เวลาผ่านไป ๖ เดือน ทุกอย่างยังคงเดิมไม่มีสิ่งใดต่างออกไป เขาหมุนแหวนทองคำวงเล็กตรงนิ้วนางข้างซ้ายพลางถอนหายใจ ในวันที่ตื่นมาในโรงพยาบาล ได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างเขาก็เพิ่งสังเกตว่าแหวนกลับมาอยู่บนนิ้วของเขาอีกครั้ง แก้วตาจำได้ว่ามันเคยหายไป แล้วเจอมันสวมอยู่บนนิ้วของร่างในโลงแก้ว เขาไม่คิดอยากได้คืนหากจู่ๆวันนั้นมันก็กลับมา กลับมาอยู่บนนิ้วของเขา
แก้วตาพาแม่ย้ายออกจากบ้านของฤดีมาเช่าบ้านหลังเล็กๆภายหลังออกจากโรงพยาบาล ไม่ว่าเพื่อนสาวกับพี่ชายขอร้องอย่างไรก็สู้เหตุผลของเขาไม่ได้สักคน เขาไม่อยากพึ่งพิงทำตัวเป็นกาฝากอีก เขาเริ่มทำงานทุกอย่างเท่าแรงของเขาจะมี เพื่อที่สมองของเขาจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย ตื่นตอนเช้าไปหมาวิทยาลัย แล้วก็ทำงานวนเวียนอยู่อย่างนั้น เขากำลังหลีกหนีและพยายามทำใจยอมรับ
ยอมรับว่าไม่มีคุณใหญ่ของเขาอีกต่อไปแล้ว...
เรือนขาวเหลือเพียงซากเถ้าถ่าน รวมถึงเรือนหลังเล็กด้วย ไม่มีสิ่งใดเหลือไว้ให้เห็น มีเพียงความทรงจำเท่านั้นให้นึกถึง บ่อยครั้งที่เขามายืนตรงนี้แล้วปล่อยให้น้ำตารินไหลโดยไร้เสียงสะอื้น กัดริมฝีปากของตัวเองแน่นเพื่อที่จะไม่เอ่ยนามของคนให้ห้วงคำนึงออกมา
สิ้นเวรพ้นทุกข์เสียที ขออย่าให้เขาทรมานอีกเลย
หลวงพ่อบอกว่าพวกเขาทั้งสามจากไปแล้ว ไปสู่ภพภูมิที่ดีไม่ต้องติดบ่วงอยู่ในห้วงทุกข์อีกต่อไป ดังนั้นแก้วตาจึงทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆเมื่อคิดถึงพวกเขา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
และสุดท้าย...อาจารย์เปรมคนนั้นก็ลาออกไม่อยู่รอให้เขาเอ่ยขอบคุณสักคำ...
“ที่ตรงนี้เธอเคยบอกว่าไม่อยากมา” ฤดีเอ่ยเมื่อเดินมาหยุดยืนข้างร่างโปร่งของเพื่อนตัวเล็ก ...สวนป่าหลังตึกคณะฯ
“ใช่ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” หญิงสาวเลิกคิ้วกับคำบอกนั้น ก่อนจะเดินตามเพื่อนเข้าไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ กางกระดานวาดรูปออกมา
ร่างเล็กเอนหลังพิงต้นไม้แล้วหลับตานิ่ง ใช่ เขาเคยกลัวที่ตรงนี้
ที่ที่เขาเคยตาย เมื่อนานมาแล้ว หากตอนนี้เขากลับรู้สึกเฉยๆกับมันเพราะเขารู้ต้นเหตุแห่งความกลัวนั้นแล้วและเขาเลือกจะปล่อยมันไป
“จริงซิ เราลืมบอกแก้วเลยว่ามีพัสดุส่งมาถึงเธอ” เขาเลิกคิ้วรับรู้คำบอกเล่าของเพื่อนหากไม่ได้ลุกขึ้นไปห้องธุรการในทันที
พัสดุเป็นทรงกระบอกเหมือนอย่างที่พวกเขาเอาไว้ใส่ภาพร่างถูกหยิบขึ้นพิจารณา เขามองหาชื่อผู้ส่งแต่ก็ไม่พบเหมือนมันถูกเอามาวางไว้ในห้องนี้โดยใครบางคนแทนที่จะเป็นพนักงานไปรษณีย์ ฤดียักไหล่เมื่อเขามองไปเหมือนถาม แก้วตาค่อยแกะฝากระบอกออกในนั้นเป็นกระดาษแผ่นใหญ่บรรจุอยู่ เขาค่อยๆคลี่ออก...
นี่มัน! มือที่ถือกระดาษสั่นระริก ดวงตาเรียวเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ความตื่นเต้นตกใจค่อยเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ
แปลนโครงสร้างเรือนขาว!
