เอาตอนที่ห้ามาส่งค่ะ
สำหรับตอนนี้ต้องขอออกตัวสักหน่อยว่าภาษากล้องอาจจะเยอะกว่าตอนอื่นๆเล็กน้อย แต่เนื่องจากมันเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องก็เลยพยายามจะเขียนออกมาให้เข้าใจง่ายที่สุด(ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะง่ายจริงหรือเปล่า
) แล้วก็อยากจะขอบอกว่าศัพท์แสงบางคำที่ไม่รู้จักแล้วในตัวเรื่องไม่ได้เขียนขยายความอะไรเอาไว้ก็ให้อ่านผ่านๆไปได้เลยนะคะ เพราะในส่วนที่ไม่ได้อธิบายจะเป็นแค่พวกคำที่เอามาขยายเนื้อหาหลักเพื่ออรรถรสที่สมจริงขึ้นค่ะ แหะๆ
อีกเรื่องที่อยากจะพูดคือ รู้สึกเหนือความคาดหมายมากค่ะที่มีคอกล้องเข้ามาอ่านหลายท่านเลยทีเดียว
ใครอยากโฟ่เรื่องกล้อง เต็มที่เลยนะคะ ยินดีมาโฟ่ด้วย
ส่วนสำหรับบางท่านที่ถามว่าคนเขียนเรียนมาทางด้านถ่ายภาพหรือเปล่า อยากจะบอกว่าน้องปอมเป็นยังไงคนเขียนก็เป็นอย่างนั้นเลยค่ะ คือเป็นนักเรียนสถาปัตย์ที่ไม่อยากเป็นสถาปนิก แต่ดันอยากเป็นช่างภาพ และชื่นชอบภาพถ่ายขาวดำคอนทราสท์หนักๆแบบนั้นเป๊ะเลย แหะๆ เรียกว่าเอาชีวิตตัวเองมาเขียนนี่แหละ จะต่างกันก็ตรงที่ฝีมือที่ห่างชั้นกับน้องปอมและไม่ได้หาเงินส่งตัวเองเรียนเท่านั้น
เอาล่ะ หลังจากนี้ขอเชิญทุกท่านเอ็นจอยกับตอนที่ห้าเลยค่ะ โดโซะ!
ปล1. พูดมากจังวะวันนี้ *ด่าตัวเอง
ปล2. รักผู้อ่านทุกท่านนะคะ และรักเป็นพิเศษสำหรับท่านที่แถมคอมเม้นท์ให้ด้วย จุ๊บๆ
ปล3. จะมีคำเดียวในเรื่องที่อยากให้ทุกคนเข้าใจแต่ไม่ได้เขียนอธิบาย และคิดว่าคอกล้องหลายๆท่านคงรู้จัก แต่สำหรับคนที่ไม่เคยคลุกคลีกับเรื่องพวกนี้ อยากจะบอกว่า 'หนอน' เป็นชื่อเล่นของยี่ห้อ Canon เน้อ
----------
หัวใจหลังเลนส์
#5
นิ้วเรียวบางบีบลูกยางพ่นใส่กระจกเลนส์สองสามครั้งอย่างทะนุถนอม เมื่อเช็คดูจนมั่นใจว่าไม่เหลือฝุ่นสักเม็ดให้เห็นก็หมุนฟิลเตอร์ติดเข้าที่เดิม
“วันนี้พ่อจะพาไปออกรอบนะลูกนะไอ้หนอน” จักรวาลบ่นพึมพำเบาๆกับกล้องคู่ใจตัวแรกและตัวเดียวที่มี
คำว่า 'ออกรอบ' ของเด็กหนุ่มในที่นี้ โดยปกติแล้วจะเป็นแนวกลางแจ้ง สตรีทไลฟ์เสียมากกว่า แต่คำว่า 'ออกรอบ' ในวันนี้ออกจะต่างไปสักหน่อยตรงที่มันจะเปลี่ยนเป็นการถ่ายในสตูดิโอ
สำหรับมือสมัครเล่นจนๆอย่างเขาแล้ว ประสบการณ์การถ่ายในสตูถือว่าน้อยนิดเหลือเกิน มันก็อยู่แล้วล่ะ ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นมือสมัครเล่น งานระดับที่ต้องเช่าสตูดิโอถ่ายกันวันละหลายพัน ไหนจะอุปกรณ์อื่นๆอีกรวมแล้วก็เหยียบหมื่น เจ้าของงานเขาคงจะมาจ้างหรอก ไอ้ครั้นจะเช่าเองลองถ่ายเอง ก็นะ...บ่จี๊
มากสุดที่เคยลองก็ตอนที่ไปขอยืมสตูคณะนิเทศน์ใช้ แต่ก็แทบจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยในเมื่อทางคณะให้ยืมแต่ห้องแต่ไม่ให้ยืมอุปกรณจัดแสงอื่นๆที่ต้องใช้ไฟฟ้า มีแต่รีเฟล็กซ์เก่าๆยุ่ยๆให้สองสามอัน แฟลชแยกนายจักรวาลก็ไม่มีปัญญาซื้อเป็นของตัวเอง ลำพังแสงแฟลชหัวกล้องแข็งๆก็ไม่ได้ช่วยเลย สุดท้ายไม่ต่างอะไรกับถ่ายเล่นในห้องพักนั่นล่ะ
แต่เมื่อวานซืน พี่มลเพิ่งโทรแจ้งเขาว่าวันอาทิตย์นี้ที่บริษัทจะมีถ่ายแฟชั่นเซ็ทของนิตยสารฉบับหนึ่ง อยากให้เด็กหนุ่มมาลองสตูดิโอให้คุ้นเคยดู เป็นผลให้วันนี้จักรวาลตื่นมาด้วยความกะปรี้กะเปร่าสุดแรงเกิด
คนร่างเล็กเปิดๆปิดๆกระเป๋ากล้องเช็คแบตเตอร์รี่เช็คเมโมรีการ์ดเป็นรอบสุดท้ายเพื่อความชัวร์ เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างพร้อมจึงตรงไปยังประตูห้อง
แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นขอบประตู เด็กหนุ่มก็เดินกลับเข้ามากลางห้องอีกครั้ง ก่อนจะยืนลังเลใจอยู่เพียงครู่แล้วตัดสินใจหยิบของที่อยากเอาไปให้ใครบางคนดูติดมือมาด้วย
