ตอนที่ 2ธัชดนัย“อย่าแจ้งตำรวจ......นะครับ” น้ำเสียงแหบโหยแต่ทอดเสียงอ่อนท้ายประโยคพร้อมสัมผัสอุ่นที่กระชับฝ่ามือ ทำให้ผมที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินตามเตียงรถเข็นมาตามทางไปห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลต้องเหลียวมอง จึงได้สบกับสายตาละห้อยที่จ้องเขม็งบนหน้าซีดเซียวทำให้นึกถึงลูกหมาที่เคยเลี้ยงตอนเด็กๆ
“ฮึ มัวแต่พูดมากอยู่ได้ เข็นเข้าห้องไปเลยครับ” ผมเก๊กหน้านิ่งส่งเสียงเข้มเหมือนกำลังพูดกับน้องชายตัวเอง ก่อนจะพยักพเยิดให้บุรุษพยาบาลเป็นสัญญาณให้คนพูดมากเกินจำเป็นเข้าห้องฉุกเฉินได้แล้ว
“เดี๋ยวๆ คุณ คูณณณณ” ไอ้คนเจ็บแล้วไม่เจียมร้องโหยหวนจนกระทั่งมันถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป
“ฮึๆๆ ฮ่าๆๆ” อย่าว่าผมซาดิสม์เลยครับที่เห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วสะใจ ก็ดูไอ้ต่างด้าวนั่นสิเจ็บจนหน้าซีดเซียวเพราะเสียเลือดมาก มันยังมีแรงมาร้องโวยวายให้ลั่นโรงพยาบาลได้อีก คงกลัวเรื่องถึงตำรวจมากกว่ากลัวว่าตัวเองต้องเข้าห้องผ่าตัดล่ะมั้ง
เมื่อเกือบชั่วโมงก่อนหลังจากผมได้รู้ว่าไอ้ต่างด้าวมันถูกยิงก็รีบพามันมาโรงพยาบาลด้วยตัวเองทันที กลัวว่ามันจะตายเพราะเสียเลือดซะก่อนถ้าขืนชักช้าเถียงกับมันอยู่ จะว่าไปไอ้คนที่โดนยิงมันก็แข็งแรงน่าดูเสียเลือดก็เยอะยังมีแรงหาเรื่องผมมาตลอดทางจนอยากหาอะไรยัดปากมันให้เงียบจริงๆ แต่ในที่สุดผมก็อดทนจนมาถึงโรงพยาบาลได้และเลือกที่จะเข้าโรงพยาบาลของเพื่อนสนิท เพราะก็พอรู้ว่าเคสโดนยิงแบบไอ้ต่างด้าวมันต้องมีเรื่องยุ่งๆตามมาอีกเยอะ อย่างเรื่องตำรวจที่มันกังวลจนโวยวายออกมานั่นแหละ ผมก็ไม่รู้นะว่าทำไมมันถึงโดนตามเก็บทั้งๆที่ดูอายุก็ยังน้อยไม่น่าจะพัวพันกับเรื่องเป็นเรื่องตายแบบนี้ได้ หรือว่ามันจะเป็นเด็กส่งยาข้ามประเทศกันวะเนี่ย ผมที่กำลังหมกมุ่นหาสาเหตุของการโดนยิงของไอ้หนุ่มรุ่นน้องปากมากก็ต้องสะดุ้งเพราะแรงตบลงเข้าที่ไหล่
“เฮ้ย! / ไอ้ธัช มึงมาได้ไงวะ” เจ้าของมือบนบ่าเป็นเพื่อนสนิทผมเองครับ ไอ้ภีมมันมองหน้าผมด้วยความสงสัยก่อนมองไปรอบตัวเหมือนมันจะหาใครอีก ผมจึงต้องไขข้อสงสัยให้มันได้รู้
