวีร์นี่เอง นี่แม่โทรมาปลุกหรือเปล่า ความจริงน่าจะพากันกลับมานอนที่บ้านนะลูก ถึงอย่างไรบ้านเราก็สะดวกสบายกว่าบ้านพักที่กรม)
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมมาค้างแค่คืนเดียว พรุ่งนี้พี่เขาต้องลงพื้นที่ เลยชวนผมมานอนค้างด้วยกัน ไม่ได้ลำบากอะไรมากมายหรอกครับ”
ถือว่าเขาไม่ได้ปดผู้เป็นแม่ เพราะสาเหตุที่ชินดนัยมาค้างบ้านพักที่กรมก็อย่างที่เอ่ยออกไป พรุ่งนี้คนที่นอนอยู่ข้างกายจะต้องออกปฏิบัติภารกิจ บางทีก็กินเวลาไม่กี่วัน บางทีก็เป็นสัปดาห์ หนักหน่อยก็เป็นเดือน และทุกครั้งที่จากไป ก็จะต้องทิ้งความกังวลใจไว้ให้เขาดูต่างหน้าเสมอ
ชินดนัยเองเกิดเป็นลูกทหาร แม้จะไม่ได้เป็นทหาร แต่ก็คุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบทหาร ตอนเด็กเคยกอดปลอบแม่ สมัยที่ต้องนั่งรอพ่อกลับจากปฏิบัติการอยู่บ่อยครั้ง เหตุผลที่เขาเลือกที่จะไม่เป็นทหาร ส่วนหนึ่งก็เพราะคำขอร้องของผู้เป็นแม่ แม่ที่เคยเฝ้ารอพ่อด้วยความเป็นห่วงและกระวนกระวาย แม่ที่ไม่อยากเฝ้ารอเขาด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน แม่ที่บอกกับเขาว่า...
‘แม่มีลูกชายอยู่สองคน เป็นทหารไปแล้วเสียคน ชินอย่าเป็นอีกคนเลยนะลูก’
อาจจะเป็นคำพูดที่ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่มันคือเรื่องจริงของคนข้างหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...หัวอกของคนเป็นแม่ เขาเองก็เข้าใจความรู้สึกของแม่เป็นอย่างดี รู้ดีว่าตนเองกระวนกระวายแค่ไหน ทุกครั้งที่คนข้างกายต้องลงพื้นที่ โชคดียังพอติดต่อกันได้ บางครั้ง...ติดต่อกันไม่ได้เป็นอาทิตย์ บางคราวที่หายเข้าป่าไปก็ไม่มีข่าวคราวส่งมา ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร กว่าจะโล่งใจก็ตอนที่เห็นอีกคนแบกร่างโทรมๆกลับมายืนอยู่ตรงหน้า
(บอกตาวีร์ด้วยนะลูก ถ้าเสร็จงานแล้วกลับมาหาพ่อแม่บ้าง และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูกของแม่ให้ปลอดภัยกลับมาด้วย)
ใช่ว่าจะมีแต่ชินดนัยคนเดียวที่เป็นห่วง คุณหญิงเองก็ไม่ต่างกัน แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันโดยกำเนิด แต่ความรักและผูกพันที่บ่มเพาะมานาน เธอจึงเอ่ยปากบอกคนอื่นว่ามีลูกชายสองคนได้อย่างสนิทใจ
“ครับ เดี๋ยวผมจะบอกพี่ให้”
โทรศัพท์ถูกกดวางสายไปแล้ว แต่ชินดนัยยังคงนั่งมองหน้าจอที่มืดดับอย่างเหม่อลอย เขาเองก็มีเรื่องที่ต้องคิดมากมาย นอกจากเรื่องของเพื่อนรักอย่างธรณ์แล้ว เรื่องของตัวเขาเองก็หนักหนาไม่ต่างกัน
“คุณแม่โทรมาใช่ไหม” เสียงทุ้มดังมาจากข้างหลัง พร้อมกับอ้อมแขนที่รั้งตัวเขาลงนอนเคียงข้าง
“ผมทำพี่ตื่นหรือเปล่า”
“เป็นทหาร ถ้าหลับลึกก็แย่สิ ต้องรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา แค่นายขยับตัวฉันก็ตื่นแล้ว”
“เป็นทหารนี่ลำบากเหมือนกันนะ”
