ทะลึ่ง : กามที่ 29
ผมกำลังเคี้ยวเสี่ยวหลงเปาจนเต็มแก้มตอนที่แซนมันยื่นหน้าเข้ามาแล้วถามว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ลืมไปว่าตี๋สองมันชอบเซ้าซี้ ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็จะคะยั้นคะยอจนกว่าจะสมหวัง ปากหนักให้ตายก็ไม่มีวันชนะลูกตื้อของมันแน่นอน
แค่นิดเดียวก็ได้ สัญญาว่าจะไม่ล้อ” นั่นไง ทำไมมันถึงมั่นใจว่าเป็นเรื่องน่าอาย แต่ต่อให้ผมไม่ได้เสียหน้าก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องรายงานมันทุกความเป็นไป เพราะเรื่องที่มันสมควรบอกผม ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของตรัส มันยังไม่คิดจะแง้มปากบอกกันสักนิด เพราะฉะนั้นอยากรู้อะไรก็ถามกับไอ้คุณชายเองแล้วกัน
“เลิกรบเร้าเถอะแซน เท็ตไม่บอกหรอก” ขอบคุณอ้นเหลือใจที่ช่วยห้ามทัพ ไม่อย่างนั้นขนมจีบกุ้งร้อนจัดที่ปลายตะเกียบของผมคงได้พุ่งหลาวไปลวกปากคนในอีกสองวินาทีต่อจากนี้แน่
“ก็ได้ ๆ ไม่บอกก็ไม่บอก แต่ถ้ามีปัญหาอะไรแล้วคิดจะโทรมาปรึกษา ก็อย่ามาหาว่าใจร้าย”
“คุณฮันนาห์กลับไปแล้วเหรอวะตรัส” ผมเห็นคนถูกถามชะงักมือไปนิดขณะที่กำลังแกว่งช้อนคนข้าวต้มเห็ดหอมของตัวเองช้า ๆ เพื่อไล่ไอร้อน ผมรู้จุดประสงค์ที่ซันโพล่งถามออกไปแบบนั้น คงเป็นความหวังดีที่อยากให้ผมสบายใจ หลังจากที่ได้ยินเสียงครางต่ำของตรัสเป็นคำตอบ “เห็นว่ามากันตั้งหลายคน นึกว่าจะอยู่นานกว่านี้”
“แค่มาเที่ยว คงไปประเทศอื่นกันต่อ”
“อย่างนั้นก็ดี จะได้ไม่มีใครเป็นลมล้มพับจนโกลาหลไปทั้งร้าน” โดนแขวะแผลฉกรรจ์ ถ้าไม่หันไปเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนพูดก็กะว่าจะส่งต่อขนมจีบลูกนี้ไปให้ “ฉันไม่โทษเท็ตหรอกนะที่เข้าใจผิด เพราะทุกอย่างมันไม่โปร่งใสมาตั้งแต่ต้น เป็นใครก็ต้องคิดมากกันทั้งนั้น ฉันพูดถูกไหม” ผมยิ้มบาง อย่างน้อยก็มีซันเป็นพวกแหละวะ ไม่ต้องกังวลว่าไอ้แซนมันจะเล่นแผนสูง ทำทีเป็นพ่อพระแต่มีจุดประสงค์จะล้วงความลับ
“แล้วตอนนี้ยังคิดจะกลับไปใช่ไหม”
“ต้องไป”
“เอกสารก็อยู่ที่นั่นหมดแล้ว ทำไมต้องไปด้วยตัวเอง” บรรยากาศรอบโต๊ะตอนนี้มีแค่เสียงตรัสกับซัน พาลให้คิดว่ากำลังสอบปากคำกันอยู่โดยที่คนอื่นไม่รู้เลยว่าหัวข้อสนทนาคืออะไร ซึ่งหลังจากคำถามนั้นตรัสก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย
ทุกคนแยกย้ายกันบริเวณหน้าคอนโดฯ ของตรัส ซันกับอ้นที่ติดรถแซนมาก็พากันหอบสัมภาระที่ขนมาจากสนามบินกลับบ้านไป เข้าใจว่าคงไม่มีเวลาตัดสินใจอะไรนานนัก ผมเองก็ผิดที่ปล่อยให้โทรศัพท์แบตฯ หมดจนไม่มีใครสามารถติดต่อได้...บรรลัยแล้ว!
