...อสงไขย...
...กาลที่ ๔...
เสียงย่ำบันไดเรือนแม้จะเบาเพียงใด หากคนเฝ้ารอกลับได้ยินอย่างชัดเจน เพียงเส้นผมสีนิลพ้นหัวบันไดขึ้นมาร่างโปร่งระหงของคนเฝ้ารอจึงรีบยืนขึ้นทันที
“กลับมาแล้วหรือคะคุณพี่”
“โสภี...”
“น้องมารอตั้งแต่เย็น ไม่เห็นมีใครบอกน้องว่าคุณพี่จะกลับค่ำ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มสวย ทำท่าจะรับกระเป๋าเอกสารมาถือหากชายหนุ่มกลับส่งมันให้เด็กหนุ่มคนสนิทอย่างแสนเอาเข้าไปเก็บให้หล่อนยกมือเก้อจนต้องเสเปลี่ยนมาแตะชายผ้าตัวเอง
“พอดีพี่มีธุระน่ะ เหตุใดน้องจึงมารอที่เรือนนี้ล่ะ”
“น้องไม่เห็นคุณพี่กลับมาทานข้าวที่เรือนใหญ่ กลัวว่าจะไม่สบายเลยเอาทั้งข้าวทั้งยามาให้ แล้วน้องมาไม่ได้หรือคะ?” ท้ายประโยคเอ่ยถามเหมือนน้อยใจให้เจ้าของเรือนส่ายหน้าเบาๆ
“ขอบใจ แต่หากพี่ไม่สบายจริงนมแย้มก็อยู่น้องไม่จำเป็นต้องมาหรอก...”
“ได้อย่างไรกันคะ น้องต้องมาซิในเมื่อ...”
“คุณพระนายขอรับ นมแย้มเตรียมสำรับเสร็จแล้วจะให้จัดอาหารขึ้นโต๊ะเลยไหมขอรับ” แสนที่เดินออกมาจากห้องทำงาน เอ่ยขัดประโยคของหญิงสาวให้โดนมองด้วยสายตาไม่พอใจใส่ หากเด็กหนุ่มถือว่า ไม่ใช่นายตนเหตุใดจึงต้องกลัว คุณพระนายหนุ่มหันไปพยักหน้ารับก่อนหันมาทางโสภี
“ประเดี๋ยวพี่จะให้คนไปส่งน้องที่เรือนใหญ่”
“น้องกลับเองได้ค่ะ!” เสียงหวานตวัดแหว เจอหน้าไม่ทันไรเธอก็โดนอีกฝ่ายไล่กลับแบบนี้ มันน่าน้อยใจนักเชียว!
“มากับพี่ส้มมิใช่หรือ? ถึงเรือนใหญ่จะใกล้แค่ชายคานี้แต่ค่ำมืดแล้วให้มีผู้ชายสักคนเถอะ ไปแสน ไปบอกให้เจ้าเข้มมันไปส่งคุณโสภีเธอด้วย” ชายหนุ่มหันมาบอกเด็กหนุ่มแล้วหยิบกระเป๋าถือใบเล็กของหญิงสาวส่งให้ พร้อมรอยยิ้มอ่อน “บอกเจ้าคุณพ่อด้วยว่าพรุ่งนี้พี่จะเข้าไปกราบแต่เช้า” เพียงแค่รอยยิ้มอ่อนโยนและความห่วงใยเล็กน้อยที่ชายหนุ่มมอบให้ ทำเอาความขุ่นเคืองในใจของโสภีหายไปเกือบหมด หญิงสาวพยักหน้ารับ ยกมือไหว้ร่างสูงแล้วเดินลงเรือนไป
“บอกนมแย้มเก็บสำรับเถอะแสน ฉันไม่หิว”
“แต่ว่า...” เด็กหนุ่มลังเลกับคำสั่ง คุณพระนายของเขาดูเศร้าซึมตั้งแต่กลับจากเรือนหลังเล็กของนางรำคนนั้น ท่าทางผิดหวังกับดวงตาโศกทำเอาเด็กหนุ่มอยากจะร้องไห้เพราะสงสารนายของตน ดูเอาเถอะ เจอรักแรกพบ...พอตามหากลับไม่ใช่ใครคนนั้น...
