ทะลึ่ง : กามที่ 30 ตอนจบ #2
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนฟ้าสาง คงเพราะนอนไม่เป็นเวลานาฬิกาชีวิตก็เลยเพี้ยนไปหมด ได้ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะดังอยู่ข้างหู ตรัสยังนอนอุตุไม่รู้ร้อนรู้หนาว แอบลักหลับคนขี้เซ้าที่เปลือกตาก่อนจะหย่อนปลายเท้าลงข้างเตียง วางแผนคร่าว ๆ ว่าวันนี้จะไปบริษัทในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายจะกลับไปช่วยแม่ออกแบบสวนหลังบ้าน โดยที่ยังคิดไม่ตกว่าจะขโมยรถตรัสไปใช้ได้ยังไงในเมื่อเจ้าของรถยังไม่วี่แววว่าจะตื่น คุณชายเขาคงกำลังปรับตัวกับเวลาที่แตกต่าง
ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก่อนจะเดินไปเปิดดูตู้เสื้อผ้าที่คิดว่ายังมีชุดหลงเหลืออยู่บ้าง อย่างน้อยก็สูทที่ตรัสเคยซื้อให้ ซึ่งมันก็ยังถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบเหมือนเช่นเคย หยิบมาสวมอย่างปราณีตด้วยความที่มันมีคุณค่าทางจิตใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนหวังปลุกคุณชาย แต่กลับพบว่าคุณท่านลุกขึ้นมานั่งเสยผมด้วยสภาพเปลือยอก ช่างเป็นทิวทัศน์ยามเช้าที่งดงามอะไรเช่นนี้หนอ
“ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุก” ตรัสมุ่นคิ้วบ่นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมตาขวางอย่างกับทำอะไรผิดนักหนา งอนเสียดีไหม “จะไปไหน”
“บริษัท จะเคลียร์งานที่ค้างไว้เพราะหัวหน้าจะไปต่างประเทศสัปดาห์หน้า ช่วยไปส่งหน่อยได้หรือเปล่า” ไม่เชิงว่าขอร้องแต่คล้ายว่าเป็นคำสั่งมากกว่า ตรัสลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบข้างหูแล้วซับจูบที่ขมับ ทุกอย่างจึงกระจ่าง
“นึกว่าหนีกลับไปแล้ว รอก่อนนะ เดี๋ยวไปส่ง” เข้าใจเลยว่าทำไมคุณชายเขาต้องอารมณ์เสียตั้งแต่ลืมตาตื่น ได้ยินอย่างนี้แล้วหายโกรธเป็นปลิดทิ้งเลยเถอะ
ผมเหม่อมองคอนโซลรถโดยไม่ที่เฉลียวใจเลยว่าตรัสกำลังจะพาไปที่ไหน มาเอะใจอีกทีตอนที่รถชะลอตัวผ่านรั้วเหล็กดัดสูงสองเมตรครึ่งโดยประมาณ รถจอดสนิทตรงหน้าประตูก่อนที่ระบบอัตโนมัติจะทำงาน รั้วบ้านถูกเปิดออกด้วยคำสั่งจากภายในคฤหาสต์หลังงามที่ตั้งอร่ามเป็นขวัญตา
“บ้านใคร พามาที่นี่ทำไมตรัส” คนถูกถามแค่ยิ้มบางด้วยแววตาที่อ่านยากจนผมไม่กล้าถามย้ำ กุญแจรถเลกซัสเอลเอสสี่หกศูนย์ถูกส่งต่อให้กับผู้ชายในชุดสูทซาฟารีสีกรมท่าหลังจากรถแล่นผ่านสวนหย่อมเข้ามา ความสงสัยยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อชายอีกกลุ่มที่ยืนเรียงแถวหน้าประตูไม้สักบานยักษ์พร้อมใจกันโค้งคำนับโดยไม่ต้องนัดหมาย แล้วสิ่งที่เอะใจก็เป็นจริงขึ้นมาเมื่อพบว่าหลังประตูบานนี้มีใครยืนอยู่
“กลับมาทำไม” คุณกัณฑ์ธร รามานุสรณ์อริเก่าของผมกำลังถือแฟ้มเดินสวนออกมาพอดี ตรัสแค่ปรายตามองโดยไม่มีแม้แต่คำทักทาย ส่วนตัวผมได้รับหมายท้าชนด้วยการหรี่ตาจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่เขาจะก้าวพ้นไป ไม่เข้าใจเลยว่าตรัสจะพาผมมา ‘บ้าน’ ทำไมในเมื่อตัวเองยังไม่อยากกลับมา
“นั่งก่อนสิ” ทุกความเป็นไปภายในรั้วรามานุสรณ์คุณฉัตรพันธ์คงรับรู้ทั้งหมด ความเรียบนิ่งในแววตาบอกผมว่าท่านทราบเรื่องแล้วที่ผมกับตรัสรุกล้ำเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า หลังจากรับไหว้ท่านก็ผายมือไปยังเก้าอี้ไม้ฉลุลายเงาวับ ผมก็ได้แต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ จนกระทั่งตรัสบอกความประสงค์ของตัวเอง
“ผมจะขึ้นไปไหว้แม่” สิ้นคำตรัสก็กุมมือผมไว้หวังจะพาเดินขึ้นไปด้วยกัน แต่เจ้าบ้านกลับขัดตาทัพด้วยน้ำเสียงสุภาพ และด้วยมารยาทผมจึงปฏิเสธไม่ได้
“ทัศนัยอยู่คุยกับฉันสักประเดี๋ยวจะได้ไหม”
“ไม่...”