“อาจารย์เห็นคนที่นำพัสดุมาไว้ในห้องนี้หรือเปล่าครับ?” เขาหันไปถามอาจารย์ในห้อง อีกฝ่ายบอกไม่เห็นเขาเพียงแต่แจ้งให้นักศึกษาทราบว่ามีพัสดุส่งมาถึงเท่านั้น
“มีอะไรหรือเปล่าแก้ว?”
“ภาพนี้! เขาวาดมันออกมาจนได้!” เด็กหนุ่มพูดลอดไรฟันอย่างนึกเคือง
“ใคร?”
“ก็อาจารย์เปรมยังไงล่ะ!” ทั้งๆที่สัญญากับเขาแล้วว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าเขาไม่อนุญาต ทำแบบนี้มันโกหกกันชัดๆ! สุดท้ายแก้วตาก็ค้นหาที่อยู่เก่าของอีกฝ่ายมาได้ ถึงไม่มั่นใจว่าฝ่ายนั้นจะกลับมาจากอเมริกาหรือยัง แต่ยังไงก็อยากจะลอง
“นี่ๆ อย่าโกรธอาจารย์ขนาดนั้นเลยน่า อย่างน้อยเขาก็เป็นคนช่วยเธอไว้เมื่อคราวนั้นนะ”
“อ้อ ใช่ ถ้าอย่างนั้นเราจะขอบคุณเขาก่อนจากนั้นก็ค่อยชกให้หน้าหงายโทษที่ผิดสัญญา!”
นิ้วเรียวกดกระหน่ำออดหน้าบ้านชนิดไม่หยุดพัก ฤดีต้องคว้ามือเพื่อนออกเพราะกลัวออดจะไหม้เสียก่อนหากเพียงครู่เดียวเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนมาทุบประตูรั้วแทน
“นี่ อาจารย์เปรม! คุณอยู่หรือเปล่า ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” เด็กหนุ่มตะโกน ทั้งโมโหทั้งร้อนใจเขาตะโกนสลับกับกดออดไปเรื่อยๆจนไม่รู้สึกถึงแรงสะกิดจากเพื่อนจนฝ่ายนั้นทนไม่ไหวกระชากไหล่เขาให้หันไป “อะไร?” ยังไม่ทันถามให้จบประโยคสายตาของเขาก็จับร่างคุ้นตาของใครบางคน ฝ่ายนั้นยืนชะงักห่างออกไปเมื่อเห็นเขาทั้งสอง แล้วหันหลังเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
“หยุดนะ!” พอเขาตะโกนแบบนั้นร่างสูงก็เปลี่ยนเป็นวิ่งทันที “เฮ้ย!”
กลายเป็นว่าต้องวิ่งไล่ตามเสียอย่างนั้น
.
.
“....”
“คุณวิ่งหนีทำไม?” แก้วตาถาม ในที่สุดเขาก็วิ่งตามอีกฝ่ายทัน เด็กหนุ่มกระโดดล็อคคออย่างเหนียวแน่นชนิดล้มหน้าคว่ำก่อนจะลากร่างสูงเข้าไปยังร้านกาแฟแถวนั้น
“เปล่า...!” ปัง! เอ่ยปฏิเสธยังไม่จบมือเล็กก็ตบโต๊ะดังปังจนชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก (รวมถึงฤดีด้วย) มือใหญ่ดันแว่นกันแดดอันโตซึ่งเลื่อนลงขึ้นไปบังดวงตาตามเดิม
“กล้าโกหกเหรอ” เหงื่อซึมผุดบนหน้าผากกว้างเมื่อเห็นสายตาของร่างเล็กตรงหน้า พลางคิดในใจว่าเหตุใดเดี๋ยวนี้แก้วตาคนน่ารักถึงได้กลายเป็นดุร้ายไปเสียแล้ว (แน่นอนว่ามันมาจากตัวเขาเองนั่นแหละ ซึ่ง...เขายังไม่รู้ตัว)
“เปล่าจ้ะ เอ้ย เปล่าครับ” เขาดันแว่นขึ้นอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าเหงื่อจะทำให้มันลื่นเลื่อนลงมาเรื่อยๆ
“คุณผิดสัญญากับผม”
“เอ๊ะ?”
