[1]
“อ๊ะ พี่เอก กระเป๋าใบนั้นรึเปล่าครับ?”
ร่างสูงรีบตรงไปยังกระเป๋าเดินทางสีดำสนิท เขาดึงมาแล้วทอดถอนใจ รู้อย่างนี้ติดป้ายเอาไว้ให้เห็นชัดๆดีกว่า ลืมเสียสนิทว่าคนรอกระเป๋าคงเยอะ แล้วกระเป๋าสีดำเรียบๆไม่มีลวดลายมันก็มีเยอะซะด้วย
“ใช่ๆ ไซส์นี้เลย อ๊ะ ใบนั้นด้วย เชษฐ์”
เจ้าของนามรีบผละไปเอา แต่กระเป๋าเป้เจ้ากรรมดันไปเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของใครก็ไม่รู้เข้า จนมนุเชษฐ์ที่พยายามแงะปมพร้อมเดินตามสายพานต้องตัดสินใจลากกระเป๋าลงมาทั้งสองใบแล้วจัดการแก้ปมอย่างเร่งร้อน เนื่องจากซิปของกระเป๋าของเขากินเชือกที่มัดกระเป๋าเดินทางใบนั้นไปเสียแล้ว ครั้นจะแก้ที่ซิปก็ลำบาก สู้แก้เชือกคงง่ายกว่า
“ไอ้ปมเชือกบ้านี่ก็ดันมัดซะแน่น จะมัดแน่นอะไรนักหนาวะ กลัวคนรื้อเจอกางเกงในรึไง”
ชายหนุ่มที่บัดนี้วัยย่างเข้ายี่สิบสองปีแล้วบ่นพึมพำกับตนเองอย่างหงุดหงิดใจ เขาเกลียดการทำอะไรเปลืองเวลาเช่นนี้เสมอ ยิ่งรีบก็ยิ่งแน่น แก้ไม่ออกเสียที
แต่แล้วจู่ๆก็มีคัตเตอร์ขนาดใหญ่ยื่นผ่านบ่าของเขามาตัดเชือกสีขาวนั่นอย่างรวดเร็วจนร่างสูงใหญ่ถึงกับผงะเมื่อรับรู้ถึงของมีคมในระยะประชิด แทบจะจรดผิวแก้มของเขาอยู่แล้ว นี่ตั้งใจแกล้งกันหรือเปล่าเนี่ย
ใบหน้าคมเข้มเงยมองด้านหลังอย่างขัดเคือง จึงได้พบกับใบหน้าเรียวเล็กของใครสักคนที่สวมแว่นกันแดดเอาไว้ตลอดเวลาตั้งแต่อยู่บนเครื่อง กระทั่งตอนเครื่องลงก็ไม่ยอมถอด เขานึกรำคาญพวกที่มีค่านิยมตามเมืองนอกแบบนี้นัก ยิ่งอยู่ในประเทศไทยยิ่งรำคาญใจ นี่มันที่ร่ม จะสวมแว่นกันแดดไว้เพื่ออะไรให้มองไม่เห็นนะ
ทรงผมสไตล์เกาหลีแบบนั้นคงเป็นวัยรุ่นบ้านรวยที่ปิดเทอมแล้วไปเที่ยวต่างประเทศกระมัง ยังไม่ทันมีงานทำก็นั่งชั้นธุรกิจซะแล้ว คงรวยไม่ใช่น้อย ในขณะที่เขาเพิ่งกลับจากสัมมนากับธนกรและรีบนั่งเครื่องกลับมาอย่างเร่งร้อนโดยไม่ได้พักผ่อน ตอนอยู่บนเครื่องก็ยังอ่านเอกสารต่อไม่หยุดพัก เมื่อต้องยืนรอกระเป๋านานๆท่ามกลางผู้คนจอแจเช่นนี้อีกก็ยิ่งหงุดหงิดง่าย
“ทำอะไรของคุณ? แบบนี้มันอันตรายนะ”
“ก็เห็นแกะอยู่นั่นล่ะ ไม่เสร็จซะที นี่ช่วยให้เร็วขึ้นแล้วนะ”
น้ำเสียงที่สวนกลับนั้นไม่ดีนัก เนื่องจากคนที่นั่งยองๆอยู่นั้นพูดมาไม่ดีก่อน นิพิทขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนัก ปกติแล้วเขาจะไม่ลงมารอกระเป๋าเอง แต่วันนี้ตรีภพเมาเครื่องเพราะลืมกินยากันเอาไว้ก่อน เขาจึงรับอาสาหน้าที่นี้ให้เพราะสต๊าฟคนอื่นไม่ได้กลับมาพร้อมกัน
“ถือมีดแล้วยื่นมาแบบนั้นจากด้านหลังมันอันตรายไม่รู้เหรอคุณ”