ชินดนัยปล่อยตัวให้นอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนที่อบอุ่น เหมือนทุกคืนก่อนที่อีกคนจะลงพื้นที่ เขามักจะพาตัวเองมาเก็บเกี่ยวความอบอุ่นราวกับว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะในความแน่นอนมักมีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้เราจะยังได้อยู่ด้วยกันอีกไหม
“ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ก็แย่กันพอดี ภูมิใจหน่อยสิที่ฉันเป็นทหาร เป็นทหารของประชาชน เป็นคนของแผ่นดิน”
“แต่บางที...ผมก็อยากให้พี่เป็นแค่คนธรรมดาสำหรับผม”
อ้อมกอดแข็งแรงกระชับแน่นเข้า สายตาที่ชินกับความมืดของชินดนัยมองตรงไปยังเครื่องแบบสีเขียวที่แขวนรออยู่ก่อนจะถอนหายใจออกมาช้าๆ เขาไม่ค่อยได้หลับสนิทเท่าไหร่นัก ทุกครั้งที่อีกคนต้องลงพื้นที่ ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ มันเป็นความห่วงและกังวลที่อัดแน่น แต่ไม่สามารถเปิดเผยออกไปให้ใครรู้ได้
“คราวนี้พี่ต้องไปกี่วัน”
“ยังไม่รู้เลย คราวนี้ถูกเรียกไปที่กองกำลังนเรศวร”
แค่ชื่อที่หลุดออกมา ก็ทำเอาชินดนัยต้องมุ่นหัวคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะหันมามองคนที่นอนกอดเขาอยู่ อีกฝ่ายเพียงแค่นอนหลับตา เขารู้ดีว่าทุกประสาทสัมผัสของคนข้างตัวยังตื่นอยู่ตลอด
“ยาเสพติดใช่ไหม”
“อืม...มีข่าวว่ามันจะขนเข้ามาทางด่านแม่สอด”
“สัญญาได้ไหม...ว่าจะไม่ตาย”
ชินดนัยรู้...ว่ามันเป็นคำสัญญาที่เอาแต่ใจ แต่เขาก็ขอสัญญาจากอีกนทุกครั้งที่ลงพื้นที่ อย่างน้อยเขาจะได้อุ่นใจว่าอีกฝ่ายจะรอดชีวิตกลับมาหาเขา
...แม้ไม่อาจอยู่ด้วยกัน ขอแค่อย่าตายจากกันก็เพียงพอ... “ไม่รู้หรือว่ายังไงฉันก็ต้องกลับมาหานายอยู่ดี นอนเถอะ อย่าคิดมากเลย น่าจะชินได้แล้วนะ”
ชินดนัยอยากจะเถียงออกไปเหลือเกินว่า ต่อให้ชนวีร์ต้องลงพื้นที่อีกกี่ร้อยพันครั้ง เขาก็ไม่มีทางชินเด็ดขาด มันไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำใจให้ชินได้ง่ายๆเลย
“ไม่อยากให้ผ่านคืนนี้เลย”
“นอนเถอะ...สัญญาว่าจะกลับมา”
มันเป็นเรื่องยาก ที่จะรับปากในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ชนวีร์ก็พยายามจะทำให้ได้อย่างที่ปากพูดทุกครั้ง ถึงกลับเป็นไม่ได้ ก็จะพาร่างกายกลับมา ไม่ใช่แค่คนรอที่เครียด คนไปก็ห่วงข้างหลังเสมอ
แค่ความรักที่เป็นความลับก็อึดอัดและลำบากมากพอแล้ว ช่วงเวลาที่ต้องจากกันยิ่งทรมานจนแทบคลั่ง ทุกครั้งที่เจอกัน จึงอยากจะเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เก็บเอาไว้เผื่ออนาคต...เผื่อวันที่เราต้องห่างกันไกล อย่างน้อยยังมีความทรงจำและความรู้สึกดีๆให้ระลึกถึงเสมอ
ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน เขามักจะเรียกร้องเอาจากชินดนัยทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะทันทีที่แยกจากกันไป เมื่ออยู่ในสนามรบ เขาต้องตัดทุกอย่างออก เหลือเพียงแค่แผ่นดิน แค่ประชาชนที่สำคัญ แค่ศัตรูที่ต้องนึกถึง ไม่มีเวลามาคิดเรื่องส่วนตัว ทุกเวลาคือความเป็นตาย
หากพลาด...คือจบ!!
