Kagehana : หายหน้าไปนานเลย ขอโทษที่ให้รอนะคะ ติดภารกิจไปล่องใต้กับครอบครัว คุณแม่ปิดเทอมเราเลยต้องหอบงานไปปั่นตอนเที่ยว(ลำบากดีแท้...) เพิ่งกลับมาเองค่ะ แฮ่
เอามาม่ามาอุ่นเครื่องให้คนอ่านกินกันนะ ^^
ตอบคำถามนิดนึงค่ะ แฮ่ ชื่ออีบ้านนี้มันคล้ายกันบ้าง คนอ่านอาจจะงงนิดหน่อย เราเองยังต้องเขียนแฟมิลี่ทรี ของบ้านนี้ไว้กันงงเลย
คาใจอย่างนึง ตั้งกะตอนต้นแล้ว พอดีเราลำดับความไม่ค่อยปราดเปรื่องเท่าไหร่ =_=
คือตกลง บ้านนี้รุ่นลูกมีสามหรือสี่คนกันอ่ะ นัท ปัน เดฟ แค่สามคนใช่ไหม
แล้ว คนัสนันท์นี่คือ? (เขียนถูกไหมนะ) เป็นใครอ่ะ หรือว่าเราเข้าใจผิด เป็นนามสกุลของบ้านนี้
ที่บอกว่าให้ชยางกูรมาอยู่บ้านนี้ก็เพื่อคานอำนาจกัน กับใคร....นัทเหรอ แล้วคานอำนาจทำไม มีเรื่องอะไรที่ซับซ้อนเกินกว่านั้นไหม
รุ่นล่าสุด(?)มีสี่คนค่ะ คือเดฟ นันท์(คณัสนันท์ ที่ไม่ค่อยมีบท ฮ่าๆ) นัท ปันค่ะ
เรียงลำดับให้คร่าวๆกันงงเนอะ เพราะเดี๋ยวอีกสองสามตอนต่อไปจะเป็นเรื่องรุ่นพ่ออาจจะงงกัน จริงๆอยากวาดเป็นแผนภูมิให้ แต่อันที่วาดไว้ดูเองมันสปอยล์ เดี๋ยวไม่สนุกเนอะ^^
มนูญ(ปู่) มีลูกสามคน เรียงตามลำดับ
- พลภัทร (พ่อ) + เดน่า (แม่เดฟ) ----> เดฟ ชยางกูร
+ เพ็ญแข ------> คณัสนันท์ (ตัวประกอบ 555 XD)
- แพรพรรณ + พ่อน้องนัท(แต่งเข้า ใช้นามสกุลภรรยา)-----> น้องนัท ญาณัช ตัวเอกในซีรีย์แรก กำลังเลิฟๆกับคุณเชฟ
- พิชญ์ อาพีทคนสวยของเรา<3 เลิฟๆกับคุณธัช เป็นคนสวยเนเวอร์ดาย ตายไปแล้วยังฟื้นมาได้ด้วยแรงรักจากคนเขียน อยู่ในซีรี่ย์แรกเหมือนกันค่ะ
ส่วนน้องปันเป็นลูกของ.... แฮ่ สปอยล์ไม่ได้ เอาเป็นว่า
???+เพ็ญแข ----> น้องปัน ปัณวิทย์
เรื่องคานอำนาจ พลภัทรให้ อิเดฟ กลับมาที่ตระกูลเพื่อคานอำนาจกับน้องนันท์ ที่เป็นลูกแท้ๆที่เกิดกับเพ็ญแขค่ะ แต่เหตุผลจริงๆที่ให้กลับมาขออุบไว้ก่อน
ยังไงก็ขอฝากให้ติดตามเรื่องนี้กันต่อด้วยนะคะ ถึงหน้าฤดูมาม่าแล้ว ขอให้ทุกคนมีความสุขไปกับมาม่านะคะ(<<ฟังดูขัดแย้งพิกล )