“ไม่เป็นไรตรัส ฉันอยู่ได้” ผมยืนยันพร้อมคลายมือที่ตรัสกำแน่น มองสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเดินขึ้นบันไดวนไปยังชั้นบนที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นห้องเก็บรูปของคุณแม่ที่ตรัสรักหนักหนา หันกลับมาชั่งใจกับสถานการณ์ตรงหน้าด้วยอาการประหม่าอย่างไม่หมกเม็ด คุณฉัตรยังยืนยันที่จะให้ผมนั่งในตำแหน่งตรงกันข้ามหวังเปิดใจแบบลูกผู้ชาย แต่ผมไม่ค่อยกล้ามองตาท่านเลยให้ตายเถอะ
“ไม่ต้องกลัว ฉันแค่มีเรื่องที่ต้องคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว ก่อนอื่นเลย...ขอบคุณที่พาเขากลับบ้าน” ผมอ้าปากจะลบล้างความเข้าใจผิดเพราะผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด ถึงจะเคยพูดโน้มน้าวใจแต่นั่นมันก็ตั้งแต่ก่อนตรัสไปอังกฤษเสียอีก ดังนั้นมันไม่น่าจะเกี่ยวกันโดยสิ้นเชิง แต่คุณพ่อของตรัสท่านไม่เปิดโอกาสให้ผมอธิบาย ทำได้เพียงรับแก้วน้ำเย็นจากแม่บ้านก่อนจะหันกลับมาสนใจผู้อาวุโส
“ไม่ต้องพูดอะไรแค่ฟังฉันก็พอ ความจริงถ้าตรัสไม่พาเธอมาวันนี้ฉันก็ตั้งใจว่าจะติดต่อไปหาแน่นอน ฉันอยากขอโทษแทนกัณฑ์ธรที่เกะกะระราน พาลพาโลเหมือนคนไม่รู้จักโต ทัศนัยอย่าถือโทษโกรธเคืองเขาเลยได้ไหม ทุกอย่างเป็นความผิดของฉันเองที่มองโลกแคบเกินไป ไม่เสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน เรื่องทุกอย่างมันก็เลยชุลมุนวุ่นวาย” ผมรับฟังคำลุแก่โทษของคุณฉัตรพันธ์อย่างโปร่งใส เพราะไม่อยากกินแหนงแคลงใจกันอีกต่อไป ท่านอาจจะอ้ำอึ้งบ้างฉะฉานบ้างแต่ผมก็พอจะเข้าใจ เรื่องราวต่าง ๆ ก็ผ่านมาตั้งมากมาย จะให้อธิบายอย่างโจ่งแจ้งในคราวเดียวก็คงจะน่าเหลือเชื่อ
“ต่อแต่นี้ไปฉันให้สัญญาว่าเธอกับตรัสจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ฉันรู้แล้วว่ากัณฑ์ธรต้องการอะไร และฉันได้ตอบสนองความปรารถนาของลูกชายก่อนที่จะสายเกินไป ความจริงฉันต้องขอบคุณเพื่อนของเธอด้วยอีกคน”
“เพื่อนผม...ใครครับ”
“ศาสตราวุธ ภัทรกูล” แล้วเรื่องนี้ไอ้แซนมันเกี่ยวอะไรด้วย ผมเกือบจะหลุดปากถามถ้าไม่เหลือบไปเห็นตรัสที่ก้าวกลับลงมา คุณฉัตรพันธ์ลอบยิ้มก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มปกปิด และด้วยความใกล้ชิดที่ตรัสเดินมานั่งไม่ห่างกันนักทำให้ผมได้กลิ่นธูปจาง ๆ ที่กระอวลมาจากเสื้อสูท
“เรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่มีปัญหาอะไรครับ” อ่า ตรัสกับคุณฉัตรพันธ์ก็คุยกันปกติได้นี่หว่า ไม่เห็นจะต้องปั้นหน้าบึ้งตึงใส่กันเหมือนแต่ก่อนเลย ความเครียดสะสมที่เก็บกดมาตั้งแต่หน้ารั้วบ้านทำให้ผมผ่อนลมหายใจออกมาอย่างปลอดโปร่ง ยกแก้วน้ำจรดริมฝีปากระหว่างที่ฟังพ่อลูกเขาสนทนาภาษาดอกไม้
ได้ยินว่าตรัสจะไม่เข้าพิธีรับวุฒิบัตรเพราะอยากทุ่มเทความสามารถให้กับรามานุสรณ์จิวเวลรี่ทันที แค่ส่งเอกสารรับรองการศึกษาให้ถึงมือก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ยังมีถ้อยคำให้กำลังใจมากมายจากคนเป็นพ่อ ถึงแม้วันนี้คุณฉัตรพันธ์จะยังไม่ได้รับรอยยิ้มจากลูกชายคนเล็ก แต่ผมเชื่อว่าในใจของตรัสกำลังมีความสุขมากมายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“เมื่อไหร่ที่มีปัญหาแล้วไม่มีที่ปรึกษาก็อย่าลืมนึกถึงฉัน” คุณฉัตรพันธ์หมายความรวมถึงผมเพราะท่านปรายตามองมาอย่างอ่อนโยน ผมตอบรับความมีเมตตาด้วยคำขอบคุณ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับก่อนครับ มีธุระต้องจัดการอีกหลายเรื่อง” ผมเองก็ลืมสนิทเลยว่ามีงานมีการต้องทำ พอได้ยินตรัสพูดอย่างนั้นก็มีท่าทางรนรานขึ้นมาทันที ไม่มีแก่ใจจะซาบซึ้งกับสายใยแห่งรักที่น่าชื่นชมอีกต่อไป
“ถ้ามีเวลาว่างก็กลับมาที่นี่ได้เสมอ แม้ว่าจะไม่มีเรื่องจำเป็น บ้านนี้ยินดีต้อนรับ” ผมลุกขึ้นเดินตามตรัสจนใกล้จะถึงหน้าประตูอยู่แล้วหลังจากประนมมือไหว้แทนคำลา คุณฉัตรพันธ์ท่านก็โปรยความห่วงหาจนผมต้องแย้มยิ้มแทนลูกชายด้วยความยินดี ก่อนที่กิริยาตอบสนองของผมจะไร้ค่าไปในทันทีเมื่อตรัสตอบรับ
“ครับ...พ่อ แล้วผมจะกลับมา”
ผมแกล้งจ้องหน้าคนที่ยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยความสงสัย ก่อนจะยิงคำถามแทงใจพลขับ “ไม่ได้เรียกท่านว่าพ่อมานานแค่ไหนแล้ว”
“ตั้งแต่แม่เสีย”
“เรียกชื่อเฉย ๆ มาตลอดเลยเนี่ยนะ บาปว่ะ”
“สำนึกผิดแล้วครับ” ยังกล้าทำเสียงล้อเลียนอีกแหนะ ความจริงผมค่อนข้างแปลกใจตั้งแต่เห็นสีหน้าของตรัสตอนเดินกลับลงมาจากชั้นบนของคฤหาสต์ แต่ยังไม่กล้าเอ่ยปากตอนนั้น สบโอกาสตอนนี้เพราะเห็นว่าตรัสอารมณ์ดีขอละลาบละล้วงหน่อยแล้วกัน
“ตรัสไปเจออะไรมา เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม” อยากรู้ว่าทำไมขอบตารื้นแต่มุมปากกลับหยักยิ้มเหมือนคนที่กำลังปลาบปลื้มและตื้นตันจนไม่อาจเก็บกั้นน้ำตาเอาไว้ได้
“ไม่มีอะไร แค่ดีใจที่ได้กลับบ้าน”
“แน่เหรอ” ตรัสยิ้มอีกแล้ว เพราะรอยยิ้มมักง่ายนี่แหละที่ทำให้ผมวางใจไม่ได้ ถ้าไม่เล่าก็อย่าหวังว่าผมจะเลิกทู่ซี้เพราะนี่คืออาการอยากรู้อยากเห็นขั้นแม็ก แต่ใช่ว่าจะเอ่ยปากร้องขอ แค่จ้องหน้าแล้วรอต่อไปอีกสักพักเท่านั้น