หากรอด...นั่นหมายถึงเขามีโอกาสกลับมากอดคนที่รัก====================
ชินดนัยยืนมองคนที่กำลังตรวจเช็กความเรียบร้อยของลูกกระสุนและอาวุธคู่ใจ ทุกครั้งที่ต้องรอคอย มันเป็นการรอคอยที่เต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าซักวัน...คนที่ไปจะไม่กลับมา
“พี่ไม่ลืมอะไรแล้วนะ”
คนที่สวมชุดทหารเต็มยศ เพราะต้องเข้าไปรายงานตัวก่อนปฏิบัติงาน เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของคำถามก่อนจะลุกขึ้นรั้งอีกคนมากอดไว้หลวมๆ
“ขอเครื่องรางได้ไหม”
รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่ริมฝีปาก รู้ดีว่าเครื่องรางที่อีกคนพูดถึงคืออะไร เขาปลดกระดุมเครื่องแบบนายทหารออกสองเม็ด ก่อนที่ริมฝีปากจะจรดลงบนเนินอก จนรับรู้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจ แล้วค่อยๆขบเม้มจนกลายเป็นรอย แต่ไม่ว่าจะทำให้เป็นรอยชัดเจนขนาดไหน มันก็หายไปก่อนที่อีกคนจะกลับมาทุกครั้ง
“กว่าพี่จะกลับมาก็ไม่เหลือรอยแล้ว”
นายทหารหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่กอดชินดนัยเอาไว้แน่น ซึมซับทุกความอบอุ่นในวันนี้ ก่อนจะคลายวงแขวนออกอย่างเสียดาย แต่ภารกิจและหน้าที่ต้องมาก่อน เมื่อเลือกที่จะเดินบนทางสายนี้แล้วก็ต้องแยกแยะให้ออก
ชินดนัยเดินออกมาส่งชนวีร์ที่รถจี๊ป เมื่อออกมานอกบ้านพัก ก็ไม่สามารถทำอะไรประเจิดประเจ้อได้อีก ทุกความรู้สึกได้แต่ส่งผ่านทางสายตาให้อีกคนรับรู้ด้วยหัวใจ
“ดูแลตัวเองดีๆนะ แม่ฝากบอกว่า...ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพี่ให้ปลอดภัยกลับมา”
“บอกแม่ด้วยว่า...ฉันรักแม่”
เป็นเรื่องปกติและเป็นสิ่งที่ต้องทำ ทุกครั้งที่ต้องออกไปทำงาน บอก...เพราะไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับมาบอกอีกหรือเปล่า
“และฉัน...รักนายมากนะชินดนัย”
ชินดนัยยิ้มก่อนจะเดินแยกไปที่รถของตัวเอง รถจี๊ปคันใหญ่ขับตามรถของชินดนัยออกมานอกกรม แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน กลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง ที่ทุกชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ไม่รู้เมื่อไหร่ที่จะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอย่างที่ใจต้องการ หรือว่า...อาจจะไม่มีวันนั้น ทุกวันนี้ที่ยังได้อยู่ด้วยกัน ก็แค่ใช้ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องมาบังหน้า
ทางมืดมน ตราบเท่าที่อีกคนยังเป็นแสงสว่าง ก็ไม่เคยคิดจะย้อนกลับ
แต่บางที...ภาระหน้าที่ก็ต้องมาก่อนหัวใจ====================
หลังจากประชุมวางแผนและจัดเตรียมกองกำลังมาร่วมสัปดาห์ กำหนดการก็ถูกส่งลงมาถึงทหารทุกนายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ อาวุธยุทโธปกรณ์ถูกลำเลียงออกมาเพื่อเตรียมความพร้อม นายทหารหลายนายเดินกันขวักไขว่อยู่ทั่วค่าย
พันตรีชนวีร์สำรวจความเรียบร้อยต่างๆ ก่อนจะเหน็บโคลท์.45 ที่เป็นของดูต่างหน้าจากบางคนลงกับเอว ปืนธรรมดาที่มีความหมายมากมายสำหรับเขา ก็แค่...ของขวัญวันเกิดจากคนบางคน สมกับที่เราสองคนต่างก็เป็นลูกทหารเหมือนกัน
ชายหนุ่มยกมือมาแตะแผ่วเบาลงที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง บริเวณที่เคยมี ‘เครื่องราง’ จากคนสำคัญอยู่ ทว่าระยะเวลาเกือบอาทิตย์ที่จากมา รอยแดงที่เปรียบเสมือนเครื่องรางส่วนตัวของเขาจึงจางลงจนเหลือเพียงผิวคร้ามแดด
“สัญญา...ว่าจะกลับไปหา” เสียงห้าวพึมพำกับตนเอง แม้จะรู้ดีว่าคนที่อยู่ห่างจากเขาเกือบห้าร้อยกิโลเมตรคงไม่มีทางได้ยิน แต่เขาก็ยังอยากบอก ฝากสายลม ฝากแสงแดด ไปกระซิบข้างหูคนที่เขารักนักหนา...