“อย่ามาแกล้งลืมนะ คุณบอกว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าไม่ได้รับอนุ... อะไร?” แก้วตาชะงักประโยคค้างไว้เมื่อฤดีดึงแขนเสื้อเขาแรงๆ
“เธอควรจะพูดอีกประโยคหนึ่งก่อนนะ”
“อ้อ ขอบคุณนะครับที่คุณช่วยผมจากเรื่องเมื่อคราวที่แล้ว” ยังไม่ทันให้ชายหนุ่มได้พยักหน้ารับแก้วตาก็พูดประโยคต่อไปให้เขานิ่งอึ้งเสียก่อน “ถึงแม้ว่าผมจะเห็นคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คุณก็ตาม”
“แก้ว!”
“....” ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นกันแดดซีดเผือดทันที
“ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องหลักเสียที ...อ้อ ช่วยถอดแว่นกันแดดได้ไหม?” แก้วตากอดอกพลางชี้ไปยังแว่นกันแดดบนหน้าคนตรงข้าม ฝ่ายนั้นส่ายหน้าปฏิเสธทันทีเช่นกัน “นี่คุณ มันเสียมารยาทนะ อยู่ในที่ร่มแล้วจะใส่แว่นกันแดดทำไม” พออีกฝ่ายไม่ตอบซ้ำยังทำนิ่งอยู่แบบนั้นคนตัวเล็กเลยได้แต่สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อระงับอารมณ์โกรธที่พุ่งทะลักขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นหน้าคนคนนี้เขาถึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย! (อารมณ์โกรธน่ะนะ แน่ล่ะ ว่าเขาไม่รู้สาเหตุ)
“เข้าเรื่องดีกว่า ตอนนี้คุณรู้ใช่ไหมว่าผมโกรธมาก”
“....” ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพยักหน้าอย่างรวดเร็วแทนเมื่อสบดวงตาวาวโรจน์
“เรื่องอะไรรู้ไหม?” คราวนี้เจ้าของใบหน้าน่ารักยิ้มหวานหากคนมองกลับเสียวสันหลังวาบแล้วส่ายหน้า “เป็นใบ้หรือคุณน่ะ?”
“เปล่า”
“เห็นส่ายหน้ากับพยักหน้าแค่นั้นก็นึกว่าเป็นใบ้ไปเสียแล้ว”
“ปากร้ายเสียจริง” เขาพึมพำแผ่วเบาหากคนจ้องหาเรื่องก็หูดีเกิน เด็กหนุ่มสะบัดเสียงถาม
“อะไรนะ!”
“เอ่อ เข้าเรื่องดีกว่าไหม?” ฤดีอดเอ่ยแทรกไม่ได้ หากปล่อยทิ้งไว้เห็นทีอาจารย์เปรมผู้เคยมั่นใจในตนเองคงโดนคนตัวเล็กข่มไปมากกว่านี้เป็นแน่
“ใช่! ผมจะบอกว่าผมโกรธมากที่คุณผิดสัญญา”
“สัญญา?”
“ก็ที่คุณสัญญากับผมว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าผมไม่อนุญาตไง!”
“เอ่อ” สีหน้าเหมือนลืมไปแล้วทำเอาเด็กหนุ่มตบโต๊ะเสียงดังให้สะดุ้งกันอีกรอบ
“คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“คือ พี่ เอ้ย ผมแค่ แค่อยากให้มีเรือนขาวเหมือนเดิม”
“ก็เลยละเมิดสัญญาแล้ววาดภาพนี้ขึ้นมา?”
“พี่สัญญาไว้อย่างนั้นรึ?” สำนวนประโยคทำเอาเด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น
“ยังไม่แก่ไม่น่าจะความจำสั้นนะคุณ”
“....” ชายหนุ่มนั่งนิ่งไม่ตอบโต้ แก้วตาฮึดฮัดเทกระดาษออกจากกระบอกสีน้ำตาล
“โทษที่คุณผิดสัญญา ผมจะฉีกมันทิ้งซะ!”
“อย่านะ!” ร่างสูงผวากายลุกขึ้นยืน ยืดกายเอื้อมแขนแย่งภาพนั้นออกจากมือเล็ก เป็นจังหวะเดียวกับที่แว่นกันแดดหลุดออกจากใบหน้าหล่อเหลา
“!” ร่างเล็กนิ่งขึงเมื่อสบตาคนตรงหน้า ปล่อยให้กระดาษในมือเล็กถูกชิงเอาไปอย่างง่ายดาย
“พี่ขอตัวก่อนนะ” ร่างสูงคว้าแว่นกันแดดแล้วเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็วทิ้งให้เด็กหนุ่มนิ่งค้างอยู่แบบนั้นหากภายในอก หัวใจของเขาเต้นระรัวแรงเหลือเกิน!
“ฤดี เธอเห็นอย่างที่เราเห็นหรือเปล่า?”
“อะไร?”
“คุณใหญ่...”