ลืมสนิทเลยว่าวันนี้หนีพิธีดูตัวกลางคัน เพราะไอ้พวกนั้นแหละที่เอาแต่บ่นว่าหิวจนลืมหน้าลืมหลัง ผมตบกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางรนราน จนตรัสที่ยืนอยู่ข้างรถต้องโพล่งถาม
“หาอะไร”
“โทรศัพท์”
“เท็ตวางไว้ในห้องครัว” เวรแท้ ๆ ว่าจะรีบกลับไปอธิบายทุกอย่างกับแม่ แต่ต้องเสียเวลาเพราะเรื่องไร้สาระจนได้ ฝ่ายหญิงเขาอุตส่าห์ออกโรงปกป้องแต่ฝ่ายชายกลับไม่ทำอะไรเลย หายหัวไปเฉย ๆ แบบนี้...คำว่าขี้ขลาดยังน้อยไป
ซวยจริง ๆ ที่ไม่ได้บอกแม่ทันทีที่กลับออกมา ซวยมากที่เป็นเจ้าความคิดและออกปากเองว่าอยากให้แม่เป็นสื่อกลางเพื่อสานสัมพันธ์กับใครสักคน และซวยที่สุดเมื่อแม่เจาะจงเลือกคนใกล้ตัวอย่างลูกสาวเพื่อนสนิทของท่าน ซวยทั้งขึ้นทั้งร่องเลยไอ้เท็ต
“จะกลับบ้านหรือ” ตรัสถามไล่หลังตอนที่ผมก้าวพรวดพราดเข้ามาเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องครัว น้ำเสียงปกติดีไม่ใช่ว่าติดจะเซ้าซี้หรือน้อยใจอะไร ผมตอบอืออาในขณะที่กำลังเล่นซ่อนหากับโทรศัพท์ก่อนจะเห็นว่ามันนอนแน่นิ่งอยู่ข้างอ่างล้างจาน
“เท็ต...” ผมถอนใจเบา ๆ ตอนที่ตรัสใช้เสียงรั้งไว้ก่อนที่ผมจะก้าวถึงประตู ตัวผมยังยืนอยู่ตรงนี้ก็จริง แต่ใจผมกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากเสียเวลากับสิ่งอื่นไปมากกว่านี้ เพราะความรู้สึกผิดที่กัดกินใจอาจทำให้ผมไม่กล้าสู้หน้าแม่
“รู้อะไรไหมตรัส ก่อนมาที่นี่ฉันกำลังอยู่ในร้านอาหารกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง และมันสำคัญตรงที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรู้จักที่สนิทสนมกับแม่มาก ซึ่งถ้าไม่รีบกลับไปอธิบายทุกอย่างกับแม่ ท่านต้องโกรธมากแน่ ๆ” ผมพูดออกไปโดยไม่หันมองหน้าตรัสสักนิด ก่อนจะกัดฟันกลั้นใจเดินออกมาแล้วทิ้งมันไว้เบื้องหลังโดยไม่พูดแม้แต่คำลา คิดเพียงแค่ว่าผมทำถูกแล้ว เว้นระยะห่างอย่างที่ควรจะเป็น ใจเย็นไว้เท็ต...แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี
แต่ไม่รู้ทำไมคนที่ประกาศกร้าวว่าตัวเองไม่ใช่ของตายถึงเดินย้อนกลับมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องเดิม เมื่อลิฟต์เคลื่อนตัวถึงชั้นหนึ่งนิ้วมือมันก็กดอัตโนมัติให้ขึ้นมายังชั้นห้า สาบานได้เลยว่าผมไม่รู้ตัวสักนิด รู้แค่ว่าน้ำเสียงสั่น ๆ ที่ตรัสใช้เรียกชื่อผมมันออกฤทธิ์กัดกร่อนยิ่งกว่าน้ำกรดเสียอีก ใจมันอ่อนยวบยาบไร้แรงต้านทานอย่างห้ามไม่อยู่
