It’s Real เดี๋ยวรักเลย
ตอนพิเศษ คนของหัวใจ
เพียะ!!
“เราเลิกกัน!!”
เสียงฝ่ามือกระทบซีกแก้มของใครคนหนึ่งดังมาพร้อมคำตัดรัก ผู้กระทำคือหญิงสาวสวยท่าทางมาดมั่น เธอเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ
เมื่อพูดจบก่อนจะสะบัดหน้าเดินเชิดคอตั้งตรงออกไป ผู้เห็นเหตุการณ์คือตาต้าน้อยและเพื่อนผู้หญิงอีกคนในกลุ่มรีบเข้าไปหา
ผู้ถูกกระทำทันทีที่สาวนางนั้นเดินห่างออกไป และหนุ่มชาวเหนืออย่างกายก็คือคนที่ได้รับคำปฏิเสธรักพร้อมลูกตบนั้นมาครอง
ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่เนืองๆ เพราะทุกคนที่หนุ่มกายคบหามักจะไม่พอใจที่กายใส่ใจเพื่อนอย่างตาต้ามากจน
เกินไป มากยิ่งกว่าคนรักอย่างพวกเธอเสียอีก จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่ทุกบ่อย แอบเห็นว่าพี่โซลเคยคุยอะไรกับกาย แต่พูด
คุยกันอย่างไรไม่รู้กายถึงได้เป็นหนักขนาดนี้
“กาย เราว่าอย่าให้มากขนาดนี้เลย เอาเวลาไปหาความสุขใส่ตัวบ้างเถอะ”
หลังเลิกเรียนกลับมาที่ห้องในทุกครั้งที่เกิดเรื่อง คำพูดประโยคนี้ก็มักได้ยินจากตาต้าอยู่บ่อยๆ แต่กายก็มีคำตอบแบบเดิมๆมาให้
ทุกครั้งไปจนตาต้าอ่อนใจ
“เราก็มีความสุขดีนี่” กายว่าอย่างนั้น ตาต้าเลยได้แต่ถอนใจ
“เราหมายถึงเวลาอยู่กับแฟนน่ะ นี่ถูกบอกเลิกเป็นรายที่เท่าไหร่แล้ว”
แทบอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วนะกายนี่ ทำหน้าเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรอยู่ตลอด แต่ตาต้าว่ากายก็คงเสียใจอยู่เหมือนกันล่ะ ก็
ถูกบอกเลิกมาหลายครั้งแล้ว แม้ทุกครั้งทางฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายมาขอคบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ได้ชื่อว่าคบหาเป็นคนรักกันแล้ว
ความผูกพันก็น่าจะมีไม่ใช่หรือ?
กายที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะติดผนังหันมาหาตาต้าที่นั่งอยู่บนเตียงแล้วบอกอย่างจริงจังในน้ำเสียง
“ตาต้า เพื่อนกับแฟนน่ะมันไม่เหมือนกันนะ ถ้าใครที่แยกเรื่องนี้ไม่ออกก็คบกับเราไม่ได้หรอก”
“โห~ หล่อมากอ่ะกาย” ขิงที่ถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาด้วย หลังจากกดน้ำร้อนใส่ไปฟังเพื่อนสนิทเขาคุยกันไปเอ่ยกึ่งแซวมา
“ใช่มะ?” กายพยักเพยิดเมื่อมีพวก แต่กลับสะดุดหัวแทบทิ่มกับประโยคต่อมาของเพื่อนขิง
“หล่อๆอย่างนี้ล่ะโดนทิ้งมาหลายรอบแล้ว”
“อันหลังไม่พูดก็ได้นะขิง”
ตาต้ากับขิงหัวเราะเพื่อนที่ทำหน้าเซ็งอารมณ์ทันทีที่ขิงพูดจบ กายหันกลับไปทำงานของตนเองต่อ ขณะที่ขิงหาพื้นที่นั่งทาน
บะหมี่ เอาโต๊ะญี่ปุ่นมากางแล้ววางถ้วยบะหมี่ลง นั่งรอเวลาเปิดฝาแล้วทาน ตาต้าขยับมานั่งใกล้ๆก่อนเอ่ยถามเพื่อนถึงเรื่องคาใจ
“นี่แล้วเรื่องของขิงล่ะ กับพี่ซ่า เป็นไงบ้าง?”