“ฉันจะอาบน้ำแล้วเข้านอนเลย เอ็งไปกินข้าวกินปลาซะ ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“แล้วคุณพระนายล่ะขอรับ ไม่กินข้าวกินปลาประเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะขอรับ” แสนเอาคำนั้นย้อนถามให้คนสั่งยืนนิ่ง
“ฉันไม่หิว”
“แต่....”
“แสน!”
“...ขอรับ...” เด็กหนุ่มรับคำท่าทางหงอย ก็เขาเป็นห่วงคุณพระนายแต่โดนดุกลับมา...
ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเตียงพลางถอนหายใจ กลิ่นดอกราตรีหอมกรุ่นอวลเข้ามาในห้อง หากเป็นคืนก่อนเขาคงนอนหลับสบายด้วยกลิ่นเย็นๆนี้ หากแต่คืนนี้...ในใจของเขากลับว้าวุ่นจนไม่อาจข่มตาให้หลับได้ลง
อยู่ไหนกันหนอ...
ดวงตาสีนิลคู่นั้น ปรางค์นวลชวนพิศ อีกทั้งริมฝีปากอิ่มที่แย้มยิ้ม...ทุกอย่างเขายังจำได้ติดตา คาดหวังว่าถ้าได้เจอ...ก็อยากจะทำความรู้จักพูดคุยด้วย คนที่แรกพบสบตาก็สามารถเข้ามานั่งอยู่ในใจเขาได้...
จะหมดความพยายามเพียงนี้น่ะหรือ?
ถึงจะคาดหวัง...แต่ความจริงบางอย่างก็ทำให้ชายหนุ่มต้องตัดใจเลิกหวัง...
ตัดใจ...แต่จะทำได้ล่ะหรือในเมื่อหัวใจของเขานั้นโดนขโมยไปเสียแล้ว...โดนเจ้าของดวงตาคู่นั้นช่วงชิงหัวใจไปแล้วทั้งดวง....ถ้าอยากได้คืนคงต้องตามหาอีกครั้งแล้วขอหัวใจอีกฝ่ายมาบ้างเพื่อให้เท่าเทียมกัน
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
“เป็นอะไรของเอ็ง หืม เจ้าแสน” เสียงแหบสูงวัยเอ่ยถามพลางชะเง้อมองหาใครอีกคนที่น่าจะตามมาด้วยกัน
“คุณพระนายบอกให้เก็บสำรับจ้ะนม เธอว่าไม่หิว”
“แล้วกัน ...มีเรื่องอะไรรึ?” มือเหี่ยวย่นยื่นชามข้าวให้เด็กหนุ่มพลางเลื่อนสำรับนั้นให้
“คุณพระนายอกหักน่ะซิ” แสนว่าพลางยกชามข้าวขึ้น ถอนหายใจแล้ววางมันลงทั้งที่ไม่ได้แตะสักนิด
“เอ็งพูดเรื่องกระไรของเอ็ง คุณพระนายน่ะรึอกหัก ประเดี๋ยวคุณโสภีได้ยินเข้าจะเป็นเรื่องหรอก” นมแย้มว่า แสนเบ้ปากอย่างไม่พอใจ
“เธอกลับเรือนใหญ่ไปแล้วล่ะนม แต่ว่านะพูดถึงคุณโสภีกระผมไม่ชอบเลยขอรับ เป็นสาวเป็นนางเหตุใดจึงทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้” เผี๊ยะ! เด็กหนุ่มยกเข่าแทบไม่ทันเมื่อนมแย้มฟาดฝ่ามือลงมา “นม เจ็บ!”
“เออ ตีให้เจ็บน่ะซิ ปากดีนักนะเอ็ง กล้าดียังไงกล้าพูดถึงคุณโสภีเธออย่างนั้น ประเดี๋ยวเถอะ ถ้าใครมาได้ยินเข้าเอ็งจะโดนโบยหลังลาย คุณพระนายก็ช่วยเอ็งไม่ได้หรอก” นมแย้มส่งสายตาเย็นๆใส่ให้เด็กหนุ่มเบ้หน้าคำรบสอง
“ก็มันจริงนี่ขอรับ กระผมไม่ชอบเลยทั้งๆที่คุณพระนาย...”
