หัวใจหลังเลนส์ #ตอนจบ และ บทส่งท้าย หน้า 133
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หัวใจหลังเลนส์ #ตอนจบ และ บทส่งท้าย หน้า 133  (อ่าน 1413303 ครั้ง)

arunoki

  • บุคคลทั่วไป
เอาตอนที่สี่มาต่อแล้วค่ะ   




----------





หัวใจหลังเลนส์
#4   






   “ผมว่า  ถ้าสื่อถึงพวกเรื่องชนชั้นวรรณะ  เพศหญิงเพศชาย  หรือจิตใจเด็กกับจิตใจผู้ใหญ่   มันน่าจะสมเหตุสมผลกับภาพขาวดำนะครับ” หลายคนในห้องประชุมพยักหน้าคล้อยตามเสียงใสที่เอ่ยนำเสนอไอเดีย   บรรดาทีมงานทั้งหลายต่างก็คงรู้สึกเป็นเสียงเดียวกันว่าครั้งนี้เด็กหนุ่มดูมั่นใจมากกว่าวันก่อนมากโข   แม้ตาจะแอบเหลือบมองเจ้าของบริษัทมาดเซอร์ที่หัวโต๊ะด้วยความระแวงเป็นระยะ
   ผลสรุปที่ได้จากการประชุมครั้งที่แล้วคือจะทำโฟโต้เซ็ทชุดนี้เป็นภาพขาวดำทั้งหมดตามความถนัดของจักรวาล   แต่เนื่องจากบรรยากาศที่ตึงเครียดในครั้งที่แล้วทำให้ยังไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดมากนัก   กลับมาวันนี้  ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะสบายตัวมากขึ้นในการนำเสนอความคิด

   “แต่...” เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยนำร่องขึ้นมานั้นส่งผลให้จักรวาลเผลอหายใจสะดุดไปวูบหนึ่ง  ก่อนจะรีบปรับกลับมาสู่สภาพปกติ “ก็ต้องอย่าลืมว่าภาพเซ็ทนี้มันจะถูกตีพิมพ์ในนิตยสารพาราโบลา   ไม่ใช่โฟโต้บุ๊คคอลเลคชั่นของตัวเอง  กลุ่มคนอ่านพาราโบลาไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะวงการศิลปะที่ชอบเสพวัตถุทางอารมณ์อย่างเดียว  แต่ยังมีกลุ่มคนทำงานด้านดีไซน์ที่เขาคงไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเจออะไรหนักๆแบบนี้ในเล่ม   ดังนั้นเราอาจจะต้องระวังว่าถ้าภาพมันสะเทือนใจเกินไป  คนอ่านบางส่วน  ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย  จะรู้สึกค้านสายตาได้”

   แม้ไม่บ่อยที่กวินจะเอ่ยอะไรขึ้นมาสักที  แต่ทุกครั้งที่ออกความเห็น  คำพูดของชายหนุ่มก็มักจะเป็นเหมือนหมัดฮุกที่ทำให้ทุกคนเห็นช่องโหว่ที่ลืมมองไปได้

   คนในห้องต่างก็นิ่งคิดกันไปอึดใจ   บางคนก็พยักหน้าหงึกหงัก   รวมถึงตัวจักรวาลเอง  เมื่อถูกพ็อยท์ขึ้นมาก็เริ่มเห็นด้วยกับสิ่งที่ตนลืมนึกไป

   ฟันหน้าเรียงตัวสวยขบลงบนริมฝีปากล่างเบาๆอย่างใช้ความคิด

   กวินเหลือบตามองเด็กหนุ่ม  ในขณะที่ทีมงานคนอื่นๆกำลังช่วยกันเสนอทางออก 

   หลังจากนั่งนิ่งไปพักใหญ่   เด็กหนุ่มก็ค่อยๆพูดขึ้นมา “แล้วถ้าเกิดเรายังจะสื่อถึงเรื่องที่ยกตัวอย่างไปตะกี้...” แม้จะเข้าใจในคำแย้งของกวิน  แต่เขาเองก็ชอบซับเจคหนักๆแบบนั้นและยังไงก็ยังอยากจะให้มันมาอยู่ในโฟโต้เซ็ทชุดนี้อยู่ดี “...แต่ว่า  เปลี่ยนมานำเสนอในรูปของภาพแอ็บสแตร็คได้ไหมครับ”

   จักรวาลกวาดตามองรอบห้อง  เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟังเด็กหนุ่มก็อธิบายต่อ “อย่างเข่นว่า  ใช้วัตถุหรือนางแบบเปรียบเทียบเป็นในเชิงสัญลักษณ์แทนที่จะเก็บภาพคนจริงๆในสภาพแวดล้อมที่มันเรียลลิสติกเกินไป  น่าจะช่วยให้ซอฟท์ลงได้  เพราะคนดูจะค่อยๆใช้ความคิดเพื่อทำความเข้าใจแล้วก็ซึมซับ  แทนที่จะรับรู้เปรี้ยงเดียว”
   
   

   รอยยิ้มกว้างถูกจุดขึ้นบนหลายใบหน้า  ซุ่มเสียงแสดงความเห็นด้วยดังขึ้นรอบห้อง...



๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



   เด็กหนุ่มนึกก่นด่ากวินอยู่ในใจขณะรีบกวาดข้าวของลงกระเป๋า   ไม่รู้คุณช่างภาพตัวโย่งนั่นเป็นอะไรนักหนา  ถึงต้องออกจากห้องประชุมคนสุดท้ายทุกที   ทั้งที่เขาอุตส่าห์ค่อยๆเก็บของทีละชิ้นรอออกทีหลังจะได้ไม่ต้องป๊ะหน้ากันแล้วเชียว
   แม้จักรวาลจะรู้สึกโล่งอกแค่ไหนที่ยังสามารถร่วมทีมทำงานกับช่างภาพชื่อดังคนนี้ได้  แต่ยังไง  นอกเหนือจากเรื่องถ่ายภาพ   เด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกไม่ดีที่จะเสวนาด้วยอยู่ดี   ไอ้เรื่องที่จะให้ทำเป็นลืมว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้างนี่ยากเกินไปจริงๆ   

   เมื่อเด็กหนุ่มมั่นใจแล้วว่ายังไงกวินก็คงไม่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ง่ายๆ   ก็เป็นตัวเองที่เป็นฝ่ายสาวเท้าไปให้ถึงประตูห้องให้เร็วที่สุด

   แต่ก็ช้ากว่าคลื่นเสียงของพ่อหนุ่มตัวสูงอยู่ดี

   “นายเก่งภาษาอังกฤษไหมเจ้าหนู”

   “ห๊ะ?” คนถูกถามยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ  เจอคำถามแบบนี้โดยไม่ตั้งตัวก็ทำเอาต้องหยุดยืนทำหน้างง  หรือไอ้หมอนี่คิดจะมาข่มกันว่ามันจบนอกวะ? “คุณถามไปทำไมครับ” เด็กหนุ่มถามกลับด้วยน้ำเสียงตั้งแง่   แต่ก็ได้หงายเงิบในวินาทีถัดมาเมื่อกวินตอบกลับ

   “ไม่มีใครสอนเหรอว่าอย่าย้อนผู้ใหญ่”
   
   เด็กหนุ่มถลึงตาขึ้นด้วยความขัดใจ   ก่อนจะรู้สึกตัวว่าตนอยู่ในฐานะอะไรจึงหดตัวลงเหลือเล็กเท่าไม้ขีดไฟ

   “อ่ะนี่” หนังสือปกดำภาษาฝรั่งถูกเลื่อนมาวางตรงหน้า “หนังสือเรียนสมัยฉันอยู่ปีสองปีสาม   เห็นว่านายสนใจภาพขาวดำ  คิดว่าอาจจะมีประโยชน์”

   จักรวาลยืนนิ่งไปก่อนตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้าหนังสือเล่มโตขึ้นมาเปิดออกดู   สายตากวาดไล่มองเนื้อหาที่ส่วนมากจะเป็นตัวอักษรบรรยายทฤษฎีซะส่วนใหญ่   เพิ่งรู้ว่านักเรียนถ่ายภาพเขาเรียนกันแบบนี้เอง...ช่างน่าอิจฉา

   “ว่าไงล่ะ  อ่านได้หรือเปล่า”

   เด็กหนุ่มพยักหน้าเบาๆ  ท่าทีอ่อนลงอย่างลืมตัว “คงพอไหวครับ   เดี๋ยวจะกลับไปเปิดดิกเอา”

   คนฟังหัวเราะในลำคอนิดๆกับคำตอบที่ได้รับ   ก่อนลุกขึ้นยืนเตรียมตัวเดินออกจากห้องไป “ดี  ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจมาถามฉันก็แล้วกัน”

   “เอ่อ...แล้วจะให้เอามาคืนเมื่อไหร่ครับ” เด็กหนุ่มถามรั้งขายาวๆไว้

   กวินเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ
   
   “ไม่ต้องคืนหรอก   ทฤษฎีพวกนั้นอยู่ในหัวฉันหมดแล้ว  นายเก็บไว้อ่านเลยแล้วกัน”