ขิงไม่อยากจะตอบคำถามนี้เลย แต่พอมองตาใสๆของเพื่อนแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะมันบ่งบอกมากว่าอยากรู้อ่ะ ไม่รู้ทำไม
ถึงมีแต่คนแพ้สายตาของเพื่อนคนนี้ ทั้งเขาทั้งกายเลย เพื่อนตัวเล็กถอนหายใจหนักๆก่อนจะบอก
“ปล่อยมันไปเถอะตาต้า เราคุยกับพี่เขาแล้วว่าจะจบเรื่องแต่เพียงเท่านี้” ขิงพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจ เปิดฝาถ้วยบะหมี่
แล้วใช้ส้อมคนไปคนมา
“หมายความว่าไง?” ตาต้ามองเพื่อนแล้วก็ถามต่อ ทำเหมือนไม่สนแต่ที่จริงไม่ใช่สินะ ขิงดูออกง่ายจะตาย ว่าตาต้าดูออกง่ายแล้ว
เพื่อนขิงยิ่งดูง่ายกว่าอีก
“ก็เรารับคำขอโทษจากเขาและยกโทษให้ แล้วก็ต่างคนต่างอยู่” พูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ
“เฮ้ย! ได้ไง ขิงเสียหายนะ”
ตาต้าอุทานเสียงดัง ไปยอมง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน กายหันมามองเพื่อนทั้งสอง แล้วพุ่งจุดสนใจไปที่ขิงที่พูดไปโดยไม่
สบตากับใครเลย
“เรายอมเป็นผู้เสียหายตอนนี้ดีกว่าช้ำใจไปจนตาย”
“แรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ตาต้าถามเสียงอ่อย เรื่องราวมันท่าจะแย่ลงทุกวันแล้ว ขิงที่เอาแต่หลบตาเวลาพูดกลับเงยหน้าขึ้นมามองตาต้าอย่างจริงจังก่อนจะ
พูดประโยคต่อมา
“พี่เขารักตาต้า เขาไม่ได้มีหัวใจไว้เพื่อเรา”จบคำนั้นก็เล่นเอาเงียบงันไปทั้งห้อง ตาต้ามองหน้ากายอย่างหาตัวช่วย กายส่ายหน้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้
ในเมื่อขิงตัดสินใจที่จะจบ เขาและตาต้าก็ไม่มีสิทธิ์ขวาง
+++++++++++++
วันต่อมารุ่นพี่ซ่าก็ยังมาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆตาต้า แต่ครั้งนี้คนละจุดประสงค์กับครั้งก่อน ที่ต้องมาก็เพราะขิง รูมเมทของตาต้า
ไม่ยอมที่จะพูดคุยกับเขา ปฏิเสธทุกความหวังดีของเขาจนสิ้น มันน่าจะเป็นเรื่องดีที่ขิงไม่เอาเรื่องและบอกให้เลิกแล้วต่อกันไป
แต่ซ่ากลับเป็นฝ่ายไม่สบายใจ จนต้องบากหน้ามาปรึกษาตาต้าและกายเช่นนี้
“ถ้าพี่แค่อยากรับผิดชอบก็จบกันเพียงเท่านี้เถอะครับ เพราะคำว่ารับผิดชอบมันทำเพราะรู้สึกผิด ไม่ใช่ทำเพราะมีใจ ถ้าขิงเขา
ให้อภัยพี่แล้วพี่ก็น่าจะพอใจแล้วนะ”
กายยังพูดตรงไม่มีอ้อมอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ไม่ชอบอะไรพี่เขาเป็นการส่วนตัวหรอก แต่ถ้าให้เลือก กายก็เลือกจะอยู่ข้าง
เพื่อนอย่างขิงมากกว่า ถ้าเพื่อนเลือกที่จะจบ กายก็ไม่สนับสนุนให้พี่ซ่าเข้ามายุ่งกับเพื่อนตนเองอีก
“เพราะแบบนี้เหรอขิงเขาถึงได้…”
ซ่าหยุดค้างประโยคไว้แค่นั้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อนึกถึงคำปฏิเสธของน้องขิง ในตอนแรกยังรู้สึกว่าน้องเขาทำเป็นหยิ่ง แต่ที่