“ไหน?” หญิงสาวชะเง้อคอมองไปรอบๆร้านหากไมเห็นแม้เงาร่างของคุณพระนายที่เพื่อนเอ่ย
“ตรงหน้าเรา”
“ห๊ะ?”
“เมื่อครู่นี้”
“เธอฝันไปหรือแก้ว?”
“ไม่ใช่ฝันฤดี! เราแน่ใจว่าเป็นเขาแน่ๆ!”
“หมายความว่ายังไง?”
“นั่นไม่ใช่อาจารย์เปรม ฤดี”
“เธอคงคิดถึงเขามากไป” เพื่อนสาวไม่เห็นพ้องด้วย เห็นๆอยู่ว่านั่นคือคนมีชีวิตจะเป็นคุณพระนายคนนั้นไปได้อย่างไร ดูท่าเพื่อนของเธอคงจะเพ้อเพราะคิดถึงคุณพระนายมากเกินไปแน่ๆ
เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก...หรือเขาอาจจะเพี้ยนอย่างฤดีว่าจริงๆ
.
.
“นี่ เธอไม่คิดหรือว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันเหมือนโรคจิต?” ฤดีเอ่ยถามคนข้างกาย
“ทำไมเขาถึงไม่ขับรถล่ะ?”
“เขาอาจจะเบื่อก็ได้ถึงได้นั่งสามล้อแบบนั้น” ไม่รอให้เพื่อนสาววิเคราะห์จบ ร่างโปร่งก็วิ่งถลาไปยังคนที่กำลังจะขึ้นสามล้อทันที
“อ๊ะ!” ชายหนุ่มสะดุ้งกายเมื่อจู่ๆแขนแกร่งก็โดนคว้าไว้
“คุณจะไปไหนหรือ?”
“แก้วตา! เอ่อ ไปเที่ยว”
“เที่ยว? ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ”
“เอ๊ะ?”
“เอารถคุณไปซิ นะ จะได้นั่งได้หลายๆคนไง” เด็กหนุ่มเขย่าแขนออดอ้อนให้ร่างสูงตกประหม่า
“รถ รถหรือ?”
“ใช่ ผมเคยเห็นคุณขับไปมหาวิทยาลัย”
“เอ่อ คือ พี่ เอ้ย ผมอยากลองนั่งสามล้อดูน่ะ”
“งั้น คุณไปเที่ยวที่ไหน ผมไปด้วยนะ”
“เที่ยว เอ่อ เที่ยว...”
“ไปที่ที่คุณเคยพาผมไปก็ได้นะ” เด็กหนุ่มคะยั้นคะยอ พยายามมองสบตาร่างสูงซึ่งเพียรเบี่ยงกายหลบไม่สบตาเขา “คุณจำได้ใช่ไหม?”
“...ที่ไหนหรือ?”
“....”
สุดท้ายก็กลายเป็นแก้วตาเอ่ยบอกสถานที่ออกไป แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้นั่งสามล้ออย่างที่ชายหนุ่มต้องการหากเป็นรถของฤดีซึ่งหญิงสาวทำหน้าที่เป็นสารถี อาจารย์มองท่าทางของเด็กสาวอย่างสนใจพลางถามว่าผู้หญิงก็ขับรถเป็นด้วยหรือ? ฤดีหัวเราะชอบใจกับคำนั้นส่วนแก้วตาได้แต่จ้องมองท่าทางผิดแปลกของร่างสูงไม่วางตา เขาพยายามสอดส่ายสายตามองมือใหญ่ของอีกฝ่ายเพื่อหาบางสิ่งหากดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวถึงได้สอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงตลอด
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้น แม้แต่ฤดีเองก็เห็นถึงความผิดปรกติตามเพื่อนบอกให้ดูเกี่ยวกับอาจารย์หนุ่มตรงหน้า เช่น ไม่ว่าเวลาไหนอาจารย์ก็มักจะใส่แว่นกันแดดเสมอ (ถึงแม้วันนั้นจะแดดน้อย ร่มเงาเต็มฟ้าก็ตาม) หรือเวลาที่เขาชวนไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยอาจารย์เปรมไม่แม้แต่จะจำเพื่อนอาจารย์ได้สักคนเดียว บางครั้งเพื่อกลบเกลื่อนชายหนุ่มจะแกล้งไอ เจ็บคอไม่พูดจาแล้วก็เอาแต่ยิ้ม พาไปพาหุรัดชมภาพยนตร์ก็ทำราวกับไม่เคยดูมาก่อน ทุกอย่างดูแปลกตาและแปลกใหม่ไปเสียหมดสำหรับอาจารย์หนุ่มคนนี้
“เขาไม่เหมือนคนเดิมเลยสักนิด” ชายออกความเห็นเพราะโดนทั้งสองคนลากเข้าขบวนการจับผิดครั้งนี้ด้วยเนื่องจากชายเองก็เป็นผู้ใกล้ชิดอาจารย์หนุ่มคนหนึ่งเหมือนกัน
“พี่ชายพอจะบอกได้ไหมครับว่าไม่เหมือนยังไง?”