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
จักรวาลผลักประตูบานใหญ่เข้าไปเงียบๆ ทันทีประตูเปิดออก แสงแฟลชวูบวาบก็แวบมากระทบตา อุณหภูมิห้องที่ถูกปรับจนเย็นเฉียบเพื่อรักษาสภาพอุปกรณ์ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกนิดๆ
ร่างบางค่อยๆเดินเข้าไปข้างใน สีหน้าท่าทางแสดงออกชัดเจนถึงความตื่นตาตื่นใจ ทั้งตัวนายแบบนางแบบหน้าฝรั่งที่ยืนโพสท์ท่ากันอย่างมืออาชีพตรงกลางฉากสีขาว ไหนจะอุปกรณ์อย่างดีที่วางอยู่เต็มห้อง สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเดินล่องลอยอยู่บนอากาศเลยทีเดียว
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมารอบตัวช่างภาพระดับเซียนที่ยืนสั่งงานอยู่หลังกล้องเสมือนคนควบคุมหางเสือนั้นถูกส่งมาถึงตัวจักรวาลและทำให้เลือดในกายสูบฉีดไปทั่ว
นี่แหละ สิ่งที่เขาใฝ่ฝันไว้ว่าสักวันอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง...
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังยืนเหม่อ กวินก็ลดกล้องลงแล้วหันกลับมาพอดี
“อ้าว มาแล้วทำไมไม่เรียก”
จักรวาลสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ยังไงก็ต้องยอมรับล่ะนะว่าสุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกขยาดกับกวินอยู่ดี
ร่างสูงอาศัยจังหวะที่นางแบบพักแต่งหน้าตรงมายังคนตัวเล็กที่ยังคงยืนนิ่ง ชายหนุ่มไล่สายตามองไปยังกล้องในมืออีกฝ่าย “...350D... ไม่เห็นคนใช้มานานแล้วนะเนี่ย”
ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็กระตุกคิ้ววูบก่อนเงยหน้ามองคนพูดพลางกล่าวเสียงหม่น “ก็ผมไม่ได้มีเงินเยอะแยะนี่”
“เห้ย ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” กวินรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ที่เผลอพูดออกไปนั่นก็ตรงตามความหมายจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกดูแคลนแต่อย่างใด
แต่ก็ไม่แปลกหากจักรวาลจะตีความไปในทางนั้น ในเมื่อเจ้าหนอนแก่รุ่นนี้มันมีอายุเกือบเจ็ดปีแล้ว เรียกว่าเป็นตัวแรกๆที่ออกวางขายหลังยุคกล้องฟิล์มด้วยซ้ำ เป็นกล้องรุ่นล่างความละเอียดเพียงแปดล้านพิกเซล เทียบกับสมัยนี้ โทรศัพท์มือถือรุ่นดีๆยังให้ความละเอียดได้มากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็เป็นของรักคู่ใจเด็กหนุ่มมาโดยตลอดชีวิตการถ่ายภาพ
เมื่อเห็นร่างเล็กตรงหน้าก้มลงมองกล้องในมือด้วยสีหน้าเจื่อนลง ชายหนุ่มก็ต้องยกมือเกาท้ายทอยก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“มาตรงนี้สิ” กวินเดินนำเด็กหนุ่มมายังหน้าฉากที่นายแบบนางแบบยืนกันอยู่ แล้วเริ่มอธิบายเทคนิคต่างๆที่ควรรู้
ถึงตรงนี้ จักรวาลตัดความคิดอคติชายหนุ่มตรงหน้าออกไปชั่วคราว ก่อนตั้งใจฟังเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู้ที่ไม่ได้หาง่ายๆไปให้มากที่สุด
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ตากล้องหนุ่มเบอร์สองของบริษัทยื่นถ้วยกาแฟให้คนตัวสูงผิดเผ่าพันธุ์ข้างๆ พลางจิบกาแฟอีกถ้วยที่อยู่ในมือของตนช้าๆ “น้องปอมเป็นไงบ้างวะพี่”
สายตาทั้งสองคู่จับจ้องไปยังร่างโปร่งบางที่ง่วนอยู่กับการเก็บภาพแทนที่ตำแหน่งที่กวินเคยยืนอยู่เมื่อครู่
“มึงคิดว่าไงล่ะ” คนถูกถามส่งคำถามกลับไป
ก้อ ช่างภาพมืออาชีพที่แม้จะไม่โดดเด่นเท่ากวิน แต่ฝีมือก็ถือว่าเก่งกาจอยู่พอตัว ชายหนุ่มอมยิ้มนิดๆ ก่อนยักไหล่ตอบ “ก็ถ้าดูจากที่พี่ปล่อยให้โซโล่เองตั้งแต่วันแรกที่ลองสนามจริงแบบนี้ก็น่าจะร้ายอยู่นะ ผมเดาถูกป่ะ?”
