φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)  (อ่าน 26564 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 38

กลไกจากธรรมชาติมิเคยทำให้เธเซียสรู้สึกหัวเสียมากมายถึงเพียงนี้ เนื่องจากม่านหมอกถือเป็นปราการสำคัญในการป้องกันฐานทัพลับภายใต้อาณาเขตของหุบเขาสมาเรีย แต่ทว่ามันกลับบดบังทัศนวิสัยแห่งการมองเห็น ความร้อนรนจึงปกคลุมไปทั่วดวงใจของบุรุษจากต่างแดน แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมองเห็นแสงสีเหลืองนวลอันริบหรี่จากคบไฟ บ่งบอกถึงตำแหน่งที่ตั้งของสงครามขนาดย่อมที่ซุกซ่อนตัวอยู่ภายใต้กระไอสีขาวโพลน ทว่าความหวาดกลัวของเธเซียสกลับได้รับการยืนยันจากภาษาพื้นเมืองของชาวไมซีเนียนที่เริ่มปลิดปลิวไปตามกระแสลม

“เจ้าชายมิโนส ?”
“มิโนทอร์คือเจ้าชายมิโนส !!”

“เจ้าชายมิโนสเป็นสัตว์ประหลาด !!” ถ้อยคำจำกัดความจากเหล่าทหารไมซีเนียน คล้ายกับเปลวเพลิงโหมกระหน่ำที่ถูกสายลมพัดพาให้ลุกลาม หัวใจของเธเซียสจึงถูกเผาไหม้จนเจ็บปวด เพราะสถานการณ์ดังกล่าวมิต้องคาดเดาก็ล่วงรู้ว่า
ความลับของจักรวรรดิครีตันกำลังถูกเปิดเผย

“โจมตี!!” สิ้นถ้อยคำเผด็จการ เธเซียสก็รีบวิ่งลงจากหอสังเกตการณ์ด้วยความร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังช้ากว่าใจนึก เหตุเพราะม่านหมอกอันเป็นอุปสรรคกำลังขัดขวางการมองเห็น ขณะที่หัวใจกำลังถูกบีบคั้นจากมือที่มองไม่เห็น ความหวาดกลัวและความห่วงใยจึงผสมปนเปจนแทบแยกมิออก กระทั่งก้าวเดินมาจนถึงห้องแห่งการว่าราชการลับ บุรุษจากต่างแดนจึงร้องเรียกอดีตสหายสนิท ขณะที่สองขายังคงก้าวเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของทหารครีตัน
“เจ้าสร้างความโกลาหลมากมายถึงเพียงนี้ มีเรื่องอันใด ?” เคออสเอ่ยถามพร้อมยืนกอดอกและไขว้เท้าพิงช่องหินที่มีลักษณะคล้ายกับทางเข้าที่พัก ขณะที่สีหน้ายังคงยับย่นบ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปนานแล้ว
เพลานี้จึงมิค่อยสบอารมณ์สักเท่าใด

“เจ้าชายมิโนสกำลังตกอยู่ในอันตราย..” เธเซียสกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วก็นิ่งเงียบไปราวกับพูดมิออก เมื่อสายตาเย็นชาของเคออสกำลังจับจ้องมาด้วยความกดดัน
“เจ้า.. สั่งการให้ทหารสักกลุ่มติดตามข้าได้หรือไม่ ?” บุรุษจากต่างแดนเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว เพราะเขากำลังหวาดกลัวในคำตอบและเป็นกังวลต่อการตัดสินใจของตนเอง
เนื่องจากการปรากฏตัวในครานี้
มิต่างกับการแสดงตัวในสถานะ ‘กบฏ’

“สงครามครานี้ มิมีสิ่งใดต้องเป็นกังวล เจ้ากลับไปรอพระองค์ที่บ้านเสียเถิด” เคออสกล่าวพลางตบลาดไหล่ของเธเซียสอยู่สองสามที จากนั้นก็ผละตัวกลับไปยังที่พัก ขณะที่เธเซียสกลับยืนแน่นิ่งด้วยความคิดมิตก
เนื่องจากคำพูดของเคออสคล้ายกับบอกกลาย ๆ ว่า..
สงครามในครานี้อาจเกิดจากความตั้งใจ

“เช่นนั้นการเปิดเผยความลับก็อาจเกิดจากความตั้งใจอย่างนั้นหรือ ?” เธเซียสขบคิดพลางก้าวเดินไปยังกระท่อมหลังเล็กใจกลางลำน้ำด้วยความใจเย็น เนื่องจากคำพูดของเคออสสามารถฉุดรั้งสติอันกระจัดกระจายให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียว และมันก็ทำให้เธเซียสมองเห็นอะไรบางอย่างได้ชัดเจนขึ้น เพราะเดิมทีการปรากฏกายของมหาบุรุษแห่งครีตัน มีขึ้นเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมือง หากสถานการณ์ยังมิน่าไว้วางใจเจ้าชายมิโนสก็ยังต้องอยู่ภายใต้คราบของมิโนทอร์
แต่หากการแปลงกายเกิดจากความมิมั่นคงในจิตใจ
มิแน่ว่าอาจจะเกิดการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงโดยมิได้ตั้งใจ 

“ยากจะเข้าใจนัก” เธเซียสถอนหายใจก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยความจนปัญญาที่จะไขปริศนา เนื่องจากสถานการณ์แห่งความเป็นจริง มิว่ามองอย่างไรก็ดูขัดแย้งกับคำพูดของเคออส แต่กระนั้นก็มิได้ทำให้เธเซียสเป็นกังวลจนทำอันใดมิถูก เหตุเพราะพฤติกรรมของอดีตสหายสนิทมิได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจต่อสงครามขนาดย่อมในครานี้ ทั้ง ๆ ที่ครั้งหนึ่งบุรุษผู้เหี้ยมโหดเคยเป็นตัวตั้งตัวตีในการกำจัดไส้ศึก
ดังนั้นคำพูดของเขาคงมิใช่คำลวง
เพียงแต่เป็นความคิดของเจ้าชายมิโนสเสียมากกว่าที่ยากจะเข้าใจ

บุรุษจากต่างแดนก้าวเดินไปตามแท่งหินที่โรยตัวเป็นเส้นทางเข้าสู่กระท่อมกลางน้ำ จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งยองพลางมองจ้องผิวน้ำที่ปรากฏใบหน้าของตนเองแน่นิ่ง พบว่าหัวคิ้วพันผูกจนยุ่งเหยิงบ่งบอกถึงความกังวลในส่วนลึก เธเซียสจึงก้าวเดินไปมาราวกับคนนั่งมิติดที่ โชคยังดีที่แสงจากคบไฟบนตัวบ้านสาดส่องมาจนถึงบริเวณดังกล่าว มิเช่นนั้นกระไอหมอกอาจทำให้พลาดท่าเสียทีจนพลัดตกน้ำ
จนแล้วจนรอดความลนลานห่วงใยก็ยังคงมิจางหาย เธเซียสจึงมุ่งหน้าไปยังเรือลำหนึ่งที่จอดเทียบท่าอยู่ตรงริมฝั่ง พลางแก้ปมเชือกที่ผูกรั้งลำเรือด้วยความรีบร้อน ทว่าเสี้ยวหนึ่งของความคิดกลับทำให้จังหวะการเคลื่อนไหวเริ่มล่าช้า เนื่องจากการเดินทางของตนเองในครานี้ อาจสร้างความยากลำบากให้กับ ‘แผนการ’ ของเจ้าชายมิโนส
แต่หากวางเฉยก็มิรู้ว่ามหาบุรุษแห่งครีตันจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่

“พระองค์คิดจะทำสิ่งใดกันแน่” ทว่าท้ายที่สุดความกังวลใจในส่วนลึกก็ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นคำพูด เนื่องจากการกระทำของอีกฝ่ายมีความแน่ชัดว่าจะเกี่ยวข้องกับอาณาจักรไมซีเนียน
เพียงแต่เธเซียสมิมั่นใจว่า มันจะลุกลามจนสร้างความโกลาหลมากสักเพียงใด
ดังนั้นเพลานี้จุดยืนของเขา ควรจะเป็นจุดเดิมอยู่หรือไม่ ?

“แต่ถึงอย่างไร สงครามก็มิมีวันหลีกเลี่ยงได้มิใช่หรือ..” บุรุษจากต่างแดนทิ้งตัวลงนั่งบนลำเรือพลางครุ่นคิดอย่างใจลอย กระทั่งกระแสน้ำนำพาให้ม่านตามองเห็นห้องแห่งการว่าราชการลับ ความคิดอันกระจัดกระจายจึงถูกรวบรวมเป็นหนึ่ง เนื่องจากเธเซียสยังคงจดจำได้ดีว่าเจ้าชายมิโนสทรงวางแผนการรบแบบตั้งรับ
ดังนั้น ‘จุดยืน’ มิจำเป็นต้องแปรเปลี่ยน
เหตุเพราะการตัดสินพระทัย ยังคงห่วงใยความรู้สึกของยอดดวงใจ

“เธเซียสเรากลับมาแล้ว..” สุรเสียงทุ้มนุ่มดังข้างใบหู จึงทำให้บุรุษผู้ใจลอยเบนความสนใจมายังเจ้าของประโยคดังกล่าว ดวงตาของเธเซียสจึงมองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดลาดไหล่ที่เต็มไปด้วยหยดน้ำพร่างพราย
“เราปลอดภัยดี มิต้องเป็นห่วง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงแสนอบอุ่น พลางแย้มโอษฐ์เพียงนิดคล้ายกับต้องการย้ำชัด ขณะที่พระหัตถ์ก็ทำหน้าที่ผลักไสลำเรือของเธเซียสให้มุ่งตรงไปยังกระท่อมกลางน้ำที่อยู่มิไกลจากบริเวณนี้ ทว่าเธเซียสกลับนิ่งงันคล้ายตั้งใจฟังเสียงน้ำซ่านกระเซ็นและเสียงหวีดร้องของแมลงกลางคืน

“หัวคิ้วของเจ้า ใกล้จะผูกเป็นเงื่อนตายแล้วกระมัง” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสหยอกเย้า พร้อมช่วยคลายหว่างคิ้วให้บุรุษในดวงใจ
“ทรงบาดเจ็บกลับมา ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามขณะที่สีหน้าและแววตาฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าทราบได้อย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสย้อนถามอย่างมิคิดปฏิเสธ
“เมื่อพระองค์บาดเจ็บมักจะทำราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางมองจ้องไปยังดวงเนตรลึกล้ำ

“เรามีเพียงบาดแผลตรงกลางหลังเท่านั้น เกิดจากความพลาดพลั้งของเราเอง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางขยับวรกายเพียงนิด เพื่อให้เธเซียสมองเห็นบาดแผลที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ผิวน้ำ ซึ่งมีความยาวมาจนถึงลาดไหล่
“พลาดพลั้งอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามพลางแตะปลายนิ้วลงบนผิวเนื้อของอีกฝ่ายโดยระมัดระวังมิให้กระทบบาดแผล

“พลาดพลั้งตรงที่ ร่างกายของเรากลับคืนสู่สถานะเดิมโดยมิรู้ตัว” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนสปลายนิ้วของเธเซียสก็สัมผัสโดนบาดแผลอย่างมิตั้งใจ ส่งผลให้อีกฝ่ายสะดุ้งวรกายเพียงนิด ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับยอดดวงใจของพระองค์
“เจ้าอย่าห่วงเลย ทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไข” เจ้าชายมิโนสตรัสราวกับต้องการปลอบขวัญ พร้อมมอบจุมพิตบางเบาให้กับบุรุษตรงหน้าที่จิตใจกำลังล่องลอย เนื่องจากดำรัสดังกล่าวบ่งบอกได้ว่า การเปิดเผย ‘ความลับ’ มิใช่ความตั้งใจ แต่เป็นความพลาดพลั้ง ถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่า ‘แผนการ’ บางอย่างมิเคยเกิดขึ้น
ดังนั้นความได้เปรียบที่จักรวรรดิครีตันเคยมี..
อาจกลายเป็นศูนย์

นับแต่นั้นจิตใจของเธเซียสก็เริ่มมิอยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงก้าวเดินมายังตัวบ้านและนั่งทำแผลให้กับบุรุษผู้สูงศักดิ์ด้วยความใจลอย ยิ่งบรรยากาศเงียบเชียบรายล้อมรอบกาย
ความคิดอันกระจัดกระจายจึงยิ่งโบยบินราวกับฝูงผึ้งแตกรัง

“ตั้งแต่เราต้องคำสาปจนกลายเป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน มิเคยมีผู้ใดเฝ้ารอเราด้วยท่าทีเป็นกังวลเช่นเจ้า และมิเคยมีผู้ใดแสดงสีหน้าเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าเราบาดเจ็บ” แต่แล้วดำรัสอ้างว้างของเจ้าชายมิโนสก็นำพาให้จิตใจเลื่อนลอยสถิตอยู่กับผู้เป็นเจ้าของ
“เจ้ายังคงเป็นวัยเยาว์ของเราเสมอ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ แต่ทว่าเธเซียสยังคงมองเห็น ‘ความสุข’ พาดผ่านพระฉายา อันเปื้อนยิ้มที่ฉายอยู่บนกำแพงไม้สะท้อนแสงจากคบไฟอันริบหรี่

“เรายังจำได้ว่าตอนที่อยู่บนเกาะแห่งไฟ เราค่อนข้างซุกซน ชอบเที่ยวเล่นไปทั่วโรงผลิตลาเบิน และยังชอบซ่อนกายกลั่นแกล้งพระพี่เลี้ยง จนกระทั่งเผลอหลับอยู่หลายครา แต่ก็มิมีคราใดที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ มิได้เฝ้ารอการกลับมาของเรา” บุรุษผู้มีเกศาราวกับระลอกคลื่นปกคลุมบาดแผลจนมิดชิด ตรัสด้วยดวงพักตร์เปื้อนยิ้ม พลางก้าวเดินอย่างเชื่องช้าและเอนพิงวรกายกับขอบระเบียงที่เปิดรับสายลมโชยแผ่วในยามราตรี
“เหตุใดเจ้าถึงยอมรับความเป็นเราได้ทุกด้าน.. ช่างใจกว้างเสียจริง” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางทอดพระเนตรมายังเธเซียส ส่งผลให้ดวงตาสบประสานโดยมิได้ตั้งใจ

“คงจะเป็นเหตุผลเดียวกับพระองค์ที่ยอมเชื่อใจกระหม่อมในสถานะไส้ศึกกระมัง” เธเซียสกล่าวพลางเดินไปพิงขอบระเบียงอีกด้าน พร้อมมองจ้องไปยังเบื้องหน้าที่ถูกปกคลุมด้วยกระไอหมอกสีขาวโพลน จนทำให้พื้นไม้ด้านนอกเปียกชื้น
“แต่สำหรับกระหม่อม ผู้ที่ใจกว้างดุจมหาสมุทรคือพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าเยินยอเราเกินไปกระมัง” บุรุษผู้สูงศักดิ์แสดงตนอยู่ตรงหน้าเธเซียส พร้อมโต้แย้งอย่างมิเห็นด้วย
“กระหม่อมมิเคยโป้ปดและมิเคยเยินยอผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสแก้ต่างพลางแย้มยิ้มเพียงนิด
พร้อมละเว้นคำบางคำไว้ในใจว่า..
‘ถ้าหากมิจำเป็น’

“พระองค์..” เมื่อต่างฝ่ายต่างมองจ้องกันแน่นิ่ง ท้ายที่สุดเธเซียสก็ทำลายความเงียบงันดังกล่าว
“หืม ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามในลำพระศอ พลางลูบไล้ข้างแก้มของบุรุษในดวงใจด้วยสัมผัสนุ่มนวล

“กระหม่อมตัดสินใจแล้ว ว่าจะรักษาวัยเยาว์ที่อยู่ปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่มิขอเปิดเผยข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับบ้านเมืองของกระหม่อม” เธเซียสกล่าวราวกับให้คำมั่นสัญญา พร้อมชี้แจงจุดยืนอย่างชัดแจ้ง
“เช่นนั้นก็นับว่ายุติธรรมแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสพร้อมจุมพิตริมฝีปากของอีกผู้ที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า พลางเย้าหยอกอย่างเพลิดเพลิน ขณะที่เธเซียสก็เริ่มเคลิบเคลิ้ม สองมือที่เคยแน่นิ่งอยู่ข้างลำตัว จึงโอบกอดบุรุษตรงหน้าและลูบไล้ด้วยความหวามไหว
เมื่ออารมณ์บางอย่างกำลังพุ่งสูง

สองเท้าจึงถอยร่นไปยังด้านหลัง ขณะที่ริมฝีปากยังคงแลกสัมผัสมิว่างเว้น กระทั่งแผ่นหลังแนบลงบนพรมขนสัตว์ เส้นผมสีรัตติกาลที่เริ่มยาวประบ่าก็แผ่สยายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้เจ้าชายมิโนสเฝ้าดอมดมตั้งแต่ปลายเส้นผมจวบจนข้างแก้ม ก่อนจะย้ายมายังดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทราย และปิดท้ายด้วยการจุมพิตปลายจมูกเชิดรั้น
ทว่าความวาบหวามกลับบังเกิด เมื่อเจ้าชายมิโนสลากไล้ชิวหาลงบนผิวเนื้ออันเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมมีด ส่งผลให้เธเซียสบิดเร้ากายราวกับเจ้าตัวกำลังหลอมละลาย แต่กระนั้นสองแขนของผู้ถูกรุกรานยังคงโอบกอดบุรุษสูงศักดิ์คล้ายกับต้องการหลอมรวมเป็นหนึ่ง มหาบุรุษแห่งครีตันจึงมิรอช้าที่จะปรนเปรอร่างข้างใต้ให้สมปรารถนา
เธเซียสจึงรู้สึกมิต่างกับร่างกายกำลังถูกเปลวไฟแผดเผากระทั่งลุกลามจนถ้วนทั่ว
จากนั้นเบื้องล่างเปล่าเปลือยก็เริ่มปลดปล่อยหยาดหยดแห่งความสุขสม

ความเก้อเขินระหว่างกันจึงเริ่มทวีคูณ เจ้าชายมิโนสจึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าว ผละวรกายออกห่างจากยอดดวงใจ เพื่อนำสิ่งจำเป็นสำหรับกามกิจมาสานต่อ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเห็นทีจะหนีมิพ้น น้ำมันมะกอก และถุงอนามัยที่ทำจากผ้าลินิน เพียงแต่เธเซียสมิเคยต้องสวมใส่เพื่อกิจกรรมดังกล่าว แต่กลับต้องสวมใส่ขณะใช้ชีวิตร่วมกับกองคาราวานในอียิปต์
เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษ เช่น งู และ แมงป่อง

“เจ้าชายมิโนสพ่ะย่ะค่ะ”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

สุ้มเสียงร้อนรนของทหารนายหนึ่งดังขึ้นพร้อมจังหวะย่ำเท้า ส่งผลให้สองบุรุษภายในกระท่อมใจกลางน้ำจำต้องผละกายออกจากกัน โดยฝ่ายหนึ่งเดินออกไปยังด้านนอกเพื่อรับหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งจำต้องสวมอาภรณ์ให้รัดกุม 
แม้ร่างกายจะยังคงร้อนรุ่มจากเหตุการณ์เมื่อครู่

“เจ้าหญิงแอริแอดเนและมือสังหารพากันหนีไปยังอาณาจักรไมซีเนียนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว จังหวะการก้าวเดินของเธเซียสก็มีอันต้องหยุดชะงัก ขณะที่สมองกำลังประมวลผลคำจำกัดความของ ‘มือสังหาร’ อย่างถี่ถ้วน
“ไกจีสกับเจ้าหญิงแอริแอดเน ?”

“สงคราม..” เธเซียสครุ่นคิดได้เพียงแค่นั้นก็มิกล้าจะคิดต่อ เพราะสิ่งที่เคยหวาดกลัวเกี่ยวกับเจ้าหญิงพระองค์นี้กำลังจะกลายเป็นจริง เนื่องจากความแค้นมิมีวันชำระล้างได้หมดสิ้น หากใจยังมิคิดปล่อยวาง
ดังนั้นคำตอบของเหตุการณ์นี้จึงชัดแจ้งในจิตใจ
เพราะเรื่องทั้งหมดล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน

φ


[1] พระฉายา แปลว่า เงา


บทความที่เกี่ยวข้อง
- ถุงยางอนามัยสมัยโบราณ
http://bit.ly/2kih5JS / http://bit.ly/2lS2KnB
- การคุมกำเนิดสมัยโบราณ http://bit.ly/2khLJ66
- เรื่องจริงทะลุโลก http://bit.ly/2kdry9g
- ประวัติเจลหล่อลื่น http://bit.ly/2lIsvqx

กลับมาแล้วค่ะทุกคนนนนน  ห่างหายจากการเขียนนิยายไปนานมาก และการติดซีรีส์ก็เป็นปัญหามากจริงๆ T[]T  กว่าจะต่ออารมณ์เกี่ยวกับนิยายของตัวเองติด เล่นเอาเครียดไปหลายวัน ต้องขอโทษทุกคนที่ทำให้รอนานและหายไปแบบไม่บอกกล่าวเลย  ถ้าหากอ่านแล้วไม่สมูธหรือติดขัดอะไรตรงไหนบอกได้เลยนะคะ  เพราะตอนนี้เราเหมือนมือใหม่หัดเขียนเลยค่ะ  ยังไงช่วยกันคอมเมนต์บอกเราทีนะคะว่ามันโอเคหรือยัง
สำหรับตอนนี้แอบใส่เรื่องเกี่ยวกับถุงยางอนามัยลงไปด้วย เราว่ามันน่าสนใจดีค่ะ เพราะปกติเวลาอ่านนิยายแนวนี้จะไม่มีใครพูดถึงเลย  ซึ่งสมัยอียิปต์โบราณก็มีการคุมกำเนิดด้วยการฝังยาสมุนไพรไว้ตามร่างกาย หรือการใช้กระเพาะปัสสาวะของแพะเป็นถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงค่ะ ส่วนผู้ชายเราเจอข้อมูลอยู่สองอย่างค่ะ อย่างแรกคือมีการใช้ถุงยางที่ทำจากผ้าลินิน  ซึ่งเจ้าถุงยางตัวนี้ไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงแค่คุมกำเนิดหรือป้องกันโรคเท่านั้น  แต่ทางอียิปต์ยังใช้สำหรับป้องกันสัตว์มีพิษด้วยค่ะ  แต่บางแหล่งก็บอกว่าชาวอียิปต์และชาวกรีกโบราณจะใช้ผ้าขาวม้าที่นุ่งห่ม  พันรัดส่วนนั้นเวลาทำกามกิจ ส่วนเจลหล่อลื่นก็อ้างอิงตามบทความเลยค่ะ  ชาวกรีกโบราณใช้น้ำมันมะกอกเพื่อการนี้

ปล. ขอขายตรงหน่อยจ้า เรากำลังจะมีนิยายเรื่องใหม่วางขายแล้วค่า ออกที่งานสัปดาห์หนังสือที่ใกล้จะถึงนี้ค่ะ ชื่อเรื่องในป่าสนยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ
https://imgur.com/XhG6Y4C
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 21:23:55 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 39

หลังจากส่งสารแจ้งความประสงค์ถึงนางกำนัลและนายทหารประจำเกาะเอลาโฟนิสิที่หนีรอดจากการช่วงชิงพื้นที่อันเป็นจุดบอดของจักรวรรดิครีตันเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายมิโนสก็เร่งเดินทางไปยังพระราชวังนอสซัส เพื่อเตรียมสอบสวนที่มาที่ไปของเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนวานอย่างละเอียด เพลานี้ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงมารวมตัวกันภายในห้องโถงใหญ่ โดยมีองค์ราชินีปาซิฟาอีประทับอยู่บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าภาพวาดเฟรสโกลวดลายกริฟฟินสองตนกำลังนั่งหมอบอยู่กับพื้นท่ามกลางทุ่งดอกลิลลี่ พร้อมหันหน้าเข้าหาผู้ครองนครอย่างเคารพนบนอบ
แต่กระนั้นก็ยังแฝงความหยิ่งยโส

“ทูลองค์ราชินีและเจ้าชายมิโนส เจ้าหญิงแอริแอดเนให้ความช่วยเหลือบุรุษแปลกหน้ามาระยะหนึ่งแล้วเพคะ” นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติรับใช้เจ้าหญิงแอริแอดเนกล่าว
“กระหม่อมจำได้ว่าบุรุษผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงมาขอความช่วยเหลือตอนช่วงเทศกาลล่าสัตว์พ่ะย่ะค่ะ” ทหารนายหนึ่งกล่าวเสริม และมันก็ทำให้เธเซียสมองเห็นช่องโหว่บางอย่าง เนื่องจากวันที่ไกจีสเปิดศึกสงครามเพื่อหวังจะสังหาร ‘กบฏ’ แห่งไมซีเนียน วิถีลูกศรของทหารครีตันคล้ายกวาดต้อนให้บุรุษผู้นั้นมุ่งหน้าไปยังเกาะเอลาโฟนิสิ

“แล้วอย่างไร เหตุใดจึงต้องทำอ้ำอึ้ง ?” หลังจากห้องโถงถูกปกคลุมด้วยความเงียบงัน พระราชินีปาซิฟาอีจึงตรัสถามอย่างเร่งเร้า
“ทูลองค์ราชินี บุรุษผู้นั้นรับรู้ถึงความเจ็บปวดในพระหทัยของเจ้าหญิง จึงปลุกความปรารถนาในส่วนลึกของพระนางอย่างแนบเนียนเพคะ” คำตอบของนางกำนัลผู้นี้มิได้ทำให้ทุกผู้ประหลาดใจ เนื่องจากการเนรเทศเจ้าหญิงแอริแอดเนมิได้เป็นไปอย่างเงียบเชียบ ดังนั้นข่าวสารจะแพร่สะพัดไปยังแคว้นต่าง ๆ ก็มิใช่เรื่องแปลก และคำให้การดังกล่าวยังบ่งบอกอีกว่า ‘ไกจีส’ อาจแฝงกายเข้ามายังครีตันเป็นเพลากว่าหนึ่งเดือน
ฉะนั้นการเข้าหาเจ้าหญิงแอริแอดเนในครานี้..
อาจเป็นความตั้งใจของ ‘เจ้าชายมิโนส’ และจาก ‘ทหารไมซีเนียน’

“แนบเนียนอย่างไร ?” องค์ราชินียังคงตรัสถามด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง มิต่างกับท่าทีของเจ้าชายมิโนส
“เขาทูลเจ้าหญิงว่าหากที่นี่มิมีผู้ใดต้องการ มิสู้จากไปยังที่ที่เต็มไปด้วยความเคารพยกย่องมิดีกว่าหรือ..” สิ้นวาจาจากนางกำนัล ทั่วทั้งบริเวณพลันเงียบสงัด เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวถือเป็นเรื่องส่วนพระองค์ และมีเพียงไม่กี่ผู้ที่ล่วงรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ เพราะถึงอย่างไรการเนรเทศก็บอกรายละเอียดเพียงแค่..
เจ้าหญิงแอริแอดเนก่อกบฏร่วมกับบุรุษจากเอเธนส์ด้วยการสังหารเจ้าชายมิโนส 
แต่กระนั้นก็มิใช่เรื่องยากต่อการตีความ

“เช่นนั้นเป้าหมายของทั้งคู่..” พระราชินีปาซิฟาอีตรัสโดยมิจบประโยค คล้ายกับพระนางมิกล้าเอื้อนเอ่ยจุดประสงค์บางอย่างด้วยองค์เอง
“การล่มสลายของจักรวรรดิครีตันพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อนางกำนัลร่างเล็กมิยอมทูลตอบ ทหารกล้าเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือรอดจากเกาะเอลาโฟนิสิจึงต้องทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ทว่าหัวใจกลับหนักอึ้ง

“เสด็จแม่!” เจ้าชายมิโนสตะโกนก้องพลางขยับไปประคององค์ราชินีที่เป็นลมล้มพับไปต่อหน้า ส่งผลให้ภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเธเซียสก็เข้าใจปฏิกิริยาดังกล่าวของสตรีสูงศักดิ์เป็นอย่างดี
เนื่องจากสาเหตุของปัญหา..
ล้วนเกิดจากพระนาง จะมิให้กลัดกลุ้มได้อย่างไร

หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น เธเซียสก็เดินครุ่นคิดใจลอยมาจนถึงห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส บุรุษจากต่างแดนจึงก้าวเดินไปยังราวระเบียง เบื้องหน้าปรากฏภาพเกาะแห่งไฟที่มิมีม่านหมอกปกคลุม เนื่องจากวันเวลาเริ่มเคลื่อนคล้อย ขณะที่ในหัวยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับ ‘ช่องโหว่’ บางอย่าง ซึ่งจุดประสงค์ของเจ้าชายมิโนสดูมิชัดเจนนัก
แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า..
เหตุการณ์ทั้งหมดอาจเป็นการปูทางเพื่อชะล้างมลทินให้กับพระขนิษฐา

ส่วนเจตนาของไมซีเนียนมีความแน่ชัดแล้วว่า ต้องการดึงตัวเจ้าหญิงแอริแอดเนมาเข้าฝักฝ่าย เพราะล่วงรู้ความคับแค้นที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในส่วนลึกของพระหทัย ดังนั้นวาจาที่ไกจีสใช้เกลี้ยกล่อมย่อมมิใช่เรื่องผิวเผินที่ได้จากการตีความ
แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง จุดประสงค์ของเจ้าชายมิโนสย่อมถูกตีแตก
เหตุเพราะเจ้าหญิงผู้เลอโฉมคงมิมีวันให้ความร่วมมือ

“ผู้ที่ล่วงรู้ความลับในพระหทัยของเจ้าหญิงดีที่สุดมีเพียงเธซีอุส..”  เธเซียสวิเคราะห์พลางเดินกลับไปกลับมาตรงบริเวณระเบียง เนื่องจากการไขปริศนาในครานี้ อาจทำให้เธเซียสเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายมิโนส
และยังมองสภาพการณ์ในอนาคตได้ชัดเจนขึ้น

“แต่เธซีอุสตายไปแล้ว แน่นอนว่าคงมิได้ตาย โดยที่ก่อนหน้าไม่ได้ส่งข้อความใด ๆ กลับไป” บุรุษจากต่างแดนยังคงวิเคราะห์มิเลิกรา พร้อมกัดเล็บอย่างคิดมิตก
“ฉะนั้นการตายของเธซีอุส คงจะสร้างความเคียดแค้นให้กับเอเธนส์..” เธเซียสวิเคราะห์เป็นฉากๆ โดยมิลืมว่าสงครามในอดีตระหว่างจักรวรรดิครีตันและเอเธนส์ สร้างความวินาศสันตะโรมากแค่ไหน อีกทั้งการนำส่งเชลยศึกอย่างจำยอม อาจบดขยี้ความภาคภูมิใจของชาวเอเธนส์ก็เป็นได้ เนื่องจากแคว้นดังกล่าวถือเป็นแคว้นหนึ่งที่นำสมัยในด้านการปกครอง เนื่องจากพลเมืองทุกผู้มีสิทธิพูดและลงคะแนนเสียงหรือโต้แย้งปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างอาคารใหม่ วิธีการทำเกษตรแบบใหม่ หรือการลงมตินำรัฐเข้าสู่สงคราม
เพราะทุกผู้ต่างมีความเท่าเทียมกัน
ทว่าพอเกิดเรื่อง ‘ความนำสมัย’ กลับก้าวถอยหลัง

“ร่วมมือกัน” สิ้นความคิดสุดท้าย เธเซียสก็ถลาออกจากห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส เพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องปั้นดินเผา กระทั่งเดินทางมาจนถึงที่หมาย ความรู้สึกแรกคงหนีมิพ้นความวุ่นวายและกลิ่นอับชื้นจากดินเหนียวที่ลอยตลบอบอวนอยู่ข้างใน เหล่าอดีตเพื่อนร่วมงานเมื่อมองเห็นผู้มาใหม่ต่างทักทายด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ
เนื่องจากเพลานี้เธเซียสมิใช่เพียงช่างฝีมือกระจอกงอกง่อย
แต่กลับเป็นถึงราชองครักษ์ข้างวรกายของเจ้าชายมิโนส