   แล้วชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไป  ทิ้งไว้เพียงจักรวาลที่ยืนมองหนังสือในมือด้วยแววตาดีใจ



๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



   “เห้ยไอ้เจ!” เสียงตะโกนเรียกคนที่กำลังวิ่งอยู่ดังมาจากข้างสนาม “ไทโปโลจี้นี่แม่งแปลว่าอะไรวะ”

   แทนที่จะเป็นคำตอบที่ดังกลับมา   กลับกลายเป็นเสียงโห่จากคนครึ่งหนึ่งและเสียงเฮจากคนอีกครึ่งหนึ่งในสนามเมื่อลูกรักบี้ในวงแขนหนุ่มเคราครึ้มถูกแย่งไปได้อย่างง่ายดาย  ก่อนจะถูกทำสกอร์ไปโดยฝ่ายตรงข้าม

   ทันทีที่เกมหยุดพัก  คนทำทีมเสียแต้มรีบเดินมายืนเท้าเอวจังก้าอยู่หน้าไอ้เพื่อนตัวดีที่ทำเขาเสียสมาธิเมื่อครู่   ฝ่ามือหนาโบกใส่กบาลคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้าไม่แรงนัก “มึงอ่ะ  ทำกูเสียจังหวะเลยนะไอ้เตี้ย”

   คนโดนด่าทำปากยื่น “เอ้า  ก็มึงเก่งภาษาอังกฤษสุดในละแวกนี้แล้วนี่หว่า  จะให้กูไปถามใครอ่ะ”

   “พอเลยๆ  เลิกอ่านได้แล้ว  ให้มันรู้เวลำ่เวลามั่ง  มึงไปลงแทนไอ้แก๊บเลยนะ  สแตนด์บายนานๆเดี๋ยวขาลีบหมด  ไปๆ” คนตัวใหญ่กว่าดึงหนังสือในมือเพื่อนรักมาพับเก็บวางไว้ข้างกระเป๋าแบบ  ก่อนรุนหลังเด็กหนุ่มเข้าไปในสนามพลางตะโกนเรียกก๊อบแก๊บที่นอนแผ่หมดแรงอยู่ที่พื้นให้ไปพัก

   รักบี้เป็นกีฬายามว่างประจำคณะสถาปัตย์ก็ว่าได้   อาจจะมีบางวันที่เด็กคณะอื่นจะมาเล่นด้วยบ้างอย่างเช่นวันนี้ที่คู่แข่งเป็นทีมจากคณะสัตวแพทย์

   ผลนัดนี้ก็เป็นไปตามคาด   ถาปัดชนะไปเป็นเรื่องธรรมดา   แม้เจจะทำเสียลูกในครึ่งที่แล้วและตัวเล่นหุ่นก้างๆอย่างจักรวาลจะทำให้ทีมเสียเปรียบอยู่บ้าง   แต่ก็ถือว่าความปราดเปรียวไม่เป็นรองใครก็สามารถเอามาหักล้างจุดด้อยข้อนั้นไปได้

   หนุ่มๆจากทีมถาปัดเดินเฮฮากันออกมานั่งพักข้างสนาม   จังหวะเดียวกับที่อาจารย์หนุ่มร่างสูงเดินผ่านมาพอดี

   “จารย์วิทย์หวัดดีค้าบบบบบ” เสียงทักทายจากลูกศิษย์ฝูงใหญ่เรียกให้ชายหนุ่มหยุดพูดคุยอย่างเป็นกันเอง

   “ว่าไง  มาวิ่งเล่นกันแบบนี้ทำงานวิชาผมเสร็จแล้วเหรอ” กรวิทย์เอ่ยแซว   เรียกเอาเสียงหัวเราะแหะๆดังมาจากบรรดาเด็กหนุ่มที่พากันส่ายหน้าแล้วยิ้มแห้งๆ “หืม  นี่อ่านหนังสือยากๆแบบนั้นกันด้วยเหรอ” อาจารย์หนุ่มพยักเพยิดไปทางหนังสือปกดำเล่มโตที่วางอยู่ข้างกระเป๋าแบบ   อากัปกิริยาการชี้นิ้วเข้าหาลูกศิษย์หน้าอ่อนของคนที่เหลือเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดีว่าใครเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนั้น

   “ผมเคยลองเอาของไอ้วินมาอ่าน   มันเข้าใจยากเหมือนกันนะ”

   “เล่มนี้ก็ของน้องชายอาจารย์นั่นแหละครับ   เขาให้ผมมา” จักรวาลตอบพลางหยิบหนังสือเล่มที่ว่าโบกไปโบกมากลางอากาศ

   กรวิทย์เลิกคิ้วขึ้นข้างเดียว “งั้นเหรอ   แล้วคุณอ่านเข้าใจหรือเปล่า”

   เด็กหนุ่มผู้ถูกถามยิ้มกว้างแล้วเอื้อมมือหยิบดิกชันนารีเล่มโตขึ้นมาในมืออีกข้าง “นี่ครับ  ผู้ช่วย”

   เห็นดังนั้นอาจารย์หนุ่มก็หัวเราะเสียงดัง  ก่อนพูดคุยกันต่อเล็กน้อยแล้วไม่นานจึงขอตัวผละไป

   “มึงรู้จักกับน้องชายอาจารย์ด้วยเหรอวะ” ก๊อบแก๊บถามขึ้นอย่างสงสัย   นอกจากอ้นแล้วจักรวาลก็ยังไม่ได้มีโอกาสเล่าให้ใครฟังถึงเรื่องที่ตนไปมีเรื่องกับกวินและเรื่องที่กวินเป็นน้องชายกรวิทย์
   
   แต่เป็นอ้นที่ชิงเล่าขึ้นมาซะก่อน “ก็ 'ท่านกวิน' ของแม่งนี่แหละที่เป็นน้องชายอาจารย์”

   เพื่อนๆผู้ฟังทำหน้าประหลาดใจแล้วพากันซักถามต่อ   จักรวาลจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้คนอื่นๆได้ฟัง

   “โห  เป็นกูนะ  กูไล่มึงออกจากบริษัทละ” เม้งเอ่ยเข้าข้างช่างภาพชื่อดังด้วยน้ำเสียงล้อเลียนที่เรียกเอาจักรวาลต้องถลึงตาใส่

   “มึงเพื่อนใครเนี่ยไอ้เจ็กเม้ง” เด็กหนุ่มชี้หน้าคาดโทษเพื่อนสนิท “ทีวันนั้นที่งานประกาศรางวัลมึงยังบอกจะไปลากเขามากระทืบให้กูอยู่เลย”

   เม้งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจนพุงขาวๆกระเพื่อม

   “แต่ไอ้คุณกวินนั่นแม่งก็ดูกวนตีนอยู่นะเว่ยกูว่า” อ้นผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่โถงใต้คณะเมื่อวันก่อนพูดขึ้นบ้าง  ยังจำแววตานิ่งๆอ่านยากที่จ้องมองเพื่อนเขาอย่างเหนือกว่าได้แม่น

   จักรวาลที่ได้ฟังก็พยักหงึกหงักเห็นด้วยทันที “กวนตีนมากกกกกกกกกกกกกกก  แม่งชอบทำท่าเหมือนตัวเองเป็นพ่อทุกสถาบัน”

   คำพูดเปรียบเทียบของเด็กหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้ไม่เบา   จนสุดท้าย  หัวข้อสนทนาตลอดการนั่งพักในเย็นนี้ก็ตกเป็นของพ่อช่างภาพเลี่ยมทองไปเต็มๆอย่างที่ไม่มีเรื่องอื่นมาปะปนเลย



๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



   “พอรู้ว่าลูกจะมา  วันนี้แม่แกก็ลงมือเข้าครัวเองเลยนะตาวิน” น้ำเสียงทรงพลังแต่ฟังดูใจดีของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะหันมาเอ่ยกับลูกชายคนที่สองที่นานๆจะเห็นหน้าสักที

   กวินยิ้มรับอย่างอ่อนน้อมก่อนจะหันไปกล่าวขอบคุณกับผู้เป็นแม่ที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้าม

   ชายหนุ่มเป็นลูกคนเดียวในบรรดาพี่น้องสี่คนที่แยกตัวออกมาอยู่คอนโดของตัวเอง   แต่เขาก็รู้ดีว่าทุกคนในครอบครัวเข้าใจในนิสัยรักสันโดษของเขาดีและไม่มีใครรู้สึกขัดแย้งอะไรที่เขาจะขอใช้ชีวิตแบบนี้   อาจจะเป็นเพราะติดมาจากการที่ถูกส่งไปเรียนที่เมืองนอกเมืองนาตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมก็เป็นได้   ซึ่งพอเขามีเวลาว่างเมื่อไหร่  ชายหนุ่มก็จะพยายามหาโอกาสมากินข้าวสังสรรค์กับครอบครัว   ไม่ได้ทิ้งกันไปไหน   แค่อาจจะไม่ได้มาบ่อยมากในช่วงเวลาที่มีงานล้นมือเท่านั้น