ขอให้สนุกในการอ่านค่ะ
-37-
“ไม่ไหว เมืองไทยนี่ร้อนชิบ รีบเปิดแอร์ในห้องดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยไปรับฟูกับฝุ่นก็ได้” ปัณวิทย์ดึงคอเสื้อเพื่อพัดไล่ความร้อนออกไปจากตัวเองขณะก้าวลงจากรถแท็กซี่ เพราะว่าคนรักยังมีงาน มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้ไม่สามารถเที่ยวออสเตรเลียได้นานเท่าไหร่นัก
“สั่งครับสั่ง สั่งพี่ตลอด” เพราะตอนที่อยู่ออสเตรเลียตัวเองดูจะได้ใจไปนิด ทำให้พอกลับมาประเทศไทยกลับรู้สึกร้อนและเหี่ยวเหมือนลูกโป่งที่มีรอยรั่วค่อยๆฟีบลง
ชยางกูรหิ้วกระเป๋าเดินเคียงข้างคนรัก แต่เพราะด้านในตัวบ้านมีรถไม่คุ้นตาจอดอยู่ ลางสังหรณ์ในตัวสั่งให้เขาจับข้อมือของปัณวิทย์แน่น
“รถใคร...ปันคุ้นมั้ย”
“หือ” เด็กหนุ่มหันมองตาม รถยนต์สีดำคันยาวหรูจอดเทียบไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นักทำให้ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“ไม่รู้... ไม่ใช่เพื่อนพ่อ ปันไม่เคยเห็นรถคันนี้” เร็วเท่าความคิด ขาสองข้างรีบก้าวเข้าไปให้ถึงประตูด้วยความรวดเร็ว ร่างบางหยุดยืนอยู่หน้าประตูก่อนจะหันมองคนข้างๆ ถ้ารีบเปิดประตูเสียงดังเข้าไป เกิดเป็นแขกคนสำคัญคงทำให้โดนดุเอาได้ เขาจึงตัดสินใจค่อยๆเปิดเข้าไปแทน
พลภัทรและเพ็ญแขยืนหน้าซีดขณะที่ชายสองคนยืนประจันหน้าโดยมีคนนึงเป็นฝ่ายพูดไม่หยุด บรรยากาศและข้อความที่ได้ยินทำให้ปัณวิทย์เผลอบีบมือของคนรักเอาไว้แน่น
ชายร่างสูงที่ชยางกูรไม่เคยเห็นหน้ายืนอยู่กลางห้องกับผู้ชายผมยาวอีกคนหนึ่งที่เขาค่อนข้างคุ้นตา ใบหน้าสวยของคนๆนั้นซีดเซียวทว่าเต็มไปด้วยแววตาที่มั่นคง
“ข้อหาอะไรดีคุณพลภัทร กักขังหน่วงเหนี่ยวให้หมดอิสรภาพ พยายามฆ่า หรือปลอมแปลงเอกสารทางราชการ” ชายร่างสูงถามพลภัทรด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“คุณทำอย่างนี้กับพีท... กับเราได้ยังไง คุณหลอกผมว่าพีทตายเพื่ออะไร? เพื่อที่จะจับเขาไปขังไว้ในโรงพยาบาลบ้าบอนั่นใช่ไหม?”