“ข้าขอใช้แป้นหมุนสักครู่ได้หรือไม่ ?” เธเซียสเป็นฝ่ายเปิดประเด็น เพราะเขามีเวลามิมากแล้ว
“ย่อมได้ขอรับ” ช่างฝีมือรายหนึ่งกล่าวอย่างยำเกรง พลางเชื้อเชิญให้บุรุษจากต่างแดน มุ่งตรงไปยังแป้นหมุนสำหรับขึ้นรูปงานดินเผาที่อยู่ติดมุมหน้าต่าง จากนั้นบุรุษร่างกำยำอีกผู้ก็ยกภาชนะบรรจุดินเหนียวที่ผ่านการนวดด้วยการใช้เท้าเหยียบย่ำ เพื่อให้ดินกลายเป็นเนื้อเดียวกัน

เธเซียสหันซ้ายแลขวาครู่หนึ่ง จึงเดินไปยังมุมคุ้นเคย เพื่อโกยทรายใส่ภาชนะ ก่อนจะกลับมานั่งประจำที่และนำทรายดังกล่าวโรยบนแป้นหมุน เพื่อที่เนื้อดินจะได้มิติดแป้นไม้
จากนั้นจึงนำดินเหนียวก้อนหนึ่งวางบนแป้นไม้ แล้วยกแป้นไม้วางบนแป้นหมุน

“กำลังปั้นสิ่งใดหรือขอรับ ?” บุรุษร่างกำยำที่เธเซียสมิเคยเห็นหน้า คาดว่าคงจะเป็นช่างฝีมือหน้าใหม่เอ่ยถาม พลางออกแรงหมุนแป้นอย่างให้ความร่วมมือ เธเซียสจึงใช้สองมือประคองเนื้อดินให้เป็นรูปทรงตามต้องการ
“ระเบิดมือ” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางแย้มยิ้ม ขณะที่ดวงตายังคงจดจ่ออยู่กับการขึ้นรูปเครื่องปั้นดินเผาขนาดเล็ก โดยมีช่างฝีมือมากหน้าหลายตามองมาด้วยความสนใจ

“ระเบิดมือมิควรใช้เนื้อดินบางเรียบกว่านี้หรือขอรับ ?” หลังจากตัดภาชนะออกจากแป้นหมุน เธเซียสก็ตรวจตราผลงานของตนเองอย่างละเอียด ซึ่งรูปทรงของเครื่องปั้นดินเผาที่เรียกว่า ‘ระเบิดมือ’ มีรูปร่างมิแปลกตานัก เพราะเธเซียสวางต้นแบบมาจากโถแอมโฟร่าที่มีลักษณะก้นแหลม เพียงแต่มิมากเท่าต้นแบบ ขณะที่ส่วนกลางโค้งมนและมีปากภาชนะเป็นทรงแคบ
“บางเรียบก็ดูเข้าที” เธเซียสกล่าวพลางนำดินเหนียวปั้นเป็นก้อนพร้อมนวดคลึงเพียงครู่ ก่อนจะวางลงบนแป้นไม้ ขณะที่บุรุษผู้ช่วยเริ่มหมุนแป้นหินเพื่ออำนวยความสะดวกในการขึ้นรูป โดยครานี้เธเซียสพยายามสร้างระเบิดมือด้วยเนื้อดินที่บางเบามากขึ้น จากนั้นจึงนำสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวออกไปผึ่งแดดผึ่งลม เพื่อให้เนื้อดินแข็งตัวพอที่จะจับยกได้โดยมิเสียรูปทรง

“ข้าชื่อเธเซียส.. เจ้า..?” บุรุษจากต่างแดนทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำที่อยู่ด้านหลังของห้องใต้ดิน มิไกลจากห้องปั้นดินเผา ขณะที่ร่างสูงกำยำของบุรุษอีกผู้ก็ทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้าง โดยมิมีทีท่าหวาดกลัวสถานที่ดังกล่าว คาดว่าเขาคงจะเข้ามาใช้แรงงานเพียงมินาน จึงมิทันล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับห้องใต้ดินที่ผู้คนส่วนใหญ่มิอยากสัญจรผ่าน
“แคดมัสขอรับ” บุรุษหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อมมิแปรเปลี่ยน

“ข้าเองก็เคยเป็นช่างฝีมือเช่นเจ้า” เธเซียสเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับได้ใจความ
“อ้อ” ฝ่ายแคดมัสก็ดูเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี

“อีกมินานจะเกิดศึกสงครามหรือ ?” เมื่อความเงียบเริ่มปกคลุม แคดมัสจึงเป็นฝ่ายหยิบยกเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาสนทนา
“มิมีผู้ใดหยั่งรู้ได้” เธเซียสเอ่ยตอบเป็นการตัดบท เนื่องจากเขามิรู้ว่ายังมีไส้ศึกอื่นใดแอบแฝงอยู่หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงมิควรพูดอันใดให้มากความ

“เราตามหาเจ้าเสียทั่ว” แต่แล้วความเงียบงันระหว่างบุรุษแปลกหน้าก็พลันจางหาย เมื่อเจ้าชายมิโนสปรากฏองค์
“พระอาการขององค์ราชินีเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยืนขึ้นพลางปัดเศษดินที่แห้งติดผิวเนื้อครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินไปยังบุรุษสูงศักดิ์พร้อมเอ่ยถามเรื่องสำคัญ

“เสด็จแม่รู้สึกตัวแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงเหนื่อยล้า อาจเพราะหลายสิ่งหลายอย่างกำลังรุมเร้า หรือไม่ก็คงจะเป็นเพราะทุกอย่างมิเป็นไปตามหวัง
“เจ้าทำอันใดอยู่หรือ ?” สุรเสียงทุ้มนุ่มตรัสถามด้วยความใคร่รู้ พลางก้าวเดินไปยังชั้นไม้ริมกำแพงที่วางตั้งภาชนะรูปทรงต่าง ๆ ในที่ร่ม

“ระเบิดมือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางหยิบเครื่องปั้นดินเผาฝีมือตนเองส่งให้อีกฝ่าย
“การกระทำเช่นนี้ มิถือเป็นการบอกกล่าวข้อมูลเกี่ยวกับบ้านเมืองของเจ้าหรือ ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์เพ่งพิศ ‘วัตถุสงคราม’ อย่างสนพระทัย พลางตรัสถามราวกับเตือนสติ ฝ่ายเธเซียสจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบ เนื่องจากสิ่งที่เขากระทำมิได้มีความใกล้เคียงกับดำรัสดังกล่าว เหตุเพราะเธเซียสยังกุมความลับบางอย่างของไมซีเนียน
ดังนั้นหากเกิดศึกสงคราม เธเซียสขอวางใจเป็นกลาง และสู้รบกันอย่างยุติธรรมจะดีกว่า..
เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็คือบุคคลอันเป็นที่รัก

กระทั่งวันเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันที่ 3 ภาชนะดินเผาก็แห้งหมาด เธเซียสจึงนำเข้าเตาเผาที่มีลักษณะเป็นทรงกลม ด้านบนเป็นโดมโค้งมน มีช่องสำหรับใส่เชื้อเพลิง เพียงแต่การเรียงภาชนะจะต้องเรียงแบบสลับฟันปลา เพื่อประหยัดเนื้อที่และทำให้เครื่องปั้นโดนความร้อนอย่างทั่วถึง ซึ่งการเผาจะต้องใช้เวลาถึง 3 วัน โดยวันแรกจะเริ่มใส่เชื้อเพลิงทีละน้อย เพื่อให้เครื่องปั้นดินเผาค่อย ๆ ปรับตัว เนื่องจากการใช้ไฟแรงเกินไปจะทำให้ภาชนะเกิดความเสียหาย
ดังนั้นระหว่างที่กำลังเฝ้ารอภาชนะสำหรับบรรจุเชื้อเพลิงของ ‘ระเบิดมือ’ เสร็จสิ้น เธเซียสจึงเดินทางไปยังค่ายทหารท่ามกลางหุบเขา พร้อมเลือกใช้เส้นทางของเมืองใต้ดินที่เชื่อมกับตัวพระราชวังนอสซัส
โดยมีเคออสเป็นผู้นำทาง

“เจ้าจำแบบร่างอาวุธสงครามที่เราเคยวางไว้ในห้องหนังสือได้หรือไม่ ?” เมื่อมาถึงสุดปลายทางที่ต้องปีนป่ายขึ้นไปด้านบน สายตาของเธเซียสจึงสบกับร่างของเซอร์ซี จึงมิรอช้ารีบกล่าวเข้าเรื่องทันควัน
“ไฟสงครามหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เซอร์ซีเอ่ยถาม ฝ่ายเธเซียสจึงพยักหน้ารับ ขณะที่เคออสกลับมองคนทั้งคู่อย่างมิเข้าใจ

“เจ้ารีบเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม อีก 2 วันข้างหน้า เราจะทำการทดลอง” เธเซียสกล่าวด้วยมาดของเจ้าชายฮาเดรียน บ่งบอกถึงความจริงจังในส่วนลึก
“เจรจากันเล็กน้อยเพียงนี้ เหตุใดจึงมิใช้ผู้ส่งสาร ?” เคออสเอ่ยขัดอย่างเหลืออด อาจเพราะส่วนลึกต้องการทราบว่าบุรุษจากต่างแดนคิดจะทำสิ่งใด และไว้วางใจได้เพียงใด

“เรื่องสำคัญมิอาจไว้วางใจผู้ใด” เธเซียสตัดบทพลางแยกทางกับเซอร์ซีที่ตอนนี้มิได้อยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง
แต่ทว่าสิ่งที่น่าห่วงกลับเป็นจักรวรรดิครีตัน
เหตุเพราะ ‘สารลับ’ จากเจ้าหญิงแอริแอดเน กำลังสร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกผู้ในราชสำนัก

φ


บทความที่เกี่ยวข้อง
- ขั้นตอนการทำเครื่องปั้นดินเผา
http://bit.ly/2kKFSq5 / http://bit.ly/2mapob0
- ระเบิดมือ http://bit.ly/2kivGF7
- นครรัฐเอเธนส์ http://bit.ly/2kljVOf

วิธีการทำเครื่องปั้นดินเผา (รูปบนเป็นของเมโสโปเตเมีย รูปล่างเป็นของกรีกโบราณค่ะ)
https://imgur.com/cyE6uh8
https://imgur.com/NLyxKhf

ระเบิดมือ
https://imgur.com/aj11KtL

อาทิตย์นี้อัพได้เยอะหน่อย  เพราะเหมือนตอนนี้เริ่มจะอินกับนิยายเหมือนเดิมแล้วค่ะ  เราลองเคาะตอนแบบละเอียดแล้ว คาดว่าอีก 7 ตอนจบ  สำหรับตอนนี้เหมือนจะยังไม่มีอะไรมาก แต่ทุกการกระทำจะส่งผลในตอนถัด ๆ  ไปทั้งหมดค่ะ  วิธีการทำเครื่องปั้นดินเผาเราเอาวิธีสมัยโบราณกับสมัยใหม่มาผสมกันนะคะ  เพราะว่าในสมัยโบราณไม่ได้บอกขั้นตอนอย่างละเอียดเท่าไหร่  ส่วนการทำระเบิดมือนั้นเราอ้างอิงมาจากความคิดของชาวกรีกในยุคไบแซนไทน์ ประมาณปี ค.ศ. 678 ค่ะ ดังนั้นประสิทธิภาพในเรื่องจะด้อยกว่าค่ะ  เพราะว่ายุคสมัยของครีตันเป็นช่วงก่อนคริสตกาล 
และเราขอย้ำอีกครั้งว่า  นิยายเรื่องนี้อ้างอิงจากปกรณัมกรีกเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดมิโนทอร์ค่ะ  เลยทำให้ยุคสมัยของมิโนอันและเอเธนส์อยู่ในยุคเดียวกัน  แต่เราก็พยายามจะเขียนให้สมจริงที่สุดค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 21:24:20 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 40

เสียงอื้ออึงยังคงดังระงมไปทั่วห้องโถง กระทั่งเธเซียสและเคออสปรากฏกาย ความเงียบสงบอันเย็นยะเยือกราวกับแผ่นน้ำแข็งบนปากคาร์เตอร์ก็แผ่กำจายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกเขาต่างใช้สายตาจับจ้องด้วยความคลางแคลงใจ กำแพงน้ำแข็งบางเฉียบจึงขวางกั้นระหว่างชาวครีตันและบุรุษจากต่างแดน
เธเซียสจึงอดสงสัยมิได้ว่า..
‘สารลับ’ ดังกล่าวมีใจความด้วยเรื่องใด

“เหตุใดเขาจึงอยู่ในข้อต่อรอง ?” แต่แล้วพวกเขาก็กระซิบกระซาบกันด้วยความสงสัย หัวคิ้วของเธเซียสจึงยิ่งขมวดมุ่น ส่งผลให้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมิเกรงกลัวต่อพระราชอำนาจของเจ้าชายมิโนสและพระราชินีปาซิฟาอีแต่อย่างใด
“การสงบศึกแลกกับชีวิตของเขา เชื่อถือได้แน่หรือ ?” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสองบุรุษที่ยืนอยู่มิไกลยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมันก็ทำให้เธเซียสทราบถึงใจความของสารลับอย่างชัดแจ้ง
เพียงแต่จุดประสงค์แท้จริงของสารฉบับนี้..
คงมิใช่แค่เพียงต้องการตัว ‘กบฏ’ จากไมซีเนียน

“แต่เขาเป็นชาวเอเธนส์มิใช่หรือ ?” สิ้นคำถามของขุนนางนายหนึ่ง เธเซียสก็เริ่มสังเกตเห็นว่า เจ้าชายมิโนสมิเคยปริปากพูดถึงสถานะแท้จริงของบุรุษในดวงใจ ดังนั้นผู้ที่ล่วงรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ คงมีเพียงทหารครีตันที่ร่วมสังหารในวันเทศกาลเดินเรือ
และเจ้าหญิงแอริแอดเนที่ไปเข้าฝักฝ่ายกับไมซีเนียน

“หรือเขาจะเป็นไส้ศึก ?” เหล่าขุนนางต่างคิดเห็นตรงกันโดยมิได้นัดหมาย ส่งผลให้ข้อสงสัยดังกล่าวแพร่สะพัดไปทั่วบริเวณ
“พวกเจ้ามิคิดว่าสารฉบับนี้มีช่องโหว่บ้างหรือ ?” เจ้าชายมิโนสเสด็จมายังพื้นที่ว่างกลางห้องโถง พลางตรัสราวกับนักวิเคราะห์สถานการณ์
ทว่าดำรัสนั้นกลับเป็นเพียงหน้ากากชิ้นหนึ่ง..
ที่มีขึ้นเพื่อปกป้องยอดดวงใจ

“เขาเป็นเพียงเชลยศึกที่น่าเวทนาผู้หนึ่ง” เจ้าชายมิโนสดำเนินไปยังจุดที่เธเซียสยืนอยู่ พร้อมตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่งราวกับวาจาของพระองค์มิใช่เรื่องโป้ปด
“แต่หากกล่าวถึงศึกสงคราม เงื่อนไขของมันคือการแย่งชิงดินแดนมิใช่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางทอดพระเนตรไปยังเหล่าขุนนางที่ได้แต่แสดงท่าทีสงบเสงี่ยม

“ดินแดนทองคำกับเชลยศึกผู้หนึ่ง เทียบเทียมกันได้หรือ ?” บุรุษสูงศักดิ์ยังคงตรัสด้วยวาจาสุขุม พร้อมดำเนินไปยังพระที่นั่งข้างบัลลังก์ จากนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์อันเป็นไปในทิศทางห่างไกลจากยอดดวงใจก็เริ่มเซ็งแซ่
“เห็นได้ชัดว่าสารลับฉบับนี้ ล้วนเต็มไปด้วยกลลวง”

ทว่าการสรุปความของเจ้าชายมิโนสมิถือเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะถึงอย่างไรสถานะแท้จริงของเธเซียสก็คือตัวแปรสำคัญ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนกบฏผู้หนึ่งที่เกือบจะถูกสังหารและการสงบศึก มิน่าไปด้วยกันได้..
ดังนั้นจุดประสงค์แอบแฝงย่อมมีอยู่จริง

ซึ่งความจริงดังกล่าวก็เริ่มเด่นชัด เมื่อสารลับฉบับที่สองถูกส่งตรงมายังครีตัน ด้วยระยะเวลาที่ห่างไกลจากฉบับแรกถึงสองวัน เพียงแต่ครานี้มิได้สร้างความวุ่นวายนัก อาจเพราะ ‘สารลับ’ เพิ่งเดินทางมาถึง เหล่าข้าราชบริพารจึงยังมิทันทราบข่าว ฝ่ายเธเซียสที่ภายในมือกำลังโอบอุ้มภาชนะสำหรับใช้ทำ ‘ระเบิดมือ’ ที่บัดนี้ผ่านการเผาไหม้จนพรั่งพร้อมต่อการทดลอง จึงเดินมายังห้องทรงงานของเจ้าชายมิโนส และพบว่าด้านในมิได้มีเพียงผู้เป็นเจ้าของ แต่กลับมีพระราชินีปาซิฟาอีประทับอยู่
ข่าวสารดังกล่าวจึงถูกเปิดเผย

“จดหมายเลือด มิมีทางตีความเป็นอื่นได้” สุรเสียงขององค์ราชินีดังก้องไปทั่วห้องทรงงาน จึงมิแปลกที่บริเวณนี้จะมิมีราชองครักษ์คอยอารักขา เนื่องจากความนัยของสารลับถือเป็นเรื่องสำคัญ อาจต้องผ่านการกลั่นกรองจากทั้งสองพระองค์เสียก่อน
“หากเรามิส่งตัวคนผู้นั้นกลับไป ไมซีเนียนอาจส่งแอริแอดเนกลับมา..” พระราชินีปาซิฟาอีตรัสพลางทรงยืนอยู่ข้าง ๆ บัญชร  โดยหันพระพักตร์มาทางเจ้าชายมิโนสที่ทรงยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะหิน พร้อมจดจ้อง ‘จดหมายเลือด’ ที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งแน่นิ่ง

“เพียงแต่มิได้กลับมาในสภาพเดิม” สตรีสูงศักดิ์ยังคงตีความท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด
“ต่อให้เป็นกลลวง แต่ชีวิตของแอริแอดเนก็มีความสำคัญต่อพวกเรามิใช่หรือ ?” ดำรัสขององค์ราชินีคล้ายกับมิได้ต้องการคำตอบ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างล่วงรู้ความรู้สึกของกันและกันเป็นอย่างดี

“เจ้าจะทนนิ่งดูดาย เพียงเพื่อเก็บคนผู้นั้นไว้ใกล้ตัว แค่นั้นหรือ ?” แต่แล้วดำรัสถามคล้ายจี้ใจดำก็ถูกส่งตรงมายังเจ้าชายมิโนส พร้อมตัวแปรสำคัญอย่าง ‘สายสัมพันธ์ครอบครัว’ ที่อย่างไรก็คงมิตัดขาด แม้ว่าเจ้าหญิงผู้เลอโฉมจะทรยศต่อชาติบ้านเมือง หรือแม้กระทั่งทรยศต่อความภาคภูมิใจของราชวงศ์
“เสด็จแม่.. ลูกมิได้มีเจตนาเช่นนั้น เพียงแต่ลูกคิดว่าเราควรมีทางออกที่ดีกว่า” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างใจเย็น อาจเพราะพระองค์มีหนทางแก้ไขที่มิสามารถบอกกล่าวผู้ใด และมิเคยมีผู้ใดก้าวทันความคิดของพระองค์ จึงมิแปลกที่จะถูกตีความไปในทิศทางนั้น

“เจ้ามิเคยเป็นเช่นนี้..” องค์ราชินีตรัสพลางส่ายพระพักตร์ ขณะที่ดวงเนตรกลับมองมายังโอรสที่หลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวด้วยความผิดหวัง
“...”

“มิโนสที่เรารู้จัก เขาฉลาดหลักแหลม กล้าได้กล้าเสีย มากด้วยแผนการ หากมีเขาอยู่เราคงหมดห่วง”
“...”

“แต่มิโนสที่อยู่ตรงหน้าเราในเพลานี้ คล้ายกับคนแปลกหน้า เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าบุรุษผู้นั้นคือไส้ศึก แต่ก็ยังยืนยันที่จะเก็บเขาไว้ พร้อมคิดหาทางช่วยเหลือแอริแอดเน ช่างห่วงหน้าพะวงหลังเสียจริง” ดำรัสขององค์ราชินีมิได้ทำให้เธเซียสตะลึงงันแต่อย่างใด เพราะการย้ำชัดด้วย ‘สารลับ’ ถึงสองฉบับ มิอาจคิดเป็นอื่นได้
นอกจากบุรุษผู้นั้นมีความสำคัญอย่างมากต่ออาณาจักรไมซีเนียน

“เจ้าต้องการพบเขาในสภาพใด โปรดครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน” สิ้นดำรัสอันเต็มไปด้วยพระราชอำนาจขององค์ราชินี ความเยือกเย็นราวกับแผ่นน้ำแข็งบนปากคาร์เตอร์ก็แผ่กำจายไปทั่วห้องทรงงาน
ราวกับต้องการกักขังเจ้าชายมิโนส ให้ตกอยู่ในความเคร่งเครียดไร้ซึ่งทางเลือก

เมื่อเล็งเห็นว่าเจ้าชายมิโนสมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิด เธเซียสจึงเดินย้อนกลับไปยังทิศทางเดิม ก่อนจะยืนพิงกำแพงเคียงข้างเคออสที่กำลังทำหน้าที่อารักขาต้นทางอย่างคร่ำเคร่ง

“เจ้าให้ผู้ส่งสารนำของสิ่งนี้มอบให้กับเซอร์ซีได้หรือไม่ ?” เธเซียสกล่าวพลางยื่นเครื่องปั้นดินเผาขนาดเท่าฝ่ามือส่งให้กับเคออส เนื่องจากเขายังมีเรื่องให้ต้องเจรจากับบุรุษผู้สูงศักดิ์ จึงมิอาจกระทำตามแผนการที่เคยวางไว้ แต่กระนั้นความคืบหน้าของสิ่งประดิษฐ์จำพวกอาวุธสงครามก็มิอาจล่าช้า
“มีข้อความอื่นใดฝากถึงเขาหรือไม่ ?” เคออสกล่าวพลางรับ ‘ระเบิดมือ’ ไว้ในความดูแล

“หากทุกอย่างเป็นไปตามหวัง ให้เร่งผลิตโดยด่วน จำนวนมากยิ่งดี เพียงแต่ในส่วนนี้คงต้องให้เจ้าช่วยทูลกับเจ้าชายมิโนส จากนั้นค่อยให้เซอร์ซีไปขอความช่วยเหลือกับแคดมัส เพราะเขาเป็นช่างฝีมือหน้าใหม่ที่มาช่วยเป็นลูกมือ คงจะพอซึมซับอะไรไปบ้าง” เธเซียสกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน ขณะที่ส่วนลึกก็แอบแฝงความกังวลอยู่บ้าง เนื่องจากการตัดสินใจค่อนข้างล่าช้า จึงหวั่นเกรงว่าอาจจะมิทันการณ์
“ส่วนความเป็นไปของข้า..” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ราวกับการตัดสินใจของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว

“ทางที่ดีควรเก็บไว้เป็นความลับสักระยะหนึ่ง เขาจะได้คอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในเรื่องนี้” เธเซียสกล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น จึงเดินจากไปก่อนที่องค์ราชินีจะเสด็จออกมาจากห้องทรงงาน จากนั้นสองขาจึงก้าวเดินอย่างไร้จุดหมาย รู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ภายใต้สวนบุปผาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
บุรุษจากต่างแดนจึงทิ้งตัวลงท่ามกลางทุ่งดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองอร่าม พลางหลับตาซึมซับบรรยากาศที่อาจได้สัมผัสเป็นครั้งที่สุดท้าย จากนั้นความเงียบเหงาเศร้าซึมก็แผ่กำจายไปทั่วความรู้สึก
ก่อนจะเผลอหลับใหลโดยมิรู้ตัว

“กระหม่อมเพิ่งทราบว่ามหาบุรุษเช่นพระองค์ก็มีเพลาที่กลัดกลุ้มจนต้องหันมาพึ่งพิงงานศิลปะ” เธเซียสกล่าวพลางเดินไปยังเป้าหมาย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนจากนั่งร้านที่ใช้สำหรับวาดภาพเฟรสโกบนฝาผนัง
“เราสั่งการให้เคออสเป็นผู้ส่งสาร และคอยอำนวยความสะดวกให้กับเซอร์ซี” เจ้าชายมิโนสมิได้แสดงท่าทีขบขันที่ถูกหยอกเย้า แต่กลับตรัสถึงภารกิจที่เธเซียสมอบหมายให้กับเคออส ขณะที่พระองค์กำลังง่วนอยู่กับการลอกลายด้วยแคนโทน ลงบนพื้นปูนเปียกที่ถูกฉาบไว้สำหรับงานเฟรสโก

“เดิมทีเราวางแผนสำหรับชะล้างมลทินให้กับแอริแอดเน นับตั้งแต่นางถูกเนรเทศออกจากครีตัน ในตอนนั้นเรามิแน่ใจนักว่าแผนการจะสำเร็จหรือไม่ แต่พอเห็นมือสังหารคอยสังเกตการณ์อยู่ เราก็เริ่มมั่นใจมากขึ้น และยิ่งมากขึ้นเมื่อเขาแฝงตัวมากับขบวนล่าสัตว์ เราจึงกวาดต้อนมือสังหารไปยังเกาะเอลาโฟนิสิ และมอบหมายโอกาสสุดท้ายให้กับแอริแอดเน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางลงสีบนภาพวาดของดอกเมอร์เทิลที่ครั้งหนึ่งเคยมอบให้กับบุรุษในดวงใจด้วยความรวดเร็วและชำนาญ
เนื่องจากการลงสีภาพวาดเฟรสโกจะต้องรีบทำก่อนที่เนื้อปูนจะแห้ง

“แต่เรามิเคยคาดคิดว่าพวกเขาจะพยายามเปิดโปงสถานะที่แท้จริงของเจ้า” สุรเสียงกลัดกลุ้มยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เธเซียสได้แต่เฝ้ามองปลายพู่กันที่กำลังแต่งแต้มสีสันลงบนผนังอย่างสม่ำเสมอ
“เช่นนั้นแผนการที่เราเคยตระเตรียมไว้กับแอริแอดเนก็อาจมีการเปลี่ยนแปลง” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสมิได้ทำให้เธเซียสแปลกใจนัก เพราะการได้รับโอกาสก็มิต่างกับการได้รับความรักและความห่วงใยที่โหยหา ฉะนั้นเมื่อทราบว่ามีไส้ศึกแอบแฝงอยู่ในพระราชวัง มีหรือเจ้าหญิงแอริแอดเนจะมิกลัดกลุ้มจนยอมโอนอ่อนผ่อนตามฝ่ายตรงข้าม
เพราะถึงอย่างไร การผลักไส ‘ไส้ศึก’ ออกจากบ้านเมืองก็ถือเป็นสิ่งที่สมควรทำ

“ดังนั้นเราจึงมองเห็นแต่เพียงกลลวงในการแลกเปลี่ยน มิคุ้มค่าต่อการตามเกมแต่อย่างใด”
“เช่นนั้นพระองค์มีทางเลือกอื่นใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสย้อนถามด้วยประโยคจี้ใจดำ ส่งผลให้ความเงียบรายล้อมคนทั้งคู่

“กระหม่อมยอมเป็นหมากให้กับพระองค์ เพราะถึงอย่างไรสงครามคงมิมีวันหยุดยั้ง” เธเซียสเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลำดับแรก
“เจ้ากำลังจะบอกเรากลาย ๆ ว่า มิมีสัจจะในหมู่โจร ?” เจ้าชายมิโนสละหัตถ์จากการแต่งแต้มสีสันให้กับฝาผนังอันราบเรียบ พลางเลิกพระขนงถามไถ่ความคิดเห็นจากบุรุษในดวงใจ

“พ่ะย่ะค่ะ เพราะเบี้ยตัวหนึ่งมิได้มีความสำคัญอันใด” บุรุษจากต่างแดนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เนื่องจากเบี้ยชิ้นสำคัญของไมซีเนียนคือนครรัฐเอเธนส์ที่เคยถูกจักรวรรดิครีตันก่อสงครามจนวอดวาย แต่ด้วยความที่ชาวเอเธนส์มีใจรักบ้านเมืองอย่างถึงที่สุด พวกเขาจึงร่วมลงขันฟื้นฟูนครรัฐให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง
“ปล่อยกระหม่อมไปและสั่งการให้ทหารสักนาย เจรจาต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสขยับเข้าไปขวางกั้นเจ้าชายมิโนสและภาพวาดเฟรสโกด้วยการกระชับปลายพู่กันมิให้เคลื่อนไหว พร้อมบอกกล่าวความประสงค์อย่างจริงจัง

“การดึงดันของพระองค์มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อองค์ราชินีย่ำแย่ลง และยังทำให้วัยเยาว์ที่พระองค์จารึกไว้ในความทรงจำถูกกลบฝังมิมีวันต่อติด”
“...”

“การอยู่ที่นี่ของกระหม่อมคงมิพ้นโทษสังหาร แต่หากกระหม่อมกลับไปยังที่ที่จากมา อาจเอาชีวิตรอดด้วยข้อมูลข่าวสารของครีตันและอาจถ่วงเวลาให้สงครามเกิดขึ้นในช่วงที่พระองค์พรั่งพร้อม”
“หากเรามีอำนาจเหนือกว่าเสด็จแม่ก็คงดี จะได้ปกป้องทุกผู้ที่มีความสำคัญต่อเราให้อยู่ภายใต้เกราะกำบัง” เจ้าชายมิโนสตัดพ้อพลางเสด็จลงจากนั่งร้านพร้อมวางพู่กันและจานสีลงกับพื้น
ซึ่งดำรัสของเจ้าชายมิโนสทำให้เล็งเห็นว่า..
องค์ราชินียังคงมีอำนาจในการตัดสินพระทัยเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองมิแปรเปลี่ยน

แต่แล้วเจ้าชายมิโนสก็กักขังเธเซียสไว้ท่ามกลางภาพวาดเฟรสโกที่ยังคงมิแล้วเสร็จ ส่งผลให้ความคิดที่กำลังลอยล่องถูกรวบเป็นหนึ่ง จึงรับรู้ได้ว่าบัดนี้ผนังปูนกำลังแห้งผากจนมิอาจลงสีได้อีกต่อไป จากนั้นพระโอษฐ์ก็นำพาให้สติของเธเซียสเตลิดเปิดเปิงด้วยสัมผัสเร่าร้อน พาลพาให้ลมหายใจติดขัด
ทว่าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์กลับมิสนพระทัย
คล้ายกับพระองค์ปรารถนาจะตักตวงความหอมหวานในวัยเยาว์ให้มากที่สุด

“สุดท้ายสิ่งที่เราพยายามทำมาตั้งแต่ต้นก็ไร้ประโยชน์..” ทันทีที่เจ้าชายมิโนสปลดปล่อยให้เธเซียสเป็นอิสระ พระองค์ก็สรวลอย่างเย้ยหยันและผละจากไปโดยมิคิดจะสนใจสิ่งอื่นใด
ราวกับทุกสิ่งล้วนขวางหูขวางตาจนหมดสิ้น
ขณะเดียวกันเธเซียสก็รับรู้ได้ว่า ดำรัสดังกล่าวมิได้หมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงแอริแอดเนเลยสักนิด


φ


[1] บัญชร แปลว่า หน้าต่าง
[2] Caltone (แคนโทน) คือกระดาษที่ใช้ลอกลายในแบบร่างลงบนผนัง

บทความที่เกี่ยวข้อง
- Fresco : จิตรกรรมเขียนสีบนปูนเปียก http://bit.ly/2kNM94c
- ขั้นตอนการวาดภาพเฟรสโก http://bit.ly/2kNM7JC

ช่วงนี้กำลังฟิตมากก็เลยลงถี่หน่อย ถือว่าชดเชยช่วงที่หายไปแล้วกันเนอะ แต่อาทิตย์นี้อาจจะไม่ได้อัพแล้วค่ะ คาดว่าน่าจะเจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลย ส่วนตอนนี้ก็เริ่มเข้าใกล้ความตื่นเต้นมากขึ้นทุกทีแล้ว และปมบางอย่างเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าชายมิโนสก็เผยออกมาบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าทุกคนคาดเดากันไว้แบบนี้หรือเปล่า แต่ยังมีอีกปมที่ไม่ได้เฉลยเริ่มตั้งแต่จับตัวเซอร์ซีไปจนถึงปล่อยให้ไกจีสเข้าไปในค่ายทหาร โปรดติดตามเฉลยกันต่อไป~ 
ปล. จำได้ว่ามีคนเคยเมนต์ไว้ว่า ระหว่างที่เธเซียสยังลังเล  เจ้าชายมิโนสอาจคิดหาทางออกสำหรับทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว  คาดเดาได้เป๊ะมากจริงๆ ค่ะ เพียงแต่มีตัวแปรให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวังนี่สิ! 