มนุเชษฐ์ยืนขึ้นเต็มความสูง จึงได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายสูงไม่ถึงบ่าของเขาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะตอนนี้เขาสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเข้าไปแล้ว แต่ลองแบบนี้อีกฝ่ายคงสูงไม่ถึงร้อยแปดสิบแน่นอน เผลอๆจะแค่ร้อยเจ็ดสิบห้าเสียด้วยซ้ำ
--- ไอ้เปี๊ยกเอ๊ย
“ก็เรียกแล้วคุณไม่ได้ยินเอง จะมาโทษคนอื่นก็ไม่ได้นะ”
“เอ๊ะ แล้วอะไร ผมขอให้คุณช่วยรึก็เปล่านะ”
“ใครใช้ให้ชักช้าล่ะ”
“ชักช้าแล้วกงการอะไรของคุณล่ะ”
ชักมีน้ำโหขึ้นมาไม่น้อยเหมือนกัน จากที่พยายามควบคุมอารมณ์ แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างเถียงกันไม่หยุด นิพิทเองก็ไม่ยอมเช่นกัน
“กงการของผมสิ เพราะกระเป๋าใบนั้นน่ะ ของผม!”
มนุเชษฐ์ปรายสายตามองไปทางกระเป๋าที่คู่กรณีชี้ มันเป็นกระเป๋าเดินทางของ Burberry สีน้ำตาลอ่อนลายสก๊อตอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่บอกก็รู้ว่าของแท้ และอีกฝ่ายคงหนีไม่พ้นลูกคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ
เขาสรุปเองเสร็จสรรพ ยิ่งหมั่นไส้หนักเข้าไปใหญ่
เกลียดนักเด็กไม่มีเหตุผล ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ทำผิดแล้วไม่ยอมขอโทษแบบนี้
“จะของใครก็ช่าง แต่คุณไม่ควรเอาของมีคมไปใกล้ๆหน้าคนอื่น เครื่องบินเขายังไม่ให้เอาขึ้นไปเลย ขอโทษมาซะ”
มนุเชษฐ์เป็นคนไม่ได้ใจร้อนหรือใจเย็นนัก จริงๆตั้งแต่ได้ทำงานที่ร้านของธนกรในตำแหน่งเลขาหรือผู้ช่วยส่วนตัว เขาควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นเยอะมาก แต่คนอย่างเขาก็มีช่วงเวลาที่หงุดหงิดเหมือนกัน โดยเฉพาะกับคนประเภทที่เกลียดอย่างร่างตรงหน้า
--- กวนตีน
เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้อารมณ์คุกรุ่นไม่หยุดง่ายๆ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มยียวนราวกับไม่ได้หวาดหวั่นต่อสีหน้าไม่พอใจของเขาเลยแม้แต่น้อย ก็ยิ่งไม่อยากจะควบคุมอารมณ์นัก แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่วัยรุ่นคนหนึ่งก็ตามที
“ทำไมต้องขอโทษด้วย ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย นายนั่นล่ะผิด มาวุ่นวายกับของของคนอื่นซะนานสองนาน”
เปลี่ยนสรรพนามให้ใหม่ เพราะหงุดหงิดกับการโต้เถียงจนคนรอบข้างเริ่มมองมา เขาสังเกตเห็นว่าด้านหลังของอีกฝ่ายมีเพื่อนพยายามจะปราม แต่แลดูจะเป็นคนหัวดื้อพอๆกับที่เขาเป็นคนหัวรั้น จึงไม่มีใครยอมฟังใคร แล้วเขาก็ไม่ได้เอาคัตเตอร์ยักษ์นี่ขึ้นเครื่องบินสักหน่อย แต่ไปขอยืมมาจากเจ้าหน้าที่ตรงประชาสัมพันธ์ต่างหาก