“มากล่าวหาอะไรพ่อผม” ปัณวิทย์ปล่อยมือข้างนั้นออกก่อนจะวิ่งเข้าไปยืนขวางกลางพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้จะเป็นมิตรนัก ทว่าพอได้มองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเต็มตา เขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“... โตขึ้นเยอะนะปัน” พิชญ์เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า
“อ อาพีท... ท ทำไมถึง....?! พ่อ... พ่อครับ?” คล้ายกับจะประมวลผลไม่ทัน เด็กหนุ่มจึงหันกลับไปหาบิดาทันที
“ปันออกไปก่อนไป” น้ำเสียงของคนเป็นพ่อแข็งขึ้นแล้วดึงลำแขนของลูกชายเอาไว้
“กลัวลูกของคุณรู้ความเลวของคุณหรือไง” ธัช...คนรักของพิชญ์ที่เข้ามาทวงถามความจริงจากตัวการพูดขึ้นไม่ออมเสียง
“บอกเหตุผลมาเดี๋ยวนี้คุณพลภัทร คุณต้องการอะไร สมบัติ..หรือชีวิตคน”
“ฉันไม่ต้องการอะไร...” พลภัทรจ้องหน้าธัชเขม็ง “...นอกจากให้ไอ้คนวิปริตผิดเพศมันตายไปจากครอบครัวฉัน ให้ความอัปยศ ความโสโครกสกปรกของเกย์อย่างพวกแกมันตายๆไปซะ ทั้งแกทั้งพีท พวกแกทำลายชื่อเสียงครอบครัว คิดจะรักกันออกนอกหน้า แกคิดว่าฉันจะยอมให้สิ่งที่ฉันสร้างมาต้องพังไปเพราะความรักโง่ๆหรือไง”
ชายวัยกลางคนโพล่งออกมาอย่างสุดกลั้น นัยน์ตาวาววับจับจ้องไปทางน้องชายที่เขาใช้โอกาสจากการที่อีกฝ่ายประสบอุบัติเหตุลักพาตัวไปซ่อนที่โรงพยาบาลแล้วแสร้งทำเป็นว่าเสียชีวิตไปแล้ว แววตาสั่นไหวของพลภัทรบอกทั้งความเกลียดชัง...และซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้
เกลียด....ไอ้พวกวิปริต
เกลียด...จนไม่อาจอยู่ร่วมกัน
เป็นพิชญ์ที่ยื่นมือออกมาห้ามธัชที่ตั้งท่าว่าจะเข้าไปทำร้ายพลภัทร นัยน์ตาคู่สวยที่กลับมามีชีวิตชีวามองปรามร่างสูงก่อนจะเผชิญหน้ากับอีกคน
“ผมมารับนัท แล้วจะไปจากชีวิตพี่... พี่เอง ก็อย่ามายุ่งกับผมกับนัทอีก ขอแค่นี้ พี่คงทำให้ได้ใช่มั้ย ไม่อย่างนั้น ผมคงห้ามธัชไม่ให้ฟ้องร้องเอาความไม่ได้” ชายหนุ่มร่างบางเอ่ยพูดอย่างสงบ ไม่ได้ใส่อารมณ์ใดใดลงไปในน้ำเสียงนั้นทว่ากลับฟังแล้วรู้สึกยำเกรง
“แกไม่ต้องมาขู่ฉัน ไม่ต้องเอาไอ้เกย์แฟนแกมาขู่ฉันด้วย ฉันไม่กลัวแกหรอกพีท แกมันก็แค่ขยะสังคม ไม่มีค่า อย่างแกต้องตายที่โรงบาลบ้านั่นแหละเหมาะสมแล้ว” ปลายนิ้วสั่นระริกยกชี้ใบหน้าของพิชญ์ พลภัทรสูดลมหายใจแล้วเหลือบมองปัณวิทย์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“จะมากไปแล้วนะ” นักธุรกิจเข้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศปราดเข้ามากระชากคอเสื้อ “แกนั่นแหละไอ้ขยะ ฉันกับพีทรักกันแล้วมันทำให้แกเดือดร้อนอะไร คนที่ทำกับคนที่เป็นน้องได้อย่างแกต่างหากที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!”