“พาคนโดนยิงมาส่งว่ะ” หลังคำพูดผมไอ้ภีมชะงักไปนิดก่อนจ้องตาผมนิ่งๆรักษามาดหมอใหญ่ลูกเจ้าของโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี
“ใช่เคสที่รอกูอยู่ในห้องใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวค่อยคุยกัน” ไอ้ภีมหมุนตัวเตรียมผละเดินไปทางห้องฉุกเฉิน แต่ผมก็รั้งตัวมันไว้เพราะเพิ่งตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
“ไอ้ภีม เคสนี้กูขอว่าอย่าเพิ่งแจ้งความ ได้มั้ยวะ” คนที่โดนผมขอร้องมันขมวดคิ้วฉับจ้องตาผมอย่างค้นคว้า ไอ้ผมก็ไม่มี
อะไรปิดบังอยู่แล้วแค่ทำตามคำขอร้องของไอ้ลูกหมาที่ท้องเป็นรูก็เท่านั้น แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำตามคำขอของคนที่ไม่รู้จักด้วย ผมจ้องตาไอ้ภีมก่อนกระพริบปริบๆให้อย่างล้อเลียนจนมันหัวเราะเบาๆออกมา
“ฮึๆ เออ กูยอมทำตามที่มึงพูดก็ได้ เห็นว่ามึงทำแบบนั้นแล้วเหมือน ตี๋น้อยของกูหรอกนะ ฮึๆ” ไอ้ภีมหัวเราะในคออย่างถูกใจไปตลอดทางที่มันเดินไปจนกระทั่งประตูห้องฉุกเฉินปิดลง
ผมที่ได้เห็นได้ยินไอ้เพื่อนสนิทแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าให้อย่างเบื่อหน่าย แต่ใจก็รู้สึกยินดีที่ได้ยินมันพูดแบบนั้นนะครับ เพราะ ‘ตี๋น้อย’ ที่มันพูดถึงน่ะเป็นน้องชายของผมเองชื่อ ‘ธี หรือ ธีรนัย’ การที่ ‘ไอ้ภีม หรือ ภีมวัจน์’ มองใครต่อใครเป็นไอ้ธีแสดงว่าในหัวมันน่ะมีแต่น้องผมและแสดงว่ามันรักน้องผมมากนั่นเอง แล้วพี่ชายแบบผมจะไม่รู้สึกยินดีไปกับน้องชายตัวเองได้ยังไงกัน ใช่แล้วครับไม่ต้องเดาไปไอ้ภีมเพื่อนสนิทของผมกับไอ้ธีน้องชายของผมเป็นคนรักกัน และทั้งคู่ก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันเรียบร้อยแล้วแถมครอบครัวทั้งสองฝ่ายก็รับรู้และยอมรับความสัมพันธ์นี้ด้วย ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเกือบสามปีแล้วครับและดูท่าไอ้ภีมจะหลงน้องชายผมหัวปักหัวปำมากซะด้วย ไปไหนต้องมีไอ้ตี๋เล็กของบ้านผมไปด้วยตลอด หรือถ้าไอ้ธีจะไปไหนต้องรายงานตัวกับผัวมันให้รู้ทุกครั้ง ทั้งคู่เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นไม่มีเปลี่ยน ผมเห็นแล้วก็เซ็งแทนไม่รู้ไอ้ตี๋เล็กจอมแสบของบ้านผมมันยอมอยู่ใต้อาณัติไอ้ภีมได้ยังไง ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ออกจะซ่าจะแสบและเจ้าชู้ซะขนาดนั้น แต่มันสองคนก็ดูมีความสุขดีด้วยคงเพราะ ‘ความรัก’ ที่ไอ้ธีมันเคยอ้างกับผมมั้งครับว่า ‘ที่ยอมน่ะก็เพราะรัก’