จริงมันไม่ใช่เลย แววตาที่แสนเศร้าทำให้เขาลืมไม่ลง ลบภาพเหล่านั้นออกจากหัวไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรจึงจะทำให้น้องขิง
ยอมรับในตัวเขา แม้เริ่มต้นไม่ดีนัก แต่เขาอยากมีโอกาสได้ชดใช้ในความผิดที่ทำลงไปบ้าง หรือเพราะความคิดนี้ทำให้น้องขิงตี
ความไปอีกทาง
“ผมว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องบอกพี่ด้วยซ้ำ เพราะพี่คงมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว”
ตาต้าเอ่ยเสริมเมื่อเห็นพี่ซ่าเงียบไป ดูๆไปก็น่าสงสาร แต่ตาต้าสงสารขิงมากกว่า ถ้าพี่ซ่าอยากจะดูแลขิงด้วยใจจริงตาต้าก็อยาก
สนับสนุนหรอก แต่ติดที่ตัวขิงที่ไม่อยากได้มันนี่สิ ทุกอย่างคงขึ้นอยู่กับพี่ซ่านั่นล่ะว่าจะมีความจริงใจให้เพื่อนตาต้ามากน้อยแค่
ไหน เพราะปัญหาหลักในตอนนี้เลยคือ ขิงคิดว่าพี่ซ่าไม่รัก
+++++++++++++
ซ่าเปลี่ยนจากการไปดักรอขิงที่คณะมารอที่หอแทน เพราะไม่ว่าอย่างไรขิงก็ต้องกลับหออยู่แล้ว รออยู่ไม่นานนักคนที่ตนเองรอ
ก็กลับมา ขิงเดินคุยมากับเพื่อนที่คณะ ก่อนจะชะงักเท้าเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าตึก ใจอยากจะย้อนกลับไปทางเดิมที่เพิ่งเดินมา
แต่ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็ไม่มีทางจะจบปัญหาทุกอย่างได้ ขิงจึงเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เด็กหนุ่มตัวเล็กบอกกับเพื่อนให้ขึ้นหอพักไปก่อนตนเองมีธุระต้องจัดการ เมื่อเพื่อนไปแล้วขิงจึงเดินเข้าไปหาคนที่ยืนชะเง้อ
คอยาวอยู่จุดเดิม ซ่าเปิดยิ้มรับทันทีที่เห็นน้องขิงเดินมาหา แต่พอมองหน้าน้องให้ชัดรอยยิ้มที่มีก็เริ่มเจื่อน มันไม่มีทางเป็นไปได้
เลยสินะ
“ช่วยกลับไปด้วยครับ ผมขอร้อง”
คำพูดขับไสของน้องทำให้ซ่านิ่งงันมันเจ็บราวโดนค้อนขนาดใหญ่ มันปวดร้าวลึกลงไปในอก ตอนนี้มันไม่ใช่แค่รู้สึกเสียหน้าแล้ว
แต่เขาแคร์ขิงมากกว่าที่คิดอีก ขิงที่บอกกับรุ่นพี่ไปแค่นั้นแล้วก็จะผละจาก แต่ซ่ากลับรั้งข้อมือเอาไว้
“คุยกับพี่ก่อน” ซ่ารั้งน้องด้วยน้ำเสียงวอนขอ แต่ขิงกลับไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำ
“ให้โอกาสพี่หน่อยขิง พี่จะทำมันให้ดีที่สุด”
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนนี้เขากำลังร้องขอ คนอย่างนายซ่าผู้มีความมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม กลับต้องมาร้องขอความเห็นใจ
จากเด็กผู้ชายตัวเล็กๆแสนธรรมดาคนหนึ่ง และคนนนั้นเขาก็ไม่แยแสแม้สักนิด
ขิงที่เอาแต่นิ่งเงียบหันมามองหน้ารุ่นพี่ ก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดอยู่ออกไปอย่างเด็ดขาด เรื่องนี้มันควรจบได้แล้ว
“ผมจะพูดกับพี่ครั้งนี้เป็นครังสุดท้าย นับต่อแต่นี้อย่ามายุ่งวุ่นวายกับผมอีก”
“……….”