“ธัช! พอแล้ว...” พิชญ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม “ผมขอแค่นั้น พี่อยากจะให้ผมฟ้องจริงๆเหรอ”
คนที่ไม่รู้สาเหตุและเบื้องหลังอย่างชยางกูรได้แต่ยืนมองคนทั้งสามโต้เถียงกันด้วยความสงบนิ่ง หากให้พูดตามตรง...เขาไม่ได้รู้สึกรู้สาไปกับเหตุการณ์ตรงหน้าหรือการที่คนที่ตายไปแล้วมายืนอยู่ในบ้าน แต่ถ้อยคำของพลภัทรที่บ่งบอกว่าเกลียดตัวตนของคนรักร่วมเพศทั้งคู่ทำให้อดนึกสะท้อนใจไม่ได้
ก็เท่านี้...คนอย่างพลภัทร
นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างมองไปยังคนรักของเขา ปัณวิทย์ต่างหากที่เขาเป็นห่วง เด็กหนุ่มคล้ายกลับกลายไปเป็นเด็กชายตัวน้อยที่หวาดกลัวและขลาดเขลาไม่กล้า..แม้จะสบสายตาที่เขาส่งไปให้
“ปัน...” เสียงทุ้มกระซิบแผ่ว ร่างสูงเดินเข้าไปหาก่อนจะสอดมือเข้าไปแอบเกาะกุม
“อ..!?” เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อถูกจับมือเอาไว้ สายตาไม่ได้มองตามพิชญ์ที่เดินไปกดลิฟท์ขึ้นชั้นบน แต่กลับจับจ้องอยู่ที่ผู้เป็นพ่อ
...แล้วปันล่ะ...
...พ่อรังเกียจปัน...
...อยากให้ปันตายเหมือนกันรึเปล่า...
“ขึ้นไปที่ห้องกันปัน” คนถามไม่รอคำตอบ เขาจับมือจูงเด็กชายที่ทำท่าเหมือนโลกถล่มอยู่ตรงหน้าให้เข้าไปในลิฟท์ ประตูที่กั้นสายตาในวินาทีสุดท้ายมองเห็นคนเป็นพ่อแท้ๆกำลังทำสีหน้าที่ยากจะบรรยาย
ไม่ใช่ว่าเกลียดไปทั้งหมด หากแต่ดูเหมือนจะเจือจางความแค้นและริษยา....ตัวตนที่น่าสมเพชของผู้ชายที่ไร้ความรัมผิดชอบคนนี้ทำให้เขายิ่งเกลียดพ่อแท้ๆของตัวเอง พ่อที่ต้องการแต่จะให้ทุกสิ่งเป็นไปตามอย่างที่ต้องการโดยไม่สนหัวใจของคนอื่น...หัวใจของมารดาเขา หัวใจของคณัสนันท์ เพ็ญแข พิชญ์ ญาณัช หรือกระทั่งปัณวิทย์...
“ปัน...เงยหน้ามองพี่” ชยางกูรประคองใบหน้าซีดเซียว
“ด เดี๋ยว” ปัณวิทย์ดันตัวเองออกจากฝ่ามือของร่างสูง “ถ้าพ่อมาเห็นจะว่ายังไง” นัยน์ตาเรียวเชิดของปัณวิทย์ในตอนนี้มีแต่ความหวาดหวั่นฉายอยู่ กระทั่งกับพิชญ์ พลภัทรก็หลอกว่าตายไปแล้วได้อย่างเลือดเย็น— แล้วตัวเขาที่รักชยางกูรล่ะ...
...จะเป็นยังไง
“ปันกลัวอะไร” แวบหนึ่ง... ชยางกูรนึกไปถึงใบหน้าของอิสรา อดีตคนรักของเขาที่แสนอ่อนไหว... หวั่นไหวไปตามความอ่อนแอ แม้จะรู้ดีว่าปันวิทย์แตกต่าง แต่เพราะแวบหนึ่งที่เขาแลเห็นความอ่อนแอและหวั่นไหว ทำให้ชยางกูรนึกกลัวว่าจะเสียคนรักไป
-ติ๊ง-
ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้นแปด ชยางกูรได้ยินเสียงร้องไห้ของญาณัทดังมาจากประตูที่เปิดไว้ ภาพความประทับใจเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของชยางกูรเพราะเขารู้ดีว่าปัญหาใหญ่ของเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ปัญหา....ที่ไม่มีทางออก
“อาพีทโดนขนาดนั้น แล้วปันล่ะ พ่อจะอยากให้ปันตายด้วยรึเปล่า” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มไม่มีความมั่นใจอวดดีแบบที่เคย ซ้ำยังสั่นระริกจนชวนให้ใจหาย
“พ่อบ้าไปแล้ว” ชายหนุ่มดึงร่างเล็กเข้ามากอด ประตูที่ปิดลงถูกล็อคจากภายในแต่เขารู้ดีว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย
“ปันอย่าไปฟังที่เขาพูด อย่าไปสน ปันไม่ต้องกลัวนะ”
“ไม่กลัวได้ยังไง” เขาโอบกอดร่างสูงเอาไว้แน่น “ก่อนหน้านี้พ่อร้ายกับปันขนาดไหน... ถ้าเป็นเรื่องนี้.. เรื่องนี้ไม่ได้”
คนในอ้อมกอดสั่นเทาคล้ายลูกนกพลัดรัง ท่อนแขนที่โอบกอดสัมผัสได้ถึงความกลัวของปัณวิทย์ที่แทรกซึมเข้ามาในร่าง มือหนายกขึ้นลูบศีรษะที่ซุกซบแผ่วเบาระวังไม่ให้แตกสลาย
“เขาต้องรู้...ไม่ใช่ตอนนี้สักวันก็ต้องรู้ ถ้าเขารับไม่ได้ปันก็ไม่ต้องสน ไปอยู่กับพี่ที่อเมริกา ไปอยู่ด้วยกัน...”
...ไปอเมริกา...
“...แต่...” เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาเป็นยังไง แม้จะเกิดเรื่องเลวร้ายชนิดที่ไม่คาดคิดมาก่อน เขาก็ยังรักพ่อ รักพลภัทรที่เคยใจร้ายกับตัวเอง— การไปอเมริกาฟังดูเป็นทางออกที่ดี แต่ปัณวิทย์ก็ยังไม่อาจหักใจให้เข้มแข็งแล้วไปด้วยกันกับชยางกูรได้
“คุณพลภัทรเป็นยังไงปันก็รู้นี่...เขาไม่มีทางเข้าใจเราได้หรอก เขาไม่มีทางรับเราได้”
แม้เสี้ยวหนึ่งในใจจะคิดว่าอาจจะ... อาจจะมีทางเป็นไปได้ที่พลภัทรที่ไม่เหลือใครจะยอมรับ แต่เพราะเป็นชยางกูร... ผู้ชายที่เห็นแก่ตัวอย่างเขาไม่อยากจะให้ปัณวิทย์แบ่งเศษเสี้ยวความรักและสงสารให้คนไม่มีหัวใจ
“เพราะงั้น เพราะงั้น อย่าให้รู้ ต้องไม่ให้พ่อรู้นะ นะพี่เดฟนะ ไม่บอกพ่อนะ” ปัณวิทย์เอ่ยอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า— จากที่เคยไม่ได้รับการยอมรับมาแล้วครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก
...ต้องไม่ให้รู้...