ส่วนตัวผมเองก็ยังใช้ชีวิตชายโสดอย่างมีความสุขอยู่ แม้บางครั้งเห็นคนรักกันก็มีนึกอิจฉาบ้างก็ตาม แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วผมก็ว่าการเป็นโสดน่าจะมีความสุขมากกว่านะครับ การเป็นที่รักของใครหลายๆคนนั้นดูดีกว่าการเป็นที่รักของใครสักคนเห็นๆนะว่ามั้ย อย่างการเป็น ‘ป๋าธัช’ ของสาวๆเนี่ยไม่ใช่มีแค่เงินแล้วจะได้ฉายานี้มาง่ายๆนะครับ มันอยู่ที่เสน่ห์และลีลาด้วยต่างหาก ผม ‘ธัช หรือ ธัชดนัย’ ชายหนุ่มมากเสน่ห์หน้าตาไม่เป็นสองรองใครออกแนวตี๋หล่อที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ แถมด้วยร่างกายสมส่วนที่ต้องแลกกับการเข้ายิมเป็นประจำ แต่มันก็คุ้มที่ทำให้สาวๆติดใจกับกล้ามแน่นๆได้ บวกเข้ากับหน้าที่การงานที่มั่นคงด้วยแล้วยิ่งเป็นตัวเรียกดอกไม้สวยๆให้โน้มกิ่งเข้าหลอกล่อภมรอย่างผมให้หันมอง ซึ่งผมนั้นทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตอะไหล่รถยนต์ในโรงงานกิจการของครอบครัวตัวเอง และการที่ต้องมาเจอเรื่องยุ่งๆแบบคืนนี้ก็เพราะเพิ่งกลับจากญี่ปุ่นด้วยไปคุยกับคู่ค้ามา ซึ่งคืนนี้ผมคงไม่ได้กลับบ้านแล้วล่ะครับนี่ก็เกือบตีสี่ไปแล้ว ไหนจะต้องรอจัดการเรื่องไอ้ตัวยุ่งที่คงกำลังโดนผ่าท้องเอากระสุนออกนั่นอีก ระหว่างที่ผมนั่งสัปหงกรออาการไอ้ตัวยุ่งอยู่ก็ต้องลืมตามองตามเสียงหวานๆที่ดังขึ้นข้างตัว
“คุณธัชคะ คุณธัช” คนตรงหน้าผมนี้มันนางฟ้าในชุดขาวชัดๆครับ ผมรีบนั่งตัวตรงและตื่นเต็มตาก่อนส่งยิ้มที่คิดว่าดูดีให้พยาบาลสาวตรงหน้าและได้รอยยิ้มหวานเป็นสิ่งตอบแทน ก่อนจะจดจ่อรอฟังในสิ่งที่เธอจะพูดออกจากปากจิ้มลิ้มคู่นั้น
“เอ่อ คือ คิกๆ คุณหมอเชิญคุณธัชไปพบที่ห้องค่ะ” นางฟ้าในชุดขาวพูดจบก็ยิ้มเอียงอายก่อนหมุนตัวจากไป ผมจึงโบกมือให้แต่ใจนั้นแอบเสียดายที่ไม่ได้สานต่อเพราะรู้ว่าต้องจัดการกับเรื่องยุ่งๆของไอ้เด็กต่างด้าวซะก่อน
.........................................