กวินหัวเราะในลำคอเบาๆ “เจ้าหนูนี่มันไม่ธรรมดา จากสายตากู ถ้ามีเทรนเนอร์ดีๆ อีกไม่เกินปีนึงคงเทิร์นโปร”
คนเป็นลูกน้องเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนกล่าวน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “งั้นเชียว?”
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร เพียงแต่จ้องมองท่าทีของเด็กหนุ่มที่ตกเป็นประเด็นในบทสนทนานิ่งๆ
เห็นอย่างนั้นก้อจึงเอ่ยเลียบๆเคียงๆถามต่อ “แล้วไอ้ 'เทรนเนอร์ดีๆ' ที่ว่านี่ใครอ่ะพี่”
“ก็....กู..........มั้ง”
เท่านั้นคนฟังก็ต้องพ่นลมออกมาแรงๆ “โห่ ไรวะ ก็นึกว่าจะตอบว่าผม”
“มึงไม่ต้องเลยไอ้หัวงู เด็กมันมีอนาคตนะเว่ย” ชายหนุ่มกล่าวขำๆก่อนเอื้อมมือตบกะโหลกลูกน้องไปหนึ่งดอก
คนถูกโบกยกมือขึ้นคลำหัวตัวเองป้อยๆ “แหม นี่ก็รู้ทันผมตลอด ก็น้องแม่งน่ารักอ่ะพี่” พูดพลางทำตาละห้อยมองไปทางเด็กหนุ่ม
กวินหัวเราะในลำคอเบาๆอีกครั้ง “หึ แม่งห้าวขนาดนั้น เขาคงจะเล่นกับมึงหรอกนะ”
หลังจากนั้นก้อก็ได้แต่บ่นพึมพำง้องแง้งอีกเพียงนิด ก่อนจะเป็นกวินที่เป็นฝ่ายผละออกไป
ร่างสูงสาวเท้าตรงเข้าไปยังจุดที่จักรวาลยืนเช็คภาพในหน้าจอ ดูท่าว่าเด็กหนุ่มจะได้ภาพที่ต้องการครบเรียบร้อยแล้ว “ไม่เลวนี่” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบๆ ดวงตาคมจ้องไปยังหน้าจอแมคโปรที่วางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากฉาก
จักรวาลเหลียวหลังมองเจ้าของเสียง ก่อนขมวดคิ้วน้อยๆ “แต่ผมว่าแสงมันดูแข็งๆ”
คนมากประสบการณ์กว่าที่ยืนกอดอกลูบคางพยักหน้าเบาๆ “ใช่ ยังไม่ธรรมชาติเท่าไหร่” ชายหนุ่มยื่นมือไปชี้ตามจุดต่างๆในหน้าจอที่แสงยังไม่สมบูรณ์ จักรวาลกัดปากมองตามอย่างกลุ้มใจ “แต่เป็นเรื่องธรรมดาเพราะนายยังไม่ชินกับแฟลช วันหลังมาลองอีกสักสองสามครั้งก็จะจับจุดได้เอง”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนพูดครู่หนึ่ง สีหน้ายังไม่คลายกังวล
เมื่อเห็นดวงตาคู่เรียวจ้องหน้าเขาเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามออกไป “ทำไม หน้าฉันมีอะไรติดหรือไง?”