...จะกลับไป ไม่ว่าด้วยสภาพไหนก็ตาม... ผู้พันหนุ่มก้มลงสวมรองเท้าคอมแบทเป็นอย่างสุดท้าย แล้วจึงก้าวออกมานอกบ้านพักรับรองที่มีนายทหารคนสนิทยืนรออยู่ก่อนแล้ว ความจริงด้วยยศและตำแหน่งของเขา จะนั่งประจำการอยู่ที่กรมก็สามารถทำได้ แต่ที่ต้องลงมาปฏิบัติหน้าที่ด้วยตนเอง คงเป็นเพราะเลือดทหารที่มีอยู่มันเข้มข้น เลยอาสาเสี่ยงตายมาออกแนวหน้า แม้บางคราวจะนึกอยากเย้ยหยันอุดมการณ์ของตัวเอง
...ชีวิตเพื่อชาติ หัวใจเพื่อเธอ...
มันคงเป็นสิ่งที่ถูกลิขิตมาแล้ว นับจากวันที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางสายนี้ เลือกแล้วที่จะเป็นทหารของประชาชนและเป็นคนของแผ่นดิน เหมือนกับที่เลือกแล้วว่าจะรัก ‘เขา’
“ผู้พันพร้อมแล้วนะครับ”
นายทหารคนสนิทเอ่ยถามก่อนจะเดินเข้ามารับข้าวของไปจากมือ ผู้พันชนวีร์เหยียดริมฝีปากออก ร่องรอยความตรึงเครียดฉายชัดอยู่บนหน้า ความคิดหวนกลับสู่บทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อคืน
‘พรุ่งนี้จะออกแนวหน้าแล้ว
(ระวังตัวด้วยนะ)
‘เสียใจหรือเปล่า...ที่เรารักกัน’
(ไม่เคยเลย เสียใจมากกว่า...ถ้าเรารักกันไม่ได้)
‘ถ้าฉันไม่ได้กลับไป...’
(อย่า...อย่าพูด...)
‘ขอโทษ รัก...รู้ใช่ไหม?’
(ดูแลตัวเองดีๆและ...ต้องปลอดภัยกลับมานะ)
“รถพร้อมแล้วครับผู้พัน”
เสียงเรียกของนายทหารคนสนิทดึงเขาออกจากภวังค์ ผู้พันพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปยังรถทหารที่มีกองกำลังรออยู่หลายนาย เตรียมมุ่งหน้าสู่แม่ฮ่องสอน ตามแผนการที่วางและตามข่าวกรองที่รับมา ว่าจะมีการลักลอบขนยาบ้าบริเวณชายแดนไทย – พม่า รถบรรทุกทหารจะส่งลงที่ตำบลผาบ่อง ก่อนจะต้องเดินเท้าเข้าสู่พื้นที่ที่เป็นแนวสันเขา แม้กระทั่งการเดินทางยังยากลำบาก อย่าถามเลยว่าจะมีโอกาสติดต่อกับอีกคนหรือไม่
ถ้ารอด...ก็กลับมาเจอกัน ถ้าต้องจาก...ก็ได้บอกว่ารักแล้ว นับจากวินาทีที่ก้าวออกจากค่าย เท่ากับว่าเขาละทิ้งทุกอย่าง มีเพียงประเทศชาติบ้านเมืองที่สำคัญ มีเพียงภาระหน้าที่ที่ต้องคำนึงถึง เลือกแล้ว...ที่จะเป็นรั้วของชาติ!!