“อย่ามาเรียกผู้ใหญ่แบบนั้นนะ”
“หึ ผู้ใหญ่เหรอ นายคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่ถึงได้มั่นใจนักว่าแก่กว่าฉัน?” เอ่ยพลางกระชากแว่นกันแดดที่สวมมาตลอดทางออก ปกติแล้วเขาเองก็ไม่ได้ชอบสวมแว่นตาดำนักหรอก แต่ว่าเมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว บางทีก็ต้องปกปิดหน้าตาของตนเองบ้าง
ดวงหน้าขาวใสราวกับเปล่งออร่าทำเอามนุเชษฐ์ชะงักกึก นึกสงสัยอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายไปฉีดกลูต้ามารึเปล่า แต่อะไรก็ไม่ทำให้เขาพูดไม่ออกเท่านัยน์ตากลมโตคู่สวยที่ทอประกายวาววับอย่างคนมีน้ำโห แต่เมื่อกอปรกับริมฝีปากสีสดเชิดๆและจมูกโด่งเรียวรั้นนั้น มันดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด
ตัวกะเปี๊ยกเดียว ยังจะกล้าต่อกรกับเขาอีกนะ ไม่เรียกว่าโง่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
“เชษฐ์ พอได้แล้วนะ!”
เสียงห้วนๆของพี่ชายทำให้เขาได้สติ เขาลดมือลงพร้อมกับระบายลมหายใจเพื่อตั้งสติใหม่ ธนกรที่อยู่กับเขามาเป็นปีสามารถจับความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะเพียงแค่ขยับมือขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น อีกฝ่ายก็เดาได้เลยว่าเขากำลังจะทำอะไร
นิพิทปรายสายตามองไปทางใบหน้าดูดีของชายร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังที่กำลังจับบ่าของคู่กรณี พร้อมกับเหยียดยิ้มอย่างขบขัน
"ขอบคุณที่ช่วย คุณดูพูดจารู้เรื่องกว่ากันเยอะเลยนะ"
นัยน์ตาคมมองประสานนิ่งๆอย่างไม่พึงใจนัก เขาเองก็ไม่ได้ชื่นชอบคนพูดจากวนประสาทนัก แต่การจะมีเรื่องกันเพียงเพราะสาเหตุเช่นนี้ก็ไม่ใช่วิสัยคนอย่างเขา อดคิดไม่ได้ว่าร่างตรงหน้าเองก็ร้ายพอกันที่จงใจพูดจาปั่นโทสะของมนุเชษฐ์
“เนม!! ไปทะเลาะอะไรกับเขาน่ะ!”
“ชิ”
ผู้จัดการจอมยุ่งของเขาดันโผล่มาผิดจังหวะ หนำซ้ำยังกดศีรษะเขาเสียแทบจะคอเคล็ดพร้อมกล่าวคำขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ เขาไม่ผิดสักหน่อย!
“ทางผมต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ”
“ไม่เป็นไรครับ พวกผมก็ขอโทษเหมือนกัน อากาศร้อนๆเลยหงุดหงิดง่ายหน่อย ขอโทษจริงๆนะครับ”
มนุเชษฐ์ยู่หน้า อากาศร้อนเสียที่ไหน ในนี้แอร์เย็นจะตายไป ขนาดใส่เสื้อกันหนาวยังไม่ร้อนเลย บทธนกรจะแถก็แถสีข้างถลอก ไม่แคร์เหตุผลสักเท่าไหร่ แต่ครั้นจะแย้งไป มีแต่เขาล่ะที่ต้องหูชา ดวงตาของคนอ่อนวัยกว่าแอบเหลือบมองผู้เป็นเสมือนพี่ชายแท้ๆ ก่อนจะก้มหน้างุดเมื่อรับรู้ได้จากสายตาตำหนิที่ลอบมองมา กลับไปเขาคงโดนอบรมอีกยกใหญ่แน่
“กรี๊ด พี่เนม!!!”
“ขอลายเซ็นต์หน่อยค่า!!! กรี๊ดดดดด!!!”
“อ๊ายยยย!! น่ารักที่สุด!!!!”
เสียงกรีดร้องจากแฟนคลับที่มารอคอยกันที่สุวรรณภูมิ นับว่าน่าตกใจทีเดียวสำหรับศิลปินที่แทบไม่ได้มีผลงานในประเทศไทยอย่างเขา แม้ว่าเสียงของสาวน้อยใหญ่จะดังแปดหลอดจนชาวต่างชาติที่ออกมาจากเกทพร้อมกันต้องหยุดยืนมุงแล้วพลอยถ่ายรูปเขาไปด้วยเพราะนึกว่ามีดาราฮอลลีวู้ดขึ้นเครื่องมาด้วยก็ตามที
“ขอทางหน่อยครับ เนม รีบขึ้นรถเร็ว”
เจ้าของนามไม่ได้มัวแต่ยืนอึ้ง เขามีสติอยู่ตลอดเพราะได้รับคำเตือนตั้งแต่เครื่องลงแล้วว่ามีกลุ่มแฟนคลับมารอรับจึงได้เตรียมการ์ดเอาไว้ให้แล้ว ดวงตากลมมองลอดแว่นกันแดดสีชาอันโตไปยัง ‘กลุ่ม’ แฟนคลับที่ว่า ที่มีตั้งแต่ชั้นล่างยันชั้นบนที่กำลังส่งเสียงกรี๊ดและโบกไม้โบกมือรวมถึงป้ายไฟที่เขานึกสงสัยว่าไปเตรียมตัวกันมาจากไหนถึงได้รู้ว่าเขาจะกลับวันนี้ ก่อนที่จะส่งยิ้มหวานลอยไปให้พร้อมกับโบกมือลาขณะก้าวขึ้นรถ
กลุ่มใหญ่ขนาดนี้คงต้องเรียกว่า ‘ม็อบขนาดย่อม’ อาจจะเหมาะกว่า
“บ๊ายบาย กลับบ้านกันระวังด้วยนะครับ”
แน่นอน หลังจากใจละลายกันไปเสี้ยววินาที เสียงกรี๊ดที่ดังสนั่นก็ตามมาอีกหลายระลอกอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้
เมื่อประตูรถปิดลงและได้เคลื่อนตัวไปนั่นแหละ ร่างเพรียวบางถึงได้ถอนหายใจออกมายาวเหยียด
เมื่อกี้แอบเห็นว่ามีกล้องโทรทัศน์สักช่องแอบถ่ายอยู่ไม่ไกล คงไม่พ้นได้ออกข่าวอีกแน่ หวังว่าจะไม่โดนวิจารณ์หนักโทษฐานทำตัวเด่นอย่างที่ศิลปินรุ่นพี่เคยโดนหรอกนะ
ดีนะที่ไม่ได้ให้ครอบครัวมารอรับ ไม่งั้นคงวุ่นวายแย่
“ดังใช่ย่อยนะเรา”
“โห อย่างกับนักร้องเกาหลีแน่ะพี่ภพ แต่ผมก็งงเหมือนกันนะ ผมไม่ได้กลับไทยมาตั้งนานแล้ว”
--- แต่ยังมีคนจำนวนมากมายที่รอเขาอยู่ น่าประทับใจจริงๆ
คิดแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง ยิ่งได้เห็นท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ อากาศที่ร้อนจัดของเดือนเมษายนทำให้ไม่สบายตัวนัก แต่ก็นั่นล่ะ ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นดินแดนบ้านเกิดของเขา
นิพิทหยิบไอโฟนขึ้นมาเล่นแก้เซ็ง กล่องเมนชั่นในทวิตเตอร์ของเขาคงระเบิดไปแล้วมั้งน่ะ มีแต่แฟนคลับกระหน่ำเมนชั่นรูปของเขาที่สนามบินเมื่อกี้กันยกใหญ่ หนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดหัวเราะเบาๆอย่างนึกขบขัน แล้วจะส่งรูปตัวของเขาเองมาให้เขาทำไมล่ะนั่น
ว่าแต่ คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมันน่าโมโหจริงๆ
“พี่ไม่น่าขอโทษมันเลย ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“ใครว่า เราจงใจเอาคัตเตอร์ไปยื่นใกล้ๆหน้าเขาใช่ไหม อย่าคิดนะว่าพี่ไม่รู้นิสัย เรารำคาญที่ต้องรอเขาเลยตั้งใจจะแกล้งใช่ไหมล่ะ”
“เชอะ”
ไม่เถียง เพราะอีกฝ่ายรู้ดีทุกอย่างแม้ว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดก็ตามที
"ก็ไม่ชอบคนแบบนั้น ก็แค่นั้น"
"คุณนี่นะ ผ่านมากี่ปีก็ไม่รู้จักจำ เป็นคนสาธารณะ อย่าไปมีเรื่องกับใคร โดยเฉพาะในที่สาธารณะ!"
น้ำเสียงลงท้ายเจือน้ำโหเล็กน้อย เพราะหลายต่อหลายครั้งที่นิพิทไปมีเรื่องกับคนที่เข้ามากวนโมโหตามผับ ยังดีที่นั่นคืออเมริกาที่ค่อนข้างใหญ่ และกุ๊ยก็มีอยู่ทุกผับ เขาต้องตามเอาเงินยัดให้กับนักเลงพวกนั้นเพื่อปิดปาก แต่ถ้าเรื่องเกิดกลางสุวรรณภูมิ คงจะปิดปากใครได้ยาก
นิพิททำหน้าจ๋อย เบะปาก ทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้ พร้อมส่งเสียงเครือออกมาเบาๆ
"ขอโทษครับ"
ใช่ว่าตรีภพจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละคร เขาสั่นศีรษะพร้อมกับเบือนหน้าหนีมาจดจ่อกับตารางงานของร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คุณเนม วันหลังอย่าเล่นกับของมีคม มันอาจจะบาดใครเมื่อไหร่ก็ได้”
“ก็มันถูกออกแบบมาให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ของแบบนี้อยู่ที่การเลือกใช้ ถ้าเรามีมีดดี แต่เอาไปใช้ในทางที่ผิด มันก็จะกลายเป็นอาวุธที่ไม่มีประโยชน์ และก่อให้เกิดบาดแผล --- ที่บางทีอาจจะไม่มีวันสมานได้เหมือนเดิม”
สายฝนตกลงมาเปาะแปะทั้งๆที่เมื่อครู่นี้ฟ้ายังใส ทำให้การเดินทางซึมเซาลง
รถยนต์คันงามขับเคลื่อนไปเพียงไม่นานนัก ก็ถึงคอนโดย่านทองหล่อที่นิพิทซื้อเอาไว้สำหรับอยู่ตามลำพัง เขาไม่ได้ปล่อยเช่าแม้ว่าจะไม่ได้กลับมาร่วมสามปี แต่สภาพก็ยังใหม่อยู่เสมอเพราะพี่สาวที่แสนดีเป็นผู้เข้ามาช่วยดูแลรักษาความสะอาดให้เป็นระยะ
"เจอหน้าสัปดาห์หน้า มีอะไรก็โทรมานะ แล้วอย่าไปก่อเรื่องที่ไหนล่ะ เข้าใจไหม คุณเนม?"
ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกที่หน้าละอ่อนราวกับเด็กวัยรุ่นพยักหน้ารับ จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้ชอบก่อปัญหาสักหน่อย แต่ปัญหามันชอบวิ่งเข้ามาหาเขาต่างหาก อย่างตอนที่เขาแอบไปเที่ยวผับตามลำพัง อุตส่าห์ปลอมตัวซะดิบดี แต่สุดท้ายก็มีกุ๊ยกระจอกสามคนพยายามมาตีซี้เพราะจะหาคนเลี้ยงเหล้า ซึ่งใช่ธุระของเขาซะที่ไหน พอปฏิเสธก็โดนหาว่าไม่มีน้ำใจ ไปๆมาๆก็ลงเอยด้วยการทะเลาะหลังผับ เขาเผลอปล่อยหมัดใส่ไอ้หน้าหื่นคนหนึ่งหลังจากมันพยายามจะลวนลามเขาซึ่งเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ซึ่งคงหนีไม่พ้นเจ็บตัวหากตรีภพไม่มาพบเข้าแล้วรีบเข้ามาห้าม ซึ่งวิธีการห้ามของชายร่างสูงคนนั้นรุนแรงกว่าเขาเสียอีก เป็นเขาที่จะต้องเข้าไปปราม ไม่อย่างนั้นคงต้องหามพวกนั้นเข้าโรงพยาบาลแน่
"อื้ม เข้าใจแล้วน่า"
ชายหนุ่มร่างสูงชะลูดที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนรถสั่นศีรษะพลางพลิกดูตารางเวลาอีกครั้ง ด้วยหวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในเจ็ดวันพักร้อนของเขา
นิพิทเดินเข้าไปในคอนโดหรูหราที่เขาไม่ได้แวะมาเสียนาน ในมือถือคีย์การ์ดเตรียมพร้อม เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มือเรียวหยิบขึ้นมาดูผู้โทรเข้าด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าเป็นใครเท่านั้นล่ะ ร่างบางจึงรีบกดรับพร้อมรอยยิ้มแต้
"ฮัลโหลคุณพี่สาวสุดสวย คิดถึงเนมรึเปล่าคร้าบ"
ปลายสายหัวเราะเบาๆอย่างนึกระอาอุปนิสัยขี้เล่นเหมือนเด็กๆของน้องชายที่นับวันก็อายุใกล้เลขสามขึ้นทุกที
"คิดถึงจ้า เนมเป็นยังไงบ้าง?"
"ก็ยังหล่อเหมือนเดิมครับ" เขาขึ้นลิฟต์พลางเลื่อนสายตามองชั้นที่ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ ดีที่สัญญาณไม่หาย "พี่ล่ะเป็นไงบ้าง?"
"สบายดี เหนื่อยไหม? วันนี้จะออกไปไหนรึเปล่า?"
"ก็ยังไม่มีแพลนครับ เพิ่งมาถึงห้องเลย" เอ่ยพลางเปิดประตูเข้าไปในห้อง สภาพยังใหม่และสะอาดสะอ้านเหมือนเคย "พี่นาช่วยดูแลห้องให้ผมซะเนี้ยบเลยนะเนี่ย"
"ใช่สิ ถ้าไม่เข้ามาเลยคงมีแต่ฝุ่นเกาะ เรายิ่งแพ้ฝุ่นด้วยไม่ใช่เหรอ"
"แหะ ขอบคุณครับ พี่เนี่ยน่ารักจัง"
"จ้าๆ ปากหวานตลอดเลยนะ ถ้ายังไม่มีแพลน วันนี้ออกไปกินข้าวกับพี่ไหม? นทโทรมาชวนพี่อยู่เลย"
"เฮ้ย จริงเหรอ ไปๆ แบบนี้ไม่พลาดแน่นอน ที่ไหนล่ะครับ?"
นิยตาบอกสถานที่ไป พร้อมกับกำชับว่าให้มาให้ได้ ซึ่งเขาไม่เบี้ยวแน่นอนอยู่แล้ว กำลังคิดถึงพี่น้องของเขาอยู่พอดีเลย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีนี่นะ
ชายหนุ่มวางสาย ก่อนจะทิ้งกระเป๋าเดินทางเอาไว้กลางห้องนั่งเล่น เรียวขายาวเดินตรงไปที่เตียงแล้วล้มกายลงนอนบนเตียงใหญ่นุ่มๆที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนเคย ตอนอยู่บนเครื่องก็มัวแต่ตื่นเต้นจนไม่ได้หลับสักเท่าไหร่
--- ของีบสักชั่วโมงละกัน
"พี่ชิน นทไปข้างนอกนะวันนี้"
เจ้าของนามที่กำลังพันเส้นสปาเก็ตตีคำสุดท้ายใส่ปากเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย วันนี้วันอาทิตย์ และเขาอุตส่าห์ได้หยุดงานด้วยหวังว่าจะได้ใช้เวลาพักผ่อนร่วมกันตลอดทั้งวัน
"ไปไหน?"
"ไปร้านครับ"
"ร้านไหน? อย่าบอกนะว่าร้านของไอ้หมอนั่น?"
"เลิกเรียกเอกแบบนั้นซะทีได้ไหม"
"ก็มันกวนตีน"
"เขาไม่เคยทำอะไรพี่ชินซะหน่อย ชอบคิดไปเอง"
"สรุปไปร้านมันล่ะสิ"
"ใช่ นัดไว้แล้วคงยกเลิกไม่ได้หรอกครับ"
"อย่าเว่อร์ เปลี่ยนร้านซะ"
"ไม่เอา จะไปร้านนั้น พี่นั่นแหละเว่อร์ เอกเขาไม่ได้อะไรกับนทแล้วซะหน่อยนะ"
"ใครว่า มันมองนทอย่างกับจะกินเข้าไปทั้งตัวอยู่ละ จะไปทำไมบ่อยๆนะ กลางค่ำกลางคืนอันตรายจะตาย"
นิชาหัวเราะขำท่าทางบ่นกระปอดกระแปดราวกับผู้หญิงที่ไม่อยากให้สามีไปเที่ยวกลางคืน เขาลุกขึ้นเก็บจานของตนและอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าทานหมดแล้วพลางเดินตรงไปที่อ่างล้างจาน
"เดี๋ยวพี่ล้างให้"
"ไม่เป็นไรครับ พี่ชินเป็นพ่อครัวแล้ว นทล้างเอง"
เตชินท์ยังคงหงุดหงิดไม่หาย เข้าเดินตามไปซ้อนอยู่ด้านหลังร่างที่ถือฟองน้ำล้างจานอยู่แล้วโอบรอบเอวบอบบางเอาไว้อย่างหลวมๆ
"อ้อนอะไรครับ นทไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้ว"
"อยากอ้อนนี่นา" เอ่ยพลางวางคางเกยบ่าเล็กที่ยิ่งดูบอบบางหนักกว่าเดิมเมื่ออยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวยาวของเขาที่หลวมโคร่งเช่นนี้ "ให้ไปก็ได้ แต่ห้ามกลับเกินสองทุ่มนะ"
"พี่จะบ้าเหรอ นัดกันไว้ก็ทุ่มนึงละ" นิชาเช็ดจานแล้ววางเก็บเข้าที่ ก่อนจะหันมาทางร่างสูงที่ทำท่างอนๆแบบคนแก่ขี้น้อยใจแล้วโอบมือรอบคอหนาพลางนวดให้เบาๆ "ไม่ดึกหรอกครับ ไม่ได้เจอพี่นากับพี่เนมตั้งนานแล้ว"
"อ้อ พี่ๆที่เคยเล่าให้ฟังน่ะเหรอ?"
"ใช่ คิดถึงน่าดูเลย พี่นาเองก็ยุ่งกับการถ่ายละครกับหนังเสียจนได้เห็นหน้าแต่ในทีวี พี่เนมยิ่งแล้วใหญ่ อยู่แต่อเมริกา ตอนนทเรียนโทก็ประหยัดเงินจนไม่ได้ไปเยี่ยมเลย"
"ก็ตอนนทอยู่นู่นไม่ยอมบอกพี่นี่นา ไม่อย่างนั้นพี่นี่แหละจะพาไป"
"ก็ใครใช้ให้พี่ชินทำตัวไม่ดีล่ะ"
ชายหนุ่มยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้่ เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ทีไร เขาก็อดรู้สึกหงอยขึ้นมาไม่ได้ ความรู้สึกเจ็บปวดในช่วงเวลาสองปีที่ไม่ได้เจอกันมันทรมานแค่ไหน เขายังจำได้เป็นอย่างดี
"สรุปพี่ยอมให้นทไปไหมเนี่ย?"
"ต่อให้ไม่ยอมนทก็จะไปไม่ใช่เหรอ?"
"ก็ใช่ครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากฝืนใจพี่ชิน ถ้าพี่ชินไม่อยากให้นทไปจริงๆ นทก็คงจะคิดอีกทีครับ"
เตชินท์ทอดถอนใจ ลองอีกฝ่ายพูดขนาดนี้ ถ้าไม่ให้ไปเขาก็จะกลายเป็นคนเอาแต่ใจเหมือนเคย จึงได้แต่พยักหน้ายอมอนุญาต
"ไปเถอะ แต่มีข้อแม้นะ ห้ามดื่มเหล้า"
"ค็อกเทลได้ไหม?"
"ค็อกเทลก็ไม่ได้"
"ไวน์ล่ะ?"
"ไม่ได้"
"งั้นเบียร์... ได้เถอะนะ?"
นิชาส่งสายตาออดอ้อน เขาไม่ได้จะดื่มจนเมาสักหน่อย แต่ไปร้านเหล้าไม่ให้ดื่มอะไรเลยก็ไม่รู้จะไปทำไม ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้
"... ห้ามเกินสองแก้ว"
"... สามได้ไหมอ่ะ?"
"ถ้าต่อรองอีกจะให้ดื่มแต่โค้ก"
"สองก็สอง" ร่างบางเอ่ยพร้อมกับเขย่งกายขึ้นหอมแก้มร่างตรงหน้าเบาๆ "ขอบคุณครับ ค่อยสบายใจหน่อย"
"มาชดเชยให้พี่ก่อนเลย" เตชินท์เอ่ยพลางรั้งข้อมือเล็กให้ตรงไปที่ห้องนั่งเล่น
"คนแก่นี่ข้อแม้เยอะจัง" บ่นเบาๆ แต่ก็ยอมเดินตามไปที่โซฟาตัวใหญ่แต่โดยดี "อย่าให้มีรอยจูบนะครับ อากาศร้อน ไม่อยากใส่เสื้อปิดคอ"
เตชินท์ยิ้มกว้างราวกับนึกอะไรได้ "สัญญา จะไม่ให้เห็นรอยเลย"
.
.
"ไม่มีรอยจูบ แต่มีรอยกัดน่ะสิ! ไอ้พี่ชินบ้า!"
นิชาบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดเมื่อมองสภาพของตนเองในกระจก สุดท้ายเขาก็ต้องใส่เสื้อเชิ้ตติดกระดุมบนแทบจะชิดคอจนได้ ทำไมต้องทำอะไรให้ลำบากด้วยนะ คนแก่นี่หวงอะไรไม่เข้าเรื่อง
"ให้ไปส่งไหม?"
"ไม่เป็นไรครับ นทขับไปเองได้"
"แล้วขากลับ ขับกลับไหวเหรอ?"
"อื้อ ก็ไม่กะดื่มอะไรมากนี่นา"
เตชินท์คิดอะไรชั่วครู่ ก่อนจะคว้ากุญแจรถจากมืออีกฝ่ายแล้วล่วงหน้าไปที่ประตูห้อง ทิ้งให้ร่างบอบบางยืนงงอยู่กลางทางเดิน
"พี่ชิน ทำอะไรน่ะ?"
"เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง จะกลับแล้วโทรมาด้วย จะดื่มน้อยหรือดื่มมากพี่ก็ไม่อยากให้นทขับ มันอันตรายรู้ไว้ซะ"
นิชากะพริบตาปริบๆอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ใบหน้าหวานประดับรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แล้วรีบเดินตามไปพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยอย่างคนอารมณ์ดี
Talk: ตอนนี้แอบมีพี่ชินกับน้องนทโผล่มาช่วงท้ายให้หายคิดถึง
นายเอกของเราไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่เลยเนอะ
เรื่องของเรื่อง อย่าเพิ่งตัดสินว่าใครจะเป็นพระเอกเรื่องนี้เลยเนอะ
(จริงๆแล้ว เจ้าตัวคนเขียนก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ

)
ค่อยๆอ่านกันไปก่อน ฝากด้วยนะคะ

P.S. มี facebook fanpage แล้วค่ะ
https://www.facebook.com/pages/Milktea/579354705421685 (สมัครสดๆร้อนๆ)
ถ้าไม่รังเกียจก็กดไลค์กันได้นะคะ ^^