“ผมไม่เคยคิดจะชอบผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายอย่างพี่”
“เกลียดพี่มากหรือขิง?”
จบคำพูดแสนร้ายกาจนั้นซ่าก็ถามกลับทันทีเช่นกัน เขามันคนน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยหรือไง น้องถึงเอาแต่ผลักไสอยู่แบบนี้ ขิง
พยายามที่จะไม่หลบตาเวลาพูด อยากจะทำใจให้แข็งกว่านี้แต่มันก็ทำได้เท่านี้จริงๆ พี่คงเห็นความอ่อนแอในแววตาของเขามา
ตลอดถึงได้ไม่ยอมยุติเรื่องนี้เสียที พี่เขาแค่สงสาร เขามันคนอ่อนแอ เป็นแค่คนน่าสงสาร
“พี่อย่าถามเลยว่าผมเกลียดพี่มากหรือเปล่า พี่ถามตัวพี่เองดีกว่า…”
“...........”
“ว่ารักผมหรือเปล่า?”
ไม่มีคำโต้แย้งใดๆจากปากรุ่นพี่ ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรรุ่นพี่ก็ปล่อยมืออย่างง่ายดาย ความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดชั่วข้าม
คืนมันจบลงแล้ว แค่เพียงเขาก้าวเดินหันหลังให้ทุกอย่างก็จะจบลง ขิงก้าวถอยหลังช้าๆราวถ่วงเวลา เป็นการกระทำของคนโง่ คน
ที่ต้องการจบคือเขา และคนที่เจ็บที่สุดก็คือเขาอีกเช่นกัน
ขิงเดินจากไปแล้ว จากไปโดยเอาสิ่งสำคัญจากหนุ่มรุ่นพี่ไปด้วย หนทางข้างหน้าที่ไม่มีใครล่วงรู้แม้แต่ตัวเราเอง บางทีสิ่งที่คิดว่า
ไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปอะไรๆก็อาจจะเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้ หากวันนี้ซ่าจะลองถามใจตนเองให้ดีว่า ที่กำลังทำ
อยู่ในตอนนี้เพียงเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำลงไป ทั้งที่คนนั้นเขาผลักไสและไม่ต้องการ เพราะรู้สึกผิด หรือเพราะอะไร?
++++++++++++++++
เวลาผ่านเนิ่นนานไป ชีวิตของแต่ละคนก็เปลี่ยนแปลง ตาต้าขึ้นมหาวิทยาลัยระดับชั้นปีที่2 ขณะที่น้องจินนี่น้อยก็เข้าเรียนระดับ
ประถมศึกษา พี่ชายคนสนิทเห่อเอามากๆเมื่อพาน้องไปซื้อชุดนักเรียนปกกะลาสีมาใส่ พอได้มาก็ให้น้องเป็นนางแบบจำเป็นถ่าย
รูปไปลงโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คให้เพื่อนๆได้เห็นความน่ารักของน้องสาวตัวน้อยด้วย ไหนยังจะเรียกพี่ป้าน้าอาในบ้านมาถ่ายรูปด้วยอีก
โซลเห็นน้องบ้าเห่อแล้วก็ได้แต่ขำ อยู่นิ่งๆไม่เป็นเลยนะคนนี้
วันไหนที่กลับไร่ก็มีสอนการบ้านให้น้องด้วย พี่โซลไม่ต้องน้องต้าทำเอง แต่รู้สึกจินนี่จะชอบให้พี่ชายสอนมากกว่าให้คุณพ่อสอน
นะ ทุกอย่างมันก็คงจะดีมากๆอย่างนี้เรื่อยไป แต่การใช้ชีวิตในสังคมก็ต้องมีบ้างที่จะมีเรื่องเล็กเรื่องน้อยมาให้ระคายใจ จนถึงขั้น
เจ็บในหัวใจ
คนเรามีปากบางทีก็สักแต่พูด พอยิ่งพูดยิ่งกลายเป็นประเด็นให้พูดต่อๆกันไปอีก ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากใคร แต่ตอนนี้คำพูด
บั่นทอนพวกนั้นมันก็มาเข้าหูตาต้าแล้ว กับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่โซล