“เขาดูสุขุมขึ้น พูดน้อย ไม่ยิ้มเล่นหัวและเข้ากับคนง่ายเหมือนเมื่อก่อน” สองหนุ่มสาวพยักหน้ารับด้วยเห็นพ้อง
“ดูสง่างามเหมือนพวกเจ้าขุนมูลนาย” ฤดีเสริม สองหนุ่มพยักหน้ารับ
“...ผมว่าแววตาเขาแปลกไป” เด็กหนุ่มเอ่ย
“ยังไง?” สองศรีพี่น้องเป็นฝ่ายถาม
“ อาจารย์เปรมมีตาสีน้ำตาล ตาเขามีแววขี้เล่นและไม่ชอบสวมแว่นกันแดด”
“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ผม ผมคิดว่า ตาของเขาเหมือนคุณใหญ่”
“....” ทั้งหมดเงียบเมื่อได้ยินประโยคของแก้วตา ทุกคนพร้อมใจเหลือบมองร่างสูงที่เดินเข้าบ้านไป (พวกเขาแอบอยู่ในรถของชาย)
“มันต้องมีข้อพิสูจน์มากกว่านี้นะ” ชายถอนหายใจ เขาไม่คิดอย่างที่แก้วตาพูด เพราะเห็นๆอยู่ว่าคนคนนั้น มีชีวิตมีตัวตนไม่ใช่วิญญาณ
.
.
“....” พระคุณเจ้าจ้องมองร่างตรงหน้านิ่งนาน นานเสียจนคนโดนจ้องถึงกับนั่งไม่ติด อีกสามคนด้านหลังก็แทบลืมหายใจกับท่าทางนั้นของภิกษุชรา
“เอ่อ กะ เอ่อ หน้าผมมีสิ่ง...มีอะไรแปลกไปหรือครับหลวงพ่อ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามพยายามควบคุมหางเสียงไม่ให้สั่น
“เปล่าดอกโยม แล้วไปอยู่ที่ไหนมาล่ะไม่เห็นหน้าเสียนาน”
“บ้านที่อเมริกาน่ะครับ”
“อ้อ อย่างนั้นรึ แล้วนี่กลับมาอยู่ถาวรหรือแค่มาเที่ยวเฉยๆ” ท่านถามทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากคนตรงหน้า
“คงอยู่ถาวรถ้าสามารถทำได้ครับ”
“อย่างนั้นรึ? มา เข้ามาใกล้ๆนี่ซิ” เมื่อร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ท่านก็ประพรมน้ำมนต์แล้วยื่นบางสิ่งให้ชายหนุ่มรับไป “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข พ้นทุกข์พ้นโศกเสียทีนะโยม เวลาที่เหลืออยู่ก็อย่าให้เสียเปล่าล่วงเลยนะโยมนะ”
“ขอรับ หลวงพ่อ” ชายหนุ่มก้มลงกราบ ในใจรับคำนั้นมาพิจารณาแล้วถอนหายใจ พระคุณเจ้าท่านคงเห็น...
เด็กหนุ่มเดินตามหลังอีกฝ่ายไปเงียบๆก่อนจะสาวเท้าขึ้นมาเดินเคียง ร่างสูงหันมายิ้มอ่อนก่อนจะเมินหลบสายตา
“คุณมีอะไรจะบอกผมไหม?”
“อะไรหรือ?”
“...ถ้าคุณไม่บอกผมจะถามละกัน คุณวาดแปลนเรือนขาวออกมาได้อย่างไรกัน?”
“เอ่อ”
“ทั้งๆที่คุณไม่ได้รู้โครงสร้างละเอียดนัก แต่ผมอาศัยอยู่ที่นั่นมานานพอที่จะรู้ว่าภาพที่คุณวาดนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากของเดิมแม้แต่น้อย”
“พะ ผม คิดว่ามันคงบังเอิญ”
“ทำไมคุณไม่บอกล่ะว่าคุณเป็นถึงอาจารย์สอนวาดรูปแค่มองอย่างละเอียดไม่กี่ครั้งก็สามารถวาดมันออกมาได้”
“!” ร่างสูงหยุดเท้า เหงื่อกาฬซึมขมับทั้งๆที่อากาศกำลังเย็นสบาย
“แล้วก็อีกข้อ วันที่ผมขอสัญญาไม่ให้คุณวาดภาพเรือนขาวคุณจำได้ไหมว่าคุณขอสิ่งใดจากผมเป็นการแลกเปลี่ยน”
“ผม..” มือใหญ่ชื้นเหงื่อ เขากำลังคิดหาข้อแก้ตัวมากมายแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถหาเหตุผลใดมาอ้างได้เลย
“และข้อสุดท้าย ทำไมคุณถึงต้องใส่แว่นกันแดดตลอดเวลาที่อยู่กับผม”
“....” เด็กหนุ่มเลื่อนกายมายืนประจันหน้ากับร่างสูง ค่อยๆเอื้อมมือถอดแว่นกันแดดออกแผ่วเบา ดวงตาซึ่งก่อนหน้าเป็นสีน้ำตาลบัดนี้กลับเป็นสีนิลเจือแววโศกอันคุ้นเคย
“เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง?”
