UNBELIEVABLE LOVE
Chapter Fifteen
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป หลังจากเฮียแพทผลุนผันออกจากบ้านไปวันนั้น...
“มึงทะเลาะกับเฮียแพท?”
ผมเงยหน้ามองคนที่ทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม ส่ายหน้าแล้วก้มมองหนังสือที่กางอยู่ในมือต่อ...
พี่พิทเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง “เฮียแพทก็เอาแต่กินเหล้า มึงก็เอาแต่นั่งเศร้าอย่างนี้เนี่ยนะ บอกไม่มีอะไร?”
“...........”
“มีอะไรก็บอกกันบ้างสิวะ ไม่พูดแล้วใครจะรู้”
“...........”
“กูเป็นพี่มึงนะ มีอะไรก็ระบายให้กูฟังบ้างก็ได้”
“...........”
“...........”
หลังจากนั่งเงียบกันอยู่สักพัก เสียงถอนหายใจของพี่พิทดังก็ขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เสียงเสียดสีกันของผ้าจะดังตามมา แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองก็รู้ได้ทันทีว่าพี่พิทกำลังลุกขึ้นยืน “โทษทีที่ยุ่งเรื่องของมึง...”
ผมเงยหน้าควับ แต่อีกฝ่ายหันหลังเดินไปโน่นแล้ว “พี่พิท...”
เจ้าของชื่อไม่ตอบและไม่ยอมหันกลับมา แต่ยังดีที่หยุดเดิน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าอีกฝ่ายยังโกรธไม่มาก...
“ผะ ผม...ผมเป็นเกย์” บอกไปแล้วก็กลั้นใจรอ... รอให้อีกฝ่ายเดินหนีผมไปอีกคน
แม้ในมหาวิทยาลัยจะมีเกย์ มีตุ๊ด มีกระเทยอยู่เกลื่อนกลาด แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าพี่พิทจะรับได้หรือเปล่าที่ผมเป็น 'เกย์'
ที่ผมกลัวพี่พิทโกรธ ไม่ใช่เรื่องเป็นเกย์อย่างเดียว แต่ผมกลัวพี่พิทจะคิดว่าผมหลอกแกมาตลอด... แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ นะ ว่าตัวเองเป็นเกย์
จริงๆ ต้องบอกว่า ไม่เคยคิดมากกว่า...
ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีแฟนเป็นผู้ชาย...
ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ชายมาชอบ... ทุกวันนี้ก็ยังสงสัยอยู่ว่าพี่เล่ย์ชอบผมตรงไหนวะ
และไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนด้วย...
อย่างกรณีพี่ ม.6 ที่ไอ้พันมันบอกว่ามาจีบผม ตอนที่รู้ว่าพี่เขาไม่ได้คิดกับผมแค่พี่น้อง ผมตกใจมาก ไม่กล้าคุย ไม่กล้าเข้าใกล้ และหลบหน้าอีกฝ่ายตลอด... ก็รู้นะว่ามันไม่ดี แต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ มันกลัว มันสั่นขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ แต่เมื่อสองเดือนก่อนที่เจอกัน พี่เขามากับแฟน ผมก็คุยกับเขาได้ปกตินะ พอคิดว่าเขาคงไม่ชอบผมแล้ว ก็สบายใจขึ้น คุยด้วยได้
...พี่ปลายไม่ต้องพูดถึง อันนี้กลัวจนเป็นลม
แต่ผมไม่ได้รังเกียจเกย์นะ เพราะตอนเรียนมัธยมเพื่อนผมหลายคนก็เป็นตุ๊ดตอนนั้นแยกไม่ออกครับ เหมารวมหมดและพวกมันก็ชอบมากอดมาซบผม แต่ผมก็เฉยๆ เพราะรู้ว่ามันทำเล่นๆ
แต่พอมีคนมาชอบจริงๆ กลับกลัว... กูปกติมั้ยเนี่ย
“แล้วไง?” พี่พิทหันกลับมาหน้าตางงงวย
“กะ ก็...ก็พี่พิทรังเกีย-” ผมพูดตะกุกตะกัก แต่ยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็ยกมือห้ามเสียก่อน “กูจะรังเกียจมึงทำไม...รู้ตั้งนานแล้วเหอะ”
ผมทำหน้าเหวอ“ห๊ะ? ตั้งแต่เมื่อไหร่”
พี่พิททำหน้าเยาะๆ เดินกลับมาโบกผมทีนึง ก่อนจะนั่งลง “แหมมึง ประเจิดประเจ้อซะขนาดนั้น ไม่รู้ก็ควายแล้ว”
'ประเจิดประเจ้ออะไรวะ' ผมพยายามนึก ก่อนจะหน้าร้อนวาบอ๊ากลืมได้ไง “ที่พิษณุโลกอะเหรอ?”