พวกพี่สาวคนสวยในครัวยังเคยทำเลาะกับคนที่พูดจาว่าร้ายตาต้า แต่ก็ใช่ว่าคนเหล่านั้นจะหยุด อาจจะเกรงใจโซลอยู่บ้างแต่ก็ไม่
เคยกลัว ยิ่งนับวันคำพูดพวกนั้นยิ่งหนาหูมากขึ้น แม้ตาต้าไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องนี้ แต่โซลที่ได้ยินยังรู้สึกแย่ น้องคงไม่ต่างกันเท่า
ไหร่ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เขาควรจะจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดลงไป แม้จะห้ามความคิดไม่ได้ แต่คนเราก็ควรจะรู้ว่าแค่ไหนที่จะ
ไม่เรียกว่าดูหมิ่น
++++++++++++++++
โซลได้ทำการนัดคนงานทุกคนในไร่มาที่บริเวณหน้าสำนักงานในวันหนึ่ง เพื่อที่จะทำการพูดคุยทำความเข้าใจให้ตรงกัน คนงานที่
มารวมตัวกันต่างพูดคุยไต่ถามกันเองเซ็งแซ่ว่าเจ้านายให้มาทำไมกัน เมื่อทุกคนมากันครบแล้วโซลจึงเริ่มพูด
“ที่ผมนัดทุกคนมาในวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญที่อยากจะทำความเข้าใจกับทุกคนให้แน่ชัด”
น้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคงทำให้คนงานทุกคนเงียบฟัง โซลรอจนคนงานหันมาสนใจตนเองจนหมดแล้วถึงได้พูดต่อ
“ทุกคนคงรู้จักเด็กผู้ชายคนนี้ น้องตาต้า”
โซลดึงน้องให้มายืนเคียงข้าง ตาต้ามองทุกคนแล้วก็จะก้มหน้าเช่นทุกที แต่โซลรีบห้ามน้องไว้ อย่าแสดงให้คนเห็นว่าเรา
อ่อนแอ ตาต้าจึงต้องเชิดหน้าขึ้นทั้งที่ใจสั่น
“และคงมีบางคนหรือหลายคน ที่สงสัยใคร่รู้ว่าน้องมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร ต่างก็คาดเดากันไปในทางเสียๆหายๆ”
โซลพูดต่อ ไล่สายตามองคนที่เคยพูดถึงตาต้าในแง่ไม่ดีทีละคน บางคนก็ก้มหน้าเมื่อเจอสายตาคมกราดมอง แต่บางคนที่แรง
หน่อยกลับเชิดหน้าท้าทาย โซลยกยิ้มุมปาก ก่อนจะละสายตากลับมาแล้วกล่าวต่อ
“วันนี้ผมจึงอยากจะบอกกล่าวให้ได้รับรู้โดยทั่วกัน จะได้ไม่ต้องคาดเดากันอีก ว่าน้องตาต้าคือหนึ่งในครอบครัวของผม คือคน
ที่จะเป็นคู่ชีวิตของผม ใช้ชีวิตอยู่ในไร่แห่งนี้ตลอดไป”มีเสียงฮือฮาขึ้นมาทันทีที่โซลพูดจบลง แต่โซลก็ไม่เว้นช่องให้ใครแทรกกลับพูดต่อในทันที
“และเพื่อไม่ให้มีเรื่องที่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจ ผมจึงเปิดโอกาสให้ทุกท่านได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง หากว่ามีใครที่รับเรื่องนี้
ไม่ได้ หมดความนับถือศรัทธากันแล้ว และมันจะทำให้มีผลต่อการทำงานในไร่แห่งนี้ต่อไปในภายภาคหน้า ก็ขอเชิญติดต่อคุณ
พิมพิกาได้เลยครับ”
“นายจะไล่พวกเราออกเหรอ มันจะมากไปหน่อยมั้งครับ”
หนึ่งในคนงานที่เข้ามาได้ไม่นาน และเป็นหนึ่งในคนที่เอาเรื่องตาต้ามายำเสียสนุกปากเอ่ยแย้งทั้งยังแสดงสีหน้ากวนๆส่งมาให้