   “แม่รู้ว่าออกไปอยู่คนเดียวแบบนั้นลูกคงไม่ค่อยได้กินอาหารพวกนี้หรอกใช่ไหม   กินแต่พวกอาหารแช่แข็งล่ะสิ” ผู้เป็นมารดาใช้ช้อนกลางตักแกงมัสมั่นไก่ใส่จานลูกชายพลางเอ่ยน้ำเสียงหยอกเย้า

   ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเบาที่แม่ตัวเองดันรู้ทันไปเสียหมด   เครื่องครัวที่ซื้อทิ้งไว้ในคอนโดเขาน่ะฝุ่นจับจนแทบจะหนาเป็นนิ้วอยู่แล้วเนื่องจากตั้งแต่ซื้อมาเขาก็ไม่เคยได้ใช้สักที   ยอมรับตามตรงว่ากินแต่อีซี่โกแทบทุกมื้อตามที่มารดากล่าวนั่นล่ะ

   “แต่ถึงกินแต่อาหารแช่แข็ง   พี่วินก็บึ๊กกว่าผมอยู่ดี   น่าอิจฉาจริงๆ” กวี  น้องชายคนที่สามเอ่ยขึ้นบ้างพลางยกนิ้วบีบๆจับๆที่กล้ามแขนของตนสลับกับของคนข้างๆ

   “แกจะบึ๊กไปไหนอีกวะวี   นี่ก็หนาแล้วนะ  ขืนตัวเท่าพี่วินนี่เดี๋ยวก็ขึ้นรถไม่ได้พอดี” กรวรรณ น้องสาวคนสุดท้องผู้เป็นฝาแฝดกับกวีออกความเห็นด้วยน้ำเสียงมั่นใจตามประสาสาวเปรี้ยว  เพราะแค่กวีตัวเท่านี้   รถมินิที่เก็บเงินซื้อเองของชายหนุ่มก็ดูคับแคบไปกว่าปกติถึงสามเท่าแล้ว

   ในขณะที่สองแฝดหนุ่มสาวยังคงเถียงกันไปมาเรื่องหุ่น  กรวิทย์  พี่ชายคนโตที่นั่งติดกับมารดาก็เปิดบทสนาขึ้นกับกวิน
   “เออ  เห็นว่าแกยกหนังสือให้ลูกศิษย์พี่เหรอ”

   กวินเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวก่อนพยักหน้าเบาๆ “ใช่  พี่ไปรู้มาได้ไง”

   “เอ้า  ก็จักรวาลมันศิษย์รักพี่นะเว้ย  ทำไมจะไม่รู้ล่ะ   วันก่อนเห็นแอบนั่งขมักเขม้นอ่านอยู่ในคลาสพี่ด้วย  แทบจะเอาไม้ทีเคาะหัวมัน” ชายหนุ่มกล่าวพลางหัวเราะร่วน   นึกไปถึงภาพลูกศิษย์ตัวดีที่ง่วนอยู่กับการเปิดดิกจนไม่ทันเห็นเขาย่องเข้าไปข้างหลัง

   “งั้นเหรอ” ช่างภาพหนุ่มรับคำเบาๆ   ทีแรกก็นึกว่าเด็กหนุ่มเอาไปก็คงจะแค่อ่านผ่านๆเพราะดูท่าทางแล้วคงไม่ใช่เด็กชอบอะไรเครียดๆอย่างพวกเรื่องทฤษฎี

   “พูดถึงใครกันเหรอลูก” ผู้เป็นมารดาถามขึ้น

   “อ๋อ  ลูกศิษย์ที่คณะผมน่ะครับแม่แล้วก็เป็นคนรู้จักของไอ้วินมันด้วย   เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ทางบ้านไม่ค่อยมีเงิน  ตอนนี้ก็เห็นเพื่อนๆเขาบอกว่าจักรวาลเก็บตังค์ส่งตัวเองเรียนอยู่ทุกเทอมเลย” กรวิทย์อธิบายอย่างเกินความจำเป็น   เพียงแค่บอกว่าเป็นลูกศิษย์ที่บังเอิญรู้จักกับน้องชายด้วยก็น่าจะพอแล้ว   แต่ถึงกระนั้นเวลาพูดถึงเด็กคนนี้ทีไร   ชายหนุ่มก็รู้สึกอยากจะเล่าเรื่องน่าภูมิใจแบบนี้ให้คนอื่นๆฟังทุกครั้งในฐานะอาจารย์ผู้ดูแล

   กวินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ   ไม่ยักรู้ข้อเท็จจริงข้อนี้มาก่อน   เห็นหน้าตาจีนๆผิวพรรณขาวผ่องแบบนั้นนึกว่าจะเป็นลูกหลานคนมีเงินเสียอีก  แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงครั้งที่เด็กหนุ่มมายืนตะโกนด่าเขาอยู่หน้าบริษัทก็พอจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าทำไมเสื้อเพียงตัวเดียวถึงทำให้โกรธเคืองกันได้ขนาดนั้น

   “เด็กดีๆแบบนั้นสมัยนี้หายากนะ” ผู้เป็นบิดากล่าวชื่นชมเด็กหนุ่มทั้งที่ก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กันเป็นการส่วนตัว  ก่อนเสนอทางหยิบยื่นโอกาสให้อย่างใจดี “เขาฝีมือดีไหมล่ะ   พอเรียนจบพาเขามาเป็นสถาปนิกที่บริษัทเราสิ”

   “แต่ผมว่าเขาน่าจะอยากทำอาชีพอื่นมากว่าครับพ่อ” คราวนี้เป็นกวินที่เอ่ยขึ้น

   ชายวัยภูมิฐานหันมาถามหน้าตาสงสัย “แล้วเขาอยากทำอะไรล่ะ”

   “ช่างภาพมั้งครับ” ช่างหนุ่มกล่าวตอบน้ำเสียงเรียบๆ   เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า   เด็กหนุ่มอาจจะเพียงแค่ถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก   แต่จากที่ความรู้สึกและสัญชาตญาณบอกเขาเรื่องมันน่าจะเป็นอย่างที่เขาบอกพ่อไป   คนชอบอะไรเหมือนๆกันย่อมมองกันออก

   ผู้ฟังเพียงพยักหน้าขึ้นลงรับทราบ   ก่อนจะหันไปถามข่าวคราวการเตรียมงานแต่งของกรวิทย์กับแฟนสาวว่าไปถึงไหนแล้ว   บทสนทนาเกี่ยวกับจักรวาลหยุดลงแค่นั้น   เหลือก็แต่ช่างภาพหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยังคงครุ่นคิดอะไรเกี่ยวกับเจ้าเด็กตัวกะเปี๊ยกนั่นเงียบๆ






TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2012 15:44:47 โดย arunoki »

atblueann

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักจริงๆเลยนายเอกเนี่ย อยากอ่านทุกวัน วันละหลายๆๆตอนจัง 555

atblueann

  • บุคคลทั่วไป
อยากให้กวินชวนนายเอกเราไปทำงานด้วยกันจัง แบบงานพิเศษหลังเลิกเรียนไรเงี้ย

ออฟไลน์ supizpiz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 692
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-0
ไม่อยากเป็นสถาปนิคแต่อยากเป็นสะใภ้บ้านนี้อ่ะครับ เอิ๊กๆ  :z1:

ออฟไลน์ didi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1000
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-8

Tiamo_jamsai

  • บุคคลทั่วไป
 o18 o18   เมื่อคืนเล่นในไอแพด มืดๆไม่ทันสังเกตเลยเข้าใจผิดไป  :m23: :m23:     ขอโทษด้วยค่ะ   



    :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ:   ขอบคุณคนเขียนค่าาาา   อัพให้วันนี้ น่ารักแท้

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
อ่านลื่นไหลมากมากค่ะ
สนุกดี
พระเอกเป็นคนมีเหตุมีผลมากเลย
รออ่านทุดวันเลยค่ะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
นายเอกของเราเป็นเด็กขยันและสู้ชีวิต เก่งจริงๆๆ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
เป็นพล็อตเรื่องที่น่าสนใจดีค่ะ เกี่ยวกับการถ่ายรูปด้วย

พระเอกกับนายเอกอายุต่างกันเยอะอยู่

ออฟไลน์ Vesi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +204/-3
ความน่ารักของเด็กมันเริ่มเข้าตาแล้วสินะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
เริ่มแล้วๆๆ จะรออ่านนะค่ะ
อิๆๆๆ

ออฟไลน์ dimth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ลุ้นๆ  :-[

ขอบคุณผู้แต่งค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
คนเขียนเรียนมาทางด้านถ่ายรูปรึเปล่าค่ะ
เวลาอ่านแล้วรู้สึกมีอารมณ์ร่วมในทุกๆตอน
ท่านกวินนี่เท่ห์มากๆๆๆๆ   กริ๊ดดดดดเลย

ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
ชอบๆ ค่อยๆใกล้กันมากขึ้นแล้วสินะ

รอตอนต่อไปค่ะ

swordtails

  • บุคคลทั่วไป
เพื่อนเชียร์ให้มาอ่านค่ะ บอกว่าเรื่องอ่านง่าย แล้วก็น่ารักดี

มาลองอ่านดู ก็เห็นด้วยทุกประการ เรียบง่ายแต่น่าติดตามทีเดียวค่ะ ^^

การพบเจอกันครั้งแรกระหว่างกวินกับจักรวาล ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่
แต่หลังจากที่ได้ร่วมงานกัน ได้เห็นความเป็นมืออาชีพของกันและกันแล้ว
ก็ชวนให้รู้สึกถึงบรรยากาศดี ๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

หนังสือภาษาต่างประเทศสำหรับเด็กบ้านนอกที่หาเงินส่งตัวเองเรียนมันยากเอาการอยู่นะคะคุณกวิน ~
จะให้เด็กอ่านไป เปิดดิกไปเสียทุกบรรทัดมันจะดีเร้อ ~~~~
เปิดไพรเวทคอร์สสอนพิเศษไปเลยดีกว่ามั้ง ^^

อร๊ายยยย รอดูใจคุณกวินตอนหน้าค่ะ !