ผมมีมารยาทพอที่จะกดออดแต่ไม่รอให้ตรัสเปิดประตู ใช้คีย์การ์ดที่ยังไม่ได้คืนพนักงานปลดสลักก่อนเดินกลับเข้าไปโดยไม่ไตร่ตรองอะไรทั้งสิ้น ตรัสกำลังนั่งอยู่ที่โซฟา...ด้วยแววตาที่มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันกำลังเจ็บหนักด้วยบาดแผลที่มองไม่เห็น ขวดเหล้าเบียร์ที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นพรมทำให้ผมอดหนักใจแทนแม่บ้านไม่ได้ ผ่อนลมหายใจก่อนจะพูดแกมสั่งด้วยสุ้มเสียงไม่ต่างกระซิบ
“ไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวเก็บห้องให้” ตรัสมองอย่างไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นว่าผมก้าวกลับเข้ามาพร้อมกับปลดกระดุมแขนเสื้อแล้วพับขึ้น ผมไม่ย้ำคำเพราะคิดว่ามันได้ยินทุกพยางค์อย่างชัดเจน กำชับด้วยสายตาว่านี่ไม่ใช่แค่คำแนะนำแต่เป็นคำสั่งที่มันต้องทำตามทันที ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจแล้วทิ้งมันไว้ตามลำพังอีกครั้ง ซึ่งสาบานได้เลยว่าคราวนี้ผมจะไม่เยี่ยมหน้ากลับเข้ามาเป็นหนที่สองแน่
ตรัสยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ถึงแม้ว่ายังกะพริบตาถี่ ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ผมลอบยิ้มกับขวดบลูเลเบิ้ลที่กำลังก้มเก็บ พลางส่ายหน้าให้กล่องแนทเชอร์แมนที่ยังเหลืออยู่ไม่กี่มวน รวบหยิบกระป๋องเบียร์ไปได้สักพักก่อนจะหยัดตัวยืนตรง ปั้นหน้าตึงแล้วหันไปหาคนที่กำลังก้าวช้า ๆ ไปยังตู้เสื้อผ้า “ขอยืมสายชาร์จโทรศัพท์ด้วย”
“อยู่ที่เดิม” เป็นอันว่ารู้กัน หันมองก็เห็นว่ามันขดม้วนอยู่ข้างเต้ารับใกล้โทรทัศน์
“อ้อ แล้วก็...โกนหนวดซะด้วยนะ ปล่อยตัวแบบนี้แล้วโทรมชะมัด” ไม่รู้ว่าผมยังมีสิทธิ์วิจารณ์หรือเปล่า แต่คิดเสียว่าเป็นคำแนะนำด้วยความหวังดีก็แล้วกัน ซึ่งตรัสก็คงเข้าใจถึงได้จุดยิ้มบางก่อนจะเดินเข้าห้องไป
ผมใช้เวลาไม่นานกับเศษซากอารยธรรมด้านมืดของตรัส ดูนาฬิกาก็เห็นว่ายังไม่ดึกเท่าไหร่ หลังจากกู้ชีพโทรศัพท์จนใช้งานได้ตามปกติแล้วก็ตัดสินใจติดต่อหาแม่เป็นคนแรก เรียบเรียงคำแก้ตัวไว้ในหัวก่อนจะผิดแผนเมื่อพ่อเป็นฝ่ายรับโทรศัพท์
(( ว่ายังไงไอ้ลูกชาย วันนี้ไปสร้างเรื่องอะไรไว้ ))
“พ่อ...ผมอธิบายได้นะครับ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ แม่ล่ะครับ”
(( แม่เราหลับไปสักพักแล้ว คืนนี้จะกลับบ้านหรือเปล่า ))
“เปล่าครับ ผมจะค้าง...ที่คอนโดฯ ของตรัส ผมขอโทษนะครับ”
(( ไม่เป็นไรพ่อเข้าใจ เอาไว้คุยกันพรุ่งนี้เถอะ พ่อรู้ดีว่าลูกของพ่อมีเหตุผลมากพอ ไม่ต้องกังวล )) ในเมื่อท่านพูดถึงขนาดนี้แล้วผมยิ่งรู้สึกผิดจับใจ ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะมีใคร ผู้หญิงคนนั้นเขาก็สมบูรณ์แบบทุกอย่าง หวังก็แต่เพียงผมจะไม่เข้าตา อยากให้เขามองว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็พอ