อีก คนงานบางคนก็มีสีหน้าไม่พอใจนักกับสิ่งที่โซลพูด โซลมองหน้าชายที่เอ่ยแย้งเมื่อครู่นิ่ง ก่อนจะบอกอย่างไม่สะทกใดๆ
“ผมไม่เคยคิดจะไล่ใครออกทั้งนั้น ทุกคนที่ทำงานให้ไร่รณวีร์แห่งนี้ เรานับเป็นพี่เป็นน้อง เหนื่อยยากลำบากด้วยกันมาตลอดทั้ง
ปี เราอยู่กันโดยอาศัยความรู้สึกรักและผูกพันยึดเหนี่ยวพวกเราไว้ เพราะฉะนั้นผมไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าจะไล่ใครออก”
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นสายตาไม่เป็นมิตรหลายคู่จึงคลายลง อาจจะมีบางคนไม่พอใจ แต่ก็มีคนอีกมากที่ทำงานกับไร่นี้มานานที่
เข้าใจและเปิดใจรับได้ทุกเรื่อง ไม่เห็นถึงความสำคัญที่จะมาตั้งวงนินทาคนอื่นให้เขาเสียหายมากกว่าหาเลี้ยงปากท้องของตน
เองและครอบครัว
“ใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกไหมครับ ถ้าคาใจก็ถามออกมา ผมจะตอบทุกอย่างที่ทุกคนอยากรู้…”
พอโซลเปิดโอกาสให้ถามกลับไม่มีคำถามใดหลุดรอดออกมาแม้สักคำเดียว
“เอาล่ะครับ ในเมื่อไม่มีใครถามคำถามอะไร ผมก็ขอสรุปให้ฟังง่ายๆเลยนะครับ หากใครที่มีความประสงค์จะไปทำงานที่อื่นเพราะ
รับกับเรื่องส่วนตัวของผมไม่ได้ ขอเชิญติดต่อคุณพิมพิกา เรื่องค่าจ้างท่านจะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาจ้าง
งาน ไม่มีการโกงกันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“...........”
“แต่หากว่าใครที่เห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน ไม่ได้มีผลอะไรต่อการที่จะทำงานที่นี่ ไร่รณวีร์ของเราก็ยินดีต้อนรับครับ”
โซลหยุดดูปฏิกิริยาของทุกคน กระชับมือน้องที่จับไว้แน่นขึ้น
“แล้วแต่ทุกท่านจะพิจารณา ขอบคุณที่สละเวลามารับฟังครับ”
โซลจบการชี้แจงเรื่องทุกอย่างแต่เพียงเท่านี้ ปล่อยให้คนงานไปพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย ส่วนตนเองก็จูงมือน้องกลับบ้าน ต่อ
จากนี้ใครจะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่ใจของคนนั้นๆ
+++++++++++++++++
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ตาต้าเงียบไปทั้งวัน ถึงพี่โซลจะบอกว่าไม่ต้องคิดมาก แต่หนุ่มน้อยตาต้าก็อดคิดมากไม่ได้ เรื่องมันดู
ใหญ่เกินกำลังของเขาที่จะแก้ไขมันได้ ทั้งที่เป็นคนบอกเองแท้ๆว่าต่อให้มีอุปสรรคมากมายแค่ไหนก็จะสู้ เจอแค่นี้กลับหมดแรง
เสียแล้ว
บนเตียงนอนนุ่มในยามค่ำคืน ร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มเอนเอียงซุกซบอกแกร่งของพี่ที่นั่งพิงหัวเตียง มือหนาลูบต้นแขนเรียว
เบาๆเป็นการเห่กล่อมให้น้องคลายกังวล มืออีกข้างกุมประสานกับมือน้องแนบแน่น กดจมูกหอมหน้าผากเนียนในบางจังหวะ
ค่อยๆปล่อยให้เวลาเดินไปช้าๆ ให้น้องตาต้าได้คิด ได้ปรับความรู้สึกที่วุ่นวายในจิตใจ
“ต้าทำให้พี่โซลลำบากมากเลยใช่ไหม?”
ตาต้าที่นิ่งเงียบมาทั้งวันเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อสมควรแก่เวลาที่จะพูดกันได้แล้ว ทั้งที่ใจจริงไม่อยากเอ่ยถึงมันเลย
“ไม่เลยสักนิด”
โซลกระซิบบอก กดจูบหน้าผากน้องนานกว่าเดิมอย่างต้องการสร้างความมั่นใจก่อนจะผละออกมา ขณะที่ตาต้าพูดความในใจไป
เรื่อยๆ
“ก่อนนี้ต้าเคยคิดว่า ไม่ว่าปัญหามันจะใหญ่น้อยแค่ไหน ต้าก็จะผ่านมันไปให้ได้ โดยที่ต้าไม่ได้คิดเลยว่าคนที่จะนำปัญหามาคือ
ตัวต้าเอง”
“...........” โซลปล่อยให้น้องได้ระบายโดยไม่เอ่ยขัด การพูดจากันมากๆอาจจะทำให้เห็นหนทางแก้ปัญหา เมื่อเข้าใจในสิ่งที่น้อง
คิดก็ไม่อยากที่จะทำให้น้องเลิกคิด
“พี่โซลรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ พี่ถึงได้ผลักไสต้าใช่ไหมครับ?”
ตาต้าผละมาเงยมองหน้าพี่ โซลจ้องตากลมใสที่วันนี้หมองหม่นเพราะคำคน
“พี่เคยบอกตาต้า ว่าต่อไปในภายภาคหน้าเรายังต้องเจออะไรอีกมากมาย ปัญหามันไม่ได้มีอยู่แค่ตอนนี้ ถ้าเรายังหายใจมันก็
มีมาให้เราแก้เรื่อยๆนั่นล่ะ”“............”
“ปัญหามีไว้แก้ใช่ไหมครับ?”
“ครับ”
โซลยิ้มให้น้องที่เริ่มยิ้มออกหลังจากจิตตกมาทั้งวัน บรรยากาศรอบกายคลายความอึดอัดลง เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้น
โซลจึงลุกไปเปิด หน้าห้องคือจินนี่ที่หอบน้องตุ๊กตาหมีและนุ่นที่ถือผ้าห่มลายตัวการ์ตูนกับหมอนของจินนี่มาด้วย
“จินนี่ขอมานอนด้วยคนนะคะ”
ตาต้าที่ได้ยินเสียงน้องจึงลุกลงจากเตียงมาหา จูงมือจินนี่ตัวน้อยมาที่เตียง เด็กหญิงตัวเล็กก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงคุณพ่อกับพี่ตาต้า
ทันที โซลรับผ้าห่มกับหมอนจากพี่เลี้ยงของลูกสาวแล้วบอกให้ไปพักผ่อนได้ ถือเครื่องนอนของลูกมาวางบนเตียง
“นึกยังไงคะอยากมานอนห้องนี้ แล้วห้องจินนี่ล่ะคะ?”