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 41


หนึ่งวันให้หลังของการส่งมอบจดหมายเลือดให้กับจักรวรรดิครีตัน หมายกำหนดการแลกเปลี่ยนตัวประกันก็เดินทางมาถึง เพลานี้เธเซียสจึงอยู่ภายใต้เครื่องแต่งกายสีดำห่มคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โผล่พ้นเพียงดวงตาราวกับเหยี่ยวทะเลทราย ก้าวเดินอยู่บนเส้นทางที่ขนาบไปด้วยทิวเสาสีแดงต้นใหญ่อันเป็นสัญลักษณ์ของพระราชวังนอสซัส
โดยมีทหารนายหนึ่งสวมเครื่องแต่งกายมิต่างกัน กำลังก้าวเดินตามมาอย่างเงียบเชียบ

“ลาก่อน..” เธเซียสหันมองตัวอาคารอันโอ่อ่า พลางเอ่ยคำอำลาราวกับต้องการให้สายลมพลิ้วไหว พัดพาถ้อยคำดังกล่าวส่งผ่านไปยังบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังหมกตัวอยู่ในห้องทรงงาน นับตั้งแต่ ‘สถานะ’ ของบุรุษจากต่างแดนถูกเปิดเผย
ทว่าความเงียบเหงาอ้างว้างโดยรอบ มิได้ทำให้เธเซียสรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด เนื่องจากทุกสิ่งที่กำลังเป็นไปล้วนเกิดจากความต้องการของเขาเอง หรือแม้กระทั่งท่าทีขององค์ราชินีก็มิได้สร้างความบาดหมางใจแม้แต่น้อย เพราะการยืนอยู่ในจุดที่เหนือกว่าผู้คนนับหมื่น มิอาจตัดสินใจได้ตามประสงค์

กลับกันหากอีกฝ่ายเป็นเพียงชาวบ้านผู้หาเช้ากินค่ำ และได้คุกคลีอยู่กับ ‘ไส้ศึก’ จนกระทั่งแน่ชัดแล้วว่า เขามิได้มีเจตนาร้ายกาจ ก็อาจเก็บซ่อนเขาไว้ยังที่ที่ปลอดภัย หรือหากมั่นใจแน่วแน่แล้วว่า ‘ไส้ศึก’ ผู้นี้มิมีทางแปรเปลี่ยน อาจเก็บซ่อนหรือกำจัดทิ้งโดยมิให้ทางการล่วงรู้ก็ย่อมได้ แต่กระนั้น ‘ความไว้เนื้อเชื่อใจ’ ของคนเรากลับมีให้กันยากเย็น ส่งผลให้การ ‘กำจัด’ อาจเป็นทางเลือกเดียวที่เหมาะสม แม้ว่า ‘ไส้ศึก’ ผู้นี้จะมีความรู้จักมักคุ้นกันก็ตาม
เห็นได้ว่าทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสิน
ดังนั้นจึงมิแปลกที่เจ้าชายมิโนสและองค์ราชินีปาซิฟาอีจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

“ไปเถิด ประเดี๋ยวจะล่าช้า” เธเซียสกล่าวกับทหารนายหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่ฝีพาย พลางก้าวเดินไปยังท่าเรือเรียบเขตพระราชฐาน พร้อมทิ้งตัวลงนั่งบนลำเรือขนาดเล็ก ลวดลายนกทะเล จากนั้นลำเรือก็เริ่มเคลื่อนห่างจากพระราชวังนอสซัส
จนกระทั่งมองเห็นเพียงแสงไฟสีเหลืองอร่ามในระยะไกล

ความเงียบเชียบเคล้าเสียงคลื่นลม นำพาให้จิตใจของเธเซียสเลื่อนลอย อาจเพราะจังหวะการวักน้ำของฝีพาย ทำให้หัวใจของเขารู้สึกราวกับความกังวลถูกกวัดแกว่งจนเป็นตะกอนขุ่น เนื่องจากการกลับมายังไมซีเนียนในครานี้
เธเซียสมิแน่ใจว่าจะได้รับโอกาสให้เจรจาต่อรองอันใดอีกหรือไม่
ดังนั้นลมหายใจจะมีอยู่ถึงพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ก็ยังมิแน่นอน

กระทั่งลำเรือเลี้ยวโค้งผ่านเขตหุบเขาสมาเรีย เพื่อมุ่งตรงไปยังอาณาจักรไมซีเนียน บุรุษจากต่างแดนก็หันกลับไปมองยังเกาะเอลาโฟนิสิที่ตั้งอยู่มิไกลนัก พบว่าแสงไฟสีเหลืองนวลกำลังไหวระริกล้อสายลมในยามราตรีอย่างเงียบสงบ บ่งบอกได้ว่าจุดบอดดังกล่าวยังคงถูกชาวไมซีเนียนยึดครอง นับตั้งแต่เจ้าหญิงแอริแอดเนน้อมรับโอกาสที่เจ้าชายมิโนสและองค์ราชินีปาซิฟาอีประทานให้
หากถามว่าเหตุใดเธเซียสจึงตีความเช่นนั้น คงเป็นเพราะดำรัสของพระนางในห้องทรงงาน บ่งบอกได้ว่าทุกความเคลื่อนไหวของเจ้าชายมิโนสที่เกี่ยวข้องกับราชกิจบ้านเมือง ล้วนได้รับความเอาใจใส่ เพียงแต่พระนางมิได้ยื่นมือเข้าไปสอด เพราะทุกการตัดสินพระทัยของเจ้าชายมิโนส ล้วนสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้เป็นมารดา อีกทั้งการลงโทษเจ้าหญิงแอริแอดเนในข้อหากบฏ ส่วนหนึ่งก็ถือเป็นการตัดสินพระทัยของพระนางเช่นกัน เนื่องจากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในเขตรั้วพระราชวัง อย่างไรก็มิมีทางปกปิดสายตาของเหล่าข้าราชบริพารได้ โดยเฉพาะพวกขุนนางชั้นสูงที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของเจ้าชายมิโนส และยังเล็งเห็นว่าการกระทำของพระขนิษฐาถือเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีการคร่าชีวิตบุรุษจากเอเธนส์ วันหน้าย่อมต้องเกิดศึกสงครามอย่างมิอาจเลี่ยง ดังนั้นการปกป้องสายใยแห่งราชวงศ์จึงดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะเป็น
การชะล้างมลทินจึงมีขึ้นเพื่อเรียกร้องความไว้วางใจจากทุกฝ่ายที่มีต่อเจ้าหญิงแอริแอดเนคืนกลับมา
นับได้ว่าเป็นเกมการเมืองที่ค่อนข้างใช้การวางแผนอย่างแยบยล

เมื่อลำเรือเริ่มเข้าใกล้จุดหมาย บนชายฝั่งจึงมองเห็นอาชาพันธุ์ดีถูกล่ามไว้ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งอาชาตัวดังกล่าวถือเป็นพาหนะคู่ใจของเธเซียสตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อขึ้นจากลำเรือเธเซียสก็เดินเข้าไปปลดพันธนาการให้กับอาชาสีขาวบริสุทธิ์ พร้อมวาดขาพาตัวเองขึ้นสู่เบื้องบน
“ดูเหมือนระยะนี้ ไมซีเนียนจะขี้ตระหนี่ไปสักหน่อย” บุรุษในคราบของเจ้าชายฮาเดรียน เอ่ยกับทหารครีตันที่มีหน้าที่เจรจาต่อรองอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อเห็นว่าอาชาที่ถูกตระเตรียมไว้มีเพียงตัวเดียว ขณะเดียวกันฝ่ายทหารครีตันก็มิได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นอันใด นอกจากพาตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนหลังอาชาตัวเดียวกัน
เธเซียสจึงรับรู้ได้ทันทีว่า..
แท้ที่จริงทหารนายนี้ มิใช่บุคคลธรรมดา

เธเซียสจึงจงใจถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะบังคับอาชาไปยังทุ่งหญ้าอันกว้างไกล ที่แอบซ่อนตัวอยู่ในป่าทางทิศตะวันตกของพระราชวังไมซีเนียน ซึ่งทุ่งหญ้าดังกล่าวคือจุดเกิดเหตุที่เสด็จแม่ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยอาวุธร้ายอันมีชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นเธเซียสก็มิมีกะจิตกะใจจะย้อนคิดไปถึงวันวาน เนื่องจากการปรากฏกายของบุรุษที่มิควรจะอยู่ในที่แห่งนี้ กำลังทำให้เธเซียสเป็นกังวล
เพราะการส่งมอบตัวประกัน ถือเป็นกลลวงที่มิอาจรู้แน่ชัดว่ามีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง ดังนั้นมหาบุรุษแห่งครีตันจึงควรประทับอยู่ในพระราชวังเพื่อเตรียมบัญชาการทหาร
มิใช่เดินทางระเหเร่ร่อนมาจนถึงไมซีเนียน

กระทั่งสถานที่นัดหมายปรากฏอยู่ตรงหน้า แสงจากคบไฟสีเหลืองนวลที่ห้อมล้อมกระโจมทะเลทรายก็สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เสียงฝีเท้าของม้าพันธุ์ดีในระยะไกล จึงร้องเรียกความเคลื่อนไหวจากคนกลุ่มนั้น
ส่งผลให้ทันทีที่สองบุรุษจากต่างแดนเดินทางมาถึง ก็ถูกปิดล้อมจนไร้ซึ่งหนทางหลีกหนี

“ตรงเวลาดีนี่” เสด็จพี่ลูซีอัสตรัสเป็นการทักทาย แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสภายใต้ฉลองพระองค์ราวโจรป่ากลับนิ่งเงียบ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะชาวครีตันต่างรักษาสัจจะ” เธเซียสกล่าววาจาราบเรียบ แต่ทว่าก็แอบเชือดเฉือนอยู่ในที

“เช่นนั้นเราต่างก็อย่าพิรี้พิไรทางวาจากันอีกเลย” แม้จะถูกกระทบกระทั่งจากอนุชาต่างมารดา แต่กระนั้นองค์รัชทายาทกลับแอบซ่อนท่าทีโกรธเคืองได้อย่างมิดชิด ดวงพักตร์ของพระองค์จึงเต็มไปด้วยรอยแย้มสรวล
“เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการส่งมอบตัวประกันจะนำมาสู่ความสงบสุข เดิมทีก็มิมีสัจจะในหมู่โจรมิใช่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสเปิดประเด็นเป็นครั้งแรก
แต่ทว่าวาจาของพระองค์กลับสร้างความโกรธาให้อีกฝ่าย

“เช่นนั้นเจ้าต้องการต่อรองด้วยสิ่งใด ?” เจ้าชายลูซีอัสตรัสพลางวางมาดให้ดูน่าเกรงขาม
“ตามที่ระบุในสารลับฉบับสุดท้าย” เจ้าชายมิโนสยังคงตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง มิได้เต้นไปตามท่าทียียวนของอีกฝ่าย

“มิโลภมากไปหรือ ?” องค์รัชทายาทแห่งไมซีเนียนตรัสถาม พลางประทับลงบนขอนไม้ที่อยู่เบื้องหลัง
“แต่ดูเหมือนวันนี้จะเป็นโชคดีของเจ้า เช่นนั้นตัวประกันแลกกับการสงบศึก..” เสด็จพี่ลูซีอัสตรัสพลางนั่งไขว้ขา พร้อมแย้มโอษฐ์มากเล่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ

“ส่วนขาของเจ้าแลกกับเบี้ยตัวหนึ่งเป็นอย่างไร ?” สิ้นดำรัสของเจ้าชายลูซีอัส ดาบด้ามยาวที่พาดอยู่ข้างหลังขอนไม้ก็ถูกหยิบฉวยมาใช้งาน ซึ่งมันทำให้เธเซียสมิทันคาดคิดว่าคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายจะดำเนินไปพร้อมกัน โลหิตสีแดงจึงซ่านกระเซ็นไปทั่วบริเวณพร้อมกับแปดเปื้อนอาภรณ์ของเธเซียส ฝ่ายผู้บาดเจ็บยังคงแสดงปฏิกิริยามิต่างจากเดิม แม้จะถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าโดยมิเต็มใจ
ทว่าหากมองจ้องบาดแผลก็รับรู้ได้ทันทีว่า..
โลหิตจำนวนมากกำลังไหลซึมผ่านผ้าลินินผืนสีรัตติกาล

“พระองค์” เธเซียสพูดมิออกบอกมิถูกจึงได้แต่ลนลานฉีกทึ้งผ้าลินินที่ห่มคลุมร่างกายตน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งในระดับเดียวกับบุรุษผู้บาดเจ็บ เพื่อใช้เศษผ้าผืนดังกล่าวพันรอบบริเวณบาดแผล ขณะเดียวกันเจ้าหญิงแอริแอดเนก็เสด็จออกมาจากกระโจมเบื้องหลัง กระทั่งเล็งเห็นว่าพระเชษฐาได้รับบาดเจ็บ พระนางก็รีบถลาเข้ามาดูอาการด้วยความตื่นตระหนก
เธเซียสจึงสังเกตเห็นว่า..
การมาเยือนไมซีเนียนของเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ยังมีโครนัสคอยอารักขาอย่างใกล้ชิด

“ไป!” แต่แล้วเธเซียสก็ถูกเจ้าชายลูซีอัสลากถูลู่ถูกังราวกับนักโทษกบฏ เมื่อเห็นความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีต่อบุรุษแห่งครีตัน แต่กระนั้นความสนใจของเธเซียสกลับมีเพียงเจ้าชายมิโนส
“ป่านฉะนี้กองทัพจากเอเธนส์คงพรั่งพร้อมแล้วกระมัง มิอาจล่าช้า” ดำรัสของเสด็จพี่ลูซีอัสส่งผลให้เธเซียสเริ่มคิดตรึกตรองให้ถี่ถ้วน จนกระทั่งทราบว่าการแลกเปลี่ยนตัวประกัน คือการเบี่ยงเบนความสนใจจากเจ้าชายมิโนสที่สามารถแปลงกายเป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน เพื่อให้การศึกเป็นไปอย่างได้เปรียบ จึงมิลืมสร้างความบาดเจ็บให้กับอีกฝ่าย จนมิอาจกลับไปครีตันได้ทันการณ์

ทว่าลมฟ้าอากาศกลับแปรปรวน อาชาพันธุ์ดีที่ถูกผูกรั้งอยู่ข้างหลังกระโจมทะเลทราย จึงพากันร้องระงมยกใหญ่ แต่กระนั้นชาวไมซีเนียนกลับมิได้สนใจ ซ้ำยังผูกรั้งข้อมือของเธเซียสด้วยเชือกเส้นใหญ่ คล้ายกับต้องการให้ม้าลากจูงไปตามทิศทาง
ซึ่งแรงคนกับแรงม้า แน่นอนว่ามิอาจเทียบกัน
ดังนั้นวิธีการดังกล่าวจึงมิต่างกับการถูกลอบสังหาร

เธเซียสก้าวเดินไปตามทุ่งหญ้าพลิ้วไหวที่เสียดสีเนื้อผ้าอันเว้าแหว่ง จนทำให้เศษใบบาดลึกไปตามเรียวขา ทว่าความสนใจทั้งหมดคือการล้วงมีดสั้นออกจากช่วงเอว เพียงแต่อุปสรรคกลับกลายเป็นจังหวะการวิ่งของอาชาสีนิล บวกกับการแต่งกายอันมิดชิดจึงทำให้อุปกรณ์จำเป็นยากจะนำออกมาใช้
ทว่าภายในเสี้ยววินาทีคมขวานลาบริสก็ฟาดฟันลงบนเชือกเส้นใหญ่ พร้อมจังหวะการวิ่งของอาชาสีนิลหยุดการเคลื่อนไหว กระทั่งเจ้าชายมิโนสในคราบมิโนทอร์ผละกายออกห่างเพื่อจัดการเหล่าเดนมนุษย์ อาชาพันธุ์ดีก็ล้มตึงลงกับพื้น
จากนั้นเสียงดังระงมเพราะความเจ็บปวดก็เริ่มกลบทับเสียงอสนีที่กำลังครวญคราง

“กรรรรรรรรรร!” มหาบุรุษแห่งครีตันส่งเสียงคำรามยกใหญ่ พลางไล่ล่าผู้เคราะห์ร้ายราวกับสิงโตผู้หิวโหยในภาพทรงจำ แต่กระนั้นเธเซียสก็จำต้องควบคุมสติของตนเองให้ดี เนื่องจากเพลานี้มิใช่ช่วงเวลามายืนครุ่นคิดถึงอดีต แต่ครั้นจะห้ามปรามบุรุษในดวงใจ เธเซียสก็มิคิดจะทำ เหตุเพราะเสด็จพี่ลูซีอัสก็มิต่างกับองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนที่กระหายแต่อำนาจและบารมี
จนหลงลืมไปว่าสถานะของตน มั่นคงและยั่งยืนมากเพียงใด

เธเซียสวิ่งย้อนกลับไปยังทิศทางเดิม เพื่อหวังจะบอกข่าวสารสำคัญให้โครนัสรับรู้ จะได้ส่งข่าวบอกทางครีตันให้เตรียมอพยพผู้คน ทว่าเมื่อเดินทางไปถึงกลับหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า
บุรุษจากต่างแดนจึงอนุมานได้ว่า..
ทั้งคู่อาจทราบข่าวสารบางอย่าง จึงยินยอมพร้อมใจละทิ้งเจ้าชายมิโนสไว้ที่นี่

แต่แล้วเสียงระเบิดดังลั่นจากบริเวณเกาะเอลาโฟนิสิก็เรียกความสนใจจากเธเซียสและมิโนทอร์ที่กำลังคลุ้มคลั่งได้มิยาก ทั้งคู่จึงมองจ้องไปยังทิศทางดังกล่าว พบว่าแสงไฟสีเหลืองโชติช่วงกำลังอาบย้อมน่านฟ้ามืดมิด อีกทั้งควันไฟยังโหมกระหน่ำคล้ายกับทุกสิ่งกำลังถูกแผดเผา
เธเซียสจึงรับรู้ได้ว่า..
เหตุการณ์ดังกล่าวคือผลงานของ ‘ระเบิดมือ’

จากนั้นกลไกของผู้ปกป้องราชอาณาจักรก็เริ่มทำงาน ส่งผลให้มหาบุรุษแห่งครีตันคล้ายกับหลงลืมความโกรธแค้น ก้าวเดินมายังบริเวณที่เธเซียสยืนอยู่ พร้อมย่อตัวลงและวางฝ่ามืออันใหญ่ยักษ์แนบลงกับพื้น ราวกับพระองค์ต้องการให้บุรุษในดวงใจเลือกใช้ตนเองเป็นพาหนะ เธเซียสจึงมิรอช้ารีบทำตามความประสงค์ เพื่อที่ตนจะได้มิถ่วงเวลาไปมากกว่านี้
ร่างสูงใหญ่ผู้มีส่วนหัวเป็นวัวกระทิงและมีช่วงล่างเป็นมนุษย์ จึงออกตัววิ่งด้วยความเร็วสูง ส่งผลให้สายลมเสียดสีเนื้อตัวของเธเซียสจนแสบร้อน หยาดหยดของสายฝนร่วงหล่นจนชาเหน็บ แต่ก็มิอาจใช้อ้อมแขนปกป้องตนเองได้ เนื่องจากเธเซียสต้องใช้สองมือจับยึดฝ่ามืออันใหญ่ยักษ์ จากนั้นก็ต้องกอบโกยอากาศบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว
เมื่อมหาบุรุษแห่งครีตันมิได้เผื่อเวลาเตรียมใจ ก่อนจะกระโจนลงสู่ผืนน้ำอันกว้างใหญ่
   
กระทั่งการเดินทางสุดแสนทรมานจบสิ้นลง อากาศระลอกใหม่จึงถูกเธเซียสกวาดต้อนอย่างหิวกระหาย ทว่าปลายสายตากลับมองเห็นกองทัพเรือจำนวนมากมุ่งหน้ามายังครีตัน แต่กระนั้นก็มิได้ดาหน้าเข้ามาด้วยความง่ายดาย เนื่องจากกองทัพเรือสุดยิ่งใหญ่กำลังทำหน้าที่เป็นด่านชั้นหน้าตรงบริเวณเกาะแห่งไฟ 
แต่ในท้ายที่สุดกองทัพเรือแห่งครีตันกลับถูก ‘ไฟทะเล’ แผดเผาจนมอดไหม้
เสียงร้องระงมของเหล่าทหารกล้าจึงดังก้องไปทั่วท้องทะเล

ขณะเดียวกันทะเลเพลิงสุดโหมกระหน่ำก็สร้างความขวัญผวาให้กับชาวเมืองครีตันเป็นอย่างมาก เสียงเซ็งแซ่จึงฟังดูโกลาหลวุ่นวาย เนื่องจากพวกเขากำลังเร่งอพยพลงสู่เมืองใต้ดิน โดยมีเหล่าทหารบกจากกองทัพที่แอบซ่อนตัวภายในหุบเขา พร้อมกับเจ้าหญิงแอริแอดเน องค์ราชินี และโครนัสเป็นผู้กวาดต้อน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยาก อาจเพราะพวกเขาต่างมิไว้เนื้อเชื่อใจเจ้าหญิงผู้เลอโฉม หรือมิทันคาดคิดว่าสงครามจะก่อเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงนี้
ทว่าหากสังเกตอย่างถี่ถ้วน จะพบการเตรียมการของเจ้าชายมิโนสอย่างชัดแจ้ง เนื่องจากราษฎร์ที่สร้างความโกลาหลตรงบริเวณท่าเทียบเรือเรียบชายฝั่ง มิใช่ประชากรทั้งหมดของจักรวรรดิครีตัน

“กระหม่อมจะรีบไปสมทบกับเซอร์ซี มิต้องเป็นกังวลทางนี้พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสบอกกล่าวด้วยความร้อนรน เนื่องจาก ‘ไฟทะเล’ ถือเป็นอาวุธสงครามอันเป็นความลับของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็รีบว่ายน้ำเข้าสู่ชายฝั่ง แม้ว่าเพลานี้คลื่นลมจะรุนแรง จนทำให้การกำหนดทิศทางเป็นไปได้ยาก แต่เธเซียสก็ยังพยายามให้ถึงที่สุด กระทั่งถึงที่หมายจึงออกตัววิ่งไปยังเส้นทางแห่งราชวงศ์ เพื่อนำอาชาสักตัวห้อตะบึงไปยังค่ายทหารบกด้วยความมั่นใจว่าเซอร์ซี คงจะง่วนอยู่กับการผลิตอาวุธสงคราม
ทว่าสติของเธเซียสกลับดับวูบ เมื่อถูกใครบางคนฟาดฟัน


φ



บทความที่เกี่ยวข้อง

- ไขความลับ ”ไฟกรีก” อาวุธพิฆาตอันน่าเหลือเชื่อของชาวยุโรปโบราณ http://bit.ly/2lm9Gtg

ปล. ไฟทะเลในเรื่องนี้มีต้นแบบมาจากไฟกรีกค่ะ แต่เพราะมันเกิดคนละยุคสมัย เราเลยต้องปรับเปลี่ยนความร้ายแรงให้น้อยลงค่ะ

มาต่อแล้วจ้า  ขอออกตัวก่อนว่าเราเขียนแนวสงครามหรือบู๊ๆ ไม่เป็นเลย  เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ถ้าหากมันดูไม่น่าตื่นเต้นต้องขออภัยด้วยค่ะ  และตอนที่แล้วเราเห็นมีคนไม่พอใจองค์ราชินีครีตันด้วย เลยหวังว่าตอนนี้จะทำให้เข้าใจจุดยืนและมุมมองของแต่ละฝ่ายมากขึ้นค่ะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 42

ความรู้สึกแรกของเธเซียสหลังจากข้ามผ่านการถูกลอบทำร้าย มิอาจเรียกปฏิกิริยาตอบสนองอันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แม้ว่าเบื้องหน้าจะปรากฏร่างของเซอร์ซีในสภาพบอบช้ำ และมองเห็นลูกกรงสัมริดกางกั้นราวกับห้องขัง บวกกับเสียงอึกทึกจากศึกสงครามที่ดังรอดผ่านช่องระบายอากาศ
บ่งบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ อาจเป็นห้องคุมขังนักโทษอย่างแท้จริง
เพราะมันมิได้เชื่อมกับเส้นทางแห่งเขาวงกตภายในห้องใต้ดิน

“เรา..” บุรุษจากต่างแดนกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พลางเงยหน้ามองข้อมือของตนที่ถูกพันธนาการด้วยกุญแจมืออันมีโซ่คล้องตอกตรึงไว้กับกำแพงหิน
“สถานการณ์กำลังวุ่นวายนัก มิอาจไว้วางใจผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากเซอร์ซีรับรู้ว่านายเหนือหัวฟื้นคืนสติ จึงมิรอช้าที่จะเอ่ยคำอธิบาย

“ก่อนหน้านี้กระหม่อมกับเคออสได้รับคำบัญชาให้ทลายที่ซ่องสุมตรงบริเวณเกาะเอลาโฟนิสิร่วมกับกองทัพครีตันประจำหุบเขาสมาเรีย เพียงแต่แรงระเบิดกลับสร้างความโกลาหลมิใช่น้อย และมันก็พอดีกับช่วงเวลาของศึกสงครามตรงบริเวณเกาะแห่งไฟ เจ้าหญิงแอริแอดเนจึงมีพระบัญชาห้ามมิให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐาน กระหม่อมจึงถูกทหารครีตันกลุ่มหนึ่งจับกุมด้วยข้อหาไส้ศึก”
“กระหม่อมเกรงว่าสถานะของพวกเรา คงจะถูกผู้อื่นล่วงรู้เข้าให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จากคำบอกเล่าของเซอร์ซีทำให้เธเซียสเข้าใจว่า การถูกคุมขังอาจมีสาเหตุมาจากความเท็จบางอย่างที่พระขนิษฐาทรงทราบมาจากไมซีเนียน ซึ่งจุดประสงค์ของฝ่ายนั้นแน่นอนว่าต้องการมิให้เธเซียสมีเกราะกำบังไว้คุ้มกันภัย เนื่องจากเหตุการณ์ลอบสังหารในเขตหุบเขาสมาเรียบ่งบอกได้ดีว่า สถานะของเธเซียสมิได้ง่ายดายต่อการกำจัด บวกกับสถานการณ์ของบ้านเมืองที่กำลังตกที่นั่งลำบาก การบัญชาการของเจ้าหญิงแอริแอดเนจึงได้รับความเห็นชอบจากองค์ราชินี ส่งผลให้ทหารบางส่วนกล้าที่จะยื่นมือเข้าไปจับกุมเซอร์ซี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเจ้าชายมิโนสเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่า..
ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธเซียส
พระองค์จะเป็นฝ่ายรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

“เช่นนั้นคลังอาวุธจะทำอย่างไร ?” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยถามด้วยความกังวล เนื่องจากเพลานี้เสียงอึกทึกจากศึกสงครามคล้ายกับอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก บ่งบอกได้ว่าการศึกอาจไล่กวดมาจนใจกลางเมือง เพียงแต่มิได้มีการใช้ ‘ไฟทะเล’ อีกต่อไป คาดว่าอากาศแปรปรวนอันเกิดจากสภาพอารมณ์ของมหาบุรุษแห่งครีตัน คงค่อย ๆ พัดพาให้เปลวไฟโหมกระหน่ำเริ่มมอดดับ
การสู้รบจึงต้องปรับเปลี่ยนมาใช้ของมีคม

“ขุนพลดิดะรัสเป็นผู้ดูแลพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบของเซอร์ซี เธเซียสก็ทำเพียงแค่ตอบรับในลำคอ พลางหรี่ตาลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากบริเวณท้ายทอยถูกของแข็งทุบตีจนได้เลือด ความชาเหน็บจึงเข้ามาทักทาย แต่กระนั้นก็มิอาจกระทำอันใดได้
“ตามความเห็นของกระหม่อมระเบิดมือใช้ได้ผลพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ปัญหาอยู่ตรงที่การศึกเกิดขึ้นเหนือการควบคุม” เซอร์ซีกล่าวอย่างจริงจัง คล้ายกับต้องการรายงานความคืบหน้าให้ผู้เป็นนายรับทราบ

“หมายความว่าอย่างไร ?” เธเซียสกดเสียงต่ำด้วยความใคร่รู้
“เดิมทีส่วนประสมของเชื้อเพลิงที่พระองค์คิดค้น มีเพียงกำมะถัน ปูนขาว และแนฟธา  แต่กระหม่อมกับเคออสค้นพบว่ายางสนและดินประสิวคือส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ส่งผลให้เปลวเพลิงค่อนข้างดับยาก และยังสร้างควันพิษจนทำให้น้ำตาไหลมิหยุดได้พ่ะย่ะค่ะ และถ้าหากนำส่วนประสมเหล่านี้ใช้ร่วมกับหัวฉีดแบบแรงดัน เปลวไฟคงโหมเข้าใส่ข้าศึกได้รุนแรงกว่าสิ่งประดิษฐ์ของชาวเอเธนส์และไมซีเนียนเป็นแน่” คำอธิบายของเซอร์ซีทำให้เธเซียสรู้สึกว่า อีกฝ่ายรู้จักอาวุธสงครามชนิดนี้มากกว่าผู้คิดค้น นับว่าเป็นข้อดี เพราะข้อมูลดังกล่าวอาจสร้างข้อได้เปรียบให้กับครีตัน เพราะการถูกยกทัพเข้าโจมตีอย่างกะทันหันล้วนมีแต่ความเสียเปรียบ ดังนั้นเธเซียสจึงมิถือว่าการให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้คือการกระทำอันผิดต่อไมซีเนียน
เพราะถึงอย่างไรทางไมซีเนียนก็นำความคิดริเริ่มของเธเซียสไปสบคมคิดกับเอเธนส์อย่างออกหน้า

“แล้วเหตุใดจึงกล่าวว่าการศึกเกิดขึ้นเหนือการควบคุม คงมิใช่เพราะว่าเจ้าชายมิโนสวางแผนกรำศึกโดยมิให้ศัตรูล่วงรู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงหมากโขยงหนึ่งที่กำลังวิ่งวนอยู่บนกระดานเกม..” เธเซียสเอ่ยถามอย่างกระตือร้น พร้อมมองจ้องไปยังเซอร์ซีแน่วแน่ ฝ่ายนั้นจึงพยักหน้ารับอย่างมิคิดปิดบัง เธเซียสจึงเริ่มจับประเด็นตั้งแต่การถูกตัดขาดจากโลกภายนอกของเซอร์ซี จนมีผลกระทบมาถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ จากนั้นไกจีสก็ถูกส่งตัวมายังครีตันในฐานะมือสังหาร ซึ่งเจ้าชายมิโนสก็ดูเหมือนจะเปิดช่องทางหลีกหนี เพื่อมอบโอกาสให้กับเจ้าหญิงผู้เลอโฉม และยังล่อลวงข้าศึกให้ก่อสงคราม ดังนั้นค่ำคืนที่มหาบุรุษแห่งครีตันหวนคืนสู่สถานะเดิม อาจมิใช่ความผิดพลาด
เหตุเพราะมิโนทอร์เกิดมาเพื่อปกป้องจักรวรรดิครีตัน หากการศึกยังมิอาจจบสิ้น ย่อมมิมีทางกลับกลายเป็นเจ้าชายมิโนส