ดวงตากลมโตของคนถูกถามหลุบมองภาพที่ตนเป็นคนถ่ายกับมือในหน้าจออีกครั้งก่อนตัดสินใจถามออกไปว่า... “แล้วครั้งแรกที่คุณถ่ายในสตู ภาพออกมาเป็นแบบนี้ไหม?” หากแต่เมื่อถามจบเด็กหนุ่มก็นึกหงุดหงิดและอายตัวเองขึ้นมา ไม่รู้ว่าถามออกไปได้ยังไง เอาอะไรมาคิดว่าฝีมือของเขามันจะสามารถเทียบกับกวินได้
กวินทอดมองเด็กหนุ่มตรงหน้า รอยยิ้มบางๆถูกวาดขึ้นบนเรียวปากจนคนมองรู้สึกใจไม่ดีเพราะนึกว่าตัวเองจะถูกหัวเราะเยาะอีกแล้ว
แผงฟันเรียงสวยขบลงไปบนริมฝีบางสีสดแรงยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว...
“ตอนนั้นฉันอายุสักสิบสี่สิบห้าได้มั้ง...” ชายหนุ่มเกริ่นขึ้นเบาๆ บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่น้อยๆ
“รูปที่ออกมา...เละเป็นโจ๊ก”
จักรวาลเบิกตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“แย่กว่าของนายสักสิบเท่าได้” กวินพูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆ จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงกลับมาไทยระหว่างปิดเทอม พ่อของเขาแอบสร้างสตูดิโอให้เป็นของขวัญที่ประกวดถ่ายภาพระดับเยาวชนชนะเลิศที่อเมริกา กวินในวัยสิบห้าปีตื่นเต้นมากถึงขนาดลากตัวน้องสาวน้องชายมาเป็นแบบให้ทันทีที่เห็นห้อง แต่ผลกลับกลายเป็นว่าภาพที่ได้ออกมาทำเขาเสียความมั่นใจไปเป็นอาทิตย์
เรียกได้ว่า อาการแทบไม่ต่างอะไรกับที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นอยู่ในตอนนี้เลยสักนิด
จักรวาลเงยหน้ามองคนตัวสูงอีกครั้ง ประเมินจากสายตาแล้วกวินไม่น่าใช่คนประเภทที่จะพูดมาจาปลอบใจคนอื่นแน่ๆเห็นได้ชัดจากเวลาประชุม ยิ่งกับเขาที่เคยตะโกนด่าเจ้าตัวปาวๆ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องมาใส่ใจความรู้สึก ดังนั้น เรื่องที่ชายหนุ่มพูดเมื่อสักครู่คงจะเป็นเรื่องจริง
การได้รู้ว่าแม้แต่คนเก่งระดับนี้ก็เคยทำพลาดมา ทำให้จิตใจที่เหี่ยวลงไปกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
“เอาล่ะ วันนี้พอก่อนแล้วกัน” กวินกล่าวขึ้นพลางรับกล้องรุ่นโปรที่ให้เด็กหนุ่มลองใช้มาเช็คสภาพ “วันหลังถ้ามีถ่ายงานอะไรง่ายๆอีกฉันจะให้พี่มลโทรเรียก นายกลับได้แล้วล่ะ”
หากแต่เมื่อกล่าวจบชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจกับท่าทีของจักรวาล แทนที่จะเดินออกไปเมื่อเขาบอกให้กลับได้แต่เด็กหนุ่มกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ซำ้ยังมีอาการอำ้ๆอึ้งๆเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด
กวินจ้องกลับไปด้วยสายตาสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มยืนรอให้ร่างเล็กเริ่มพูดขึ้นมาเอง
เมื่อเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามของช่างภาพคนดัง จักรวาลก็อึกอักต่อสักพักก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด มือเรียวบางค่อยๆก้มลงเปิดกระเป๋าสะพายแล่งใบโตของตนเองก่อนดึงเอาของที่มีลักษณะคล้ายสมุดเล่มใหญ่ๆออกมายื่นให้คนตรงหน้า
“เอ่อ...นี่เป็นผลงานของผมทั้งหมดครับ คือ...อยากจะรบกวนให้คุณช่วยดูแล้ววิจารณ์” จักรวาลยอมรับตามตรงว่ารู้สึกเสียฟอร์มไม่น้อยที่ต้องมาขอร้องคนที่ตนเคยชี้หน้าด่าเอาไว้ แต่ก็ถือว่าเพื่อการพัฒนาฝีมือแล้วกันถึงได้ยอมทำ
อาการยิ้มกรุ้มกริ่มแบบที่เคยเห็นในห้องประชุมเมื่อวันก่อนของคนตรงหน้าทำเอาเด็กหนุ่มหน้าชาขึ้นมาดื้อๆ ไหนบอกว่าแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้ไม่ใช่เหรอวะไอ้ยักษ์
เด็กหนุ่มรีบชักแขนกลับเข้ามาโดยไม่ต้องคิด “ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวก่อน” ร่างเล็กทำท่าจะหมุนตัวเดินออกมา แต่ก็ถูกหยุดไว้ก่อนโดยฝ่ามือใหญ่