ออฟไลน์ NannY

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +125/-1
สนุกมากเช่นเคยค่า ค่อยๆ ลุ้นกันไป อยากให้พี่วินสนใจน้องมากกว่านี้ค่า

ออฟไลน์ maruko

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
สะดุดตาตั้งแต่ชื่อเรื่อง พอมาอ่านแล้วยิ่งชอบเลย ไม่ค่อยเห็นนิยายที่ตัวเอกเป็นช่างภาพแบบเจาะลึกแบบนี้
บรรยายเนื้อเรื่องได้ดีมากเลยค่ะ  ชอบภาษา การดำเนินเรื่อง ชอบน้องปอมและชอบเวลาท่านกวินแกล้งน้องด้วย 55555

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ถ้าบ้านนี้ได้น้องปอมมาเป็นสะใภ้ นี่ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลยนะ
ถ้าไม่ให้เป็นช่างภาพกับกวิน  ก็ให้มาช่วยงานของบริษัทที่บ้านแทนก็ได้  อิอิ   :-[ :-[ :-[


เรื่องสนุกมากค่ะ  อ่านแล้วยิ้มทุกตอนเลย  :กอด1:

ออฟไลน์ moredee

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-8
:L2:ชวนติดตาม

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง เพราะตัวเองก็ชอบถ่ายรูปเหมือนกันถึงจะชอบถ่ายแนว landscape มากกว่าก็เถอะ ^ ^

เนื้อเรื่องสนุกดีครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






arunoki

  • บุคคลทั่วไป
เอาตอนที่ห้ามาส่งค่ะ

สำหรับตอนนี้ต้องขอออกตัวสักหน่อยว่าภาษากล้องอาจจะเยอะกว่าตอนอื่นๆเล็กน้อย  แต่เนื่องจากมันเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องก็เลยพยายามจะเขียนออกมาให้เข้าใจง่ายที่สุด(ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะง่ายจริงหรือเปล่า  :sad4:)  แล้วก็อยากจะขอบอกว่าศัพท์แสงบางคำที่ไม่รู้จักแล้วในตัวเรื่องไม่ได้เขียนขยายความอะไรเอาไว้ก็ให้อ่านผ่านๆไปได้เลยนะคะ  เพราะในส่วนที่ไม่ได้อธิบายจะเป็นแค่พวกคำที่เอามาขยายเนื้อหาหลักเพื่ออรรถรสที่สมจริงขึ้นค่ะ  แหะๆ  :o8:

อีกเรื่องที่อยากจะพูดคือ  รู้สึกเหนือความคาดหมายมากค่ะที่มีคอกล้องเข้ามาอ่านหลายท่านเลยทีเดียว  :impress2:  ใครอยากโฟ่เรื่องกล้อง เต็มที่เลยนะคะ   ยินดีมาโฟ่ด้วย  :-[
ส่วนสำหรับบางท่านที่ถามว่าคนเขียนเรียนมาทางด้านถ่ายภาพหรือเปล่า  อยากจะบอกว่าน้องปอมเป็นยังไงคนเขียนก็เป็นอย่างนั้นเลยค่ะ   คือเป็นนักเรียนสถาปัตย์ที่ไม่อยากเป็นสถาปนิก  แต่ดันอยากเป็นช่างภาพ   และชื่นชอบภาพถ่ายขาวดำคอนทราสท์หนักๆแบบนั้นเป๊ะเลย  แหะๆ  เรียกว่าเอาชีวิตตัวเองมาเขียนนี่แหละ  จะต่างกันก็ตรงที่ฝีมือที่ห่างชั้นกับน้องปอมและไม่ได้หาเงินส่งตัวเองเรียนเท่านั้น   :o8:


เอาล่ะ  หลังจากนี้ขอเชิญทุกท่านเอ็นจอยกับตอนที่ห้าเลยค่ะ  โดโซะ!


ปล1. พูดมากจังวะวันนี้ *ด่าตัวเอง
ปล2. รักผู้อ่านทุกท่านนะคะ  และรักเป็นพิเศษสำหรับท่านที่แถมคอมเม้นท์ให้ด้วย  จุ๊บๆ :กอด1:
ปล3. จะมีคำเดียวในเรื่องที่อยากให้ทุกคนเข้าใจแต่ไม่ได้เขียนอธิบาย  และคิดว่าคอกล้องหลายๆท่านคงรู้จัก  แต่สำหรับคนที่ไม่เคยคลุกคลีกับเรื่องพวกนี้   อยากจะบอกว่า  'หนอน' เป็นชื่อเล่นของยี่ห้อ Canon เน้อ



----------


หัวใจหลังเลนส์
#5


   นิ้วเรียวบางบีบลูกยางพ่นใส่กระจกเลนส์สองสามครั้งอย่างทะนุถนอม  เมื่อเช็คดูจนมั่นใจว่าไม่เหลือฝุ่นสักเม็ดให้เห็นก็หมุนฟิลเตอร์ติดเข้าที่เดิม   

   “วันนี้พ่อจะพาไปออกรอบนะลูกนะไอ้หนอน” จักรวาลบ่นพึมพำเบาๆกับกล้องคู่ใจตัวแรกและตัวเดียวที่มี 

   คำว่า 'ออกรอบ' ของเด็กหนุ่มในที่นี้   โดยปกติแล้วจะเป็นแนวกลางแจ้ง  สตรีทไลฟ์เสียมากกว่า  แต่คำว่า 'ออกรอบ' ในวันนี้ออกจะต่างไปสักหน่อยตรงที่มันจะเปลี่ยนเป็นการถ่ายในสตูดิโอ

   สำหรับมือสมัครเล่นจนๆอย่างเขาแล้ว   ประสบการณ์การถ่ายในสตูถือว่าน้อยนิดเหลือเกิน   มันก็อยู่แล้วล่ะ  ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นมือสมัครเล่น   งานระดับที่ต้องเช่าสตูดิโอถ่ายกันวันละหลายพัน  ไหนจะอุปกรณ์อื่นๆอีกรวมแล้วก็เหยียบหมื่น  เจ้าของงานเขาคงจะมาจ้างหรอก   ไอ้ครั้นจะเช่าเองลองถ่ายเอง  ก็นะ...บ่จี๊   
   มากสุดที่เคยลองก็ตอนที่ไปขอยืมสตูคณะนิเทศน์ใช้   แต่ก็แทบจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยในเมื่อทางคณะให้ยืมแต่ห้องแต่ไม่ให้ยืมอุปกรณจัดแสงอื่นๆที่ต้องใช้ไฟฟ้า  มีแต่รีเฟล็กซ์เก่าๆยุ่ยๆให้สองสามอัน   แฟลชแยกนายจักรวาลก็ไม่มีปัญญาซื้อเป็นของตัวเอง  ลำพังแสงแฟลชหัวกล้องแข็งๆก็ไม่ได้ช่วยเลย   สุดท้ายไม่ต่างอะไรกับถ่ายเล่นในห้องพักนั่นล่ะ

   แต่เมื่อวานซืน  พี่มลเพิ่งโทรแจ้งเขาว่าวันอาทิตย์นี้ที่บริษัทจะมีถ่ายแฟชั่นเซ็ทของนิตยสารฉบับหนึ่ง  อยากให้เด็กหนุ่มมาลองสตูดิโอให้คุ้นเคยดู   เป็นผลให้วันนี้จักรวาลตื่นมาด้วยความกะปรี้กะเปร่าสุดแรงเกิด

   คนร่างเล็กเปิดๆปิดๆกระเป๋ากล้องเช็คแบตเตอร์รี่เช็คเมโมรีการ์ดเป็นรอบสุดท้ายเพื่อความชัวร์   เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างพร้อมจึงตรงไปยังประตูห้อง

   แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นขอบประตู  เด็กหนุ่มก็เดินกลับเข้ามากลางห้องอีกครั้ง  ก่อนจะยืนลังเลใจอยู่เพียงครู่แล้วตัดสินใจหยิบของที่อยากเอาไปให้ใครบางคนดูติดมือมาด้วย 



๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



   จักรวาลผลักประตูบานใหญ่เข้าไปเงียบๆ   ทันทีประตูเปิดออก  แสงแฟลชวูบวาบก็แวบมากระทบตา  อุณหภูมิห้องที่ถูกปรับจนเย็นเฉียบเพื่อรักษาสภาพอุปกรณ์ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกนิดๆ

   ร่างบางค่อยๆเดินเข้าไปข้างใน   สีหน้าท่าทางแสดงออกชัดเจนถึงความตื่นตาตื่นใจ   ทั้งตัวนายแบบนางแบบหน้าฝรั่งที่ยืนโพสท์ท่ากันอย่างมืออาชีพตรงกลางฉากสีขาว   ไหนจะอุปกรณ์อย่างดีที่วางอยู่เต็มห้อง   สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเดินล่องลอยอยู่บนอากาศเลยทีเดียว
   
   แต่เหนือสิ่งอื่นใด   ความยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมารอบตัวช่างภาพระดับเซียนที่ยืนสั่งงานอยู่หลังกล้องเสมือนคนควบคุมหางเสือนั้นถูกส่งมาถึงตัวจักรวาลและทำให้เลือดในกายสูบฉีดไปทั่ว

   นี่แหละ  สิ่งที่เขาใฝ่ฝันไว้ว่าสักวันอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง...

   ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังยืนเหม่อ  กวินก็ลดกล้องลงแล้วหันกลับมาพอดี
   
   “อ้าว  มาแล้วทำไมไม่เรียก”

   จักรวาลสะดุ้งเล็กน้อย  ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ   ยังไงก็ต้องยอมรับล่ะนะว่าสุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกขยาดกับกวินอยู่ดี 

   ร่างสูงอาศัยจังหวะที่นางแบบพักแต่งหน้าตรงมายังคนตัวเล็กที่ยังคงยืนนิ่ง   ชายหนุ่มไล่สายตามองไปยังกล้องในมืออีกฝ่าย  “...350D...   ไม่เห็นคนใช้มานานแล้วนะเนี่ย”

   ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็กระตุกคิ้ววูบก่อนเงยหน้ามองคนพูดพลางกล่าวเสียงหม่น “ก็ผมไม่ได้มีเงินเยอะแยะนี่”

   “เห้ย  ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” กวินรีบส่ายหน้าปฏิเสธ  ที่เผลอพูดออกไปนั่นก็ตรงตามความหมายจริงๆ  ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกดูแคลนแต่อย่างใด

   แต่ก็ไม่แปลกหากจักรวาลจะตีความไปในทางนั้น   ในเมื่อเจ้าหนอนแก่รุ่นนี้มันมีอายุเกือบเจ็ดปีแล้ว   เรียกว่าเป็นตัวแรกๆที่ออกวางขายหลังยุคกล้องฟิล์มด้วยซ้ำ   เป็นกล้องรุ่นล่างความละเอียดเพียงแปดล้านพิกเซล  เทียบกับสมัยนี้  โทรศัพท์มือถือรุ่นดีๆยังให้ความละเอียดได้มากกว่า   แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็เป็นของรักคู่ใจเด็กหนุ่มมาโดยตลอดชีวิตการถ่ายภาพ

   เมื่อเห็นร่างเล็กตรงหน้าก้มลงมองกล้องในมือด้วยสีหน้าเจื่อนลง  ชายหนุ่มก็ต้องยกมือเกาท้ายทอยก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

   “มาตรงนี้สิ” กวินเดินนำเด็กหนุ่มมายังหน้าฉากที่นายแบบนางแบบยืนกันอยู่  แล้วเริ่มอธิบายเทคนิคต่างๆที่ควรรู้

   ถึงตรงนี้  จักรวาลตัดความคิดอคติชายหนุ่มตรงหน้าออกไปชั่วคราว   ก่อนตั้งใจฟังเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู้ที่ไม่ได้หาง่ายๆไปให้มากที่สุด



๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



   ตากล้องหนุ่มเบอร์สองของบริษัทยื่นถ้วยกาแฟให้คนตัวสูงผิดเผ่าพันธุ์ข้างๆ   พลางจิบกาแฟอีกถ้วยที่อยู่ในมือของตนช้าๆ “น้องปอมเป็นไงบ้างวะพี่”

   สายตาทั้งสองคู่จับจ้องไปยังร่างโปร่งบางที่ง่วนอยู่กับการเก็บภาพแทนที่ตำแหน่งที่กวินเคยยืนอยู่เมื่อครู่

   “มึงคิดว่าไงล่ะ” คนถูกถามส่งคำถามกลับไป

   ก้อ  ช่างภาพมืออาชีพที่แม้จะไม่โดดเด่นเท่ากวิน  แต่ฝีมือก็ถือว่าเก่งกาจอยู่พอตัว   ชายหนุ่มอมยิ้มนิดๆ ก่อนยักไหล่ตอบ “ก็ถ้าดูจากที่พี่ปล่อยให้โซโล่เองตั้งแต่วันแรกที่ลองสนามจริงแบบนี้ก็น่าจะร้ายอยู่นะ   ผมเดาถูกป่ะ?”

   กวินหัวเราะในลำคอเบาๆ “เจ้าหนูนี่มันไม่ธรรมดา   จากสายตากู  ถ้ามีเทรนเนอร์ดีๆ  อีกไม่เกินปีนึงคงเทิร์นโปร”

   คนเป็นลูกน้องเบิกตาขึ้นเล็กน้อย  ก่อนกล่าวน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “งั้นเชียว?”

   ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร  เพียงแต่จ้องมองท่าทีของเด็กหนุ่มที่ตกเป็นประเด็นในบทสนทนานิ่งๆ

   เห็นอย่างนั้นก้อจึงเอ่ยเลียบๆเคียงๆถามต่อ “แล้วไอ้ 'เทรนเนอร์ดีๆ' ที่ว่านี่ใครอ่ะพี่”

   “ก็....กู..........มั้ง”

   เท่านั้นคนฟังก็ต้องพ่นลมออกมาแรงๆ “โห่  ไรวะ  ก็นึกว่าจะตอบว่าผม”

   “มึงไม่ต้องเลยไอ้หัวงู   เด็กมันมีอนาคตนะเว่ย” ชายหนุ่มกล่าวขำๆก่อนเอื้อมมือตบกะโหลกลูกน้องไปหนึ่งดอก

   คนถูกโบกยกมือขึ้นคลำหัวตัวเองป้อยๆ “แหม  นี่ก็รู้ทันผมตลอด   ก็น้องแม่งน่ารักอ่ะพี่” พูดพลางทำตาละห้อยมองไปทางเด็กหนุ่ม

   กวินหัวเราะในลำคอเบาๆอีกครั้ง “หึ  แม่งห้าวขนาดนั้น  เขาคงจะเล่นกับมึงหรอกนะ”

   หลังจากนั้นก้อก็ได้แต่บ่นพึมพำง้องแง้งอีกเพียงนิด  ก่อนจะเป็นกวินที่เป็นฝ่ายผละออกไป
   
   ร่างสูงสาวเท้าตรงเข้าไปยังจุดที่จักรวาลยืนเช็คภาพในหน้าจอ   ดูท่าว่าเด็กหนุ่มจะได้ภาพที่ต้องการครบเรียบร้อยแล้ว  “ไม่เลวนี่” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบๆ   ดวงตาคมจ้องไปยังหน้าจอแมคโปรที่วางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากฉาก

   จักรวาลเหลียวหลังมองเจ้าของเสียง   ก่อนขมวดคิ้วน้อยๆ “แต่ผมว่าแสงมันดูแข็งๆ”

   คนมากประสบการณ์กว่าที่ยืนกอดอกลูบคางพยักหน้าเบาๆ “ใช่  ยังไม่ธรรมชาติเท่าไหร่” ชายหนุ่มยื่นมือไปชี้ตามจุดต่างๆในหน้าจอที่แสงยังไม่สมบูรณ์   จักรวาลกัดปากมองตามอย่างกลุ้มใจ “แต่เป็นเรื่องธรรมดาเพราะนายยังไม่ชินกับแฟลช   วันหลังมาลองอีกสักสองสามครั้งก็จะจับจุดได้เอง”

   เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนพูดครู่หนึ่ง  สีหน้ายังไม่คลายกังวล

   เมื่อเห็นดวงตาคู่เรียวจ้องหน้าเขาเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่  ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามออกไป “ทำไม  หน้าฉันมีอะไรติดหรือไง?”