“!”
“ใช่ไหมคุณใหญ่?”*********
เขามองร่างที่หยุดหายใจนั้นด้วยความรู้สึกสงสาร ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนราวกับพิมพ์เดียวหนำซ้ำยังมีใจปฏิพัทธ์ในคนคนเดียวกันคือแก้วตาอีกด้วย เขาหลั่งน้ำตาให้กับชายอีกคนซึ่งยอมสละแม้ชีวิตตนเองเพื่อปกป้องคนที่รัก
ชายหนุ่มหลับตาแน่นก่อนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเข้าสิงสู่ร่างที่เพิ่งหมดลมนั้นเนื่องจากเขาไม่มีพลังพอจะช่วยเหลือใครได้อีกแล้วหากยังอยู่ในร่างเดิมนี้ เขาลุกขึ้นก้มลงมองกายหยาบขยับเคลื่อนไหวตามเขาสั่ง ศีรษะได้รูปยังคงอาบเลือดจนเปียกชุ่ม เขาหันไปมองร่างที่นอนเคียงกัน...ซึ่งยังคงหายใจรวยริน หากสิ่งซึ่งเขาพะวงคืออีกคนอันอยู่ในเปลวเพลิงที่ลุกโหม...แก้วตา เขาลุกขึ้นถลันกายขึ้นไปยังชั้นบนหากคนนอนหมดสติยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว
“แก้วตา!” เขากระโดดก้าวข้ามเปลวเพลิง ไม่สนใจว่าแขนขาจะโดนลวกเป็นแผลไหม้ขนาดไหน เสียงบันไดเรือนลั่นครืนเมื่อไฟลามเลียไปถึงแล้วถล่มลงไป “โสภี!” เขาพะวงห่วงหาหากต้องตัดใจเมื่อเห็นไฟลุกท่วมร่างนั้นจนมิด
“คุณใหญ่ขอรับ ระเบียง!” แสนปรากฏกายเลือนรางร้องเรียก เขาดึงผ้าปู ผ้าแพรผูกมัดติดกันเป็นเส้นยาวคล้องใต้รักแร้ของแก้วตาแล้วหย่อนร่างไร้สติของเด็กหนุ่มลงไปเบื้องล่างซึ่งแสนรอรับอยู่ ก่อนจะไต่ตามลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับทั้งห้องถูกเผาไหม้ ลามไปทั้งตัวเรือน...
“แก้วตา คนดีของพี่” เขาร้องเรียกเมื่อพาเด็กหนุ่มออกมาพ้นเขตอันตราย
“คุณใหญ่”
“น้องปลอดภัยแล้ว” เขากระซิบปลอบโยนร่างน้อยในอ้อมแขน
“คุณไปไหนมา?”
“พี่อยู่ตรงนี้ ใกล้ๆน้องตลอดเวลา”
“อย่าหายไปอีกนะ อย่าหายไป...เพราะว่าผมรักคุณ”
“แก้วตา?” เขายิ้มเมื่อได้ฟัง ในอกพองฟูเปี่ยมสุข
“แก้วรักคุณใหญ่นะ”
“พี่ก็รักแก้วตา รักเหลือเกิน...” เขากระซิบตอบ ใบหน้าเนียนซีดเผือดแย้มยิ้มก่อนเปลือกตาหนักอึ้งจะปิดลง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองร่างโปร่งแสงของร่างอาจารย์หนุ่มผู้มีใบหน้าเดียวกับเขาซึ่งยังคงแย้มรอยยิ้มไม่จาง ร่างนั้นก้าวขยับมาใกล้คนในอ้อมแขนเขา ก้มลงกดจูบบนหน้าผากเนียนแล้วกระซิบแผ่วเบาเจือเสียงสะอื้น
‘ลาก่อน แก้วตาที่รัก ’ ….