“แล้วอย่างไร? เอ็งเป็นใครถึงจะห้ามเรื่องนั้นได้ ถึงอย่างไรเรื่องที่คุณพระนายอยากทำหรือไม่อยากทำเคยกำหนดเองได้รึ? ...แต่หากไม่มีท่านเจ้าคุณเสียคนแม้แต่เอ็งก็คงได้ไปดำนาตัวดำอยู่แถวนี้แหละ” แสนเม้มปากแน่น เพราะจริงอย่างนมแย้มว่าจึงได้แต่เจ็บใจ สงสารคุณพระนายแต่ช่วยอะไรไม่ได้แบบนี้มันน่าโมโหตัวเองเหลือเกิน
“เรามันบ่าวนะแสน...ได้รับความเมตตามากขนาดนี้แล้ว..เอ็งจะเอาอะไรอีก”
“กระผมรู้...”
“เอาเถอะ...ตอนที่ยังไม่ถึงเวลานั้นเอ็งจะช่วยคุณพระนายให้สมหวังเรื่องอะไรของเอ็งก็ทำไป แต่อย่าลืมล่ะ สุดท้ายก็ต้องเป็นคุณโสภีเธออยู่ดี” นมแย้มถอนหายใจก่อนจะลุกกลับห้องของตัวเอง ทิ้งให้เด็กหนุ่มถอนใจหนักหน่วงพลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดีหนอ ให้คุณพระนายผู้มีดวงตาแสนเศร้ากลับมายิ้มแย้มได้อีก
เสียงขลุ่ยหวานเศร้าบาดหูดังแว่ว...
แสนเงยหน้าขึ้นมองไปทางห้องนอนใหญ่ของคุณพระนายพลางนิ่วหน้า ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะบรรเลงเพลงขลุ่ยให้ได้ยิน หากแต่นี่คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนเย็นเป็นแน่แท้...แสนย้ายตัวเองไปนั่งลงหน้าห้องรอจนเพลงจบจึงเคาะประตูเอ่ยถามเสียงเบา
“คุณพระนายขอรับ จะออกไปเดินเล่นหน่อยไหมขอรับ?”
“...ไม่ เอ็งไปนอนเถอะ”
“....ขอรับ” แสนถอนหายใจ เห็นทีวันพรุ่งนี้เขาคงต้องหาทางทำอะไรบ้างเสียแล้ว
.
.
เด็กหนุ่มเหลือบมองคนด้านหลังก็ให้ถอนหายใจ หลังจากคุณพระนายเข้าไปกราบเจ้าคุณบิดาบุญธรรมก็ออกมาทานอาหารที่ทางเรือนใหญ่จัดไว้ให้แล้วออกมาทำงานทันที เด็กหนุ่มรู้ว่าคนเป็นนายอึดอัดเพียงใดกับการร่วมสำรับกับคุณหญิงใหญ่ อีกทั้งลูกชายลูกสาวของท่าน หากกระนั้นคุณพระนายของแสนก็ยังรักษาสีหน้านิ่งเฉยเอาไว้ แต่ตอนนี้เล่า...ใบหน้าคมสันนิ่งเหม่อมองออกไปด้านนอกรถนั้นดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย แย่เสียยิ่งกว่าตอนทำหน้าตายเมื่อเช้าเสียอีก.. แสนนั่งคิดหาเรื่องคุยเพื่อให้คนเป็นนายได้หัวเราะบ้าง เพียงแค่ขยับปากเท่านั้นเสียงทุ้มก็ตวาดลั่น
“หยุด!”
“ขอรับ?” คนขับรถเลิกคิ้วถามหากแต่ยังไม่แตะเบรก คุณพระนายยืดกายขึ้นมองเหลียวหลังแล้วตะคอกเสียงดังอีกครั้ง
“หยุดรถ!”