====================
ภารกิจล่าสุดที่กองกำลังนเรศวรกินระยะเวลานานเกือบสองสัปดาห์ ก่อนข่าวร้ายจะมาถึงหูชินดนัย ว่าผู้พันชนวีร์บาดเจ็บและถูกนำตัวมารักษาที่กรุงเทพฯเป็นการด่วน ช่วงระยะเวลาที่อีกฝ่ายต้องต่อสู้กับความเป็นตาย ชินดนัยเองก็มีเรื่องที่ต้องสะสาง เรื่องของเพื่อนรักอย่างธรณ์...ที่เมื่อเขายื่นมือเข้าช่วยแล้วก็ต้องช่วยต่อจนถึงที่สุด
หลังจากจัดการกับเรื่องของคุณเขมจิราจนเรียบร้อย ชินดนัยก็ได้รับแจ้งจากผู้กองติสรณ์ว่าผู้พันชนวีร์ออกจากห้องผ่าตัดแล้ว และกำลังถูกย้ายมาที่ห้องพักผู้ป่วยธรรมดา แต่เนื่องจากร่างกายอ่อนเพลียเพราะเสียเลือดมาก คนป่วยเลยยังไม่ได้สติ
ชินดนัยเดินลากเท้ามาตามทางเดินที่เงียบสงัดของโรงพยาบาล ที่สุดทางเดินคือห้องพักของคนที่เขารู้จักมาเกือบตลอดชีวิต เขาหยุดฝีเท้าลงหน้าห้องพักผู้ป่วย ดวงตามองป้ายชื่อที่ติดอยู่บนบานประตู
...พันตรีชนวีร์ จิรวงศ์...
นอกจากเราสองคนต่างเป็นผู้ชายเหมือนกันแล้ว เราต่างก็เป็น ‘จิรวงศ์’ ตามกฎหมายเหมือนกันอีกด้วย และถึงแม้จะตัดความเป็นจิรวงศ์ออก แต่ท่านนายพลผู้เป็นพ่อและคุณหญิงผู้เป็นแม่จะยอมรับหรือ ถ้าลูกชายเพียงคนเดียวอย่างเขาชอบพอกับผู้ชายด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อผู้ชายอีกคนคือคนที่ท่านรักเหมือนลูก
ตัวเขาเองแม้จะเป็นเพื่อนรักกับธรณ์ แต่ทัศนคติและลักษณะการดำเนินชีวิตกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง ธรณ์ อิสรพัฒน์รักอิสรเสรีดั่งนกน้อย ไม่แคร์สังคมหรือคนอื่น แต่เขา...ชินดนัย จิรวงศ์ เขามีสังคมที่ต้องแคร์ มีหน้าตาของพ่อแม่ต้องรักษา มีเกียรติยศที่ต้องแบกรับเอาไว้ ถ้าเทียบกันแล้ว ระหว่างเขากับธรณ์ หนทางความรักของเขาช่างดูมืดมนเหลือเกิน มืดเสียจนมีหลายคราวที่เขานึกท้อ
ชินดนัยถอนหายใจยาวก่อนจะหมุนลูกบิดออก ร่างของคนที่เขาเฝ้าคิดคำนึงหาร่วมสองสัปดาห์ด้วยความกระวนกระวาย กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนเพลีย เขาสืบเท้ามาหยุดอยู่ข้างเตียง มองดูดวงหน้าที่ฉายแววอิดโรย ก่อนจะไล้มือไปตามบาดแผลบนลำตัวของอีกฝ่าย
...พี่จะรู้ไหม เวลาที่เห็นพี่เจ็บ ผมกลับเจ็บเสียยิ่งกว่า แม้จะรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่พี่ต้องทำและเป็นสิ่งที่พี่เลือกแล้ว...
...วันนี้รอดกลับมาพร้อมบาดแผล ถ้าวันหน้า... “อา.....”
เสียงครางที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผาก เรียกรอยยินดีให้ปรากฏบนดวงตาของชินดนัย ก่อนที่เขาจะจัดแจงรินน้ำลงแก้วแล้วนำมาจ่อริมฝีปากของอีกฝ่าย คนป่วยที่เพิ่งรู้สึกตัวจิบน้ำลงคออย่างยากลำบาก แล้วค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ
...ดีแค่ไหนกัน ที่เมื่อรอดจากความเป็นความตายแล้วได้เห็นหน้าคนที่รักเป็นคนแรก...