ผมไม่อยากบ่อนทำลายความสุขของใคร โดยเฉพาะพ่อกับแม่ที่สำคัญยิ่งชีวิต ผมยอมหายไปจากโลกนี้เสียยังดีกว่าที่จะทำให้พวกท่านเสียใจ กับแม่เองท่านตั้งความหวังกับผมไว้มาก ตามใจผมทุกอย่าง ปูทางชีวิตด้วยกลีบกุหลาบจนผมเคยตัว อดคิดไม่ได้ว่าผมจะสู้หน้าท่านได้อย่างไรในวันพรุ่งนี้
ผมระบายความหนักใจด้วยการทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เหลือบมองกระเป๋าเดินทางของตรัสแล้วนึกขัดใจขึ้นมาติดหมัด อยากลุกขึ้นไปต่อยแทนกระสอบทรายให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ก่อนที่ผมจะทำอะไรไร้สาระก็รู้สึกถึงวัตถุบางอย่างที่นอนทับไว้อยู่กลางหลัง เบี่ยงตัวเพื่อคว้ามาก่อนจะเห็นว่าเป็นโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของคุณชาย ซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้ผมกลายเป็นคนช่างสอด ปลดล็อกเข้าเครื่องโดยไม่ต้องใส่รหัส ประมาทเกินไปหน่อยแล้ว
ทุกอย่างภายในดูปกติดี ไม่มีข้อมูลที่เป็นรูปหรือเอกสารสำคัญใด ๆ อยู่เลย หมดข้อสงสัยว่าทำไมตรัสถึงไม่ตั้งรหัสรักษาความปลอดภัย แต่ก่อนที่จะวางโทรศัพท์ไว้บนเตียงเหมือนเดิม ผมเอะใจเรื่องข้อความ ตอนที่ตรัสยังอยู่ที่อังกฤษใช่ว่าผมจะรอให้มันโทรมาหาฝ่ายเดียว โทรไม่ติดก็ส่งข้อความมือเป็นระวิง จึงอยากรู้ว่าความรู้สึกในรูปแบบตัวอักษรที่ผมเสียเวลานั่งพิมพ์ส่งไปให้ มันได้รับบ้างไหมก็เท่านั้นเอง...
ตรัสเดินกลับออกมาจากห้องน้ำพอดีตอนที่ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ผมเม้มปากแน่นเพื่อซ่อนอาการพิรุธก่อนจะโพล่งออกไปด้วยประโยคกันตาย “โกนหนวดแล้วค่อยยังชั่วหน่อย”
“มีใครโทรมาหรือเปล่า” โชคร้ายเกินไปไหม นึกว่ามันไม่ทันเห็นเถอะ แต่เผอิญว่าผมมีไหวพริบปฏิภาณดีเกินกว่าจะยอมให้ตัวเองถูกจับได้
“ไม่มี เมื่อกี้เผลอนั่งทับก็เลยหยิบออก” แถหน้าตาย ตรัสเองก็ซื่อเหลือเกินที่หลงเชื่อง่าย ๆ ก่อนจะเดินมานั่งเช็ดผมข้างกัน “ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ตรัสไม่ตอบแค่เลิกคิ้วเชิงอนุญาต “จะไปอังกฤษอีกทำไม”
“มีปัญหาเกี่ยวกับเอกสารของทางมหา’ลัย อยากไปด้วยกันไหม” ผมส่ายหน้าพัลวัน “ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามบ้าง เท็ตย้อนกลับมาที่นี่ทำไม”
“เพราะอยากรู้เรื่องที่ถามไปแล้ว ถ้ากลับไปทั้งที่ยังคาใจก็คงนอนไม่หลับ” สมเหตุสมผลออกจะตายไป แต่ไม่รู้ทำไมตรัสต้องยิ้มล้อผม
“เท็ตน่าจะกลับบ้านไปคุยกับคุณแม่เรื่องวันนี้ จู่ ๆ ก็หลบหน้าจะไม่โดนท่านโกรธเอาหรือ”
“เปล่าสักหน่อย เพิ่งวางสายจากพ่อเมื่อสักพักนี่เอง ท่านให้กำลังใจแล้วบอกว่าให้กลับไปอธิบายทุกอย่างกับแม่พรุ่งนี้เช้า แต่ถ้าตรัสลำบากใจ อยากให้ฉันกลับตอนนี้ล่ะก็...”