เขาพยายามหาทางออกจากกายหยาบนี้หากดูเหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จ เขามองร่างของแสนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆอย่างตื่นตระหนก
“แสน ฉันจะทำอย่างไรดี เหตุใดฉันจึงออกไปจากร่างนี้ไม่ได้?”
“คุณใหญ่ขอรับ นี่อาจเป็นชะตาลิขิตก็ได้นะขอรับ”
“หมายความว่าอย่างไร?” แสนยังคงยิ้มแม้บัดนี้ร่างของเขาจะเจือจางลางเลือนมากขึ้นทุกทีๆ
“ลิขิตให้คุณใหญ่มีชีวิตอีกครั้งอย่างไรเล่าขอรับ”
“!”
“กระผมเสียดายเหลือเกินที่ไม่อาจอยู่ดูความสุขของคุณใหญ่กับคุณแก้วได้อย่างที่ปรารถนา”
“แสน?”
“กระผมต้องตามนมแย้มไปแล้วขอรับ”
“ฉัน...”
“อย่ารู้สึกผิดอันใดเลยขอรับคุณใหญ่ ไอ้แสนคนนี้มีความสุขยิ่งแล้วเมื่อได้เคียงคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณใหญ่หากเสียดายที่จะไม่ได้เห็นความสุขหลังจากนี้ของท่าน” แสนวางแหวนทองสองวงลงบนเตียงคนไข้
“แสน...”
“ลาก่อนขอรับคุณใหญ่ หากบุญวาสนายังมีกระผมคงได้เกิดมาเกื้อหนุนท่านอีก ขอให้มีความสุขนะขอรับ” ร่างนั้นก้มลงกราบแทบเท้าก่อนจะเลือนหายไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า และเสียงสะอื้นไห้ของเขาเพียงลำพัง...
.
.
เขาบรรจงสวมแหวนวงน้อยลงบนนิ้วนางของคนที่ยังไม่ได้สติอย่างแผ่วเบาแล้วกดจูบหลังมือนั้นด้วยความรักใคร่ ความสับสนตีกันวุ่นเสียจนเขาไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องไหนก่อน เป็นจังหวะเดียวกับญาติของอาจารย์หนุ่มมาจากอเมริกาเมื่อทราบข่าวการบาดเจ็บและลากตัวเขากลับไปพร้อมกันเพื่อรักษาต่อที่นั่น เขาคิดว่าเป็นการดีที่จะอยู่ห่างแก้วตาสักพักในช่วงที่เขาไม่รู้จะจัดการเรื่องราวนี้อย่างไร
เขาค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิตของอาจารย์หนุ่มผู้นี้ใหม่ตั้งแต่ต้น พวกเขามีใบหน้าและรูปร่างเหมือนกันราวกับแฝดหากสังคมรอบตัวทำให้เขาต้องปรับตัวกับหลายสิ่งมากมายนัก กว่าจะคุ้นชินก็ล่วงเลยไปถึง ๖ เดือนเต็ม
เขากลับมาเมืองไทยอีกครั้ง มองดูซากเรือนขาวที่มอดไหม้ก็ให้ใจหาย ดังนั้นเขาจึงลงมือวาดภาพแปลนเรือนขาวขึ้นมาอีกครั้งเฉกเช่นในอดีตโดยไม่รู้ว่าอาจารย์หนุ่มผู้นี้เคยให้สัญญาสิ่งใดไว้กับแก้วตา จนเมื่อเด็กหนุ่มได้รับสิ่งนั้นแล้วออกตามหาเขา และนั่นจึงทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นพลาดอย่างมหันต์เนื่องด้วยเขายังไม่พร้อมจะพบหน้าแก้วตาเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน จนสุดท้ายอีกฝ่ายก็เห็นถึงความผิดปรกติและไล่ต้อนเขาจนจนมุม...
“เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง?”
“!”
“ใช่ไหมคุณใหญ่?” เขาตกตะลึงยืนนิ่ง ก้มลงมองเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นด้วยสายตาหวาดหวั่น
“คุณพูดอะไร?” เสียงทุ้มสั่นไหวจนจับได้
“....” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง เขาขบริมฝีปากก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นในระดับสายตาให้ร่างสูงเห็นสิ่งที่สวมอยู่บนนิ้วนาง มือขวาค่อยๆถอดแหวนวงนั้นออกมาอย่างแช่มช้า
“อย่า!” ร่างสูงผวาคว้ามือเล็กที่ทำท่าจะขว้างแหวนวงนั้นทิ้งแล้วตวัดร่างบอบบางไว้ในอ้อมกอดอย่างตื่นตระหนก “พี่ขอโทษ! พี่ขอโทษ...”