‘ความลับ’ อันเปรียบเสมือนความเสียเปรียบของครีตัน จึงยิ่งนำพาให้ไมซีเนียนมีความมั่นใจที่จะยึดครองแผ่นดินทองคำ จึงหลอกล่อเจ้าชายผู้สูงศักดิ์เดินทางไปเยือนไมซีเนียนเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกัน และการร่วมมือกับชาวเอเธนส์ก็ยังสร้างความเชื่อมั่นต่อชัยชนะ ดังนั้นเสด็จพี่ลูซีอัสจึงลอบแฝงกายท่ามกลางราตรีกาล เพื่อไปสมทบกับกองทัพเรือที่เกิดจากความร่วมมือของไมซีเนียนและนครรัฐเอเธนส์
เหตุเพราะการเอาชีวิตมาทิ้งไว้ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ มิใช่เป้าหมายแท้จริง
และมิโนทอร์ก็มิได้มีใจจะกวาดล้างข้าศึกกลุ่มนั้น เนื่องจากบ้านเมืองกำลังได้รับความเสียหาย และอัสก็คงจะส่งเสียงเตือน

“เจ้ากับเคออสมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จนถึงขั้นแลกเปลี่ยนข่าวสารสำคัญเชียวหรือ ?” แต่แล้วเธเซียสก็หลุดออกจากภวังค์ จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เนื่องจากแผนการดังกล่าวอาจเป็นแผนการที่บุรุษผู้สูงศักดิ์ เริ่มสานต่อเมื่อครั้งที่ไปเยือนยังฐานทัพลับกลางหุบเขาสมาเรีย
จนกลายเป็นรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น   
“แน่นอนว่ามิได้เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวด้วยความกำกวม แต่กระนั้นเธเซียสก็มิคิดจะคาดคั้น เหตุเพราะ ‘คำยืนยัน’ จากปากเซอร์ซี ทำให้เธเซียสรู้สึกอึ้งทึ่งในความช่างวางแผนของเจ้าชายมิโนส ที่ค่อนข้างซับซ้อนและอาจจะควบคุมความอันตรายมิให้แผ่กระจายเป็นวงกว้าง ดังนั้นการสร้างเมืองใต้ดินถือเป็นการมองการไกลอย่างหนึ่ง เพราะวิธีการดังกล่าวคงจะมีขึ้นเพื่อรับมือกับนครรัฐเอเธนส์
เนื่องจากทั้งสองดินแดนต่างเต็มไปด้วยความบาดหมาง

“แต่คนเราจะสามารถควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามความประสงค์ได้จริงหรือ ?” บุรุษจากต่างแดนกล่าวอย่างเป็นกังวล พลางก้าวเดินไปยังช่องระบายอากาศอันเล็กแคบ เพื่อสังเกตความเป็นไปด้านนอก ส่งผลให้พันธนาการดึงรั้งข้อมือของเธเซียสจนเกิดบาดแผล แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมิคิดจะถอดใจ
ปลายเท้าเปลือยเปล่าจึงเขย่งขึ้นจนสุดแรง แต่ทว่าก็ยังมองมิเห็นความเป็นไปภายนอก

“เหยียบหลังกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีเอ่ยขัดการกระทำทุกอย่างด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนใจ เหตุเพราะสองมือของเขากำลังถูกพันธนาการ อย่างไรก็มิอาจใช้แผ่นหลังของอีกฝ่ายเป็นฐานเหยียบยืน
“ช่างทำอะไรเกินตัวเสียจริง” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางเดินกลับไปยืนที่ตำแหน่งเดิม
ทว่าคำพูดของเขามิได้บอกกล่าวเพียงตนเอง
แต่กลับเผื่อแผ่ไปถึงนักวางแผนอย่างเจ้าชายมิโนส

แต่แล้วจังหวะการเหยียบย่ำลงบนทางเดินประจำคุกหลวงก็เรียกร้องความสนใจจากสองบุรุษผู้ถูกคุมขัง ที่กำลังตั้งใจวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอกจากเสียงปะทะของอาวุธมีคม โดยฝ่ายหนึ่งคงจะเลือกใช้อาวุธเหล็ก ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งจำต้องใช้อาวุธสำริด เนื่องจากวิวัฒนาการทางด้านอาวุธสงครามต่างมีดีแตกต่างกัน

“สภาพของเจ้า มิน่าดูเอาเสียเลย” สิ้นดำรัสขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียน เธเซียสและเซอร์ซีจึงหันมาสบตากันโดยมิได้นัดหมาย ความงุนงงสงสัยก่อเกิด อีกทั้งความรู้สึกมิปลอดภัยก็เริ่มมาเยือน
“เหตุใดพระนางจึงมาเยือนที่นี่ได้หรือ ?” เธเซียสทูลถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แต่กระนั้นวาจาก็ยังคงนุ่มนวล เพราะการปฏิบัติกับอีกฝ่ายราวกับมินับเครือญาติ ย่อมสร้างความมิพอใจ

“คงเพราะความโง่เง่าของเบี้ยตัวหนึ่งกระมัง” หญิงวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาสะสวยกล่าวอย่างมีลับลมคมนัยที่สามารถตีความได้เพียง ‘เบี้ย’ ตัวนั้น คงจะเป็นเจ้าหญิงแอริแอดเน
“และเบี้ยตัวนั้นก็เป็นเพียงหญิงสาวผู้ไร้เดียงสาที่คิดจะใช้เราเป็นหมากบนกระดาน” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสพลางเสด็จเข้ามายังด้านในของห้องขัง ทันทีที่ทหารนายหนึ่งสะเดาะกลอน เธเซียสที่เผลอสบตากับเซอร์ซีจึงได้รับสัญญาณเตือนบางอย่าง ว่าบัดนี้ทหารครีตันถูกปรับเปลี่ยนเป็นทหารไมซีเนียนเพียงบางส่วน จึงเป็นเหตุให้เซอร์ซีถูกจับกุมจนมีสภาพมิน่าดูชม
ดังนั้นทหารกลุ่มดังกล่าวจึงมิได้เกรงกลัวต่อดำรัสของเจ้าชายมิโนส เหตุเพราะพวกเขามิเคยล่วงรู้

“พระนางเลยถือโอกาสตบตาอย่างแนบเนียนหรือ ?” เธเซียสในคราบของเจ้าชายฮาเดรียนกล่าวพลางแย้มยิ้ม พร้อมคาดเดาว่าเจ้าชายมิโนสคงจะวางแผนบางสิ่งบางอย่างด้วยการชักจูงองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนเข้ามาข้องเกี่ยว เพียงแต่เธเซียสยังมิเข้าใจจุดประสงค์แท้จริง
“เป็นเช่นนั้น แต่อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็จะรู้ความจริงว่าฝ่ายใดคือหมากในกระดาน” สุรเสียงวางอำนาจดังขึ้นอย่างรื่นรมย์ พลางลูบไล้ ‘แส้’ สำหรับลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเชื่องช้า พร้อมเยื้องย่างเข้ามาใกล้เธเซียส

“ว่าไปแล้ว.. เจ้ายังมีประโยชน์มากกว่ามารดาของเจ้าเสียอีก” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสอย่างเย้ยหยันพร้อมใช้ปลายแส้แตะตรงข้างแก้มของเธเซียสอยู่สองสามที ทว่าเจ้าชายฮาเดรียนกลับโกรธาจนเลือดขึ้นหน้า หยดน้ำลายจึงซ่านกระเซ็นไปทั่วดวงพักตร์งดงามของอีกฝ่าย แรงกระหน่ำจากการเฆี่ยนตีจึงส่งผลให้ผิวเนื้อปริแยก แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังคงจดจ้องด้วยความคับแค้น ฝ่ายเซอร์ซีกลับถูกพันธนาการด้วยชายร่างใหญ่ถึงสองนาย จึงมิอาจรีบรุดไปช่วยนายเหนือหัวดังใจหมาย
“มารดาของเจ้า นอกจากทำครัว ยังมีประโยชน์อันใดอีกบ้าง ?” สตรีสูงศักดิ์ตรัสถามด้วยสุรเสียงแข็งกร้าว พลางจับยึดใบหน้าของเธเซียสจนสร้างความปวดร้าว แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังคงแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง พร้อมกับฉีกยิ้มอย่างมิรู้สึกรู้สา

“เกรงว่าคำถามนี้ พระนางคงต้องทูลถามกับเสด็จพ่อ ว่าเหตุใดจึงทรงโปรดปรานเสด็จแม่ของกระหม่อมจนถึงขั้นแต่งตั้งให้เป็นองค์ราชินี ทั้งๆ ที่ เสด็จแม่เป็นเพียงหญิงชาวบ้านผู้ต้อยต่ำ แต่ในมุมมองของกระหม่อม คิดว่าสำหรับเสด็จพ่อ เสด็จแม่คงจะสูงส่งจนน่ายกย่องกระมัง” สิ้นวาจาแทงใจดำที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอดีต แส้เส้นยาวก็ตวัดลงบนผิวเนื้อของเธเซียสมิยั้ง ส่งผลให้ใบหน้าของบุรุษผู้ปากดีเริ่มบิดเบี้ยว
“ช่างน่าเสียดายที่พระนางลงแรงไปตั้งมากมาย แต่ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงยืนเคียงข้าง พร้อมโอบกอดตำแหน่งที่สู้ฝ่าฟันมาทั้งชีวิต จนปลายเท้าของพระนางเต็มไปด้วยหยดเลือดของผู้บริสุทธิ์” เธเซียสตะโกนก้องราวกับเสียสติ อาจเพราะเขากำลังใช้คำพูดคล้ายกับเข็มอันแหลมคมคอยทิ่มแทงอีกฝ่าย เพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บทางร่างกาย

“แต่อย่างน้อยเราก็เป็นคู่คิดที่เสด็จพ่อของเจ้าไว้วางใจทุกเรื่อง” สตรีผู้สูงศักดิ์แผดสุรเสียงดังก้อง ซึ่งความนัยดังกล่าวเธเซียสมิอาจโต้แย้ง เนื่องจากความฉลาดปราดเปรื่องและความเพียบพร้อมของอีกฝ่าย สามารถส่งเสริมความมั่นคงให้กับอาณาจักรไมซีเนียน ดังนั้นเหล่าขุนนางจึงพากันหนุนหลังจนทำให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ราชินีแห่งไมซีเนียน ทันทีที่เสด็จแม่สิ้นพระชนม์ เพราะเดิมทีพวกเขาก็มิได้ชื่นชมเสด็จแม่สักเท่าใด จึงมิแปลกที่ความไว้วางใจจากเสด็จพ่อที่มีต่อเธเซียสจะค่อยๆ ถูกลดทอน
“แม้กระทั่งใช้เจ้าเป็นเหยื่อล่อให้สัตว์ประหลาดวิ่งเข้ามาติดกับก็ยังเห็นดีเห็นงาม มิได้ห่วงใยอดีตบุตรชายที่เคยโปรดปรานสักนิด” ดำรัสของอีกฝ่ายสร้างความสะเทือนใจให้กับเธเซียสเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ความเคลื่อนไหวเริ่มหยุดนิ่ง คล้ายกับถูกตอกตรึงด้วยตะปูหมุดที่มิอาจมองเห็น

“ช่างน่าสงสารเสียจริง” ดำรัสสื่อความเยาะเย้ยถากถางยังคงส่งตรงมาถึงเธเซียส จากนั้นความเงียบกริบก็เริ่มรายล้อมรอบกาย นำพาให้เสียงอึกทึกจากภายนอกเข้ามามีอิทธิพลในคุกหลวง
“อีกประเดี๋ยวสงครามก็คงจบลง เอาไว้ข้าจะมาละเล่นกับเจ้าใหม่” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสพลางใช้พระหัตถ์ตีข้างแก้มของเธเซียสเพียงบางเบา ก่อนจะเยื้องย่างออกจากห้องคุมขังอย่างอ้อยอิ่ง
แต่แล้วสถานการณ์มิต่างจากดำรัสนั้นก็เริ่มก่อเกิด..

“กรรรรรรรรรรรรรร!” เสียงร้องคำรามของเจ้าชายมิโนสในคราบมิโนทอร์ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ จากนั้นสุ้มเสียงของฝ่ายครีตันก็เริ่มว้าวุ่น
“แอสเตเรียนถูกไฟเผา!” ถ้อยคำดังกล่าวแพร่สะพัดราวกับระลอกคลื่น อีกทั้งยังซัดสาดจนดวงใจของเธเซียสชาหนึบ สมองพลันขาวโพลนราวกับถูกแช่แข็ง เรี่ยวแรงพลันหมดลงอย่างง่ายดาย
เหตุเพราะ ‘วัยเยาว์’ อันแสนงดงามเพียงหนึ่งเดียวในปัจจุบัน
กำลังมลายหายไปกับเพลิงกัลป์

“ระดมยิงลูกศร! เร็ว!” สุ้มเสียงของผู้บัญชาการทหารครีตัน ตะโกนก้องอย่างเคร่งเครียด ทว่าทิศทางของความวุ่นวายกลับแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ราวกับไฟลามทุ่ง บ่งบอกได้ว่ากองทัพบกของครีตันอาจมีกองกำลังสำคัญอยู่หลายส่วน
แต่กระนั้นก็ยังมิอาจต้านทาน..

“เรากำลังเสียเปรียบ! ถอยทัพ!” เสียงก้องกังวานราวกับระลอกคลื่น นำพาให้จิตใจของเธเซียสแห้งเหี่ยว หยาดน้ำตาที่เคยคลอหน่วยกลับเริ่มไหลรินอย่างอ่อนล้า
เมื่อทุกสิ่งอย่างคล้ายกับพังลงตรงหน้า

“อ้อ.. บนดินยังวุ่นวายถึงเพียงนี้ มิรู้ว่าใต้ดินจะเป็นอย่างไร” ท่ามกลางเสียงกู่ร้องของทหารครีตันที่เต็มไปด้วยความเสียเปรียบ องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนกลับตรัสวาจาชวนหวาดหวั่น แววตาของเธเซียสจึงไหวระริกอย่างปวดร้าว
เพราะเขามิคาดคิดว่าแผ่นดินทองคำจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้อื่น

“เกรงว่าจะมิเป็นดังใจหวังพ่ะย่ะค่ะ เหตุเพราะไกจีสคงมิมีโอกาสได้นำทัพตามใจหมาย และคงมิมีโอกาสบอกกล่าวข้อมูลกับผู้ใด เพราะสิ่งที่เขาทำได้ มีเพียงโป้ปดเพื่อเอาตัวรอด และยังได้รับความดีความชอบเป็นกอบกำ” เซอร์ซีกล่าวอย่างสำบัดสำนวน ส่งผลให้หนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษเริ่มหวนคิดว่า...
จักรวรรดิครีตันมิคู่ควรกับความประมาท!

φ


[1] แนฟธา คือ น้ำมันดิน เป็นของเหลวสีดำที่ได้จากการกลั่นทำลายของสารอินทรีย์ เช่น ถ่านหิน ไม้ และน้ำมันดิบ ชาวกรีกและชาวตะวันออกกลางรู้จักของเหลวชนิดนี้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในด้านการศึกอีกด้วย

มาอัพต่อแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าทุกคนมองแผนการของแต่ละคนได้ชัดเจนขึ้นมั้ย ส่วนมิโนทอร์จะเป็นยังไงบ้าง บ้านเมืองจะตกเป็นของอีกฝ่ายหรือเปล่า ต้องติดตามตอนหน้าค่ะ และถ้าหากเป็นไปได้เราอยากให้ทุกคนช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยค่ะ ว่าเราแต่งเป็นยังไงบ้าง มันแย่ลงใช่หรือเปล่า เพราะช่วงนี้คนอ่านลดลงมากจากร้อยกว่าเหลือแค่หลักสิบ จนเรารู้สึกว่าเราคงยังทำได้ไม่ดีพอ ยังพยายามไม่มากพอ เขียนไปก็กลัวว่ามันจะไม่ดี จนตอนนี้เริ่มจะเข้าสู่ writer block แล้วค่ะ ตอนหน้าอาจจะช้าเล็กน้อย T^T

อยากบอกว่าคอมเมนต์ของทุกคนคือกำลังใจและความเชื่อมั่นของเราจริงๆ ค่ะ T[]T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2019 09:54:07 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 43

เธเซียสมิเคยรู้ตัวว่าตนเองเผลอคลุ้มคลั่งอย่างเสียสติ กระทั่งพบว่าข้อมือได้รับบาดเจ็บ แต่กระนั้นพันธนาการชั้นดีก็ยังเต็มไปด้วยคุณภาพ เสียงหายใจถี่กระชั้นจึงค่อย ๆ นำพาความคิดอันกระจัดกระจายกลับมาเป็นรูปร่าง ขณะเดียวกันเสียงสรวลขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียนก็เริ่มแห้งเหือด เพียงเพราะคำพูดของนายทหารอย่างเซอร์ซี
ความว้าวุ่นภายนอกจึงเป็นเพียงม่านหมอกที่มิได้แตกต่างกับควันพิษของภูเขาแห่งไฟ

ซึ่งเธเซียสจดจำได้ดีว่า ทุกคราที่ ‘มิโนทอร์’ ปรากฏกาย มักจะมีผลควบคู่ไปกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มิว่าจะเป็น แสงอัสนีแปลบปลาบ หรือแม้กระทั่งพายุฝนโหมกระหน่ำ เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นมักจะเกิดรอบ ๆ บริเวณที่มหาบุรุษเคลื่อนผ่าน ดังนั้นเปลวไฟจากอาวุธลับของฝ่ายตรงข้าม ย่อมมิมีทางแผดเผามหาบุรุษแห่งครีตัน เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเกราะกำบังอย่างหนึ่ง
หยาดฝนที่มิเคยตกทั่วฟ้า จึงทำหน้าที่มิต่างกับม่านหมอกตรงบริเวณเกาะแห่งไฟ เหล่าทหารของฝ่ายตรงข้ามที่มิได้ถูกสายฝนโปรยกระหน่ำ จึงช่วยกันป่าวประกาศจนข่าวสารดังกล่าวแพร่กระจายราวกับระลอกคลื่น
เหตุเพราะหลายผู้ที่ล่วงรู้ความจริง อาจมิมีโอกาสได้บอกกล่าว
จึงเป็นสาเหตุให้เธเซียสทราบความเป็นไปภายนอกได้อย่างชัดเจน

“เรื่องไกจีส..” เซอร์ซีเปิดปากพูด เมื่อทั่วบริเวณหลงเหลือเพียงบุรุษต้องโทษ และประโยคดังกล่าวก็เรียกความสนใจจากเธเซียสได้เป็นอย่างดี คล้ายกับเจ้าตัวเฝ้ารอคำอธิบายมานานแล้ว
“เท่าที่กระหม่อมทราบ เขาเป็นเพียงหมากบนกระดานเกมที่เป็นหนึ่งในแผนสำรองของเจ้าชายมิโนส” จากคำบอกเล่าของเซอร์ซีทำให้เธเซียสเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์คงจะวางแผนดังกล่าวมาเนิ่นนาน
และคงนานพอที่จะพอกพูน ‘แผนสำรอง’ มากขึ้นเรื่อยๆ

“ดังนั้นหนึ่งในเป้าหมายของเจ้าชายมิโนส คือการชะล้างข้อหา ‘ไส้ศึก’ ให้กับพระองค์” สิ้นคำพูดของเซอร์ซี เธเซียสก็คิดย้อนไปถึงสถานการณ์ตรงบริเวณห้องโถง ที่มีการเจรจาว่าความเกี่ยวกับสารลับของอาณาจักรไมซีเนียน ซึ่งวันนั้นทุกผู้ต่างคาดเดาว่า เธเซียสมีความสำคัญต่อฝ่ายตรงข้ามมิมากก็น้อย บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงใช้วาจาเต็มไปด้วยเหตุผล ชักจูงความคิดของเหล่าขุนนาง จนกระทั่งจดหมายเลือดเดินทางมาถึง ‘ความลับ’ ที่พระองค์เคยปกปิดจึงถูกเปิดเผย ส่งผลให้องค์ราชินียื่นคำขาดให้มีการแลกเปลี่ยนตัวประกัน เจ้าชายมิโนสจึงตัดพ้อด้วยดำรัสบางประโยคที่บ่งบอกได้ว่าสิ่งที่พระองค์พยายามกระทำกำลังจะไร้ความหมาย
ซึ่งสิ่งที่พระองค์เฝ้ากระทำ..
เธเซียสกำลังรับรู้มันจากปากของเซอร์ซี

“เพลานี้ไกจีสอาจถูกสังหารไปแล้วกระมัง” เซอร์ซีกล่าวพลางลุกขึ้นเดินวนเวียนไปมาภายในห้องขัง เนื่องจากเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่มิถูกพันธนาการ แต่กระนั้นการ ‘แหกคุก’ ก็มิใช่เรื่องง่าย
เพราะเขามิมีสิ่งอำนวยความสะดวกในเรื่องดังกล่าวติดตัว 

“หรือถ้าหากเขายังรอดชีวิต อย่างไรก็ต้องถูกตามล่าให้ถึงที่สุด เพราะเขาล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับเมืองใต้ดิน และยังล่วงรู้ตำแหน่งที่ตั้งของฐานทัพบก กลุ่มสังหารมิมีทางปล่อยเขาไว้” เธเซียสขมวดคิ้วด้วยความครุ่นคิด เนื่องจากติดใจอยู่หนึ่งคำ ซึ่งก็คือ ‘กลุ่มสังหาร’ เพราะถ้อยคำดังกล่าวกำลังบอกความนัยด้วยตนเองว่า..
เจ้าชายมิโนสตั้งใจล้อเล่นกับเหยื่อ
จนกระทั่งใช้งานเสร็จสิ้น จึงแต่งตั้งกลุ่มสังหาร

“เพราะสำหรับเจ้าชายมิโนส ศพของเขามีค่ายิ่งกว่าทองคำ” เซอร์ซีกล่าวพลางเงยหน้าสำรวจเพดานห้องขัง ราวกับต้องการจะมองหารูขนาดเล็กไว้รองรับน้ำฝนเพื่อดำรงชีพ เธเซียสจึงรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เนื่องจากมิมีอะไรตกถึงท้อง นับตั้งแต่ถูกจับตัวมาคุมขังอยู่ที่นี่
“เพราะเหตุใด ?” บุรุษจากต่างแดนเปิดปากถามเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงแห้งผาก

“หนทางเดียวที่จะทำให้พระองค์หลุดพ้นจากข้อหาไส้ศึก คงมีแต่การจัดหาซากศพของใครสักคน ที่มิอาจแยกแยะได้ว่าบุรุษผู้นั้นมีความเป็นมาอย่างไร เพื่อที่จะได้ตั้งแต่งให้เขากลายเป็นนักโทษคดีสงคราม ในนามของเจ้าชายฮาเดรียนแห่งไมซีเนียน” จากคำบอกเล่าของเซอร์ซี เธเซียสเริ่มเข้าใจความประสงค์ของเจ้าชายมิโนสมากขึ้น เพราะการที่มิอาจรับรู้ว่าซากศพดังกล่าวเป็นของเจ้าชายฮาเดรียนจริงหรือไม่ ช่องว่างแห่งการชะล้างมลทินก็ยังคงอยู่
และนั่นก็หมายความว่าเธเซียสมิอาจกลับไปเป็นบุรุษผู้มีชาติกำเนิดจากไมซีเนียนได้อีกต่อไป
ศึกสงครามจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อกระดานเกมตานี้

กระทั่งสงครามยุติ แต่กระนั้นการทำลายล้างของทหารเอเธนส์กลับยังมิจบสิ้น คล้ายกับเป้าหมายของพวกเขาคือสภาพอันย่อยยับมิต่างกับนครรัฐเอเธนส์ในอดีต ดังนั้นจักรวรรดิครีตันที่เคยเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด จึงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน กลิ่นไอฉุนจมูกจึงลอยลมรอดผ่านช่องระบายอากาศวันแล้ววันเล่า
ทว่าเธเซียสกลับรู้สึกว่า..
ความเงียบเชียบของครีตัน คล้ายกับภูเขาแห่งไฟที่กำลังรอวันระเบิด

“ออกมา!” สุ้มเสียงของทหารไมซีเนียนดังขึ้นพร้อมกับลูกกรงสำริดถูกเปิดออก โดยมีทหารนายหนึ่งปลดเปลื้องพันธนาการให้กับเธเซียส ก่อนจะใช้เชือกเส้นเดียวกับเซอร์ซีมัดข้อมือไว้ข้างหลัง พร้อมกับผลักดันให้นักโทษทั้งสองก้าวเดินออกจากห้องคุมขัง
ทว่าความรู้สึกหดหู่กลับแผ่กระจายเป็นวงกว้าง เมื่อภาพวาดเฟรสโกฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนสถูกทำลายจนมิเหลือชิ้นดี อีกทั้งเครื่องปั้นดินเผาลวดลายวิจิตรยังถูกตราหน้าเป็นของไร้ค่า เพลานี้เศษซากของมันจึงกระจัดกระจายไปทั่วพระราชวังนอสซัส
มิหลงเหลือความเจริญหูเจริญตาอีกต่อไป   

กระทั่งจุดหมายปลายทางปรากฏภาพของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในคนกลุ่มนั้นคือเหล่านางกำนัลและช่างฝีมือจากแขนงต่าง ๆ ในสภาพเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินและคราบเลือด กำลังถูกห้อมล้อมด้วยทหารจากไมซีเนียนและเอเธนส์ โดยมีองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนประทับอยู่บนกำแพงหินทรงเตี้ยที่กั้นเป็นราวสะพานสำหรับเชื่อมกับอาณาจักรของเหล่าคหบดีผู้มั่งคั่ง
ทว่าสายลมพลิ้วไหวที่เคยให้ความสดชื่น
ยังคงตกค้างด้วยกลิ่นของเขม่าควัน

“ถอยไป!” แต่แล้วความสนใจของเธเซียสก็หันมาจับจ้องความเคลื่อนไหวขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียน เหล่าทหารจึงแหวกวงล้อมอย่างพร้อมเพรียง ส่งผลให้เธเซียสมองเห็นเศษข้าวสาลีกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
แต่ทว่ากลับมีกลีบบัวที่ผ่านการตากแห้งปะปนอยู่ เธเซียสจึงก้มลงเก็บพร้อมพิจารณาอย่างถี่ถ้วน พบว่า ‘กลีบบัว’ ตากแห้งชนิดนี้คือพันธุ์ไม้จากอียิปต์ที่เคยเบ่งบานอยู่ในสระตรงบริเวณลานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

“ข้าจะถามพวกเจ้าอีกครา.. เมืองใต้ดินอยู่ที่ใด ?” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนกัดพระทนต์ด้วยความเจ็บแค้น พร้อมชักกริชด้ามยาวออกจากบั้นเอวของราชองครักษ์นายหนึ่ง สร้างความหวาดผวาให้กับเชลยสงครามฝ่ายครีตันเป็นอย่างมาก เนื้อตัวของพวกเขาจึงสั่นงันงก
“ตอบ!” เมื่อไร้ซึ่งคำตอบ พระนางจึงกระชากแขนบุรุษผู้หนึ่งพร้อมลั่นดำรัสอย่างเกรี้ยวกราด ทว่าดวงเนตรของพระนางกลับเต็มไปด้วยอัสสุชน หัวคิ้วของเธเซียสจึงขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
ทว่าความคิดยังมิทันตกผนึก
คมกริชก็สะบั้นลำคอของบุรุษผู้นั้นจนโลหิตซ่านกระเซ็น

จากนั้นเหตุการณ์ตรงหน้าก็คล้ายกับสงครามขนาดย่อม เมื่อองค์ราชินีคร่าชีวิตของพวกเขาอย่างบันดาลโทสะ ก่อนจะทรุดวรกายร่ำไห้ปานจะขาดใจ พร้อมคร่ำครวญโหยหาบุตรชายอันเป็นที่รัก เธเซียสจึงทราบความว่าเสด็จพี่ร่วมสายเลือดเพียงกึ่งหนึ่ง ถูกทหารครีตันลอบสังหาร เพลานี้เพลิงกัลป์ที่กำลังแผดเผาจักรวรรดิครีตันจึงค่อย ๆ มอดดับ
เพียงเพราะ ‘บัวอียิปต์’ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ

“ไป!” แต่แล้วทหารผู้ควบคุมนักโทษก็ไล่กวาดต้อนเธเซียสไปยังลานกว้างที่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทว่าสุดปลายสายตากลับมองเห็นขุนพลดิดะรัสในสภาพที่มิค่อยสง่าผ่าเผย เนื่องจากข้อมือถูกมัดไพล่หลังพร้อมนั่งคุกเข่าราวกับนักโทษ
และเมื่อก้าวเดินเข้ามาใกล้
พบว่าแววตาของเขากำลังเลื่อนลอย

กระทั่งเรียวขาถูกเตะให้ทรุดตัวลงกับพื้น ดวงตาจึงผละออกจากใบหน้าของขุนพลจากเกาะแห่งไฟ ขณะที่ริมฝีปากกำลังถูกบีบคั้นให้เปิดรับกลีบบัวอียิปต์ตากแห้งในปริมานมาก เธเซียสจึงออกอาการสำลักอย่างทุกข์ทรมาน แต่กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังมิหยุดการกระทำดังกล่าว
จากนั้นสมองก็เริ่มถูกสะกดด้วยอะไรบางอย่าง
ภาพหลอนเมื่อครั้งอดีตจึงเริ่มหวนคืน

“ขุนพลดิดะลัส..” เธเซียสอุทานอย่างสับสน เมื่อมองเห็นทหารไมซีเนียนจำนวนหนึ่งกำลังกลุ้มรุมทุบตีผู้เป็นมารดา แต่ทว่าเมื่อเธเซียสกระพริบตาเพียงคราเดียว กลับพบว่าผู้ที่ถูกทำร้ายกลายเป็นขุนพลดิดะรัส บุรุษจากต่างแดนจึงสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง แต่กระนั้นฤทธิ์เดชของบัวอียิปต์ก็นำพาให้เกิดภาพหลอน เพียงแต่ครานี้กลับเป็นภาพของเสด็จแม่ที่กำลังถูกห้อมล้อมด้วยราชสีห์
ขณะที่ในความเป็นจริงขุนพลดิดะรัสกำลังถูกคาดคั้นเกี่ยวกับเมืองใต้ดิน

“เสด็จแม่..” เธเซียสคลานสี่ขาเข้าไปหาภาพดังกล่าว พลางร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ โดยมิสนใจว่าข้อมือของเขายังคงถูกพันธนาการร่วมกับเซอร์ซีหรือไม่ ร่างของอีกฝ่ายจึงเซถลาไปตามเรี่ยวแรงของบุรุษผู้เป็นนาย ทว่ากลับถูกเหล่าทหารล็อกตัวไว้อย่างแน่นหนา แต่กระนั้นเธเซียสกลับสะบัดตัวจนสุดแรง เพียงแต่แรงของผู้ถูก ‘บัวอียิปต์’ เล่นงาน กลับมิต่างจากผู้ป่วยไร้สิ้นเรี่ยวแรง บุรุษผู้กำลังบอบช้ำจึงได้แต่สะอึกสะอื้น พร้อมกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เมื่อภาพที่เห็นคือภาพของราชสีห์ 3 ตัว กำลังฉีกทึ้งร่างของเสด็จแม่ เสียงหวีดร้องโหยหวนที่ยังคงติดตรึงจึงหวนคืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับถูกมีดกริชเสียดแทงจิตใจจนขาดวิ่น แววตาของเธเซียสจึงเหลือกโตอย่างควบคุมตนเองมิได้
กระทั่งสายตาสบกับวรองค์ของเสด็จพ่อที่ประทับอยู่บนบังลังก์ภายในอาคารของพระราชวังนอสซัส เธเซียสจึงสะบัดกายด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย พร้อมคลานเข่าเข้าไปหาผู้เป็นบิดาอย่างหมดสภาพ เพื่ออ้อนวอนให้อีกฝ่ายช่วยชีวิตเสด็จแม่ ทว่าองค์ราชาแห่งไมซีเนียนกลับเบือนสายพระเนตรหลีกหนี
เพียงครู่ก็เสด็จจากไป..
โลกทั้งใบของเธเซียสจึงพังครืนจนมิเหลือแม้กระทั่งเศษซาก

ส่งผลให้ความเจ็บปวดจากการถูกกลุ้มรุมทุบตีมิอาจเทียบเท่ากับความแหลกสลายของจิตใจ บุรุษผู้แสนเปราะบางจึงนอนงอตัวอยู่บนลานประกอบพิธีกรรม เมื่อทหารกลุ่มนั้นกำลังตั้งเป้าหมายมาที่เขา โสตประสาทจึงแว่วเสียงทวงถามเกี่ยวกับเมืองลับใต้ดิน ทว่าสมองของเธเซียสกำลังสับสน เนื่องจากภาพที่เขาเห็นคือชิ้นเนื้อของเสด็จแม่ที่ถูกฉีกทึ้งโดยราชสีห์
แล้วเหตุใดทหารเหล่านี้ จึงเอาแต่ถามไถ่เกี่ยวกับเมืองใต้ดิน
หรือแท้ที่จริงชิ้นเนื้อเหล่านั้น มิใช่ของเสด็จแม่..