กวินคว้าไหล่ของเด็กหนุ่มตรงหน้าให้หันกลับมาทางเดิมแล้วใช้มืออีกข้างคว้าอัลบัมภาพเล่มโตในมือบางมาไว้ที่ตน “ใจร้อนจริงนะ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างนึกเคืองแค้น อยากให้ดูก็อยากให้ดู แต่เดินหนีไปให้พ้นๆหน้าไอ้คนกวนประสาทนี่ก็อยากทำ
แต่สุดท้ายแล้วจักรวาลก็ต้องเดินตามชายหนุ่มที่เดินนำเขาไปโดยไม่ลืมจะหันมาสั่งลูกน้องให้ช่วยกันเก็บอุปกรณ์
กวินนำเด็กหนุ่มมาที่ห้องทำงานของตน ช่างภาพมือทองสั่งให้จักรวาลนั่งรอบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ประจำโต๊ะของตัวเองบ้าง
เด็กหนุ่มทำเป็นหยิบนิตยสารกล้องบนโต๊ะทำงานรกๆนี่ขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาขณะที่กวินกำลังดูอัลบัมภาพของเขาอยู่ แต่ก็อดที่จะเหลือบขึ้นมามองปฏิกริยาของชายหนุ่มเป็นระยะๆไม่ได้
ใบหน้าหล่อเข้มที่ดูเหมือนจะมีเขาเชื้อชาติตะวันตกนิดๆไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาให้เห็น ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังแต่ละภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ ทีท่าแบบนั้นทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกกระสับกระส่าย แม้จะเตรียมใจรับคำวิจารณ์เพื่อนำไปพัฒนาฝีมืออยู่แล้ว แต่เด็กหนุ่มกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆในใจก็แอบกลัวที่จะต้องเจอคำวิจารณ์แรงๆอยู่เหมือนกัน
ฝ่ามือหนาพลิกหน้าสุดท้ายของอัลบัมให้ปิดลงในที่สุด
ทันทีที่ชายหนุ่มเงยขึ้นมา จักรวาลก็ลุ้นจนเผลอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างลืมตัว
กวินยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังกระเป๋ากล้องใบไม่ใหญ่นักข้างลำตัวของเด็กหนุ่ม ก่อนเอ่ยถามขึ้น “นั่นเป็นอุปกรณ์ทั้งหมดที่เธอมีใช่ไหม” จำได้ว่าที่เห็นเมื่อตอนบ่ายเด็กหนุ่มน่าจะมีเพียงตัวกล้องกับเลนส์คิท 18-135 เท่านั้น
จักรวาลทำหน้างงกับคำถามเล็กน้อย “เอ่อ..ใช่ครับ จริงๆมีขาตั้งด้วยแต่ไม่ได้เอามา”
คนฟังพยักหน้าเบาๆด้วยสีหน้าครุ่นคิด พลางยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา
“ทำไมเหรอครับ หรือว่า...” ความคิดใหม่ที่เพิ่งแล่นเข้ามาในหัววินาทีนั้น เรียกให้คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ แววตาที่จ้องมองไปอย่างไม่ทันรู้ตัวแสดงออกชัดเจนว่าคิดอะไรอยู่
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นแบบนั้น กวินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอกเหนื่อยใจ
“นี่ ถึงฉันจะรวยแต่ก็ไม่เคยคิดดูถูกใครนะเว้ย หัดมองโลกในแง่ดีหน่อยไอ้หนู!”
คำว่ากล่าวของคนเป็นผู้ใหญ่กว่าทำเอาใบหน้าขาวขึ้นสีด้วยความอับอาย เด็กหนุ่มกัดปากแน่นพลางเสตามองพื้น
กวินถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง ก่อนปรับน้ำเสียงให้เรียบเป็นปกติอีกครั้ง “วันนี้นายไม่ได้จะไปไหนต่อใช่ไหม”
คนถูกถามเหลือบตามองเพียงนิด “ไม่ครับ”
“ดี” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “งั้นก็ตามฉันมา”
ขายาวๆก้าวนำไปที่ประตูทำให้เด็กหนุ่มต้องลุกขึ้นวิ่งตาม “นี่ เดี๋ยวสิ คุณจะพาผมไปไหน”
“มาเหอะน่า ไม่เอาไปฆ่าหรอก”
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ประตูห้องพักคอนโดบานใหญ่เรียบแต่หรูเปิดออก ก่อนคนเปิดจะพยักพเยิดให้แขกที่ไม่ค่อยเต็มใจจะมาเดินนำเข้าไป
กว่าคนทั้งสองจะฝ่าด่านรถติดมหันต์มาถึงที่นี่ได้พระอาทิตย์ก็ตกดินเสียแล้ว ตลอดการเดินทางไม่มีใครปริปากเปิดบทสนทนาอะไรออกมาเลย ทีแรกจักรวาลก็คิดว่าชายหนุ่มคงพาไปซื้อหนังสือคู่มือ หรือเข้าร้านกล้อง หรือไปดูโลเคชั่น หรือใดๆก็ตามที่จะเป็นการให้คำแนะนำเกี่ยวกับภาพถ่ายของเขาเลยขี้เกียจถาม เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจหลับซะ หนีความอึดอัด แต่ที่ไหนได้ ตื่นมาอีกทีรถแม่งดันมาจอดในคอนโดหรูใจกลางเมือง
ร้านหนังสือร้านกล้องแม่งไม่ไป แต่เสือกพาขึ้นห้องเฉย!