“ทำไมต้องโกหก ฮึก ทำไมต้องปิดบัง?” ร่างเล็กซุกหน้าลงกับอกกว้างสะอื้นไห้จนตัวโยน ความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้พังทลาย
“คนดี พี่ขอโทษนะเจ้า”
“รู้ไหมว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน ในอกเจ็บจนแทบขาดเมื่อคิดว่าคงไม่ได้พบคุณอีกแล้ว ฮึก~”
“ขอโทษนะคนดี พี่เองก็คิดถึงน้องเหลือเกิน” ฝ่ามือแกร่งประคองใบหน้าเนียนทะนุถนอมกดจูบหน้าผากเนียนแผ่วเบา เลื่อนจูบซับหยาดน้ำตาให้เหือดแห้ง สุดท้ายที่ริมฝีปากสีเข้ม ...เนิ่นนานด้วยโหยหาลึกซึ้ง
“คุณใหญ่”
“หืม?”
“รักนะครับ”
“!” ชายหนุ่มเบิกตากว้างก่อนจะยิ้มเจิดจ้า กดจูบปลายจมูกมนแล้วกระซิบ “พี่ก็รักแก้วตาเช่นกันครับ”
รัก...
รักเหลือเกิน...ยอดดวงใจ...
"ล่องลอยเอ๋ยจากพิมานข้ามสีทันดรตระการ
สู่แคว้นแดนไทยปิ่นจอมขวัญปักใจพี่มั่นตรึงหมาย
กี่ชาติกี่ภพมิมีคลอนคลายรักเจ้าไม่หน่ายไม่คลายจากกัน
แจ่มจันทร์ขวัญฟ้าขอเทพเทวาเป็นพยาน
วันดีศรีสุขสองเราสมัครสมาน
พี่ขอรักนงคราญจวบจนรักนั้นนิรันดร์กาลเอย
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกจำปาลาวตัวพี่รักเจ้าเท่าท้องนภาเอย"
*********
เขาเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มควันสีขาวอันอ้อยอิ่งลอยขึ้นไปบนฟ้าพร้อมหยาดน้ำตาที่อาบแก้มช้าๆหากไร้เสียงสะอื้น เขาไม่ได้ทุกข์ตรมรวดร้าวจะขาดใจอีกแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วงระยะเวลาที่ร่วมใช้ชีวิตด้วยกันมาก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้วสำหรับพวกเขาทั้งสองคน เพราะกายเนื้อไม่ใช่ของคุณพระนายตั้งแต่ต้นหากเป็นร่างอันหมดอายุขัยตามเหตุแห่งกรรมและด้วยไม่รู้เหตุผลกลใดวิญญาณของคุณพระนายจึงอยู่ในร่างนี้ได้ ระยะเวลาสิบปี...จะว่าสั้นก็สั้นจะว่านานก็นานพอสมควร จนเมื่อต้นปีนี้ร่างนั้นค่อยๆอ่อนแอลง ผุกร่อนไปตามกาลเวลา เขาร้องไห้ตกใจหากคุณพระนายกลับยิ้มแล้วปลอบเขาที่ร้องไห้กับอกให้ทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิด เขาขอบคุณสวรรค์เบื้องบนเสียด้วยซ้ำที่มอบระยะเวลาสิบปีนี้มาให้ การได้อยู่กับคุณพระนายในชาตินี้ ได้ครองคู่ได้รักกันเขาถือว่าเป็นการชดเชยหลังจากทุกข์ทรมานมานาน และตัวเขาเองก็ควรพอใจกับสิ่งที่ได้รับเช่นกัน จนเมื่อวันที่คุณพระนายสิ้นลมมาถึง...เขาไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว
“ลาก่อนครับคุณใหญ่ อีกไม่นานเราคงได้พบกันใหม่” แก้วตายิ้ม กระซิบถ้อยคำแผ่วเบา เขาไม่เอ่ยถ้อยคำสัญญาว่าจะครองคู่กันไปทุกภพชาติ เขาไม่อยากให้คำพูดกลายเป็นบ่วงดึงรั้งอีกฝ่ายให้เป็นทุกข์ และแก้วตามั่นใจไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกกี่ชาติเขาทั้งสองคนก็คงจะหากันจนเจอและได้รักกัน...
...อสงไขยกาล...
ปล. พูดคุย
จบแล้วค่าาาาาาาาา (เอคโค่ดังๆ)
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ
หากมีข้อผิดพลาดอะไร ติ-ชมกันได้เช่นเคยนะคะ
กอดดดดดด ทุกคนเลยยยยยย
ปลล. ทำลิ้งค์ไม่เป็นต่ะ เลยลำบากให้ทุกคนหาตอนเอง
ขอโทษนะคะ
แล้วพบกันใหม่ค่ะ^^