ทว่ายังมิทันค้นหาคำตอบ บุรุษจากต่างแดนก็ถูกหิ้วปีกกลับไปยังห้องคุมขัง จากนั้นก็ถูกโยนทิ้งราวกับซากศพไร้ค่า เธเซียสจึงนอนแผ่หลาพร้อมกวาดสายตามองเพดานห้องขัง เรื่อยมาจนถึงช่องระบายอากาศ กำแพงหินอันโสโครก พื้นห้องอันเต็มไปด้วยฟางข้าวสุดแสนคันคะเยอ ก่อนจะหยุดสายตาแน่นิ่งลงบนร่างของทหารคนสนิทที่บัดนี้กำลังนอนเหม่อลอยไร้สติ
ความเงียบเชียบจึงก่อกำแพงอย่างแน่นหนา
คล้ายกับปิดตายความรู้สึกของบุรุษผู้ถูกฤทธิ์เดชของบัวอียิปต์ที่มีความร้ายกาจมิต่างกับฮัลกิล

บุรุษนักโทษนอนแผ่หลาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฟ้ามืดก็มิคิดขยับตัว แม้ว่าภายในห้องคุมขังจะมิมีแสงสว่างอันใด รวมไปถึงสุ้มเสียงของการก้าวเดินก็มิอาจเรียกสติหลุดลอยให้กลับคืนมา
คล้ายกับว่าเพลานี้ร่างกายกำลังตายด้านพร้อมความรู้สึก

“เธเซียส..” ทว่าเสียงกระซิบราวกับสายลมกำลังเหนี่ยวรั้งจิตใจอันเลื่อนลอยของบุรุษจากต่างแดน ร่างกายไร้ความรู้สึกจึงลุกขึ้นนั่งพร้อมมองตรงไปยังที่มาของเสียง แต่กระนั้นความมืดมิดกลับบดบังทุกสิ่งอย่าง จึงพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พร้อมสาวเท้าไปยังเบื้องหน้าด้วยความรวดเร็ว
“ชู่.. อย่าส่งเสียงดัง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงนุ่มนวล เมื่อเธเซียสกำลังคลุ้มคลั่งราวกับต้องการแหวกลูกกรงเพื่อกลับไปหาวัยเยาว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ขณะที่น้ำตายังคงไหลรินมิขาดสาย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินดำรัสดังกล่าว สองมือจับยึดลูกกรงสำริดจนเส้นเลือดปูดโปนพร้อมสะอึกสะอื้นจนแทบขาดใจ
ขณะที่เจ้าชายมิโนสกลับทำได้เพียงลูบไล้ฝ่ามือที่กำลังโผล่พ้นพันธนาการ

“มะรืนเราจะทวงทุกอย่างคืนกลับมา โปรดรอคอยสักนิด..”


φ


บทความที่เกี่ยวข้อง
- บัวอียิปต์ http://bit.ly/2miS8is

น้องเธเซียสเจ็บตัวอีกแล้ว ส่วนบัวอียิปต์เราเอามาใช้เป็นประโยชน์สักหน่อย พอดีเราอ่านเจอจากในทวิตแบบผ่านๆ เมื่อนานมาแล้วก็เลยคิดว่าน่าจะเอามาใช้กับนิยายได้ คือบัวอียิปต์จะมีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายกับอาการถูกสะกดจิตและหลอนประสาทค่ะ น้องเธเซียสเลยเกิดภาพหลอนเกี่ยวกับเรื่องของคุณแม่ T[]T
ส่วนแผนการขององค์มิโนสน่าจะกระจ่างบ้างแล้วว่าทำไมถึงต้องเก็บไกจีสไว้ ซึ่งเรื่องของเธเซียสคือแผนที่เจ้าชายมิโนสวางไว้นานแล้วค่ะ เรียกได้ว่าคิดวางแผนตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจเสี่ยงโชคกับน้องแล้วค่ะ แต่พอเกิดเรื่องของเจ้าหญิงก็เลยกลายเป็นผลพลอยได้

ปล. อยากถามว่าเราเขียนงงหรือเปล่าคะ และสำนวนของเราเป็นยังไงบ้าง คือเราบังเอิญไปเจอคอมเมนต์เกี่ยวกับเรื่องสำนวนแต่เป็นจากนิยายเรื่องอื่นของเราค่ะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 44

หลังจากฤทธิ์เดชของ ‘บัวอียิปต์’ เริ่มเจือจาง บุรุษผู้ต้องโทษจึงเอนพิงกำแพงหินโสโครก พลางยืดขาเป็นเส้นตรงพร้อมครุ่นคิดถึงสติสัมปชัญญะอันขาดหาย
แต่กระนั้นก็มิอาจแน่ใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนเองบ้าง

“กระหม่อมรู้สึกว่ากลีบบัวอียิปต์มีฤทธิ์เดชร้ายกาจ หากได้รับในปริมาณมาก อาจมิรู้ตัวเลยว่ากำลังเผชิญกับความฝันหรือความจริง หากอาศัยโอกาสนี้ปลิดชีพใครสักคนย่อมเป็นเรื่องง่าย” การวิเคราะห์ของเซอร์ซียังคงดีเยี่ยม เพราะเธเซียสเองก็คิดเช่นนั้น บวกกับเศษข้าวสาลีที่หล่นเกลื่อนกลาดปะปนไปกับกลีบบัวอียิปต์ตากแห้ง
ก็ยิ่งสอดคล้องต่อการคาดเดา

ซึ่งเหล่าทหารคงมิได้มีความพิถีพิถันต่อเรื่องการกิน จึงเป็นเหตุให้เกิดช่องว่างในการลงมือ โดยที่อาจจะมีใครสักคนรู้เห็นเป็นใจ และมิแน่ว่าอาจจะเป็นนางกำนัลจากฝ่ายใน หรือช่างฝีมือจากแขนงต่าง ๆ มิเช่นนั้นนางหญิงชั่วคงมิออกอาการบ้าคลั่งพร้อมสังหารโหดถึงเพียงนั้น
“กินเสีย!” แต่แล้วทหารกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามายังห้องคุมขังและหย่อนดอลมาเดซจำนวนสองห่อผ่านช่องว่างของลูกกรงสำริด สร้างความมิไว้วางใจให้กับบุรุษทั้งสองเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลายวันที่ผ่านมามิมีทีท่าว่าพวกเขาจะเมตตาปรานีให้อิ่มท้อง
แล้วเหตุใดเพลานี้จึงคิดอยากดูแลพวกเขาเยี่ยงนักโทษชั้นดี

“การศึกมิรู้ว่าจะยาวนานเท่าใด..” เซอร์ซีกล่าวพร้อมปัดเศษฝุ่นพลางลิ้มชิมดอลมาเดซเป็นฝ่ายแรก แต่ก็ยังมิมีปฏิกิริยาอันใดที่บ่งบอกถึงอันตรายแก่ชีวิต เธเซียสจึงกินอาหารมื้อแรกในรอบหลายวันอย่างตะกละตะกลาม ก่อนจะเริ่มน้ำตาซึมเมื่อนึกไปถึงมื้ออาหารริมหน้าผาที่เกาะแห่งไฟ จำได้ว่าวันนั้นท้องนภาเป็นสีแดงอมส้ม ดวงตะวันดวงใหญ่กำลังจะลาลับขอบฟ้า เกลียวคลื่นสีทองอร่ามงดงามจับตา
แต่ทว่ากลับจับใจยิ่งกว่า

จากนั้นภาพตรงหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นบริเวณด้านหลังของโรงผลิตลาเบินในยามราตรี สายฝนโปรยกระหน่ำพร้อมอสนีบาตฟาดฟันลงบนแผ่นดิน ราวกับเหล่าทวยเทพกำลังพิโรธ คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่เรือลำหนึ่งจนอับปาง กระทั่งทุกอย่างเริ่มสงบนิ่ง มหาสมุทรก็เผยร่างของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งที่ชาวครีตันเรียกกันว่า ‘แอสเตเรียน’ แต่แล้วเรื่องราวน่าอัศจรรย์ใจก็ปรากฏ เมื่อมหาบุรุษแห่งครีตันกลับกลายเป็นเจ้าชายมิโนสผู้งามสง่า
ทว่าห่าศรกลับพุ่งเข้าใส่บุรุษผู้นั้นจนพระฉวีเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต
ก่อนจมลงสู่ก้นสมุทร

“พระองค์!!!!” เธเซียสเอ่ยเรียกบุรุษผู้นั้นพลางเอื้อมมือไขว่คว้า ทว่าวรองค์ของเจ้าชายมิโนสกลับเลือนหายไปจากสายตา เธเซียสจึงตะเกียกตะกายไขว่คว้าท่ามกลางมหาสมุทรมืดมิด ขณะเดียวกันศีรษะของเขากลับเต็มไปด้วยหยดเลือด
เมื่อท้องทะเลในความคิด..
กลับเป็นเพียงกำแพงหินโสโครกในห้องคุมขัง

กระทั่งสติเริ่มหวนคืน เช้าวันใหม่ก็มาเยือน ทว่าทุกอย่างยังคงเงียบสงบ อาจเพราะห้องคุมขังไร้ซึ่งเวรยาม บ่งบอกได้ว่าการลอบสังหารข้าศึกบนผืนแผ่นดินครีตันกำลังประสบความสำเร็จ เมื่อทหารภายในพระราชวังมิได้มีความเข้มงวด ราวกับถูกเกณฑ์แรงงานเพื่อไปอารักขาความปลอดภัย หรืออาจจะถูกเกณฑ์ไปเพื่อการตั้งรับศึกหนัก
“น่าเสียดายที่เราทำมีดสั้นหายกลางทาง” เธเซียสรำพันพลางมองจ้องไปยังลูกกรงสำริดแน่นิ่ง เพราะเขากำลังมองเห็นทางรอดใกล้เพียงเอื้อม แต่ทว่ากลับมิอาจไขว่คว้า
วันเวลาจึงผันผ่านโดยเปล่าประโยชน์

กระทั่งเสียงเฮโลของผู้คนจำนวนมากร้องเรียกความสนใจ สองบุรุษภายในห้องคุมขังจึงพากันลุกขึ้นยืน โดยฝ่ายเซอร์ซีเลือกทรุดตัวลงกับพื้นเพื่อเป็นฐานรองรับให้กับผู้เป็นนาย เธเซียสจึงเหยียบแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนเต็มแรง แต่กระนั้นศีรษะของเขาก็ยังไม่โผล่พ้นช่องระบายอากาศ
“เราอาจต้องใช้ความรุนแรงสักหน่อย” เธเซียสกล่าวราวกับเป็นสัญญาณเตือน จากนั้นจึงกระโดดขึ้นสู่เบื้องบนพร้อมใช้ฝ่ามือเกาะเกี่ยวช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก พลางใช้สายตาสอดส่องความเป็นไปภายนอก พบว่าภายในตัวพระราชวังเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายของทหารไมซีเนียนและเอเธนส์

“ปิดกั้นทางน้ำ!” สุ้มเสียงเคร่งเครียดของนายทหารมากยศตะโกนก้องจนทั่วบริเวณ พลางชี้ไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของห้องใต้ดิน เธเซียสจึงอนุมานได้ว่า เจ้าชายมิโนสอาจจะซ่องสุมกองกำลังส่วนหนึ่งไว้ในห้องใต้ดินอันลึกลับ ซึ่งกองกำลังกลุ่มนั้นอาจจะมาจากหุบเขาสมาเรีย เหตุเพราะมีเส้นทางน้ำสายหนึ่งเชื่อมกับสายน้ำอันเป็นสถานที่แห่งการปลดปล่อยเชลยศึก อีกทั้งสายน้ำแห่งนี้ยังเชื่อมกับคูคลองน้ำทะเลเรียบเขตพระราชฐาน
“ปิดกั้นทางบก! เร็ว!” เสียงกระโชกของทหารอีกผู้ สั่งการพลางชี้ไปยังเบื้องหลังของตัวพระราชวังอันเป็นพื้นที่ป่าเขาลูกใหญ่ ดังนั้นเส้นทางดังกล่าวอาจเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังคนอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งกองกำลังกลุ่มนั้นคาดว่าอาจจะมาจากฐานทัพบกใจกลางหุบเขาภายในเขตเมืองอาคันส์ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีเส้นทางหนึ่งมุ่งสู่สะพานเชื่อมอาณาเขตของเหล่าคหบดีผู้มั่งคั่งและตัวพระราชวังนอสซัส

“ยุทธวิธีเช่นนี้ ดูมิใช่เจ้าชายมิโนสเอาเสียเลย” เธเซียสกล่าวพลางปล่อยตัวลงกับพื้นเบื้องล่าง พร้อมวิเคราะห์อย่างรู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายดี เนื่องจากการศึกครานี้ดูเปิดเผยและรุกฆาตมากเกินไป
ราวกับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงฉากบังหน้า

“อีกประเดี๋ยวเราสองอาจถูกลากเข้าสู่ความวุ่นวายเป็นแน่” เธเซียสคาดการณ์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจากก่อนหน้านี้สตรีผู้นั้นมักจะคาดคั้นว่า ‘เมืองลับใต้ดิน’ ของชาวครีตันอยู่แห่งหนใด คล้ายกับว่าดำรัสถามดังกล่าวมีความสำคัญต่อพระนางเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าเสด็จพี่ลูซีอัสอาจจะยังมิสิ้นชีพ ดังนั้นผู้เป็นบิดามารดาจึงพยายามดิ้นรนค้นหาสถานที่ดังกล่าว
ซึ่งในระหว่างการศึกล้วนเต็มไปด้วยความวุ่นวายและการห้ำหั่น สตรีผู้มากเล่ห์จึงคิดหาหนทางหนีทีไล่ให้กับตนเอง เพราะการยกทัพจับศึกแน่นอนว่ามิได้ใช้ทหารเพียงหยิบมือ ดังนั้นเมืองลับใต้ดินย่อมเต็มไปด้วยความอ้างว้าง ประสงค์ของพระนางจึงมิไกลเกินเอื้อม อีกทั้งความปลอดภัยก็ยังยั่งยืน
ทว่าความเป็นจริงกลับแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เหตุเพราะมิเคยมีผู้ใดไล่ตามแผนการของเจ้าชายมิโนสทัน

ดังนั้นต่อให้เพลานี้เธเซียสจะถูกลากคอออกจากห้องคุมขัง พร้อมถูกปลายกริชจ่อตรงบริเวณลำคอ เธเซียสก็มินึกกลัวว่าชีวิตจะหาไม่ ขอเพียงเดินทางไปถึงเมืองลับใต้ดิน ทุกสิ่งก็จะเริ่มง่ายดาย สองบุรุษจากห้องคุมขังจึงแยกจากกันเพียงชั่วคราว เนื่องจากองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนกำลังร้อนรน จึงมิมีเวลามาใส่ใจนายทหารเฉกเช่นเซอร์ซี อีกทั้งการสู้รบก็เริ่มเต็มไปด้วยความรุนแรง เพราะสองฝ่ายต่างก็มีฝีมือทางด้านการต่อสู้ ซึ่งหากเธเซียสมิได้ตาฝาด ตรงด้านหลังของตัวพระราชวังกลับเต็มไปด้วยฝูงสิงโต คล้ายถูกกวาดต้อนมาเพื่อการ ‘ล่า’ แต่ทว่าในความเป็นจริงราชสีห์กลุ่มนั้นกลับกลายเป็นกองทัพทหารครีตันที่สวมใส่หมวกหัวสิงโตทดแทนหมวกจากเขี้ยวหมาป่า เพลานี้เหล่าทหารจากไมซีเนียนจึงร่วมมือกับทหารจากเอเธนส์ สกัดกั้นมิให้ ‘เจ้าบ้าน’ บุกเข้าสู่ตัวพระราชวัง
แต่ทว่าฝ่ายที่เคยได้เปรียบกลับต้องเสียรู้ให้กับยุทธวิธีของเจ้าชายมิโนส
เหตุเพราะพวกเขานึกประมาทเกินไป จึงเทกำลังคนไปยังศึกทางน้ำ

“อย่าได้คิดตุกติก” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสด้วยสุรเสียงข่มขู่ เนื่องจากพระนางเริ่มสังเกตเห็นว่า เธเซียสกำลังอาศัยช่วงเวลาแห่งการไว้เนื้อเชื่อใจ เดินสำรวจความเป็นไปของสงครามในครานี้
“พระนางโปรดสงบจิตสงบใจสักนิดเถิด หากเชือดคอกระหม่อมตอนนี้ เกรงว่าเสด็จพี่ลูซีอัสอาจต้องสิ้นชีพอยู่ที่เมืองใต้ดินเฉกเช่นเสด็จพี่ไครสีสที่สิ้นชีพอยู่กลางมหาสมุทร” เธเซียสกล่าวอย่างเป็นต่อส่งผลให้พระหัตถ์ของสตรีผู้นี้กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

กระทั่งก้าวเข้ามายังห้องเก็บฟืน เธเซียสจึงยกกองไม้ที่วางทับทางเข้าสู่ห้องลับใต้ดินอย่างเชื่องช้า จากนั้นองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนก็ผลักไสร่างของบุรุษในกำมือลงสู่เบื้องล่าง ส่งผลให้สะโพกของเธเซียสเริ่มปวดร้าว เขาจึงรับรู้ได้ว่าเพลานี้สภาพร่างกายมิค่อยสมบูรณ์นัก เนื่องจากข้ามผ่านความทรมานหลากหลายรูปแบบมาหลายวัน

“รีบนำทางเสีย” หลังจากองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนไถลวรกายลงสู่พื้นเบื้องล่างโดยสวัสดิภาพ คบไฟกรุ่นกลิ่นน้ำมันละหุ่งก็โบกพัดไปมาอยู่ตรงหน้า เนื่องจากพระหัตถ์ของสตรีผู้นี้มิได้ว่างเว้นต่อการหยิบจับ เพราะหัตถ์ข้างซ้ายจำต้องถือคบไฟ และคล้องรอบลำคอของบุรุษคราวลูก ขณะที่หัตถ์ข้างขวากลับต้องกำชับมีดกริชในเชิงข่มขู่
เธเซียสจึงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า พร้อมเหลือบมองไปยังแสงไฟสีเหลืองนวลที่ยังคงแผ่ความร้อนระอุปะทะใบหน้า โดยจุดหมายปลายทางคือลานขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่มิอาจได้ยินเสียงสะท้อนของสตรี แต่กลับได้ยินเนื้อเสียงของบุรุษอย่างชัดแจ้ง
เพียงเท่านี้ชาวครีตันในเมืองใต้ดินคงจะพากันห้อมล้อมผู้บุกรุกจากต่างแดน

“พระนางมิคิดว่าตนเองประมาทเกินไปหรือ ?” เธเซียสทูลถามด้วยท่าทีแข็งกระด้าง ซึ่งมันก็พอดีกับระยะทางของเป้าหมายสิ้นสุดลง จึงมิจำเป็นต้องเลือกใช้ภาษาพื้นเมืองของชาวครีตัน
เพราะถึงอย่างไร..
ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับบุรุษในดวงใจของเจ้าชายมิโนส ผู้อื่นก็มิอาจตัดสินคดีความ
 
“ฮาเดรียน.. เรามิเคยคาดคิดว่าเจ้านึกอยากจะสนทนากับเรา เหตุใดเพลานี้ช่างมากความนัก” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสอย่างเย็นพระทัย เมื่อพระนางล่วงรู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายปั่นหัว
“อาจเป็นเพราะกระหม่อมคิดอยากใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อกระมัง” สิ้นวาจาของเธเซียสชาวเมืองครีตันก็พากันรุมล้อมผู้บุกรุกจากต่างแดน ขณะเดียวกันเธเซียสก็อาศัยจังหวะดังกล่าวผละกายออกจากวิถีอันตรายของเปลวไฟ ส่งผลให้ชาวบ้านโขยงหนึ่งรวบตัวเขาไว้ ส่วนฝ่ายองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนกลับต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ทว่ายิ่งขัดขืนกำลังคนก็เริ่มพอกพูน ส่งผลให้อาวุธในความครอบครองถูกอีกฝ่ายปล้นชิงจนหมดสิ้น
องค์ราชินีผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมจึงกลายเป็นเพียงเชลยศึกผู้จนตรอก

“มิน่าเชื่อว่าองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนผู้มากเล่ห์ จะถูกพลิกกระดานเกมอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้” เจ้าหญิงแอริแอดเนเยื้องย่างมายังบริเวณเกิดเหตุ พลางแย้มสรวลอย่างงดงาม
“หมายความว่าอย่างไร ?” สุรเสียงขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียนดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่ทว่าก็มิอาจกึกก้องทั่วเมืองใต้ดิน

“ศพของเจ้าชายลูซีอัสคงจะถูกเสด็จพี่มิโนสยกให้เป็นผลประโยชน์แก่สัตว์โลกกระมัง นางกำนัลของข้าช่างมิรู้ความเอาเสียเลย ถึงได้ทำให้พระนางเดือดเนื้อร้อนใจถึงเพียงนี้” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางสรวลอย่างเย้ยหยัน ขณะที่สตรีผู้สิ้นฤทธิ์กลับมองจ้องอีกฝ่ายแน่นิ่ง พระหทัยพลันถูกสุมด้วยเพลิงแค้น ทว่ากลับมิอาจกระทำการอันใดได้ เนื่องจากเพลานี้พระนางกำลังตกหลุมพรางจนเต็มเปา
“ด้วยเหตุนี้คงต้องยกความดีความชอบให้กับไส้ศึกผู้นี้กระมัง เราจึงมิต้องเหน็ดเหนื่อยในการแก้ต่าง” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสอย่างเกษมสำราญ เมื่อเล็งเห็นว่าสตรีตรงหน้ากำลังจนตรอกและเจ็บแค้นใจ มิต่างกับช่วงเวลาที่พระองค์รับรู้ว่าชาติบ้านเมืองกำลังจะแหลกสลาย เมื่อศัตรูยกทัพมาก่อนกำหนด และพระองค์ยังเป็นฝ่ายชักศึกเข้าบ้าน เพียงเพราะต้องการใช้สอยหญิงผู้แสนทะเยอทะยานเป็นหมากตัวหนึ่ง เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้อาจคุ้มค่ามหาศาล เพราะอีกฝ่ายได้รับการยกย่องทั้งจากขุนนางฝ่ายในและราษฎร์ชาวไมซีเนียน ซ้ำยังเป็นขวัญกำลังใจแก่กองทัพทหาร อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากองค์ราชาแห่งไมซีเนียน แต่กระนั้นการผูกสมัครรักใคร่ระหว่างหญิงยิ่งต่ำศักดิ์และองค์ราชากลับสร้างบาดแผลใหญ่หลวงต่อราชสำนัก ปมขัดแย้งจึงก่อเกิดเรื่อยมาจนกระทั่งบานปลายสู่การฆาตกรรม เจ้าหญิงผู้เลอโฉมจึงมองเห็นช่องโหว่ดังกล่าว
ทว่ากลับมิทันคาดคิด ว่าสตรีผู้นี้จะรักชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าสิ่งใด
จึงส่งผลให้เจ้าหญิงผู้อ่อนประสบการณ์ถูกตลบหลังจนเกือบจะเสียเรื่อง

เพลานี้เธเซียสและสตรีสูงศักดิ์จึงถูกพาตัวมากักขังราวกับเชลยสงคราม เพื่อใช้ในการต่อรองผลประโยชน์ ความอึดอัดจึงแผ่กระจายเป็นวงกว้าง เนื่องจากเดิมทีทั้งสองก็มิค่อยถูกตาต้องใจกันอยู่แล้ว ดังนั้นการร่วมชะตากรรมจึงมิอาจร้องเรียกความสามัคคี ฝ่ายบุรุษจึงเลือกนั่งตรงมุมในสุดฝั่งซ้าย ส่วนฝ่ายสตรีวัยกลางคนกลับเลือกประทับตรงมุมขวาติดลูกกรงเหล็ก
ขณะที่ด้านนอกกลับเต็มไปด้วยชาวครีตันหลากหลายครอบครัว กำลังนั่งทานมื้อค่ำอย่างเอร็ดอร่อย เธเซียสจึงรู้สึกขอบคุณความเมตตาปรานีอันมิบริสุทธิ์ใจขององค์ราชินีเป็นอย่างมาก เพราะดอลมาเดซทำให้เขาอิ่มท้องและยังทนทานต่อความอยากอาหาร

“มิน่าเชื่อว่าพระนางช่างเต็มไปด้วยพระราชอำนาจอย่างที่กล่าวอ้าง และค่อนข้างมีอิทธิพลต่อจิตใจของชาวไมซีเนียน” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสด้วยภาษาพื้นเมืองของชาวไมซีเนียน เห็นได้ชัดว่าการหลบหนีไปเข้าฝักฝ่ายกับไมซีเนียนได้รับการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี ซึ่งการตระเตรียมนั้นอาจเกิดในช่วงที่เจ้าชายมิโนสนำบุปผาไปมอบให้กับพระขนิษฐา
“แล้วเหตุใดที่ผ่านมาองค์ราชาถึงมองข้ามความสำคัญของพระนางเช่นนี้” ดำรัสบาดลึกของเจ้าหญิงผู้เลอโฉมกำลังสร้างความขุ่นมัวในพระหทัยขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียน แต่กระนั้นพระนางก็มิได้ตรัสอันใด นอกจากก้าวเดินไปตามการชักนำของทหารครีตัน
เธเซียสจึงได้รับผลประโยชน์จากบารมีของสตรีผู้นี้กลับคืนสู่อิสรภาพ

ซึ่งตลอดทางบุรุษจากต่างแดนกลับเอาแต่นิ่งเงียบ เพราะเขามิเคยย้อนมองจุดเริ่มต้นของปัญหา เนื่องจากตนเองเป็นฝ่ายเสียหาย ทว่าดำรัสของเจ้าหญิงแอริแอดเนกลับทำให้เขาฉุกคิดได้ว่า เดิมทีองค์ราชินีผู้นี้คือสายเลือดแห่งราชวงศ์ไมซีเนียนอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นเพียงปลายแถว แต่ก็นับว่ามีคุณสมบัติมากล้น เนื่องจากพระปรีชาสามารถค่อนข้างรอบด้าน เพราะได้รับการปลูกฝังเพื่อเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ดังนั้นการดำรงอยู่ในสถานะคู่หมั้นคู่หมาย ย่อมเป็นการปลูกฝังทางจิตใจให้คิดซื่อตรงต่อคู่ครองและชาติบ้านเมือง
กระทั่งวันหนึ่งเสด็จพ่อกลับถูกตาต้องใจเสด็จแม่ จนถึงขั้นแต่งตั้งเป็นองค์ราชินี โดยมิสนพระทัยต่อเสียงคัดค้านของผู้ใด เพลานั้นเธเซียสกับเสด็จพี่ไครสีส รับรู้ได้ถึงความรักของทั้งสองฝ่าย มุมมองที่มีต่อเรื่องดังกล่าวจึงเต็มไปด้วยความชื่นชมและเฝ้าใฝ่ฝันว่าคู่ครองของตนจะต้องเหมือนกับเสด็จพ่อที่มีแต่ความกล้าหาญและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง
แต่ในทางกลับกันความสวยงามของเรื่องราวทั้งหมด กลับเป็นเพียงความเลวร้ายสำหรับสตรีนางหนึ่ง

“ตรงหน้ามิใช่ที่ของเจ้า..” ทันทีที่เธเซียสเดินมาถึงจุดหมายและกำลังจะก้าวเดินเข้าสู่ลานกว้าง ที่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตรงใจกลางตัวพระราชวังนอสซัส เคออสกลับเป็นฝ่ายรั้งแขนของอดีตสหายสนิท จึงมีเพียงองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนเสด็จไปยังบริเวณดังกล่าวเพียงลำพัง ขณะที่เธเซียสกลับเดินขึ้นสู่ตัวอาคารตรงบริเวณที่ตั้งของพระราชบัลลังก์ที่ครั้งหนึ่งองค์ราชินีแห่งครีตันเคยนั่งทอดพระเนตรการละเล่นกับวัวกระทิง
ทว่าวันนี้กลับเป็นเจ้าชายมิโนสที่กำลังประทับอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่าผ่าเผย

“มิโนส! เหตุใดเจ้าจึงไร้สัจจะ” สิ้นดำรัสโต้เถียงของเสด็จพ่อ สายตาของเธเซียสจึงเบือนจากดวงพักตร์หวานละมุน กระทั่งพบว่าเสด็จพ่อถูกทหารครีตันคุมเชิงราวกับเชลยศึกมิไกลจากบริเวณราชบัลลังก์นัก
แต่กระนั้นก็ยังมิน่าตกใจเท่า..
กรงขนาดใหญ่สำหรับคุมขังราชสีห์ ถูกเข็นออกมาตรงบริเวณลานกว้างด้วยแรงงานจากทาสนูเบีย

φ

ใกล้จะจบแล้วค่ะทุกคนนนน อีก 2 ตอนเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนจะเข้าใจการกระทำของเจ้าชายมิโนสมากขึ้นหรือเปล่า แต่เรายังมีเฉลยต่ออีกค่ะ เฉลยจนกระทั่งจบเรื่องเลย ถึงจะเข้าใจกระจ่างแจ้งทั้งหมด ซึ่งสำหรับเราคิดว่าราชินีไมซีเนียนก็น่าสงสารอยู่นะคะ โตมาพร้อมกับความเชื่อว่าจะได้ครองคู่กับพระราชาไมซีเนียน แต่วันนึงกลับมีใครก็ไม่รู้ ด้อยกว่าเราทุกอย่าง แต่กลับได้รับโอกาสที่ควรเป็นของเรา แต่ก็นั่นแหละค่ะ เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ใช่เหตุผลที่จะเอาชีวิตผู้อื่น เรื่องนี้อาจจะทำให้เข้าใจยากสักหน่อย เพราะเราเลือกเขียนโดยใช้วิธีการตีความของเธเซียสก็จะมีทั้งส่วนที่ถูกและผิดปะปนกัน กว่าจะแน่ชัดก็ตอนที่สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นอีกเรื่องที่ต้องใช้สมาธิในการอ่านจริงๆ ค่ะ เพราะเราใช้วิธีเขียนแบบเดียวกับในป่าสนเลยค่ะ

ปล. ส่วนการรบเราอ่านเจอในบทความอิ้งว่า มิโนอันจะสวมหมวกหัวสิงโต หรือสัตว์ชนิดต่างๆ เพื่อใช้อำพรางตัวค่ะ เพราะเวลามองในระยะไกลจะทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นคนหรือเป็นสัตว์ แต่เราหาบทความหน้านั้นไม่เจอแล้ว T^T

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 45

เพลานี้ลานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ล้วนเต็มไปด้วยขุนพลจากครีตัน บ้างก็ยืนอารักขาอยู่ตรงราชบังลังก์ โดยสวมผ้าลินินสีดำห่มคลุมร่างกายมิต่างกับเจ้าชายมิโนส ส่วนทหารที่ประจำตามจุดต่าง ๆ บ้างก็สวมหมวกหัวสิงโต เพื่ออำพรางตัวเวลากรำศึก พร้อมถือทวนเหล็กตั้งตรงอย่างสง่าผ่าเผย หรือบางกลุ่มก็สวมหมวกทำจากเขี้ยวหมาป่า พร้อมถือทวนและโล่เหล็กห่อหุ้มหนังสัตว์อย่างน่าเกรงขาม
ขณะเดียวกันซากศพของทหารไมซีเนียนและทหารจากเอเธนส์ กลับนอนระเกะระกะปะปนไปกับศรเหล็กที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น คาดว่าพลธนูอาจซ่อนตัวอยู่ในมุมที่มองมิเห็น หยาดโลหิตจึงซ่านกระเซ็นเป็นวงกว้างจนทำให้พื้นหินแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงชาด
บ่งบอกถึงการกรำศึกที่ค่อนข้างหนักหน่วง
แต่ทว่ากลับมิถึงขั้นรุนแรง เนื่องจากการเจรจาต่อรองก่อเกิดขึ้นในภายหลัง