“ขอรับ” คนขับรถแทบเหยียบเบรกไม่ทันเมื่อได้ยินคำสั่งชัดเจน หากแสนไม่ทันเอ่ยถามว่าให้หยุดรถทำไมร่างสูงของคุณพระนายหนุ่มก็พลันเปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็ว
“คุณพระนายขอรับ!” แสนวิ่งตาม เห็นแผ่นหลังกว้างเพียงครู่แล้วหายไปในกลุ่มคน เด็กหนุ่มหยุดนิ่งพลางคิด
คุณพระนายวิ่งตามอะไร?
ตลาดยามเช้าผู้คนพลุ่กพล่านนัก ไหล่กระทบไหล่ เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ หากกระนั้นเขาก็พยายามมองหาร่างคุ้นตาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาไม่ได้ตาฝาด เมื่อครู่ตอนนั่งอยู่ในรถ แม้จะเพียงชั่วครู่เดียว...เส้นผมสีนิล ดวงหน้าอ่อนหวาน....เขาจำได้ไม่ผิดแน่...
คนคนนั้นหายไปไหนเสียแล้วเล่า...
คุณพระนายหยุดเท้า เหลียวซ้ายแลขวาท่ามกลางความวุ่นวาย หัวใจของเขาเต้นรัวแรงราวกับกลางรบ...มันดังลั่นในอกเสียจนเจ็บไปหมด ดวงตาคมคู่สวยกวาดมอง ไล่ตามหาร่างเล็กบอบบางหากแต่ไม่มีแม้เงา...คิ้วเข้มขมวดมุ่น...
ขอตามหาอีกหน่อยเถอะนะ พี่อยากให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดเพราะคิดคำนึงถึงเจ้ามากจนเกินไป...
ร่างสูงทอดถอนใจเมื่อไร้วี่แววของคนในห้วงความคิด ตัดใจหันหลังกลับไปทางเดิม เดินเชื่องช้าด้วยเพียงหวังว่าก้าวใดก้าวหนึ่งของเขาจะนำพาไปพบใครคนนั้น
หากเพียงชายหนุ่มจะทอดสายตาลง...
หากเพียงเขาจะเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าวแล้วแลสายตาไปด้านข้างของตน...
เขาก็คงได้พบเจ้าของความคิดคำนึงถึงผู้นั้น...
ร่างเล็กในเสื้อฝ้ายสีขาวสะอาดตากำลังเจื้อยแจ้วต่อรองราคากับแม่ค้าวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงสดใส หยิบๆจับๆพลิกหมวกสานใบงามแล้ววาดสีหน้าออดอ้อนให้คนขายระอาใจจนยอมลดราคาไปเกือบครึ่งเข้าเนื้อขาดทุนไม่น้อย
“ขอบคุณนะจ๊ะป้า” หมวกสีสดสวมทับลงปิดเรือนผมสีนิลที่ถูกม้วนลวกๆจากความยาวนั้น เจ้าของเรือนผมงามยิ้มกว้างให้แม่ค้าที่ส่งค้อนวงโตมาไม่ขาด แล้วเขาจึงยื่นถุงขนมในมือ
“ขนมใส่ไส้จ๊ะ ขอบคุณที่ลดราคาให้”
“เออๆ” ถึงจะแกล้งทำเสียงไม่พอใจหากมือก็รับห่อขนมมา ก่อนจะโบกมือไล่ลูกค้าจอมต่อรองซึ่งคุ้นหน้ากันดี ร่างเล็กระหงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันเดินทิศตรงกันข้ามกับใครบางคนออกไป...
ถ้าร่างเล็กนั้นจะหันกลับมาสักนิด...เขาคงได้พบกับใครบางคนที่ถวิลหาเพียงเขา...
หากเพียงเขาจะเดินช้าลงหน่อย...เขาคงได้พบกับเจ้าของดวงตาแสนโศกที่คอยมองตามหาแต่เพียงเขา
ถ้าหากเขา...ถ้าแก้วตาจะหยุดเท้าแล้วแวะข้างทางอีกสักร้าน...เขาคงได้พบกับเจ้าของหัวใจที่เต้นรัวแรงราวกลองรบคนนั้น...
คุณพระนายแห่งวังหลวงผู้หล่อเหลา เจ้าของดวงตาโศก คุณใหญ่...