“อยากรู้ขนาดนั้นเลย” ผมพยักหน้ารัว ตรัสจึงยอมเปิดเผยข้อมูลลับฉบับคุณชาย “มันแค่เป็นเรื่องตลกที่ฉันหาแม่ไม่พบเพราะพ่อย้ายรูปของท่านไปไว้ห้องอื่น ลำบากแม่บ้านให้ช่วยอธิบายก่อนจะรู้ว่าพ่อตกแต่งห้องนอนของแม่ใหม่ แล้วทำการย้ายรูปและสมบัติของท่านไปเก็บรักษาไว้ในห้องนั้น จากเดิมที่เคยอยู่ในห้องพระ...อย่างโดดเดี่ยว”
“ตรัสก็เลยใจอ่อนยอมยกโทษให้คุณฉัตรพันธ์” ผมพูดเสริม “แต่ไม่เห็นต้องแอบไปร้องไห้คนเดียวเลยนี่หว่า”
“ฉันดูเหมือนเด็กขี้แยขนาดนั้นเลยหรือ” ผมหัวเราะ
“ฉันดีใจด้วยจริง ๆ ถ้าตรัสยอมเปิดใจเร็วกว่านี้ก็คงไม่ต้องเก็บกดความเจ็บปวดไว้ข้างในโดยไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาวันไหน อย่างน้อยความรู้สึกผิดบาปต่อคุณฉัตรพันธ์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้าก็คงจะลดน้อยลงบ้าง ฉันอยากให้ตรัสมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ ได้หรือเปล่า”
“สัปดาห์ละครั้งดีไหม ฉันจะพาเท็ตมาที่นี่สัปดาห์ละครั้ง”
“ฉันเกี่ยวอะไรด้วย”
“ในฐานะลูกสะใภ้” ไม่ใช่แล้วครับท่าน ก่อนที่ผมจะเขินจนมุดเบาะรถได้โปรดแตะคันเร่งเพิ่มขึ้นอีกนิดเถอะ อยากถึงบริษัทเร็วกว่านี้อีกหน่อย ไม่ค่อยถูกโรคกับคนปากหวานเท่าไหร่ว่ะ
ผมสูญเวลาช่วงบ่ายไปกับกองเอกสารและอาหารว่าง ผู้หญิงจากตึกบริหารยังคงโปรดปราณรอยยิ้มของผมตอนที่น้อมรับของฝาก ทั้งที่ปกติแล้ววันนี้เป็นวันหยุด แต่เผอิญว่าตอนที่ก้าวลงจากรถคุณชายมีหลายคนสังเกตเห็น ผลที่ได้จึงเป็นคุ้กกี้กล่องใหญ่และมาการองจากร้านดัง
ตรัสไม่บอกผมสักคำว่าหลังจากนั้นจะไปที่ไหนต่อ ทิ้งไว้เพียงปริศนาจากข้อความที่ส่งมาว่าเย็นนี้จะมารับไม่ต้องกลับพร้อมรถพนักงาน ทั้งที่ตรัสไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเลิกงานเมื่อไหร่ แล้วนี่ท่านประธานรามานุสรณ์เขาไม่มีธุระปะปังบ้างหรืออย่างไร เทียวไปเทียวมาอยู่ได้
หลังจากเสร็จสิ้นงานเอกสารจุกจิกก็ได้แต่เฝ้ารอคนมารับตามคำสั่งของคุณชาย แก้เผ็ดคนที่ชอบปิดบังด้วยการตัดสายอย่างไม่ใยดี ต่อให้ตรัสโทรย้ำแค่ไหนผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องรับรอง จนกระทั่งราชรถมาเกยถึงหน้าตึก มองผ่านกระจกห้องในช่วงใกล้ค่ำทำให้โครงหน้าคมคายเด่นชัดตัดกับขอบฟ้าขลับทอง
สารถีหน้าตาดีของผมกำลังหัวเสียนิดหน่อย สังเกตได้จากหัวคิ้วและแววตาตอนที่ก้าวเข้ามาในตึก ผมรีบลุกขึ้นเดินไปดักทางไว้ก่อนที่ตรัสจะก้าวเข้าไปในห้องทำงานของผมด้วยความเคยชิน เห็นลุงยามนั่งอยู่ไม่ไกลผมจึงไม่อยากสะสางคดีความกันตรงนี้ ขันอาสาพาคนถูกกลั่นแกล้งกลับขึ้นรถเพื่อสงบศึก