“เรามิได้ไร้สัจจะ เพียงแต่เราต้องการต้อนรับอาคันตุกะคนสำคัญ” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างนอบน้อม แต่กระนั้นดำรัสก็ยังเต็มไปด้วยพระราชอำนาจ บ่งบอกได้ว่าการศึกครานี้ พระองค์มุ่งหวังสถาปนาตนเองขึ้นเป็นองค์ราชันแห่งครีตัน ซึ่งองค์ราชินีก็มิอาจคัดค้าน เหตุเพราะสถานการณ์ย่ำแย่ถูกพลิกด้วยฝ่ามือเดียว
ฝ่ายได้เปรียบจึงกลับกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบในวันนี้

“ที่งานล่าสัตว์ พระองค์ยังจดจำได้หรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงนุ่มนวลและค่อนข้างให้เกียรติอีกฝ่ายอยู่มาก พลางแย้มสรวลเพียงนิด ฝ่ายเธเซียสจึงได้แต่ยืนนิ่งราวกับผู้โง่งม เหตุเพราะเขาคาดมิถึงว่าบุรุษในดวงใจนึกใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จนกระทั่งสืบรู้แน่ชัดว่าหญิงชั่วนางนั้นเคยกระทำสิ่งใดกับเสด็จแม่
“พระองค์อาจมิทันคาดคิดว่างานล่าสัตว์เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น เราจึงอยากให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้” สิ้นดำรัสอันบ่งบอกถึงการดึงตัวหญิงผู้นั้นมาเป็นหมากบนกระดาน เจ้าชายมิโนสก็ทรงยืนขึ้น การสอบสวนความผิดบริเวณกลางแจ้งจึงได้รับความสนใจจากทุกผู้ เมื่อโครนัสเป็นฝ่ายก้าวเดินมายังกรงขังราชสีห์ พร้อมโอบประคองผ้าผืนหนึ่งที่ภายในบรรจุเนื้อสัตว์
ส่งผลให้ราชสีห์ผู้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเริ่มคลุ้มคลั่ง
เมื่อมันได้กลิ่นของอาหาร

“การฝึกราชสีห์ให้เป็นผู้ช่วยฆาตกรมิยากนัก” เจ้าชายมิโนสตรัสขณะที่โครนัสกำลังฉีกเศษผ้าบางส่วนโยนเข้าไปในกรงขัง ซึ่งราชสีห์ผู้หิวโหยก็รีบตระครุบเหยื่ออย่างตะกละตะกลาม
“เห็นได้ชัดว่ามันถูกฝึกฝนให้เรียนรู้ ว่ากลิ่นของอาหารเป็นอย่างไร ?” บุรุษผู้มากเล่ห์ตรัสขณะที่เคออสเดินออกมาพร้อมกับเนื้อสัตว์ก้อนหนึ่งที่ไม่มีผ้าผืนใดห่อคลุม ก่อนจะโยนชิ้นเนื้อดังกล่าวเข้าไปในกรงขัง แต่ทว่าราชสีห์ตัวนั้นกลับมิสนใจอาหารโอชะ และเอาแต่ดอมดมเศษผ้ามิเลิกรา

“เมื่อทราบเช่นนี้ พระองค์มีความคิดเห็นตรงกันกับเราหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามเสด็จพ่อ เมื่อประตูกรงขังของราชสีห์ถูกเปิดออก พร้อมกับโครนัสที่โยนก้อนเนื้อห่มคลุมด้วยผ้าผืนหนึ่งขึ้นสู่เบื้องบน ราชสีห์ตัวใหญ่จึงกระโจนขึ้นสู่น่านฟ้าและโรยตัวลงมากัดกินเนื้อสดอย่างตะกลมตะกลาม เนื่องจากมันถูกกักขังโดยมีการกำหนดระยะเวลาของการให้อาหารอย่างละเอียด ซึ่งมันคือการสั่งสมความหิวโหย ก้อนเนื้อเพียงก้อนเดียวจึงมิอาจดับความหิวกระหาย
ราชสีห์ตัวเขื่องจึงหันหน้าเข้าหาองค์ราชินีแห่งไมซีเนียน พลางย่างก้าวอย่างเชื่องช้า ราวกับคอยสังเกตการณ์เหยื่ออย่างถี่ถ้วน เพราะกลิ่นกายของพระนางมิแตกต่างกับอาหารแสนโอชะ ฝ่ายองค์ราชินีผู้เก่งกล้ากลับก้าวถอยหลังพลางหาทางหนีทีไล่อย่างระมัดระวัง บ่งบอกถึงความกล้าหาญและความมีไหวพริบอันดีเยี่ยม
แต่กระนั้นการกระทำเลวร้ายในอดีตก็มิอาจลบล้างด้วยคุณสมบัติอันเพรียบพร้อมในปัจจุบัน

“หากพระองค์ปฏิเสธความจริง ได้โปรดตอบคำถามเราสักคำ ว่าเหตุใดราชสีห์ตัวนั้นจึงเมินเฉยต่อผู้อื่น ?” สิ้นดำรัสถามของเจ้าชายมิโนส เธเซียสจึงหันมองไปยังเสด็จพ่อที่เอาแต่ทอดพระเนตรไปยังสตรีผู้นั้นด้วยหัวใจหวาดหวั่น เนื่องจากความเงียบงันยาวนานกำลังถาโถม ความกังวลและความคาดหวังจึงผสมปนเปจนแทบแยกมิออก
“มิอาจได้รับการให้อภัย” วาจาของเสด็จพ่อราบเรียบ แต่ทว่ากลับแฝงไปด้วยความมั่นคง อาจเพราะพระองค์ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วว่าทุกสิ่งที่เคยสูญเสีย มิได้เกิดจากอุบัติเหตุ แต่ทว่ากลับเป็นการฆาตกรรม จึงมิจำเป็นจะต้องเมตตาปรานีผู้กระทำ หรือมิจำเป็นต้องเสวนาเหตุผลกับหญิงนางนั้น เพราะนางย่อมทราบความผิดของตนเองดี
หัวใจของเธเซียสจึงมิต่างกับได้รับน้ำหล่อเลี้ยงแห่งความอบอุ่นที่อย่างน้อยการตายของเสด็จแม่ก็ได้รับความยุติธรรมเสียที

ทว่าภาพการ ‘ล่า’ อันแสนโหดร้าย กลับมิอาจทำให้เธเซียสทนดูจุดจบของหญิงผู้นั้นได้อีกต่อไป เขาจึงทรุดตัวลงกับพื้นเพื่อใช้กำแพงหินบดบังม่านสายตา พลางยกมือขึ้นปิดใบหูทั้งสองข้าง เมื่อเสียงคำรามของราชสีห์ดังระงมไปทั่วบริเวณ แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสกลับปล่อยให้การค้นหาความจริงดำเนินต่อไป อาจเพราะถึงอย่างไรจุดจบของหญิงผู้นี้ คงมีได้เพียงการหยิบยื่นความตาย เนื่องจากการล่วงล้ำเข้าสู่เขตเมืองลับใต้ดินโดยมิได้รับอนุญาตก็มิต่างกับ ‘ไส้ศึก’ ที่แอบแฝงเข้ามาเก็บเกี่ยวข้อมูล
หากวันหน้าคิดอยากประกาศศักดา
ครีตันคงต้องโกลาหลวุ่นวายเพียงเพราะความเห็นใจ

“การศึกครานี้สร้างความเสียหายกับทั้งสองฝ่ายมิใช่น้อย เรามีความเห็นว่าอย่างไรก็ควรต้องเจรจากันสักหน่อย เชิญ..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางผายหัตถ์ไปยังเส้นทางที่มุ่งตรงสู่ห้องโถง ฝ่ายเสด็จพ่อจึงก้าวเดินไปตามการชักนำของทหารครีตันที่การแต่งกายคล้ายคลึงกับกองโจร ดังนั้นการสร้างความโกลาหลวุ่นวายทั้งจากทางบกและทางน้ำจึงถือเป็นฉากบังหน้า เพื่อให้ทหารอีกกลุ่มใช้ยุทธวิธีแบบกองโจรบุกเข้าสู่ตัวพระราชวัง โดยผ่านเส้นทางคดเคี้ยวของเมืองใต้ดินที่เชื่อมกับพระราชวังนอสซัส
ซึ่งพลกลุ่มนี้อาจเป็นพลธนูที่สร้างความเสียหายต่อฝ่ายตรงข้ามทางด้านกำลังคน

“ฮาเดรียน.. เจ้าเองก็ตามมาด้วย” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสทำให้ทุกอย่างราวกับหยุดเคลื่อนไหว เนื่องจากอีกฝ่ายมิเคยตรัสชื่อเสียงแท้จริงของตน ความห่างเหินดังกล่าวจึงนำพาให้จิตใจหวิวไหว
ทว่าดวงเนตรทรงอำนาจกลับไร้ซึ่งวี่แววแห่งความอบอุ่น

เพลานี้ภาพของพระปฤษฏางค์องอาจที่มักจะปกคลุมด้วยเกศาราวกับระลอกคลื่นจึงปรากฏอยู่ตรงหน้า ต่างกันแค่ความรู้สึกกลับห่างไกลเกินกว่าจะไขว่คว้า เนื่องจากสถานะแท้จริงของเธเซียสมิอาจถูกฝังกลบได้อีกต่อไป หัวใจจึงมิต่างกับกำแพงภาพวาดเฟรสโกอันทอดยาวที่เต็มด้วยร่องรอยของความเสียหาย
ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกหมองเศร้า

“เรามิขออ้อมค้อม เดิมทีเราเองก็หมายตาอาณาจักรไมซีเนียนเช่นกัน” ทันทีที่ก้าวเข้ามายังห้องโถง เจ้าชายมิโนสก็เสด็จไปยังพระราชบังลังก์พร้อมประทับอย่างสง่าผ่าเผย และตรัสถ้อยคำที่เธเซียสถึงกับมองจ้องนัยน์ตาของอีกฝ่าย
“แต่เราเองก็แค่หมายตา มิได้คิดทะเยอะทะยาน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางทอดพระเนตรมายังเธเซียส

“การศึกครานี้บ้านเมืองเราเสียหาย ส่วนกำลังคนของไมซีเนียนก็ย่อยยับ มิสู้ให้เราเข้ามาควบคุมการค้า ส่วนพระองค์ก็นำแรงงานทหารชั้นดีไปครอบครองมิดีกว่าหรือ ?” ข้อเสนอของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกได้ว่า แม้มิได้มีใจทะเยอทะยาน แต่หากมีโอกาสก็มิคร้านจะไขว่คว้า ซึ่งทางเลือกของไมซีเนียนก็มิได้มีมากนัก เนื่องจากสูญเสียกำลังทหารแทบหมดสิ้น หากมิตอบรับข้อเสนอ เกรงว่าไมซีเนียนอาจกลายเป็นแผ่นดินทองที่ผู้อื่นหมายตา เหตุเพราะไมซีเนียนก็ถือเป็นอาณาจักรหนึ่งที่ขึ้นชื่อทางด้านการค้า เพียงแต่มิได้เฉิดฉายมากเท่าครีตัน
“ข้อเสนอนี้ พระองค์มิจำเป็นต้องรีบให้คำตอบ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางส่งสัญญาณให้ราชองครักษ์ นำสุธารสมาถวายให้กับพระราชอาคันตุกะคนสำคัญ

“บุตรชายของพระองค์ ค่อนข้างเป็นผู้รอบรู้ ถือเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมือง เราจึงค่อนข้างหวาดระแวง เพราะหัวใจของเขามิต่างกับลำเรือที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร ทิศเหนือคือสถานที่ที่เขาต้องการเดินทางไป แต่ทิศใต้ยังมีคนผู้หนึ่งรอคอยเข้าอยู่ หัวใจของเขาจึงโคลงเคลงเหมือนกับเรือลำนั้น เพราะมิรู้ว่าท้ายที่สุดความซื่อสัตย์หรือวัยเยาว์จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเลือก” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสคล้ายกับคัดลอกมาจากความคิดของเธเซียส เพราะที่ผ่านมาเขารู้สึกเหมือนตนเองคือเรือลำหนึ่ง กระทั่งเหตุการณ์ลอบสังหารเกิดขึ้น ความลังเลมิแน่ใจก็เริ่มถูกปัดเป่า เรือลำนั้นจึงหักเหเข้าสู่ทิศใต้ เพราะวัยเยาว์อันเป็นความสุขอย่างแท้จริงในปัจจุบัน คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าควรค่าแก่การเก็บรักษา
“กบฏอย่างเขา คงมิจำเป็นต้องทำให้เราคิดจะตัดแข้งตัดขากระมัง..” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่าการติดต่อที่ขาดหาย มิใช่ความตั้งใจของบุตรชาย ผู้เป็นบิดาจึงเหลือบมองบุตรชายที่เอาแต่นั่งมองแก้วดินเผาลวดลายดอกลิลลี่แน่นิ่ง ขณะที่บุรุษจากต่างแดนกลับเต็มไปด้วยความสับสนทางจิตใจ เพราะวาจาดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ท้ายที่สุดยังบ่งบอกได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของเราต่างอยู่ภายใต้ความหวาดระแวง และก็มิรู้ว่าเป็นเพราะสถานการณ์พลิกผันใดหรืออย่างไร
เจ้าชายมิโนสจึงเลิกคิดฝันต่อการเก็บซ่อนเธเซียสไว้กับวัยเยาว์ของพระองค์

“สุธารสแก้วนั้น เรามิแน่ใจว่าปนเปื้อนด้วยยาพิษหรือไม่..” ทันทีที่เธเซียสยกแก้วน้ำลวดลายดอกลิลลี่ขึ้นจรดริมฝีปาก ดำรัสแจ้งเตือนจากเจ้าชายมิโนสก็ดังตามมา แต่ทว่าปลายลิ้นของเธเซียสกลับสัมผัสรสชาติแห่งความอันตรายเข้าเสียก่อน
“เราบอกกับพระองค์เพลานี้คงมิสายเกินไปกระมัง ?” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสยังคงนุ่มนวลมิแปรเปลี่ยน เพียงแต่บัดนี้ความตื่นตระหนกของเสด็จพ่อกลับอยู่ในความสนใจของเธเซียสเสียมากกว่า
แก้วดินเผาลวดลายวิจิตรจึงถูกปัดป้องจนกระทั่งแตกละเอียด

องค์ราชาแห่งไมซีเนียนพลันถลาเข้าโอบกอดบุตรชายอันเป็นที่รัก พร้อมร่ำไห้ปาดขาดใจ อาจเพราะพระองค์รู้สึกผิดต่อการกระทำที่ผ่านมา และยิ่งทราบว่าการตายของหญิงอันเป็นที่รัก ถูกซ่อนเงื่อนด้วยปมฆาตกรรมซึ่งวิธีการเดียวกับที่บุตรชายเคยบอกเล่า ความเสียใจอ้างว้างจึงยิ่งถาโถม เหตุเพราะพระองค์มิหลงเหลือผู้ใดที่เคยเป็นความทรงจำอันสวยงาม นอกจากบุตรชายในอ้อมกอด
ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียในครานี้ จึงซ้อนทับกับภาพของบุตรชายคนโต ซึ่งการออกเดินทางราวกับวาณิชในครานั้น ล้วนเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ดังนั้นความดูแลมิทั่วถึงจึงก่อเกิด ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกคราบุตรชายผู้งามสง่ากลับกลายสภาพเป็นซากศพลอยอืดอยู่กลางทะเล เพียงแต่ริมฝีปากของเขากลับฟูฟ่องด้วยน้ำลาย
และมีพยานรู้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า..
ไครสีสดื่มสุราจนเมามาย ก่อนจะพลัดตกลงสู่ทะเล

“เสด็จพ่อ.. เจ้าชายมิโนสทรงโป้ปดพ่ะย่ะค่ะ ” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงแห้งผากพร้อมมองตรงไปยังวรกายของเจ้าชายมิโนสที่เสด็จออกจากห้องโถง ขณะที่สองฝ่ามือกลับโอบกอดผู้เป็นบิดาอย่างปลอบประโลม
เนื่องจากสุธารสแก้วนั้น มิได้ทำให้ร่างกายรู้สึกราวกับจะลาลับ
แต่ทว่าคำบอกกล่าวนั้น กลับมิอาจทำให้ผู้เป็นบิดาวางใจ อ้อมกอดแห่งความอบอุ่นจึงยิ่งโอบรัดบุตรชายด้วยความหวงแหน

เมื่อข้อตกลงระหว่างกันสิ้นสุดลง การจากลาจึงเกิดขึ้นอย่างกะทันหันภายในสองวันให้หลัง เส้นทางที่ขนาบด้วยเสาสีแดงต้นใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของจักรวรรดิครีตัน จึงเป็นเส้นทางที่ใช้ระยะเวลาในการก้าวเดินเพียงมินาน กระทั่งเบื้องหน้าปรากฏภาพลำเรือขนาดกลางที่มีการสร้างหลังคาลวดลายวิจิตร สมแก่ฐานะของพระราชอคันตุกะคนสำคัญ จอดเทียบอยู่ตรงท่าเรือเรียบเขตพระราชฐาน ห้อมล้อมด้วยเรือลำเล็กลักษณะคล้ายหางแมงป่องจำนวนห้าลำ บรรทุกทหารฝีมือดีคุ้นหน้าคุ้นตาแทบทั้งสิ้น
มิว่าจะเป็น โครนัส เคออส หรือแม้กระทั่งราชองครักษ์ส่วนพระองค์ที่เคยเห็นหน้าค่าตาเพียงครั้งสองครั้ง แต่ก็น่าแปลกที่ขุนพลผู้เชี่ยวชาญทางน้ำอย่างท่านดิดะรัสมิถูกส่งตัวมาด้วย เพราะจากการวิเคราะห์แล้ว เหมือนกับเจ้าชายมิโนสหยิบยกทหารฝีมือดีจากฐานทัพต่าง ๆ มอบให้กับเธเซียส แต่ก็เป็นไปได้ว่า..
ขุนพลผู้เก่งกล้าอย่างท่านดิดะรัสอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส
ซึ่งเธเซียสก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็มิอาจแน่ใจ

ความเหนื่อยล้าจากการการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ นำพาให้เธเซียสล้มตัวลงนอนขดบนเรือลำเล็ก โดยมิสนใจเสียงต่อว่าของอดีตสหายสนิทแต่อย่างใด ฝ่ายนั้นจึงต้องยอมเลิกรา และทำหน้าที่เป็นพลเรือส่วนตัวให้กับเธเซียส แสงสุริยะเริ่มสาดส่องอย่างแรงกล้าจนทำให้เธเซียสจำต้องยกฝ่ามือขึ้นกลางอากาศ เพื่อใช้ร่มเงาของตนเองบดบังแสงสว่าง

“เหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงปลดปล่อยให้เรากลับไปเป็นฮาเดรียน ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะการกระทำดังกล่าวล้วนขัดแย้งต่อการทุ่มเท ซึ่งเธเซียสยังจดจำได้ดีว่าการแลกเปลี่ยนตัวประกันถือเป็นการกระทำที่ส่งผลให้ทุกอย่างสูญเปล่า ซึ่งเพลานี้ทุกอย่างกลับมิได้สูญเปล่า แต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ก็ยังเลือกจะปล่อยวาง ทว่ากลับมิได้ปล่อยใจเสียทั้งหมด
“ความสุขของเจ้ามีความสำคัญยิ่งต่อพระองค์” คำบอกเล่าจากเคออสนำพาให้ความคิดของเธเซียสดำดิ่ง พบว่าลึก ๆ ในใจยังคงเฝ้าฝันถึงวัยเยาว์ในวันวาน เธเซียสจึงมิรู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรต่อความเอาใจใส่แสนละเอียดอ่อนของเจ้าชายพระองค์นี้

ซึ่งแน่นอนว่าเดิมทีมหาบุรุษแห่งครีตันประสงค์จะเก็บซ่อนเธเซียสไว้ภายใต้เกราะกำบังของพระองค์ จึงวางแผนซ้อนแผนมาเนิ่นนาน แต่กระนั้นสงครามก็ถือเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะการจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ต้องเกิดเหตุการณ์อันแสดงถึงความปรีชาสามารถ และความพรั่งพร้อมต่อการปกครอง ดังนั้นแผนการคืนความไว้วางใจให้กับเจ้าหญิงแอริแอดเนจึงถือเป็นผลพลอยได้
อีกทั้งการเจรจาปรองดองตามเงื่อนไขที่ถูกหยิบยื่น ยังถือเป็นการยึดเหนี่ยวและอ้อนวอนมิให้ขาดการติดต่อราวกับมิเคยพบพาน ซ้ำยังถือเป็นการปลดปล่อยความหวาดระแวงระหว่างกัน อีกทั้งมิต้องคอยกังวลว่าศึกสงครามจะมาเยือนเมื่อใด
เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมที่มิอาจเป็นได้ดังใจหวัง แต่ก็มิแย่เกินกว่าที่คาดการณ์

“ดูเหมือนยังมีบางอย่างที่มิค่อยชัดเจนนัก ข้าคงต้องกลับไปเจรจาต่อรองอีกสักหน่อย”




φ


ตอนหน้าจบแล้วค่ะ ช่วงนี้เรารู้สึกว่าตัวเองเต็มตื้นกับงานเขียนแล้วจริงๆ เหลือแค่รอเวลาที่มันจะล้นแก้ว เราอาจจะเครียดหลายเรื่องด้วยมั้ง เลยเผื่อแผ่มาถึงงานเขียน เพราะเรารู้สึกว่าเราย่ำอยู่กับที่ ก็ไม่รู้ว่าจะไหวแค่ไหน หลังจากเรื่องนี้เราอาจต้องพักใจก่อน ถ้าไม่ถอดใจก็คงจะกลับมาเจอทุกคนอีกครั้ง

ปล. เราไม่รู้ว่าทุกคนอ่านงานเราเข้าใจหรือไม่เข้าใจ สนุกหรือไม่สนุก เพราะมันเงียบ มันว่างเปล่าไปหมด จนเรารู้สึกว่างานคงออกมาไม่ดีมั้ง แต่เราก็ทำเต็มที่แล้วล่ะ

ออฟไลน์ ปราญชลีกุ๊กๆ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่รู้ข้อความนี้จะถึงผู้แต่งไหม แต่หวังว่าจะถึงนะ
เราชอบงานเขียนของคุณมากค่ะ มันเป็นงานเขียนที่เรามองว่าดีที่สุดในรอบปี เรารับรู้ถึงการใส่ใจความตั้งใจของคุณ มันสือออกมาทางตัวอักษร คุณเปป็นคนมีความสามารถมากนะคะอย่าดูถูกตัวเองเลย คุณอาตตะไม่รู้ว่างานเขียนของคุณสร้างความสุขให้เราอย่างมากแล้วก็ให้ความรู้แก่เราด้วย อย่าให้ความรู้สึกแย่ๆมาทำลายความสามารถของคุณเลยนะคะ
ในฐานะผู้อ่านงานของคุณ เราต้องขอบอกว่า
ขอบคุณที่สร้างสรรค์งานดีๆให้เราได้อ่านนะคะ
มันมีความหมายกับเรามากจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 46

เมื่อตัดสินใจได้แล้วบุรุษผู้แสนมุทะลุก็มิคิดละล้าละลังอีกต่อไป เขาจึงลุกนั่งด้วยความรวดเร็ว ส่งผลให้ลำเรือโคลงเคลงราวกับจะอับปาง อดีตสหายสนิทอย่างเคออสถึงกับควันออกหู ริมฝีปากจึงต่อว่าต่อขานอย่างมินึกกริ่งเกรงในสถานะของอีกฝ่าย ที่เป็นถึงเจ้าชายผู้สูงศักดิ์แห่งไมซีเนียน แต่กระนั้นบุรุษจากต่างแดนก็หาได้สำนึกไม่ ซ้ำยังหัวเราะอย่างสดใส อาจเพราะเพลานี้เขามิใช่ลำเรือที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ เขาจึงสามารถพายเรือกลับสู่ทิศใต้ หรือมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือโดยมิต้องหวาดหวั่นว่าลำเรือจะต้องอับปาง
“ฝากเจ้าดูแลเสด็จพ่อให้ข้าด้วย” เธเซียสกล่าวย้ำพลางกระโจนลงสู่ผืนน้ำเย็นฉ่ำ ทว่าเสี้ยวหนึ่งในจิตใจกลับร้องเตือนว่าเขาควรจะทูลกับเสด็จพ่อเสียหน่อย เพราะถึงอย่างไรความน้อยเนื้อต่ำใจที่เคยมีก็ถูกชะล้างด้วยความอบอุ่นจากอ้อมกอดของบิดา และความหวาดกลัวราวกับจะสูญเสียก็บ่งบอกได้ว่า ลึก ๆ ในพระหทัยของเสด็จพ่อมิได้มองเขาเป็นเพียงฝุ่นควันอันไร้ค่า
เพราะการสังหารข้อหา ‘กบฏ’
คือฝีมือของนางหญิงชั่วผู้ลาลับที่ยื่นมือเข้ามาสอดจนเรื่องบานปลาย

ทว่าหาก ‘การสังหาร’ มิก่อเกิด เธเซียสก็อาจเป็นลำเรือที่ลอยโคลงเคลงอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร จนกระทั่งเสด็จพ่อค้นพบวิธีผลิตอาวุธสงครามอย่าง ‘ไฟทะเล’ ที่วางอยู่ในห้องหนังสือก็จะรับรู้ได้ทันทีว่า บุตรชายของตนอาจมิเป็นดังหวัง แต่ก็เฉลียวฉลาดมิแพ้ใคร เพราะหนังสือที่เขาอ่านเขียนล้วนเป็นตำหรับตำราที่เพิ่มพูนความรู้ ส่งผลให้เกิดความกล้าที่จะคิดนอกกรอบ
ดังนั้นหากเสด็จพ่อเรียกตัวกลับไมซีเนียน เพื่อสอบถามข้อมูลดังกล่าว แน่นอนว่าลำเรือที่เคยลอยเคว้งคว้างอย่างละล้าละลัง จะต้องรีบมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ..
พร้อมละทิ้งทิศใต้ไว้ในความทรงจำ
เหตุเพราะการมาเยือนห้องหนังสือของบุตรชายล้วนเกิดจากความคนึงหา

ทันทีที่บุรุษจากต่างแดนกระโจนขึ้นสู่ผิวน้ำ พร้อมว่ายตรงไปยังเรือลำหนึ่งที่มีหลังคากางกั้น และยังมีเหล่าทาสนูเบียทำหน้าที่ฝีพาย ซ้ำยังมีการอารักขาจากทหารครีตันเป็นจำนวนมาก บ่งบอกได้ว่าบุรุษวัยกลางคนที่ประทับอยู่บนเรือลำนั้น คือผู้สูงศักดิ์มากด้วยอำนาจบารมี ส่งผลให้การมาถึงของเธเซียสถูกต้อนรับด้วยทวนแหลมคม

“ทูลเสด็จพ่อลูกจะกลับไปเจรจาต่อรองกับเจ้าชายมิโนสเพิ่มเติมพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผู้แสนมุทะลุดีดตัวขึ้นสู่เบื้องบนพลางใช้สองมือเกาะเกี่ยวขอบเรืออย่างแน่นหนาพร้อมแย้มยิ้มฝืดเฝื่อนเมื่อได้พบสถานการณ์มิพึงประสงค์
“หากการเจรจาเรียบร้อยดีแล้ว ลูกจะรีบส่งสารกลับไปกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพร้อมพยุงตนเองมิให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำ เนื่องจากคลื่นลมค่อนข้างสูง ลำตัวของเธเซียสจึงเอนเอียนไปตามการชักนำ กระทั่งได้รับคำตอบจากบุรุษสูงศักดิ์ที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งมุงหลังคา ริมฝีปากของเธเซียสกลับคลี่ยิ้มอย่างกว้างขวาง
หัวใจพลันเต้นระรัวเมื่อเสด็จพ่อทรงขยับพักตร์เป็นเชิงอนุญาตโดยมิได้ถามไถ่
คล้ายกับความไว้วางใจถูกหยิบยื่นโดยมิต้องร้องขอ

ทว่าความอ่อนล้าทางร่างกายกลับมิอาจนำพาให้เธเซียสว่ายวนไปจนถึงฝั่งฝัน ร่างของเขาจึงค่อย ๆ จมดิ่งลงสู่เบื้องล่าง ขณะที่ริมฝีปากยังคงคลี่ยิ้มมิห่างหาย เดือดร้อนถึงเคออสที่จู่ ๆ ก็นึกเป็นห่วงอดีตสหายสนิท ลำเรือจึงหักเหไปยังคูคลองน้ำทะเลเรียบเขตพระราชฐาน ร่างของเธเซียสที่กำลังจมดิ่งจึงถูกฉุดรั้งขึ้นสู่เบื้องบน
เนื่องจากฟองอากาศที่ถูกปลดปล่อยกำลังบอกกล่าวสถานการณ์อันตราย

รู้ตัวอีกครารอบตัวก็ถูกห้อมล้อมด้วยความอบอุ่นจากผ้าลินินผืนหนา ภาพวาดเฟรสโกลวดลายท้องทะเลยังคงงดงามมิเสื่อมคลาย รูปปั้นบริวารของเจ้าแม่ยังคงติดตั้งในตำแหน่งเดิม ผ้าม่านลวดลายดอกลิลลี่ตรงบริเวณประตูระเบียงยังคงพลิ้วไหว อาจเพราะพื้นที่ส่วนนี้คืออาณาบริเวณสำหรับราชวงศ์
เหล่าผู้สูงศักดิ์จากไมซีเนียนคงต้องเคยจับจอง
สถานที่แห่งนี้จึงถูกละเว้น

แต่กระนั้นความรู้สึกคล้ายวันวานกลับมิย้อนคืน อาจเพราะแจกันดินเผาในห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส มิมีความอ่อนช้อยของบุปผาสีขาวบริสุทธิ์ประดับตกแต่ง
เนื่องจากสวนบุปผาถูกทำลายราวกับของไร้ค่า
มิต่างกับภาพวาดเฟรสโกและเครื่องปั้นดินเผาลวดลายวิจิตร

เธเซียสลุกนั่งพลางหย่อนขาลงจากตั่ง ความรู้สึกเมื่อยล้าหนักหัวก็เริ่มจางหาย อาจเพราะเขาได้รับการพักฟื้นอย่างเต็มที่ บุรุษผู้ดำรงตำแหน่งพระราชอาคันตุกะจึงก้าวเดินไปยังระเบียงด้านนอกที่มองเห็นเงาสะท้อนของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังชมจันทร์อย่างอ้างว้าง กระทั่งม่านลวดลายดอกลิลลี่ถูกเปิดออก โถคาร์เตอร์และแก้วน้ำจัณฑ์ก็ปรากฏอยู่ในกรอบสายตา

“เดิมทีเราคิดว่าค่ำคืนนี้ คงได้นั่งชมจันทร์พร้อมดื่มเหล้าองุ่นที่ทำร่วมกับเจ้าเพียงลำพัง..” เจ้าชายมิโนสตรัสทั้งที่ยังมิละสายพระเนตรไปจากดวงจันทร์สีเหลืองนวลที่ในวันนี้กำลังเปล่งประกายอย่างงดงาม
“รสชาติเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามพร้อมวางเรียวแขนลงบนขอบระเบียงและทอดมองไปยังเกาะธีราที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกสีดำทะมึน

“มิเลว” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางก้าวเดินไปยังมุมหนึ่ง เพื่อหยิบแก้วบรรจุน้ำจัณฑ์ส่งให้กับอีกฝ่าย เธเซียสจึงรับรู้ได้ว่าเจ้าชายมิโนสผสมเหล้าองุ่นในระดับหนึ่งต่อสาม เหมาะกับการเจรจาเป็นอย่างยิ่ง
“กระหม่อมจำได้ว่า การแลกเปลี่ยนตัวประกันถือเป็นการกระทำที่เสียเปล่า แล้วเหตุใดเพลานี้พระองค์ถึงยอมปลดปล่อยกระหม่อมออกจากเกราะกำบังพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยถามเรื่องราวที่ยังค้างคาใจ ขณะที่แววตายังคงจดจ้องดวงจันทร์บนท้องนภาแน่นิ่ง