“เท็ตรู้คำตอบดีอยู่แล้ว” ตรัสส่งมือมาจับไรผมทัดหูก่อนจะพูดเบา ๆ “ผมยาวขึ้นเยอะเลย ทำไมไม่ตัด”
“จะเอาเวลาที่ไหนไปตัด ไม่ว่างขนาดนั้นหรอก”
“ไม่เป็นไร แบบนี้ก็น่ารักดี”
“ตรัสเองก็โทรม ยังมีหน้ามาทักคนอื่น” ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำชมที่ฟังแล้วใจเต้นแปลก ๆ ด้วยการย้อนถามถึงความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า ตรัสผอมมากจนแก้มตอบดูซูบซีด แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็ไม่ได้บั่นทอนรัศมีความดูดีที่สั่งสมมา “ทำไมไม่ดูแลตัวเองบ้าง เรียนหนักก็ควรแบ่งเวลามาพักผ่อนด้วย”
“ฉันมีเรื่องต้องคิดเยอะ ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนหรือเรื่องงาน เรื่องอื่นก็หนักหนาไม่แพ้กัน” บ้าว่ะ นี่มันคำถามฆ่าตัวตายชัด ๆ ผมถูจมูกไปมาก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูโดยไม่ลืมหันไปพูดทิ้งท้าย
“ถ้าง่วงก็นอนก่อนเลยนะ ฉันจะนอนอีกห้อง”
ตรัสหลับไปแล้วตอนที่ผมก้าวกลับออกมาจากห้องน้ำ ความเย็นยะเยือกจากเครื่องปรับอากาศทำให้ผมต้องห่อไหล่ก่อนจะเดินไปปิดไฟทุกดวง เหลือไว้เพียงโคมตั้งพื้นข้างโทรทัศน์ ก่อนจะก้าวเข้าห้องที่คุ้นเคย
ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจรังชัง แต่เพราะช่องว่างที่ตรัสเว้นไว้มันถูกเติมเต็มด้วยความเหงาจนชาชิน ความตะขิดตะขวงและคลางแคลงใจจึงตามหลอกหลอนผมอยู่ร่ำไป ทำได้แค่เพียงนอนนิ่ง ๆ จมจ่อมความคิดกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนกว่า ‘เรา’ จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เช้าวันรุ่งขึ้นผมสะดุ้งตื่นเพราะแสงแรกของวันฉายผ่านแนวม่านเข้ามารบกวนสายตา ก่อนจะพบว่าผมอยู่ที่นี่คนเดียว ตรัสหายตัวไปแล้วพร้อมกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบ ทิ้งไว้แค่เพียงโน้ตใบเล็กที่หน้าประตูห้อง
‘โชคดีนะ’ คืออะไร เป็นผมไม่ใช่หรือที่ควรอวยพรให้มันโชคดีและเดินทางปลอดภัย แล้วไหงมาทิ้งข้อความสั้น ๆ ชวนสงสัยแบบนี้ หรือถ้าคิดในแง่ดีตรัสอาจจะหมายถึงการเอาตัวรอดจากคุณนายมนรยา ผมเองก็หวังว่าแม่จะเข้าใจถึงเหตุและผลที่ทำให้ผมต้องบากหน้าหนีงานสำคัญออกมาแบบนั้น
ผมกลับถึงบ้านก่อนที่พ่อจะออกไปทำงานอย่างฉิวเฉียด รั้งตัวท่านไว้เป็นกำลังใจก่อนเดินไปพบแม่ในห้องครัว คุณมนเงยหน้ามองผมตอนที่กำลังวางแก้วกาแฟของพ่อลงอ่างน้ำ ป้าวิที่ยืนอยู่ไม่ไกลพอจะเข้าใจสถานการณ์ก็เลยเดินเลี่ยงไปทางสวนหลังบ้าน หลังจากนั้นผมสาวเท้าเข้าไปใกล้แม่ด้วยหวังว่าท่านจะใจอ่อนกับสายตาสำนึกผิดของผม
“แม่ครับ...”