พี่พิทกอดอกแล้วส่ายหน้าเซ็งๆ “ถึงไม่เห็นตอนไปพิษณุโลก แต่เด็กเกษตรมารับเด็กบริหารทุกวันๆ มึงคิดว่าจะไม่มีใครพูดถึงเลยเหรอ แถมยังเป็นผู้ชายกับผู้ชายอีก... น้องกูฮ็อทมาก เดี๋ยวกระบะ เดี๋ยวมอ'ไซค์ เดี๋ยวบีเอ็ม เผลอๆ มีสปอร์ตด้วย” รู้สึกตอนท้ายๆ จะออกแนวหมั่นไส้นะ
ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเขินๆ ลืมนึกเรื่องนี้ไปเลย มัวแต่เครียดเรื่องเฮียแพท “แล้ว...พี่พิทไม่รังเกียจจริงๆ นะ”
“เออ กูจะรังเกียจมึงหาพระแสงของ้าวอะไรล่ะ” พี่พิทยืนยันตามสไตล์แก ก่อนจะเหล่ตามองผมอย่างไม่ไว้ใจ “หรือมึงแอบชอบกูอยู่”
“อี๋....”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“แล้วยังไง ไอ้ที่มึงทำหน้าเหมือนหมาที่บ้านออกลูกตาย เพราะเรื่องนี้?” พี่พิทเลิกคิ้วถามหลังจากหยุดหัวเราะ
“บ้านผมมีหมาที่ไหนเล่า” ผมบ่นงึมงำ แต่ก็พยักหน้า
“ไม่ต้องเครียดๆ” พี่พิทตบหัวผมแปะๆ เหมือนจะปลอบนะ แต่หนักมือไปหน่อยมั้ย
ผลักมือพี่พิทออก ผมทำหน้ามุ่ย “เจ๊บ”
พี่พิทหัวเราะหึๆ สะใจเขาล่ะ ก่อนจะพูดเป็นงานเป็นการ “อย่าซีเรียส ชายแท้อย่างกูยังรับได้ เสือไบอย่างเฮียแพทจะรับไม่ได้ ก็ให้มันรู้ไป”
“ห๊ะ?” ผมทำตาโตรอบที่ร้อย “เฮียแพทเป็นไบ?”
พี่พิททำหน้าเซ็งใส่ผมอีกละ “นี่มึงรู้อะไรเกี่ยวกับชาวบ้านบ้างเนี่ย ห๊ะ? เฮียแพทเป็นลุงมึงนะเว้ย...อยากเอาหัวโขกหินซักสิบครั้ง มีน้องไง่” ว่าแล้วพี่แกก็ทำท่าเอาหัวโขกโต๊ะ แต่ไม่ถูกหรอกครับ แค่ผงกขึ้นผงกลง... กลัวเจ็บอะดิ โด่ นึกว่าจะแน่
ถ้าเฮียแพทเป็นไบ ก็คงไม่รังเกียจที่ผมเป็นเกย์สิ แล้วทำไมวันนั้นถึงโกรธผมล่ะ“แล้วทำไมเฮียแพทถึงโกรธผม?”
พี่พิทเลิกคิ้วขึ้น “มึงบอกเฮียแพทแล้ว?” พอผมพยักหน้า แกก็ถามต่อ “แล้วเฮียว่าไง?”