“มาตรงนี้สิ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกคนที่กำลังยืนทำตัวลีบอยู่กลางห้อง
เด็กหนุ่มเดินมาตามเสียงเรียก ตรงหน้าของพวกเขาทั้งคู่ตอนนี้เป็นประตูบานเลื่อนใหญ่ๆบานหนึ่ง ดูจากข้างนอกคล้ายจะเป็นตู้เสื้อผ้าบิลท์อิน ดวงตาเรียวสวยเสมองเจ้าของห้องด้วยความสงสัย
กวินล้วงกุญแจในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาไขล็อก ก่อนที่แขนแกร่งจะค่อยๆเลื่อนมันเปิดออกช้าๆ
เพียงแค่ได้เห็นบรรดาสิ่งของที่ถูกซ่อนอยู่หลังบานประตูเท่านั้นแหละ เด็กหนุ่มก็เบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน อยู่ๆกรามล่างก็ทิ้งตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วงราวกับกล้ามเนื้อใบหน้าจะหยุดทำงานไปซะดื้อๆ
ชายหนุ่มเหลือบตามองร่างเล็กข้างๆที่กำลังอ้าปากค้างทำตาวาวแล้วก็ต้องลอบอมยิ้ม
ทันทีที่เด็กหนุ่มดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้ก็รีบถามออกมา “น...นี่ของคุณหมดเลยเหรอ”
อุปกรณ์กล้องนับร้อยชิ้นถูกจัดเรียงแยกตามหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้นที่ดูเหมือนจะออกแบบมาเพื่อพวกมันโดยเฉพาะ เรียกได้ว่ามีทุกอย่างสากกะเบือยันเรือรบ ไม่ว่าจะเป็นกล้องรุ่นต่างๆ ยี่ห้อต่างๆ ทั้งแบบดิจิตอลและฟิล์ม แม้แต่ทอยคาเมร่าอย่างโลโม่ก็ยังมี หรือพวกเลนส์ที่เรียงเป็นตับชนิดที่ว่าครบระยะ เอาไว้ส่องมันตั้งแต่แบคทีเรียยันกาแลคซี่เพื่อนบ้าน(อันนี้ก็เว่อร์ไปหน่อย) ไหนจะแฟลช ฟิลเตอร์ ฟิล์มไซส์ต่างๆ แบตกริป ขาตั้ง และอีกฯลฯ
ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนก้าวเข้าไปหยิบเลนส์ตัวหนึ่งยื่นให้จักรวาลที่ยังคงยืนทำหน้าวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมอยู่เนืองๆ “เอาติดกล้องนายดูสิ”
เด็กหนุ่มควักกล้องของตนออกมาหมุนเลนส์เดิมออกงงๆ ก่อนติดเลนส์ตัวที่กวินหยิบให้ตามคำสั่ง
ใบหน้าเรียวเล็กก้มลงพินิจอุปกรณ์ทรงกระบอกที่อยู่ในมือตน เลนส์ไวด์...เลนส์ในดวงใจของผู้ชอบท่องเที่ยว เหมาะแก่การถ่ายวิว ถ่ายสถาปัตยกรรมต่างๆ ก็เคยดูรูปที่ถ่ายจากเลนส์พวกนี้อยู่บ่อยๆ ภาพที่ออกมาดูยิ่งใหญ่สมกับระยะกว้างๆของมันดี แต่กระนั้น สำหรับคนที่คงไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวไหนเท่าไหร่อย่างเขา สารภาพตามตรงว่าเลนส์กลุ่มนี้แทบไม่เคยอยู่ในสายตา
“ลองเอาไปเดินส่องรอบๆห้องดูสิ ยังไม่ต้องกดชัตเตอร์ก็ได้ แค่ส่องดูเฉยๆก็พอ”
จักรวาลทำตามคำบอกของชายหนุ่ม แค่เพียงแนบตาลงไปกับช่องมองภาพก็เผลออุทานออกมาเบาๆ “โห กว้างชิบหาย”
ภาพที่เห็นผ่านรูเล็กๆนั้นดูต่างออกไปจากภาพจริงที่มองด้วยตาเปล่ามาก ทุกอย่างดูกว้างขึ้นจนรู้สึกแปลกใจ เด็กหนุ่มเดินส่องรอบๆผ่านกล้องอยู่นานสองนาน และค้นพบว่าเพียงแค่มุมที่ยืนต่างไปจากเดิมไม่กี่องศา ก็สามารถทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนละสถานที่ได้เลย
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ากวินต้องการจะบอกอะไร เพราะถึงอย่างไรสไตล์ที่เขาถนัดมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความกว้างขนาดนี้อยู่แล้ว
ราวกับอ่านความคิดได้ คนที่ย้ายมานั่งรอที่โต๊ะทานข้าวก็ออกคำสั่งต่อ
“ทีนี้ลองเปลี่ยนไปส่องพวกวัตถุดูบ้างสิ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนเดินไปส่องพวกเครื่องครัว แจกัน โต๊ะ โซฟา ขยับเข้าๆออกๆระหว่างระยะไกลและใกล้ บางทีก็ส่ายกล้องไปมา
ก่อนจะเริ่มเข้าใจอะไรได้รางๆ...