ตาต้าเอ่ยถามน้องสาวตัวน้อยที่อยู่ๆก็หอบข้าวของมาที่ห้องนี้
“จินนี่อยากนอนกับพี่ตาต้า พี่ตาต้ากำลังรู้สึกไม่ดีใช่ไหมคะ จินนี่อยากอยู่เป็นเพื่อน”
ได้ยินแล้วน้ำตาพาลจะไหล แม้แต่จินนี่ก็ยังรักและเป็นห่วงเขาขนาดนี้ น้องคงสังเกตได้ถึงความผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับพี่ชายคนนี้
เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือตาต้า คำพูดคนมันจะสำคัญอะไร แค่มีคนที่รักเราเข้าใจก็น่าจะพอ
“น้องต้อมแต้มลูกชายพี่ตาต้าก็มาด้วยน้า”
เด็กหญิงเห็นพี่ชายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จึงชูตุ๊กตาหมีที่ถือมาให้พี่ชายดู ตุ๊กตาตัวนี้โซลซื้อให้พี่น้องเขาคนละตัวไว้เป็นเพื่อน
กัน สองพี่น้องเลยตั้งชื่อให้ตุ๊กตาหมีของตนเอง ตาต้ามองตาใสแป๋วทั้งหน้าตาที่แสนลุ้นของน้องสาวแล้วก็ยิ้มทั้งน้ำตาที่ไหลลง
มาเมื่อไหร่ไม่รู้ รั้งตัวเล็กป้อมเข้ามากอดแน่น
“ขอบใจนะจินนี่ รักจินนี่ที่สุดเลย”
“อ๋า จินนี่หายใจไม่ออกแล้ว”
ตาต้าแกล้งกอดรัดฟัดเหวี่ยงจินนี่ตัวน้อย เด็กหญิงก็รับลูกพี่แกล้งดิ้นดุกดิกทำเป็นหายใจไม่ออก โซลมองน้องที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว
ก็รู้สึกโล่งใจตามไปด้วย แขนเล็กๆของจินนี่กอดตอบพี่ชายคนสนิทแนบแน่นไม่แพ้กัน
“พี่ตาต้าอย่าร้องไห้นะ จินนี่อยู่นี่แล้ว”
คนที่ถูกปลอบกลับสะอื้นหนักยิ่งกว่าเดิม มือเล็กๆลูบหลังพี่ชายอย่างต้องการปลอบโยน โซลเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้น้อง แล้วยิ้ม
ล้อทั้งโล่งใจ
“ขี้แย”
โซลขยับเข้าไปโอบทั้งน้องชายที่น่ารักและลูกสาวตัวน้อยมาไว้ในอ้อมกอด
สัญญาว่าจะคอยดูแล ประคับประคอง และปกป้องคนของหัวใจทั้งสองให้ปลอดภัยและมีความสุขที่สุด มีความสุขมากกว่าใครๆ
ENDจบจริงๆแล้วค่ะทุกท่าน
น้ำตาไหลอ่ะ อ่อนไหวเกินไปนะเนี่ย ฮะๆ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมายาวนานค่ะ 
สำหรับเรื่องพี่ซ่าก็จบลงไปแล้วเช่นกัน ง่ายๆอย่างนี้เลย 55
ถ้ามีเวลาอาจจะแต่งตอนพิเศษของพี่ซ่าอีกนิดนึง แต่ไม่เปิดเรื่องใหม่หรอกค่ะ เพราะตอนนี้ที่กำลังปั่นอยู่ก็สามเรื่องเข้าไปแล้ว
มีความสุขก็เขียนไปเรื่อยๆ รู้สึกหลายเรื่องเกินไปแล้วเนาะ ฮะๆ
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ได้เขียนแนวที่อยากเขียนมากสุด เรื่องที่อยากทำกับเรื่องที่ถนัดผลลัพท์ที่ออกมามันก็ไม่เหมือนกันเนาะ
ถนัดแนวน่ารักใสปิ๊ง แต่อยากเขียนแนวแอ็คชั่นดราม่า ดูได้จากตอนที่15 เรื่องนี้เลยกลายเป็นก้ำกึ่งไปทุกอย่างเลยอ่ะ
เรื่องที่เคยเปรยเอาไว้
Forbidden Summer คงต้องเปลี่ยนพล็อตเล็กน้อย เพราะร่วมรักษ์เล้าโดยการลดเอ็นซี
MAGICA อันนี้คงอีกนานเลยนะ เดี๋ยวซ้ำกับรักใสปิ๊งแล้วจะเอียนกันเสียก่อน แนวเรื่องไม่เหมือนกัน แต่ความน่ารักมีเหมือนกัน เหอๆ
อีกเรื่องที่ได้พล็อตมาตอนฝนตก (พล็อตเกิดตอนแปลกๆทุกทีเลยอ่ะ) ไม่รู้มีใครใช้ชื่อนี้หรือยัง ล่าตะวัน อยากเขียนแนวแอ็คชั่น
กึ่งแฟนตาซีบ้าง แต่ก็แค่อยากอ่ะ ฝีมือไม่ถึง สักวันหนึ่ง 
มากมายเนอะ คงมีคนอยากบอก เอารักใสปิ๊งให้รอดก่อนเหอะ 
รักคนอ่าน
วันใหม่ 