“ตี้หลง เอ็ดมันด์ หยาง สัญชาติจีน อายุยี่สิบสอง” ผมเงยหน้าจากสมุดสีกรมเข้มเล่มเล็กในมือขึ้นมองหน้าเพื่อนสนิท ไอ้ภีมมันจ้องตาและพยักหน้าให้ผมก่อนเอนหลังพิงพนักโซฟาที่มันนั่ง
หลังจากผมมาตามคำเชิญของไอ้หมอรูปหล่อคนนี้แล้ว ไอ้ภีมก็ยื่นหนังสือเดินทางมาตรงหน้า และผมจึงได้รู้ว่าคนที่ตัวเองเปรียบเทียบเป็นเพียงลูกหมานั้น แต่ความหมายชื่อมันช่างห่างไกลจากลูกหมาที่ผมเปรียบเทียบมากนัก เพราะ ‘ตี้หลง’ นั้นแปลว่า ‘มังกรดิน’ ดูแค่ชื่อก็ไม่ธรรมดาแล้วครับ บวกเข้ากับประวัติเข้าออกนอกประเทศเข้าไปอีก ‘ตี้หลง เอ็ดมันด์ หยาง’ มันเป็นคนฮ่องกง เพราะมันเดินทางออกจากฮ่องกงมาถึงเมืองไทยเวลาใกล้เคียงกับที่ผมมาถึง ดูจากสีหน้าเคร่งขรึมและแววตาหนักใจของไอ้น้องเขยผมแล้วมันคงคิดอะไรไม่ต่างจากผมตอนนี้นัก
“เรื่องมันคงใหญ่กว่าที่กูคิดไว้แต่แรกว่ะ” ไอ้ภีมมันพยักหน้าให้หลังผมพูดจบ ก่อนมันจะซักถามเรื่องทั้งหมดว่าผมไปเจอไอ้หยางตี้หลงคนนี้ได้ยังไง
ผมเล่าเหตุการณ์ที่สนามบินให้มันฟังแต่แรกจวบจนพาไอ้หยางตี้หลงมาส่งที่โรงพยาบาลของมันนั่นแหละ แต่เว้นในรายละเอียดที่ทำให้ผมเสียหน้าไว้ เมื่อไอ้ภีมได้ฟังทั้งหมดแล้วมันก็ออกความเห็นว่าเราคงต้องแจ้งความเพราะดูท่าไอ้ตี๋ฮ่องกงมันคงพัวพันกับอะไรบางอย่างที่เกินกำลังคนธรรมดาอย่างเราจะช่วยได้ ไอ้ผมเองก็เห็นแกคำขอของไอ้มังกรดินกลัวว่าถ้าแจ้งความเอิกเกริกไปจากที่ช่วยมันรอดชีวิตมาได้ แต่มันกลับต้องมาตายคาเตียงคนไข้ซะก่อนด้วยกลัวว่ามือปืนจะตามมาเก็บน่ะสิครับ
“มีทางไหนจะทำให้เรื่องมันเงียบได้บ้างมั้ยวะ เฮ้อออ” หลังถอนใจผมก็นั่งพิงหลังกับพนักและกอดอกครุ่นคิดหาหนทาง
“กูชักแปลกใจแล้วสิ ว่าทำไมมึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับคนที่ไม่รู้จักด้วยวะ” เออนั่นสิครับ แล้วทำไมผมต้องเดือดร้อนแทนมันด้วยวะ ผมคงทำสีหน้าได้น่าขบขันมากเพราะไอ้ภีมหัวเราะออกมาอย่างดังก่อนถอนใจเลียนแบบผมด้วย เอากับมันสิ
“เฮ้อออ ไอ้ธัช มึงยังไม่เข้าใจตัวเองแล้วกูจะไปเข้าใจมึงทำไมวะ อืม เอาแบบนี้ เดี๋ยวกูติดต่อตำรวจที่ไว้ใจได้มาช่วยดูคดีนี้ให้แล้วกัน มึงโอเคใช่มั้ยเรื่องแจ้งความ” ผมพยักหน้าตอบสายตาจริงจังที่ไอ้ภีมส่งมาให้ เพราะไม่เห็นหนทางที่ดีกว่านี้แล้ว ถึงแม้ไอ้ตี๋ฮ่องกงจะตื่นมาโวยวายก็เรื่องของมันเพราะผมถือว่าผมทำดีที่สุดแล้วกับคนที่ไม่รู้จักเลยแบบมัน