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”
“ไม่มีเหตุผล”
“เท็ต...เล่นแบบนี้ไม่ดีเลย ฉันเป็นห่วง”
“แล้วตรัสหายไปไหนมาทั้งวัน บอกกันสักคำก็ไม่มี”
“ธุระ” จบบทสนทนา ผมยังอ่อนใจกับความไม่โปร่งใสของผู้ชายคนนี้ คำสั้น ๆ อย่างธุระผมสามารถต่อยอดความคิดกลายเป็นเรื่องจิปาถะได้อีกล้านแปด ทำไมไม่เข้าใจกันบ้างว่าผมกังวลใจที่ไม่ได้รับรู้ในเรื่องที่สมควรรู้ ผมกำลังโกรธตรัสในเรื่องซ้ำซากอีกแล้ว
“ช่างเถอะ จะไปทำอะไรที่ไหนก็เชิญเถอะครับ” อย่าให้ต้องย้ำอีกครั้งเลยว่าผมเกลียดคำว่าธุระของตรัสมากแค่ไหน และดูเหมือนท้องฟ้าจะเป็นใจเพราะจู่ ๆ ฝนก็เทลงมาอย่างไร้วี่แววเมฆหมอก ถึงแม้ว่ารถจะจอดติดสัญญาณไฟผมก็ไม่ปริปากพูดอะไร จงใจสร้างบรรยากาศน่าอึดอัดภายในรถ
สงครามจิตวิทยาขนาดย่อมส่งผลให้ตรัสขับรถช้าลง จนในที่สุดก็จอดสนิทที่หน้าร้านอาหารฟิวชันที่ไม่ห่างจากบริษัทของผมเท่าไหร่นัก ชักมั่นใจนิด ๆ ว่าอารมณ์คุกรุ่นของผมน่าจะเป็นผลโดยตรงมาจากกระเพาะอาหาร ซึ่งมหาบัณฑิตป้ายแดงคงฉุกคิดได้เร็วกว่าตัวผมเอง
“ทานอะไรก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน” คุณเขาว่าอย่างนั้นแล้วหยอดยิ้มอย่างรู้ทัน
ผมวนปลายนิ้วกับขอบแก้วไปพลางระหว่างรอบิลจากพนักงาน ตรัสจ้องมาไม่วางตาด้วยหวังว่าจะทำให้ผมสำนึกผิด ซึ่งดูก็รู้ว่าคุณท่านชนะใส ๆ ไม่ต้องรอน็อคเอ้าท์ ก็คนโมโหหิวแบบไม่รู้ตัวนี่หว่า อย่าถือโทษโกรธเคืองคนงี่เง่าอย่างกระผมเลยนะขอรับ
“แล้วหลังจากนี้จะพาไปไหน กลับบ้านเลยใช่ไหม”
“ถ้าเท็ตอยากกลับ”
“วันนี้คงต้องกลับ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง” ตรัสพยักหน้ารับรู้ก่อนบริกรจะเดินมาส่งบิลพร้อมรับบัตรเครดิตกลับไป เหมือนตรัสจะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม
“พ่อกับแม่ท่านว่าอย่างไรบ้างเรื่องของเรา”
“ไม่รู้สิยังไม่ได้คุย ถามทำไมมีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันแค่กังวล เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดเรื่องนี้กับพวกท่านอย่างไรดี” แหมะ อยากโพล่งออกไปว่าไม่ต้องเกริ่นนำอะไรให้มากความหรอก เพราะคุณนายมนรยาท่านอ้าแขนต้อนรับลูกเขยคนนี้มานานแล้ว แต่ไม่ดีแน่ ขืนบอกไปเสียหน้าแย่ มิหนำซ้ำก็เพิ่งคืนดีกันหมาด ๆ ไม่อยากให้ตรัสมองว่าผมเป็นของตาย ถึงแม้ว่าความจริงแล้วมันจะไม่ต่างไปจากนั้นเท่าไหร่เลย