“คนส่วนมากชอบคิดว่าเลนส์ไวด์เอาไว้ถ่ายวิวอย่างเดียว ซึ่งฉันมองว่าเป็นการประเมินอุปกรณ์ที่ต่ำเกินไป จริงๆมันทำอะไรได้มากกว่านั้นเยอะ” ช่างภาพผู้มากประสบการณ์เริ่มอธิบาย “ยิ่งโดยเฉพาะกับรูปแนวที่นายชอบ ลองมาดูนี่สิ” ชายหนุ่มกวักมือเรียกจักรวาลให้เข้าไปหา
อัลบัมภาพของเด็กหนุ่มถูกเปิดออก “กับภาพประเภทที่ต้องการความสมจริง เลนส์ไวด์อาจไม่เหมาะที่จะเอาไปถ่ายคนหรือสิ่งของ แต่เท่าที่ดูจากผลงานที่ผ่านๆมาของนายแล้ว ดูจะหนักไปทางสะท้อนจิตใจไม่ก็สะท้อนความเป็นไปของโลก ภาพแบบนี้มันเป็นศิลปะ มันจะสวยได้ก็เพราะเราดึงสิ่งที่คนทั่วไปมองข้ามมานำเสนอไม่ใช่เพราะความถูกต้องของสัดส่วนหรือองค์ประกอบภาพอะไรเลย”
จักรวาลพยักหน้าตามช้าๆ ในหัวสมองคิดตามสิ่งที่ชายหนุ่มพูด
“รูปทั้งหมดในอัลบัมนี้มีความหมายแฝงที่น่าสนใจอยู่ทุกรูป แต่ลองดูอย่างรูปนี้ดิ ถ้าเป็นคนทั่วไปมองมันจะกลายเป็นแค่รูปสาวสวยธรรมดาๆ เพราะมุมมองมันคล้ายกับที่เราใช้ตาเปล่ามองทั่วๆไป มันเลยไม่ได้ไปกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าต้องคิดตาม รูปส่วนมากของนายเป็นแบบนั้น มันจะมีแต่คนแบบฉันหรือพวกนักศิลปะเท่านั้นที่ดูแล้วเข้าใจว่านายจะสื่ออะไร แต่ยากเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าถึง ดังนั้น ฉันว่าเลนส์ไวด์เป็นตัวช่วยที่ดีมาก เพราะระยะที่แปลกไปจากที่ตาเราเห็น พอเอาไปถ่ายวัตถุหรือคนมันจะช่วยให้คนมองเกิดคำถามว่าวัตถุในรูปถูกมองจากมุมไหนหรืออะไรทำให้เขาไม่เคยเห็นวัตถุพวกนี้ในมุมแบบนี้ เป็นการชักจูงให้คนค่อยๆรู้สึกอยากทำความเข้าใจความหมายที่แฝงในรูป ที่พูดมาพอจะเข้าใจหรือเปล่า”
เสียงทุ้มนุ่มที่ร่ายยาวหันมาถามคนฟังเมื่ออธิบายจบ
เด็กหนุ่มพยักหน้าแรงๆ รู้สึกเหมือนโดนหมอผ่าเอาเนื้องอกออกแล้วแถมด้วยยารักษาแผลโปะลงไป เคยรู้สึกอยู่เหมือนกันว่าภาพถ่ายของตนมันมีอะไรขาดๆเกินๆสักอย่างแต่ก็มองไม่ออก จนพอได้ฟังคำวิจารณ์จากคนตัวสูงก็แทบร้องอ๋อออกมาดังๆ
ในหัวสมองของเด็กหนุ่มตอนนี้คิดไปไกลถึงเรื่องจะเก็บตังค์เพิ่มซื้อเลนส์ใหม่เสียแล้ว...