“เท็ตทำให้แม่ผิดหวังมาก แม่ถามย้ำเราแล้วแท้ ๆ ว่าจริงจังกับเรื่องนี้แค่ไหน แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจในเวลาจวนตัว เท็ตไม่คิดถึงใจแม่เลย” แม่พูดโดยไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ ความรู้สึกผิดเกาะกินใจจนเจ็บแปลบ และผมเกือบจะหลั่งน้ำตาอยู่แล้วถ้าพ่อไม่ยื่นมือมาโอบไหล่ไว้
“คุณฟังลูกก่อนได้ไหม อย่าเพิ่งแกล้งดุแก เดี๋ยวก็พาลพูดอะไรไม่รู้เรื่องกันพอดี” สงสัยจะเสียใจจนหูเฝื่อนถึงได้ยินว่าคำตัดพ้อของแม่คือการกลั่นแกล้ง ผมหันมองหน้าพ่อก่อนจะเห็นว่าท่านยิ้มกว้าง และเมื่อย้อนกลับมามองแม่...ผมแทบจะทรุดนั่งลงตรงนั้น คุณนายมนรยาหัวเราะออกมาโดยไม่เกรงใจสีหน้าตื่นโลกของผมสักนิด
“ก็ใครใช้ให้เท็ตหลอกแม่ คิดว่าแม่อายุปานนี้จะดูไม่ออกเชียวหรือว่าเท็ตรู้สึกแบบไหนกับใคร ปากก็บอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับน้องตรัส และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทำไมลูกของแม่ที่ห่วงความรู้สึกของคนในครอบครัวยิ่งกว่าใครถึงได้ยอมหักหน้าพ่อกับแม่แล้วไปหาเขา”
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันครับ ตรัสส่งข้อความมาหาแล้วผมคิดไปเองว่าตรัสจะคิดสั้น ทุกอย่างมันสอดคล้องกันหมดตั้งแต่ซันติดต่อตรัสไม่ได้มาเป็นอาทิตย์ ผมโทรกลับไปหลังจากได้รับข้อความแต่ดูเหมือนว่าตรัสจะปิดโทรศัพท์ไว้ พนักงานที่คอนโดฯ ยังบอกอีกว่าตรัสไม่ได้ออกจากห้องไปไหนมาหลายวันแล้ว ผมก็เลย...”
“แม่ไม่ได้โกรธเรื่องที่เท็ตไปหาตรัสเมื่อวานนี้ แต่แม่โกรธที่เท็ตหลอกตัวเองว่าลืมตรัสได้ ทั้งที่แท้จริงแล้วเท็ตไม่สามารถรักใครคนอื่นได้อีก ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย แม่พูดถูกไหม” ผมให้คำตอบแม่ไม่ได้ แค่ยืนนิ่งไปพร้อม ๆ กับพ่อที่เดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร “ทำไมเท็ตไม่นึกถึงผลที่ตามมาถ้าหากว่าผู้หญิงที่เป็นคู่ดูตัวของลูกเขาคิดจริงจัง โดยไม่มองว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เครื่องมือเพื่อใช้ลืมใครอีกคน”
“แม่ครับ...ผมตั้งใจที่จะเปิดโอกาสให้กับตัวเองจริง ๆ ผมแค่อยากลองมองหาคนอื่นบ้าง อยากเปิดใจเพื่อรับเรื่องราวใหม่ ๆ ไม่ใช่ทุ่มเทความรู้สึกให้กับคนที่ไม่เห็นความสำคัญ”
“แม่เข้าใจแต่ลูกยังไม่พร้อม ปัญหาที่จะตามมาอีกมากมายเท็ตก็คงรับมือไม่ไหว ถ้าหากตกลงปลงใจแต่งงานกัน มีหลานให้แม่อย่างที่หวัง แต่เมื่อวันหนึ่งข้างหน้าเท็ตเกิดเปลี่ยนใจล่ะ ครอบครัวของเท็ตที่ไม่ได้เกิดจากความรักตั้งแต่ต้นคงไม่พ้นเป็นภาระที่หนักอึ้ง”
“ผม...เข้าใจแล้วครับ ผมขอโทษครับแม่” ส่งอ้อมแขนตระกองกอดคนที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับผม ไม่เว้นแม้แต่สติ ถ้าคำเตือนของแม่ครั้งนี้ไม่เป็นผล ถ้ายังดื้อแพ่งสร้างเรื่องไม่รู้จบ ผมก็คงเป็นผู้ชายที่โง่งมที่สุดในโลก คิดในใจว่าการนัดพบคู่ดูตัวครั้งหน้าจะอธิบายทุกอย่างให้เธอฟังว่าผมยังไม่พร้อมจะสร้างรังรักกับใครด้วยประการทั้งปวง
“เอาเถอะ ๆ แม่เองก็ผิดที่ตลบหลังเท็ตด้วยการวางแผนกับเพื่อนของแม่ ลูกสาวของเขาเองก็รู้เห็นเป็นใจ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นทางการอะไร ไม่ต้องคิดมากนะเรา” หา!
“แม่ช่วยพูดอีกครั้งได้ไหมครับ” ผมอาจฟังผิด
“แม่บอกว่าอย่าคิดมาก ทุกอย่างเป็นการซ้อนแผนไม่จริงจังอะไร เพราะต่อให้เท็ตไม่ตะลีตะลานออกจากร้านอาหารไปแบบนั้น แม่ก็ไม่คิดให้เราคบกับน้องเขาจริง ๆ หรอก อ้อ น้องฝากแม่มาบอกเราด้วยนะว่า...ปากนิดจมูกหน่อยจนผู้หญิงอายแบบนี้จะปกป้องใครได้ อย่าพยายามทำอะไรที่ไม่เข้าท่าเลย”
“แม่!”
“น้องเขาพูดเองนะ แม่ไม่เกี่ยว” หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะของพ่อดังคลอเป็นดนตรีประกอบฉาก
ผมขาดการติดต่อกับตรัสสามวันแล้วตั้งแต่มันไปอังกฤษครั้งหลังสุด สำนึกในความกรุณาที่อุตส่าห์อวยพรให้ผมโชคดี ซึ่งมันก็สมพรปากตามนั้น ความจริงผมเองยังไม่คิดเรื่องกลับไปคืนดีเพราะผมไม่มีหวังถึงขั้นนั้น ถ้าวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าทุกอย่างไม่ผิดไปจากที่แม่พูดเลยสักนิด ผมลืมตรัสไม่ได้ และต่อให้พยายามแค่ไหนก็ทำไม่ได้แน่ ๆ อย่างดีก็แค่ห่างกันไป ซึ่งสุดท้ายแล้วผมก็คงกระวนกระวายใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่ดี
ผมปิดแฟ้มเล่มหนาก่อนจะวางรวมไว้กับเล่มอื่น ๆ บนโต๊ะ ถอนหายใจพร้อมกับมองนาฬิกาที่ฝาผนังเพื่อเห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ล่วงเลยเวลางานมานานโขแต่ยังคงกระปรี้กระเปร่ากับกองเอกสารที่คั่งค้าง เสียงเพลงบัลลาดจากคอมพิวเตอร์ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเฝ้าคลังสินค้า ลุงยามด้านหน้าทำให้ผมรู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ ก่อนจะหันไปเห็น...
“ทำไมไม่กลับบ้าน” ผีไอ้ตรัสตัวเบ้อเริ่ม!
“ตรัส มาได้ยังไง (วะ)” สาบานได้ว่าผมไม่ได้ยินเสียงลากเท้าหรือบานประตูเลื่อนเลยสักนิด ตีนแมวชัด ๆ “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สักพัก ทำงานเสร็จหรือยัง” สักพักแปลว่าอะไร ไม่ใช่ว่าลงเครื่องปุ๊บก็ตรงดิ่งมาหาผมปั๊บหรอกนะ บ้าดีเดือดเกินไปหรือเปล่า ขอเดา คนให้ข่าวว่าผมยังอยู่ที่โกดังคงไม่พ้นคุณนายมนรยาที่เป็นฝ่ายสนับสนุนจนออกนอกหน้า
“ยังเหลือเอกสารที่ต้องตรวจสอบอีกเยอะ กลับคอนโดฯ ไปพักผ่อนเถอะ ฉันคงกลับเช้าเพราะพรุ่งนี้วันหยุด”
“ไม่ได้ เรามีเรื่องต้องคุยกันเท็ต” อุบร๊ะ กล้าดียังไงมาทำกร่างแถวนี้ ช่วยสังเกตสังกาหน่อยว่าที่นี่มันถิ่นใคร เห็นลุงยามแก่ ๆ แบบนั้นแต่ฝีมือฟาดตะบองของแกก็หนักไม่แพ้ใครนะโว้ย
“เดี๋ยวค่อยโทรคุยกันก็ได้”
“ไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็คุยมันที่นี่แหละ”
“ไม่ได้” วะ!
“ตรัส ฉันไม่ว่างมาต่อล้อต่อเถียง” สำนึกหน่อยเถอะว่ากำลังรบกวนการทำงานของคนอื่น ทำมาเป็นยืนซ้อนหลังเท้าแขนกับโต๊ะ คิดหรือว่าจะทำให้คนอื่นไขว้เขว...แต่ก็เสียสมาธิไม่น้อยว่ะ
“ขอแค่คืนนี้ ขอแค่คุยกันแล้วฉันจะยอมจบแต่โดยดี จะไม่มากวนใจเท็ตอีก ฉันสาบาน”
ผมจนปัญญาจะปฏิเสธ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ก้าวเข้ามาในห้องของตรัสเรียบร้อยแล้ว เจ้าของห้องส่งโทรศัพท์ของตัวเองมาให้แล้วจ้องหน้า ผมพอจะรู้แล้วว่าตรัสต้องการจะคุยเรื่องอะไร
“คืนก่อนฉันเห็นเท็ตหยิบโทรศัพท์เครื่องนี้” ผมรับมาถือไว้ก่อนจะตีหน้านิ่งทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไร “แล้วหลังจากนั้นก็มีบางอย่างสูญหายไป บอกฉันหน่อยได้ไหมว่ามันหายไปไหน”
“อะไร ฉันไม่ได้ยุ่งกับโทรศัพท์ตรัสสักหน่อย”
“จะให้ฉันเชื่อแบบนั้นหรือ ลบใช่ไหม เท็ตลบไปหมดแล้วใช่ไหม”
“ลบอะไร”
“เท็ต...”
“บอกมาก่อนสิว่าลบอะไร ถ้าไม่บอกฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรกัน”
“ข้อความร่างที่ฉันบันทึกไว้”
“อ๋อ” ผมยียวน ยังคงปั้นหน้าบึ้งตึงโดยไม่สนใจสีหน้าเจ็บปวดจวนจะร้องไห้ของตรัสสักนิด
“อ๋อแล้วยังไง ฉันขอเหตุผลที่ลบหน่อยได้ไหม ฉันติดใจแค่เรื่องนี้ เท็ต...เกลียดฉันมากเลยหรือ”
“ไร้สาระ”
“ฉันรู้ว่าข้อความพวกนั้นมันไร้สาระ แต่ไม่คิดว่าเท็ตจะลบมันไปโดยไม่ใยดี ฉันแค่เสียใจ”
“ตรัสนั่นแหละที่ไร้สาระ...”
“เอาเป็นว่าค่าโทรศัพท์เดือนนี้ ฉันจะช่วยจ่ายก็แล้วกัน”▩▩▩
ใกล้จบแล้วจ้า ฮิ้วววว~ ถ้าไม่ผิดพลาด น่าจะจบตอนที่สามสิบพอดิบพอดีค่ะ
ก็ไม่รู้จะทิ้งท้ายอะไรแล้วแหละ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านช่วงเวลาอันยาวนานมาด้วยกัน
คนที่ยังอ่านจนถึงตอนนี้ลิปเอ็มขอบคุณมากนะคะ หวังว่าภาคต่อ ๆ ไปก็จะติดตามกันอีกน้า
อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ พีแซน ซันอ้น ยังรออยู่น้า~ ♥
(เอโมจิใหม่น่ารักจุงเบย)