   ดวงตากลมโตของคนถูกถามหลุบมองภาพที่ตนเป็นคนถ่ายกับมือในหน้าจออีกครั้งก่อนตัดสินใจถามออกไปว่า... “แล้วครั้งแรกที่คุณถ่ายในสตู   ภาพออกมาเป็นแบบนี้ไหม?” หากแต่เมื่อถามจบเด็กหนุ่มก็นึกหงุดหงิดและอายตัวเองขึ้นมา   ไม่รู้ว่าถามออกไปได้ยังไง   เอาอะไรมาคิดว่าฝีมือของเขามันจะสามารถเทียบกับกวินได้

   กวินทอดมองเด็กหนุ่มตรงหน้า   รอยยิ้มบางๆถูกวาดขึ้นบนเรียวปากจนคนมองรู้สึกใจไม่ดีเพราะนึกว่าตัวเองจะถูกหัวเราะเยาะอีกแล้ว   

   แผงฟันเรียงสวยขบลงไปบนริมฝีบางสีสดแรงยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว...

   “ตอนนั้นฉันอายุสักสิบสี่สิบห้าได้มั้ง...” ชายหนุ่มเกริ่นขึ้นเบาๆ  บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่น้อยๆ    
   “รูปที่ออกมา...เละเป็นโจ๊ก”

   จักรวาลเบิกตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ

   “แย่กว่าของนายสักสิบเท่าได้” กวินพูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆ   จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงกลับมาไทยระหว่างปิดเทอม    พ่อของเขาแอบสร้างสตูดิโอให้เป็นของขวัญที่ประกวดถ่ายภาพระดับเยาวชนชนะเลิศที่อเมริกา   กวินในวัยสิบห้าปีตื่นเต้นมากถึงขนาดลากตัวน้องสาวน้องชายมาเป็นแบบให้ทันทีที่เห็นห้อง   แต่ผลกลับกลายเป็นว่าภาพที่ได้ออกมาทำเขาเสียความมั่นใจไปเป็นอาทิตย์   
   เรียกได้ว่า   อาการแทบไม่ต่างอะไรกับที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นอยู่ในตอนนี้เลยสักนิด

   จักรวาลเงยหน้ามองคนตัวสูงอีกครั้ง   ประเมินจากสายตาแล้วกวินไม่น่าใช่คนประเภทที่จะพูดมาจาปลอบใจคนอื่นแน่ๆเห็นได้ชัดจากเวลาประชุม   ยิ่งกับเขาที่เคยตะโกนด่าเจ้าตัวปาวๆ   ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องมาใส่ใจความรู้สึก   ดังนั้น  เรื่องที่ชายหนุ่มพูดเมื่อสักครู่คงจะเป็นเรื่องจริง
   การได้รู้ว่าแม้แต่คนเก่งระดับนี้ก็เคยทำพลาดมา   ทำให้จิตใจที่เหี่ยวลงไปกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

   “เอาล่ะ  วันนี้พอก่อนแล้วกัน” กวินกล่าวขึ้นพลางรับกล้องรุ่นโปรที่ให้เด็กหนุ่มลองใช้มาเช็คสภาพ “วันหลังถ้ามีถ่ายงานอะไรง่ายๆอีกฉันจะให้พี่มลโทรเรียก   นายกลับได้แล้วล่ะ”

   หากแต่เมื่อกล่าวจบชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจกับท่าทีของจักรวาล   แทนที่จะเดินออกไปเมื่อเขาบอกให้กลับได้แต่เด็กหนุ่มกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม  ซำ้ยังมีอาการอำ้ๆอึ้งๆเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด

   กวินจ้องกลับไปด้วยสายตาสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาก่อน   ชายหนุ่มยืนรอให้ร่างเล็กเริ่มพูดขึ้นมาเอง

   เมื่อเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามของช่างภาพคนดัง   จักรวาลก็อึกอักต่อสักพักก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด   มือเรียวบางค่อยๆก้มลงเปิดกระเป๋าสะพายแล่งใบโตของตนเองก่อนดึงเอาของที่มีลักษณะคล้ายสมุดเล่มใหญ่ๆออกมายื่นให้คนตรงหน้า

   “เอ่อ...นี่เป็นผลงานของผมทั้งหมดครับ   คือ...อยากจะรบกวนให้คุณช่วยดูแล้ววิจารณ์” จักรวาลยอมรับตามตรงว่ารู้สึกเสียฟอร์มไม่น้อยที่ต้องมาขอร้องคนที่ตนเคยชี้หน้าด่าเอาไว้   แต่ก็ถือว่าเพื่อการพัฒนาฝีมือแล้วกันถึงได้ยอมทำ

   อาการยิ้มกรุ้มกริ่มแบบที่เคยเห็นในห้องประชุมเมื่อวันก่อนของคนตรงหน้าทำเอาเด็กหนุ่มหน้าชาขึ้นมาดื้อๆ   ไหนบอกว่าแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้ไม่ใช่เหรอวะไอ้ยักษ์

   เด็กหนุ่มรีบชักแขนกลับเข้ามาโดยไม่ต้องคิด “ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไรครับ   ผมขอตัวก่อน” ร่างเล็กทำท่าจะหมุนตัวเดินออกมา   แต่ก็ถูกหยุดไว้ก่อนโดยฝ่ามือใหญ่

   กวินคว้าไหล่ของเด็กหนุ่มตรงหน้าให้หันกลับมาทางเดิมแล้วใช้มืออีกข้างคว้าอัลบัมภาพเล่มโตในมือบางมาไว้ที่ตน “ใจร้อนจริงนะ”

   เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างนึกเคืองแค้น   อยากให้ดูก็อยากให้ดู  แต่เดินหนีไปให้พ้นๆหน้าไอ้คนกวนประสาทนี่ก็อยากทำ

   แต่สุดท้ายแล้วจักรวาลก็ต้องเดินตามชายหนุ่มที่เดินนำเขาไปโดยไม่ลืมจะหันมาสั่งลูกน้องให้ช่วยกันเก็บอุปกรณ์

   กวินนำเด็กหนุ่มมาที่ห้องทำงานของตน    ช่างภาพมือทองสั่งให้จักรวาลนั่งรอบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ประจำโต๊ะของตัวเองบ้าง

   เด็กหนุ่มทำเป็นหยิบนิตยสารกล้องบนโต๊ะทำงานรกๆนี่ขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาขณะที่กวินกำลังดูอัลบัมภาพของเขาอยู่   แต่ก็อดที่จะเหลือบขึ้นมามองปฏิกริยาของชายหนุ่มเป็นระยะๆไม่ได้

   ใบหน้าหล่อเข้มที่ดูเหมือนจะมีเขาเชื้อชาติตะวันตกนิดๆไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาให้เห็น   ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังแต่ละภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ   ทีท่าแบบนั้นทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกกระสับกระส่าย   แม้จะเตรียมใจรับคำวิจารณ์เพื่อนำไปพัฒนาฝีมืออยู่แล้ว  แต่เด็กหนุ่มกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆในใจก็แอบกลัวที่จะต้องเจอคำวิจารณ์แรงๆอยู่เหมือนกัน

   ฝ่ามือหนาพลิกหน้าสุดท้ายของอัลบัมให้ปิดลงในที่สุด

   ทันทีที่ชายหนุ่มเงยขึ้นมา   จักรวาลก็ลุ้นจนเผลอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างลืมตัว   

   กวินยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังกระเป๋ากล้องใบไม่ใหญ่นักข้างลำตัวของเด็กหนุ่ม  ก่อนเอ่ยถามขึ้น “นั่นเป็นอุปกรณ์ทั้งหมดที่เธอมีใช่ไหม” จำได้ว่าที่เห็นเมื่อตอนบ่ายเด็กหนุ่มน่าจะมีเพียงตัวกล้องกับเลนส์คิท 18-135 เท่านั้น

   จักรวาลทำหน้างงกับคำถามเล็กน้อย “เอ่อ..ใช่ครับ   จริงๆมีขาตั้งด้วยแต่ไม่ได้เอามา”

   คนฟังพยักหน้าเบาๆด้วยสีหน้าครุ่นคิด   พลางยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา

   “ทำไมเหรอครับ   หรือว่า...” ความคิดใหม่ที่เพิ่งแล่นเข้ามาในหัววินาทีนั้น   เรียกให้คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ   แววตาที่จ้องมองไปอย่างไม่ทันรู้ตัวแสดงออกชัดเจนว่าคิดอะไรอยู่

   เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นแบบนั้น  กวินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอกเหนื่อยใจ
   “นี่   ถึงฉันจะรวยแต่ก็ไม่เคยคิดดูถูกใครนะเว้ย   หัดมองโลกในแง่ดีหน่อยไอ้หนู!”