“หลังจากถูกตลบหลัง เรากลับรู้สึกว่าต่อให้วางแผนเป็นอย่างดีแค่ไหน โอกาสพลาดพลั้งก็ย่อมมีสูง มิสู้เดินหน้าให้เต็มกำลังครานี้ แล้วหาทางปรองดองในภายหน้ามิดีกว่าหรือ ?”
“เราเชื่อว่าเจ้าคงมิอยากให้บ้านเมืองของเราต้องมารบราฆ่าฟันมิรู้จบ” เจ้าชายมิโนสทรงยืนเคียงข้างเธเซียสพลางเอื้อนเอ่ยอย่างแช่มช้า แต่ทว่าชัดแจ้งในความประสงค์ น้ำจัณฑ์รสชาติดีจึงยิ่งคล่องคอมากกว่าเดิม

“ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงยินยอมให้ทุกสิ่งที่เคยกระทำต้องสูญเปล่า ?” เธเซียสย้อนถามคล้ายกับยังมิได้รับคำอธิบายอย่างกระจ่างแจ้ง
“ขึ้นอยู่กับการเลือกสรรของเจ้า..” เจ้าชายมิโนสปฏิเสธพลางส่ายพระพักตร์

“เดิมทีเราอยากกักขังเจ้าไว้ข้างตัว โดยเลือกใช้ความหวาดระแวงของเสด็จพ่อเจ้าเป็นตัวขับเคลื่อน แต่หลังจากนั้นเรากลับค้นพบว่า ถึงตัวและหัวใจของเจ้าจะอยู่กับเรา แต่ก็มิมีความสุขมากเท่าที่เราอยากให้มี เราจึงคืนความไว้ใจของเสด็จพ่อให้กับเจ้า และทวงคืนความยุติธรรมที่เจ้าใฝ่หา ภาพที่เราเห็นจากห้องโถงในวันนั้น ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่ตัดสินใจมันคุ้มค่าแล้ว ต่อให้เจ้าจะโกรธเคืองเพราะความใจดำที่เราทอดทิ้งให้เจ้าต้องถูกทำร้าย หรือคิดใช้คนรอบข้างเป็นหมากบนกระดานมาก เราก็น้อมรับแต่โดยดี” เจ้าชายมิโนสตรัสโดยมิยอมมองหน้าบุรุษในดวงใจ อาจเพราะลึก ๆ พระองค์คงมิสบายพระทัยนักที่ต้องปล่อยให้เธเซียสเผชิญหน้ากับความทรงจำอันเลวร้าย จนเกิดอาการคลุ้มคลั่งและได้รับบาดเจ็บ แต่กระนั้นพระองค์ก็ทำได้เพียงทอดทิ้งอีกฝ่ายไว้ข้างหลัง และเดินหน้าสู่แผนการต่อไปอย่างแน่วแน่
“สิ่งที่พระองค์กระทำนอกจากจะเป็นการสงบศึกบ้านเมืองของเราในระยะยาวแล้ว ก็ล้วนแต่ทำเพื่อกระหม่อมทั้งสิ้น หากจะโกรธหรือเกลียดแน่นอนว่าคงทำมิลง และมิมีเหตุผลมากพอที่จะรู้สึกเช่นนั้น” เธเซียสกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาเข้าใจความคิดและการกระทำของอีกฝ่ายอย่างชัดแจ้ง ซึ่งการทำสงครามแม้บ้านเมืองจะได้รับความเสียหาย แต่ทว่ากลับมิได้กระทบถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองครีตัน เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงตระเตรียมแผนการรับมือไว้นานแล้ว
ส่วนกำลังทหารของฝ่ายตรงข้ามคงต้องให้คำจำกัดความได้เพียงว่า ‘รนหาที่ตาย’
เพราะจักรวรรดิครีตันมิเคยริเริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด

“ต่อแต่นี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับความไว้วางใจที่ได้รับกลับคืน” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางจิบน้ำจัณฑ์เพียงนิด
“กระหม่อมคงจะเริ่มเรียนรู้ราชกิจอย่างจริงจัง และอาจต้องกำจัดสายสนกลในขององค์ราชินีให้หมดสิ้น” เธเซียสบอกกล่าวแผนการข้างต้น ซึ่งก็ดูยิ่งใหญ่เกินความสามารถ

“เราเชื่อว่าเจ้าจะเฉิดฉายด้วยความสามารถที่ผู้ใดก็ต้องยอมรับ พอถึงวันนั้นหากเราสองเห็นพ้องต้องกันว่า การหลอมรวมวัฒนธรรมถือเป็นการสร้างความแข็งแกร่งและแผ่ขยายอาณาเขตให้กว้างไกล วันนั้นเราสองค่อยมาเจรจากันอีกครั้ง เจ้าคิดเห็นตรงกับเราหรือไม่ ?” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสคล้ายกับวางแผนอนาคตร่วมกัน ข้างแก้มของบุรุษจากต่างแดนจึงแดงก่ำอย่างมิทันตั้งตัว
“สำหรับกระหม่อมเจรจาคราเดียวก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่นัยน์ตายังคงจดจ้องพระจันทร์ดวงงาม

“เราจะรอวันนั้น..” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนสพระอังสาก็แนบชิดลาดไหล่ของเธเซียส บ่งบอกได้ว่าเพลานี้เราสองยืนอยู่เคียงข้างกันมากแค่ไหน ริมฝีปากของทั้งคู่จึงคลี่เป็นรอยยิ้มอย่างงดงาม
“สำหรับกระหม่อมแล้ว..” หลังจากความเงียบปกคลุมรอบกาย เธเซียสจึงเป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศดังกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางจ้องมองเสี้ยวพระพักตร์ของบุรุษข้างกาย

“นอกจากพระองค์จะเป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน..” สิ้นประโยคดังกล่าวดวงพักตร์หวานละมุนที่เคยจ้องมองดวงจันทร์กลับสบใบหน้าคมเข้มของบุรุษในดวงใจแน่นิ่ง คล้ายกับรอคอยประโยคต่อไปอย่างใจจดจ่อ
“…”

“พระองค์ยังเป็นมหาบุรุษสำหรับกระหม่อมด้วย” ถ้อยคำราวกับบอกรักแสนอ้อมค้อม นำพาให้ดวงหทัยของผู้ฟังเริ่มหวิวไหว อาจเพราะคำว่า ‘มหาบุรุษ’ คือถ้อยคำที่มีความหมายยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนคำชื่นชมที่แสนมีค่า
และยังบ่งบอกได้ว่า ‘ความแตกต่าง’ จากการถูกสาป
มิใช่เรื่องน่ารังเกียจ

“คำชมเชยของเจ้า มักทำให้หัวใจของเราอิ่มเอม” บุรุษสูงศักดิ์ตรัสพลางหันวรกายเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมใช้พระหัตถ์ลูบไล้เรือนผมนุ่มเรื่อยมาจนถึงปรางแก้ม ขณะที่พระโอษฐ์กลับแย้มสรวลไปถึงดวงเนตร ความเงียบสงบหวามไหวจึงนำพาให้เสี้ยวหน้าของทั้งคู่ค่อย ๆ แนบชิด กระทั่งระยะแห่งการมองเห็นเริ่มรางเลือน สัมผัสนุ่มละมุนจึงอุ่นซ่านไปถึงหัวใจ
สองขาพลันก้าวถอยหลังอย่างสมัครสมาน ความสนใจในรสชาติเหล้าองุ่นเริ่มถูกลดทอน แก้วน้ำจัณฑ์ลวดลายดอกลิลลี่จึงถูกวางทิ้งไว้ข้าง ๆ โถคาร์เตอร์ที่มีแผ่นน้ำแข็งบางเฉียบเคลือบผิวน้ำ สุ้มเสียงของรสสัมผัสคล้ายกับร้อนแรงราวอุณหภูมิของทะเลทรายในจักรวรรดิอียิปต์ แต่ทว่าความอุ่นนุ่มของผ้าลินินที่รองรับแผ่นหลัง กลับทำให้เธเซียสรู้สึกหายใจมิทั่วท้อง

“นับแต่นี้เราจะมิปล่อยให้เจ้าได้รับบาดเจ็บแม้กระทั่งรอยขีดข่วน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางลูบไล้รอยแผลเป็นจากการถูกลอบสังหารและถูกควบคุมด้วยสิ่งเสพติดจำพวก ‘บัวอียิปต์’ ตากแห้ง
“เช่นนั้นพระองค์คงต้องหาผู้ช่วยที่มีคุณสมบัติพิเศษดังเช่น ‘อัส’ กระมัง” เธเซียสกล่าวในเชิงหยอกเย้า พลางลูบไล้ปรางแก้มของบุรุษในดวงใจราวกับต้องการปลอบประโลมว่า บาดแผลเพียงแค่นี้ มิอาจทำให้ตนนึกใส่ใจ

“มิต้องห่วง เราส่งเคออส โครนัส และคนอื่น ๆ ไปทำหน้าที่แล้ว” สุรเสียงทุ้มนุ่มตรัสในลำพระศอ เมื่อโอษฐ์หนาจุมพิตไปตามบาดแผลคล้ายกับต้องการลดทอนความเจ็บปวดในอดีต อันมีสาเหตุมาจากพระองค์
“วันหน้าหากกระหม่อมโอบอุ้มไมซีเนียนด้วยสองแขน และเหยียบยืนด้วยสองขาโดยมิมีผู้ใดคัดค้าน”  บุรุษจากต่างแดนเอื้อนเอ่ยพลางขยับตัวให้ความร่วมมือต่อการปลดเปลื้องพันธนาการเบื้องล่าง

“เราสองจะช่วยกันหลอมรวมวัฒนธรรม และการเจริญเติบโตทางด้านการค้า..” สุ้มเสียงของเธเซียสเริ่มสั่นไหว เมื่อช่วงล่างถูกชะโลมด้วยน้ำมันมะกอกแสนเหนอะหนะ และยังถูกรุกรานสู่ภายใน
“เหมือนกับ..” เธเซียสหอบหายใจพลางบิดเร้ากายอย่างเสียวกระสัน เมื่อภายในเริ่มร้อนรุ่ม รูปประโยคที่ควรจะพูดได้อย่างคล่องปากจึงพลันติดขัด แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมีความตั้งใจอันเปี่ยมล้น
แม้ว่าเพลานี้เนื้อตัวจะไหวเอนไปตามการชักนำของเจ้าชายมิโนส

“เหมือนกับช่วงเวลานี้ ที่เราหลอมรวมเป็นหนึ่ง..” บุรุษจากต่างแดนขยับริมฝีปากราวกับจะพูดก็มิพูดอยู่หลายครา เมื่อจังหวะการเคลื่อนไหวของช่วงล่าง คล้ายกับระลอกคลื่นของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในยามที่พายุโหมกระหน่ำ ก่อนจะกลับกลายเป็นนุ่มนวลราวกับแสงสุริยะแรกแย้ม ประโยคอันแสนยากเย็นจึงสามารถเอื้อนเอ่ยได้มิยาก
“เราจะรอวันนั้น เพราะเราเชื่อมั่นในตัวเจ้า..” สิ้นดำรัสชวนอุ่นใจ จุมพิตแห่งความหนักแน่นก็นำพาให้เธเซียสจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อพายุเริ่มโหมกระหน่ำอย่างมิมีทีท่าว่าจะหยุด
แต่กระนั้นเธเซียสก็มินึกหวาดกลัว
อาจเพราะมหาบุรุษแห่งครีตันกำลังโอบอุ้มอย่างทะนุถนอม สลับกับกลั่นแกล้งอย่างร้อนแรงราวกับไฟทะเล


φ จบบริบูรณ์ φ


-------------------------------------------

เรื่องนี้เราเขียนจบตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วค่ะ แต่รู้สึกว่ามันยังไม่ลงตัวสักที และตอนจบแบบนี้ก็ไม่แน่ใจว่าทุกคนจะโอเคหรือเปล่า แต่สำหรับเราทุกตัวละครในนิยายเหมือนเค้ามีชีวิตและมีโลกของตัวเองให้ดำเนินต่อไป มันอาจจะไม่สวยงามและสมบูรณ์แบบมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับความรักของทั้งคู่ เพราะบ้านเมืองก็ไม่ต้องคอยมารบราฆ่าฟันกันอีก และที่สำคัญเธเซียสยังได้รับความไว้วางใจคืนจากเสด็จพ่อตามที่เคยใฝ่ฝัน มันก็ดีที่สุดแล้วสำหรับทั้งสองคน
นิยายเรื่องนี้มี สนพ. ติดต่อมาแล้วนะคะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะผ่านพิจารณาตอนช่วงประชุมใหญ่หรือเปล่า ถ้าหากมีอะไรคืบหน้าเราจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง แต่เบื้องต้นเราวางแผนสำหรับตอนพิเศษเอาไว้แล้ว เราเชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินสงครามกรุงทรอย และม้าไม้โทรจันเนอะ เราจะเอาเหตุการณ์นี้มาใส่ในตอนพิเศษให้ได้อ่านกันค่ะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสงครามระหว่างไมซีเนียน (พวกเอเคียน) กับกรุงทรอยนั้น ไม่ได้เกิดจากการแย่งชิงสาวงามจากนครรัฐสปาตาร์เหมือนในตำนานแต่อย่างใด แต่มันเกิดจากการต้องการขยายอำนาจทางการค้าขายของไมซีเนียนค่ะ เพราะเดิมทีไมซีเนียนทำการค้าขายด้วยการรุกราน ต่างกับครีตันที่ทำการค้าอย่างสงบ และใช่ค่ะ ภูเขาไฟบนเกาะธีรายังไม่ทันระเบิด ตอนพิเศษก็จะมีเหตุการณ์นี้แหละ เดี๋ยวยังไงเราจะลองดูอีกทีว่าพล็อตอันใหญ่โตนี้ของเราจะมาลงเป็นตอนพิเศษปิดท้ายเรื่องยังไงดี T^T

ปล. เราขอบคุณสำหรับกำลังใจของทุกคนเลยนะคะ พูดตรงๆ ว่าหลังจากวันนั้นที่เคยคิดว่าคงต้องเลิกเขียนก็นั่งนอยด์จนน้ำตาไหลไปเหมือนกัน สุดท้ายเราก็คงสู้ต่อไปแหละ เพราะการเขียนมันคือสิ่งที่เรารัก และเราก็ตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าเราอยากเขียนนิยายที่ให้อะไรกับผู้อ่าน และเราอยากเขียนนิยายที่ได้คุณภาพมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมา 10 กว่าปีตอนเราเขียนฟิค เราก็เลือกเขียนแต่ฟีลกู๊ด เฮฮา กวนๆ มาตลอด มันเหมือนเราอิ่มตัวกับแนวนั้น หรือบางทีเราอาจจะโตขึ้นมาก มุมมองเราเลยเปลี่ยนไป พอมีโอกาสได้มาเขียนนิยายเราเลยอยากทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ อยากถือโอกาสนี้แสดงฝีมือมากขึ้น แต่ในทางกลับกันเราก็คงต้องอดทนกับการเดินในเส้นทางที่อาจจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับคนทั่วไป อนาคตเราก็หวังว่าตัวเองจะวางพล็อตที่ใหญ่และลึกได้มากกว่านี้ เป็นกำลังใจให้เราด้วยค่า ฮืออ T[]T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2019 20:12:05 โดย Chomin »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ นี่คิดมาตลอดว่าเธเซียสน่าจะเมะ สรุปเจ้าชายมิโนสเมะเหรอเนี่ย เวรกำจิ้นผิดโผ 5555 ถึงเม้นจะน้อยก็อย่าเพิ่งท้อนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^_^

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :o8: :o8:สนุกค่ะ อ่านรวดเดียวจบ
 :pig4: :pig4:
สู้ต่อไปค่ะ o13

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
   สนุกมากคะ เขียนได้ดีมากๆ รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ yestermemo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมาก ชอบตัวละครเจ้าชายมิโนสจัง การวางแผนแล้วความคิดของตัวละครตัวนี้ประทับใจ
อ่านรวดเดียวจบเลย ขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆขึ้นมานะคะ

 :call: :pig4: :katai2-1:

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เนื้อเรื่องสนุกดีค่ะ
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากกกกกก ขอบคุณคับบบบ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เป็นนิยายที่ต้องมีสติในการอ่านมากเลยค่ะ เราใช้เวลาทั้งหมดสี่วัน ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ซึมซับเรื่องราวไป อย่าน้อยใจที่มีคนอ่านน้อยเลยนะคะ นิยายคุณโชมินเต็มไปด้วยความใส่ใจแล้วก็มีคุณภาพมากค่ะ เราได้อะไรหลายอย่างจากนิยายของคุณ ทั้งความรู้ ทั้งมุมมองแบบใหม่ที่เอาไปปรับใช้บ้าง เรื่องจำนวนคนอ่านนี่มันขึ้นอยู่กับจังหวะจริงๆ ค่ะ นิยายดังก็ไม่ได้แปลว่าทุกเรื่องจะดี เราคอยเป็นกำลังใจให้ แล้วก็ตามอ่านตลอดนะคะ มาช้าแต่มาแน่นอน

ทั้งเรื่องเราแอบน้ำตาไหลทุกตอนที่เจ้าชายมิโนสทำเป็นห่างเหิน โชคดีที่ไม่ใส่ดราม่าแบบนี้เข้ามาเป็นอีกปมค่ะ ไม่งั้นปวดใจมาก พระเอกเรื่องนี้คือมหาบุรุษจริงๆ ค่ะ ฉลาดหลักแหลมมาก ประทับใจ ส่วนนายเอกก็เก่งมาก ไม่ได้รอให้มาช่วยตลอด แต่ก็โดนหนักอยู่ ชอบมากที่อ่านจบตอนได้กดไปดูรูปหรือตามอ่านบทความอื่นๆ เก่งมากเลยค่ะที่เอาพวกนี้มาผูกรวมเป็นเรื่องได้ รักค่ะ  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอนพิเศษ
ดินแดนแห่งหน้ากากทองคำ

การกลับมาเยือนยังอาณาจักรไมซีเนียนครานี้ ทำให้เธเซียสรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง อาจเพราะเขาคุ้นชินกับความเรียบง่ายในแบบฉบับของเจ้าชายมิโนสมาเนิ่นนาน จึงทำให้แม้แต่กำแพงเมืองที่โอบล้อมดินแดนท่ามกลางหุบเหวค่อนข้างขัดตา เนื่องจากพระราชวังนอสซัสของจักรวรรดิครีตัน สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์จากทั่วบริเวณโดยมิมีสิ่งใดบดบัง ทว่าไมซีเนียนกลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งของศิลาที่ถูกเทินสูงเหนือศีรษะ อีกทั้งศิลปะความอ่อนช้อยลวดลายธรรมชาติก็มิมีให้เชยชม
เหตุเพราะไมซีเนียนคืออาณาจักรของนักรบ ดังนั้นลวดลายบนเครื่องปั้นดินเผาจึงเต็มไปด้วยภาพของการล่าสัตว์และการออกรบ อีกทั้งลายเส้นที่ใช้ก็มิได้มีความพลิ้วไหว แต่กลับแข็งกร้าวตามแบบฉบับของชาวไมซีเนียน

“เหตุใดการคลังจึงร่อยหรอเช่นนี้ ?” เธเซียสเอ่ยถามเสมียนนายหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลรายรับรายจ่ายของพระราชวัง ซึ่งรายจ่ายอันหนักหนาล้วนเกิดจากการทำศึกสงคราม ทว่ากลับมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการค้ามากกว่ารายรับอย่างมิสมเหตุสมผล บุรุษผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนในการจัดการด้านการค้าจึงต้องเร่งไต่สวนเป็นการด่วน
“หลายปีมานี้เจ้าชายลูซีอัสและอะนักซ์ มีความประสงค์ที่จะขยายอาณานิคมทางด้านการค้าไปจนถึงดินแดนอนาโตเลียทุกภาคส่วนพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งเมืองทรอยถือเป็นเมืองหน้าด่านและยังเป็นคู่แข่งทางด้านการค้าที่น่ากลัว อีกทั้งยังมีเมืองบริวารมากมาย ทางเราจึงต้องระดมกำลังล้มล้างเมืองบริวารเหล่านั้น” สิ้นคำตอบของเสมียนรายนั้นเธเซียสก็ลุกออกจากเก้าอี้ พลางเดินไปมาในห้องหนังสืออย่างมิสบอารมณ์ เนื่องจากเขาเริ่มรู้สึกว่าการทำศึกดังเช่นชาวไมซีเนียนค่อนข้างมุทะลุและบ้าบิ่นเกินเหตุ

“ก่อนตัดสินใจทำศึก พวกขุนนางมิมีผู้ใดมองเห็นปัญหาในภายภาคหน้าเลยหรือ ถึงได้เห็นพ้องต้องกันเช่นนี้” เธเซียสตวาดลั่นอย่างเหลืออด เพราะการมุ่งหวังแต่ชัยชนะกำลังจะทำให้บ้านเมืองแร้นแค้น และยังตามมาด้วยการถูกรุกราน
หากเพลานั้นมาถึง..
ไมซีเนียนที่เคยภาคภูมิใจในชาตินักรบ คงต้องหลั่งน้ำตาเป็นแน่

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากพ่ายแพ้ก็เท่ากับสูญเปล่า..”  เคออสกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางยืนกอดอกพิงกำแพงหินใกล้ปากประตู พร้อมส่งสัญญาณให้เสมียนผู้โชคร้ายรีบเดินหลบฉากออกไป
“กระหม่อมเห็นด้วยกับเคออสพ่ะย่ะค่ะ มาถึงขั้นนี้แล้วหากไต่สวนกันไปมา เกรงว่าจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ มิสู้เอาเวลานี้มาช่วยกันระดมสมองคิดแผนการรับมือกับคู่แข่งทางการค้าจะดีกว่า” เซอร์ซีกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล และมันก็ทำให้เธเซียสเริ่มใจเย็นลง สมองของเขาจึงประมวลผลได้ว่า ขุนนางเหล่านั้นล้วนเข้าฝักฝ่ายกับองค์ราชินี จึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องคัดค้าน เพราะถ้าหากเสด็จพี่ลูซีอัสสามารถขยับขยายอาณานิคมทางการค้าสำเร็จ ตำแหน่ง ‘อะนักซ์’ คงมิไกลเกินเอื้อม ขุนนางเหล่านั้นจึงพากันทุ่มหมดหน้าตัก
ดังนั้นการศึกกับครีตันจึงต้องพึ่งพานครรัฐเอเธนส์ผู้มั่งมี
‘ไฟทะเล’ ของเธเซียสจึงกลับกลายเป็นเพียงเครื่องมือกระชับความสัมพันธ์

“กำลังคนมีน้อยนิดจะทำสิ่งใดคงต้องคิดให้รอบคอบ” เธเซียสกล่าวอย่างวิเคราะห์สถานการณ์ เนื่องจากเขามิอยากรบกวนเจ้าชายมิโนส และอยากถือโอกาสนี้แสดงความสามารถให้เต็มที่
“แค่เพียงเจ้าเอ่ยปากก็มิเห็นจะมีสิ่งใดให้น่าหนักใจ เพราะถึงอย่างไรการจัดการทางด้านการค้าก็อยู่ในความรับผิดชอบของจักรวรรดิครีตัน” เคออสบอกกล่าวข้อเสนอ ราวกับเขาเปิดใจปล่อยวางเรื่องราวในอดีต และยอมรับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

“ครีตันยังมีเรื่องต้องใช้งบประมาณแผ่นดินในการฟื้นฟูบ้านเมือง อย่ารบกวนจะดีกว่า..” เธเซียสเอ่ยแย้งแทบจะทันที เนื่องจากศึกสงครามสร้างความเสียหายให้กับพระราชวังและบ้านเรือนของราษฎร์เป็นจำนวนมาก อีกทั้งไร่องุ่นอันเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของครีตันก็ยังได้รับความเสียหายอย่างแสนสาหัส แต่โชคดีที่เจ้าชายมิโนสสั่งสมพืชพันธุ์ธัญญาหารเอาไว้มาก องุ่นรวงงามจึงถูกแปรรูปเป็นเหล้าองุ่นรสชาติดี โดยส่วนหนึ่งถูกส่งออกเพื่อการค้า และอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นเสบียงอาหารให้กับชาวครีตันทุกภาคส่วน
ขณะเดียวกันเครื่องปั้นดินเผาลวดลายวิจิตรก็ถูกกวาดต้อนลงเรือสินค้าจนหมดสิ้น
นับได้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมิมีสิ่งใดน่าเป็นกังวล แต่กระนั้นการฟื้นฟูก็ยังต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก

“กรุงทรอยเมืองเป้าหมาย ตั้งอยู่ตรงช่องแคบเฮลเลสพอนด์หรือไม่ ?” เธเซียสเอ่ยถามโครนัสที่นั่งใกล้กับช่องเก็บหนังสืออย่างมิแน่ใจนัก เนื่องจากช่วงหลังเขาแทบจะตัดขาดจากไมซีเนียนอยู่รอมร่อ ดังนั้นการศึกเพื่อแย่งชิงพื้นที่ทางด้านการค้ามิว่าจะเป็นทางบกอันเป็นเส้นทางที่เชื่อมกับดินแดนต่าง ๆ ในเขตอนาโตเลีย หรือว่าทางน้ำบริเวณแถบคาบสมุทรอีเจียนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกย่อมมิเคยผ่านหู
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หากจำมิผิดบ้านเมืองถูกล้อมรอบด้วยป้อมปราการมิต่างจากไมซีเนียน แต่กว่าจะก้าวไปถึงใจกลางเมือง จะต้องผ่านเกราะกำบังอย่างเมืองบริวาร 9 ชั้น” โครนัสกล่าวอย่างฉะฉาน ซึ่งเธเซียสก็มิแปลกใจนัก เนื่องจากเส้นทางการค้าของครีตันถือเป็นเส้นทางเดียวกับเมืองดังกล่าว ทหารคนสนิทจึงทราบข้อมูลเชิงลึกถึงเพียงนี้
และเธเซียสก็เริ่มหายข้องใจ ว่าเหตุใดการเงินของไมซีเนียนจึงร่อยหรอจนถึงขั้นวิกฤต

“เราจะไปหารือกับเสด็จพ่อเพื่อความรอบคอบ” เธเซียสกล่าวอย่างกระตือรือร้นจากนั้นก็เดินออกจากห้องหนังสือ พร้อมเจรจาอยู่หลายเพลา เนื่องจากเขาต้องการทราบกำลังทหารและความคืบหน้าของการศึก เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าตนควรจะออกอุบายอย่างไรให้เสียกำลังพลน้อยที่สุด และได้รับชัยชนะเป็นการตอบแทน
ซึ่งเขาก็เตรียมตัวเตรียมใจต่อการโต้วาทีมาอย่างดี
ทว่าเสด็จพ่อกลับมิตรัสแย้งแต่อย่างใด

เธเซียสจึงกลับมานั่งครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะเขามิอยากให้วันเวลาผ่านพ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากมันหมายถึงการสูญเสียงบประมาณแผ่นดินที่มากขึ้น
“เมืองบริวารตอนนี้ถูกทำลายไปกว่า 5 ส่วน หากใช้กลอุบายที่ค่อนข้างแนบเนียนและรัดกุม..” บุรุษในคราบของเจ้าชายฮาเดรียนกล่าวอย่างใช้ความคิด พลางเดินกอดอกไปมาในห้องหนังสือ พร้อมนึกถึงเหตุการณ์พลิกกระดานเกมของเจ้าชายมิโนสอย่างถี่ถ้วน
เพราะมันคือบทเรียนชั้นดี

“ครีตันมิได้มีป้อมปราการล้อมรอบ จึงเป็นเรื่องง่ายต่อการบุกโจมตี อีกทั้งการเป็นเจ้าบ้านก็ทำให้รู้จุดบอดอย่างชัดแจ้ง มิมีสิ่งใดถือเป็นการเสียเปรียบ แต่สถานการณ์ของกรุงทรอยมิเหมือนกัน” เคออสกล่าวอย่างรู้ใจ ซึ่งเธเซียสเองก็คิดเช่นนั้น
การเลือกใช้ ‘บัวอียิปต์’ จึงมิเหมาะสมนัก

“เช่นนั้น.. หากเราถอยทัพ แล้วส่งเครื่องบรรณาการกลับไป..” เธเซียสที่เดินกลับมานั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือได้เพียงครู่ จู่ ๆ ก็เกิดความคิดลึกล้ำ จึงดีดตัวออกจากที่นั่งด้วยความตื่นเต้น
“ฝ่ายนั้นคงต้องคิดว่าเรายอมศิโรราบเป็นแน่” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ คล้ายกับมีแผนการอันเป็นรูปร่างในหัว เหลือเพียงแค่เนรมิตขึ้นมาเท่านั้น

“พระองค์หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?” ฝ่ายเซอร์ซีแม้จะเข้าขากันดีกับนายเหนือหัว แต่เพลานี้ก็คร้านจะหยั่งถึงความคิดของอีกฝ่าย
“เราจะสร้างม้าไม้ตัวใหญ่ส่งไปเป็นของบรรณาการ แสดงถึงความยำเกรงและยินยอมต่อความพ่ายแพ้ เพียงแต่ม้าไม้ตัวนี้คือม้าศึกมากคุณภาพ เพราะภายในนั้นจะบรรทุกทหารจำนวนมากเท่าที่เรามี จากนั้นเมื่อความไว้วางใจบังเกิด ม้าตัวนี้ก็จะก้าวเข้าสู่เขตเมืองทรอยชั้นใน พอสบโอกาสเหมาะต่อการพลิกฝ่ามือ เมืองทรอยที่เคยเป็นขวากหนามขัดขวางเส้นทางการค้าก็จะต้องพ่ายแพ้”

“หากถอยทัพเกรงว่าจะเป็นการเปิดช่องว่างอันมิพึงประสงค์ เราควรส่งเครื่องบรรณาการไปพร้อมกับการส่งสารถึงทหารกลุ่มนั้น เพื่อที่พวกเขาจะได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ในภายภาคหน้า พร้อมละทิ้งคนผู้หนึ่งที่มีไหวพริบเป็นตัวประกัน ม้าไม้ถึงจะเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างราบรื่น” เคออสกล่าวอย่างตรงไปตรงมา อาจเพราะเขามีประสบการณ์ทางด้านการวางแผน จึงมีความรัดกุมในด้านมุมมอง
“เช่นนั้นตัวประกันคือเราเอง” สิ้นวาจาหนักแน่นเธเซียสก็เริ่มสั่งการสำหรับเช้าวันพรุ่ง เนื่องจากการสร้างม้าไม้ขนาดมหึมาจะต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก ส่วนค่ำคืนนี้เขาจะสร้างแบบจำลองอย่างละเอียด โดยคำนึงถึงผู้คนที่ต้องแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้น

กระทั่งแบบจำลองเสร็จสิ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนาง ทว่าเธเซียสก็มิหวั่นเกรง เพราะเขายังมีเสด็จพ่อคอยเป็นกำลังเสริม ดังนั้นแผนการจึงดำเนินต่อไปอย่างง่ายดาย ทหารครีตันและกำลังฝีพายจากนูเบียส่วนหนึ่ง จึงถูกเกณฑ์ออกมาช่วยงานสำคัญดังกล่าว โดยเธเซียสเลือกใช้สถานที่ในการประดิษฐ์เครื่องบรรณาการนอกเขตพระราชฐาน เพื่อที่จะได้มิต้องขนย้ายไปมาให้ลำบาก
สายลมเรียบชายฝั่งบริเวณใกล้เขตหุบเขาสมาเรียของจักรวรรดิครีตัน ทำให้การตระเตรียมเครื่องบรรณาการที่ต้องใช้แรงงานในการสรรสร้าง มิต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความร้อนระอุมากนัก เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะจึงดังระงมไปทั่วบริเวณ โดยสองมือของพวกเขาต่างหยิบจับทรัพยากรธรรมชาติมาดัดแปลงเป็นส่วนหัวของม้าตัวใหญ่