**********
“ขอบคุณพี่ชายจริงๆนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ยินดีช่วยอยู่แล้ว อีกอย่างก็เป็นความตั้งใจของพี่ที่จะเปิดแกลลอรี่ระหว่างรองานอื่นพอดี” ชายหนุ่มส่งยิ้มสวยให้คนตรงหน้า วันนี้ชายติดต่อให้แก้วตานำภาพวาดไปวางขายในแกลลอรี่ของเขาซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่กี่วันตามคำแนะนำของฤดีน้องสาว
“ถ้ายังไงพี่ชายจะไปดูภาพก่อนไหมครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม อย่างน้อยก็อยากให้เป็นภาพสวยที่สุดที่จะนำไปวางขาย ไม่อยากให้พี่ชายของเพื่อนต้องขายหน้าเพราะเขา
“ไปซิครับ” ร่างสูงลุกตามคนตรงหน้าด้วยหัวใจพองโต อย่างน้อยตอนนี้ก็เหมือนแก้วตาจะให้ความสนิทสนมกันมากขึ้น เด็กหนุ่มลุกขึ้นเพื่อจะนำเข้าไปยังห้องโถงจู่ๆ แสน ที่ไม่รู้ว่ายืนซ่อนตัวอยู่ตรงไหนก็โผล่มาขวางหน้าทำเอาแก้วตาสะดุ้งโหยง
“ให้กระผมนำภาพมาให้ที่นี่ไม่ดีกว่าหรือขอรับ?”
“โธ่ แสน ตกใจหมด” แก้วตาส่งค้อนให้คนตัวโตกว่าอย่างไม่ใคร่พอใจนัก หากแสนก็ตีสีหน้านิ่งส่งสายตาไม่พอใจให้คนข้างหลังแก้วตา มากกว่าจะเห็นสายตาของคนตัวเล็ก “ภาพตั้งหลายภาพ แสนยกมาไม่ไหวหรอก” สรรพนามเหมือนคนคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ติดขัด เพราะแสนขอเอาไว้ว่าอย่าเรียกเขาว่า คุณ ให้เรียกชื่อเฉยๆก็พอ คราแรกแก้วตาไม่สนิทใจนักหากชายหนุ่มยืนกรานหนักแน่นเขาจึงยอมและเสนอให้แสนเรียกเขาสั้นๆว่า แก้ว เช่นกันเพราะดูจากหน้าตาแล้วอายุของพวกเขาคงห่างกันไม่กี่มาก-น้อย กระนั้นแสนก็ยังคงเรียกชื่อของเขาโดยมีคุณนำหน้าทุกครั้ง พอเขาใช้ไม้ตายว่าจะเรียกแสน ว่าคุณแสนบ้างก็โดนสายตาดุๆโต้กลับและค้านหัวชนฝาจนอ่อนใจจะต่อล้อต่อเถียง หนำซ้ำยังแทนตัวเสียสุภาพนักหนาราวกับแก้วตาเป็นเจ้าเป็นนายอย่างนั้นแหละ
“กระผมจะยกมาให้ขอรับ” แสนยังคงยืนกราน ขวางทางทั้งสองไว้ไม่ขยับพลางจ้องหน้าชายเขม็ง
“...ตามใจ!” แก้วตากระแทกเท้าแล้วหันหลังกลับทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม ชายมองหน้าแสนอย่างไม่เข้าใจแต่กระนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรพลางเดินมานั่งด้วยอีกคน
แล้วแสนก็ยกภาพทั้งหมดของแก้วตามาไว้ในศาลานั่งเล่นได้ภายในเวลาอันรวดเร็วจนน่าแปลกใจว่ายกคนเดียวอย่างไรไหว ถึงอย่างนั้นแก้วตาก็ยังคงไม่ยอมมองหน้าเขาอยู่นั่นเอง ชายตัดสินใจนำภาพวาดของแก้วตากลับไปทั้งหมดโดยมีเจ้าของภาพช่วยยกขึ้นรถ แต่ส่วนใหญ่เป็นแสนที่ยกเสียมากกว่า หลังจากพี่ชายเพื่อนกลับไปแล้วเด็กหนุ่มก็เข้าไปในครัวเพื่อช่วยมารดาเตรียมของที่จะใช้ทำขนมตอนเช้ามืดต่อ
.
.
V
V
V