กวินเจาะวิจารณ์บางรูปต่ออีกครู่ใหญ่ กระทั่งนาฬิกาชี้ไปที่เลขแปดการวิจารณ์ทั้งหมดก็สิ้นสุดลงพอดี
“เห้ยๆ ติดมันไว้แบบนั้นแหละ” กวินเอ่ยห้ามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเตรียมตัวจะถอดเลนส์คืน “เอาไปลองใช้ให้คุ้น ฉันให้ยืม”
จักรวาลทำหน้าตกใจก่อนก้มลงมองเลนส์ในมืออีกครั้ง ดูจากโหงวเฮ้งแล้วนี่มันรุ่นเกือบๆโปรเลยนะเห้ย ราคาคงไม่ตำ่กว่าสามหมื่นแน่ๆ
“เอาไปเหอะ ตัวนี้ฉันไม่ค่อยได้ใช้แล้ว”
“ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวผมไปซื้อเอง เกิดทำของคุณเจ๊งผมคงต้องไปขายตัวหาเงินใช้หนี้กันพอดี”
“แล้วเก็บตังค์อีกกี่ปีกว่าจะได้ซื้อ เห้ยๆ ไม่ต้องมามองอย่างนั้นเลยนะเว่ย ไม่ได้ดูถูกนะ”
“ก็มัน...”
“พอเลยๆขี้เกียจเถียง เอาเป็นว่าฉันขอสั่งในฐานะหัวหน้าแล้วกัน อย่าลืมว่าฉันถือเป็นผู้ดูแลนายจนกว่างานโฟโต้เซ็ทของพาราโบลาจะจบ ถ้าพูดอะไรแล้วไม่ทำตามก็ยกเลิกงานนี้ไปได้เลย”
“เห้ยคุณ!”
“กลับบ้านเหอะ เดี๋ยวฉันไปส่ง” กวินตัดสินใจตัดบทพลางเดินไปหยิบกุญแจรถ ตั้งแต่เรียนจบมาชายหนุ่มไม่เคยต้องมานั่งเถียงใครล้งเล้งอย่างนี้มาก่อน ไอ้หมอนี่มันเด็กจริงๆ ให้ตายสิ
“ห๊ะ! จะไปส่งทำไม ผมกลับเองได้”
นั่นไง เรื่องเก่าไปเรื่องใหม่มา
“ก็ฉันพานายมา ก็ต้องพากลับด้วยสิ ดึกแล้วมีคนไปส่งไม่ดีหรือไง”
“ดึกบ้าอะไรเพิ่งสองทุ่ม เป็นผู้ชายโว้ยไม่ใช่สาวน้อย กลับเองได้”
“ตัวเล็กเท่าหอยหลอดมาทำปากดี ถ้าโดนใครกระชากกล้องไปคิดว่าจะสู้เขาได้เหรอวะ”
“ก็ถึงได้บอกไงว่าให้เอาเลนส์ของคุณคืนไป แล้วก็ไม่ต้องไปส่งด้วย”
“เห้ยแม่ง กูโมโหแล้วนะเว่ย มึงจะเลิกทำแล้วใช่ไหม ไอ้โฟโต้เซ็ทเนี่ย”
เงียบ...
ถ้ารู้ว่าขึ้นกูขึ้นมึงแล้วเรื่องจะจบง่ายแบบนี้กวินทำไปตั้งนานแล้ว
ชายหนุ่มปรับสีหน้ากลับมาโหมดนิ่งขรึมเหมือนเดิม เถียงกับไอ้เด็กนี่แล้วเสียลุคจริงๆ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ปากบอกว่าไม่อยากได้ แต่ไหงตลอดทางไอ้ตัวเล็กนี่มันดันเอาแต่นั่งส่องโลกผ่านเลนส์ไปจนถึงหน้าหอเลยวะ
“ขอบคุณที่มาส่ง” จักรวาลกล่าวกับสารถีเสียงห้วน ก่อนเปิดประตูลงจากรถไป
ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะหมุนตัวเดินเข้าหอพัก กระจกหน้าต่างฝั่งที่เขานั่งเมื่อครู่ก็ค่อยๆลดลงมา “นี่ เลนส์ตัวนั้นน่ะ หาโอกาสใช้มันบ่อยๆนะ จะได้ชิน” เมื่อเห็นคนฟังพยักหน้าขึ้นลงแกนๆจึงกล่าวต่อ “ถ้าใช้แล้วไม่ชอบจะมาเอาตัวอื่นไปลองก็ได้ แต่ถ้าใช้แล้วเข้ามือก็...เอาไปเลย ฉันยกให้”
พูดจบปุ๊บชายหนุ่มก็รีบกดหน้าต่างปิดปั๊บแล้วขับออกไปเลย พอเหลือบตามองกระจกหลังก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนอ้าปากค้างอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
TBC.
ปล ท้ายเรื่อง. ตอนจับเลนส์ไวด์ครั้งแรกหลังใช้เลนส์ระยะปกติมานาน ส่องไปปุ๊บตกใจเลยค่ะ อุทานคำเดียวกับน้องปอมเป๊ะๆ 'โห กว้างชิบหาย' มีใครเคยเป็นเหมือนกันบ้างมั้ยไม่รู้ แต่พอ ใช้ไปนานๆกลายเป็นระยะที่ติดใจมากที่สุดเลย มันส์มือดีมาก
เอิ๊กๆ