“แล้วปันต้องอยู่ไปอย่างนี้น่ะเหรอ ต้องระวังตลอดเวลาไม่ให้เขารู้ จะต้องกลัวในสิ่งที่ไม่ใช่ความผิดไปตลอดชีวิตหรือไง” ชยางกูรกอดร่างเล็กแน่นขึ้น ความสุขของการไปเที่ยวดูจะหายวับไปกับตา
ความจริงตรงหน้าไม่ใช่เพียงเรื่องล้อเล่น ชยางกูรรู้ว่ามันจะต้องมาถึงในสักวัน แต่เพราะพลภัทรที่ประกาศชัดเจนว่าเกลียดเกย์ถึงขั้นทำร้ายพิชญ์ได้... ถ้าสักวันรู้ความจริงเรื่องของเขา ปัณวิทย์อาจจะโดนทำอะไรอย่างนั้นได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ
ถ้าจะต้องอยู่กับความกลัว...สู้เผชิญหน้าให้แตกหักไปเลยไม่ดีกว่าหรือไง
“พี่รับไม่ได้เรื่องที่เขาทำกับคุณพีท...คนที่น่ารังเกียจคือเขา คนผิดคือเขา...” ชยางกูรเน้นเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ “ปันไปอยู่กับพี่นะ”
ไม่ใช่ว่าไม่อยากไป เขารู้ดีว่าถ้าไปอยู่กับชยางกูร ชีวิตที่ได้อยู่เคียงข้างคนที่รักเขาขนาดนี้ทั้งๆที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันคงจะมีความสุขมากไม่น้อย แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็นึกกลัวถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
“...พูดกับพ่อ... จะลองพูดกับพ่อดูก่อน....... เหรอ”
“อืม..บอกความจริงกับเขา ถ้ารับได้ก็อยู่...ไม่ได้ก็ไป...”
“ให้เวลาปันนะ ขอเวลา แล้วปันจะบอกพ่อ....” เขารับคำได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่เพราะหัวใจยังไม่แน่นอน ถ้าบอกไปตอนนี้เลย เป็นเขาเองที่จะรับกับการตอบรับของพลภัทรไม่ไหว
แต่แล้ว...ราวกับจะแกล้งการร้องขอของปัณวิทย์เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
“ปัน... เดฟ... เปิดหน่อยได้ไหม” เสียงอ่อนโรยที่ดังจากหลังบานประตู
“!?? ค ครับพ่อ” เจ้าของห้องรีบละออกมาจากร่างสูงแล้วมาเปิดประตูห้องออก พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้มันจะไม่ช่วยอะไรเลยก็ตาม
ชายวัยกลางคนมองใบหน้าของปัณวิทย์ด้วยแววตาแห้งแล้ง สองแขนที่ยกขึ้นโอบกอดสั่นเทาจนเหมือนร่างจะแยกออก น้ำเสียงพร่าเอ่ยซ้ำๆ
“เขาไปแล้วปัน ทั้งพีท ทั้งนัท...ไม่มีใครเลย ไม่มีใครสักคน...” น้ำเสียงอ่อนแอราวกับคนละคนกับคนที่ตะโกนด่าทออยู่เบื้องล่าง ไม่มีใครเข้าใจพลภัทรสักนิดว่าในใจของคนๆนี้คิดอะไร ไม่มีใครได้ล่วงรู้ความรู้สึกที่เจ้าตัวหวาดกลัวและซุกซ่อนเอาไว้
“เป็นผมก็ไม่อยู่ครับ...สิ่งที่คุณทำมันเกินไปมาก...หัวใจคุณทำด้วยอะไร” เสียงเรียบของชยางกูรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของพลภัทร หากแต่คนรักของเขากลับทำในสิ่งตรงข้าม
ปัณวิทย์โอบกอดคนที่เรียกว่าพ่อเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง “ปันอยู่นี่... ไม่ได้ไปไหนครับพ่อ”
“ทำไม...มันพลาดตรงไหน...” พลภัทรพูดซ้ำๆ พึมพำด้วยถ้อยคำที่ไม่รู้ความหมาย