“ส่วนอาการมิสเตอร์หยางก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ดีที่กระสุนไม่โดนที่สำคัญแค่เพลียจากเสียเลือดมากเท่านั้น กูย้ายไปอยู่ห้องพิเศษให้แล้ว มึงเอาไงต่อวะ” ผมก็เพิ่งรู้อาการไอ้ตี๋แดนมังกรก็ตอนนี้ด้วยลืมไปเลยเพราะมัวแต่คุยเรื่องเหตุการณ์ยุ่งๆอยู่ และผมก็เบาใจไปว่ามันไม่เป็นอะไรมากแล้ว
“กูว่าจะขึ้นไปดู ‘ไอ้มังกรดิน’ มันหน่อยว่ะ” หลังคำพูดผมแล้วไอ้ภีมมันเลิกคิ้วและกระตุกยิ้มมุมปากได้อย่างกวนตีน ผมรู้ซึ้งก็วันนี้ว่าเพื่อนสนิทตัวเองมันน่าหมั่นไส้แค่ไหน และเข้าใจไอ้ธีก็ตอนนี้ที่มันเคยบ่นว่าไอ้ภีมมันน่าหมั่นไส้มากอย่างนู้นอย่างนี้ เฮอะ ไอ้นี่ยังดีที่ผมเห็นมันเป็นน้องเขยไม่อยากจะทำอะไรรุนแรงไป เพราะกลัวน้องชายจะเป็นหม้ายตั้งแต่ยังหนุ่ม
“มังกรดิน?! ฮึๆ จะทำอะไรก็ตามใจดูแลตัวเองดีๆแล้วกัน ให้มึงรู้ไว้ว่า ‘หยางตี้หลง’ ไม่ธรรมดา” แววตาขี้เล่นหายไปเหลือเพียงแววตาจริงจังและน้ำเสียงกดลึกในท้ายประโยค ผมพยักหน้าให้มันได้สบายใจและคลี่ยิ้มให้ด้วยรู้ถึงความห่วงใยที่เพื่อนสนิทมีให้กัน
“งั้นกูฝากเรื่องคดีกับมึงแล้วกัน กูไปล่ะ อยากกลับบ้านไปนอนแล้ว ตากูจะลืมไม่ขึ้นแล้ว แม่ง กูโคตรง่วง” พูดจบผมลุกจากเก้าอี้เดินไปทางประตูไม่รอคำตอบรับของไอ้ภีม เพราะใจอยากขึ้นไปดูไอ้มังกรดินให้จบๆและจะได้กลับไปนอนซะทีเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว แต่ต้องชะงักเท้าขณะที่มือจับลูกบิดประตูเมื่อเสียงกวนๆของคนข้างหลังดังขึ้น
“กูก็จะกลับไปนอนกอดตี๋น้อยของกูบ้างเหมือนกัน ทิ้งไว้ข้างบนนานแล้วไม่รู้จะตื่นรึยัง เพราะ ‘เด็ก’ มึงคนเดียวเลยทำให้กูต้องห่างที่รักของกู”
เสียงบ่นลอยๆของไอ้ภีมที่ดังตามหลังฟังไปเรื่อยๆก็เหมือนไม่มีอะไร แต่ออกจะหมั่นไส้แม่งเหมือนกัน อวดจริงว่ามีคนให้นอนกอดนั่นมันก็น้องชายกูนะโว้ย แต่อะไรนะ ‘เด็กมึง’ อะไรของมันวะ ผมหันกลับไปมองก็เห็นมันยักคิ้วยิ้มกวนให้แต่ไม่อยากอะไรกับมันมาก จึงชี้นิ้วแสยะยิ้มใส่เพื่อนเวรไปทีเพราะขืนร้อนตัวโวยวายใส่ มันก็จะว่าผมมีพิรุธคิดจากเล่นๆเป็นเรื่องจริงไปจะยุ่ง อย่าให้ถึงทีผมนะครับจะเป่าหูไอ้ตี๋เล็กมาป่วนมันแม่งเลย อย่างผมนี่นะครับจะนึกอะไรกับไอ้หยางตี้หลง เหอะ! ผมไม่ขาดแคลนคู่นอนขนาดนั้นนะครับถึงจะนึกพิเรนทร์จับมันมาทำเมีย
ผมเลิกสนใจไอ้น้องเขยตัวแสบบวกสถานะเพื่อนสนิท จึงเดินตรงมาที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปดูอาการของไอ้เด็กเวรที่หาเรื่องมาให้ และได้พบว่ามันนอนตัวขาวหลับตาพริ้มอย่างสบายอยู่บนเตียงโดยมีสายเลือดสายน้ำเกลือระโยงระยางมาที่แขน ให้นึกหมั่นไส้ในความสบายของมันที่ไม่ต้องมานั่งปวดหัวแบบผม จนอยากตบหัวเหม่งๆของมันสักที