   คำว่ากล่าวของคนเป็นผู้ใหญ่กว่าทำเอาใบหน้าขาวขึ้นสีด้วยความอับอาย   เด็กหนุ่มกัดปากแน่นพลางเสตามองพื้น

   กวินถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง  ก่อนปรับน้ำเสียงให้เรียบเป็นปกติอีกครั้ง “วันนี้นายไม่ได้จะไปไหนต่อใช่ไหม”

   คนถูกถามเหลือบตามองเพียงนิด “ไม่ครับ”

   “ดี” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “งั้นก็ตามฉันมา”

   ขายาวๆก้าวนำไปที่ประตูทำให้เด็กหนุ่มต้องลุกขึ้นวิ่งตาม “นี่  เดี๋ยวสิ  คุณจะพาผมไปไหน”

   “มาเหอะน่า  ไม่เอาไปฆ่าหรอก”



๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



   ประตูห้องพักคอนโดบานใหญ่เรียบแต่หรูเปิดออก  ก่อนคนเปิดจะพยักพเยิดให้แขกที่ไม่ค่อยเต็มใจจะมาเดินนำเข้าไป

   กว่าคนทั้งสองจะฝ่าด่านรถติดมหันต์มาถึงที่นี่ได้พระอาทิตย์ก็ตกดินเสียแล้ว   ตลอดการเดินทางไม่มีใครปริปากเปิดบทสนทนาอะไรออกมาเลย   ทีแรกจักรวาลก็คิดว่าชายหนุ่มคงพาไปซื้อหนังสือคู่มือ  หรือเข้าร้านกล้อง  หรือไปดูโลเคชั่น  หรือใดๆก็ตามที่จะเป็นการให้คำแนะนำเกี่ยวกับภาพถ่ายของเขาเลยขี้เกียจถาม  เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจหลับซะ  หนีความอึดอัด  แต่ที่ไหนได้  ตื่นมาอีกทีรถแม่งดันมาจอดในคอนโดหรูใจกลางเมือง
   ร้านหนังสือร้านกล้องแม่งไม่ไป  แต่เสือกพาขึ้นห้องเฉย!

   “มาตรงนี้สิ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกคนที่กำลังยืนทำตัวลีบอยู่กลางห้อง

   เด็กหนุ่มเดินมาตามเสียงเรียก   ตรงหน้าของพวกเขาทั้งคู่ตอนนี้เป็นประตูบานเลื่อนใหญ่ๆบานหนึ่ง   ดูจากข้างนอกคล้ายจะเป็นตู้เสื้อผ้าบิลท์อิน   ดวงตาเรียวสวยเสมองเจ้าของห้องด้วยความสงสัย

   กวินล้วงกุญแจในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาไขล็อก   ก่อนที่แขนแกร่งจะค่อยๆเลื่อนมันเปิดออกช้าๆ

   เพียงแค่ได้เห็นบรรดาสิ่งของที่ถูกซ่อนอยู่หลังบานประตูเท่านั้นแหละ   เด็กหนุ่มก็เบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน   อยู่ๆกรามล่างก็ทิ้งตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วงราวกับกล้ามเนื้อใบหน้าจะหยุดทำงานไปซะดื้อๆ

   ชายหนุ่มเหลือบตามองร่างเล็กข้างๆที่กำลังอ้าปากค้างทำตาวาวแล้วก็ต้องลอบอมยิ้ม 

   ทันทีที่เด็กหนุ่มดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้ก็รีบถามออกมา “น...นี่ของคุณหมดเลยเหรอ”

   อุปกรณ์กล้องนับร้อยชิ้นถูกจัดเรียงแยกตามหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้นที่ดูเหมือนจะออกแบบมาเพื่อพวกมันโดยเฉพาะ   เรียกได้ว่ามีทุกอย่างสากกะเบือยันเรือรบ   ไม่ว่าจะเป็นกล้องรุ่นต่างๆ ยี่ห้อต่างๆ ทั้งแบบดิจิตอลและฟิล์ม  แม้แต่ทอยคาเมร่าอย่างโลโม่ก็ยังมี   หรือพวกเลนส์ที่เรียงเป็นตับชนิดที่ว่าครบระยะ  เอาไว้ส่องมันตั้งแต่แบคทีเรียยันกาแลคซี่เพื่อนบ้าน(อันนี้ก็เว่อร์ไปหน่อย)  ไหนจะแฟลช  ฟิลเตอร์  ฟิล์มไซส์ต่างๆ  แบตกริป  ขาตั้ง  และอีกฯลฯ 

   ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าเบาๆ  ก่อนก้าวเข้าไปหยิบเลนส์ตัวหนึ่งยื่นให้จักรวาลที่ยังคงยืนทำหน้าวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมอยู่เนืองๆ “เอาติดกล้องนายดูสิ”

   เด็กหนุ่มควักกล้องของตนออกมาหมุนเลนส์เดิมออกงงๆ  ก่อนติดเลนส์ตัวที่กวินหยิบให้ตามคำสั่ง   

   ใบหน้าเรียวเล็กก้มลงพินิจอุปกรณ์ทรงกระบอกที่อยู่ในมือตน  เลนส์ไวด์...เลนส์ในดวงใจของผู้ชอบท่องเที่ยว   เหมาะแก่การถ่ายวิว  ถ่ายสถาปัตยกรรมต่างๆ  ก็เคยดูรูปที่ถ่ายจากเลนส์พวกนี้อยู่บ่อยๆ   ภาพที่ออกมาดูยิ่งใหญ่สมกับระยะกว้างๆของมันดี   แต่กระนั้น   สำหรับคนที่คงไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวไหนเท่าไหร่อย่างเขา   สารภาพตามตรงว่าเลนส์กลุ่มนี้แทบไม่เคยอยู่ในสายตา

   “ลองเอาไปเดินส่องรอบๆห้องดูสิ   ยังไม่ต้องกดชัตเตอร์ก็ได้  แค่ส่องดูเฉยๆก็พอ”

   จักรวาลทำตามคำบอกของชายหนุ่ม   แค่เพียงแนบตาลงไปกับช่องมองภาพก็เผลออุทานออกมาเบาๆ “โห  กว้างชิบหาย”

   ภาพที่เห็นผ่านรูเล็กๆนั้นดูต่างออกไปจากภาพจริงที่มองด้วยตาเปล่ามาก   ทุกอย่างดูกว้างขึ้นจนรู้สึกแปลกใจ   เด็กหนุ่มเดินส่องรอบๆผ่านกล้องอยู่นานสองนาน   และค้นพบว่าเพียงแค่มุมที่ยืนต่างไปจากเดิมไม่กี่องศา  ก็สามารถทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนละสถานที่ได้เลย
   แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ากวินต้องการจะบอกอะไร   เพราะถึงอย่างไรสไตล์ที่เขาถนัดมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความกว้างขนาดนี้อยู่แล้ว

   ราวกับอ่านความคิดได้   คนที่ย้ายมานั่งรอที่โต๊ะทานข้าวก็ออกคำสั่งต่อ

   “ทีนี้ลองเปลี่ยนไปส่องพวกวัตถุดูบ้างสิ”

   เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนเดินไปส่องพวกเครื่องครัว  แจกัน  โต๊ะ  โซฟา   ขยับเข้าๆออกๆระหว่างระยะไกลและใกล้  บางทีก็ส่ายกล้องไปมา
   ก่อนจะเริ่มเข้าใจอะไรได้รางๆ...

   “คนส่วนมากชอบคิดว่าเลนส์ไวด์เอาไว้ถ่ายวิวอย่างเดียว   ซึ่งฉันมองว่าเป็นการประเมินอุปกรณ์ที่ต่ำเกินไป   จริงๆมันทำอะไรได้มากกว่านั้นเยอะ” ช่างภาพผู้มากประสบการณ์เริ่มอธิบาย “ยิ่งโดยเฉพาะกับรูปแนวที่นายชอบ   ลองมาดูนี่สิ” ชายหนุ่มกวักมือเรียกจักรวาลให้เข้าไปหา

   อัลบัมภาพของเด็กหนุ่มถูกเปิดออก “กับภาพประเภทที่ต้องการความสมจริง  เลนส์ไวด์อาจไม่เหมาะที่จะเอาไปถ่ายคนหรือสิ่งของ   แต่เท่าที่ดูจากผลงานที่ผ่านๆมาของนายแล้ว   ดูจะหนักไปทางสะท้อนจิตใจไม่ก็สะท้อนความเป็นไปของโลก   ภาพแบบนี้มันเป็นศิลปะ   มันจะสวยได้ก็เพราะเราดึงสิ่งที่คนทั่วไปมองข้ามมานำเสนอไม่ใช่เพราะความถูกต้องของสัดส่วนหรือองค์ประกอบภาพอะไรเลย”

   จักรวาลพยักหน้าตามช้าๆ   ในหัวสมองคิดตามสิ่งที่ชายหนุ่มพูด

   “รูปทั้งหมดในอัลบัมนี้มีความหมายแฝงที่น่าสนใจอยู่ทุกรูป   แต่ลองดูอย่างรูปนี้ดิ   ถ้าเป็นคนทั่วไปมองมันจะกลายเป็นแค่รูปสาวสวยธรรมดาๆ    เพราะมุมมองมันคล้ายกับที่เราใช้ตาเปล่ามองทั่วๆไป   มันเลยไม่ได้ไปกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าต้องคิดตาม    รูปส่วนมากของนายเป็นแบบนั้น   มันจะมีแต่คนแบบฉันหรือพวกนักศิลปะเท่านั้นที่ดูแล้วเข้าใจว่านายจะสื่ออะไร   แต่ยากเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าถึง   ดังนั้น   ฉันว่าเลนส์ไวด์เป็นตัวช่วยที่ดีมาก   เพราะระยะที่แปลกไปจากที่ตาเราเห็น   พอเอาไปถ่ายวัตถุหรือคนมันจะช่วยให้คนมองเกิดคำถามว่าวัตถุในรูปถูกมองจากมุมไหนหรืออะไรทำให้เขาไม่เคยเห็นวัตถุพวกนี้ในมุมแบบนี้    เป็นการชักจูงให้คนค่อยๆรู้สึกอยากทำความเข้าใจความหมายที่แฝงในรูป   ที่พูดมาพอจะเข้าใจหรือเปล่า”