ผมส่ายหน้า “ไม่ได้ว่า แต่เดินออกไปเลย” ก่อนจะเอาคางวางไว้ที่โต๊ะ พึมพำเซ็งๆ “เฮียโกรธผมแน่เลย”
“เขาบอกเหรอว่าโกรธมึง”
เหล่ตามองคนถาม... ไม่โกรธหรอกเนอะ แบบนั้นอะ “เปล่า บอกมีธุระด่วน...ข้ออ้างชัวร์”
“มึงก็คิดมาก เฮียแกอาจมีธุระจริงๆ ก็ได้”
“เหรอ...” ผมลากเสียง บอกให้รู้ว่าไม่เชื่อ “แล้วไมอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ ผมยังไม่เห็นเฮียเลยอะ ไปหาก็ไม่เจอ ถ้าไม่โกรธ แล้วไมต้องหลบหน้า”
“เอ้า เฮียแกอยู่ปีสี่แล้ว ก็ต้องยุ่งเป็นธรรมดา วุ่นเรื่องเรียน แล้วยังจะต้องทำเรื่องฝึกงานอีก มันธรรมดาที่อาจคลาดกันได้”
“อืม...” ผมพึมพำอยู่ในลำคอ พยายามทำใจให้เชื่อทนายแก้ต่างของเฮียแพท แต่ก็ยากชะมัด...เฮ้อออ
พี่พิทนั่งคุยนั่งปลอบผมอยู่อีกสักครู่ ก็ลุกขึ้น แต่ก่อนจะเดินจากไปก็จับศีรษะผมโยกเล่นเบาๆ “มึงไม่ต้องคิดมาก เฮียเขาไม่โกรธมึงหรอก เชื่อกู”
“ทำไมพี่พิทถึงมั่นใจนัก?”
“เพราะกู....”
“......”
“......”
“พี่พิททำไม?”
“เป็น....เทพีหยั่งรู้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
...ไปซะแล้ว พี่กู
เย็นวันนั้น...
“ทำอะไรกัน?”
ผมหันไปยิ้มกว้างให้เจ้าของเสียงที่ออกไปทำธุระและเพิ่งกลับเข้ามา แต่เจ้าของสิ่งประดิษฐ์ชิงตอบเสียก่อน “เก้าอี้เด็ก”
“พี่เล่ย์ว่ามันเหมือนตัวไร?” ผมถามคนที่กำลังเดินตรงมาหา พยายามกลั้นขำเต็มที่
“หนู?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผมหัวเราะสะใจ ก่อนจะยักคิ้วให้ไอ้ซอลกวนๆ “เห็นมั้ย ใครๆ ก็เห็นเป็นหนู”
พี่เล่ย์เลิกคิ้วขึ้น มองหน้ามุ่ยๆ ของไอ้ซอลขำๆ “แล้วสรุปมึงทำตัวไร?”
“หมีเว้ย พวกมึงแม่ง ตาไม่ถึง”
คนมาใหม่หัวเราะหึๆ แล้วทรุดลงนั่งข้างๆ ผม “แล้วพุทำไร”
“ช่วยมันแปะกระดาษไง จะได้เสร็จเร็วๆ” งานไอ้ซอลมันครับ โดนตีกลับมาแก้รอบที่ร้อย บ่นอาจารย์ใหญ่
“ช่วยให้เสร็จหรือช่วยให้เละ”
ผมเหล่ตามอง แล้วใช้ไหล่กระแทกไหล่คนชอบดูถูก แต่ไหล่พี่แกแข็งมาก “อูยยย พี่อะ”
“อะไร” พี่เล่ย์เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะส่ายหน้าให้กับความพาลเกเรของผม “ทำตัวเอง”
“สม” ไอ้ซอลครับ เสือกทุกงาน
ว่าจะยกนิ้วกลางให้มัน มือก็ไม่ว่าง เลยแลบลิ้นให้มันแทน...
นั่งช่วยไอ้ซอลแปะกระดาษไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยไปเกือบทุ่ม ผมก็ชักจะทนไม่ไหว “ไม่หิวกันเหรอ?”
“กินไร?” คนที่กำลังช่วยตัดกระดาษเพิ่มถามโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
“ไก่ทอด”
“เออ กูก็กำลังอยากกินพิซซ่าพอดี” ไอ้ซอลเสริม
พี่เล่ย์ลากโน๊ตบุ๊คของไอ้ซอลที่วางอยู่ข้างๆ มาเซิร์ชหาเว็บของร้านพิซซ่าที่เราสั่งประจำ ก่อนจะถามหาคนอื่นๆ “ไอ้เอ้กับไอ้เดียวกลับมายัง?”
“เอ้อาบน้ำอยู่” ผมบอก
“ไอ้เดียวยังอยู่ที่มอ” ไอ้ซอลครับ
พี่เล่ย์หยิบมือถือออกมากดหาคนที่ไม่อยู่ “อยู่ไหนวะ...จะสั่งพิซซ่า กินมั้ย...ไก่ไร...อืม...โอเค”
หลังจากวางสายจากไอ้เดียวแล้ว พี่เล่ย์ก็หันหน้าจอให้ผมกับไอ้ซอลดูโปรโมชั่นของร้าน “เอาชุดนี้มั้ย แล้วค่อยสั่งไก่เพิ่ม” และเมื่อพวกเราพยักหน้าตกลงก็ถาม “เอาหน้าไรบ้าง ฮาวายเอี้ยนกับซีฟู๊ดนะ”
…ฮาวายเอี้ยนหน้าโปรดผมครับ ส่วนซีฟู๊ดไอ้ซอลมันชอบ
หลังจากตกลงเรื่องหน้าพิซซ่าได้แล้ว ก็ถึงคิวของไก่... ผมกับไอ้ซอลก็เถียงกันเรื่องไก่อะไรอร่อยกว่ากันระหว่างบาร์บีคิวกับไก่กรอบ คนกลางเลยตัดรำคาญสั่งมันทั้งสองอย่างและไก่เผ็ดของไอ้เดียวอีกกล่อง
“เอาไอติมด้วย” ผมบอกเมื่อเลือกไก่และพิซซ่าได้แล้ว“สี่ถ้วย”
พี่เล่ย์เลิกคิ้วขึ้น “กินหมด?”
“สั่งไว้กินวันอื่นด้วยไง” เสียดายค่าส่งครับ ตั้งสี่สิบบาท ต้องสั่งให้คุ้ม
แล้วหลังจากสั่งอาหารเสร็จ พี่เล่ย์ก็ลุกหายเข้าไปในครัว บอกจะไปทอดเฟร้นซ์ฟราย ส่วนผมก็ช่วยไอ้ซอลแปะกระดาษไปเรื่อยๆ
ผ่านไปสักพัก พิซซ่ายังไม่ทันจะมาส่ง ไอ้เอ้ก็เดินลงมาจากชั้นบน และไอ้เดียวก็เปิดประตูเข้าบ้านมาพอดี
“ทำไรกันวะ” ไอ้เดียวทัก แต่ไอ้เอ้มันรู้อยู่แล้วจึงนั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ผม ช่วยตัดกระดาษ
“กินข้าวอยู่” ไอ้ซอลตอบกวนๆ ก่อนจะเอนหลบม้วนกระดาษที่ไอ้เดียวถืออยู่แล้วหัวเราะขำ
คงจะชินกับคำพูดกวนๆ ของไอ้ซอล ไอ้เดียวไม่สนใจถามหาคนที่ไม่อยู่ “ไอ้เล่ย์ล่ะ”
“ในครัวกำลั-” พูดยังไม่ทันจบ พี่เล่ย์ก็ถือจานใส่เฟร้นซ์ฟรายออกมา พร้อมกับเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นพอดี
“พอดีเลย” ผมว่าแล้วลุกขึ้นยืนเดินตามเอาเงินไปให้ไอ้เดียวที่นำออกไปรับของแล้ว แต่ถูกปฏิเสธ “ไม่ต้อง พวกมึงออกบ่อยแล้ว เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”
“โอเค” ผมไม่ได้โต้แย้ง รับบัตรมาประทับตราบ้านเลขที่ให้พนักงานที่มาส่ง แล้วช่วยแบ่งของมาถือเข้าไปในบ้าน
“มื้อนี้เดียวเลี้ยง” ผมว่ายิ้มๆ ขณะวางของลง
“เย้!!” เสียงไอ้เอ้กับไอ้ซอลครับ
และเมื่อทำการกวาดล้างพิซซ่า ไก่ เฟร้นซ์ฟราย สปาเก็ตตี้ ขนมปังกระเทียม และไอศกรีมอีกสองถ้วยจนเกลี้ยงไม่มีเหลือแล้ว ทุกคนก็กลับมาช่วยกันลงแขกงานไอ้ซอลต่อ ก่อนจะเสร็จและแยกย้ายกันไปตอนเกือบจะเที่ยงคืน...
เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ ผมยืนมองตัวอย่างหนังที่ฉายอยู่ในทีวีจนจบแล้วก็คลานขึ้นเตียง นอนคว่ำหน้าเกยอกเปลือยของคนที่นอนพิงหัวเตียงดูทีวีอยู่ “เสาร์นี้ว่างป๊ะ”
“ว่าง” พี่เล่ย์บอกแล้วดึงผ้าไปเช็ดผมให้พร้อมกับบ่น “สระอะไรบ่อยๆ”
ผมย่นจมูก “ก็อาบน้ำทีไร ผมมันเปียกทุกที” แล้ววกกลับมาเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ “ถ้าว่าง งั้นเสาร์นี้ไปดูหนังกันนะ”
“เรื่องไร”
“เรื่องที่โฆษณากี๊นี้”
“มันเข้าแล้วเหรอ”
“เออใช่... มันเข้าวันที่เท่าไหร่อะ”
“เปิดเน็ตดู”
ผมสั่นศีรษะ กำลังสบายเลย ขี้เกียจลุก “ไม่เป็นไร ไม่เข้าก็ดูเรื่องอื่นได้”
และขณะที่กำลังเคลิ้มๆ พี่เล่ย์ก็บอก “วันอาทิตย์เดี๋ยวไปบ้านพี่นะ”
“ฮึ?” ยังงงอยู่ครับ ตาปรือแล้ว
“แม่อยากเจอพุ”
คราวนี้ตาโตเลยครับ ผมชันข้อศอกขึ้น แล้วมองหน้าอีกฝ่ายแบบต้องการคำยืนยัน “พูดใหม่ดิ๊”
“วันอาทิตย์แม่ชวนไปกินข้าวที่บ้าน”
กระพริบตาปริบๆ ผมถามย้ำอีกรอบ “แม่พี่เล่ย์อะนะ”
“แม่ไอ้เกียร์” พี่เล่ย์ตอบหน้านิ่งๆ ผมก็พลอยนิ่งตามเพราะสมองสั่งการช้าชั่วขณะก่อนจะร้องออกมา “ฮื้อ ก็คนเดียวกันอะ”
พี่เล่ย์หัวเราะหึๆ “ก็ใช่ไง”
ซบหน้าลงไปบนอกของอีกฝ่ายใหม่อีกรอบ แล้วถามเสียงอู้อี้ “ดุมั้ย”
“บ่นอะไร”
เงยหน้าขึ้นนิดนึง ให้เสียงมันดังชัดๆ “แม่ดุมั้ยอะ”
มือใหญ่ๆ ลูบศีรษะผมเบาๆ “อืม... พ่อบอกว่าแม่นิสัยเหมือนพี่ ดุมั้ยล่ะ”
“ดุ” ผมตอบ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาคนถามยิ้มๆ และเมื่ออีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ก็บอก “ตอนแรกอะ อย่างดุ ตวาดพุด้วย”
“ฮื้อ เคยด้วยเหรอ”
“ทำไมจะไม่เคย ตวาดพุว่า...มึงจะมองอีกนานมั้ย ปิดประตู! จำได้ยัง” ผมบอกพร้อมกับยักคิ้วให้
พี่เล่ย์ยักคิ้วตอบ “ก็อยากไปขัดจังหวะเอ- อ๊ะ เจ็บครับ” หยิกซะเลยอยากพูดมาก
“สม” ผมบอก แล้วพยายามดึงมือที่ถูกจับไว้คืนมา แต่ไม่เป็นผล “ฮื้อ ปล่อยสิ”
“ปล่อย เดี๋ยวก็มาหยิกพี่อีก”
“ไม่หยิกแล้ว”
“ไม่เชื่อ” พี่เล่ย์ว่ายิ้มๆ ก่อนจะยกมือผมขึ้นไปจุ๊บทีละนิ้วๆ
ผมหัวเราะคิก เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนจากจูบมากัดแทน “ฮื้อ จั๊กกะจี้”
พี่เล่ย์หัวเราะหึๆ ก่อนจะลากลิ้นไปตามฝ่ามือแล้วไล่เลยไปที่ท้องแขน “อืม…”
“ฮื้อ ไหนบอกว่าจะให้พุพักไง” ผมท้วงเสียงสั่นเมื่อฝ่ามืออุ่นๆ สอดเข้ามาในเสื้อ
(แล้วกล้องก็แพนไปที่ไฟเพดาน 555+)
ช่วงบ่ายของวันต่อมา...
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
หันไปมองคนที่กำลังเคาะกระจกของร้านอาหารไทยที่ผมกับพี่เล่ย์กำลังนั่งอยู่งงๆ แล้วก็ยิ้มกว้างออกมา เมื่อเห็นว่าคนเคาะเป็นน้องรหัสผมเอง ก่อนจะทำสัญญาณมือให้น้องเดินเข้ามาข้างใน แล้วบอกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “น้องรหัสพุ”
พี่เล่ย์พยักหน้ารับรู้ “อืม...”
จริงๆ วันนี้เราตั้งใจมาดูหนังกันครับ แต่ไม่มีโปรแกรมที่อยากจะดู เลยมากินข้าวแทน...
“พี่พุ หวัดดีค่ะ” น้องยกมือไหว้เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่
ผมก็ยกมือรับไหว้ “หวัดดีครับ” แล้วแนะนำพี่เล่ย์ให้อีกฝ่ายรู้จักเมื่อน้องมองมาอย่างสงสัย “นี่พี่เล่ย์...แฟนพี่”
น้องชะงักมือที่กำลังจะยกไหว้นิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วบอก “หวัดดีค่ะ”
พี่เล่ย์ยกมือรับไหว้ พร้อมกันกับที่ผมแนะนำน้องให้รู้จัก “น้องพิ้งค์ น้องรหัสพุ หญิงเดียวในสาย”
“สายนี้คัดมาแล้วใช่มั้ย ต้อง 'พ.พาน' เท่านั้น” พี่เล่ย์ว่ายิ้มๆ
“ใช่ ถ้าไม่ใช่ พ.พาน ห้ามเข้ากลุ่ม” ผมตอบยิ้มๆ แล้วบอกน้อง “น้องพิ้งค์ นั่งก่อนครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พิ้งค์อยู่ไม่นาน” น้องบอก
“อ้าว มีธุระเหรอครับ”
น้องพยักหน้า “ค่ะ นัดเพื่อนไว้ จะมาดูหนังกัน”
“แล้วเพื่อนอยู่ไหนครับ”
“ยังไม่มาค่ะ นัดไว้บ่ายสอง”
ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เพิ่งจะเที่ยงกว่าๆ เอง “โห อีกตั้งชั่วโมงกว่า” ผมมองสบตาพี่เล่ย์ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าจึงเอ่ยชวนน้องรหัส “น้องพิ้งค์ทานอะไรมาหรือยัง ถ้ายังทานด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
“อุ้ย ไม่เป็นไรค่ะ พิ้งค์เกรงใจ”
“เกรงใจทำไมครับ ตั้งแต่เป็นพี่น้องกัน พี่ยังไม่เคยเลี้ยงน้องพิ้งค์สักครั้งเลย” ยังไม่เคยเลี้ยง เพราะสมาชิกยังไม่ครบครับ รอเฮียแพทอยู่ ไม่เจอกันซะที
น้องพิ้งค์อิดออดอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อผมคะยั้นคะยอมากๆ ก็ตอบตกลง
หลังจากทานอาหารกันจนอิ่มและเดินออกมาจากร้าน เพื่อนของน้องพิ้งค์ก็โทรมาพอดี
“พี่พุ พี่เล่ย์ ขอบคุณมากค่ะ” น้องพิ้งค์ยกมือไหว้ขอบคุณและไหว้ลาไปในตัวเมื่อเพื่อนที่นัดไว้มาถึงแล้ว “อิ่มแปร้เลย”
ผมยิ้มรับ “ยินดีครับ...แล้วน้องพิ้งค์นัดเจอเพื่อนที่ไหนครับ”
“หน้าโรงค่ะ” น้องตอบ พร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วบอก “งั้น พิ้งค์ไปก่อนนะคะ บ๊ายบายค่ะ”
ผมยกมือโบกตอบ “บายครับ” ก่อนจะยิ้มเขินๆ เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เดินไปทันทีแต่กระซิบบอก “แฟนพี่พุมาก” แล้วหัวเราะคิกๆ แล้วโบกมือบ๊ายบายอีกรอบ “ไปจริงละคราวนี้ บ๊ายบายค่ะ”
“ไปไหนต่อดี” พี่เล่ย์ถาม เมื่อน้องพิ้งค์คล้อยหลังไปได้ไม่นาน
ผมยกมือขึ้นลูบพุงตัวเอง อึดอัดมากๆ “เดินย่อยก่อน อิ่มมากกก”
พี่เล่ย์หัวเราะหึๆ “ก็บอกให้ทิ้งไป ไม่เชื่อเอง”
“ไม่เอาอะ เสียดาย จานตั้งแพง” ก็พี่ท่านสิครับ สั่งมาซะเยอะแยะเลย แล้วจานนึงก็ไม่ใช่ถูกๆ ร้อยขึ้นทั้งนั้น “นี่ถ้าไม่คิดว่ามันจะน่าเกลียดนะ ห่อกลับไปให้ยามแล้ว”
คนข้างๆ ผมไม่ว่าอะไร ยกแขนขึ้นโอบไหล่แล้วรั้งให้ออกเดิน...
ไม่ได้ซื้ออะไรหรอกครับ... เดินมองโน่นมองนี่เล่นเพลินๆ แล้วก็ชวนกันกลับ เผอิญผ่านร้านน้ำ เห็นสีสวยดีเลยลองซื้อมาชิม
“แหวะ”
คนขับรถเหลือบมองมา ก่อนจะถาม “เป็นไร”
ผมไม่ตอบยื่นแก้วนมกล้วยฟรุ๊ตสลัดไปจ่อที่ปากของคนถาม… เห็นสีมันสวยดีครับเลยลองสั่งมาชิมดู
“อะไร” พี่เล่ย์ทำหน้าไม่ไว้ใจ
“ลองกินดูดิ”
ตอนแรกเหมือนจะไม่ยอมกิน แต่ก็เปลี่ยนใจก้มลงดูดน้ำสีเหลืองๆ ในแก้วที่ผมถืออยู่เข้าไปอึกหนึ่ง แล้วทำหน้าเบ้ “เลี่ยน น้ำไร”
“น้ำนมกล้วยฟรุ๊ตสลัด” ผมบอก แล้วยกขึ้นดูดอีกอึก ก่อนจะทำหน้าเลี่ยนสุดชีวิต...
“ทำหน้าเหมือนจะตาย แล้วจะกินทำไม ทิ้งไปสิ”
“เสียดายอ่ะ ตั้งสี่สิบห้าบาท”
“เสียดาย เดี๋ยวก็ท้องเสีย”
“ไม่เสียหรอกน่า ตั้งแพง เสียได้ไง”
“แพงก็ใช่ว่าจะเป็นของดี”
“ดีดิ” ผมเถียง
“ดื้อ” มีบ่นครับ แต่พอผมเอนไปซบที่ไหล่ คนขี้บ่นก็ยกมือลูบศีรษะแล้วถามอย่างเป็นห่วง “เป็นไร”
“เวียนหัวอะ”
“มันเลี่ยนไง กินเยอะก็เป็นงั้นแหละ” บอกแล้วก็ดึงแก้วในมือผมไปวางไว้ที่ช่องวางแก้ว “เลิกกินเถอะ กินอีกเดี๋ยวก็ปวดหัว”
คราวนี้ไม่เถียงแล้วครับ เพราะจริงๆ แล้วก็รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย...
ไม่น่าเลยเรา... นี่แหละผลของการชอบลอง
+++++unbelievablelove+++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน แล้วเจอกันตอนต่อไป ^^