“คุณทำตัวเอง คุณทำมันทุกอย่าง ทั้งนอกใจคุณเพ็ญแข ทอดทิ้งแม่ผม ทำร้ายทุกคนจนสุดท้ายมันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไงที่คุณไม่เหลือใคร” ความอ่อนแอของคนตรงหน้าไม่ได้ทำให้หัวใจของชยางกูรอ่อนไหวสักนิด ในซอกมุมหนึ่งของหัวใจเขากลับรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรเกิดอยู่แล้ว เพราะคนที่ไม่เคยมีความรักจริงใจให้ใครอย่างพ่อแท้ๆของเขาคนนี้...ไม่สมควรได้รับความรัก
แม้แต่จากปัณวิทย์...ที่รักพ่อด้วยใจจริง
“ปันกับผมจะไปอยู่อเมริกาด้วยกัน เร็วที่สุด”
“พี่เดฟ! ปันยังไม่ได้บอก... ว่าจะไป” ท้ายประโยคน้ำเสียงของปัณวิทย์อ่อนแรงลงจนราวกับเสียงกระซิบ
“ปัน...จะไปเหรอลูก” ชายวัยกลางคนที่ไร้สง่าราศีที่เคยมีเอ่ยถามลูก...ที่ไม่ใช่สายเลือด
“ใช่ ปันจะไปอยู่กับผมที่อเมริกา”
“พี่เดฟ!!” เขาเรียกเป็นครั้งที่สอง หมายจะปรามให้อีกฝ่ายหยุด
“นี่มันอะไรกัน...ปัน...ทำไมปันต้องไป” น้ำเสียงและท่าทางที่มากกว่าคนอยู่บ้านเดียวกันควรจะเป็นทำให้พลภัทรนึกเอะใจ ยิ่งสบกับประกายตาของลูกชายที่เกิดจากหญิงต่างชาติตรงหน้า ความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวราวกับหลุมดำก็ผุดขึ้นไร้ที่มา
“ปัน...บอกพ่อมาหน่อย...ว่ามีอะไรกัน...”
“.........” ปัณวิทย์มีสีหน้าคล้ายกับอยากจะร้องไห้ออกมา เขาไม่แน่ใจว่าในตอนนี้ควรจะเลือกใช้คำไหนออกมาพูดเพื่อให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายเกินไปกว่าที่เป็นอยู่
...แต่ก็อับจนคำพูด เพราะความรู้สึกของเขาที่มีกับชยางกูรไม่มีคำอื่นที่จะอธิบายได้นอกจากคำๆเดียว
“ปัน... รักพี่เดฟ... ครับพ่อ...”
“ไม่จริง..” คนเป็นพ่อปล่อยมือจากตัวลูก ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลามองปัณวิทย์สลับกับชยางกูร “ปัน...ไม่จริงใช่มั้ย...แกเป็นเกย์.....เป็นไอ้พวกผิดเพศเหมือนพีท....”
คำพูดร้ายกาจทำให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่มีเวลาแม้จะกลั้นเอาไว้ “พ่อครับ...”
“ใช่ คุณจะเรียกความสัมพันธ์ของผมกับปันแบบไหนก็ช่าง แต่สำหรับผม...” ร่างสูงดึงปัณวิทย์เข้ามาหาแล้วกอดเอาไว้ “...มันคือความรัก..”
“พ่อ... อย่าเกลียดปัน... อย่าเกลียดปันนะครับ... ปันรักพ่อ... ฮึก.... รัก....”
“ปัน..” ชยางกูรกอดคนในอ้อมกอดจนแน่น แม้ว่าปัณวิทย์จะสั่นเทาเท่าไรอ้อมแขนของเขาก็ต้องมั่นคงเท่านั้น
ไม่ผิด...สิ่งที่เขากำลังทำไม่ผิดหรอก
ปัณวิทย์จะไม่มีความสุข...ถ้าต้องอยู่อย่างมีความลับไปตลอดชีวิต
ความจริงของลูกชายที่รักแม้จะไม่มีสายเลือดเดียวกัน...กับลูกชายที่เกิดจากหญิงคนรักทำให้พลภัทรแทบล้มทั้งยืน ร่างสูงเอนวูบจนต้องดึงเก้าอี้ใกล้ตัวมานั่ง ร่างทั้งร่างสั่นไหวราวกับอารมณ์ภายในจะปะทุ
“ปัน...เดฟ..พวกแกมันอกตัญญู พวกแกเป็นพี่น้องกันยังมาทำตัวเลวอย่างนี้ในบ้านฉัน แกทำได้ยังไง!”
“พวกเราไม่ใช่พี่น้อง ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันด้วยซ้ำคุณก็รู้ ถ้าคุณคิดว่าเราเลวนักก็เชิญอยู่ในบ้านแสนดีของคุณไปคนเดียวสิ”
“พอแล้ว! อึก-- พอ พอแล้วพี่เดฟ พอ......” แม้จะถูกกอดเอาไว้ แต่แขนสองข้างก็ยกขึ้น มือคว้าจับเอาอีกฝ่ายไว้ได้ก็ยื้อยุดให้หยุดพูด
“แก...เพราะแกใช่มั้ยเดฟ ปันถึงเป็นเกย์” น้ำเสียงของชายผู้สูญเสียเอ่ยถาม พลภัทรแน่ใจว่าปัณวิทย์...ลูกที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยมีพฤติกรรมอย่างนี้ จนกระทั่งชยางกูรกลับมา
“แก...แกมัน...แกทำให้น้องเป็นเกย์...แกบังคับน้องใช่มั้ย!”
“ไม่....” คนตอบกลับหลุดปากไปได้เท่านั้นเพราะความจริงที่พลภัทรพูดออกมากระแทกเข้าไปถึงหัวใจ เขาทำร้ายปัณวิทย์ก่อน...เขาทำให้ปัณวิทย์เป็นเกย์เหมือนที่เคยทำกับอิสรา...
เพราะพี่หรือเปล่า...ปันถึงได้เป็นเกย์
คำถาม...ที่เขาไม่กล้าถามออกมา
“.... ตอนแรกมันอาจจะเป็นอย่างนั้น...” เด็กหนุ่มมองใบหน้าผู้เป็นพ่อทั้งน้ำตา “แต่พี่เขารักปัน... ในตอนที่ไม่มีใครรักปันสักคนเดียว......”
คล้ายคำพูดของปัณวิทย์จะไม่เข้าหูคนเป็นพ่อ ปลายนิ้วสั่นเทาชี้มาที่ชยางกูร “เห็นมั้ย...เพราะแก ไอ้เดฟ เพราะแก ลูกฉันถึงเป็นแบบนี้ เพราะ...อึก...”
ชายสูงวัยกุมหน้าอกแน่น ใบหน้าของคนทั้งสองไม่อาจเห็นได้อีกเพราะความมืดเข้ามาบดบัง พลภัทรอึดอัดจนไม่สามารถหายใจเข้าออก ได้แต่งอตัวกุมหน้าอก
“อึก...เพราะแก...เพราะ...”
“พ่อ!” ปัณวิทย์ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดพลางเข้ามานั่งคุกเข่าลงกับพื้นข้างๆพลภัทรที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
“ไม่ใช่ครับพ่อ พี่เดฟเขา... พี่เขารักปัน ดูแลปัน อยู่กับปัน... พ่อครับ ปันไม่มีใคร ปันอยู่คนเดียว... สิบปี..... ถึงเจอพี่เดฟ พ่ออย่าว่าพี่เขา... พ่อจะว่า ก็ว่าปัน เถอะครับ” น้ำเสียงของปัณวิทย์คล้ายกับจะพยายามปลอบประโลมคนสูงวัย เจ้าตัวพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
ร่างที่นั่งคุดคู้สั่นไหวไปกับคำตอบของลูกชาย พลภัทรกำลำคอแน่น ภาพของพีทในโรงพยาบาลกับปัณวิทย์หมุนวนอยู่ในหัวจนแทบจะระเบิด ลมหายใจขาดห้วงของผู้เป็นพ่อกระตุกแผ่วๆอีกครั้งก่อนจะหมดสติไป...ภายใต้ความมืดและหนาวเย็นของคนที่ไม่เหลือใคร
To be continued...