นายทหารหนุ่มขยับจะดึงอีกคนเข้ามาหา แต่แค่ขยับตัวเพียงนิดเดียวก็ต้องนิ่วหน้า เมื่อเกิดอาการตึงบาดแผลที่เพิ่งผ่าตัดเสร็จหมาดๆ ชินดนัยเลยต้องเป็นฝ่ายขยับเข้าหาแทน
“เจ็บมากไหม...” คำถามหลุดออกมาจากริมฝีปากแผ่วเบา พร้อมกับที่ฝ่ามือประคองแก้มอีกฝ่ายเอาไว้
“แค่เห็นนาย เดี๋ยวก็หาย”
ถ้าเป็นยามปกติ ชินดนัยคงนึกยินดีกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา แต่ยามนี้ หัวใจมันแบกรับความเป็นห่วงเอาไว้จนหนักอึ้งไปทั้งใจ
“กลับมาประจำที่กรมได้ไหม เลิกออกแนวหน้า เลิกเสี่ยงอันตรายเสียที” ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาแทบจะเป็นการวอนขอ
คนป่วยที่เพิ่งฟื้นตัวถึงกับชะงัก ดวงตาสองคู่มองสบประสานกัน ก่อนที่ชนวีร์จะเลื่อนมือมากุมมือคนที่ประคองแก้มเข้าอยู่ แค่เอียงหน้าเพียงเล็กน้อย ริมฝีปากเย็นชืดก็กดจูบลงกลางฝ่ามือของอีกคน
“ถ้าทุกคนเลือกที่จะสบาย เลือกที่จะอยู่ข้างหลังหมด ทหารก็คงไม่ใช่รั้วของชาติอีกต่อไป”
“วันนี้รั้วเริ่มผุแล้ว ถ้าเกิดวันข้างหน้ารั้วพังขึ้นมา...”
ชินดนัยไม่สามารถเอ่ยต่อจนจบประโยคได้จริงๆ สุดท้ายเขาเลยค่อยๆดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แล้วเดินถอยมานั่งที่โซฟาข้างเตียงแทน
“ชิน...” ชนวีร์เอ่ยเรียกคนที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง
“ผมไม่อยากเห็นแก่ตัวหรอกนะ แต่ผมก็ไม่อยากเสียพี่ไปเหมือนกัน”
ชินดนัยรู้ว่าชนวีร์มีอุดมการณ์ แต่อีกฝ่ายเคยคิดถึงคนข้างหลังอย่างเขาบ้างหรือเปล่า เขาที่ต้องกระวนกระวาย เขาที่ต้องนั่งรอด้วยความเป็นกังวล ต้องสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้งที่อีกคนออกแนวหน้า เขาที่แทบจะเป็นบ้าวันหลายรอบด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีใครอยากสูญเสียคนที่ตัวเองรักหรอก ทุกครอบครัวเขาก็คิดแบบนายกันหมด ถ้าฉันห่วงสบาย กลับมานั่งประจำอยู่ที่กรม แล้วลูกน้องที่ต้องการขวัญกำลังใจล่ะ ฉันอยากออกแนวหน้าไปพร้อมกับทุกคน ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาเหมือนที่เคยทำมาตลอด...จนกว่าจะถึงวันที่ฉันไม่ไหว”
ถ้าเลือกได้ บางทีชินดนัยก็นึกอยากรักคนธรรมดา ดีกว่าที่จะต้องมานั่งกังวลเพราะคนบางคน แต่เพราะความรักมันเลือกไม่ได้ เขาถึงต้องทนเฝ้ากังวลทุกคราวที่อีกคนจากไป
“นายจะไปไหน?” ชนวีร์หลุดเสียงถามออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นคนที่นั่งนิ่งอยู่นานผุดลุกจากโซฟา แล้วเดินตรงไปที่ประตู
“ผมจะกลับบ้าน” เขาแตะมือลงที่ลูกบิดประตูก่อนจะบิดออกช้าๆ แล้วเอ่ยถ้อยคำถัดมา “กลับไปเอาชุดมานอนเฝ้าพี่ยังไงล่ะ”
ถ้าเพียงแต่หันกลับมามอง ชินดนัยคงเห็นว่าบนดวงหน้าคร้ามแดดของคนป่วยปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
“ขอบใจนะ...”
ขอบใจที่ถึงแม้จะไม่เข้าใจ แต่ก็พยายามยอมรับให้ได้ตลอดมา ขอบใจจริงๆ...====================
[มีต่อด้านล่าง]