ฝ่ายเธเซียส เคออส โครนัส และเซอร์ซีต่างพากันกะเกณฑ์ความกว้างของช่องท้อง ที่ใช้บรรทุกทหารเจนศึกอย่างเคร่งเครียด เพราะถ้าหากสร้างใหญ่เกินไป การขนย้ายก็จะลำบาก แต่ถ้าหากสร้างเล็กเกินไป กำลังคนก็จะมิเพียงพอ เนื่องจากทหารไมซีเนียนที่ยกทัพไปก่อนหน้า ล้วนกรำศึกมาเป็นระยะเวลายาวนาน ความเหนื่อยล้าท้อถอยจึงยิ่งบังเกิด
“เราตัดสินใจแล้ว ม้าไม้ควรสร้างให้เพียงพอต่อการบรรทุกกำลังคน ส่วนแรงงานขนย้าย เราจะเดินทางไปเจรจากับครีตันด้วยตนเอง” หลังจากลั่นวาจาอย่างจริงจังแล้ว บุรุษผู้ต้นคิดก็มิรอช้ารีบลงมือสร้างสรรค์ม้าศึกตามจินตนาการ โดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย
จนกระทั่งแสงสุริยะใกล้ลาลับ พวกเขาก็ยังมิหยุดเร่งมือ
ทว่าเมื่อเสียงท้องร้องของผู้คนบริเวณนั้นดังระงมด้วยความหิวโหย มื้อเย็นเคล้าแสงไฟสีเหลืองนวลจึงถือกำเนิด

“พระองค์กับเพอร์ดิกส์ช่างนำมื้อเย็นมาได้จังหวะเสียจริง” เธเซียสกล่าวทักทายบุรุษสูงศักดิ์จากต่างแดน พร้อมนั่งพิงต้นไม้ใหญ่และมองจ้องเด็กชายตัวจ้อยเดินแจกจ่ายดอลมาเดซให้กับทุกผู้ที่ใช้แรงงาน
“เราได้ยินมาว่าเจ้าจะเข้าร่วมศึกกรุงทรอย” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิอ้อมค้อมพลางประทับเคียงข้างบุรุษในดวงใจ

“ข่าวคราวช่างถึงพระเนตรพระกรรณเร็วนัก” เธเซียสกล่าวอย่างมิคิดปฏิเสธ พลางลิ้มชิมดอลมาเดซคำใหญ่ จากนั้นความทรงจำในวันวานก็ลอยอบอวนไปทั่วความรู้สึก
“เจ้าต้องการกำลังพลและอาวุธเท่าใด ขอให้บอกกล่าวโดยมิต้องเกรงใจ” เจ้าชายมิโนสตรัสราวกับล่วงรู้ความคิดของเธเซียสอย่างกระจ่างแจ้ง ฝ่ายเธเซียสจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“การศึกครานี้ถือเป็นการขยายอาณานิคม หากกระหม่อมพึ่งพาตนเอง นับได้ว่ากระหม่อมสามารถโอบกอดอาณาจักรไมซีเนียนด้วยสองแขน และเหยียบยืนด้วยสองขาของตนเอง ดังนั้นกระหม่อมจึงมิขอน้อมรับความหวังดีของพระองค์ในเรื่องดังกล่าว แต่หากเป็นการหยิบยืมแรงงานทาสโดยมิกระทบต่อการฟื้นฟูครีตัน กระหม่อมยินดีตอบรับพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางจ้องมองเด็กชายตัวจ้อยที่เอาแต่นิ่งเงียบเคียงข้างโครนัส ซึ่งแววตาของเขาดูหม่นหมองอย่างน่าหวาดหวั่น มิรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
“หากต้องการเช่นนั้น ขอเพียงเจ้าแจ้งวันและเวลาที่แน่นอน..” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส เธเซียสจึงละสายตาออกจากภาพตรงหน้า เพื่อหันมายกยิ้มให้กับบุรุษผู้แสนใจกว้าง

“อันที่จริงเราเองก็มีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าเช่นกัน..” บุรุษผู้มีเกศาราวกับระลอกคลื่นตรัสด้วยสุรเสียงแผ่วเบา ขณะที่สีพระพักตร์กลับฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสย้อนถามอย่างใส่ใจ พลางปัดมือทั้งสองข้างทันทีที่มื้อเย็นเสร็จสิ้น

“เพอร์ดิกส์.. เด็กคนนั้นนับตั้งแต่ดิดะลัสจากไป เขาก็เริ่มเก็บตัว แต่พอทราบว่าเรากำลังจะมาหาเจ้า ดวงตาก็เป็นประกายสดใส เราจึงอยากให้เจ้ารับเขาไว้เลี้ยงดู อย่างน้อยก็จนกว่าเด็กคนนั้นจะเข้มแข็งมากพอที่จะต่อสู้กับการสูญเสีย และเหยียบยืนด้วยสองขาของตนเองเช่นเจ้า” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสคล้ายกับนำพาเธเซียสย้อนกลับไปยังวันวานอันรางเลือน ภาพลานกว้างสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจึงปรากฏพร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าเหม่อลอยแน่นิ่ง จากนั้นเศษเนื้อเว้าแหว่งในความทรงจำก็กระจัดกระจายไปทั่วลานกว้าง ส่งผลให้กลิ่นคาวคละคลุ้งติดปลายจมูก
หัวใจของเธเซียสจึงเสียดแน่นอย่างบอกมิถูก
เนื่องจากการตายของขุนพลผู้นั้นล้วนเต็มไปด้วยความทรมาน

“หากเขาเต็มใจ กระหม่อมก็ยินดีพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้มจนตาปิด พร้อมลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจอยู่หลายครา
“…”

“กระหม่อมต้องไปทำหน้าที่ของตนเองแล้ว คงส่งเสด็จได้เพียงเท่านี้” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงมิเต็มใจนัก แต่ก็มิอาจรั้งอีกฝ่ายไว้ เพราะบุรุษในดวงใจมีภาระหน้าที่อีกมากมาย หากพักผ่อนมิเพียงพอเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อราชกิจบ้านเมือง
“หากเรามิกลับและมิทำตัววุ่นวาย เจ้าจะอนุญาตให้เราอยู่ต่อหรือไม่ ?” ทว่าเจ้าชายมิโนสกลับมิยอมให้เป็นเช่นนั้น เพราะความห่างไกลทำให้พระองค์รู้สึกอ้างว้าง อาจเพราะที่ผ่านมาข้างกายมิเคยไร้เงาของอีกฝ่าย

“พระองค์มิหวั่นกลัวว่าครีตันจะเกิดเรื่อง ตอนที่มิได้ประทับอยู่ที่นั่นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามพลางทำสีหน้าเคร่งเครียด อาจเพราะเหตุการณ์ที่ตนถูกองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนใช้เป็นหมากบนกระดาน เพื่อหลอกล่อเจ้าชายมิโนสให้ออกห่างจากจักรวรรดิครีตันยังคงฝังใจ
“นับตั้งแต่ผู้คนล่วงรู้ว่าแอสเตเรียนมีอยู่จริง ก็มิมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามายังเขตแดนของจักรวรรดิครีตันโดยมิบริสุทธิ์ใจ” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงภายนอกอย่างชัดเจน และยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพครีตันเป็นอย่างดี ดังนั้นแผ่นดินทองคำที่ใครต่างก็หมายปอง ล้วนต้องหยุดยั้งความคิดไว้เพียงแค่นั้น
บวกกับการศึกแบบรุกฆาตระหว่างไมซีเนียนและครีตันก็สร้างความน่าเกรงขามมิใช่น้อย
เนื่องจากการพลิกสถานการณ์ด้วยฝ่ามือเดียวมิใช่เรื่องง่าย

“เช่นนั้นพระองค์ควรประทับที่กระโจมทะเลทรายพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางผายมือไปยังกระโจมสีขาวหลังหนึ่ง พร้อมก้าวนำไปอย่างมั่นคง ซึ่งเดิมทีกระโจมหลังนั้นคือที่พักของตน เพียงแต่การเวลามิเคยคอยท่า เธเซียสจึงมิมีกะจิตกะใจจะหลับนอน
“เราทำตัวว่าง่ายและอยู่ในโอวาทถึงเพียงนี้ มิมีของกำนัลหน่อยหรือ ?” เมื่อเธเซียสตั้งท่าจะเดินออกจากกระโจม บุรุษสูงศักดิ์จึงไขว่คว้าข้อมือของอีกฝ่าย พร้อมเอื้อนเอ่ยราวกับออดอ้อน ริมฝีปากของเธเซียสจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“หากพระองค์ทำตัวว่าง่ายเช่นนั้นจริง รีบเข้าสู่บรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางผลักดันวรกายของเจ้าชายมิโนสให้ประทับลงบนพรมขนสัตว์ พร้อมจัดแจงท่าทางเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การพักผ่อนด้วยท่าทีขึงขัง แต่กระนั้นริมฝีปากก็ยังมิวายจะเปื้อนยิ้ม เนื่องจากท่าทีราวกับวัยเยาว์ของบุรุษในดวงใจกำลังทำให้เธเซียสนึกเอ็นดู ซึ่งความสัมพันธ์ดำเนินมาจนถึงระดับนี้ได้ อาจเพราะความลึกซึ้งในค่ำคืนนั้น
กำแพงใจที่เคยขวางกั้นด้วยความเก้อเขินจึงถูกขจัดออกจนหมดสิ้น
ความกล้าที่จะเอาแต่ใจจึงเริ่มก่อเกิด

“รีบเข้าบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางโน้มตัวจุมพิตบริเวณพระนลาฏเพียงแผ่ว จากนั้นจึงผละใบหน้าออกห่างจากอีกฝ่าย ขณะที่พระหัตถ์อันอบอุ่นที่เคยกอบกุมเริ่มปลดปล่อยให้เป็นอิสระ พร้อมกับดวงเนตรสีรัตติกาลที่เริ่มปิดสนิทอย่างว่าง่าย
“การมาเยือนของพระองค์ครานี้ ทำให้กระหม่อมรู้สึกอุ่นใจ ราวกับถูกโอบล้อมอยู่ในวัยเยาว์ที่ครีตัน” สิ้นเสียงกระซิบเพียงแผ่ว มุมโอษฐ์ของเจ้าชายมิโนสก็เริ่มกดลึกมากกว่าเดิม
แต่กระนั้นเธเซียสก็ต้องทำเป็นมิใส่ใจ
เพราะถ้าหากก้าวเดินไปตามเกม เกรงว่าเขาอาจจะมิได้ทำงานทำการในคืนนี้

กระทั่งยามเช้ามาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า การเนรมิตเครื่องบรรณาการก็ยังคงมิหยุดพัก ขอบตาของแต่ละฝ่ายจึงดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด จะมีก็แต่เพอร์ดิกส์ที่ดูสนุกสนานจนหลงลืมฝันร้าย เธเซียสจึงยังมิสบโอกาสที่จะเจรจากับอีกฝ่ายตามที่ได้รับการฝากฝัง ขณะเดียวกันเจ้าเด็กตัวจ้อยก็มิได้กังวลที่ถูกทอดทิ้งไว้ยังไมซีเนียน
“หากราตรีนี้ทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเราจะได้พักผ่อนก่อนออกศึกสองวันเต็ม!” เธเซียสประกาศกร้าวอย่างกระตือรือร้น เนื่องจากเพลานี้ ‘ม้าไม้’ ขนาดมหึมาเทียบเท่ากับบ้านสองชั้นของชาวครีตัน เริ่มมีทั้งส่วนหัวและลำตัวอันกว้างขวาง ขาดก็แค่ส่วนขาทั้งสี่ข้าง ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปตามหวัง แรงงานชั้นดีก็จะได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จากนั้นหนึ่งวันให้หลังก็ยังสามารถซุ่มซ้อมศิลปะการป้องกันตัวก่อนออกศึก

“ท่านพี่เธเซียส” เพอร์ดิกส์กล่าวพลางวิ่งเข้ามาหาเธเซียสที่กำลังนั่งประกอบท่อนขาของม้าไม้ตัวใหญ่
“ห้องด้านในกว้างมาก ข้านอนกลิ้งได้สบายเลย!” เจ้าเด็กตัวจ้อยรีบคุยโวทันทีที่การทดสอบความแข็งแรงของห้องบรรทุกทหารฝีมือดีเป็นไปตามคาดหวัง

“เช่นนั้นเจ้าคงต้องรีบนอนกลิ้งให้สาแก่ใจ เพราะอีกมินานมันจะกลายเป็นม้าศึกที่น่าเกรงขาม” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้มให้กับเพอร์ดิกส์ด้วยความเอ็นดู เพราะหลังจากนั้นแววตาของเจ้าเด็กตัวจ้อยก็เริ่มเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“พวกเขาต้องคาดมิถึงแน่! ข้าอยากเห็นเหตุการณ์ด้วยสองตาของตนเองเสียจริง!” เด็กชายตัวจ้อยยังคงพูดเจื้อยแจ้วจนทำให้เธเซียสนึกอยากรวบตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดรัด แต่กระนั้นภารกิจก็ยังติดพัน เพอร์ดิกส์จึงได้แต่ทำปากยื่นปากยาวต่อไป เพราะความฝันของเขาคือการเป็นทหารผู้แข็งแกร่งเหมือนกับขุนพลดิดะรัสหรือท่านอาของเขา
เหตุการณ์พิชิตกรุงทรอยจึงตกอยู่ในความสนใจอย่างมากล้น

“หากมียาวิเศษเร่งความสูงของเจ้าได้ การล่าอาณานิคมคงถูกบันทึกไว้ด้วยสองตาของเจ้าแน่” ท้ายที่สุดเธเซียสก็อดใจมิไหว จำต้องวางมือจากการประกอบส่วนขาของเครื่องบรรณาการชั้นสูง เพื่อหันมายีศีรษะของเจ้าเด็กช่างพูด
“ก็เพราะไม่มีน่ะซี ข้าถึงได้แต่อิจฉาท่านพี่เธเซียส!” เพอร์ดิกส์กล่าวพลางทำหน้างองุ้มพร้อมจัดแต่งทรงผมอันยุ่งเหยิงให้เข้าที่
“หากเจ้าโตขึ้น มีภาระหน้าที่ให้รับผิดชอบ ความสนุกสนานที่เคยมองเห็นในวัยเยาว์ อาจเจือจางจนแทบจดจำมิได้ เพราะการเติบโตเป็นผู้ใหญ่สอนสั่งให้เราต้องแบกรับความคาดหวัง ความกดดัน เพื่อที่จะได้รับชัยชนะหรือเดินไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งมันมิง่ายเลย” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางแย้มยิ้มติดมุมปาก
เนื่องจากในใจลึก ๆ กำลังเป็นกังวลต่อการทำศึกครานี้
เหตุเพราะมันมิอาจมีคำว่า ‘พลาดพลั้ง’

กระทั่งอาทิตย์อัสดงมาเยือน แสงสีทองอร่ามจึงอาบไล้ไปทั่วต้นไม้ใหญ่ จนสะท้อนเป็นเงาร่างบนยอดหญ้า แรงงานจำนวนมากต่างพากันดึงเชือกเส้นใหญ่เพื่อประคับประคองให้ ‘ม้าไม้’ ยืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย ส่งผลให้ทุกครั้งที่ความใหญ่โตโออ่าบดบังแสงสุริยะ ความมืดมิดของแสงเงาก็เริ่มอาบไล้ผู้คนและยอดหญ้าในบริเวณนั้น
ส่งผลให้ม้าพันธุ์ดีที่มีเพียงหนึ่งกลับกลายเป็นสอง

จากนั้นบุรุษเจ้าของผลงานก็เลือกปีนป่ายเข้าไปยังห้องลับด้านใน ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันกระโดดลงสู่ผืนน้ำอันเยียบเย็น เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราในราตรีนี้
ไม่เว้นแม้กระทั่งเพอร์ดิกส์ที่มักจะตัวติดกับเธเซียสเสมอมา

“มิน่าเชื่อว่าด้านในจะแอบซ่อนห้องลับที่แข็งแรงถึงเพียงนี้” เจ้าชายมิโนสตรัสหลังจากเฝ้ามองเธเซียสเงยหน้าหมุนตัวท่ามกลางห้องสี่เหลี่ยมขนาดเพียงพอสำหรับบรรทุกผู้คนหลายร้อยชีวิต เพียงแต่ต้องนั่งเกยกันสักหน่อย
“กระหม่อมก็มิอยากเชื่อ” เธเซียสกล่าวพลางยื่นหลังมือออกไปเคาะกำแพงไม้ ราวกับต้องการตรวจตราความคงทนให้ถี่ถ้วน เสียงกระทบไม้จึงดังเป็นระยะตามการชักนำของผู้สรรสร้าง


-อ่านต่อด้านล่าง-

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
“เราทราบมาว่า..” บุรุษสูงศักดิ์เกริ่นนำเพียงครู่แล้วก็นิ่งเงียบไป ฝ่ายเธเซียสจึงละความสนใจจากม้าไม้ในความดูแล
“สงครามกรุงทรอยเจ้าคิดจะใช้ตนเองเป็นตัวประกัน” กระทั่งดวงตาสบประสาน เจ้าชายมิโนสจึงต่อความจนจบประโยค ทว่าสุรเสียงของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความมิสบายพระทัยนัก

“กระหม่อมคิดว่าพระองค์คงทราบดี เพราะการศึกมิอาจเชื่อใจผู้ใดได้นอกจากตนเอง” เธเซียสละสายตาไปยังกำแพงไม้มิไกลตัวนัก จากนั้นริมฝีปากจึงเม้มแน่น ก่อนจะเอื้อนเอ่ยความนึกคิดให้อีกฝ่ายรับรู้
“การศึกครานี้ อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับการค้าของไมซีเนียน ซึ่งเราเป็นฝ่ายดูแลรับผิดชอบ หากเดินทางไปด้วยกัน..” ทันทีที่เธเซียสส่ายศีรษะเป็นเชิงห้ามปราม ดำรัสของเจ้าชายมิโนสก็ถูกกักเก็บไว้ในลำพระศอ ทว่าดวงเนตรกลับฉายแววแห่งความห่วงใยอันเปี่ยมล้น
เพราะสถานะ ‘ตัวประกัน’ มิว่าอย่างไรก็เต็มไปด้วยอันตราย

“หากกระหม่อมยินยอมให้พระองค์ทำเช่นนั้น ต่อให้ได้รับชัยชนะหรือไม่ ก็มิมีประโยชน์ เพราะขุนนางเหล่านั้นคงอาศัยช่องว่างดังกล่าวมาโจมตีกระหม่อม การใดที่เคยวาดฝันร่วมกันอาจพังทลาย” สิ้นประโยคดังกล่าวทำให้เจ้าชายมิโนสเลือกจะนิ่งเงียบ ราวกับยอมรับการตัดสินใจของบุรุษในดวงใจอย่างจนคำพูด
“เจ้ามักจะทำสิ่งต่าง ๆ โดยขาดความรอบคอบ และค่อนข้างมุทะลุ เราอยากให้เจ้าทะนุถนอมตนเอง เพื่อที่เราจะได้ปล่อยวางความห่วงใยที่มีต่อเจ้าลงได้” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเยื้องย่างเข้ามาหาเธเซียส พร้อมรั้งข้อมือของอีกฝ่ายมากอบกุม และด้วยระยะใกล้เพียงนี้ ต่อให้บุรุษตรงหน้าเอื้อนเอ่ยด้วยสุรเสียงแผ่วเบาปนเปื้อนความกังวลมากแค่ไหน เธเซียสก็ยังรับรู้ได้

“กระหม่อมสัญญาว่าจะมิเปิดโอกาสให้พระองค์สวมหน้ากากทองคำลงบนใบหน้าคู่นี้..” เธเซียสกล่าวอย่างจริงจังพลางรั้งพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนสแนบลงบนปรางแก้ม พร้อมแย้มยิ้มจนดวงตาปิดสนิท ซึ่งมันก็ทำให้ดวงหทัยของเจ้าชายมิโนสไหวระริก เพราะการสวมหน้ากากทองคำที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย อาจหมายถึงพิธีการของชาวไมซีเนียนก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่โลกแห่งหลังความตาย
“หากเป็นไปได้ เรามิอยากสวมทั้งหน้ากากทองคำ และมิอยากมองเห็นรอยแผลเป็นบนตัวเจ้า” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางรั้งกายของบุรุษในดวงใจเข้าสู่อ้อมอก พร้อมกอดรัดอย่างหวงแหน

“เช่นนั้นพระองค์คงต้องตรวจตราให้ถี่ถ้วน ภายภาคหน้าจะได้ทราบว่ากระหม่อมรักษาสัญญาหรือไม่” เธเซียสกระซิบชิดริมโอษฐ์พลางโอบรอบลำพระศอด้วยความคิดถึง อาจเพราะสงครามครานี้มิรู้ว่าจะเสร็จสิ้นตามใจหวังหรือไม่ ร่างกายและหัวใจจึงโหยหารสสัมผัสราวกับไฟทะเล
“หากเจ้ามิรักษาสัญญา เราควรลงโทษเช่นไร ?” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสมิคิดปฏิเสธ ซ้ำยังตรัสถามแม้ริมฝีปากกำลังคลอเคลียอย่างลึกล้ำ

“กระหม่อมมิเคยเห็นผู้ใดอนุญาตให้ผู้กระทำผิดเลือกสรรบทลงโทษมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ” กระทั่งริมฝีปากได้รับอิสระ เธเซียสก็ยังมิวายจะหยอกเย้าคนตรงหน้า พลางก้าวถอยหลังตามการกวาดต้อนทั้งที่ใบหน้ากำลังเปื้อนยิ้ม
“คงเพราะเรามิกล้าแม้แต่จะคิดบทลงโทษกับเจ้ากระมัง”  เมื่อแผ่นหลังของเธเซียสแนบสนิทบนกำแพงไม้ ฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองข้างของเจ้าชายมิโนสจึงกางกั้นหนทางหลีกหนี พร้อมกระซิบชิดริมหูด้วยสุรเสียงแหบพร่า

“เช่นนั้นพระองค์คงต้องคิดเผื่อไว้ เพราะสงครามมิอาจกะเกณฑ์” เธเซียสกล่าวพลางรั้งดวงพักตร์หวานละมุนให้หยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า
“เราจะกลับไปคิด พร้อมหาข้อต่อรองที่จะทำให้เรามิต้องลำบากใจซ้ำสอง” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนสการตรวจสอบรอยแผลเป็นก็เริ่มดำเนินความเข้มข้นมากขึ้น ร่างกายของเธเซียสจึงบิดเร้าทุกครั้งที่ชิวหาอุ่นร้อนลากผ่านผิวเนื้อ ทว่าริมฝีปากกลับมิอาจเปล่งเสียงใด ๆ ออกไป
เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวแทบมิต่างกับบริเวณกลางแจ้ง

“ครีตันที่ไม่มีเจ้า เราเพิ่งรู้สึกว่ามันอ้างว้าง ราวกับครีตันที่มิมีเสด็จพ่อ เสด็จแม่ และแอริแอดเน่” บุรุษผู้มีเกศาคล้ายกับระลอกคลื่นของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กล่าวพลางจุมพิตบาดแผลจากคมดาบ ขณะที่หัตถ์ร้อนมิเคยว่างเว้นต่อการปลุกเร้า
“เช่นเดียวกับกระหม่อมที่รู้สึกว่า ไมซีเนียนภายใต้ป้อมปราการ..” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพลางยืนทรงตัวอย่างมิมั่นคงนัก เมื่อเจ้าชายมิโนสจับยึดเรียวขาพาดพระอังสาแข็งแกร่ง ขณะที่โอษฐ์หนาแสนซุกซน เริ่มสำรวจความชุ่มชื่นของผิวเนื้อตั้งแต่ข้อเท้าเรื่อยไปจนถึงต้นขาด้านใน

“ล้วนสร้างความอึดอัดให้กับกระหม่อม คงเพราะกระหม่อมคุ้นชินกับความเรียบง่ายในแบบฉบับของพระราชวังนอสซัส” บุรุษผู้ถูกปลุกเร้าจำต้องเม้มปากแน่น พร้อมบอกกล่าวอย่างตะกุกตะกัก เมื่อสัมผัสชวนหวามไหวกำลังแต่งแต้มไปทั่วช่วงล่าง ส่งผลให้ส่วนไวสัมผัสเริ่มตอบรับต่อสิ่งเร้า ขณะที่ปราการเบื้องล่างก็เริ่มหมิ่นเหม่เต็มที
“หรือแม้แต่ลายเส้นของเครื่องปั้นดินเผา กระหม่อมก็ยังมองเห็นความแข็งกระด้างที่มิได้อ่อนช้อยเหมือนกับครีตัน” เธเซียสเอื้อนเอ่ยเสียงกระเส่าเมื่อช่วงล่างเริ่มถูกปลุกเร้าหนักขึ้น สองฝ่ามือจึงต้องยึดเกาะม้าไม้ให้มั่นคง
เพราะเขายังอยากบอกกล่าวความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้

“คงเพราะเจ้าชื่นชอบทุกอย่างที่เป็นครีตันกระมัง..” เจ้าชายมิโนสเงยสบใบหน้าคมคาย พร้อมเอื้อนเอ่ยวาจาราวกับเข้ามานั่งกลางใจ แต่ทว่าบรรยากาศชวนหวั่นไหวกลับถูกปลุกเร้าด้วยสัมผัสราวกับอุณหภูมิของทะเลทรายในยามที่แสงสุริยะสาดส่อง เพราะโอษฐ์คู่นั้นกำลังครอบครองความอ่อนไหวอย่างเชื่องช้า หากแต่หนักแน่นทุกความรู้สึก
ปราการเบื้องล่างจึงหลุดลอยออกจากร่างอย่างรวดเร็ว

รู้ตัวอีกคราแผ่นหลังของเธเซียสก็มิได้สัมผัสกับความแห้งผากของเนื้อไม้ ฝ่ามือก็มิต้องยึดเกาะผนังด้านในของม้าไม้ตัวใหญ่ เพราะเพลานี้พระพาหาอันเรียวยาว กำลังโอบกอดร่างของอีกผู้จมลึกลงสู่อ้อมอุระ ขณะที่เบื้องล่างกลับถูกรุกรานด้วยความแข็งแกร่ง เพียงแต่มิได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิประสงค์ให้ความกำหนัดของพระองค์ สร้างความเดือดร้อนให้กับบุรุษในดวงใจ

“แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เชื่อว่า สิ่งที่เจ้าชื่นชอบมากที่สุดในครีตัน คงมิพ้นเรา..” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงกระซิบแผ่ว พลางจุมพิตปรางแก้มของคนในอ้อมอกและมิวายจะสรวลออกมาด้วยความเก้อเขิน
“พระองค์ช่างหลงตนเองนัก” เธเซียสเอ่ยต่อว่าอย่างมิคิดจริงจัง อาจเพราะสติของเขากำลังเตลิด เนื่องจากช่วงล่างยังคงเสียดสีราวกับจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง ความเสียวกระสันจึงยิ่งชักพาให้ช่องท้องเต็มไปด้วยระลอกคลื่นของทะเลในยามค่ำคืน
อีกทั้งความต้องการก็ยังพุ่งสูง
เมื่อมิอาจได้รับสิ่งเติมเต็ม

“ชายชาตินักรบอย่างไมซีเนียน พระองค์คิดว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษสูงศักดิ์อย่างเจ้าชายฮาเดรียนเริ่มชักนำด้วยวาจา เมื่อความต้องการยังมิมีทีท่าจะสิ้นสุด
แม้เพลานี้เนื้อตัวจะไหวเอนไปตามแรงพายุโหมกระหน่ำที่อีกฝ่ายถ่ายทอดผ่านความร้อนรุ่ม

“คงมิแพ้ชายชาตินักรบอย่างครีตันกระมัง” ดำรัสแสนเอาอกเอาใจเอื้อนเอ่ยเพียงแผ่ว ขณะที่ช่วงล่างยังคงสอดประสานอย่างช่ำชอง
“เช่นนั้นการเติมเต็มของพระองค์ คงมิสร้างความเดือดร้อนให้กระหม่อมอย่างที่คิด เพราะกระหม่อมก็แข็งแกร่งมิแพ้ใคร” ถ้อยคำเอื้อนเอ่ยราวกับเชิญชวนกำลังทำให้เจ้าชายมิโนสแทบคลุ้มคลั่ง แต่ทว่าสถานการณ์กลับมิเอื้ออำนวย

“เรามิได้นำน้ำมันมะกอกติดตัวมา และสถานการณ์ตอนนี้คงมิเหมาะจะไปหยิบที่กระโจม แต่เรารับรองว่าทุกสัมผัสจะเติมเต็มความรู้สึกของเจ้า” มหาบุรุษแห่งครีตันตรัสด้วยสุรเสียงลุ่มลึก พร้อมทั้งชักนำให้เจ้าของ ‘ม้าไม้’ ไหวเอนไปตามการเคลื่อนไหว เรี่ยวแรงมากล้นถูกส่งผ่านความต้องการจนหมดสิ้น เล่นเอาบุรุษในอ้อมอุระแทบมิอาจทานทน ความเสียวกระสันแผ่กำจายเป็นวงกว้าง ราวกับการล่าอาณานิคมของอาณาจักรไมซีเนียน สุ้มเสียงครวญครางจึงพาลจะรบกวนผู้อื่น พระหัตถ์หนาจึงครอบคลุมริมฝีปากของเธเซียส เพื่อมิให้สุ้มเสียงเล็ดล็อด หยดน้ำตาพลันไหลปริ่มอย่างทุกข์ทรมาน แต่ทว่ากลับสุขสมดังใจหวัง
มินานจากนั้นห้วงฝันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
สองบุรุษผู้ไร้เรี่ยวแรง จึงทรุดตัวลงนั่งพร้อมตระกองกอดกันมิห่าง

“ตลอดศึกสงครามเราขอให้องค์เทพทั้งปวง คอยปกปักษ์รักษาเจ้า” สิ้นสุรเสียงอันเต็มไปด้วยความห่วงใย ก้อนเนื้อในอกของบุรุษอีกผู้ก็พลันสั่นไหว ความอบอุ่นไหลบ่าเข้ามามิหยุดยั้ง ริมฝีปากของเธเซียสจึงวาดเป็นรอยยิ้ม พลางปิดเปลือกตาอย่างอ่อนล้า
ราวกับเตรียมพร้อมจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราภายใต้อ้อมกอดที่แสนคุ้นเคย
มหาบุรุษจากต่างแดนจึงทำได้เพียงเฝ้ามองคนผู้หนึ่งด้วยความรู้สึกหลากหลาย

φ


[1] อะนักซ์ คือ กษัตริย์

หน้ากากทองคำที่เรากล่าวถึงในเรื่องค่ะ
https://i.imgur.com/RfTJCI5.jpg

ม้าไม้โทรจัน
https://i.imgur.com/gtOOwf2.jpg

สวัสดีค่าทุกคน เราไม่ได้อัพนิยายเรื่องนี้มานานมากแล้ว และช่วงนี้ยอดเฟบก็ถึงพันคนแล้ว เราเลยถือโอกาสอัพตอนพิเศษที่แต่งไว้นานแล้วให้ได้อ่านกันค่ะ ใครที่อ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ที่เราเพิ่งอัพช่วงแรก ๆ อาจจะจะลืมเนื้อเรื่องไปบ้างแล้ว ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ สำหรับตอนพิเศษนี้จะได้เห็นมุมมองทางฝั่งของน้องเธเซียสกันบ้าง แต่เนื้อเรื่องของตอนพิเศษเราวางไว้อีกยาวไกลมากเลยค่ะ เพราะตั้งใจจะเขียนเตรียมไว้สำหรับรูปเล่ม ดังนั้นอาจจะทำให้ค้างคาเล็กน้อย  ส่วนเรื่องรูปเล่มตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ ถ้าหากทุกคนชอบนิยายเรื่องนี้รบกวนส่งฟิตแบคแรงๆ ในแท็กหน่อยนะคะ เผื่อจะมีโอกาสได้ออกเล่มบ้าง T_T

ตอนพิเศษที่เราตั้งใจเขียนมีคร่าว ๆ มีประมาณนี้ค่ะ เราขอซาวน์เสียงว่าทุกคนอยากอ่านถึงตอนไหน (แต่ต้องเหลือไว้สำหรับรูปเล่มที่ยังไม่รู้อนาคตด้วยนะคะ 555)

- ดินแดนแห่งหน้ากากทองคำ
- สงครามโทรจัน
- ครีตันกับความเสื่อมสลาย
- การมาเยือนของชาวดอเรียน
- หนทางสู่การเป็น 'อะนักซ์'
- ช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟู
- บทส่งท้าย

ออฟไลน์ jj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง
พอเริ่มแล้ว วางไม่ลง
ตั้งใจอ่านอยู่หลายวัน
รายละเอียดเยอะ
มีข้อมูล และภาพทางประวัติศาสตร์ประกอบตลอด
ประทับใจมากค่ะ
ยกให้เป็น นิยายในดวงใจเลย
ขอบคุณค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด