ตอนที่ 9กัส“น้องกัส น้องมิค เที่ยงนี้ไปทานข้าวด้วยกันนะครับ” เสียงหมอพจน์ดังมาจากข้างหลังขณะที่ผมกับมิคกำลังเดินมาคู่กัน จนเราต้องชะลอฝีเท้าลงเพื่อรอให้เจ้าของเสียงตามมาทัน
ใบหน้าประดับยิ้มกว้างแววตาสดใสของหมอพจน์ที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็คงอดจะยิ้มตามหมอหนุ่มอารมณ์ดีคนนี้ไม่ได้ แต่สำหรับผมกลับต้องเบือนหน้าหนีและอดรู้สึกเสียใจลึกๆไม่ได้เช่นกัน ผมหันมามองหน้ามิคก็พบว่ามิคกำลังส่งยิ้มให้หมอพจน์อยู่แถมชำเลืองสายตาเจ้าเล่ห์มาทางผมด้วย จนผมเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจเพื่อนจอมซนคนนี้ซะแล้ว ‘มิคคงไม่คิดจะตอบตกลงคำชวนหรอกนะ’
“ได้ครับ แต่พี่พจน์เลี้ยงน้า” นั่นไงว่าแล้วเชียวถ้าเป็นเรื่องกินทีไรมิคเป็นอันเห็นดีด้วยยิ่งมีคนเลี้ยงนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเพื่อนแสนซนของผมจะปฏิเสธ จนผมต้องปรามโดยการเรียกชื่อพ่อตัวดีสักหน่อย
“มิค!” เจ้าของชื่อทำปากยื่นใส่ผมทันทีจนผมต้องกลั้นขำเพราะต้องพยายามรักษามาดดุไว้ให้เพื่อนได้เกรงบ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะพอหมอพจน์เอ่ยว่ายินดีเป็นเจ้ามือเท่านั้น คนหน้ามุ่ยก็ฉีกยิ้มกว้างตาปิดอย่างถูกใจแจกจ่ายไปทั่วเลย
ผมได้แต่ส่ายหัวอมยิ้มขำเพื่อนตัวดีพอเบนสายตามาทางอีกคนก็เจอยิ้มละไมตาพราวจ้องอยู่แล้ว ผมก็ได้แต่ยิ้มแหยๆกลับคืนให้หมอพจน์อย่างเกรงใจ ก่อนจะเอ่ยชวนและลากมิคให้เดินมาทางโรงอาหารของโรงพยาบาล มาถึงหมอมิคจอมซนก็ตรงดิ่งพาผมกับหมอพจน์มาเลือกอาหารและพากันมานั่งรอที่โต๊ะ ระหว่างรออาหารก็ไม่อึดอัดอย่างที่ผมนึกกลัวเพราะได้มิคคนช่างพูดชวนคุยไปเรื่อยจนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟ
“วันนี้น้องกัสเหนื่อยมั้ยครับ คนไข้เยอะมั้ยเอ่ย” ยำทะเลที่มีหมึกชิ้นโตถูกตักมาวางให้ในจานข้าว ก่อนคนตักอาหารจะเอ่ยถามอย่างอาทรด้วยรอยยิ้มเอาใจ ทำผมชะงักมือที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มและมองสบตาหมอพจน์ก่อนตอบ
“นิดหน่อยครับ คนไข้ก็มาเรื่อยๆครับ” พยายามตอบให้สุภาพไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป แม้ใจผมนั้นออกจะเห็นใจคนตรงหน้ามากที่มีความจริงใจและความสม่ำเสมอให้กับผมมาตลอด แต่ไม่อยากให้ความหวังหมอพจน์เลย เพราะรู้แก่ใจว่าผมนั้นไม่สามารถลืมคนที่พยายามลืมมาตลอดได้ ไม่อยากลากคนดีๆให้มาเสียเวลากับคนที่ฝังใจในรักแรกเลยครับ
“เย็นนี้พี่ว่างไม่ได้อยู่เวรน้องกัสน้องมิคไปทานข้าวกับพี่มั้ยครับ” หลังคำถามของหมอพจน์ผมวางมือบนต้นขามิคที่นั่งข้างกันและออกแรงบิดเนื้อนิ่มๆนั้นเบาๆ เพราะรู้ว่าขืนผมไม่จัดการอะไรสักอย่างคนที่เห็นแกของฟรีคนนี้ต้องเอ่ยปากรับแน่ๆ
“โอ๊ย! กัสอ่ะ” มิคลูบขาตัวเองป้อยๆและส่งค้อนให้ผมอีกที ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อแบบงอนๆ ผมจึงหันไปหยิบเหยือกน้ำใกล้ตัวมารินใส่แก้วน้ำของมิคที่พร่องแล้วให้ เจ้าของแก้วแค่เหลือบตาก่อนหลบตาตามเดิม แต่ผมแอบเห็นว่ามิคอมยิ้มนิดๆแล้วจึงเบาใจได้ว่าเพื่อนสนิทไม่ได้โกรธอะไรจริงจัง ผมจึงหันมาส่งยิ้มขอโทษให้หมอพจน์ที่จ้องหน้าผมรอคำตอบอยู่แล้วเพื่อเอ่ยปฏิเสธ
“ขอบคุณครับแต่วันนี้ผมไม่ว่าง ต้องทำรายงานนิดหน่อย” หมอพจน์หน้าเสียนิดหน่อยแต่ก็กลับมายิ้มกว้างได้ตามเดิมจนผมต้องลอบถอนใจ
“โฮ พี่เสียใจนะเนี่ยเมื่อไหร่น้องกัสจะยอมใจอ่อนไปทานข้าวกับพี่ซะที” คำพูดทีเล่นทีจริงแบบนี้ทำให้ผมทำตัวไม่ถูก หันหน้ามองหาตัวช่วยที่นั่งข้างกันมิคระบายยิ้มให้ผมนิดหน่อยก่อนหันไปตอบโต้คนตรงข้าม
“แหมวันนี้พี่พจน์รุกหนักนะครับ” คำแซวของมิคดูเหมือนจะยิ่งเปิดช่องให้คนที่คิดจะรุกได้ยิงตรงเป้ามากขึ้น
“ก็เพื่อนน้องมิคไม่ยอมใจอ่อนกับพี่ซะทีนี่ครับ” ผมก้มหน้าหลบสายตาออดอ้อนเสตักข้าวเข้าปาก ทำเหมือนว่าไม่สนใจไม่อยากรับรู้ ดูเหมือนผมเป็นคนใจร้ายนะครับแต่ผมไม่อยากให้ความหวังและอยากตัดไฟเสียแต่ต้น เจ็บตอนนี้เดี๋ยวก็หายดีกว่าเป็นแผลเรื้อรังอย่างที่ผมเป็น
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบลงเมื่อผมไม่คิดจะรับไมตรีที่ถูกยื่นมาให้ จนกระทั่งเสียงใสของมิคดังทำลายความเงียบขึ้นมา
“กัสศุกร์นี้เราจะเอารถเข้าไปเองดีหรือนั่งรถโดยสารล่ะ” เรื่องที่มิคถามนั้นช่วยลดความอึดอัดที่กำลังแผ่ซ่านไปรอบตัวได้ จนผมต้องส่งยิ้มขอบคุณให้เพื่อนที่น่ารักคนนี้ ก่อนตอบคำถามของมิคที่ช่วยเบี่ยงเบนประเด็นร้อนออกจากตัว
“นั่งรถไปดีกว่ามิคขับทางไกลเหนื่อย แล้วไหนต้องกลับมาทำงานอีก” ก่อนหน้านี้เราได้คุยกันไว้ว่าวันหยุดยาวที่จะถึงนี้เข้ากรุงเทพเพื่อกลับบ้านกัน แต่ยังไม่ได้ตกลงว่าจะกลับโดยวิธีไหน และผมเห็นว่าระยะทางจากที่โรงพยาบาลถึงกรุงเทพค่อนข้างไกลเลือกเดินทางโดยรถโดยสารจะสะดวกกว่า
“จะไปไหนกันครับ” หลังคำถามของหมอพจน์ทำให้ผมกับมิคหันไปมองหน้าคนถาม จึงพบเข้ากับใบหน้าที่กำลังฝืนยิ้มแววตาเศร้าสร้อย จนผมต้องเผลอกัดปากและเบนสายตาหนีพยายามทำใจแข็งเข้าไว้
“กลับเข้ากรุงเทพครับ จะไปฉลองวันเกิดให้เพื่อนสนิทครับ” มิคตอบคำถามหมอพจน์พร้อมเอื้อมมือมากุมทับมือผมไว้ใต้โต๊ะและบีบให้กำลังใจ
“พอดีเลยอาทิตย์นี้ติดหยุดยาวด้วย พี่ว่าจะกลับศุกร์นี้เหมือนกัน แต่คงเข้ามาก่อนเพราะต้องขึ้นเวร น้องกัสน้องมิคไปกับพี่นะครับ เพราะรถโดยสารคนต้องแน่นแน่ๆ” น้ำเสียงอ่อนหวานพยายามหว่านล้อมถูกส่งมาจากคนตรงหน้า
ผมที่ตั้งท่าจะปฏิเสธก็ต้องชะงักเพราะแรงบีบมือจากมิคพร้อมสายตาขอร้องที่เจ้าตัวคงนึกสงสารหมอพจน์เพราะรู้ว่าผมต้องเอ่ยปฏิเสธ ‘วันนี้ผมคงใจร้ายมาเกินพอแล้ว’ ผมถอนใจยาวก่อนจะพยักหน้ารับคำชวนของหมอพจน์ การตอบรับครั้งนี้ทำให้สายตาเศร้าสร้อยปลิวหายเหลือแต่แววตาปรีดาเต็มหน่วยตา หวังว่าผมคงตัดสินใจไม่ผิดนะครับคงไม่ได้สร้างความหวังให้ใครใช่มั้ย
“ขอบคุณครับพี่พจน์ / ขอบคุณครับหมอพจน์” หลังจากรถยนต์ที่ผมกับมิคนั่งมาหลายชั่วโมงหยุดลงที่จุดหมาย เราจึงเอ่ยขอบคุณคนขับกิตติมศักดิ์ที่มาส่งอย่างปลอดภัย
หมอพจน์ฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดีมองมิคก่อนจะหันมาทางผมส่งสายตาเปิดเผยว่าเจ้าตัวคิดยังไงกับผมมาให้ ผมเบือนหน้าหนีและก้าวขาลงจากรถทันที ก่อนจะได้ยินเสียงมิคเปิดประตูตามมา มีเสียงคนวิ่งมาจากในบ้านทำให้ผมต้องหันไปมองและต้องฉีกยิ้มกว้างให้กับเจ้าของฝีเท้าคนสวยที่ยิ้มร่าโชว์เขี้ยวอย่างน่ารักมาให้ จนกระทั่งมายเดินมาใกล้ผมและคว้ามือผมไปจับก่อนจะทักทายออกมา
“กัส น้องมิค ดีใจจังคิดถึงมากเลย อุ๊ย! สวัสดีค่ะนี่เอ่อ หมอพจน์รึเปล่าคะ” มายทักทายเสียงใสและต้องอุทานเมื่อเห็นหมอพจน์ที่เดินถือกระเป๋ามาส่งให้ผมและมิค
“ยัยมายเดียร์ นี่หมอพี่พจน์ พี่พจน์ครับนี่มายครับเพื่อนสนิทของเรา” มิคทำหน้าที่แนะนำโดยมีผมยืนเฉยๆอยู่เคียงข้าง หนึ่งสาวกับอีกสองหนุ่มทักทายกันอย่างถูกคอ
จนกระทั่งมายเอ่ยชวนหมอพจน์เข้าบ้านแต่หมอพจน์ก็ปฏิเสธเพราะเห็นว่าดึกแล้ว มายจึงเอ่ยชวนมาร่วมงานฉลองวันเกิดในวันพรุ่งนี้แทนและเอ่ยล่ำลาก่อนแยกย้ายกัน แต่ก่อนที่หมอพจน์จะกลับยังหันมาเอ่ยลาผมโดยตรงพร้อมรอยยิ้มหวาน ผมจึงได้แต่รับคำและรีบหมุนตัวเดินนำเพื่อนเข้าบ้าน ที่ผมทำไปทั้งหมดไม่ใช่ว่าผมสบายใจหรืออยากทำนะครับแต่ผมต้องฝืนใจทำต่างหาก
“กัสกับมิคเตรียมของขวัญมาให้มายมั้ยจ๊ะ”
“แหม ไม่ค่อยงกเลยนะมายเดียร์”
ตอนนี้พวกเราเพื่อนสนิททั้งสามคนนอนเรียงกันบนเตียงคิงไซส์ภายในห้องของเพื่อนสาวคนสนิท โดยที่สองเพื่อนซี้ที่กลับมาเจอกันอีกครั้งอดจะต่อปากต่อคำด้วยความเคยชินไม่ได้ แต่ก็ด้วยความรักของเพื่อนช่วยบรรยากาศขณะนี้ให้ดีขึ้นมาก จนผมหลุดหัวเราะก็หลายครั้งพาลให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยที่เรายังอยู่ด้วยกัน แต่แล้วมิคก็หลุดพูดถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อนในช่วงวันเกิดของมายเข้าทำให้ผมเงียบกริบ และคิดไปถึงเหตุการณ์นั้นที่สร้างประสบการณ์เลวร้ายให้กับผม มันเปลี่ยนผมคนที่ร่าเริง เข้ากับคนง่าย เชื่อใจคนง่าย ให้เป็นคนเงียบขรึมและไม่ไว้ใจใครง่ายๆอีก เป็นสาเหตุของแผลเป็นในใจที่ไม่มีวันหาย เหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังผมกลับจากฝึกงานมาถึงกรุงเทพ
หนึ่งปีก่อน“กัสไม่ได้บอกวินให้มารับเหรอ”
“เปล่ากะกลับไปเซอร์ไพรส์อ่ะ เนี่ยของฝากเต็มเลย” ผมที่กำลังหอบหิ้วข้าวของเต็มมือทั้งกระเป๋าเสื้อผ้าและขนมของฝาก ยื่นโชว์เพื่อนสนิทที่ส่งคำถามมาให้
“แหม น่าอิจฉาคนมีแฟนแบบกัสจัง มายก็อยากมีมั่งอ่ะ” เสียงแซวของมายทำผมยิ้มเขินหลบสายตาเพื่อน และให้นึกถึงใบหน้าของคนที่มีสถานะเป็น ‘แฟน’ ของผมขึ้นมายิ่งคิดหน้าก็ยิ่งร้อนฉ่า
“ไม่ได้นะมายมีแฟนแล้วมิคอ่ะจะอยู่กับใคร แค่นี้ก็โดนคนมีแฟนทิ้งอยู่เรื่อยแล้ว” เสียงกระเง้ากระงอดบ่นน้อยใจจากมิคทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง จึงได้รู้ว่าโดนเพื่อนแกล้งซะแล้วเพราะใบหน้าหวานที่กำลังโชว์ยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ได้เข้ากับน้ำเสียงและความหมายของประโยคเมื่อครู่เลย
“มิคนี่ อย่างอนน้าเดี๋ยวพรุ่งนี้กัสเลี้ยง กินให้เต็มที่เลยน้า” ผมแกล้งตบมุกกลับให้มิคอย่างเนียนๆส่งเสียงออดอ้อนและโปรยยิ้มหวานใส่ ทำให้ใบหน้าประดับยิ้มกว้างค่อยๆหุบลงคิ้วขมวดมุ่นปากยื่นนิดๆให้ได้รู้ว่ามิคจับไต๋ผมได้แล้ว
“พรุ่งนี้วันเกิดมายเดียร์นี่ หมายความว่าให้กินเต็มที่ในงานยัยมายเดียร์อ่ะเหรอ โฮ จะง้อเค้ายังงกอีก” มิคพูดจบก็ส่งค้อนทำแก้มป่องใส่ผมได้อย่างน่ามันเขี้ยว จนมายต้องเข้ามาหยิกแก้มแดงๆของมิค ก่อนเจ้าตัวแสบจะร้องโวยวายขึ้นมาเป็นที่น่าเอ็นดู จนผมต้องวางของในมือและเข้าไปโอบไหล่ลูบหลังบางเป็นการง้องอน
“ฮ่าๆๆๆ มิคอย่างอนน้าเดี๋ยวกัสชดเชยให้ทีหลัง แต่ตอนนี้ต้องไปล่ะ เดี๋ยวไม่ทันวินจะไปเรียนซะก่อน” เมื่อเพื่อนแสบซนของผมเลิกงอนแล้ว ผมจึงเอ่ยขอตัวเพราะต้องรีบไปเซอร์ไพรส์ตามแผนที่วางไว้ กลัวแต่ว่าคนที่ไม่รู้ตัวจะหนีไปเรียนซะก่อน
“กัสจ๊ะอย่าลืมพาวินมางานด้วยนะ” เสียงมายตะโกนตามหลังผมมา ผมจึงต้องหันกลับไปมองและโบกมือพร้อมตอบรับให้เพื่อนสนิท
“ครับๆ เจ้าหญิงน้อยตามบัญชา”
ตอนนี้ผมคบกับวินมาหกเดือนแล้วจากจูบแรกวันนั้น วินพยายามตีสนิทตามตื้อเอาใจใส่ผมทุกอย่าง จากแรกๆที่กลัวไปสารพัดในกิตติศัพท์เรื่องความเช้าชู้ของวิน แต่วินก็พิสูจน์ให้ผมเห็นถึงความจริงใจและความสม่ำเสมอ ทำเอาผมเริ่มใจอ่อนสุดท้ายผมก็ตอบรับรักและขยับฐานะให้เราเป็น 'แฟน' กัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่มีผู้ชายคนนี้มาเคียงข้างผมรับรู้ถึงความรักที่วินมีให้ผม แม้เราทะเลาะกันบ้างเหมือนคู่อื่นๆแต่ส่วนใหญ่มาจากนายวินนั่นแหละที่หึงไม่เข้าเรื่อง ผมจะคุยกับผู้ชายคนอื่นไม่ได้เลยตามหึงหวงตลอด ทั้งๆที่วินกลับคุยกับสาวๆหนุ่มๆที่เข้าหาได้ และมาให้เหตุผลที่ไร้น้ำหนักกับผมว่า
‘วินรักกัสมากกว่าที่กัสรักวิน เพราะฉะนั้นวางใจได้ว่าวินจะไม่มีใครนอกจากกัส’
คิดดูสิครับไม่รู้ว่าวินคิดได้ยังไง ‘ความรัก’ ไม่มีมาตรวัดซะหน่อยจะรู้ได้ยังไงว่ารักของวินกับรักของผมใครมีมากกว่ากัน จริงๆผมก็แอบหึงหวงวินเหมือนกันนะเพียงแต่ไม่คิดจะโวยวายเหมือนวินเท่านั้นเอง ดังนั้นการทะเลาะเล็กๆของเราส่วนใหญ่มาจากวินนั่นแหละ แล้วคนที่ต้องง้อก็เป็นผมไอ้ตอนง้อเนี่ยเปลืองตัวจะแย่โดนทั้งกอดทั้งหอม วินบอกว่าเป็นบทลงโทษและเป็นการปลอบใจที่ผมทำให้วินใจหายผมล่ะหมั่นไส้ แต่ผมก็แอบภูมิใจในตัวเองนะว่าวินนั้นแสดงออกว่ารักผมมาก และผมก็รู้สึกดีทุกครั้งที่วินมาหอมมากอดผมด้วยความรักแบบนั้น ถึงจะคบกันมาหกเดือนนอกจากการกอดหอมแก้มและจูบแล้วเราก็ไม่มีอะไรเกินเลยกันกว่านี้ วินยังเคยแซวผมเลยว่าถ้าเป็นคนอื่นนี่เสร็จวินไปตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้ว ผมจึงแกล้งยุให้วินกลับไปหาคนๆนั้นเลยและงอนวินอยู่เป็นอาทิตย์ หลังจากนั้นวินก็ไม่พูดถึงคนเก่าๆอีกเลยและบอกว่าไม่คิดจะเร่งรัดผมเรื่องที่เราต้องมีอะไรกันขอแค่วินยังมีผมอยู่อย่างนี้ก็พอแล้ว ได้ฟังแบบนี้เข้าทำเอาผมเป็นปลื้มมากๆ ผมจึงทั้งรักทั้งหลงวินขึ้นไปอีกอันนี้ยอมรับแค่กับเพื่อนสนิทที่เคยถามผมว่ารักวินแล้วใช่มั้ย เพราะเพื่อนผมทั้งคู่ก็แอบเป็นห่วงผมจากกิตติศัพท์ของวินที่ได้ฟังมาเหมือนกัน และคำตอบของผมคือ ‘ใช่ผมรักวิน’
“แกร๊ก / เอ๊ะทำไมถอดเสื้อผ้าทิ้งไม่เป็นที่เลย”
ผมมาถึงห้องพักของวินพร้อมใช้กุญแจที่วินให้มาไขเข้าไปวางของและกระเป๋าไว้ข้างประตู และให้นึกแปลกใจกับเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งเรี่ยราดตามพื้นห้อง ซึ่งมันดูไม่ธรรมดาซะแล้วยิ่งสิ่งที่ผมเห็นมันมีเสื้อผ้าผู้หญิงรวมอยู่ด้วยนี่สิ ผมก้าวตามเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งเป็นทางไปสู่หน้าห้องนอน
“วิน อยู่รึเปล่า วิน”
ผมเห็นแล้วเริ่มใจเสียคิดไปต่างๆนานาแล้วขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย เดินตรงไปที่ประตูห้องนอนที่แง้มอยู่ และภาวนาในใจว่าขอให้เป็นเรื่องที่ผมคิดมากไปเอง ผมสูดหายใจลึกเรียกกำลังใจก่อนจับลูกบิดประตูและออกแรงผลัก
“แอ๊ดดดด................. ตึก”
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำเอาผมชาวาบตั้งแต่หัวถึงปลายเท้าจนไม่มีแรงจะยืน ผมทรุดนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงส่วนตายังมองภาพเบื้องหน้าไม่ละไปไหน บนเตียงกว้างที่ผมเคยนอนเล่นและเคยหลับไปกับอ้อมกอดอุ่นของวิน ตอนนี้มีคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของผมนอนเปลือยเปล่ากอดรัดร่างๆหนึ่งที่ผมยังไม่แน่ใจว่าหญิงหรือชาย เพราะโดนวินกอดตะแคงตัวบังอยู่ รอบเตียงมีเสื้อผ้ากระจัดกระจายไม่รู้ของใครเป็นของใคร ภาพที่มองเริ่มพร่าเลือนจากม่านน้ำตาที่คลอเต็มหน่วยตา ส่วนของหัวเตียงและพื้นห้องมีซากถุงยางที่ใช้แล้ววางอยู่ จะว่าเป็นการเข้าใจผิดด้วยเมาแล้วถอดเสื้อผ้าและหลับไปก็ไม่ได้เพราะทั้งคนและของที่ใช้แล้วมันยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าคนทั้งคู่มีอะไรกัน ‘วินนอกใจผมแล้ว’
“ฮึกๆ ฮือออออ”
คิดมาถึงตรงนี้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลเป็นทางพร้อมเสียงสะอึกสะอื้นที่สะกดไว้ก็หลุดออกมา ผมพยายามใช้มือปิดกั้นแล้วแต่มันกลั้นไม่ไหวจริงๆ ไม่อยากมองภาพตรงหน้าไม่อยากเห็น แต่ผมไม่มีแรงจะลุกและออกวิ่งหนีภาพที่ทำให้ใจสลายอยู่ขณะนี้ สมองคิดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่า ‘เสียใจ’ มันวนเวียนอยู่ในหัว ความเจ็บปวดใจตรงอกซ้ายมันล้นทะลักจนแผ่ซ่านไปทั้งกายมันเจ็บแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเสียงสะอื้นไห้ของผมคงดังมากไปจึงรบกวนคนบนเตียงให้เริ่มรู้สึกตัวขยับตัวหาที่มาของเสียง
“ฮึกๆๆๆ ฮือๆๆๆๆ”
“อืม ใคร กัส กัส! มาไงครับแล้วร้องไห้ทำไม เฮ้ยยย!!!”
.......................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^O^
ตอนนี้น่าสงสารหมอกัสที่สุด หัวใจสลายเลย

นายวินทำไมทำแบบนี้
แต่ยังไงรอฟังความจริงจากวินก่อนนะคะ
เจอวินมาเล่าเหตุการณ์ได้ตอนหน้าพรุ่งนี้ค่ะ
+1 ให้ทุกเม้นท์แล้วนะคะ

ทุกการติดตามค่ะ
เปิดจอง & โอน หนังสือตั้งแต่ วันนี้ ถึง 16 ก.ค. 55 
1.เสน่ห์รักปักใจ 1 เล่ม (ฉบับรีไรท์) >>> กัส+วิน
38 ตอน 5 ตอนพิเศษ
จำนวน 420 หน้า ราคาเล่มละ 350 บาท