   เสียงทุ้มนุ่มที่ร่ายยาวหันมาถามคนฟังเมื่ออธิบายจบ

   เด็กหนุ่มพยักหน้าแรงๆ   รู้สึกเหมือนโดนหมอผ่าเอาเนื้องอกออกแล้วแถมด้วยยารักษาแผลโปะลงไป   เคยรู้สึกอยู่เหมือนกันว่าภาพถ่ายของตนมันมีอะไรขาดๆเกินๆสักอย่างแต่ก็มองไม่ออก    จนพอได้ฟังคำวิจารณ์จากคนตัวสูงก็แทบร้องอ๋อออกมาดังๆ

   ในหัวสมองของเด็กหนุ่มตอนนี้คิดไปไกลถึงเรื่องจะเก็บตังค์เพิ่มซื้อเลนส์ใหม่เสียแล้ว...

   กวินเจาะวิจารณ์บางรูปต่ออีกครู่ใหญ่  กระทั่งนาฬิกาชี้ไปที่เลขแปดการวิจารณ์ทั้งหมดก็สิ้นสุดลงพอดี



   “เห้ยๆ ติดมันไว้แบบนั้นแหละ” กวินเอ่ยห้ามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเตรียมตัวจะถอดเลนส์คืน “เอาไปลองใช้ให้คุ้น  ฉันให้ยืม”

   จักรวาลทำหน้าตกใจก่อนก้มลงมองเลนส์ในมืออีกครั้ง   ดูจากโหงวเฮ้งแล้วนี่มันรุ่นเกือบๆโปรเลยนะเห้ย   ราคาคงไม่ตำ่กว่าสามหมื่นแน่ๆ

   “เอาไปเหอะ   ตัวนี้ฉันไม่ค่อยได้ใช้แล้ว”

   “ไม่เอาดีกว่า   เดี๋ยวผมไปซื้อเอง   เกิดทำของคุณเจ๊งผมคงต้องไปขายตัวหาเงินใช้หนี้กันพอดี”

   “แล้วเก็บตังค์อีกกี่ปีกว่าจะได้ซื้อ   เห้ยๆ  ไม่ต้องมามองอย่างนั้นเลยนะเว่ย   ไม่ได้ดูถูกนะ”

   “ก็มัน...”

   “พอเลยๆขี้เกียจเถียง  เอาเป็นว่าฉันขอสั่งในฐานะหัวหน้าแล้วกัน   อย่าลืมว่าฉันถือเป็นผู้ดูแลนายจนกว่างานโฟโต้เซ็ทของพาราโบลาจะจบ   ถ้าพูดอะไรแล้วไม่ทำตามก็ยกเลิกงานนี้ไปได้เลย”

   “เห้ยคุณ!”

   “กลับบ้านเหอะ  เดี๋ยวฉันไปส่ง” กวินตัดสินใจตัดบทพลางเดินไปหยิบกุญแจรถ  ตั้งแต่เรียนจบมาชายหนุ่มไม่เคยต้องมานั่งเถียงใครล้งเล้งอย่างนี้มาก่อน   ไอ้หมอนี่มันเด็กจริงๆ ให้ตายสิ

   “ห๊ะ!  จะไปส่งทำไม  ผมกลับเองได้”

   นั่นไง   เรื่องเก่าไปเรื่องใหม่มา

   “ก็ฉันพานายมา  ก็ต้องพากลับด้วยสิ  ดึกแล้วมีคนไปส่งไม่ดีหรือไง”

   “ดึกบ้าอะไรเพิ่งสองทุ่ม   เป็นผู้ชายโว้ยไม่ใช่สาวน้อย   กลับเองได้”

   “ตัวเล็กเท่าหอยหลอดมาทำปากดี   ถ้าโดนใครกระชากกล้องไปคิดว่าจะสู้เขาได้เหรอวะ”

   “ก็ถึงได้บอกไงว่าให้เอาเลนส์ของคุณคืนไป   แล้วก็ไม่ต้องไปส่งด้วย”

   “เห้ยแม่ง  กูโมโหแล้วนะเว่ย  มึงจะเลิกทำแล้วใช่ไหม  ไอ้โฟโต้เซ็ทเนี่ย”

   

   เงียบ...
   ถ้ารู้ว่าขึ้นกูขึ้นมึงแล้วเรื่องจะจบง่ายแบบนี้กวินทำไปตั้งนานแล้ว

   

   ชายหนุ่มปรับสีหน้ากลับมาโหมดนิ่งขรึมเหมือนเดิม   เถียงกับไอ้เด็กนี่แล้วเสียลุคจริงๆ...



๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



   ปากบอกว่าไม่อยากได้   แต่ไหงตลอดทางไอ้ตัวเล็กนี่มันดันเอาแต่นั่งส่องโลกผ่านเลนส์ไปจนถึงหน้าหอเลยวะ

   “ขอบคุณที่มาส่ง” จักรวาลกล่าวกับสารถีเสียงห้วน  ก่อนเปิดประตูลงจากรถไป

   ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะหมุนตัวเดินเข้าหอพัก   กระจกหน้าต่างฝั่งที่เขานั่งเมื่อครู่ก็ค่อยๆลดลงมา “นี่   เลนส์ตัวนั้นน่ะ  หาโอกาสใช้มันบ่อยๆนะ  จะได้ชิน” เมื่อเห็นคนฟังพยักหน้าขึ้นลงแกนๆจึงกล่าวต่อ “ถ้าใช้แล้วไม่ชอบจะมาเอาตัวอื่นไปลองก็ได้   แต่ถ้าใช้แล้วเข้ามือก็...เอาไปเลย  ฉันยกให้”
   
   พูดจบปุ๊บชายหนุ่มก็รีบกดหน้าต่างปิดปั๊บแล้วขับออกไปเลย   พอเหลือบตามองกระจกหลังก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนอ้าปากค้างอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด









TBC.







ปล ท้ายเรื่อง. ตอนจับเลนส์ไวด์ครั้งแรกหลังใช้เลนส์ระยะปกติมานาน  ส่องไปปุ๊บตกใจเลยค่ะ  อุทานคำเดียวกับน้องปอมเป๊ะๆ 'โห  กว้างชิบหาย'  มีใครเคยเป็นเหมือนกันบ้างมั้ยไม่รู้  แต่พอ  ใช้ไปนานๆกลายเป็นระยะที่ติดใจมากที่สุดเลย   มันส์มือดีมาก   o13   เอิ๊กๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2012 15:46:01 โดย arunoki »

ออฟไลน์ moredee

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-8
ใกล้เลนส์หัวใจเข้าไปอีกนิดแล้ว :z3:

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ผมใช้ wide เป็นประจำอยู่แล้ว

จริงๆคือถ่ายได้แนวเดียว ถ่ายแนวอื่นไม่ได้เลย T T

Tiamo_jamsai

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ Rywzaki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
สนุกมากเลยค่ะเรื่องนี้  o13
จะรอลุ้นนะว่าใครจะตกหลุมใครก่อน  :o8:
น้องปอมก็น่ารักเกิน พี่วินก็เจนเทิลแมนซะ
อ้อออ แล้วก็ได้ความรู้เรื่องกล้องเยอะเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ รอตอนต่อไป  :L2:


ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อ่านแต่ละตอนของเรื่องนี้แล้ว เพลินมาก ยังไม่จุดที่ทำให้อารมณ์ที่อ่านต้องสะดุดเลย เช่น พวกคำผิด อะไรแบบนี้

ขอชมคนแต่งนะคะ

ออฟไลน์ aeecd

  • :: 8018 ::
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-0
ชอบๆ ตอนนี้เราก็เรียนถ่ายภาพ
สนุกดี ได้ความรู้ด้วย 55555

bluebird

  • บุคคลทั่วไป
มาอ่านครั้งแรกค่ะ สนุกมากเลย
อาจจะเพราะแอบอินกับอะไรแบบนี้อยู่ 555+
อ่านตอนกวินพาปอมไปที่ห้องแล้วขำ
เป็นเรา เราก็อ้าปากค้างวะ อาณาจักรพี่แกร่ำรวยอุปกรณ์ขนาดนั้น
รออ่านตอนหน้าค่ะ ^^

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
สนุกดีค่ะ อ่านไปยิ้มไปกับน้องปอม

ออฟไลน์ Noo_Patchy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1055
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด