เล่ห์พรางรัก
ตอนที่ ๑๔ ห้วงเสน่หาเมื่อกลับมาถึงบ้านพัก เปียวก็ตรงขึ้นบ้านไปอาบน้ำอีกครั้งก่อนเข้านอน อลันอยู่คุยกับคมที่หน้าระเบียงบ้านปล่อยให้เด็กแสบ
ของเขาพักผ่อนไป คมถือกระป๋องเบียร์เย็นๆมาให้เจ้านายกับตนเองคนละกระป๋อง อลันบอกขอบใจแล้วรับมาเปิดดื่ม คมนั่งลง
ข้างกัน ลมทะเลยามดึกพัดแรงให้ความเย็นจนเกือบหนาว ทั้งเจ้านายและลูกน้องยังคงนั่งจิบเบียร์กันไปเงียบๆ ปล่อยเวลาให้มัน
ผ่านไปเรื่อยๆ
“บางทีฉันก็รู้สึกเหนื่อยกับตัวเองเหมือนกันนะคม ที่ปล่อยให้โทสะเป็นใหญ่เหนือเหตุผลอยู่เรื่อยๆ”
อลันเปรยกับลูกน้อง ท่าทางดูเหนื่อยล้าจนต้องเอนกายพิงราวระเบียงด้านหลังแล้วหลับตาลง
“คุณแก้ไขมันได้” คมเอ่ยบอก
“ใช่ ฉันแก้ไขมันได้ เพียงแต่ฉันไม่ทำใช่ไหม?”
อลันลืมตามามองคนนั่งข้าง ทำเสียงหึในลำคอเมื่อพูดจบก่อนยกเบียร์ในมือขึ้นดื่มอีกอึก คมมองผู้เป็นนายแล้วซ่อนยิ้ม เบือนสาย
ตากลับไปมองบรรยากาศยามดึกที่มีแสงไฟส่องสว่างเพียงรำไร
“เริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สาย เด็กคนนั้นคงยังรับมันได้อยู่”
ได้ยินเช่นนั้นมุมปากอลันก็ยกยิ้ม
“ปลอบใจกันหรือไง?”
“หรือคุณว่าไม่จริง ถ้าเด็กคนนั้นไม่มีใจให้คุณบ้าง เขาคงไม่กลับมา”
คมยังคงชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ ดูท่าเจ้านายของเขาจะไม่มั่นใจในตัวเองสักนิดเลยสินะ ความรักมักทำให้คนเปลี่ยนไป จะดีจะ
ร้ายก็ขึ้นอยู่กับใจคนเช่นกัน
“ฉันก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น”
อลันถอนใจเบา นิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนอลันจะหันไปมองคมแล้วบอกราวต้องการย้ำกับตนเองเช่นกัน
“ฉันกำลังพยายามอยู่คม จริงๆ”
“ถ้าคุณจะจริงจังกับเด็กคนนั้นก็อย่าใจร้ายกับเขานัก ผมไม่อยากเห็นคุณพลาดพลั้งจนต้องเสียสิ่งสำคัญไป”
“ขอบใจ เหมือนนายจะเป็นพ่อฉันเลยนะ ฉันเคยแก้ปัญหาทุกอย่างได้ง่ายๆ แต่เรื่องนี้ฉันกลับเหมือนคนโง่ที่หาทางออกไม่เจอ
วนเวียนอยู่แต่จุดเดิม และมันก็ย่ำแย่มากจนต้องให้นายคอยบอกคอยสอนเหมือนเด็กอนุบาลเพิ่งหัดท่องกอไก่ แย่ชะมัด”
อลันร่ายยาวแล้วปิดท้ายด้วยอาการหน่ายใจกับตนเองที่เป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มลูกครึ่งลุกขึ้นยืนก่อนบอกกับคมที่นั่งหมุนกระป๋อง
เครื่องดื่มในมือ คมก้มหน้าเล็กน้อยซ่อนรอยยิ้มที่มีบางเบา
“นายไปพักเถอะ ขอบใจที่เหนื่อยกับฉันมาทั้งคืนนี้และตลอดมา” อลันเอ่ยขอบคุณแฝงนัยรวม
“คุณก็รู้ ว่าผมยินดีจะทำมัน”
“นายมันพวกภักดี” อลันเอ่ยเย้าลูกน้องแล้วยิ้มขำ คมหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ขอบใจมาก”
บอกซ้ำอีกครั้งแล้วอลันก็ผละไป คมผ่อนลมหายใจยาว รอยยิ้มบางๆนั้นยังคงอยู่ ล้วงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ามากดโทรออก
เมื่อปลายสายกดรับคมก็เอ่ยถาม
“นอนหรือยัง?”
“ยังครับ รอพี่คมโทรมาราตรีสวัสดิ์อยู่”
คนปลายสายหยอดกลับมา เรียกรอยยิ้มหนุ่มหน้านิ่งให้ผุดขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
“ดูท่าว่าพี่ชายของฮิโระจะเจอปัญหาใหญ่”
“ปัญหา? เกิดอะไรขึ้นครับ?”
พอคมบอกว่าพี่ชายอย่างอลันมีปัญหา ฮิโรยูกิก็ถามกลับมาเร็วไว คมจึงพูดต่อให้ฮิโรยูกิคลายกังวล
“ไม่มีอะไรร้ายแรง แค่…”
“หือ?”
“แค่ลูกไก่น้อยกำลังจะปราบราชสีห์อารมณ์ร้อน”
“จริงน่ะ?”
เสียงปลายสายเอ่ยถามราวไม่อยากเชื่อ ก่อนจะหัวเราะออกมาราวเห็นเป็นเรื่องสนุกแล้วว่า
“ก็ดี พี่อลันจะได้เลิกวางท่าเสียที ว่าแต่…” ฮิโรยูกิค้างคำพูดไว้เพื่อให้คนฟังสนใจ เว้นระยะก่อนพูดต่อ
“เมื่อไหร่พี่คมจะกลับล่ะครับ ผมคิดถึง”
ทางนั้นเอ่ยอ้อนมาทำให้คมหลุดยิ้มอีกครั้ง ก่อนหยอดกลับไปไม่ให้น้อยหน้ากัน
“กลับตอนนี้เลยได้ไหม?”
ฮิโรยูกิหัวเราะกับการหยอดหวานของคม แต่พอฟังดีๆเสียงนั้นกลับพร่าสั่นแปลกๆ ทำให้หนุ่มหน้านิ่งเอ่ยถามออกไปด้วยหัวใจที่
เต้นผิดจังหวะเมื่อได้ยินเสียงสูดปากดังลอดมา
“ฮิโระ ทำอะไรอยู่น่ะ?”
“กำลังคิดถึงพี่คมอยู่ อ๊ะ…!”
เสียงอุทานดังลอดมาตามสายสนทนา พร้อมเสียงครางเครือที่ดังตามมาติดๆกันนั้นทำให้คมชะงักนิ่ง ร่างกายร้อนวูบขึ้นมาอย่าง
ช่วยไม่ได้
“ฮิโระ...”
คมครางเรียกชื่อคนปลายสายแทบจะไม่พ้นคอ แค่เพียงได้ยินเสียงครางเบาๆคมก็รู้สึกตื่นไปทั้งตัว ทั้งที่ไม่อยากจะนึกภาพตาม
ว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็อดที่จะจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนไม่ได้ ยิ่งไม่เห็นกับตายิ่งจินตนาการร้อนแรงเร้าอารมณ์มาก
ขึ้นไปอีก คมขยับลุกขึ้นก่อนก้าวเร็วๆเข้าบ้านพักไป เสียงในโทรศัพท์ยังคงดังลอดมากระตุ้นให้เขาตื่นตัวมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มเปิด
ประตูห้องพักเข้าไปแล้วปิดลงอย่างรวดเร็ว...
ฮิโรยูกิคนนี้ ช่างยั่วดีเหลือเกิน!
++++++++++++
อลันเข้ามาในห้องนอนก็เห็นเปียวนอนห่มผ้าท่าทางจะหลับไปแล้วเรียบร้อย ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาคนที่นอนอยู่ ก่อนขึ้นไปบน
เตียง สอดกายลงนอนเคียงข้างแล้วสวมกอด เปียวเกร็งตัวขึ้นมาทันทีที่ถูกสัมผัสแปลกปลอม เด็กหนุ่มพลิกกายกลับมาแล้วหรี่ตา
ขึ้นมอง ก่อนจะปิดเปลือกตาหลับลงไปเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“มิสเตอร์แอล…”
“ผมทำคุณตื่นหรือ?”
อลันยกกายขึ้นนอนตะแคงข้าง เปียวยังคงหลับตานิ่งอยู่ไม่ตอบรับอะไรกลับมา อลันจึงก้มลงกระซิบเรียกข้างหู
“เปียว”
“อืม” เปียวขานรับแต่ยังไม่ยอมลืมตา
“ทำไมคุณถึงยอมกลับมา ผมนึกว่าคุณจะหนีผมไปไกลแล้วเสียอีก”
เกลี่ยปลายนิ้วกับแก้มคนทำเป็นหลับตาไม่สนใจอะไรอยู่ เปียวกำนิ้วนั้นไว้แล้วดันให้พ้นหน้าตนเอง
“ไม่ได้อยากกลับมาหรอก แต่ไม่มีตังค์”
“หือ?” อลันเลิกคิ้วกับคำบอกกล่าวของเด็กหนุ่ม
“จริงๆตอนรถกำลังจะออกน่ะเกิดเหตุฉุกเฉินนิดหน่อยเลยทำให้ผมตกรถ อดกลับบ้านเลย” เปียวยังเล่าต่อหน้าตาย เหมือนกับว่า
ที่กำลังพูดนี่ล่ะใช่แน่
“อันไหนจริงอันไหนหลอกกันแน่น่ะ หือ?” อลันหรี่ตามองเด็กน้อยของเขาที่ตอนนี้ยกสถานะกลายเป็นเด็กแสบไปแล้ว
“ไม่ใช่ทั้งหมดนั่นล่ะ ที่จริงแล้วที่ผมกลับมาเพราะ…”
“...?”
“ง่วงจัง”
“อ้าว?”
มายั่วให้อยากแล้วก็มาจากไปหน้าตาเฉย เปียวพลิกตัวไปอีกด้าน หลับตานอนไม่สนใจมิสเตอร์แอลที่คำรามอยู่ด้านหลัง
“เด็กแสบ”
“............” เด็กแสบของมิสเตอร์แอลยังนอนนิ่ง
“เปียว”
“อือ... กวนใจจังมิสเตอร์แอล”
“เปียว”
“เอ๊~ คุณหนิ”
เปียวทำเสียงขัดใจก่อนพลิกตัวกลับมาแล้วดันหน้ามิสเตอร์แอลเอาไว้ อลันรวบมือที่ดันหน้าตนเองนั้นก่อนนำมันมาวางที่หน้าอก
มองสบดวงตาที่แสนรั้นแล้วเอ่ยอ้อน
“วางมันลงได้ไหมเปียว ให้เวลานี้ที่เราได้อยู่ด้วยกัน ให้ผมคืออลันและคุณคือเปียว ไม่ใช่เจ้าหนี้กับลูกหนี้ที่ไหน”
“ความจริงยังไงเราก็หนีไม่พ้น” เปียวบอกตามความเป็นจริงที่แปรเปลี่ยนไม่ได้
“ก็ไม่เห็นต้องหนี แต่เราจะเปลี่ยนแปลงมัน”
เปียวเงียบไปกับคำพูดของมิสเตอร์แอล จะเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ
“นะเปียว ได้ไหม?”
อลันย้ำถามอีกครั้ง เห็นสีหน้านิ่งเฉยของเด็กหนุ่มแล้วพาลใจไม่ดี
“ถ้าผมหลงคารมการออดอ้อนของคุณ แล้วคุณพลิกลิ้นกลับมาทำร้ายผมอีก ก็ไม่พ้นที่ผมต้องเจ็บอีกอยู่ดี”
เปียวยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ อยากจะตอบตกลง แต่ก็ยังไม่มีความมั่นใจมากพอที่ทำมัน
“ไม่หรอก คราวนี้มันจะไม่ซ้ำรอยเดิมอีก คุณอาจยังไม่เชื่อใจ เพราะฉะนั้นผมให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ หากผมทำไม่ได้... ผม
พร้อมจะปล่อยมือ”
คำสุดท้ายเอ่ยบอกอย่างยากเย็น แต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้เปียวก็ต้องยอมแลก เพราะดูท่าว่าสิ่งที่เปียวต้องการที่สุดในตอนนี้
คืออิสระ อิสระที่เขาไม่สามารถให้กับเปียวได้
“คุณสัญญาแล้วนะ” เมื่อเห็นช่องทางเปียวก็รีบรวบเก็บไว้ทุกเม็ด
“ครับ นอนเสียเด็กดื้อ วันนี้เราเหนื่อยกันมามากแล้ว หวังว่าพรุ่งนี้ที่เราทั้งคู่ตื่นขึ้นมา ทุกอย่างมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่”
อลันกดจุมพิตหน้าผากนูน เปียวค่อยหลับตาลงช้าๆพร้อมกับความคาดหวังที่ว่าในวันพรุ่งนี้ที่ตื่นขึ้นมา มันจะมีการเริ่มต้นที่ดีเกิดขึ้น
อย่างที่อลันบอก
+++++++++++++
“พงศ์ ติดต่อแม่กับน้องแกไม่ได้เลยหรือ?”
นายพรตเอ่ยถามลูกชายคนโตในวันหนึ่ง เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกชายคนเล็กที่บอกว่าจะไปปฏิบัติธรรมนั้นหายไปไม่ส่งข่าวมา
ตนเองก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานจนลืมเวลา จนวันนี้ก็ผ่านมาเป็นสัปดาห์เข้าไปแล้วที่ขาดการติดต่อไป
“ครับพ่อ นี่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแล้ว ไม่ติดต่อกลับมาเลยด้วย”
พงศกรที่โทรหามารดาและน้องแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ตอบคำถามผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้ากังวลใจ จะว่าทางสำนักปฏิบัติธรรมเขา
ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ก็ไม่น่าจะใช่ มันน่าจะมีการโทรกลับมาบอกกันบ้างว่าไปถึงหรือยัง หรือตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง แล้วจะกลับวัน
ไหน แต่นี่โทรไปทีไรก็เหมือนจะปิดเครื่องอยู่ตลอด ชักมีอะไรแปลกๆเสียแล้ว
“ชักน่าเป็นห่วงแล้วนะ”
นายพรตเปรยอย่างเริ่มจะหนักใจขึ้นมา ปรกติแล้วนางวลัยไม่เคยไปที่ไหนนานขนาดนี้ แถมนี่ยังมีพิชญติดตามไปด้วยอีกคน ทั้ง
สองคนเป็นผู้ใหญ่จนเอาตัวรอดได้แล้วก็จริง แต่การหายไปเฉยๆโดยไร้การติดต่อกลับนี่มันก็น่าห่วงไม่น้อยเลย
“ผมว่าแจ้งความเถอะครับ” พงศกรเสนอ อย่างไรเสียก็ปลอดภัยเอาไว้ก่อนเป็นดี
“อืม จัดการเลย พ่อเป็นห่วงแม่กับน้องแก”
นายพรตเห็นด้วย รู้สึกหวั่นใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เหตุใดทำไมถึงมีแต่เรื่องเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขามากมายและซ้ำซ้อนทับถม
จนหาทางแก้ไม่ตก
+++++++++++++++
ทางด้านพิชญก็กำลังตกที่นั่งลำบากพอควร แต่ในความคิดของพิชญแล้วมันเรียกได้ว่าแสนสาหัสเลยทีเดียว เขากำลังจะถูกไอ้
ฝรั่งชีกอนั่นปู้ยี่ปู้ยำ ใครจะไปยอมกันเล่า เด็กหนุ่มหาทางออกจากที่แห่งนั้น วันก่อนพิชญเพิ่งจะได้เจอหน้าผู้เป็นมารดา ยังไม่
ทันจะได้ถามไถ่ทุกข์สุขอะไรกันมากมายนักก็ถูกพากลับมาที่ห้องขังเสียแล้ว ห้องขังที่ว่ามันก็เป็นห้องนอนสุดแสนจะกว้างขวาง
แต่ต่อให้กว้างเพียงไหนถ้าใจเราคิดว่าเป็นห้องขังมันก็อยู่ไม่สบายอยู่ดีล่ะ
เมื่อพิชญรู้ที่อยู่ของนางวลัยแล้วจึงได้จะลอบออกไปหาเพื่อพากันหาทางหนีต่อไป ไม่ยอมอยู่รอนายอเล็กซานเดอร์นั่นเฉยๆ
อย่างแน่นอน พิชญแอบออกไปพร้อมคนรับใช้ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เป็นที่สังเกตของใคร แต่หูตาของอเล็กซานเดอร์มี
มากกว่าสับปะรดเสียอีก ต่อให้เป็นเพียงมดแมงตัวเล็กจ้อยก็หาได้หลุดรอดสายตาไปได้ไม่
พิชญวิ่งลัดเลาะไปตามทางเดิน อันดับแรกเขาต้องไปหาแม่ก่อน คราวที่แล้วที่นายอเล็กซ์ชีกอพาเขามาแม่เขาอยู่ห้องทางปีก
ขวา ปีกขวา... แล้วปีกขวามันอยู่ทางไหนกันเล่า!
เด็กหนุ่มออกจะหงุดหงิดใจที่ห้องหับมันมากมายเหลือเกินแล้ว สุดท้ายพิชญจึงต้องเดาสุ่ม แต่แล้วก็สามารถมาถึงห้องที่นางวลัย
อยู่จนได้ เหมือนจะมีบางอย่างผิดปรกติ แต่พิชญก็ยังไม่เอะใจ จนเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับอเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตันอยู่
ในนั้นแทนที่จะเป็นมารดาตนถึงได้รู้สึกว่าพลาดไปเสียแล้ว
พิชญก้าวถอยหลังก่อนจะหันกลับ แต่ก่อนที่จะวิ่งหนีอเล็กซานเดอร์ก็ก้าวมาคว้าตัวเอาไว้ทันท่วงที
“อ๊ากกก ปล่อย ไอ้ฝรั่งบ้า ปล่อย!”
พิชญที่ถูกยกลอยจากพื้นอย่างง่ายดายถูกโยนลงไปบนเตียงนอนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง อเล็กซานเดอร์โถมกายทาบทับ
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั้นไม่รู้ว่าพิชญอุปทานไปเองหรือไม่ที่เห็นว่ามันดูมืดมัวและน่ากลัวมากกว่าเดิมเสียอีก
“อยากเปลี่ยนที่ก็ไม่บอก”
น้ำเสียงเยียบเย็นทำให้เด็กหนุ่มขนลุกซู่ไปทั้งตัว น่ากลัว ใครก็ได้ช่วยเขาที แต่ต่อให้ร้องออกไปใครที่ไหนจะมาช่วยเขาได้
“หนีไปก็เสียแรงเปล่า เก็บแรงเอาไว้เวลาครางอยู่ใต้ร่างฉันจะดีกว่านะเจ้าหนู”
พิชญมองคนที่โถมกายลงหาด้วยดวงตาเบิกค้าง
“ไม่!!!!”
++++++++++++++
อเล็กซานเดอร์ก้าวลงจากเตียง หยิบชุดคลุมมาสวมใส่ก่อนออกไปจากห้อง พิชญยังคงขดตัวนอนนิ่งอยู่บนเตียงที่ยับย่นอย่าง
นั้น ร่องรอยจากกามกิจที่เพิ่งผ่านพ้นยังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนตามร่างกายที่โผล่พ้นผ้าห่มที่ปิดกั้นหมิ่นเหม่ เสียงเปิดและ
ปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง ชายชราในชุดพ่อบ้านกับหญิงสาวร่างท้วมที่ถือข้าวของมาวางข้างหัวเตียงไม่ได้เรียกความสนใจของ
พิชญให้หันไปมองได้สักน้อยนิด เพียงแค่ดึงผ้าห่มมาคลุมปิดทั้งตัวจนมิดถึงศีรษะก็เท่านั้น
พ่อบ้านมองพิชญที่ห่มคลุมร่างกายเสียมิดชิดนั้นด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนเอ่ยบอกเสียงเรียบเฉกเช่นใบหน้า
“หากมีอะไรให้ช่วยเหลือกดกริ่งตรงหัวนอนได้เลยนะครับ”
ไร้เสียงตอบรับจากคนบนเตียงนั้น พ่อบ้านนิ่งรอสักครู่เมื่อไม่เห็นว่าพิชญจะสั่งอะไรมาจึงออกจากห้องไป
ภายใต้ผ้าห่มหนา มือเรียวกำหมัดจนเกร็งแน่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความเคืองแค้น พิชญกัดริมฝีปากจนเลือดซึม ร่างกายที่ปวด
ร้าวยังเจ็บไม่เท่าใจของเขาที่มันถูกย่ำยี
อเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน!!
++++++++++++++
ต่อด้านล่างค่ะ 