“เฮ้อออ หลับสบายจริงนะมึง ไอ้มังกรดิน” ผมดูความเรียบร้อยภายในห้องแล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรก็เตรียมตัวกลับ แต่ขณะที่หมุนตัวนั้นก็มีมือมากระชากมือผมพร้อมเสียงแหบแห้งจนผมผวานึกว่าโดนผีหลอกกลางโรงพยาบาลเข้าซะแล้ว
“มามา มามา #@&&$$!%.........” ผมจับใจความได้แค่ต้นประโยคว่าไอ้ตี๋มังกรมันเรียกหาแม่มัน ก่อนมันจะพ่นภาษาบ้านเกิดที่ผมฟังไม่รู้เรื่องออกมา ซึ่งผมจะไม่อะไรเลยแต่ที่ทำให้ตกใจก็เพราะน้ำใสๆที่ไหลเป็นทางบนหน้าซีดๆของมันมากกว่า ผมชะงักกลางอากาศด้วยทำอะไรไม่ถูกได้แต่เอามือเกาหัวและจ้องหน้าไอ้หยางตี้หลงอย่างอึ้งๆ
“ตัวก็โตเป็นควาย ทำไมมึงมันขี้แยแบบนี้วะ แล้วกูจะทำยังไงกับมึงล่ะเนี่ย เฮ้อออ”
ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้เด็กตี๋ขี้แยนี่มันผ่านอะไรมาบ้าง แต่ด้วยสำนึกดีและสัญชาติญาณความเป็นพี่ทำให้ผมเดินเข้าหาไอ้คนที่เกาะกุมมือผมแน่น ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงและได้แต่จ้องหน้าคนที่น้ำตาไหลเป็นทาง พร้อมกับยอมให้มือตัวเองได้ตกอยู่ในอุ้งมือใหญ่ข้างนี้ จนหัวคิ้วเข้มที่เคยขมวดมุ่นคลายลง ปากเจ่อแดงหยุดขยับพ่นภาษาต่างด้าว แต่น้ำตาที่ไหลเป็นทางยังคงทิ้งคราบความชื้นบนแก้มซีดๆ ผมจึงเอื้อมมือเช็ดให้ด้วยความสงสารเพราะทนดูมังกรหมดสภาพไม่ได้ ทำให้นึกถึงไอ้ตี๋เล็กน้องชายของตัวเองขึ้นมา ดูๆไปแล้วไอ้มังกรพลัดถิ่นมันก็น่าเอ็นดูเหมือนกันนะครับ หรือสวรรค์จะลิขิตให้ผมได้น้องชายต่างสายเลือดเพิ่มขึ้นอีกคนกันแน่
..........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ต่อจากนี้ “มังกรดิน” ผู้มีเบื้องหลังจะเริ่มมีบทบาทในชีวิตเฮียธัชมากขึ้นๆ
ส่วนที่เฮียแกคิดว่าจะได้น้องชายเพิ่มน่ะ ลืมไปได้เลยและใครจะเมะจะเคะ
ต้องติดตามนะคะ เดี๋ยวได้รู้กันแน่ มีแต่คนเชียร์ให้เฮียเป็น “เคะ” เยอะจริงๆ 555
ใครคิดถึงตี๋น้อยตอนนี้ก็โผล่มาแว๊บๆให้พอหายคิดถึงกันเนอะ และจะมีมาแจมเรื่อยๆค่ะ
ตอนหน้าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเฮียธัชมาหลับไม่รู้เรื่องให้มังกรดินได้พิศ
และดูท่าเฮียเองก็นึกเอ็นดูด้วยสิ ฮุๆๆ เจอกันวันอังคารค่ะ
ปล.+1 และเป็ดให้ทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้เฮียธัชนะคะ
รวบ

และ

ทุกท่านที่ติดตามค่ะ^^